ดู-อ่าน-ฟัง...กุมภาพันธ์ 2551 : “กอด”-ก่อนจะถึงบางรักซอย 9-จำลอง ฝั่งชลจิตร-Liverpool 8



●....หลังจากปลายเดือนมกราคมต่อต้นเดือนกุมภาพันธ์มีหนังโรงโดนเซ็นเซอร์ 3 เรื่องรวด แถมยังต้องเจอ ตรวจกระเป๋า และพวก เดินลาดตระเวน ในโรงหนังอีก ช่วงครึ่งเดือนแรกเลยออกอาการเบื่อ หมดสนุกกับการดูหนังโรง กระทั่งครึ่งเดือนหลังจึงพาตัวเองเข้าโรงหนังอีกครั้ง

●....Eastern Promises....หนังเล่นกับประเด็น identity ได้น่าสนใจ ทั้งในความหมายแคบอย่างชื่อ ความเป็นมา อาชีพ และแม้กระทั่งเพศ กับในความหมายกว้าง ทั้งเชื้อชาติ (คนอังกฤษ-รัสเซียน-เชเชน ส่วนมอเตอร์ไซค์อูราลเป็นสายพันธุ์รัสเซีย-เยอรมัน) เผ่าพันธุ์ (ผิวขาว-ผิวดำ) ศีลธรรม (ความดี-ความเลว)

ดูเรื่องนี้ที่ลิโด้ หนังถูกตัดอย่างน่าเกลียด เซ็งมาก

●....ช็อคโกแลต....ทั้งที่ตั้งใจสนุกกับหนัง ไม่คำนึงเรื่องบท (ซึ่งอ่อนเหลือเกิน) หรือความน่าเชื่อถือ (ซึ่งไม่มีเอาซะเลย) แต่เมื่อหนังผ่านไปถึง ฉากเขียงหมู ผมก็เริ่มเบื่อ และอยากให้หนังจบเร็วๆ ใจคิดว่าจะมีฉากบู๊แบบนี้ไปอีกเท่าไหร่

สุดท้ายต้องยอมรับความจริงว่าถึงฉากบู๊จะถูกจับยัดมามากมาย ประเคนความมันสะใจ-ความตื่นตะลึงมากแค่ไหน ถ้าหนังไม่น่าเชื่อถือแล้วก็ยากที่จะสนุกกับหนังได้

เห็นว่าเตรียมตัวกับคิวบู๊กัน 2 ปี ถ่ายทำอีก 2 ปี แต่สงสัยจะเขียนบทแค่ 2 คืน

อีกอย่าง...ไม่รู้ว่า ปรัชญา ปิ่นแก้ว เชื่อว่า ดนตรีประกอบ เป็นองค์ประกอบหลักของหนังจนขาดไม่ได้ หรือเพราะเขา ไม่เชื่อ ใน ความสามารถในการเล่าเรื่อง ของตนเอง แทบจะทุกฉากทุกตอนของหนังจึงต้องมีดนตรี-เพลง-เสียงประกอบแบบยัดเยียดจนน่ารำคาญ

*●....Charlie Wilson's War....หนังเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองและสงครามที่ดูสนุกมาก บทพูดคม เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน

การเล่าเรื่องผ่านประวัติชีวิตของใครคนหนึ่งด้วยลีลาสนุกสนานเปี่ยมอารมณ์ขัน แถมตัวละครหลักหัวเอียงขวา-เกลียดคอมมิวนิสต์ก็ล้วนแต่เป็นพวกมีข้อบกพร่อง ไม่อยู่ในกรอบของศีลธรรมสักเท่าไหร่ ทำให้หนังไม่มีท่าทีหนุนหรือต่อต้านฝ่ายใดอย่างชัดแจ้ง

แต่หากมองว่าหนังโยนให้นโยบายต่างประเทศยุคเรแกนโดยเฉพาะการป้อนอาวุธให้มูจาฮีดีนจนนำมาสู่ 9/11 เป็นเรื่องส่วนบุคคลของคนที่คิดแค่เพียงอยากช่วยเพื่อนมนุษย์และเกลียดคอมมิวนิสต์ ฝ่ายขวาในรัฐบาลก็ดูจะลอยตัว ขณะเดียวกัน ฝ่ายขวาก็คงไม่พอใจที่หนังยอมรับตรงๆ ว่าซีไอเอหนุนหลัง บิน ลาเดน

สรุปว่าหนังตั้งใจทำออกมาได้แทงกั๊กมาก ซึ่งก็แล้วแต่ใครอยากให้หนังไปทางไหน

●....“กอด”....ยกให้เป็นหนังยอดเยี่ยมประจำเดือน เป็นหนังที่ต้องดูมากกว่า 1 รอบ รายละเอียดเยอะมาก ผมดูแล้วอยากเว้นวรรคการดูหนังไปสักพัก เพราะอยากเคลียร์สมองไว้คิดเรื่องนี้เรื่องเดียว

ถ้าเปรียบเทียบกับหนังของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี 2 เรื่องก่อนหน้านี้ คือ สยิว และ เฉิ่ม เรื่อง “กอด” ดูลงตัวที่สุด หนังมีกลิ่นอายจางๆ เป็นเทพนิยายว่าด้วยการเดินทางประมาณ O, Brother Where Art Thou? ของพี่น้องโคเอน แต่แฟนตาซีน้อยกว่า หลายฉากโดยเฉพาะฉากแย่งแขนจึงดูไม่หลุดจากหนัง หากเทียบกับคุณปู่ในม่านรูดของเรื่องเฉิ่ม

คีย์เวิร์ดในการทำความเข้าใจหนังเรื่องนี้คือคำว่า ขวาน ซึ่งแทนด้วย ไทยแลนด์แดนขวานทอง ได้อย่างเหมาะเจาะ

ที่ตลกคือ รายการ วนเวียนชีวิต ซึ่งมีคนบอกว่าล้อเลียน คนค้นฅน น่ะ ผมเห็นมีรายการชื่อ วงเวียนชีวิต นำเสนอเรื่องรันทดแบบนี้ ในช่วงข่าวของ ช่อง 3 โดยช่อง 3 เป็นสปอนเซอร์หนังด้วย ไม่รู้คิดกันยังไง

อ่านที่ผมเขียนได้ ที่นี่ และ ที่นี่ ครับ พยายามเขียนให้จบ 2 ตอน แต่ก็ตกหล่นบางประเด็นไปจนได้

●....Atonement....หนังแน่นปึ้ก เล่าเรื่องกระชับ ตัดต่อเร็ว ดนตรีรุกเร้า ขัดกับภาพหนังย้อนยุค ผู้แสดงเป็นไบรโอนี่สุดยอดทั้ง 3 ช่วงอายุ มีฉากมหัศจรรย์หลายฉาก อย่างฉากห้องสมุด ฉาก long take ชายทะเล ฉากพระเอกหน้าจอฉายหนัง (หนังเรื่อง Le Quai des brumes หรือ Port of Shadows ปี 1938 มีขายที่ร้านแว่น)

สนใจประเด็นอังกฤษ-ฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 กับสัญลักษณ์หลายๆ อย่าง แต่เผอิญว่าดูเรื่องนี้หลังจากดู “กอด” เลยยังไม่ได้คิด-ค้นเป็นเรื่องเป็นราว

*●....The Mist....หนังดูน่าสนใจตรงที่ไม่ได้เน้นไปที่สัตว์ประหลาด แต่เน้นที่มนุษย์ ผ่านสัญชาตญาณดิบ ความต้องการอยู่รอด และความเชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิต

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะสื่อถึงประเด็นต่างๆ เหล่านั้น หนังต้องถ่ายทอดความกลัว ความกดดัน ให้ผนึกแน่นในทุกอณูบรรยากาศของหนังเสียก่อน (เพราะความกลัว ความกดดัน เป็นที่มาของสิ่งที่หนังต้องการเน้น) และให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตัวละคร แต่หนังทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น

นอกจากการแสดงบ้าพลังของ มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดน.... บรรยากาศของความกลัว ความกดดัน เป็นไปอย่างเลื่อนลอย ขาดตอน (มีฉากที่ดีคือช่วงแรกที่ผู้หญิงขอให้พาไปหาลูก และเธอเดินออกไปตามลำพัง) เมื่อจุดนี้ล้มเหลว “พลัง” ของประเด็นที่หนังต้องการสื่อก็อ่อนลงไปด้วย (ไม่ได้หมายถึงประเด็นอ่อนนะครับ)

ลองเปรียบเทียบกับเรื่อง Bug ทั้งที่ไม่เห็นแมลงสักตัวและมีตัวละครแค่ 2 คน หรือ 28 Days Later ที่สร้างบรรยากาศได้แข็งแรงมาก โดยประเด็นหลักไม่ได้พูดถึงซอมบี้ติดเชื้อ

แต่หากสนใจตรงนัยยะต่างๆ หรือหยิบยกประเด็นที่หนังต้องการบอกกล่าวโดยมองข้ามองค์รวม ก็ถือว่าหนัง “ใส่” ไว้ให้อย่างเต็มที่

ส่วนบทลงท้าย...เดาออกว่าจะออกแนวนี้ แต่ชอบช็อตสำคัญที่ได้รู้อะไรเป็นอะไรมาก (บางอย่างโผล่ออกมาจากหมอก) มีพลังดี

●....The Other Side of the Bed....หนังเพลงสเปนโดย เอมิลิโอ มาร์ติเนซ ลาซาโร เกี่ยวกับเรื่องรักสลับเตียงของหนุ่มสาว ไม่มีอะไรแปลกใหม่เป็นพิเศษ สถานการณ์ชวนหัวกับบทสนทนาตลกใช้ได้ ชอบ ปาซ เวก้า ในเรื่องนี้มาก

●....Cocalero....หนังสารคดีว่าด้วย 68 วันก่อนการเลือกตั้งของ อีโว โมราเลส ก่อนที่เขาจะได้เป็นประธานาธิบดีโบลิเวียผู้เป็นที่ชิงชังของสหรัฐอเมริกาและโลกตะวันตก อ่านรายละเอียด ที่นี่ ครับ

●....Duel และ 1941....ผลงาน 2 เรื่องแรกของ สตีเวน สปิลเบิร์ก ชอบ Duel ดิบ ตื่นเด้น เริ่มมองเห็นชั้นเชิงแบบสปิลเบิร์ก (สร้างจากเรื่องสั้นของ ริชาร์ด แมทธีสัน ผู้เขียนนิยายเรื่อง I Am Legend) ส่วน 1941 วุ่นวาย เละเทะ ฝืด

●....Rescue Dawn....หนังของ แวร์เนอร์ แฮร์โซก ที่ถ่ายทำในประเทศไทย เกี่ยวกับนักบินอเมริกันในสงครามเวียดนามโดนยิงตกและถูกจับในลาว อ่านเรื่องราวและบทวิจารณ์ได้ ที่นี่

*●....ก่อนดู Rescue Dawn ได้ดูหนังของแฮร์โซกอีกเรื่องหนึ่ง Incident at Loch Ness (2004) งานสร้างและกำกับฯของ แซค เพนน์ ที่แฮร์โซกร่วมสร้าง ร่วมเขียนบท และแสดงนำเป็นตัวเอง เป็นหนังที่แสร้งว่าเป็นหนังสารคดีว่าด้วยผู้กำกับฯที่กำลังถ่ายหนังสารคดีเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดล็อกเนส!?! (งงมั้ย)

เรื่องนี้แฮร์โซกตลกหน้าตายมาก ล้อเลียนตัวเอง หรือพูดให้ตรงคือเอาตัวเองมาล้อให้ชาวบ้านดู เพราะผู้ชมจะได้เห็นเรื่องส่วนตัวของเขา ตั้งแต่บ้านพัก กิจกรรมแปลกๆ กับภรรยาชาวรัสเซียน อารมณ์ติสต์ขึ้นระหว่างทำงาน (ผู้แสดงทุกคนเรียกเขาว่า “เวอ-เน่อ-เฮอ-ซ้อก”)

●....Find Me Guilty....หรือในชื่อเต็มๆ ว่า Find Me Guilty : The Jackie Dee Story หนังปี 2006 ของ ซิดนีย์ ลูเม็ต ได้ วิน ดีเซล แปลงโฉมพลิกบทบาทเป็นชาวแก๊งมาเฟียอิตาเลียนซึ่งว่าความให้ตัวเองในคดีที่กินเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน

หนังเหมือนทำสำหรับฉายทางโทรทัศน์มากกว่า เนื้อหาเรื่องราวไม่ซับซ้อน แทรกอารมณ์ขันของตัวละครที่ดีเซลแสดงตลอดเวลา จนอาจจะดูง่ายดายและผ่อนคลายเกินไปถ้าพิจารณาว่าเหตุการณ์จริงจะเข้มข้นเคร่งเครียดขนาดไหน การแสดงของดีเซลคือส่วนที่ดีที่สุดของหนัง

●....ดูหนังสั้นกันบ้าง....Not This War (2006) หนังสั้น 8 นาที โดย แดน ฮับพ์ ซึ่งเคยทำหนังสั้นเรื่อง Y2K (ทั้ง 2 เรื่อง เข้าไปชมได้ที่ Internet Archive) เกี่ยวกับสาวลูกสองที่สูญเสียสามีในสงคราม เป็นหนังสั้นที่ทำเหมือนละครแสดงคนเดียว ใส่ภาพเคลื่อนไหวพวกโฮมวิดีโอและคลิปข่าวซ้อนเข้าไป ซ้อนด้วยภาพฟิล์มเก่าแตกลายวูบไหวเข้าไปอีก ดูหลอนดี

●....อีก 2 เรื่องจากรายการ Hot Short Film ทางไทยพีบีเอส ห้าโมงวันอาทิตย์ ตอนแรกที่ได้ดูเอางานของ ศิวโรจณ์ คงสกุล มาฉายโดยเฉพาะ เรื่องแรก เหมือนเคย เกี่ยวกับคุณยายเป็นอัลไซเมอร์ นิ่ง เงียบ เล่าเรื่องด้วยภาพ สองตายายแสดงดีมาก อีกเรื่อง เสียงเงียบ (Silencio) หนึ่งในโครงการภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติ “แด่พระผู้ทรงธรรม” ของกระทรวงวัฒนธรรม ชอบ โดยเฉพาะฉากพระเอกเดินสวนกับรถประกาศข่าว กับฉากสุดท้ายที่รถประกาศข่าวแล่นผ่านวงเวียน รู้สึกได้เลยว่าคนทำคิดเยอะและต้องการหนีขนบของคำว่า “เฉลิมพระเกียรติ”

ที่น่าผิดหวังสำหรับรายการนี้คืออาทิตย์ถัดมาเอา 2 เรื่องสั้นจากโครงการเดียวกันมาฉายอีก ไม่รู้ว่าจะอิงราชการไปถึงไหน ซ้ำร้าย 2 เรื่องที่เอามาฉายคือ 9 ของวิเศษ โดย อารยะ บุญเชิด บอกตามตรงนะ ส่วนที่เป็นหุ่นเชิดเหมือนอยู่ในรายการเด็กทางโทรทัศน์ ส่วนที่เป็นคนแสดงเหมือนโฆษณาครอบครัวทรูวิชั่นส์ อีกเรื่อง ข่าวที่ไม่สำคัญ ของ บัณฑิต ฤทธิ์ถกล นี่ก็หนังโฆษณาประชาสัมพันธ์ของราชการชัดๆ เคยดูแบบเอียนๆ ทางช่อง 9 ตั้งแต่ปีที่แล้ว เลยเปลี่ยนช่องไปดู แป้ง อรจิรา ใน นัดกับนัด แทน 55555... ●●



*●....ละครเวที ก่อนจะถึงบางรักซอย 9 ครั้งแรกกับการดูละครเวทีโปรดักชั่นแบบนี้

สนุกดีครับ ตลก ซึ้ง มีความสุข ฉากอลังการมาก เลื่อนเข้า-ออก ขึ้น-ลง เซ็ตกันได้ลื่นไหลลงตัว ตามประสาคนไม่เคยดูแบบนี้ทำเอาตะลึงไปเหมือนกัน ติดที่เรื่องราวซึ่งผมว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ นักแสดงที่ทุ่มเทสุดสุดคือ แท่ง ส่วนคนที่น่าประทับใจที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พิยดา

ที่ชอบมากคือเปิดมา 2 ฉากแรกก็กัด ส. ซะ 2 ดอก ปกติในซิทคอมก็แอบกัดใครอีกคนบ่อยๆ อยู่แล้ว

นี่เป็นละครเวทีเรื่องแรกในรอบหลายปีของผม หลังจากเรื่องสุดท้ายคือ หกตนฅนละคร จากบทละคร Six Characters in Search of an Author ของ ลุยจิ ปิรันเดลโล แสดงที่โรงละครมรดกใหม่ ตึกช้าง ซึ่งคนละรูปแบบ-คนละโปรดักชั่นกันเลย ช่วงทำงานประจำไม่มีโอกาสได้ดู เพราะละครส่วนใหญ่แสดงในเมืองช่วงตอนเย็นสุดสัปดาห์ซึ่งเป็นเวลาทำงานพอดี กะว่าจะเริ่มกลับมาดูละครเวที เผาหัวด้วยละครแพงซะเลย

ไปดูเรื่องนี้จึงได้รู้ว่า ยุทธนา มุกดาสนิท กับ คณะละครสองแปด จะนำ สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ (Man of La Mancha) มาทำใหม่เดือนมิถุนายนนี้ อยากรู้ว่าใครจะเล่นเป็น ดอน กีโฆเต้ (คราวก่อน จรัล มโนเพ็ชร กับ ศรัณยู วงษ์กระจ่าง สลับกันแสดง)... ●●




*●....จากที่ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือของ ออนอเร่ เดอ บัลซัค ให้ครบ พอดีซื้อรวมเรื่องสั้นเล่มใหม่ของนักเขียนคนโปรด จึงต้องเบรคบัลซัคเอาไว้ก่อน

เรื่องบางเรื่องเหมาะที่จะเป็นเรื่องจริงมากกว่า ของ จำลอง ฝั่งชลจิตร โดย แมวบ้านสำนักพิมพ์ ซึ่งเป็นของพี่จำลองเอง โปรยบนปกว่า “รวมเรื่องสั้นวาระครบ 30 ปี การเขียนหนังสือ” มีทั้งสิ้น 15 เรื่อง เกือบทั้งหมดตีพิมพ์ตามนิตยสารตั้งแต่ปี 2547-2550

ผมอ่าน 7-8 เรื่องแรกอย่างมีความสุข รู้สึกเหมือนได้อ่านงานชั้นดีอย่าง สีของหมา (2531) อีกครั้ง แต่พอขึ้นเรื่องที่ 9 เป็นต้นไป เรื่องสั้นสมจริงมีมุมมองเรียบง่ายแต่คมคายก็กลับกลายเป็นเรื่องแฟนตาซี (“เป็นไข้ตัวร้อน” กับ “สนุกมั้ยจ้ะคืนนี้?”) ดัดแปลงวิธีการเล่าเรื่องจนเรื่องสั้นไม่เป็นเรื่องสั้น (“หลายศพ หลายวิญญาณ”) บางเรื่องเยิ่นเย้อและจบแบบชวนงง (“เรื่องเล่าเล่น (หลงหูหลงตาอีสป)”) กระทั่งเรื่องสุดท้าย “คนดีๆ คนหนึ่งตายได้ตั้งหลายสาเหตุ” นี่เองที่กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้ง

อาจเป็นเพราะผมชอบอ่านแบบเดิมๆ การเล่นกับรูปแบบการเล่าเรื่องจึงทำให้ไม่ปลื้มนัก และรู้สึกเสียดายสไตล์การเขียนที่กระชับ เรียบง่าย แต่คมคาย ซึ่งหาได้ยากในคนเขียนเรื่องสั้นไทยร่วมสมัย

จุดหนึ่งที่ติดใจมากไม่เกี่ยวกับงานเขียน แต่เป็นการพิสูจน์อักษรซึ่งมีข้อผิดพลาดเยอะมากๆ เข้าใจได้ว่าเป็นเล่มแรกของการทำสำนักพิมพ์เอง อาจมีความไม่พร้อมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ควรละเลยเรื่องนี้นะครับ


●....ลงมือเขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกในรอบปี ชื่อ ศพที่ไม่ถูกนับ ครับ เข้าไปอ่านได้ที่บล็อก ศราทร คงพอเดากันได้ว่าได้แรงบันดาลใจจากเรื่องอะไร...●●




*●....ริงโก สตาร์ (Ringo Starr) อัลบั้ม Liverpool 8 เห็นชื่อแล้วนึกถึง สตีเวน เจอร์ราร์ด แต่ความหมายจริงๆ คือ รหัสไปรษณีย์บ้านเกิดของริงโกในเมืองลิเวอร์พูลที่เขียนย่อๆ ว่า L8

และบังเอิญ(หรือเปล่าไม่รู้) ที่อัลบั้มนี้ออกในปี 2008 ซึ่งเมืองลิเวอร์พูลได้เป็น เมืองหลวงทางวัฒนธรรม ประจำปีจากการคัดเลือกของอียู มีโลโก้โชว์หรารับนักท่องเที่ยวว่า Liverpool 08 European Capital of Culture โดยในงานเริ่มต้นแคมเปญนี้ริงโกได้ขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตและร้องเพลงในอัลบั้มใหม่ด้วย

ในจำนวนอดีตสมาชิก The Beatles 4 คน งานเดี่ยวของริงโกจะมีกลิ่นอายของ The Beatles ชัดกว่าเพื่อน ทั้งที่สมัย The Beatles เขามีส่วนร่วมในการแต่งเพลงและร้องน้อยมาก แต่หากมองว่าริงโกคือเต่าทองผู้ถูกพูดถึงน้อยที่สุด การทำงานเดี่ยวโดยใส่ความเป็น The Beatles เข้าไป ก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับตัวเขาหากยังอยู่ในวงการเพลง

นอกจากจะมีกลิ่นอายของ The Beatles แล้ว เขามักจะใส่สไตล์เพลงเก่าๆ ลงไปด้วย เช่นใน Liverpool 8 มีร็อคแอนด์โรลยุค 50 เพลงสไตล์สแปนิช เพลงคันทรี่ จุดเด่นของเพลงของริงโกคือทำนองคุ้นหูฟังง่าย แต่ก็อาจทำให้เบื่อง่ายได้เช่นกัน

เพลงในชุดนี้ที่ผมชอบที่สุดเป็นไตเติลแทร็ค ชื่อ Liverpool 8 เนื้อหาเหมือนอัตชีวประวัติของริงโกในช่วงที่เป็น The Beatles ติดอยู่หน่อยตรงดนตรีช่วงท้ายฟังแล้วนึกถึง Born in the U.S.A. ของ บรู๊ซ สปริงสทีน



Get your own playlist at snapdrive.net!

I was a sailor first, I sailed the sea
Then I got a job, in a factory
Played Butlin’s Camp with my friend, Rory
It was good for him, it was great for me

Livepool I left you, said goodbye to Madryn Street
I always followed my heart, and I never missed a beat
Destiny was calling, I just couldn’t stick around
Liverpool I left you, but I never let you down

Went to Hamburg, the red lights were on
With George and Paul, and my friend John
We rocked all night, we all looked tough
We didn’t have much, but we had enough

Livepool I left you, said ‘goodbye’ to Madryn Street
I always followed my heart, and I never missed a beat
Destiny was calling, I just couldn’t stick around
Liverpool I left you, but I never let you down

In the U.S.A, when we played Shea
We were number 1, and it was fun
When I look back, it sure was cool
For those 4 boys from Liverpool

Livepool I left you, said goodbye to Admiral Grove
I always followed my heart, so I took it on the road
Destiny was calling, I just couldn’t stick around
Liverpool I left you, but I never let you down

La la la la la la …. Liverpool …

อัลบั้มนี้สังกัดอีเอ็มไอนะครับ ไม่รู้ว่ามีขายในไทยหรือเปล่า แต่ผมขอโหลดมาฟังก่อนล่ะ

●....แฟนๆ มาโนช พุฒตาล...บุตรนายเฉลียวและนางอำไพ พบกันได้สัปดาห์ละครั้งทุกคืนวันอังคาร เที่ยงคืนถึงตีหนึ่งครึ่ง คลื่น 96.5 ช่วง Music @ night

ตอนที่มี The Radio ผมฟังแต่ช่วงของพี่ซัน แต่หลังๆ ตื่นไม่ไหวเลยไม่ค่อยได้ฟังจนรายการเลิกไป มาจัดดึกๆ อย่างนี้ดีครับ สัปดาห์ละวันก็โอเค

ชอบตรงที่เข้าไปฟังย้อนหลังได้ที่ radio.mcot.net แถมโหลดเก็บไว้ได้ด้วย... ●●





Create Date : 08 มีนาคม 2551
Last Update : 22 มีนาคม 2551 4:51:24 น. 12 comments
Counter : 848 Pageviews.

 


โดย: นายแจม วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:7:54:36 น.  

 
ได้ดูหนังสั้นเรื่องเสียงเงียบ (Silencio)ทางทีวีเหมือนกัน หนังดีมากเลยน่ะ ได้ทั้งเนื้อหาที่เป็นสากลและตอบโจทย์ของการเฉลิมพระเกียรติในเวลาเดียวกัน ถือว่าแน่มากกับวิธีการนำเสนอ (เล่าเรื่องโดยเสียง) ชอบฉากสุดท้ายที่รถแห่ขับผ่านป้ายเฉลิมพระเกียรติของในหลวง กษัตริย์ผู้รับฟังทุกสรรพเสียง ดูแล้วเริ่มคิดได้ว่าโลกนี้ไม่เคยมีเสียงใดที่ไม่ควรค่าแก่การรับฟัง (เหมาะอย่างยิ่งกับ concept ระบบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย-กษัตริย์)


โดย: beerled IP: 203.154.187.189 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:13:53:43 น.  

 
อยากดู Incident at Loch Ness มากเลยครับ อยากเห็น เวอ-เน่อ-เฮอ-ซ้อก โดนเอาคืน!

สำหรับ hot short film ผมว่าเขาคงไล่ฉายจนครบโครงการเฉลิมพระเกียรติ
เห็นอาทิตย์นี้มีเรื่องนรสิงห์อวตาร กับทะเลของก้อย
ดีเหมือนกันครับที่เอามาฉาย เพราะตอนฉายในโรงผมไปดูไม่ทัน
แม้จะมีบางเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกอยากอ้วก!


โดย: wayakon IP: 58.9.237.170 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:13:54:13 น.  

 
กรี๊ดๆๆๆ
"แฟนๆ มาโนช พุฒตาล...บุตรนายเฉลียวและนางอำไพ พบกันได้สัปดาห์ละครั้งทุกคืนวันอังคาร เที่ยงคืนถึงตีหนึ่งครึ่ง คลื่น 96.5 ช่วง Music @ night"


โดย: แมวเหมียวม่วน IP: 125.26.160.220 วันที่: 8 มีนาคม 2551 เวลา:20:12:05 น.  

 

เมื่อวานได้รับ Enhanced CD พร้อมลายเซ็น ชาตรี คงสุวรรณ จากพันทิป
ดีใจๆ



Persepolis
อารมณ์เหมือนดู King of the Hill แต่สนุกกว่า และพูดเรื่องซีเรียสมากกว่า
ถ้าถอดความรู้สึกหลังดูจบเป็นคำพูดคงได้ว่า "เจ๋งว่ะ"
ไม่ใช่คำว่า "ดีจัง"


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:2:21:16 น.  

 
ไม่เคยดู
แต่ถ้าดูก็อาจอุทานว่า
"ดีว่ะ"
หรือ"เจ๋งจัง"
แทน ก็เป็นได้...

ปล.รอบทกวีล็อตใหม่ด้วยใจระทึก


โดย: ม่วนน้อย วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:8:34:31 น.  

 


โดย: renton_renton วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:8:48:42 น.  

 

บทความชุดใหม่ของ ธนา วงศ์ญาณณาเวช ในสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ชื่อว่า

จักรวาลของทศวรรษ 1960 กับ Julie Taymor


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:9:37:37 น.  

 
หนังสั้นโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ ที่ผมได้ดูผมชอบ เสียงเงียบ แล้วก็ เสียงสว่าง มากสุดแล้วครับ (โดยเฉพาะเสียงสว่าง ที่ดูมีนัยยะมากๆ สำหรับผม แม้ว่าคนอื่นจะบอกว่ามันเหมือนหนังโฆษณา 555+)

ส่วน The Mist นั่งๆดู อยากจะเขวี้ยงรองเท้าใส่ยัยคุณนายคาร์โมดี้


โดย: nanoguy IP: 125.24.70.144 วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:12:16:03 น.  

 

^
^
ยังไม่เคยดู เสียงสว่าง เลยครับ


ขยายความสำหรับ Persepolis
(คิดอยู่ว่าจะเขียนยาวๆ ดีมั้ย แต่ที่แน่ๆ อันนี้จะเอามา reuse ใน ดู-อ่าน-ฟัง เดือนหน้า )


Persepolis

ถ้านี่ไม่ใช่อัตชีวประวัติของผู้สร้าง อาจเข้าใจได้ว่าเป็นสื่อการสอนประวัติศาสตร์อิหร่านศตวรรษที่ 20 ในสายตาของโลกเสรี สำหรับนักเรียนระดับมัธยม

ไม่ใช่ไม่ชอบนะครับ ผมให้คะแนนเต็มสำหรับความสร้างสรรค์ในด้านการเล่าเรื่องด้วยอนิเมชั่น และความคมคายในการเสียดสี-ล้อเลียน-จิกกัดทั้งตนเองและอิหร่าน

การใช้ "พาสปอร์ต" เป็นสัญลักษณ์สำคัญก็ดูจะเหมาะเจาะดี

ชอบฉากซื้อเทปข้างถนน แล้วกลับมาแหกปากร้องเพลงของ Iron Maiden (ยั่วล้อวัฒนธรรมจนทำให้นึกถึงซีรีส์การ์ตูน King of the Hill)

แต่ก็รู้สึกแปลกๆ กับการพรีเซ็นต์ชีวิตของตัวเอง(จนดัง) ด้วยประวัติศาสตร์และภาพลักษณ์ของประเทศบ้านเกิด (ไม่อยากใช้คำว่า หากิน)

ที่สำคัญ มุมมองของหนัง(หรือของมาร์จาน ซาตราพี-ผู้สร้าง) ก็ดูจะยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองคนอิหร่าน เหมือนอย่างที่เธอเจอในหนังมากยิ่งขึ้นไปอีก (แล้วจะคร่ำครวญไปไย)

การที่ทั้งชุดนิยายภาพกับหนังหยุดเรื่องราวของอิหร่านไว้เท่าที่ "คนนอก" รับรู้และเข้าใจ ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเธอใช้ประโยชน์จาก "ภาพลักษณ์ เดิมๆ" ของอิหร่าน และมันก็พิสูจน์แล้วว่า "ได้ผล"


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:0:03:59 น.  

 

ช่วงเดือน ก.พ. ผมก็เบื่อดูหนังเหมือนกันครับ ไม่รู้ทำไม ทิ้งโรงหนังไปเดือนนึงเลย เพิ่งกลับมาดูนี่แหละ

Persepolis เป็นหนังที่เจ็บปวดดีครับ แต่เพราะกระแสอื้อฉาว เลยทำให้ตัวเองคาดหวังกับหนังมากไปหน่อย

ชอบ There Will Be Blood มากๆ ให้ A+ ตั้งแต่ 15 วินาทีแรกของหนัง (ฮ่าๆ เว่อร์มาก) เพราะชอบสกอร์ของ Jonny Greenwood มาก

ส่วน Once ไม่ชอบมาก เหมือนเอ็มวีขนาดยาวไปหน่อย แต่เพลงก็เพราะดี + ชอบอารมณ์ช่วงท้ายๆ

ตอนนี้พยายามกลับไปดูละครเวทีเหมือนกัน ช่วงนี้มีน่าสนใจเยอะเลยครับ ดูได้ที่กระทู้นี้เน้อ //www.bioscopemagazine.com/smf/index.php?topic=987.0


โดย: merveillesxx วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:2:50:47 น.  

 

^
^
ขอบคุณครับ

There Will Be Blood ผมว่าหลายช่วงของหนังดูสะดุด ไม่ค่อยลื่นหรือกลืนเป็นเรื่องเดียวกัน
ไม่งั้นผมอาจจะชอบมากกว่า No Country for Old Men


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:12:48:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่เพียงรู้สึกสุขใจ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน
ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549

..............................








พญาอินทรี




ศราทร @ wordpress
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
8 มีนาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แค่เพียงรู้สึกสุขใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.