ธปท.เผยเอ็นพีแอลรวมสิ้นปี 51 ลดเหลือ 5.29%
ที่มา //www.bangkokbiznews.com
แบงก์ชาติเผยเอ็นพีแอลรวมสิ้นปี 51 ลดเหลือ 5.29% ของสินเชื่อรวม จากไตรมาส 3 ที่มีเอ็นพีแอลรวม 6.06%
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยข้อมูลสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) สิ้นปี 2551 ว่าสถาบันการเงินทั้งระบบมีจำนวนเอ็นพีแอลรวม (Gross NPLs) จำนวน 401,438 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.29% ของสินเชื่อทั้งระบบ ลดลงจากไตรมาส 3 ปี 2551 ที่มีจำนวนเอ็นพีแอลรวมทั้งสิ้น 436,244 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.06% ของสินเชื่อรวม
ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิซึ่งหักกันสำรองแล้ว (Net NPL) มีจำนวนทั้งสิ้น 217,561 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.94% ของสินเชื่อรวม ลดลงจากไตรมาส 3 ที่มีจำนวนเอ็นพีแอลสุทธิจำนวน 230,257 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 3.29% ของสินเชื่อรวม
ทั้งนี้ จำนวนเอ็นพีแอลเฉพาะส่วนของธนาคารพาณิชย์ สิ้นไตรมาส 4 มีเอ็นพีแอลรวม 397,126 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.26% ของสินเชื่อรวม ลดลงจากไตรมาส 3 ที่มีสัดส่วนเอ็นพีแอล 6.03% ส่วนเอ็นพีแอลสุทธิมีจำนวน 215,448 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.93% ลดลงจากสัดส่วน 3.28% ของสินเชื่อรวมในไตรมาส 3
ด้านนายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวถึงผลกระทบของการใช้เกณฑ์กำกับดูแลเงินกองทุนบาเซิล 2 ต่อการดำรงเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ว่าแม้ตามเกณฑ์บาเซิล 2 จะกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินกองทุนสำหรับเอ็นพีแอลสูงขึ้นจากเดิมเนื่องจากน้ำหนักความเสี่ยงเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นจาก 100% เป็น 150%
แต่เกณฑ์บาเซิล 2 ก็ได้ยกเว้นให้ธนาคารที่มีกันสำรองเอ็นพีแอลในสัดส่วนสูง สามารถลดน้ำหนักความเสี่ยงสำหรับลูกหนี้เอ็นพีแอลได้ โดยหากมีการกันสำรองถึง 20% น้ำหนักความเสี่ยงจะลดลงจาก 150% เหลือ 100% ดังนั้น เกณฑ์บาเซิล 2 จึงไม่ได้เป็นภาระต่อการดำรงเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ การที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ลดลง 1.8% จากเดิมที่ 15.7% เหลือ 13.9% แต่หากพิจารณาจากเงินกองทุนส่วนเกินธนาคารพาณิชย์ที่สามารถรองรับการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นได้ยังมีสูงถึง 5.1 ล้านล้านบาท แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการปล่อยสินเชื่อยังมีอยู่ และธนาคารพาณิชย์สามารถขยายสินเชื่อได้ แม้อาจจะมีความเคร่งครัดในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นบ้าง
เงินกองทุนที่ถูกตัดไป 1.8% ลดลงบ้าง แต่หากดูจากความสามารถในการปล่อยสินเชื่อที่ยังปล่อยได้อีกกว่าล้านล้านบาท แม้ธนาคารอาจจะเคร่งครัดบ้าง แต่ไม่มีผลกระทบในความเป็นจริงและธนาคารยังสามารถขยายสินเชื่อได้อยู่แล้ว เพียงแต่ก็อาจจะไม่มีใครขยายสินเชื่อในขณะที่คำสั่งซื้อลดลง นายเกริก กล่าว
นายเกริก กล่าวด้วยว่าการใช้เกณฑ์บาเซิล 2 เป็นผลดีต่อธนาคารขนาดเล็กที่หลายธนาคารปล่อยสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นสินเชื่อประเภทที่มีน้ำหนักความเสี่ยงในการคำนวณเงินกองทุนลดลงจากเดิม คือ สินเชื่อรายย่อยมีน้ำหนักความเสี่ยง 75% ลดลงจาก 100% ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีน้ำหนักความเสี่ยงเหลือ 35% ลดลงจากเดิม 50% ดังนั้นเกณฑ์บาเซิล 2 จะเอื้อต่อธนาคารขนาดกลางและเล็ก อย่างไรก็ตามเกณฑ์ดังกล่าว คงไม่ได้เอื้อหากธนาคารไม่ได้ปล่อยสินเชื่อ
เขากล่าวอีกว่าการปรับใช้เกณฑ์บาเซิล 2 ของสถาบันการเงินไทยส่วนใหญ่เป็นการดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำตามวิธีมาตรฐาน (Standard Approach:SA) ซึ่งคล้ายกับเกณฑ์ที่ใช้ในบาเซิล 1 ดังนั้น การใช้เกณฑ์บาเซิล 2 ของสถาบันการเงินไทย จึงไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพียงแค่มีเกณฑ์วัดน้ำหนักความเสี่ยงของสินเชื่อแต่ละประเภทที่ละเอียดขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ในไทยมีเพียง 3 แห่งที่ใช้วิธีการดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำวิธีที่ซับซ้อน (Internal Ratings Based Approach: IRB) คือ ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ธนาคารคาลิยง และธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์
อย่างไรก็ตาม นายเกริก กล่าวว่าธนาคารพาณิชย์ที่ใช้วิธีดำรงเงินกองทุนวิธีมาตรฐาน (SA) ไม่จำเป็นต้องยกระดับไปใช้วิธีที่ซับซ้อน (IRB) ขึ้นก็ได้ แต่ถ้าสามารถทำได้ก็จะมีวิธีคำนวณความเสี่ยงที่ละเอียดขึ้นกว่าเดิม ทำให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้รองรับกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงได้ดีขึ้น แต่วิธีการดังกล่าวก็ต้องอาศัยข้อมูลระยะยาว
Create Date : 27 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 27 มกราคม 2552 7:34:50 น. |
Counter : 429 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
อยากเกษียณแบบมีเงิน 20 ล้านทำงัยดี?
ที่มา //www.bangkokbiznews.com
อยากเกษียณแบบมีเงิน 20 ล้านทำงัยดี โดย : นรวีร์ วงศ์สมมาตร: บลจ.บัวหลวง จำกัด
ดิฉันอายุ 32 ปีทำธุรกิจส่วนตัว วางแผนว่าอยากเกษียณตอนอายุ 55ปี รายได้เฉลี่ยเดือนละ 2 แสนบาท ตอนนี้ลงทุนในหุ้นประมาณ70% ที่เหลือฝากแบงก์
ปีหน้าอยากจะปรับพอร์ต พอจะแนะนำได้หรือไม่คะ ที่จริงตั้งใจว่าตอนเกษียณอยากจะมีเงินซัก 20 ล้านบาท ตอนนี้เพิ่งมีประมาณ 5 ล้านบาท แถมติดอยู่ในหุ้นอีกด้วย แบบนี้พอจะเป็นไปได้หรือไม่คะ สำหรับเงินเกษียณ 20 ล้านบาท ความเห็นของบลจ.บัวหลวง
จากข้อมูลดังกล่าว ไม่ยากครับที่เป้าหมายของคุณตุ๊กที่ว่าอยากเกษียณตอนอายุ 55 ปี และมีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณประมาณ 20 ล้านบาทจะเป็นจริง จากเงินที่มีอยู่ในปัจจุบันการจะไปถึงเป้าหมายที่ 20 ล้านบาทได้ จะขึ้นกับ 2 อย่าง คือ ผลตอบแทนที่ทำได้ในช่วง 23 ปีที่ยังทำงานอยู่ และเงินสะสมเพิ่มเติมในแต่ละปี โดยถ้ายิ่งหาผลตอบแทนจากการลงทุนได้มากเงินสะสมที่ต้องเก็บเพิ่มในแต่ละปีก็จะน้อยลง
เช่น ถ้าสามารถหาอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 3%ต่อปี (ผลตอบแทนแบบดอกเบี้ยทบต้น) ตลอด 23 ปีนี้ ก็จะต้องเก็บเงินเพิ่มให้ได้ปีละ 320,000 บาท หรือ 26,667 บาทต่อเดือน ถ้าสามารถหาอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยเพิ่มขึ้นได้เป็น 4% ต่อปีได้ ก็จะต้องเก็บเงินออมเพิ่มปีละ 210,000 หรือ 17,500 บาทต่อเดือน
ถ้าสามารถหาอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยได้ 5% ต่อปี ก็จะต้องเก็บเงินเพิ่มปีละ 112,000 บาท หรือ 9,334 บาทต่อเดือน หรือถ้าสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.21%ต่อปีแบบทบต้น เงิน 5 ล้านบาทที่มีอยู่ก็เพียงพอที่จะเพิ่มเป็น 20 ล้านบาทในอีก 23 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องสะสมเพิ่มครับ เพียงเท่านี้ก็จะได้เงินออมที่ต้องการในอนาคตคือ 20,000,000 ล้านบาท โดยใช้ระยะเวลาที่เหลือ 23 ปี ในการดำเนินการ
อย่างไรก็ตาม มี 3 ประเด็นที่อยากแนะนำคุณตุ๊กก็คือ
1. วินัยการออมเงิน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะถ้าไม่มี "วินัย" แล้วนั้นก็เป็นการยากที่จะถึงความฝันที่จะ เกษียณอายุ 55 ปี และมีเงินออมตามที่ตั้งใจไว้ได้
2. อัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพขั้นพื้นฐานนั้นมีการปรับตัวสูงขึ้นตลอดเวลายิ่ง เวลาผ่านไปนาน ยิ่งถ้าคุณตุ๊กต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เหมือนเดิม จำเป็นอย่างยิ่งที่จำต้องคิดถึงเรื่องนี้ ด้วยครับ เพราะถ้าอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น จำนวนเงินออมที่สะสมในวันนี้จะลดลง ถึงแม้ว่าบางช่วงเวลาอัตราเงินเฟ้อมีการปรับตัวลดลงก็ตาม แต่เมื่อเศรษฐกิจดีหรือในระยะยาวอัตราเงินเฟ้อมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นครับ ดังนั้นจึงอยากฝากเรื่องนี้ว่าต้องให้ความสำคัญ และนำมาประกอบการพิจารณาในการวางแผน ทางการเงินไว้ใช้ยามเกษียณด้วยครับ
3. ข้อสุดท้ายคือ การลงทุนในหุ้น ขอเรียนว่าการลงทุนในตลาดหุ้นนับได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็สามารถให้ผลตอบแทนได้ดีเช่นกัน High Risk High Expected Return ครับ ทั้งนี้ขอให้ศึกษา ติดตาม ข้อมูลด้านปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของบริษัทที่ได้ลงทุน ตลอดจนความรู้อื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องการลงทุนอย่างใกล้ชิดครับ แต่ถ้าคุณตุ๊กไม่มีเวลาในการติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุน ทางเลือกที่น่าสนใจอีกทางหนึ่ง คือการลงทุนผ่านกองทุนรวมครับ
โดยมีข้อดี คือ มีมืออาชีพคอยบริหารเงินให้ครับ ปัจจุบันกองทุนรวมมีหลายประเภท หลายรูปแบบ หลายนโยบาย ผู้ลงทุนต้องพิจารณาตามความเสี่ยงที่รับได้ ผลตอบแทนที่ต้องการและเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ ทั้งนี้คุณตุ๊กสามารถศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนประเภทต่างๆ หรือข้อมูลการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ชัดเจนก่อนการลงทุนได้ที่ //www.aimc.or.th ครับ
"บทความนี้ เป็นคำแนะนำตามหลักการลงทุนทั่วไป และอ้างอิงตามข้อมูลเท่าที่ได้รับเท่านั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนในสัดส่วนดังกล่าวอาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และผู้ลงทุนควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการเงินโดยละเอียดอีกครั้งก่อนการลงทุนจริง"
Create Date : 25 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 25 มกราคม 2552 7:53:43 น. |
Counter : 841 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
โซนี่คาดปีงบการเงิน 2551/2552 ขาดทุนจากการดำเนินงาน เป็นครั้งแรกในรอบ 14
ที่มา //www.bangkokbiznews.com
โซนี่คาดปีงบการเงิน 2551/2552 ขาดทุนจากการดำเนินงานสูงถึง 260,000 ล้านเยน เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี เหตุความต้องการซบเซา และเงินเยนแข็งค่า
โซนี่ คอร์ป ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลก จากญี่ปุ่น เผยวานนี้ (22 ม.ค.) ว่า ความต้องการที่ซบเซา เงินเยนแข็งค่า และค่าใช้จ่ายในด้านการปรับองค์กร ทำให้บริษัทมีรายได้ลดลง และคาดว่าในปีงบการเงินปัจจุบัน ที่จะสิ้นสุดในเดือน มี.ค.นี้ โซนี่น่าจะขาดทุนจากการดำเนินงานสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมาก ที่ประมาณ 260,000 ล้านเยน ครั้งแรกในรอบ 14 ปี ผลจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ที่ทำให้ความต้องการกล้องถ่ายรูป โทรทัศน์ และสินค้าอื่นๆ ลดลง
ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์กำลังเผชิญอยู่ ในช่วงเวลาที่บรรดาผู้บริโภคพากันปรับลดการใช้จ่าย ท่ามกลางกระแสการปลดพนักงานโลก
ตัวเลขขาดทุนดังกล่าว ถือเป็นการพลิกกลับอย่างมากจากเป้าหมายก่อนหน้านี้ ที่บริษัทคาดว่า ในปีงบการเงินปัจจุบันจะสามารถทำกำไรจากการดำเนินงานได้ราว 200,000 ล้านเยน และเทียบกับผลประกอบการเมื่อปีงบการเงินก่อนหน้านี้ ที่บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานสูงถึง 475,000 ล้านเยน
ยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์รายนี้ ที่เพิ่งปลดพนักงานหลายพันคน และปิดโรงงานอีกจำนวนหนึ่ง คาดจะมีตัวเลขขาดทุนสุทธิในปีงบการเงินนี้อยู่ที่ 150,000 ล้านเยน เทียบกับตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ที่คาดว่าจะทำกำไรสุทธิได้ 150,000 ล้านเยน
ทั้งนี้ ภายใต้การบริหารงานของนายโฮวาร์ด สตริงเกอร์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ชาวต่างประเทศคนแรกของบริษัท โซนี่ได้ดำเนินการขายทิ้งสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก และปลดพนักงานอีกหลายพันคนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งเมื่อเดือน ธ.ค.2551 บริษัทเพิ่งประกาศเลิกจ้างพนักงานเพิ่มอีก 16,000 คน และปิดโรงงานเพิ่มอีก 5-6 แห่ง
ในการแถลงทบทวนตัวเลขรายได้ครั้งนี้ นายสตริงเกอร์ ระบุว่า มาตรการต่างๆ ที่ทำมาแล้วนั้น ยังไม่เพียงพอ โดยล่าสุดโซนี่วางแผนที่จะปลดพนักงานชั่วคราวในญี่ปุ่นเพิ่มอีก 1,000 ตำแหน่ง พร้อมปิดโรงงานผลิตโทรทัศน์ในบ้านเกิดอีก 1 หรือ 2 แห่ง โดยธุรกิจโทรทัศน์ ถือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่สุดของบริษัทในแง่ของรายได้ แต่ไม่เคยทำกำไรรายปีมาตั้งแต่ปีงบการเงิน 2546/2547
นายสตริงเกอร์ ยังให้คำมั่นถึงการทำให้บริษัทกลับมาทำกำไรอีกครั้ง ผ่านทางมาตรการลดค่าใช้จ่ายที่เข้มข้นขึ้น รวมถึง การลดเงินเดือน เลิกจ้าง และผลิตสินค้าที่ทันสมัยมากขึ้น อาทิเช่น การเสนอโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดให้กับพนักงานประจำ ในความพยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายให้ได้ 30% ภายในเดือน มี.ค.ปีหน้า ทั้งนายสตริงเกอร์ และนายเรียวอิจิ ชูบาจิ ประธานบริษัทก็จะงดรับเงินโบนัสทั้งหมดด้วย
Create Date : 24 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 24 มกราคม 2552 10:02:35 น. |
Counter : 609 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
11 แบงก์พาณิชย์ไทยมีกำไรสุทธิรวมกันกว่า 8 หมื่นล้านบาท
ที่มา //www.bangkokbiznews.com
11 แบงก์พาณิชย์ไทยมีกำไรสุทธิรวมกันกว่า 8 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบปีก่อนกำไรสุทธิแค่ 5.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 14 เท่า เหตุยอดกันสำรองลดลง
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง ในปี 2551 ว่า มีกำไรสุทธิรวม 80,579.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75,409.90 ล้านบาท หรือ 1,458.64% เมื่อเทียบกับผลประกอบการในปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิรวม 5,169.88 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธนาคารส่วนใหญ่สามารถกลับมามีกำไรได้ในปี 2551 จากปี 2550 ที่มียอดขาดทุนอย่างหนัก โดยธนาคารที่มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นมากสุด คือ ธนาคารนครหลวงไทย มีกำไรสุทธิที่ 4,127.28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 303.43% จากปี 2550 ที่ขาดทุนสุทธิ 2,028.82 ล้านบาท
รองลงมาคือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีกำไรสุทธิ 4,896.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 222.65% จากปี 2550 ที่ขาดทุนสุทธิ 3,991.98 ล้านบาท และธนาคารทหารไทย มีกำไรสุทธิ 423.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.97% จากปี 2550 ที่ขาดทุนสุทธิ 43,676.95 ล้านบาท
ส่วนธนาคารที่มีผลประกอบการลดลงมากที่สุดคือ ธนาคารเกียรตินาคิน มีกำไรสุทธิ 1,866.99 ล้านบาท ลดลง 11.56% เมื่อเทียบกับปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิ 2,111.04 ล้านบาท
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่ธนาคารมีกำไรสุทธิในปี 2551 เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากในปี 2550 ธนาคารได้ตั้งสํารองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพื่อให้ครบถ้วนตามมาตรฐานบัญชี ระหว่างประเทศฉบับที่ 39 (ไอเอเอส 39) ทําให้สํารองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงในปี 2551 จำนวน 4,920 ล้านบาท หรือ 70.93% และสำรองขาดทุนจากการด้อยค่าของทรัพย์สินรอการขายลดลงจำนวน 1,328 ล้านบาท หรือ 79.33%
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ในปี 2551 ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้น 7,115 ล้านบาท หรือ 36.3% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 1,546 ล้านบาท หรือ 20.5% ค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 2,560 ล้านบาท หรือ 13.7% เมื่อเทียบกับปี 2550
นอกจากนี้ ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 6,060 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสินเชื่อรายย่อยจาก 21.7% ณ สิ้นปี 2550 เป็น 32.6% ณ สิ้นปี 2551 และเมื่อหักภาษีเงินได้จำนวน 559 ล้านบาทแล้ว ทำให้ธนาคารและบริษัทย่อยบันทึกกำไรสุทธิในปี 2551 จำนวน 4,896 ล้านบาท
Create Date : 22 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 22 มกราคม 2552 7:24:06 น. |
Counter : 609 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ราคาน้ำมันดำดิ่งลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ก่อนปิดตลาดที่ 35.40
ที่มา //www.bangkokbiznews.com
ราคาน้ำมันดำดิ่งลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ก่อนปิดตลาดที่ 35.40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 1.88 ดอลลาร์สหรัฐ ดาวโจนส์ปิดบวก 12.35 จุด
ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ราคาดิ่งลงไปแตะ 33.20 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ต่ำสุดในรอบ 5 ปี ก่อนไปปิดที่ 35.40 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 1.88 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้หลังปิดตลาด ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์ ตลาดลอนดอน ปิดที่ 44.69 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 39 เซนต์
ส่วนดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 8,212.49 จุด ปรับขึ้น 12.35 จุด หรือ 0.15%
ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 1,511.84 จุด ปรับขึ้น 22.20 จุด หรือ 1.49%
และดัชนีเอสแอนด์พี ปิดที่ 843.74 จุด ปรับขึ้น 1.12 จุด หรือ 0.13%
ด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี FTSE 100 ตลาดลอนดอน ปิดที่ 4,121.11 จุด ลดลง 59.53 จุด หรือ 1.42%
ดัชนี DAX ตลาดแฟรงก์เฟิร์ต ปิดที่ 4,336.73 จุด ลดลง 85.62 จุด หรือ 1.94%
และดัชนี CAC 40 ตลาดปารีส ปิดที่ 2,995.88 จุด ลดลง 56.12 จุด หรือ 1.84%
Create Date : 16 มกราคม 2552 | | |
Last Update : 16 มกราคม 2552 7:37:43 น. |
Counter : 461 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |