Blog เล็กๆแห่งหนึ่ง รวมเกร็ดข่าวสาระประจำวัน กับ เรื่องที่อาจจะไร้สาระ ของ ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในมหานครใหญ่แห่งหนึ่ง ในที่โลกที่กว้างใหญ่ใบนี้
Group Blog
 
All Blogs
 

สยามแก๊สเตรียม3พันล้านต่อยอดธุรกิจบุกนอก

ที่มา //www.bangkokbiznews.com



บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน)
ทายาทเจ้าของโบ๊เบ๊ทาวเวอร์ มองว่า ช่วงนี้เป็นโอกาสขยายธุรกิจ เพื่อเตรียมรับมือกับการพลิกกลับของเศรษฐกิจ แต่รูปแบบการลงทุนในแต่ละโครงการ ฝ่ายบริหารต้องมั่นใจกว่า 80% ต้องประสบผลสำเร็จ และคืนทุนภายใน 5 ปี

"สถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่การลองผิดลองถูก แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอยรุนแรง แต่ธุรกิจของสยามแก๊สยังมีผลประกอบการตามเป้า เพราะเป็นธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของประชาชนทั่วไป"

เขาอธิบายต่อว่า จากภาพรวมอุตสาหกรรมแอลพีจีช่วง 3 เดือนแรก แม้ว่ายอดขายก๊าซแอลพีจี จะลดลงกว่า 5% แต่ยอดขายกลุ่มหุงต้มและรถยนต์ กลับไม่ปรับลดลง มีเพียงยอดขายในกลุ่มอุตสาหกรรมเท่านั้นที่ลดลงรุนแรงถึง 30%
ดังนั้น สยามแก๊ส ซึ่งถือเป็นผู้ค้าก๊าซแอลพีจีรายใหญ่ของประเทศ ที่ครองมาร์เก็ตแชร์กว่า 50% จึงไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตินี้มากนัก

ขณะที่ปัญหาการเมืองในประเทศที่มีการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นั้น ประเมินว่า ไม่มีผลต่อบริษัท เพราะเคยผ่านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อเหลืองมาแล้ว แต่ผลประกอบการของบริษัทก็ยังเติบโต

"ความไม่แน่นอนทางการเมือง ไม่ได้มีปฏิกิริยากับการบริโภคเชื้อเพลิง ส่วนตัวผมมองว่าปัญหาการเมืองตอนนี้ ใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ได้ แต่ขอให้มีเสถียรภาพ มีเวลาบริหารคลื่นวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังทะลักเข้ามา รัฐบาลชุดไหนเข้ามาก็ต้องให้เวลาในการสร้างผลงาน ในฐานะนักธุรกิจไม่ควรยึดติดกับพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง" ศุภชัย กล่าว

ส่วนผลประกอบการปี 2551 สยามแก๊ส มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,095.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 442.42 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายแอลพีจีเพิ่มขึ้น หลังจากที่ผ่านมาราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูง ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้แอลพีจีแทน จึงทำให้บริษัท ได้รับประโยชน์ด้วย

ส่วนในปี 2552 ตั้งเป้ารายได้ขยายตัว 15% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 19,408.48 ล้านบาท โดยประเมินภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และภาพรวมอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศ

ศุภชัย ยังได้ฉายภาพการต่อยอดในธุรกิจพลังงานของสยามแก๊ส ว่า เป้าหมายจริงๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า และกระจายความเสี่ยงของกลุ่มสยามแก๊ส ซึ่งการลงทุนนี้ บริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน เพราะขณะนี้ยังเหลือเงินสดที่มาจากการขายหุ้นไอพีโอ 1 พันล้านบาท

ล่าสุดบริษัทได้ขอมติจากผู้ถือหุ้นในการออกหุ้นกู้วงเงิน 3 พันล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต โดยจะทยอยออกหุ้นกู้ตามความจำเป็นในการลงทุน

ศุภชัย ยังบอกถึงรูปแบบการลงทุนแต่ละธุรกิจว่า ถ่านหินจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของบริษัท เพราะเริ่มดำเนินการไปแล้ว ในรูปแบบการซื้อมาขายไป ซึ่งปัจจุบันมียอดขาย 8 พันตันต่อ 2 เดือน โดยกลุ่มเป้าหมายก็คือฐานลูกค้าเก่าที่ต้องการลดต้นทุน โดยหันมาใช้ถ่านหินเป็นวัตถุดิบ

"ช่วงนี้เป็นการชิมลางไปก่อน เพื่อหาประสบการณ์จนกว่ายอดขายต่อเดือนจะปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หรือ 3-4 หมื่นตันต่อเดือน บริษัทจึงจะตัดสินใจเข้าไปลงทุนในเหมืองถ่านหินด้วยตัวเอง ซึ่งการลงทุนคงจะเข้าไปเทคโอเวอร์เหมืองที่มีรายได้อยู่แล้ว" ศุภชัย กล่าว

ส่วนธุรกิจเอทานอล เขาบอกว่า เป็นอีกขาหนึ่งของธุรกิจพลังงาน ที่บริษัทเข้าไปซื้อหุ้น 70% หรือ มูลค่า 260-280 ล้านบาท ใน บริษัท สยาม เอทานอล เอ็กซ์ปอร์ท จำกัด และเริ่มดำเนินการผลิตไปแล้ว ซึ่งเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2552ที่ผ่านมา ได้ส่งออกเอทานอลล็อตแรกไปยังตลาดไต้หวัน 2 ล้านลิตร ราคาลิตรละ 16.90 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ไม่คุ้มทุน ทำให้บริษัทต้องชะลอดูแนวทางของภาครัฐก่อนว่าจะปรับเพิ่มราคาส่งออกเอทานอลให้เพิ่มขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบหรือไม่

"หากยังคงใช้ราคาเดิม บริษัทจะชะลอการผลิตเอทานอลล็อตใหม่ไปก่อน ถ้าเดินเครื่องผลิตได้ทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้จากส่วนนี้เข้ามาปีละ 500 ล้านบาท"

การตัดสินใจขยายการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจหลักของสยามแก๊สนั้น ใช่ว่าจะได้รับประโยชน์จากฐานลูกค้าเก่าของแอลพีจีเท่านั้น แต่ยังสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เปรียบคู่แข่ง จากระบบโลจิสติกส์ของแอลพีจีที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นคลังเก็บสินค้า ท่าเรือ หรือท่อขนส่ง ซึ่งทำให้ต้นทุนการต่อยอดธุรกิจของสยามแก๊สได้เปรียบคู่แข่งขัน

นั่นคือธุรกิจที่สยามแก๊สจะใช้เป็นตัวชูโรงขับเคลื่อนธุรกิจในอนาคต ขณะที่ธุรกิจแอลพีจี ซึ่งเป็นธุรกิจ ก็จะไม่หยุดอยู่กับที่ เพราะบริษัทมีเป้าขยายสาขากว่า 70 แห่ง โดยจะเลือกลงทุนสาขาที่คุ้มทุน และไม่เป็นคู่แข่งกับดีลเลอร์เดิมที่มีอยู่แล้ว เพราะอนาคตหากราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นอีก แอลพีจีก็จะเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค

ศุภชัย ไม่ได้มองเฉพาะธุรกิจในประเทศเท่านั้น เขายังมองหาตลาดต่างประเทศเข้ามาหนุนอีกด้านเพราะเป้าหมายของสยามแก๊สอีก 3-5 ปี ต้องเป็นผู้นำของผู้ให้บริการพลังงานอันดับต้นๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศเป้าหมาย ได้แก่ เวียดนาม จีน และ มาเลเซีย

ประเทศแรกที่จะบุกเข้าไปทำตลาดให้บริการก๊าซแอลพีจี คือ เวียดนาม โดยจะลงทุนทั้งท่าเรือและคลังสินค้า ซึ่งใช้เงินลงทุน 400 ล้านบาท โดยจะเข้าไปเทคโอเวอร์ เพราะใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการบุกเบิกธุรกิจด้วยตัวเอง ขณะนี้กำลังเจรจาคาดได้ข้อสรุปไตรมาส 2 ปีนี้

ส่วนการบุกตลาดจีนและมาเลเซีย ก็จะเป็นรูปแบบเทคโอเวอร์เช่นกัน และอาจจะเกิดขึ้นภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้งบการเงินของบริษัทปีหน้า เริ่มบันทึกรายได้จากเงินลงทุนในต่างประเทศ

ทั้งนี้เป้าหมายการลงทุนของสยามแก๊สในต่างประเทศไม่ไกลเกินฝัน หากดูจากการเตรียมความพร้อมด้านเงินทุน น่าจะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ที่จะยกระดับตัวเองเป็นผู้นำอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการให้บริการพลังงานครบวงจรได้ไม่ยาก




 

Create Date : 16 เมษายน 2552    
Last Update : 16 เมษายน 2552 7:38:49 น.
Counter : 563 Pageviews.  

โบรกเกอร์ระบุปันผลปี52หดตัวครั้งแรกรอบ8ปี

ที่มา //www.bangkokbiznews.com

โบรกเกอร์ คาดค่าเฉลี่ยของอัตราเงินปันผลลดลงต่ำกว่า 40% เป็นอัตราลดลงต่ำสุดในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่ปี 2544

ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย กำลังซื้อตกต่ำทั่วโลก กดดันกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและสภาพคล่องทางการเงินของผู้ประกอบการทั่วโลก ทำให้จะมีผลกระทบต่อการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลที่นักวิเคราะห์ของ บล.เอเซีย พลัส ได้ประมาณการไว้ในปี 2552 จำนวน 149 บริษัท พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีนโยบายที่จะงดจ่ายปันผล หรือจ่ายอัตราเงินปันผลในอัตราที่ลดลงจากปี 2551 ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 65%

นอกจากนี้ โบรกเกอร์ ยังคาดค่าเฉลี่ยของอัตราเงินปันผลลดลงต่ำกว่า 40% และเป็นอัตราลดลงต่ำสุดในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งอัตราเงินปันผลที่จ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้นมีการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

ยกเว้นกลุ่มที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมั่นคง หรือมีฐานะเงินสดสุทธิโดยไม่มีภาระการลงทุนใหม่ๆ ทำให้ยังสามารถรักษานโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่เพิ่มขึ้น หรือเท่ากับปี 2551 เช่น กลุ่มค้าปลีก-ค่าส่ง พบว่า บริษัททุกแห่งในกลุ่มมีสุขภาพดี
ส่วนกลุ่มเดินเรือ มีสภาพคล่องดี แต่กระจุกตัวอยู่เฉพาะเรือเทกอง ซึ่งเป็นการให้เช่าเรือ โดยไม่ต้องรับภาระต้นทุนน้ำมัน กลุ่มบันเทิง โดยเฉพาะที่ให้บริการสื่อโทรทัศน์เท่านั้น เพราะมีรายได้ในรูปเงินสดมั่นคง ขณะที่ไม่มีภาระการลงทุน

กลุ่มที่อยู่ตรงกลาง แต่มีฐานะการเงินมั่นคงมาก ได้แก่กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีสัญญาการขายไฟฟ้าแก่การไฟฟ้าตลอดอายุโครงการ จึงมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมั่นคง สามารถชำระหนี้ พร้อมทั้งสามารถขยายการลงทุน และจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง รวมถึงกลุ่มกิจการโรงพยาบาล แม้จะมีหนี้สินสุทธิ แต่ไม่สูงและมีแนวโน้มลดลง เพราะได้ผ่านพ้นช่วงลงทุนหนักๆ มาแล้ว

การลงทุนในอุปกรณ์การแพทย์อย่างต่อเนื่อง ยังมีความจำเป็นเพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ และด้วยลักษณะธุรกิจบริการที่จำเป็น พื้นฐาน 1 ในปัจจัย 4 ทำให้มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานมั่นคงสูง สามารถชำระหนี้ และขยายการลงทุนพร้อมจ่ายปันผลได้ต่อเนื่อง

รายงานระบุว่า การลงทุนในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ จึงยังให้ความสำคัญกับบริษัทจดทะเบียนที่มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่งหมายถึงต้องเป็นกิจการที่มีเงินสดในมือสูง มีกระแสเงินสดต่อเนื่อง สามารถชำระหนี้ได้อย่างมั่นคง พร้อมสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง

ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ (ADVANC) บริษัทบีอีซีเวิลด์ (BEC) บริษัทบิ๊กซี (BIGC) บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล (KH) บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) บริษัท ปตท. (PTT) บริษัทโรบินสัน (ROBINS) บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) และ บริษัทไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF)

สอดคล้องกับนายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ธนชาต ให้ความเห็นว่า ในปีนี้แนวโน้มของการจ่ายอัตราปันผลของบริษัทจดทะเบียนจะลดลง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับงวดปี 2551 เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ขณะเดียวกันบริษัทส่วนใหญ่ต้องการที่จะรักษาเงินสดไว้ เพื่อรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ

"ตอนนี้ทุกคนคงรอดูว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร และจะมีสัญญาณฟื้นตัวได้ตอนไหนทำให้ทุกคนต่างต้องตุนเงินสด ซึ่งเป็นได้ชัดว่าในช่วงต้นปีมีบริษัทจดทะเบียนหลายแหล่งที่มีขนาดใหญ่ และมีศักยภาพ โดยเฉพาะบริษัทที่มีเรทติ้งดีๆ เร่งระดมทุนโดยการเสนอขายหุ้นกู้จำนวนมากมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งจะเห็นชัดในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์นี้" นายพิชัย กล่าว

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 3 เดือนจากนี้ไปควรลงทุนในธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ และเป็นบริษัทที่มีกระแสเงินสดที่แข็งแรงและสามารถจ่ายเงินปันผลได้ รวมถึงอัตราผลตอบแทนของเงินปันผลน่าจะยืนเกินระดับ 7% ได้แก่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีก จะเป็นกลุ่มที่ดีที่สุดในเวลานี้ เช่น หุ้นบิ๊กซี ขณะที่หุ้นแอดวานซ์ หุ้นไทยยูเนียนโฟรเซ่นฯ น่าจะยังจ่ายปันผลได้สูงกว่าปีก่อน

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์บล.เคจีไอ กล่าวว่า บริษัทได้แนะนำให้ลงทุนกลุ่มค้าปลีก โดยให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าตลาด ซึ่งในไตรมาส 2 เชื่อว่าจะมีแรงกระตุ้นในหุ้นค้าปลีกที่ไม่ใช่อาหารเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่สำหรับแนวโน้มระยะยาวร้านค้าปลีกที่เป็นอาหารจะยังคงปลอดภัยที่สุด

แม้จะคาดการณ์ถึงสภาวะเงินฝืดในปี 2552 ยังเชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรของผู้ประกอบการค้าปลีก ข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่า โดยปกติราคาผู้ผลิตจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ข้อเท็จจริงดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ผู้ผลิตในขั้นกลางไม่สามารถปรับราคา ให้ทันกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ในช่วงสภาวะเงินฝืด ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคอาจขาดทุนในห่วงโซ่การบริโภค

ขณะที่คาดว่าผู้ประกอบการค้าปลีก และผู้ผลิตขั้นกลางจะได้กำไร หากไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล ผู้ประกอบการค้าปลีกมีแนวโน้มที่จะตรึงราคาไว้และได้กำไรเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลแทรกแซงด้วยอำนาจต่อรองที่มีสูง ผู้ประกอบการค้าปลีกจะส่งผ่านปัญหาด้านราคาให้กับผู้ผลิต และรักษากำไรเดิม เนื่องจากผู้ประกอบการค้าปลีกเป็นนักบริหารกำไร อย่างไรก็ดี ยังเชื่อว่ามีโอกาสที่กำไรจะเพิ่มขึ้นในปี 2552

ทั้งนี้ กำไรเพิ่มจากต้นทุนที่ลดลง เนื่องจากคาดว่าค่าใช้จ่ายการตลาดต่อการขายสินค้าหนึ่งชิ้น จะเพิ่มขึ้นในปี 2552 ต้นทุนการขนส่งที่ลดลงและอัตราค่าจ้างที่ทรงตัว หรือลดลงจะมีส่วนช่วยบรรเทาต้นทุนการตลาด ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ พนักงานมักจะไม่ขอเงินเดือนเพิ่ม หากผู้ประกอบการค้าปลีกประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขาย ต้นทุนเงินเดือนต่อการขายของหนึ่งชิ้นจะลดลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายเงินเดือนต่อค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารสำหรับห้างสะดวกซื้อสูงถึง 30% ในขณะที่ถ้าเป็นห้างลดราคา ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะอยู่ที่เพียง 20%

ขณะเดียวกันต้นทุนค่าขนส่งคิดเป็นประมาณ 20% ในขณะที่ค่าโฆษณาคิดเป็นเพียง 4-8% ผู้ประกอบการค้าปลีกสามารถรักษาค่าโฆษณา ให้อยู่ในระดับต่ำได้ เพราะผู้ประกอบการดังกล่าว สามารถผ่องถ่ายต้นทุนบางส่วนให้กับผู้ผลิต จึงคาดว่าอัตรากำไรของผู้ประกอบการค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นในปี 2552

ส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเดินเรือ บล.เคจีไอ ได้แนะนำให้ทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มเรือเทกองก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขนส่งชะลอตัวกลางปี 2552 เมื่อพิจารณาจากการเข้าสู่ฤดูกาลขนส่งที่ชะลอตัวสำหรับสินค้าเทกองในช่วงกลางปี 2552 คาดว่าค่า BDI จะลดลงอยู่ในช่วงระหว่าง 1,000-1,500 จุดดังนั้น จึงแนะนำให้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนจากกลุ่มเรือเทกอง ณ ต้นไตรมาส 2 ปี 2552

กรณีที่ค่าระวางปรับตัวลดลง แตะจุดต่ำของระดับดังกล่าว อาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเก็งกำไรสำหรับกลุ่มเรือเทกอง เพราะค่าระวางไม่น่าจะปรับตัวลดลงไปกว่านั้นมากนัก เนื่องจากเรือจะถูกจอดทอดสมอ หรือปลดระวางเพิ่มมากขึ้น

หากค่าระวางตกต่ำกว่าจุดคุ้มทุน อย่างไรก็ดี เมื่อค่าระวางปรับตัวเพิ่มขึ้น แนะนำให้ขายทำกำไร เพราะค่าระวางไม่น่าจะปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง ตามการขนส่งสินค้าเทกองที่ชะลอตัวตามความต้องการทั่วโลกที่หดตัว รวมถึงปริมาณการส่งมอบเรือใหม่จำนวนมาก จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดในปีนี้

กลยุทธ์การลงทุนให้หลีกเลี่ยงธุรกิจเรือคอนเทนเนอร์ โดยเฉพาะในครึ่งแรกของปี 2552 ผู้ประกอบการเรือคอนเทนเนอร์มีโอกาสในการรายงานผลขาดทุนสุทธิสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2552 โดยยอดการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ตามสภาวะการค้าโลกที่ตกต่ำ

รวมถึงค่าระวางที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง แม้ว่าหุ้นกลุ่มเรือคอนเทนเนอร์จะมีการซื้อขายที่ระดับไม่แพง แต่แนวโน้มปัจจัยลบทั้งจากการหดตัวลงของปริมาณการขนส่ง และค่าระวางดังกล่าว จะยังคงเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นต่อไปเราคาดว่ากลุ่มเรือเทกอง และคอนเทนเนอร์ จะยังคงประสบปัญหาอุปทานเกินดุลในปี 2552 ซึ่งเป็นผลมาจากการค้าโลกที่ตกต่ำและการส่งมอบเรือใหม่จำนวนมาก

กลุ่มเรือมีหุ้นที่น่าสนใจคือหุ้นพรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) เนื่องจากกำไรที่แน่นอนจากการทำสัญญาค่าระวางเรือล่วงหน้า โอกาสขาดทุนจากการดำเนินงานที่น้อยกว่าในภาวะธุรกิจตกต่ำ เนื่องจากส่วนต่างระหว่างค่าระวางและต้นทุนคงที่ค่อนข้างมาก ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่น่าสนใจ และราคาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากลุ่มท่ามกลางแนวโน้มค่าระวางขาลง

บทวิเคราะห์ของบล.กรุงศรีอยุธยา ได้แนะนำให้น้ำหนักการลงทุน เท่ากับตลาด โดยแนะนำ ซื้อลงทุนหุ้นโรงพยาบาลขนาดเล็ก เช่นบริษัทบางกอกเชน (KH) และ บริษัท โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) ซึ่งสองบริษัทถือเป็น DEFENSIVE STOCKS ซึ่งผลประกอบการยังคงเติบโตดีกว่าโรงพยาบาลใหญ่โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว และยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งด้วยลักษณะธุรกิจเป็นเงินสด มีหนี้สินต่อทุนในระดับต่ำ และมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ

ประเด็นสำคัญของอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเติบโตต่อเนื่อง ตามกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ และการเติบโตของธุรกิจการแพทย์เฉพาะทาง เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพ (BGH) ถือเป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดจากเครือข่าย 19 โรงพยาบาลครอบคลุมทั่วประเทศ ในขณะที่โรงพยาบาลไทยนครินทร์ (TNH) ถือเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก แต่มีผลการดำเนินงานเติบโตดีสุดในกลุ่ม

ในปี 2552 ภาวะการแข่งขันในธุรกิจสูง คาดว่าการภาวะแข็งขันจะรุนแรงในด้านราคาเป็นสำคัญซึ่งจะเกิดทั้งจากกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนของไทยด้วยกัน และการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง อย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินเดีย ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลในโครงการประกันสังคมได้ผลดีจากการปรับขึ้นงบประมาณต่อหัว สำหรับงวดปี 2552 จะมีอัตราเติบโต 19.4% ต่อคนต่อปี ซึ่งสูงกว่าระดับปกติซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเพียง 3-5% ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำกำไรมีแนวโน้มดีขึ้น

กลุ่มโรงพยาบาลมุมมองระยะสั้นเป็นลบ แต่ระยะยาวเป็นบวก ในปี 2552 คาดว่าผลประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงพยาบาลจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธุรกิจบริการอื่นๆ แต่ด้วยประเทศไทยยังมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนการรักษาที่ต่ำกว่า ด้วยคุณภาพการให้บริการตามมาตรฐานสากล จึงคาดว่าแนวโน้มระยะยาวกลุ่มลูกค้าต่างประเทศจะยังคงกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้น








 

Create Date : 06 เมษายน 2552    
Last Update : 6 เมษายน 2552 7:55:55 น.
Counter : 502 Pageviews.  

เช็คช่วยชาติ สะพัด แห่เบิกเงินสด 7 พันล้าน



จาก หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ สรุปข่าวหน้าหนึ่ง

ธนาคารกรุงเทพ เผยส่งมอบเช็คช่วยชาติ 8 ล้านฉบับ ขณะที่คนมาขึ้นเงินแล้วกว่า 7,000 ล้าน
นายธีระ อภัยวงศ์ กรรมการ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ยอดการเบิกเงินสดและ นำเช็คเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 1 เม.ย. 2552 รวมทั้งสิ้น 3,534,741 ฉบับ เป็นเงิน 7,069.48 ล้านบาท





 

Create Date : 05 เมษายน 2552    
Last Update : 5 เมษายน 2552 20:38:21 น.
Counter : 402 Pageviews.  

KK เปิดประมูล NPA กว่า 600 ล้านบาท

ที่มา //www.bangkokbiznews.com


ธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน


แบงก์เกียรตินาคิน จัดทัพทรัพย์เด่นทำเลเยี่ยมเปิดประมูลกว่า 50 รายการ รวมมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นประมูลต่ำกว่าราคาประกาศขาย 50-80%

นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้นำทรัพย์สินรอการขาย หรือเอ็นพีเอ กว่า 50 รายการ มาเปิดประมูลภายใต้แนวคิด "ทรัพย์เด่น ทำเลเยี่ยม" ครั้งที่ 1 ประจำปี 2552 ซึ่งธนาคารได้คัดเลือกสินทรัพย์ชิ้นพิเศษอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ



เขากล่าวต่อว่า ทั้งนี้สินทรัพย์ชิ้นพิเศษดังกล่าว ได้แก่ ที่ดินเปล่าในย่านธุรกิจ อาคารพาณิชย์ต่างๆ เป็นต้น รวมมูลค่าทรัพย์ทั้งหมดกว่า 600 ล้านบาท

"ธนาคารได้ปรับลดราคาเริ่มต้นประมูลลง 50-80% ของราคาประกาศขาย เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และกระตุ้นให้เกิดการซื้อขาย" นายธวัชไชย

เขากล่าวด้วยว่า วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเปิดโอกาสให้ประชาชน และผู้ที่สนใจ ได้ร่วมลงทุนและเป็นเจ้าของทรัพย์สินรอการขายดังกล่าว

นอกจากนี้ ธนาคารยังเตรียมวงเงินกู้ 80% ของราคาซื้อขาย (เฉพาะทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย มูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท) ดอกเบี้ย MLR (KK) ลบ 1% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา (ณ วันที่ 24 มี.ค.2552 MLR (KK) อยู่ที่ 6.75%) และฟรีค่าธรรมเนียมสำรวจหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการจัดการสินเชื่อ และค่าธรรมเนียมปรับกรณีลูกค้าไถ่ถอนก่อนกำหนดอีกด้วย

"ทรัพย์บางส่วนที่ธนาคารได้คัดสรรมาสามารถนำไปพัฒนาต่อ ได้แก่ สร้างโรงแรม คอนโดมิเนียม โรงงานอุตสาหกรรม หมู่บ้าน หรือโครงการเชิงพาณิชย์ต่างๆ" นายธวัชไชย กล่าว

เขากล่าวต่อว่า ในภาวะดอกเบี้ยที่ลดลง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง ซึ่งธนาคารคาดจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน และนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เหมือนที่ผ่านมา

การประมูลทรัพย์ครั้งนี้ กำหนดลงทะเบียนเข้าร่วมประมูล ระหว่างวันที่ 30 มี.ค.-วันที่ 1 เม.ย.2552 และจะทำการเปิดรับยื่นซองประมูล และประกาศผลในวันที่ 2 เม.ย.2552 ผู้สนใจดูรายละเอียดทรัพย์สินของธนาคารที่จะขายทุกรายการได้ที่ //www.KKASSET.COM

เขากล่าวว่า ปีนี้ธนาคารมียอดทรัพย์สินรอการขาย 7.7 พันล้านบาท กว่า 2,000 รายการ แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 60% ต่างจังหวัด 40% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินสัดส่วน 64% บ้านเดี่ยว 31% คอนโดมิเนียมและอื่นๆ 5%

"ธนาคารตั้งเป้าจะขายทรัพย์ปีนี้ 3 พันล้านบาท และคาดจะทยอยลดลงภายใน 2-7 ปี ข้างหน้า" นายธวัชไชย กล่าว








 

Create Date : 25 มีนาคม 2552    
Last Update : 25 มีนาคม 2552 6:55:53 น.
Counter : 610 Pageviews.  

KBANKลุยสินเชื่อ ผ่านระบบออนไลน์ หนุนเป้าสิ้นปีโต7-8%


ที่มา หนังสือพิมพ์แนวหน้า สรุปข่าวหุ้น-การเงิน-ประกัน -- เสาร์ที่ 21 มีนาคม




นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)หรือKBANKเปิดเผยว่าธนาคารได้เปิดให้บริการสินเชื่อบ้านออนไลน์กสิกรไทย (K-Home Loan Online) ซึ่งเป็นบริการแบบใหม่ที่ลูกค้าสามารถสมัครสินเชื่อบ้านได้ทุกที่ ทุกเวลา พร้อมทราบผลอนุมัติสินเชื่อเบื้องต้ทันที หลังกรอกข้อมูลครบถ้วน และเมื่อสมัครใช้บริการจะได้รับการดูแลจากบริการสินเชื่อบ้านกสิกรไทย...สั่งได้ (K-Home Loan Delivery) ในการให้คำปรึกษาและดำเนินการด้านเอกสารการขอสินเชื่อถึงที่หมายภายใน 24 ชั่วโมง ณ สิ้นปี2551 ธนาคารมียอดคงค้างสินเชื่อที่อยู่อาศัยรวม 115,830 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21.6% ขณะที่ตลาดรวมโตเพียง 7.8% สำหรับปี 2552 ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อบ้านกสิกรไทยเพิ่มอีก 27,000 ล้านบาทเติบโต7-8%ขณะที่คาดว่าตลาดรวมจะโตเพียง 6.8%








 

Create Date : 23 มีนาคม 2552    
Last Update : 23 มีนาคม 2552 7:23:46 น.
Counter : 916 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

Rushing Dandy
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีทุกๆท่านครับ ขอต้อนรับเข้าสู่ Bloggang ผมนะครับ
อยาก Comment อะไรเชิญได้เต็มที่ครับ
แล้วก็ยังไง ช่วยกรุณาสนับสนุน Sponsor link ด้านล่างนี้ ด้วยนะครับ




มีผู้เข้าชม Blog แห่งนี้นับตั้งแต่ 14 ธ.ค 51 แล้ว free counters
free counter

Friends' blogs
[Add Rushing Dandy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.