กันยายน 2552

 
 
1
2
4
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่ 17 - กลับคืนสู่ฝูง? (จบแล้วจ้า!)
-- คุยกันก่อน --

ขอโทษหลายๆ คนที่หายไปนานเลย อาทิตย์ที่ผ่านมายุ่งมากๆ และชีวิตไม่ค่อยจะราบรื่นเอาเสียเลย ทั้งไม่สบาย ทั้งงานเข้า ทั้งท้อแท้(กะงานอ่ะนะ) สารพัด.. วันนี้ด้วยความที่.. ว่างเว้นจากงานเข้าระยะที่ 1 และคิดถึง blog มาก(คิดถึง comment ของเพื่อนๆ ใน blog) ก็เลยมาซะหน่อย

เดี๋ยวจะมีงานเข้าอีกระลอก ถ้าหายหน้าไปก็อดทนกันหน่อยน๊า ไม่ทิ้งกันแน่นอน จะแปลให้จบ 24 ตอนชัวร์ๆ เลย

----------------------------------------------------------

ฉันหันหน้าไปหาเจคอบโดยทันใด รู้สึกได้เลยว่านัยน์ตาของตัวเองเบิกโตขึ้นด้วยความตกใจ สงครามงั้นเหรอ? เขาต้องเข้าใจอะไรผิดไปแล้วแน่ๆ เขาหันหน้ามาหาฉัน สายตาของเขาไล่กวาดไปทั่วใบหน้าของฉันราวกับว่าเขากำลังค้นหาปฏิกิริยาตอบสนองจากสิ่งที่ฉันเพิ่งได้รับรู้ไป

เขาขยับตัวปรับเปลี่ยนท่านอนมาเป็นตะแคงข้างหันมาหาฉัน ยกแขนขึ้นท้าวใบหน้าเอาไว้

“ถึงเวลาที่ฝูงของผมต้องรวมกันอีกครั้งแล้ว”

ฉันรู้สึกเหมือนถูกลมแรงพัดใส่เข้าที่หน้าอย่างจัง มองหน้าเขานิ่ง พยายามที่จะตีความหมายคำพูดที่เขาบอกเล่าเมื่อครู่

“คุณจะทิ้งฉันกลับมาอยู่ที่ลาพุชงั้นเหรอ?” ฉันโพล่งถามออกไปด้วยความตกใจ

นัยน์ตาเขาหรี่ลงเจือแววเป็นทุกข์

“ไม่หรอก” เขาตอบอย่างไม่เชื่อว่าฉันจะกล้าถามคำถามแบบนั้นออกมาเหมือนกับว่าฉันไม่เชื่อในตัวเขา

“ผมไม่สามารถทิ้งคุณไปไหนได้หรอก คุณไม่รู้เหรอว่าผมต้องการคุณมากแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้”

“คุณต้องการฉันอย่างนั้นเหรอ?”

“เนสซี่ ต้องมีเหตุผลอธิบายเรื่องการผูกวิญญาณของพวกเราแน่ๆ ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรอกนะที่อยู่ๆ นักสู้อย่างพวกเราจะสามารถถูกผูกวิญญาณได้น่ะ”

“งั้นเหรอ?”

“ใช่”

ฉันใช้เวลานิ่งตรองอยู่สักพัก การผูกวิญญาณจะเป็นอะไรอย่างอื่นที่มากไปกว่าการตามหาดวงวิญญาณอีกครึ่งที่เหลืออีกอย่างนั้นเหรอ? ฉันเหลือบตามองขึ้นไปเพื่อที่จะพบกับสายตาของเจคอบที่ยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของฉัน

“ทำไมล่ะ?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ทฤษฏีก็คือ เราจะยิ่งต่อสู้ด้วยความหลงใหลมากยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เราต้องสูญเสียสิ่งที่เรารักไป และยังมีเหตุผลที่คู่ผูกวิญญาณนั้นไม่ได้แก่เฒ่าลงไปตามธรรมชาติด้วยเหมือนกัน ลองคิดดูสิว่า ถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคู่ผูกวิญญาณหรือกรณีที่คู่ผูกวิญญาณตายจากไปตามอายุขัย นักสู้ผู้นั้นคงกลายเป็นนักสู้ผู้ไร้ซึ่งประโยชน์ไปในทันใด เขาคงเหมือนคนตายทั้งเป็นเลยทีเดียว”

ฉันจ้องมองเขาด้วยสายตาฉงนฉงาย ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาอธิบายมากนัก

“เนสซี่.. คุณจะสู้ด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปหากมันเป็นการสู้เพื่อปกป้องคนที่คุณรัก, สู้เพื่อมาตุภูมิของคุณหรือสู้เพื่ออะไรก็ตามที่มีความสำคัญยิ่งยวดต่อคุณ ถ้าหากคุณแพ้ คุณยังรักษาตัวเองได้ อาจใช้เวลาสักพักแต่ยังไงบาดแผลต่างๆ ก็ยังรักษาตัวมันเองได้ แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นกับคนที่คุณรัก-วิญญาณอีกครึ่งของคุณ-แก้วตาดวงใจของคุณเข้าล่ะ? ถึงตอนนั่นแหล่ะคุณจะสู้ยิบตา เพราะคุณรู้ดีว่า ถ้าหากคุณแพ้หรือปกป้องพวกเขาไม่ได้ ก็ไม่มีทางเลยที่คุณจะกู้ความสูญเสียนั้นคืนมาได้

ก็ใช่อยู่หรอกที่สมาชิกในฝูงต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คนของพวกเขา แต่ที่สุดแล้วเราต่อสู้เพื่อปกป้องคู่ผูกวิญญาณของเราต่างหากล่ะ กรณีเดียวที่เราจะพิจารณาโทษตายแก่สมาชิกคนใดในฝูงก็คือความผิดฐานที่ฆ่าคู่ผูกวิญญาณของคนอื่น ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือพลั้งมือก็ตาม คู่ผูกวิญญาณต้องมาก่อนและสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด”

ฉันเหลือบมองเจคอบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกถาโถมด้วยความรู้สึกมากมายที่ฉันเองก็บรรยายไม่ถูก โชคชะตาแห่งชีวิตของฉันถูกผูกติดไว้กับเขาอย่างเหนียวแน่นเหลือเกิน ฉันรู้ได้ในทันทีเลยว่าถ้าหากต้องสูญเสียเจคอบไปเสียแล้ว สิ่งเดียวที่ฉันต้องการหลังจากนั้นก็คงมีเพียงแค่ความตายเท่านั้นเช่นกัน มันคงเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวอันไร้ที่สิ้นสุดอย่างจริงแท้แน่นอน

“ที่ประชุมวันพรุ่งนี้ เราจะปรึกษากันเรื่องที่จะโยกย้ายฝูงของผมให้ไปอยู่ใกล้ผมมากขึ้น การอาศัยอยู่กับครอบครัวของคุณจะทำให้ผมได้ข่าวก่อนใครอื่น ผมจะได้เตือนแซมเสียแต่เนิ่นๆ ถ้าหากมีข้อมูลอะไรที่เขาควรจะรู้เอาไว้ ส่วนฝูงของเขาจะปักหลักอยู่ที่ลาพุช”

“แล้วควิลล่ะ? ไหนจะแคลร์อีก? คุณคงไม่คิดว่าพ่อแม่ของเธอจะยอมปล่อยให้ควิลพาลูกสาวเขาไปด้วยหรอกนะ”

“เนสซี่ ผมยังไม่ได้วางแผนว่าจะย้ายทุกคนในทันทีหรอก มันจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะผมคิดว่าอะไรก็ตามที่เรากำลังเตรียมพร้อมเพื่อรับมือมันอยู่นี้จะยังไม่เกิดขึ้นในอีกสักพักใหญ่ๆ แต่ยังไงผมก็ต้องเริ่มวางแผนและเตรียมการตั้งแต่ตอนนี้เลย ควิลจะยังคงอยู่ที่นี่ร่วมกับฝูงของแซมจนกระทั่งแคลร์จะโตกว่านี้ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาจะย้ายมาสมทบกับเรา”

“คุณคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่อลิซได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับพวกโวลตูรีหรือเปล่า?” ฉันถามบ้าง

“ผมก็ไม่เห็นความเป็นไปได้อย่างอื่นนะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเครียดเบา

ฉันรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบของฉันกำลังกลายเป็นสถานที่แปลกปลอมไปเสียแล้วและมันยิ่งน่าหวาดผวายิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ลมหายใจเข้าออก มีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นและมันจะเกิดขึ้นแน่ๆ แล้วอะไรจะเป็นผลทีเกิดขึ้นหลังจากนั้นล่ะ? ถ้าเราเกิดแพ้ล่ะ?

ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน ชีวิตก่อนหน้าชั่วขณะเวลานี้มันเหมือนเป็นเพียงแค่ห้วงฝันอันแสนหวานที่ฉันเคยมีแต่มันไม่อาจหวนคืนมาได้อีกแล้ว ความรู้สึกต่างๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของฉันอย่างปัจจุบันทันด่วนและโดยไม่ได้คาดคิด.. ฉันเอื้อมมือออกไปเพื่อสัมผัสกับใบหน้าของเจคอบและดึงเขาเข้ามาจูบ มันเป็นจูบที่ดุดันที่สุดที่ฉันเคยเริ่ม พยายามที่จะจดจำทุกเสี้ยววินาทีถึงสัมผัสของริมฝีปากของเราทั้งคู่ อ้อมแขนของเขาโอบกระชับร่างฉันให้เข้าไปใกล้ยิ่งขึ้นจนกระทั่งฉันรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดอันอุ่นจัดจากแผ่นอกกว้างของเขา

“อย่าทิ้งฉันไปไหนนะ” ฉันกระซิบที่ข้างริมฝีปากเขา

“เราจะไม่มีวันแยกจากกัน” เจคอบกระซิบตอบฉันเช่นกัน ฉันรู้ดีว่าจะสามารถเชื่อมั่นคำพูดของเขาได้อย่างแน่นอน


xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

วันรุ่งขึ้นฉันใช้เวลาเรื่อยเปื่อยไปกับการนั่งดูหนังเรื่องโปรดของแคลร์ตามที่สัญญากับเธอไว้เมื่อวานขณะเดียวกันก็พยายามตั้งสมาธิเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้นในห้องครัว ทุกคนในฝูงกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับแผนการในอนาคต ฉันได้ยินเจคอบบอกคนอื่นๆ เกี่ยวกับประเด็นที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกโวลตูรี

“ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นการดีที่สุด ถ้าเซ็ธกับลีอาจะกลับไปพร้อมกับฉันในวันพรุ่งนี้” ฉันได้ยินเจคอบพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เจค มันไม่เห็นจำเป็นขนาดที่จะต้องรีบร้อนตรงไหนเลย เขากำลังเรียนเทอมสุดท้ายอยู่นะ อย่างน้อยก็น่าจะให้เขาเรียนให้จบก่อน” ลีอาทักท้วงเมื่อไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น

ท้องไส้ของฉันเริ่มบีบรัดตัวเองแน่นขึ้น ถึงแม้ฉันจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ลีอากำลังเป็นห่วงจริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องการศึกษาของเซ็ธ ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถโอนย้ายหน่วยกิตไปเรียนต่อเทอมสุดท้ายในมหาวิทยาลัยใกล้ๆ บ้านของเราได้นี่นา อีกอย่างเซ็ธก็จะไม่แก่ลงไปกว่านี้อีกแล้วเขามีเวลาเรียนอีกนานเลยหล่ะ แต่ฉันก็เข้าใจเธอนะ สิ่งที่ทำให้เธอไม่สะดวกใจที่จะย้ายไปคือการต้องไปอยู่ใกล้ๆ กับครอบครัวของฉันนั่นเอง เธอยังคงกระอักกระอ่วนใจกับพวกเขาอยู่ ฉันเป็นคนเดียวในครอบครัวที่เธอพอจะดีด้วยได้

“ลีอา ไม่เป็นไรหรอกน่า เรื่องนี้สำคัญกว่านะ” เซ็ธเอ่ย

“ถ้างั้นแล้วพวกเราจะไปอยู่ไหนกันล่ะ?” เธอท้วงเมื่อรู้สึกเหมือนกำลังจะพ่ายแพ้ในการออกเสียง

“ยังมีห้องว่างเหลืออยู่ที่บ้านริมสระน้ำที่ฉันอยู่ ฉันปรึกษาเรื่องนี้กับครอบครัวคัลเลนเรียบร้อยแล้วและพวกเขาก็โอเคกับการย้ายในครั้งนี้”

“แต่-”

“ลีอา ฉันต้องการให้พวกเธอไปอยู่กับฉัน” เจคอบตัดบทแทรกขึ้นมาก่อนที่ลีอาจะได้โต้แย้งอะไรไปมากกว่านี้ “ได้โปรดเถอะน่าลีอา แค่คิดว่าจะต้องโยกย้ายฝูงของเราฉันก็รู้สึกแย่เต็มทีแล้ว แต่ตอนนี้เธอกับเซ็ธเป็นคนเดียวที่อิสระมากกว่าคนอื่นๆ พวกเธอไม่มีคู่ผูกวิญญาณ ไม่มีลูก ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังเด็กเกินไปแล้วก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้ดีพอด้วย”

ฉันอดรู้สึกหวั่นใจไปด้วยเมื่อได้ยินเจคอบพูดอย่างนั้น ฉันรู้ว่ามันรบกวนจิตใจลีอาอยู่ไม่น้อยที่ตลอดหลายปีที่ผ่าน เธอก็ยังไม่ได้ผูกวิญญาณกับใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนอื่นๆ ในฝูงต่างก็มีคู่กันไปหมดแล้ว ฉันแน่ใจว่าลึกๆ แล้วเธอคงฝังใจไปแล้วว่าเธอคงไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนั้น แต่ยังไงก็ตาม ฉันก็รู้ดีว่าสำหรับเซ็ธแล้ว เขายังคงมีหวังอยู่

ฉันเหลือบกลับมามองยังแคลร์ซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับทีวี นึกสงสัยว่าอีก 10 ปีต่อจากนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ ฉันแทบจะหวังอย่างที่สุดให้ตัวเองไร้เดียงสาอย่างเธอและเติบโตขึ้นอย่างเด็กปกติทั่วๆ ไป อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ฉันหวังว่าฉันจะเป็นเพียงเด็กน้อยคนนึงที่ไม่ต้องมารับรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจากห้องข้างๆ ความรู้สึกนั้นท่วมท้นเสียจนฉันอยากจะคว้าตัวแคลร์เข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนแล้วบอกกับเธอว่า จงใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในตอนนี้ จงสนุกสนานกับความอ่อนวัยและไร้เดียงสา โลกเป็นที่ๆ น่าหวาดกลัวเหลือเกิน

โทรศัพท์มือถือดังขึ้น ฉันหยิบมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง แอนาเบลนั่นเอง เธอโทรมาได้จังหวะพอดีเป๊ะ! ฉันกำลังต้องการตัวช่วยมาฉุดดึงฉันขึ้นมาจากก้นหลุมของอารมณ์ในขณะนี้จริงๆ

“สวัสดีจ้ะ แอนาเบล” ฉันทักหลังจากกดรับสาย

“เฮ้ ที่ฟอร์คส์เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”

“เมฆมากและอึมครึม”

“ฟังดูแล้วเหมือนอยู่บ้านเลยเนอะ”

ฉันหัวเราะกับมุขตลกของเธอ

“คริสเตียนเป็นยังไงบ้างล่ะ?” ฉันถาม

“อืม.. ก็... คงโอเคมั้ง”

“แค่โอเคงั้นเหรอ?”

“เอ่อ... ฉันรู้ว่าฉันบอกเธอไปว่าจะรอจนกว่าเขาจะพร้อมเสียก่อน แต่ดันลงเอยด้วยการเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังไปแล้วเมื่อคืนนี้เอง”

“อะไรนะ?! ขอถามตามตรงเลยนะ เธอเล่าเรื่องทั้งหมดของเธอ เล่าเรื่องที่เธอสามารถทำอะไรได้งั้นเหรอ?”

“อื้ม”

ฉันนิ่งอึ้งไปซักพัก ฉันรู้สึกพิกลๆ ว่ามันคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนักที่แอนาเบลเปิดอกกับเขา

“แล้วเธอหลุดปากออกไปได้ยังไงกัน?”

“บอกตามตรงเลยว่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เรากำลังพร่ำบอกกันและกันอยู่ว่าเราต่างก็มีความหมายต่ออีกฝ่ายมากแค่ไหน เธอก็รู้ว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อนมากแค่ไหน แล้วจู่ๆ ฉันก็พรวดพราดเล่าออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว ไม่รู้สิ คงเป็นการพิสูจน์ว่าฉันรักเขามากแค่ไหนโดยการบอกเล่าให้เขารู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉันละมั้ง ฉันก็เลยบอกไป”

“แล้วเขา....?” ฉันหยุดรอฟังแอนาเบลเล่าต่อ

“เขาก็ไม่เชื่อน่ะสิ ฉันก็เลยแสดงให้เขาดู” (-*- เอาเข้าไป ถึงตอนนี้เนสซี่คงเซ็งอ่ะ เซ็งเรื่องตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่ละ นี่เพื่อนสาวดันมาสารภาพว่าสร้างเรื่องเข้าให้อีก – อารมณ์ถ้าเป็นวัยรุ่นธรรมดาก็คงมาบอกเพื่อนว่า “ฉันท้อง” แหล่ะมั้ง เฮ่อ.. )

“เธอ แสดง ให้เขาดูงั้นเหรอ?!”

“ฉันเฉือนแขนตัวเองด้วยมีดแล้วก็ให้เขาดูบาดแผลรักษาตัวเอง มันทำให้เขาสติแตก...กระเจิง เลยหล่ะ”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”

“ฉันพยายามอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้เขาฟัง แต่เขาบอกว่าเขาขอเวลาหน่อย เขาพาฉันมาส่งที่บ้านแล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย..”

คราวนี้ฉันถึงกับอึ้งจริงๆ ด้วยอับจนซึ่งคำพูด นึกไม่ออกว่าจะปลอบเธอยังไงดี ทำปากพะเงิบพะงาบเหมือนจะพูดอะไรออกไปแต่ก็คงไม่มีคำประโยคไหนที่หลุดออกไปแล้วจะทำให้อะไรๆ มันดีขึ้นได้

“ฉันเสียใจด้วยนะ แอนาเบล” นั่นเป็นประโยคเดียวที่ฉันพอจะนึกออก

“ไม่ใช่ความผิดของเธอนี่นา ฉันมันงี่เง่าเองที่คิดว่าเขาจะรับเรื่องนี้ได้ ฉันคิดว่าฉันคงจะเหลือทนที่ต้องแสแสร้งต่อหน้าคนอื่นเต็มที ฉันแค่ต้องการใครสักคนที่จะรัก ใครสักคนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉัน ทุกความลับของฉัน เหมือนเธอกับเจคอบ ฉันจะอยู่ไปเป็นร้อยๆ ปีโดยไม่มีคนที่ใช่เลยอย่างนั้นเหรอ? มันต้องมีใครซักคนบ้างสิใช่มั้ย? ฉันต้องมีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ สิใช่มั้ย? ”

(ใช่จิ่ อยู่ได้เป็นร้อยๆ ปี จะหาแฟนกี่คนก็ได้อ่า.. แม่สาวสองพันปี อิอิ ว่าแล้วก็อยากเป็นอย่างแอนาเบลเหมือนกันเนาะ)

ฉันได้ยินเสียงเธอถอนหายใจดังผ่านโทรศัพท์

“บางทีเขาอาจจะต้องการเวลาจริงๆ ก็ได้นะ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ธรรมดาๆ นี่นา” ฉันพยายามพูดปลอบใจเธอ

“ฉันว่าเธออาจจะพูดถูกนะ ฉันน่าจะให้เวลาเขาซักหน่อย แต่ถ้าเขารับไม่ได้ขึ้นมาล่ะ? ถ้าเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกใครขึ้นมา?”

“แล้วใครจะไปเชื่อเขาล่ะ?”

“เธอพูดถูกอีกแล้ว”

“แล้วอีกอย่าง เธอก็รู้ว่าฉันอยู่ข้างๆ เธอเสมอ ฉันกับครอบครัวของฉันจะไม่ยอมให้อะไรร้ายๆ เกิดขึ้นกับเธออย่างแน่นอนจ้ะ”

“ฉันรู้จ้ะ ฉันคงไม่แน่ใจถ้าฉันบอกเธออย่างเดียวกัน แต่ฉันดีใจมากๆ ที่มีเธออยู่”

ฉันอดหัวเราะกับความร่าเริงของแอนาเบลไม่ได้จริงๆ กระทั่งในช่วงเวลาแบบนี้แล้ว เธอยังสามารถพูดจาติดตลกได้อีก

“ฉันก็เหมือนกัน”

“เอาหล่ะ ฉันปล่อยเธอไปทำอะไรต่อดีกว่าก่อนที่จะวางไม่ลง”

“โอเคจ้ะ งั้นไว้กลับถึงบ้านแล้วจะโทรไปนะ”

“ดีเลย”

~*~*~*~*~

....
........

ฉันกำลังอยู่ท่ามกลางห้องที่มืดมิดและหนาวเยียบจับขั้วหัวใจ ฉันไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนและมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และทำไมน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มทั้งสองจึงไม่หยุดไหล ฉันหวาดกลัวอย่างที่สุดหากแต่ไม่รู้ว่าต่อสิ่งใดหรืออะไร หมุนตัววิ่งวนไปมาในห้องมืดทึบนั้นราวกับหนูติดจั่นเพื่อที่จะพบว่าห้องนั้นมีเพียงกำแพงสูงสี่ด้านและไร้ซึ่งประตูทางออก ฉันผวาทุบกำแพงด้วยแรงทั้งหมดที่มีและตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียง ฉันอยู่ที่ไหนกันนี่?!

เมื่อความพยายามทั้งหมดไม่เป็นผล ฉันจึงซุกตัวเข้ากับมุมห้องด้านหนึ่ง แขนทั้งสองกอดรัดเข่าแน่นในท่าคุดคู้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นกับตัวเอง หวังอยากจะพบกับครอบครัวของฉัน.. หวังว่าเจคอบจะมาช่วยฉันออกไป และแล้วฉันก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากอีกฟากของกำแพง ฉันแนบหูเข้ากับกำแพงเพื่อที่จะได้ยินเสียงนั้นอย่างถนัดชัดเจนยิ่งขึ้น

มันคือเสียงคนกรีดร้อง เสียงเหล่านั้นดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงกรีดร้องสำลักเลือดที่ทำให้เนื้อตัวฉันสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ไม่นานนักมันก็ดังขึ้นจนฉันต้องผละออกจากกำแพงและยกมือขึ้นปิดหูทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงสยดสยองเหล่านั้นแต่มันไม่ได้บรรเทาเบาบางลงเลย เสียงอันน่าหวาดผวาขนพองสยองเกล้าเหล่านั้นกลับดังขึ้นอีกจนฉันไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป ฉันจึงกรีดร้องแข่งกับเสียงนั้น

ฉันรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังเขย่าตัวเพื่อปลุกฉันเบาๆ ฉันลืมตาขึ้นโดยฉับพลัน หายใจหอบหนักและถี่ มือขยุ้มจิกผ้าปูที่นอนแน่นจนอุ้งมือซีดขาว

“เนสซี่ ตื่นสิ” ฉันได้ยินเสียงเจคอบกระซิบบอกเบาๆ

ฉันพลิกตัวตะแคงกลับมายังด้านที่มาของเสียงเรียกนั้นพร้อมกับลุกขึ้นนั่งทันที เจคอบนั่งอยู่บนเตียงของฉันกำลังมองมาที่ฉันด้วยแววตาห่วงใย

“พระเจ้า! เนสซี่ คุณเกือบจะปลุกคนทั้งบ้านแล้วนะเนี่ย” เขาบอก

ฉันเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรที่ว่าฉันแทบจะปลุกคนทั้งบ้าน เขากลอกตาไปมาก่อนที่จะตั้งต้นอธิบาย

“เมื่อกี้คุณละเมอแล้วก็ร้องกรี๊ดออกมา โชคดีนะเนี่ยที่ผมคอยเงี่ยหูฟังคุณอยู่”

“คอยฟังฉันเหรอ?”

“ไม่เคยมีใครบอกคุณเลยใช่ไหมว่าคุณนอนละเมอพูด?” เขาบอกตรงๆ

“อืม... จะมีได้ไง” ฉันตอบไปอย่างประหลาดใจ ฉันเนี่ยนะนอนละเมอ? ทำไมไม่เคยมีใครบอกฉันเลยล่ะ?

“คงเป็นความคิดของแม่คุณละมั้ง เธอคงไม่อยากให้คุณขายหน้าคนอื่นๆ ในบ้าน เธอเองก็เคยนอนละเมอบ่อยๆ เหมือนกันน่ะ แต่คุณเพิ่งเริ่มนอนละเมอเมื่อซักปีที่ผ่านมานี่เอง”

ฉันมองเจคอบแล้วนิ่วหน้า นี่ไม่ใช่ข่าวที่น่ายินดีตรงไหนเลย แล้วปีนึงที่ผ่านมาฉันละเมอพูดอะไรออกไปบ้างหล่ะ? ตัวฉันกระตุกด้วยความเขินอาย

“คุณฝันร้ายอีกแล้วเหรอ?” เขาถามพร้อมกับปัดปอยผมที่เคลียหน้าฉันไปไว้ข้างหลัง

ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ หวังว่าเขาจะไม่ถามว่าฉันฝันเห็นอะไร

“ผมอยู่ด้วยหรือเปล่า? ผมช่วยคุณได้หรือเปล่า?”

ฉันยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นจนมันกลายเป็นการแค่นยิ้ม

“เปล่า” ฉันตอบห้วนๆ “คราวนี้ไม่”

“ถ้างั้นคุณก็น่าจะรู้ตั้งแต่ตอนเริ่มแล้วสิว่ามันเป็นแค่ความฝัน ในความเป็นจริงแบบไหนกันที่ผมจะไม่อยู่ที่นั่นด้วยเพื่อช่วยคุณน่ะ หืม?”

ฉันยิ้มน้อยๆ ฉันจำได้ว่าเจคอบอยู่กับฉันเสมอทุกๆ ชั่วขณะในชีวิตของฉันเลยก็ว่าได้ แต่จะไม่มีเวลาไหนเลยเหรอที่เราจะต้องแยกกัน? ฉันมองเจคอบขณะที่เขาขยับตัวจัดท่าทางให้ฉันนอนลงอีกครั้ง ฉันแทรกตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่ม

“แล้วคืนนี้ที่เหลือคุณจะเป็นอะไรไหมนี่?” เขาถามพร้อมๆ กับที่โน้มตัวลงมาจูบฉันที่หน้าผาก

ฉันไม่อยากให้เขากลับออกไปเลย อย่างน้อยก็ตอนนี้ ฉันกัดริมฝีปากขณะที่สมองพยายามคิดหาเหตุผลเตรียมชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้เขาอยู่ต่อ

“ก็..ไม่รู้สิ ฉันกลัวว่าฝันร้ายจะกลับมาอีก” ฉันพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอย่างไร้เดียงสา (ทั้งๆ ที่ในใจแอบกระหยิ่มยิ้มย่องอ่ะจิ่) ฉันรู้หละว่าถ้าฉันล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ฉันก็คงหลับลงไปได้ แต่แบบนี้ก็ฟังดูจะเป็นข้ออ้างและข้อแก้ตัวที่ใช้ได้เหมือนกันนะ

เขามองเข้ามาในดวงตาของฉันคล้ายกับพยายามจะค้นหาอะไรบางอย่าง หรือว่าจะพยายามจับพิรุธฉันกันนะ? เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะประหลาดใจที่ฉันยอมรับออกมาตรงๆ เพราะน้อยครั้งมากๆ ที่ฉันจะแสดงออกหรือยอมรับว่าฉันกลัว

“จริงเหรอ?” เขาถาม

“อื้ม คืนนี้คุณนอนที่นี่ได้มั้ย?”

“ไม่รู้สิเนสซี่ ผมว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่”

ฉันกัดริมฝีปากล่างแน่นอย่างเด็กที่ถูกขัดใจ เมื่อไหร่เราจะได้มีโอกาสอยู่กันตามลำพังแบบนี้โดยที่ไม่มีพ่อที่อ่านความคิดได้อยู่ใกล้ๆ อีกล่ะ? หรือเมื่อไหร่ที่จะได้เป็นส่วนตัวจากครอบครัวที่ไม่จำเป็นต้องหลับใหลและมีหูทิพย์ได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยทุกอย่างแบบนี้อีก?

“นะคะ?” ฉันกระซิบขอร้องเบาๆ

เขานั่งไตร่ตรองความคิดนิ่งๆ ฉันให้เวลาเขาคิดกับตัวเองเงียบๆ สักพัก จนเห็นท่าว่าความตั้งใจแข็งกร้าวเมื่อครู่เริ่มอ่อนลงแล้วจึงปัดผ้าห่มลงเชื้อเชิญให้เขาแทรกตัวเข้ามา

เขามองเตียงที มองมาที่ฉันที เหมือนกับยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่

“หลังกลับจากฟอร์คส์ คุณต้องสัญญานะว่าจะไม่คิดถึงคืนนี้อีกเลย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฉันรู้ดีว่าเขาหมายความว่ายังไง ก็ลองฉันนึกถึงตอนที่พ่ออยู่ใกล้ๆ ดูสิ เราสองคนคงได้หัวขาดแน่ๆ

ฉันรีบพยักหน้าตอบรับ และมองดูเขาปีนขึ้นมาบนเตียง ฉันยกหัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่แขนของเจคอบจะได้สอดเข้ามาให้หนุนพร้อมกับขยับตัวแนบซุกเข้าหาเขา ใบหน้าซบอยู่กับหน้าอกของเขาและพาดแขนข้างหนึ่งเกี่ยวไว้รอบเอว ฉันชอบกลิ่นกายของเขาเป็นที่สุดจนอดสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้ เขายกมือข้างที่ฉันหนุนขึ้นไล่นิ้วไปมาบนต้นแขนของฉัน นิ้วมือของเขาที่สัมผัสผิวกายของฉันทำให้รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ฉันดึงตัวขึ้นเพื่อให้ใบหน้าของเราอยู่ในระดับเดียวกัน ฉันเฝ้ามองใบหน้าของเจคอบที่กำลังแหงนมองเพดานเงียบๆ

“กำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?” ฉันกระซิบถาม

เขาไม่ตอบแต่กลับยิ้มพร้อมกับหันหน้ามาหาฉัน ใบหน้าของเราใกล้กันจนเกือบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ลมหายใจฉันสะดุดเมื่อรู้สึกตัวว่าริมฝีปากของเราอยู่ใกล้กันมากแค่ไหน และก่อนที่ฉันจะทันได้เรียกลมหายใจกลับคืนมา เขาก็เลื่อนใบหน้าใกล้เข้ามา ริมฝีปากของฉันถูกไล้ให้แยกออกจากกันเล็กน้อยจากปลายลิ้นของเขา มันดูเหมือนจะเป็นการล้อเล่นมากกว่าจะเรียกว่าเป็นการจุมพิต

“รสชาติดีจัง” เขาบอก

หัวใจฉันเต้นอย่างหนักหน่วงจนฉันเขินอายเพราะรู้ว่ามันดังมากแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกประหม่าด้วยรู้ว่านี่เป็นการใกล้ชิดกันที่มากที่สุดที่เราเคยมี และมีความเป็นไปได้ว่าการใกล้ชิดกันด้วยระยะห่างขนาดนี้อาจจะไม่มีทางหยุดได้ พวกเราไม่เคยมีความเป็นส่วนตัวมากขนาดนี้มาก่อน ฉันเกือบจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจนไม่สามารถขยับตัวได้ จึงได้แต่เฝ้ามองเจคอบเงียบๆ

เขาพลิกตัวตะแคงข้างหันหน้ามาสบตากับฉัน ขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วอุ่นๆ ที่กำลังไล้เรื่อยไปตามร่องแผ่นหลัง ฉันสั่นสะท้านเมื่อเขาไล่นิ้วต่ำลงไปจนสุดชายเสื้อและนิ้วหัวแม่มือวนเวียนอยู่บนผิวเปลือยเปล่าตรงเนินสะโพก เขาเลื่อนหน้าผากเข้ามาแตะกับหน้าผากฉัน

“ผมรักคุณเนสซี่”

“ฉันก็รักคุณ” ฉันตอบออกไปอย่างตื้นตันโดยไม่รั้งรอ

หัวใจของฉันแทบจะหยุดเต้นขณะที่ฝ่ามือที่อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตของเขากดรั้งร่างของฉันให้แนบเข้าไปชิดกับเขามากยิ่งขึ้น ริมฝีปากเราสัมผัสกันและฉันจูบเขาอย่างดูดดื่ม และแล้วฉันก็กลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกครั้ง มือของฉันเลื่อนไปตามแขนของเขา มือของฉันดูเล็กเหลือเกินเมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อไบเซ็พของเขา และเลื่อนไปเรื่อยจนถึงต้นคอด้านหลังและรั้งร่างตัวเองให้แนบชิดกับเขายิ่งขึ้น รู้สึกถึงปลายลิ้นของเราทั้งคู่ที่สัมผัสกันและแล้วฉันก็สูญเสียการควบคุมร่างกายไปอีกครั้ง โดยที่ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ขาข้างหนึ่งของฉันก็เกี่ยวกระหวัดบนรอบเอวเขา

ริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาไล้ไปตามพวงแก้มของฉันและไล่เรื่อยลงมายังลำคอ ฉันหอบหายใจเข้าแรงเพราะมันให้ความรู้สึกดีอย่างประหลาด ขาของฉันกระหวัดรัดเขาแน่นขึ้น

“เนสซี่” เจคอบครางเรียกขณะที่ริมฝีปากยังแนบอยู่กับลำคอของฉัน

เขากลับมาจุมพิตฉันที่ริมฝีปากอีกหลายครั้งแต่คราวนี้เป็นจูบเบาๆ ฉันนิ่วหน้าเพราะถูกขัดใจ ฉันต้องการมากกว่านี้ ฉันไม่พร้อมที่จะหยุดนี่!

“นะ” ฉันกระซิบ

“ไม่ได้ เดี๋ยวผมอดใจไม่ไหว” เขากระซิบตอบ

“ฉันไม่ว่าหรอก”

“ผมจะไม่อยากหยุดน่ะสิ”

“ฉันก็ไม่อยากให้คุณหยุดเหมือนกัน”

เขาหัวเราะหึๆ ขณะพยายามแกะขาของฉันที่เกี่ยวอยู่รอบเอวเขาออก แล้วล้มตัวลงนอนดึงฉันกลับมานอนหนุนแขนไว้ในท่าเดิม

“หลับเถอะเนสซี่ เรามีเวลาชั่วนิรันดร์ที่จะค้นหากันและกันนะ” เขาบอก

ฉันนิ่วหน้าอีกครั้ง ฉันไม่ได้รังเกียจซะหน่อยถ้าจะสำรวจกันคืนนี้แต่เจคอบพูดถูก เวลาชั่วนิรันดร์กับการสำรวจเขาฟังดูดีทีเดียว คงมีแต่ความแปลกประหลาดมหัศจรรย์แน่ๆ

ฉันรู้สึกถึงริมฝีปากที่ประทับลงมาบนหน้าผากด้วยความรักใคร่เอ็นดู

อะไรก็ตามที่จะบังเกิดขึ้นไม่ว่าจะกับฝูง, พวกโวลตูรี, แอนาเบลหรือกับโลกใบนี้มลายหายไปจากความคิดคำนึงของฉันชั่วคราว ตอนนี้ ขณะนี้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการได้นอนข้างๆ เจคอบบนเตียงอีกแล้ว

xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

PS : เฮ่อ... จบซะที ตอนนี้ไหงมันยาวได้ขนาดนี้เนี่ย แล้วจะรีบมาอัพตอนต่อๆ ไปอย่างด่วนที่สุด ASAP <--- หมายความว่า As soon as possible คือ... เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คริคริ... (ดังนั้นไม่ได้แปลว่าสัญญานะว่าจะเร็วแค่ไหน ฟิ้วววววว!!! )





Create Date : 14 กันยายน 2552
Last Update : 20 กันยายน 2552 17:48:07 น.
Counter : 4355 Pageviews.

34 comments
  
มาต่อไวไวน้า

อย่าเพิ่งท้อ

สู้ๆค่ะ
โดย: Beetajow_Great IP: 202.57.168.9 วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:22:44:57 น.
  
ขอบคุณคับ
โดย: seabreeze IP: 203.118.99.210 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:0:10:00 น.
  
เย้ มาแว้ว ยังงัยก้อรักษาสุขภาพ สู้ สู้ น้า
ขอบคุณมาก มาก
โดย: lemon.freeze IP: 58.8.93.41 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:0:14:38 น.
  
เป็นกำลังใจให้นะคะ ดูแลสุขภาพด้วย แล้วก็ขอบคุณมาก
โดย: mam IP: 210.246.148.28 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:6:47:55 น.
  
ขอบคุณนะคะ สู้..สู้ คะ
โดย: NP IP: 58.181.175.18 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:8:08:30 น.
  
เย้.........ต่อลมหายใจได้อีกหน่อยนึง

ขอบคุณค๊า
โดย: น้ำปั่น IP: 112.142.133.208 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:10:31:54 น.
  
นิดนึงก็ยังดี คริ ๆ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ

รักษาสุขภาพด้วยน๊า
โดย: biiggii IP: 202.176.70.87 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:13:12:38 น.
  
รักษาสุขภาพนะ สู้สู้

ผู้เป็นความหวัง
โดย: ann IP: 124.120.83.145 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:14:06:39 น.
  
อยากอ่านใจจะขาด
โดย: หมิว IP: 118.175.182.119 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:14:48:45 น.
  
เริ่มส่อเค้าแล้วสินะ..เจ้าพวกโวลตูลี่



ขอบคุณค่ะ
โดย: ลิง IP: 113.53.138.202 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:21:10:55 น.
  
ดีใจมาก...ที่กลับมา ยังไม่ได้อ่านขอเข้ามาทักทายก่อน
เป็นห่วง
โดย: pa-to31 IP: 117.47.24.199 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:21:32:52 น.
  
รีบมาต่อนะค่ะ
จะอดใจรอ
เย้ เย้
โดย: NiicE IP: 124.122.25.136 วันที่: 15 กันยายน 2552 เวลา:22:32:06 น.
  
Thanks you ka
โดย: apple IP: 203.146.0.227 วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:7:52:03 น.
  
ขอบคุณค่ะ แล้วมาแปลต่อให้อีกนะ
โดย: 1 IP: 210.246.148.28 วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:8:19:32 น.
  


คราวนี้อย่าหายไปนานนะคะ

อยากอ่านต่อให้จบที่เดียวเลย....ขอบคุณค่า

โดย: Mayree IP: 203.121.162.74 วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:15:16:52 น.
  
สู้ๆน้าคุณอุ๋ม...

รอติดตามผลงานค่ะ

^__________^
โดย: sasi IP: 203.170.182.102 วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:17:43:59 น.
  
เย้ ๆ ๆ ๆ ๆ ได้อ่านต่อแล้ว ถึงจะหายไปนานหน่อยแต่ให้อภัยเสมอค่ะ อิ ๆ ๆ (กัวไม่ได้อ่านต่อ) สู้ ๆ นะงานคือเงินเงินคืองาน ท่องไว้ค่ะ จะได้มีกำลังใจสู้กะงานต่อไป ว่างค่อยแปลต่อ ไม่ต้องหักโหม เดี๋ยวจิไข้ขึ้นอีก หุ ๆ ๆ อายุมิใช่น้อยแล้วน้า........
โดย: J.J. IP: 222.123.51.116 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:13:04:39 น.
  
เิริ่มเข้าสู่ภาวะจริงจังแล้วสินะ =='

จุ๊บุๆ พี่อุ๋มค่ะ

ปล. [เหนื่อย + เครียด + กลุ้ม = Cbox พวกเรารออยู่ที่นั่นนะก๊ะ~]
โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:13:33:42 น.
  
อิอิพี่อุ๋มจบไว้แบบเน้เรยนะ xxxx
สู้ๆค่ะพี่อุ๋มเปงกะลังใจให้
โดย: goi IP: 125.27.30.50 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:15:06:39 น.
  
ขอบคุณมากๆค่ะ
โดย: น้องเก๋ IP: 58.9.176.184 วันที่: 19 กันยายน 2552 เวลา:10:20:40 น.
  
โอ๊วววว ประทับใจน้องหมาเจคจริง ๆ เลย สุภาพบุรุษสุด ๆ แต่เนสซี่นี่ดิ แหม๋ ๆ ๆ ได้เชื้อหื่นจากแม่มาแหง๋เลยเนอะ สาวสองพันปี(อิ ๆ ๆ ได้ข่าวว่าอยากเป็นชิมิ อุ๋ม) ต้องขอบคุณคนแปลนะ ไม่งั้นไม่รู้นะเนี่ยว่าเนสซี่จะหื่นได้ใจขนาดนี้หุ ๆ ๆ ๆ ชอบอ่ะ สาวหื่นเนี่ย
โดย: J.J. IP: 222.123.55.87 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:19:32:56 น.
  
เอาซะอยากไปนอนข้าง ๆ เจค แทนเนสซี่เลยอะ
555+

ขอบคุณนะคะ

ดูแลสุขภาพด้วยน๊า

ฝันดีค้า :)
โดย: biiggii IP: 202.176.71.78 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:22:36:56 น.
  
สู้ๆๆๆๆๆๆๆ อย่ายอมแพ้ ทุกคนรออยู่
โดย: ying IP: 202.176.133.219 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:0:00:35 น.
  
ขอบคุณจริงๆ นะคะ สู้ ๆ ๆ และอดทน
โดย: mam IP: 210.246.148.28 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:9:09:52 น.
  
ขอบคุณมาก ๆ คะ สมกับที่รอคอย
โดย: NP IP: 58.181.175.18 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:9:12:15 น.
  
อ่านแล้วรู้สึกเขินเลย จะรอตอนต่อไปนะคะ แปลได้ดีมากเลย ^____^
โดย: kae IP: 124.157.203.156 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:12:56:43 น.
  
ดีค่ะ
โดย: ลิง IP: 125.26.255.103 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:16:21:23 น.
  
ได้ใจค่ะ ...อิอิ..มาต่อไวๆนะค๊ะเพราะ..อารมณ์ค้างง่ะ
แหะๆสู้ๆน้าเป็นกำลังใจให้คุณอุ๋มเสมอค่ะ ^____^
โดย: sasi IP: 203.170.182.102 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:18:10:42 น.
  
ช้าแต่ไม่ผิดหวังจิงๆ พี่สาว
โดย: Aor@Aor IP: 119.31.14.139 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:23:57:58 น.
  
คุณพี่อุ๋มที่น่ารักของน้องๆๆ น่ารักที่สู้ดดดดดด เลย

ไปอ่านตอนต่อไปละ
โดย: kookkaid IP: 210.4.138.41 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:15:06:52 น.
  
เฮ้อ ได้มีเวลาเข้ามาอ่านจนจบบทเสียที บทนี้ยาวมากๆเลยค่ะ พี่อุ๋มแปลได้ลื่นไหลกว่าเดิมเยอะเลย เด๋วไว้มีเวลาจะตามไปอ่านบทต่อไปนะคะ
โดย: madman IP: 124.120.56.74 วันที่: 14 ตุลาคม 2552 เวลา:14:43:53 น.
  
ไมบทที่ 18 ไม่ต่อกับบทที่ 17 อ้า อยากอ่านต่อง่ะ
โดย: parn IP: 61.47.40.66 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:26:20 น.
  
ค้าง ๆๆ มา ต่อ เร็ว ๆๆ ระค่ะ
โดย: puyfai IP: 125.26.199.47 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:08:22 น.
  
ชอบจังง อ๊างงง (อยากรู้ว่าเอ็ดเวิดกับเบลล่าเป็นไงบ้าง)
โดย: FC twilght IP: 101.109.169.101 วันที่: 11 พฤษภาคม 2555 เวลา:23:01:57 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]