พลัดถิ่น กิน เที่ยว ช้อปฯ ไปกับรักครั้งสุดท้าย
Group Blog
 
All blogs
 

♥ ♥ ♥ พรุ่งนี้กับมะรืนวันของเค้า เมนูของเราต้องรีบทำซะวันนี้ - -"

แว้บเข้าไปดูบล็อกที่เค้าทำอาหารกัน น่าทานไปซะทุกอย่างเลยค่ะ วันนี้ก็วันศุกร์แล้วด้วย พรุ่งนี้คงเป็นเทศกาลอาหารไทย-จีนประจำบ้าน ดังนั้นคิดจะทำอะไรต้องรีบทำ

จานแรกเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ได้แรงบันดาลใจมาจากบล็อกคุณหมั่นหลั่มเหม่งค่ะ แต่พอดีคุณสามีไม่ค่อยชอบมะเขือเทศเท่าไหร่จึงจำต้องปรับให้เป็น Bruschetta แทน (เอากระเทียมมาขูดๆ บนขนมปังที่อบแล้ว จากนั้นก็ตักมะเขือเทศที่ปอกเปลือก หั่นเป็นลูกเต๋า แล้วคลุกกับน้ำมันมะกอกแบบ Extra virgin น้ำส้มบัลซามิค เกลือ และใบโหระพาสับหยาบ โปะไปบนขนมปัง) แต่ใช้พาร์เมซานชิปของคุณหมั่นหลั่มเหม่งมาแต่งให้เก๋ซะหน่อยค่ะ ตอนแรกมันดูเหลวๆ นึกว่าจะล่องจุ๊นซะแล้วค่ะจานนี้

ดูหน้าตากันหน่อยนะคะ



ตอนทานแล้วรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากันค่ะ กรอบกับกรอบเจอกัน Texture มันเหมือนบังคับให้กรอบเกินไป สงสัยพาร์เมซานชิปนี่ควรจะทำตามสูตรของหลั่มหมั่นเหม่งเป๊ะๆ หรือ ไม่ก็เอาไปทานร่วมกับอาหารที่มีเนื้อนุ่มๆ เลยน่าจะดีกว่าค่ะ



ต่อด้วยจานหลักง่ายๆ อย่าง สเต็คหมู ค่ะ ทานกับผักต้มง่ายๆ มันบดใส่เบคอน เห็ดออรินจิผัดเนย หัวหอม และเบคอน จัดจานอัปลักษณ์ใช้ได้เลยค่ะ



ตอนทานคุณชายเธอเล่นหมูไปสามชิ้นยักษ์ๆ เลยค่ะ มันบดอีกเกือบหม้อ ทานเสร็จบ่นว่า อิ่มเจียนตาย แต่พอสามทุ่มครึ่ง...หันมามองหน้ากันอีกแล้ว หิวอีกตามเคยค่ะ

ต้องลุกไปทำของหวานให้ทาน เพราะถ้าทำของคาวนี่ กลิ่นจะขจรขจายไปห้องพักอื่นๆ ข้างเคียงแน่ๆ ต่อให้ดูดกลิ่นยังไงก็ต้องไปถึง เพราะครัวติดประตูหน้าห้องเลย ดึกแล้วด้วยเกรงใจเค้าค่ะ นึกอะไรไม่ออก เอาเป็นเครปอีกทีก็แล้วกัน

ดูส่วนประกอบกันเลยค่ะ ขาดแป้งแพนเค้กสำเร็จรูปไปกล่องนึงค่ะ (แม่บ้านกึ่งสำเร็จรูปก็แบบนี้ล่ะค่า... )



เริ่มต้นที่ทำตัวแป้ง ผสมแป้งกับไข่และนม ตีๆๆๆๆ จนเนียนไม่มีเม็ดแป้ง แล้วเอาลงกรอกในกระทะค่ะ รอให้แป้งสุก พับแล้วก็ตักขึ้นได้ใส่จาน จากนั้นก็ตักไอศครีมโปะลงไป วางสตรอเบอรี่ โรยช็อคโกแล็ตสับลงไป เป็นอันเสร็จค่ะ



กว่าจะทำอีกจานเสร็จ ไอศครีมจานนี้ก็ละลายไปซะแล้วค่ะ


หมายเหตุ ไอศครีมไม่เป็นก้อนสวยเหมือนคนอื่นเค้า คงเพราะผลกรรมที่บังอาจใช้สามีมาทำค่ะ (สามีรุ่นนี้เหมาะเอาไว้ล้างชามอย่างเดียวจริงจริ๊งงงงง....แหะๆ ล้อเล่นนะค้าบ )


ขอบคุณที่แวะมานะคะ และขอให้มีวันสุดสัปดาห์ที่มีความสุขมากๆ ทุกคนค่ะ




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2550    
Last Update : 10 กันยายน 2550 23:36:24 น.
Counter : 730 Pageviews.  

^^" รักก็รักนะ แต่อาหารไทยทำยาก ทนอาหารฝรั่งไปก่อนก็แล้วกัน ♥ ♥

ด้วยว่าอิชั้นเป็นแม่บ้านสมองลิง ทำอาหารไทยทีไรเป็นรับประทานไม่ได้ซักที โดยเฉพาะพวกผัดผัก ผัดเผ็ด แกงเผ็ด แล้วดันมีสามีที่ชอบอาหารไทยเป็นชีวิตจิตใจ แต่จะปล่อยให้คนทำงานเหนื่อยๆ กลับมาทำกับข้าวทานเองก็ใช่ที่

คิดไปคิดมาก็ปลงตกได้ว่า คงไม่มีใครทำอะไรอร่อยไปซะทุกอย่างหรอกน่า (เอ๊ะ...หรือว่ามีนะ ) ทำในสิ่งที่เราถนัดก็แล้วกัน ส่วนอาหารไทยก็ให้เค้าทำทานเอาเองในวันหยุดหรือออกไปทานตามร้านก็ได้ ไหนๆ ก็อยู่เมืองไทยแล้วไม่ต้องกลัวหาอาหารไทยไม่ได้หรอก จริงมั้ยคะ

ว่าแล้วก็เดินหน้าทำอาหารง่ายๆ ตามถนัด เราเริ่มอาหารเย็นต้นสัปดาห์กันด้วย เมนูง่ายสุดขั้ว ไม่มีอะไรมากค่ะ นอกจากหยิบแตงญี่ปุ่นมาจากฟู้ดแลนด์ พร้อมด้วยพาร์ม่าแฮม ซาลามี่ แฮมรมควัน และเวอร์จิเนียแฮม

แล้วก็หั่นแตงแบ่งเป็นเสี้ยวๆ พันด้วยพาร์ม่าแฮม แล้ววางซาลามี่ แฮมรมควัน แล้วก็ม้วนเวอร์จิเนียแฮมเข้า เอามาจัดจานเลยค่ะ

หน้าตาดูไม่ได้เอาซะเลย ไม่เข้าใจว่าเวลาให้ทางฟู้ดแลนด์จัดเป็น Platter ทำไมซ้วย...สวย



จากนั้นก็ทำน้ำมันพริก (พริกแห้งอุ่นร้อนหั่นแช่ในน้ำมันมะกอกแบบ Extra Virgin) และน้ำสลัดบัลซามิค (เอาน้ำส้ม Balsamic มาตีๆ กับน้ำตาล เกลือ มัสตาร์ดแบบ Whole grain แล้วค่อยๆ เติมน้ำมันมะกอกแบบ Extra virgin ชิมรสตามชอบค่ะ) เตรียมไว้

พอจะทานก็ราดลงไปเลยค่ะ ทีนี้หน้าตาน่าเกลียดกว่าเดิมอีก อาศัยว่า ของที่เอามาทำมันอร่อยด้วยตัวมันเองค่ะ จานนี้เลยผ่านไปได้ด้วยดี



เห็นมั้ยคะ ไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรเล้ย...


ต่อด้วยสลัดมะกะโรนีชีสแฮม ที่ทำสะดวกมาก แค่ต้มมะกะโรนีเป็น หั่นผักเป็น เท่านี้ก็เสร็จแล้วค่ะ

ส่วนประกอบของอาหารจานนี้ก็มีไม่มากค่ะ
มะกะโรนีซัก 150-200 กรัม
หัวหอมใหญ่ 1/4 ของหัว
พริกหวานทั้งสามสีอย่างละ 1/3 (ลักษณะนามของพริกเค้าเรียกเป็นอะไรกันคะนี่ ผลหรือลูก)
แฮม 3-4 แผ่น
เชดดาร์ชีส 1/4 ก้อน (ที่ทำนี่ใช้แบบก้อนของคราฟท์ค่ะ ถ้าเป็นแบบอื่นก็ใส่ตามชอบนะคะ)
จริงๆ แล้วควรใส่มะกอกดำด้วย แต่คุณซะมีเค้าไม่ชอบค่ะ เลยไม่กล้าใส่

วิธีทำ
ต้มมะกะโรนี ตามปกติ (ที่ได้รับการบอกเล่าจากชาวอิตาเลี่ยนมา) คือ ใส่เกลือหยิบมือนึงลงในน้ำ เพื่อให้ได้จุดเดือดของน้ำเกลือที่จะสูงกว่าน้ำปกติหน่อย เวลาใส่เส้นลงไปอุณหภูมิจะได้ไม่ลดฮวบฮาบ ต้มให้เส้นสุก (มากน้อยตามชอบค่ะ เพราะจานนี้ไม่ต้องลงไปโดนความร้อนอีกแล้ว สุกหน่อยก็จะนุ่มนวลดี แต่สามีชอบแบบ Al dente ค่ะ) ตักขึ้น ผ่านน้ำแช่น้ำแข็งเพื่อหยุดการสุกและทำให้เย็น แล้วคลุกกับครีมสลัดยี่ห้อไหนก็ได้ตามชอบค่ะ

เรื่องต้มพาสต้านี่ เพื่อนของเพื่อนร่วมงานสามี ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารในมิลานบอกว่า ปกติถ้าจะเอาไปผัดหรือทำซ้อสราดเลย ก็ไม่จำเป็นต้องไปผ่านน้ำเย็นอีก เว้นแต่จะต้องทำเตรียมไว้รอนานๆ ก่อนผัดหรือทำซ้อสเสร็จ แบบร้านอาหารที่ต้องรอคนมาสั่งค่ะ จริงเท็จอย่างไรรอผู้รู้มาตอบหน่อยนะคะ

ระหว่างที่ต้มมะกะโรนีนั้น เราสามารถหั่นส่วนผสมอื่นทั้งหมดได้เลยค่ะ เริ่มด้วยแฮม พริกหวาน หัวหอมใหญ่ มะกอก และชีส จะหั่นเป็นชิ้นแบบไหนก็ได้ค่ะ ตามชอบ เอาง่ายๆ ก็หั่นเป็นลูกเต๋า แต่หัวหอมควรหั่นให้ละเอียดนิดนึงค่ะ ไม่งั้นเวลากัดโดนจะเผ็ดแหลมขึ้นมา

จากนั้นก็โยนทุกอย่างลงในชามมะกะโรนีค่ะ คลุกๆ ชิมรส และปรุงตามชอบ ง่ายสุดๆ ค่ะเมนูนี้



วันต่อมาทานมังสวิรัติกัน ก็ทานไข่เจียว ผัดเผ็ดถั่วหวานกับเต้าหู้ (รสชาติแย่จนอยากจะเททิ้ง แต่สามีเค้าคงสงสารค่ะ อุตส่าห์ใส่ถุงไปทานมื้อเที่ยงที่ทำงาน จริงๆ แอบเอาไปทิ้งรึเปล่าก็ไม่รู้) เต้าหู้กับเห็ดออรินจิและเข็มทองผัดกะเพรา และแกงจืดไข่ค่ะ (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะสภาพอนาถจิตยิ่ง

มาเมื่อวานนี้บังเกิดความขยัน ประกอบกับได้แรงบันดาลใจจากบล็อกของน้องแพร Chocolate republic ที่ทำ Spaghetti corned beef แต่ที่บ้านไม่มีใครทานเนื้อค่ะ แต่มีหมูหวานเส้นๆ อยู่ในตู้เย็น กระเทียมมี แต่พาสลีย์ไม่มี มีแต่โหระพา ... (เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย) เห็ดก็ไม่มีเพราะเอาไปใส่ผัดกะเพราหมดตั้งแต่เมื่อวาน ลองเติมพริกขี้หนูเข้าไปหน่อยเพราะสามีชอบรสออกไทยๆ ค่ะ

เริ่มด้วย ต้มเส้นสปาเก็ตตี้ ระหว่างนั้นก็สับกระเทียม พริกขี้หนู เด็ดโหระพา แกะถุงหมูเส้น (จะบอกทำไมเนี่ย...) ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันมะกอก (แบบธรรมดานะคะไม่ต้อง Extra virgin) ผัดกระเทียมให้หอม ตามด้วยพริกขี้หนูสับ และหมูหวานเส้นค่ะ ผัดๆ ให้หอม และหมูกระจายออกจากกัน เติมเกลือนิดหน่อย แล้วตักเส้นในหม้อสะเด็ดน้ำ แล้วมาคลุกๆ ในกระทะเลยค่ะ เมื่อคลุกทั่วแล้วก็ปิดไฟ ใส่ใบโหระพา ปิดฝาแว้บนึงแล้วตักใส่จาน บดพริกไทยลงไปก่อนทานนิดหน่อยค่ะ

ได้ออกมาหน้าตาแบบนี้ค่ะ ง่ายดีเหมือนกันนะเนี่ย



ที่เจ็บใจสุดๆ จากอาหารจานนี้ คือ คุณซะมีบอกว่าเป็นสปาเก็ตตี้ที่อร่อยที่สุดตั้งแต่เค้าเคยทานมา ทั้งตามร้านต่างๆ และที่อิชั้นเคยทำมาด้วย (อยากจะไปชวนเชฟสารพัดร้านที่เคยพาเค้าไปทาน มากอดคอกันกลั้นใจตายจริงๆ เล้ย...)

ลองชิมด้วยกันมั้ยคะ ว่ามันอร่อยขนาดนั้นจริงรึเปล่า (ขอบคุณน้องแพรเจ้าของสูตรค่ะ)



ส่วนของอิชั้นเองนั้น เกิดอยากทานพิซซ่าขึ้นมา ครัวในห้องที่พักก็ไม่มีเตาอบด้วยสิคะ จำต้องสั่งจากร้าน Le Marin ของ Cape Racha มาทานแก้ขัด เพราะในศรีราชานี้ดูเหมือนจะมีร้านนี้ร้านเดียวที่ทำพิซซ่าแบบอิตาเลี่ยน นอกนั้นเป็นแบบอเมริกันหมดเลย

นี่ค่ะ หน้าตาพิซซ่า สั่งพาร์ม่าแฮมไป ได้มาทั้งแฮมธรรมดา และพาร์ม่าแฮมด้วย



แต่อาหารเรียกน้ำย่อยที่หมดไปก่อน เป็น ซาลามี่ทานกับพิซซ่าเบรด (ของ Le Marin เหมือนกัน) ราดด้วยน้ำมันพริกนิดนึงก็อร่อยแล้วค่ะ



ตกดึกมา ดูละครใกล้จะจบแล้ว คุณซะมีก็หันมามองหน้า ทำตาปริบๆ ค่ะ โอเค...เป็นอันรู้กันว่าหิวอีกแล้ว เค้าเป็นโรคไม่ทานข้าวไม่ได้ แต่เอาไงดีล่ะ ดึกป่านนี้ เอาเครปไปทานก็แล้วกันนะคะ

เดินเข้าครัว หยิบเวอร์จิเนียแฮม และหัวหอมใหญ่ออกมาหั่นๆ หยิบแป้งแพนเค้กมาตีกับไข่และนม ระหว่างนั้นก็ตั้งกระทะ ทอดไข่ดาว ให้ไข่แดงไม่สุก (จริงๆ จะเลียนแบบ Crepe Supreme ของร้าน Crepes & Co ล่ะค่ะ แต่ทำไม่เหมือนซะทีเดียว ดัดแปลงเอาตามสะดวกประสาแม่บ้านสมองลิงอย่างอิชั้น...) ตักไข่ขึ้นพักไว้ จากนั้นตัดเนยลงไปหน่อยนึง แล้วเอาหอมใหญ่ลงไปผัดให้หอม และใส จากนั้นก็ใส่แฮมค่ะ พอหอมดีแล้วก็เอาแป้งสาลีโรยๆ ซักช้อนโต๊ะนึง ผัดให้แป้งละลายแล้วเทครีมตามลงไปหน่อยนึง ผัดให้เป็นครีมข้นๆ บดพริกไทยดำลงไปนิดหน่อย ไม่ต้องปรุงด้วยเกลืออีกแล้วค่ะ เพราะแฮมเค็มแล้ว ตักขึ้น

จากนั้นตักแป้งเครปไปกรอกในกระทะให้ทั่ว รอให้แป้งเริ่มสุก ตักไส้ที่ผัดแล้วใส่ลงไปตรงกลาง วางไข่ทับด้านบน แล้วพับขอบเข้ามาให้เห็นไข่แดงตรงกลางค่ะ จากนั้นก็ตักใส่จานได้เลย จานนี้จะทานเปล่าๆ หรือ ทานกับสลัดก็ย่อมได้นะคะ แต่มื้อนี้ดึกแล้ว ทานเปล่าๆ นี่ล่ะค่ะ



หน้าตาเครปที่ได้ยามดึกค่ะ ใช้เวลาประมาณสิบนาทีเอง



พอทานเครปคาวเสร็จ แป้งก็ยังเหลือ เลยทำเครปหวานทานกัน โดยกรอกแป้งเหมือนเดิมค่ะ แต่เอาแยมสตรอเบอรี่มาทาแทน พอทานเสร็จก็มองหน้ากันแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า ทานรอบดึกกันขนาดนี้ ตายแล้วเกิดใหม่ยังไม่รู้ว่าจะผอมลงได้รึเปล่าเลยนะนี่

ผ่านมาหลายวันมีแต่อาหารฝรั่งกับญี่ปุ่น (เว้นวันที่ทานมังสวิรัติ) ไม่รู้คุณสามีจะทนได้อีกนานแค่ไหน แต่ก็อยากบอกให้เข้าใจเหมือนกันว่า อาหารไทยเนี่ยไม่เหมือนอาหารชาติอื่นนะคะคุณพี่ ที่จะมาโยนลงหม้อ ลงกระทะเปรี้ยงๆ เสร็จในไม่กี่นาทีแล้วออกมาอร่อยน่ะ คงต้องไปแต่งกะคนอื่นแทนแล้วนะค้า....

ที่สำคัญตอนนี้อยู่เมืองไทย ร้านอร่อยๆ มีถมเถไป อุดหนุนร้านอาหารเค้าซะบ้าง เงินทองจะได้สะพัด เป็นการช่วยเศรษฐกิจไทยในระดับมหภาคเชียวนะคะนี่




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2550    
Last Update : 22 ตุลาคม 2550 11:48:42 น.
Counter : 1860 Pageviews.  

@ ♥ ♥ ♥ Foie gras with Cranberry sauce กับ ปูม้าไข่ และ กั้งดองน้ำปลา ♥ ♥ ♥ @

ตอนจะทำบล็อกนี้ก็หวั่นๆ ว่า คงจะมีคนเข้ามาแน่ๆ ว่า ใจร้าย สนับสนุนการทรมานสัตว์ เอาเป็นว่า ขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลก็แล้วกันนะคะ

อาหารที่ว่า คือ Foie gras ค่ะ ชอบทานทั้งที่เป็นตับห่าน และ ตับเป็ด แต่การจะซื้อตับห่านแช่แข็งที่ขายในเมืองไทยมาทำเพื่อทานคนเดียวนั้น ออกจะเกินความต้องการมากไปสักหน่อย เนื่องจากขายกันทั้งอันซึ่งใหญ่มากกกกก หนักประมาณกิโลกว่าๆ ราคาพันกว่าถึงสองพันกว่าบาท

แม้ว่าราคาจะถูกกว่าที่ซื้อเป็นกระป๋องจากฝรั่งเศส แต่ถ้าทานไม่หมดแล้วต้องเสียส่วนที่เหลือไป หรือ ต้องทนกล้ำกลืนทานจนหมดทั้งอัน (อาหารที่ดีฟรอสต์แล้วเอามาฟรีซใหม่ก็ไม่ดีแล้วค่ะ) ค่ารักษาพยาบาลในการลดไขมันในเส้นเลือดที่จะเกิดขึ้นภายหลังก็คงจะแพงกว่าอีกหลายเท่านัก (หมออิชั้นเค้าว่า ใกล้แล้วค่ะ ใกล้จะได้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตเข้าไปทุกทีแล้ว เพราะไขมันไปกดทับเส้นประสาทอยู่ แต่คนมันอยากนี่นาคุณหมอขา ...

ครั้นจะไปทานตามบุฟเฟ่ท์โรงแรมเหมือนคนอื่นๆ เค้า เราก็มีเวลาว่างกันแค่เสาร์อาทิตย์ ก็ไม่อยากจะไปเจอคนเยอะๆ ค่ะ ได้แต่ไปร้านอาหารประจำกันในมื้อเย็นวันธรรมดา

แต่ก็นะ... จานละหกร้อยกว่าบาท มีอยู่จิ๊ดเดียวเอง และต้องรอให้คุณชายเธอมีอารมณ์อยากทานอาหารฝาหรั่งพร้อมๆ กันด้วย ไม่งั้นเค้าอาจจะไปสั่งข้าวผัดกะเพราในร้าน หรือ ขอน้ำปลาพริกในร้านเพื่อทานกับสเต็ค เป็นการแก้ลำอิชั้นฐานขืนใจให้ทานของที่ไม่ชอบเอาได้ ที่สำคัญการย้ายที่อยู่ไปมานั้น ก็มีส่วนสำคัญให้ต้องห่างเหินร้านโปรดของอิชั้นในกรุงเทพไปโดยปริยาย

ดังนั้นเวลาไปฝรั่งเศส หรือ มีเพื่อนฝูงไป ก็จะฝากซื้อ Foie gras ของร้านโปรดร้านนึงมาเสมอค่ะ ชื่อร้าน Comtesse du Barry (ร้านนี้มีเปิดในเมืองไทยด้วยนะคะ แต่เคยไปเช็คราคามา แหะๆ สองเท่ากว่าของราคาที่ซื้อในฝรั่งเศสเลยค่ะ ไม่ไหว...เสียดายตังค่ะ ทางร้านคงไม่ฟ้องอิชั้นนะคะ ก็พูดความจริงนี่นา )

ของที่ร้านนี้มีหลากหลายมากค่ะ เสียดายที่ไม่เคยคิดที่จะถ่ายรูปร้านเก็บไว้ คราวนี้พอได้ของที่ฝากเพื่อนสามีซื้อมา เลยคิดว่าควรถ่ายรูปเก็บไว้ เวลาจะฝากใครซื้ออีกจะได้เรียกขึ้นมาดู เอ๊ย...ไม่ใช่ เอาไว้เวลาอยากทานจะได้เอาขึ้นมาดูค่ะ เพราะซื้อเก็บได้ทีละไม่เยอะค่ะ อย่างมากก็ 6 กระป๋อง ถ้าขนเอง

แต่ถ้าฝากคนอื่นซื้อ 4 กระป๋องนี่ก็เกือบหนึ่งกิโลแล้วค่ะ เกรงใจเค้ามากๆ เดี๋ยวนี้ Air France ก็เขี้ยวเรื่องน้ำหนักแล้วด้วย แถมเวลาเกิดประท้วงที่สนามบิน คนที่ไปอาจจะดวงดีได้ลากกระเป๋าเองตลอดทางอีกต่างหาก คนที่เคยรับฝากซื้อของจากต่างประเทศให้คนอื่นบ่อยๆ คงจะเข้าใจความรู้สึกนี้ได้เป็นอย่างดีนะคะ บางทีน้ำหนักแค่ครึ่งกิโลก็เป็นปัญหาได้เหมือนกัน ยิ่งถ้าเป็นของขนาดใหญ่แต่เบาแล้วแตกได้นี่ โอย...คนแพ็คอยากร้องไห้ แต่ถ้าหนักแล้วขนาดเล็กนี่ยังพอสู้กันได้บ้าง

เอ...ว่าจะเขียนเรื่อง Foie gras ไหงกลายเป็นเรื่องของฝากซื้อไปได้เนี่ยยยยย

เข้าเรื่องดีกว่าค่ะ
คราวนี้ใจร้ายฝากน้องที่ทำงานสามีช่วยซื้อมา 4 กระป๋องค่ะ เพราะหลังจากที่ถามแล้วถามอีกด้วยความเกรงใจว่า น้องจะต้องแบกน้ำหนักเยอะ แต่น้องเค้าก็ยืนยันว่า ไม่ต้องซื้ออะไรให้คนอื่นอยู่แล้ว กระเป๋าว่าง เสร็จอิชั้นค่า ตอนแรกฝากไปแค่ 3 กระป๋อง แต่พอดีมีโปรโมชั่นช่วงอีสเตอร์ค่ะ เลยแอบเพิ่มมาอีกกระป๋องนึง ด้วยว่าแบบ Bloc เค้าลดราคาเหลือแค่ 35 ยูโรจาก 42 จากกระป๋องเดียวที่ต้องการเลยเพิ่มมา อีกกระป๋องนึงจะเป็น Starter ที่เค้าเอาแฮมมาม้วนห่อตับอีกที เอาไว้ทานกับขนมปังปิ้ง

ร้านนี้ไม่มี Whole goose foie gras ขายค่ะ มีแต่ที่เป็น Bloc ก็เลยเอาแต่ที่เป็น Whole Duck foie gras (หรือ Canard) มาอย่างเดียว



เปิดกระป๋อง Whole duck foie gras ออกมา จะหน้าตาแบบนี้ค่ะ


เจ้าสีเหลืองๆ นี่ไม่ต้องใช้ด้วยนะคะ เป็นไขที่เอาไว้รักษาสภาพตับเท่านั้นเองค่ะ
ก่อนที่เราจะเริ่มทอดตับกัน หลังหั่นตับออกเป็นชิ้นแล้ว เตรียมปิ้งขนมปังรอไว้ก่อนเลยค่ะ

พอเอาขนมปังเข้าเตาเรียบร้อย ก็ตั้งเตาทอดตับได้เลย ใช้เวลาไม่นานนะคะ ขึ้นกับความหนาของชิ้นตับที่เราหั่น ถ้าหั่นบางแบบรูปข้างล่างนี้ ข้างละครึ่งนาทีพอค่ะ ไม่งั้นพาลจะหดหมด พอเสร็จแล้วตักขึ้นใส่จานเลยค่ะ ราดด้วยซ้อส Cranberry (อิชั้นแอบใส่ Raspberry เข้าไปด้วยค่ะเพราะเนื้อซ้อสที่ทำมันดูเพลนไปหน่อย) หรือ ซ้อสที่ออกรสเปรี้ยวแบบอื่นตามชอบ (บางคนเค้าชอบบัลซามิค แต่อิชั้นว่ามันเปรี้ยวแหลมไปหน่อยค่ะ) พอทอดตับเสร็จ ขนมปังก็ปิ๊งงงง พอดีเวลากันเป๊ะเลยค่ะ

จานนี้ของคุณสามี ผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเจ้าเก่าค่ะ เค้าไม่ค่อยจะชอบเท่าไหร่ แต่ต้องทานเพราะไม่งั้นอิชั้นคงทานเรียบทั้งกระป๋อง ค่ารักษาพยาบาลมันแพงกว่าตัวตับเยอะค่ะ



จานที่สอง อันนี้ของอิชั้นเองฮ่า.... โปรดสังเกตว่าชิ้นใหญ่เป็นล่ำเป็นสันกว่าอีกจานมาก



เหลือจากทำอาหารเรียกน้ำย่อยกันแล้ว เราก็มาทำสลัดต่อได้ค่ะ เพราะมันควรจะใช้ให้หมดกระป๋องในทีเดียว ร้านในฝรั่งเศสบางร้านเค้าจะเอาหนังไก่บางๆ ที่ทอดกรอบแล้วมาหั่นหยาบๆ โรยบนสลัดอีกที ให้มีรสสัมผัสที่ต่างกัน คือ ความสดของผัก ความนุ่ม หอม มันของตับ และความกรอบ หอมของหนังไก่ แต่อิชั้นเห็นว่าเท่านี้เราทั้งสองแก่ ต่างก็ใกล้จะตายเพราะมันจุกอกแล้ว เลยเอาแค่ตับกับสลัดก็เพียงพออย่างแรงค่ะ



แถมท้ายด้วยอาหารโปรดของคุณสามีค่ะ (ไม่รู้อยู่กันได้ไงเหมือนกันนะคะ อาหารการกินที่ชอบนี่ต่างกันสุดขั้ว ) ปูม้าและกั้งดองน้ำปลา การได้มาอยู่ที่ศรีราชานี่ ถือเป็นทุกขลาภ (ปาก) โดยแท้ค่ะ แม้ว่าจะไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่กรุงเทพ แต่อาหารทะเลก็อุดม มัธยมยิ่งนัก นึกอยากจะทานเมื่อไหร่ก็แค่โย้พุงย้วยๆ ของเราสองคนออกไปนอกโรงแรมนิดเดียวเองค่ะ

ปูม้าสดๆ ค่ะ ซื้อมาจากเจ้าประจำที่หนองมน เอาไปแช่น้ำปลาดี (ของที่ร้าน) ซัก 10 นาที (ถ้าชอบให้ออกเค็มก็แช่ซัก 20 นาทีนะคะ)



ดูไข่สิคะ ตัวกระจิ๊ดเดียวเอง แก่แดดจริงๆ



ของโปรดเจ้ามือทั้งนั้นเลยค่ะ กั้งแก้วสดๆ และ หอยนางรมแกะแล้วขายกันเป็นชุดละไม่กี่ตัง ถูก อร่อย และปลอดภัย เพราะเป็นเจ้าประจำกันมาหลายปีแล้วค่ะ น้ำจิ้มก็รสจัดจ้านดีทีเดียว


โปรดสังเกตว่า คุณชายเค้าหั่นไป ทานไป จานเจินไม่ต้องจัดเลยค่ะ ทำเอง ทานเอง (สบายอิชั้นไปมื้อนั้น )

ขอบคุณที่แวะเข้ามาค่ะ (จบห้วนๆ เพราะเขียนเสร็จก็หิววววววพอดีเลยค่า...)




 

Create Date : 17 สิงหาคม 2550    
Last Update : 10 กันยายน 2550 23:49:50 น.
Counter : 3352 Pageviews.  

♥ ♥ ♥ Cooked by heart for my last love ♥ ♥ ♥

ต่อเนื่องมาจากบล็อกที่แล้วค่ะ หลังจากออกจากร้านมุมอร่อยมาถึงที่พักก็เกิดอาการคาวในปากค่ะ อยากจะทานของหวานซะอย่างนั้น แต่ละแวกนี้จะหาเค้ก หรือ ขนมหวานที่ถูกใจค่อนข้างยาก (คนมันเรื่องมากล่ะน้อ...) จริงๆ ที่เคปราชาเค้าก็มีขนมหวานหลายอย่างให้เลือกนะคะ แต่ขี้เกียจเดินแล้ว เอาเป็นว่าคุ้ยๆ ดูของในตู้เสบียงแล้วทำเอาดีกว่า....

เจอเข้ากับ White Chocolate (330 g.) และ โอรีโอ (ใช้แพ็คคู่) เอ...นมก็มี (ใช้ 1 ¼ ถ้วย) เนยก็มี (6 ช้อนโต๊ะ) เจลาตินก็มี (ใช้ 1 ช้อนโต๊ะ) วิปปิ้งครีมก็มีอีกแน่ะ (ใช้ 2 ถ้วย) คิดได้ดังนั้นก็เริ่มบรรเลงฝีมือกันเลยค่ะ แต่เอ....ไม่มีเครื่องตีไข่นี่นา ไม่เป็นไรใช้สามี เอ๊ย...ใช้ที่ตีฟองนมก็คงพอได้

ว่าแล้วก็ลงมือบดโอรีโอ ละลายเนยแล้วผสม บุที่ก้นพิมพ์แบบถอดได้เพื่อทำครัสต์ แล้วต้มนม กับ ช็อคโกแล็ต ระหว่างที่รอให้นมเย็นและครัสต์แข็งตัวอยู่นั้น ก็ไปออดอ้อนให้คุณฝาละมีช่วยตีครีมให้ค่ะ หลังจากหมดถ่านไป 2 ก้อน คุณชายเธอก็พูดชมเจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ตอนซื้อมาใหม่ๆ บ่นแล้วบ่นอีกว่า อิชั้นชอบซื้อของไร้สาระ อะ...นะ ไม่ได้เจ้าตัวนี้ คุณพี่มีหวังแขนล่ำจากการตีวิปปิ้งครีมด้วยตะกร้อมือไปแล้นนนนน

นี่ค่ะ หน้าตาอุปกรณ์ช่วยผ่อนแรงคุณซะมีอิชั้น



และแล้วก็สำเร็จออกมาเป็น Oreo white chocolate mousse cake สูตรของคุณ Lumos ค่ะ แม้ว่าจะไม่ทำให้ปากหายคาวได้ในตอนกลางคืน แต่ก็ชดเชยความอยากขนมได้อย่างดีเลยค่ะ สูตรนี้ตั้งแต่ทำมายังไม่เคยพลาดให้เสียหน้าเลยแม้แต่ครั้งเดียวนะคะ ไม่ต้องใช้เตาอบ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมากด้วย ขนาดไม่ได้อยู่ที่บ้านยังทำได้เลยค่ะ ...



คุณซะมีทานไป 2 ชิ้นยักษ์ๆ เลยค่ะ (ตกลงใครกันแน่นะที่อยากกินเนี่ย)



พอวันอาทิตย์ ความที่ขี้เกียจออกไปหาอะไรทานข้างนอก ก็งัดๆ เอาของที่ตุนไว้ในตู้ออกมา ทำอาหารมื้อง่ายๆ ทานก่อนจะออกไปซื้อไข่กุ้งและไชเท้ามาทำอาหารเที่ยง และเย็นทานกันค่ะ

ได้ออกมาเป็น Fusilli Carbonara (เหตุผลที่ทำน่ะเหรอคะ... ทั้งนมและครีมมันเหลือจากทำขนมเมื่อวานค่ะ แม่บ้านยุคใหม่ต้องประหยัด ใช้ของให้ประโยชน์สูงสุดเนาะ) สูตรแบบมั่วเอาเอง ต้มเส้น Fusilli กะให้ไม่ต้องสุกมาก (ดิบกว่า Al dente นิดนึง เพราะต้องเอาลงไปใส่ให้ซับซ้อสเข้าไปอีกหน่อยค่ะ) ระหว่างนั้นก็ผัดเบคอนให้มีน้ำมันออกมาแล้วใส่หัวหอมใหญ่ หอมแดงหั่นเต๋าเล็กๆ พอหอมและใสทั้งคู่ก็ใส่แฮมตามไปค่ะ

จากนั้นก็ใส่เนยเพิ่มอีกนิดหน่อยให้พอหอมๆ โรยแป้งสาลีลงไปผัด แล้วใส่นม (สำหรับคนกลัวอ้วน) หรือ ใส่ครีม (สำหรับคนอยากอ้วน) สำหรับคนที่กลัวอ้วนและไม่อยากอ้วนอย่างอิชั้นและสามี ใส่ทั้งนมและครีมเลยค่ะ เพราะเสียดายของ

จากนั้นก็ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยบดหยาบๆ แล้วก็ตักเส้น Fusilli ขึ้นจากหม้อมาลงกระทะซ้อสเราเลยค่ะ คลุกๆ ให้เข้ากันดี พอซ้อสเดือดอีกครั้งก็ปิดไฟ แล้วเอาไข่ไก่มาเต๊าะ...เอาแต่ไข่แดงนะคะ ใส่ลงไปในกระทะ คนอย่างเร็วเพื่อให้ไข่กระจายทั่วๆ กันโดยไม่จับเป็นก้อน ตักขึ้นใส่จานแล้วขูดพาร์เมซานชีสลงไปขณะที่ยังร้อนๆ เท่านี้ก็เรียบร้อยค่ะ แต่งหน้าด้วยพาสลีย์ และบดพริกไทยดำใส่ไปอีกนิดหน่อยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมๆ ค่ะ



ส่วนมื้อเที่ยง ก็ทำโซบะน้ำทะเลเย็น เลียนแบบที่ฟูจิทำ แต่ไม่มีเทมปุระนะคะ (ขี้เกียจทำค่ะ เทมปุระเนี่ยเรื่องเยอะ)



แล้วก็ทำโซบะเย็นธรรมดา



คุณซะมีอิชั้นเค้าทานจุค่ะ แค่นี้ไม่อิ่มแน่นอน ต้องมีทาโกะยากิจานใหญ่ๆ แบบนี้ล่ะค่า (เค้าบ่นมากมายตอนที่หอบหิ้วเตาทำทาโคะนี่มาค่ะ แต่ขอโทษ..พอทำเสร็จ พี่เค้าทานไปคนเดียวกว่าครึ่งจานเลยค่ะ....ขอนินทาหน่อยเถอะ)



ส่วนมื้อเย็น ก็อาหารญี่ปุ่นเซ็ทเดิมๆ เพราะของเหลือจาก 2-3 มื้อก่อนหน้านี้ค่ะ เพียงแต่มื้อนี้ไม่มีโอโทโร่ของโปรดอิชั้นเสียแล้ว (ตอนซื้อคุณชายเค้าบอกว่า เค้าไม่ชอบ ไม่ต้องเผื่อ เหมือนเจ้า Hotate เลยค่ะ แต่พอทำเสร็จ คุณชายเธอก็เหมาซะเรียบทุกทีไป )

ซาชิมิค่ะ



สลัดปูอัดไข่กุ้ง



ข้าวหน้าปลาไหลย่าง วันนี้ไม่มีข้าวญี่ปุ่นค่ะ เอาข้าวไทยไปก่อนก็แล้วกัน



และขาดไม่ได้เลย มิโซะซุปค่ะ



แหม...อิ่มอร่อยได้สุขภาพจริงๆ ทานแบบนี้มื้อเย็น อีกไม่นานเราทั้งสองคงจะลดน้ำหนักลงและกลับไปเป็นเหมือนเมื่ออดีตได้เป็นแน่แท้...

ถ้าเพียงแต่ ยามดึกเราจะไม่ลุกขึ้นมามองตากันพร้อมหัวเราะเบาๆ และบอกพร้อมกันว่า หิววววววว

ถ้าตั้งเวลาไว้ที่กล้องตอนถ่ายรูปก็จะได้เห็นว่า ไข่ตุ๋น ชามนี้ทำเมื่อตอนห้าทุ่มค่ะ ใส่ทั้งไข่ ทั้งนม คามาโบโกะ ไควาเระ ระหว่างที่รอเราก็จ้วงไข่พะโล้กับข้าวสวยที่คุณซะมีซื้อมาตุนไว้เป็นอาหารเช้า ก็ไข่ตุ๋นมันใช้เวลานี่นา ... เฮ้อ...ชาตินี้คงจะผอมกันหรอกนะคะนี่


ความที่ไม่ค่อยได้ออกเที่ยวกันในช่วงนี้ คุณสามีเลยมาเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการทำบล็อกเรื่องอาหารค่ะ ทั้งช่วยถ่ายรูป เลือกภาพให้ และที่สำคัญออกตังค่ะ.... ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้

สำหรับอาหารทุกจานที่ทำนั้น แน่นอนว่าคงจะไม่อร่อยเท่าหลายๆ ร้านที่เราเคยไปทานกันมา แต่อย่างน้อยก็ปรุงจากหัวใจ แด่ผู้เป็นที่รักคนสุดท้ายของชีวิต (แอบซึ้ง แต่พี่ขา...คราวหน้าเวลาซื้อโอโทโร่กับหอยเชลล์เนี่ย กรุณาอย่าขวางอีกนะคะ พี่ทานเยอะกว่าหนูอีกค่า... )




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2550    
Last Update : 9 สิงหาคม 2550 19:23:55 น.
Counter : 1198 Pageviews.  

@ ^ ^ @ มุมอร่อย ศรีราชา @ ^ ^ @

ไม่มีอะไรใหม่ๆ มาเขียนในบล็อกเกี่ยวกับเรื่องเที่ยวเลยค่ะ เพราะเหตุที่ไปเชื่อพยากรณ์อากาศของเว็บดัง Yahoo ที่บอกว่าจะมีฝนตกที่ชลบุรี โดยเฉพาะบ่ายวันเสาร์ เอาเข้าจริงๆ แดดแจ๋จนเย็นเลยค่ะ จะไปเกาะล้านก็ไม่ได้ไปกับเค้าซะที พักที่ศรีราชามาครึ่งปีแล้วเนี่ย (พอวันอาทิตย์ที่บอกว่ามีโอกาสฝนตกแค่ 50% น้อยกว่าวันเสาร์อีก ฝนกลับเทกระหน่ำมาในช่วงห้าโมงเย็น )

เมื่อคิดว่าจะเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แถวๆ ที่พักเท่านั้น เรื่องอาหารการกินก็เลยกลายเป็นกิจกรรมของครอบครัวไปโดยปริยายค่ะ เราเริ่มกันตั้งแต่เย็นวันศุกร์กันเลย ด้วยการไปที่ร้านมุมอร่อย ศรีราชา (สาขานาเกลือไม่ต้องพูดถึงค่ะ ทั้งรสชาติอาหาร และการบริการแสนจะประทับใจ ให้ไปทานอีกทียังต้องขอคิดก่อนซักคืนเลยค่ะ.....จะโดนฟ้องมั้ยนี่เรา)

สาขานี้ที่นั่งริมหาดไม่สวยเท่าที่นาเกลือ เพราะเป็นเตียงไม้นอนชายหาด แต่นั่งสบายพอควรค่ะ (ส่วนใหญ่มักจะเอนผึ่งพุงกันเมื่ออิ่มแล้ว ) ถึงจะไม่สีขาว สะอาดตาแบบที่นาเกลือ แต่อาหารและบริการก็นับว่าดีกว่า และแม้ว่าคุณจะไม่ได้ที่นั่งริมหาดด้านล่าง แต่คุณก็สามารถชมวิวในมุมเดียวกันได้เพราะเค้าทำพื้นที่ให้ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ ไปค่ะ

ส่วนเรื่องการบริการ น่าแปลกที่พนักงานชุดดำบางคนตอบคำถามได้ดีไม่เท่าพนักงานเสื้อยืดส้มที่คอยเสิร์ฟอยู่ตามโต๊ะค่ะ ร้านนี้จึงเป็นร้านที่มีข้อด้อยอยู่ตรงการฝึกอบรมพนักงานให้มีจิตใจรักงานบริการ และมีความรู้ในเรื่องเกี่ยวกับอาหารของร้านตัวเอง

สำหรับอาหารของเค้า จัดว่า อร่อย แม้จะไม่มากเท่าสมัยที่ร้านอยู่ตรงทองหล่อ แต่ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า ไม่อร่อย เลยซักจานเท่าที่ทานมา (แต่สาขานาเกลือนี่ บอกได้หลายจานอยู่ค่ะ....) แถมการจัดจานก็ไม่เหมือนกันด้วย อย่าง ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ที่นาเกลือจะจัดจานออกมาโล้นมากๆ แล้วมีอาหารกระจุกเล็กๆ อยู่ตรงกลางจานเปล .... กุ้งอบมุมอร่อยก็มาแบบแห้งผาก เฮ้อ....ไม่เขียนถึงสาขาโน้นดีกว่านะคะ ลมขึ้น

มาดูกันที่จานแรกของมื้อนี้ค่ะ หอยนางรมสดๆ พร้อมเครื่องเคียง และ กั้งกระดานทอดกระเทียมค่ะ



ต่อมาเป็น ทะเลโหด ค่ะ ใส่ของทะเลทุกอย่าง แล้วทำเหมือนต้มยำ แต่ออกเค็มไปหน่อยค่ะ ทานตอนแรกๆ ร้อนๆ อยู่ก็ไม่รู้สึกเค็มเท่าไหร่ เท่าไหร่ค่ะ



จานต่อมาเป็น ปูไข่นึ่ง ค่ะ จริงๆ อยากจะถ่ายปู แต่คุณซะมีคว้ากล้องไปถ่ายเลยได้มุมที่กั้งเด่นกว่ามาแทนค่ะ



มาดูดีกว่าค่ะว่า ปูไข่ จริงๆ รึเปล่า



ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะห่ออะไรกลับบ้าน เพราะทานกันไม่หมดแน่ๆ จมูกเจ้ากรรมก็ดันได้กลิ่นหอมๆ มาจากโต๊ะข้างๆ และได้ยินเสียงฉ่า..... จนต้องหันไปดู ก็เจอเจ้าจานนี้เข้าค่ะ เลยต้องสั่งตามทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ

ปรากฏว่า อร่อย ค่ะ มิน่าล่ะ เห็นสั่งกันเกือบทุกโต๊ะทุกทีที่มาเลย (แต่ด้วยความที่ไม่ชอบถั่วงอก เลยไม่เคยอยากจะสั่งเลยค่ะ ถ้าไม่ได้กลิ่นหอมหวนเย้ายวนเผาขนกันขนาดนี้...)


สภาพของอาหารที่ต้องห่อกลับบ้านค่ะ



วันนี้ไม่มีพระอาทิตย์มาตกน้ำให้เห็นเลยค่ะ ฟ้าขมุกขมัวไม่เป็นใจ พอเริ่มค่ำน้องๆ เค้าก็จะเอาเทียนมาจุดให้ เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้โรแมนติคขึ้นไปอีกค่ะ


แต่นั่งไปซักพัก แสงเทียนไม่พอค่ะ ต้องเปิดนีออนเพิ่ม เล่นเอาหมดอารมณ์ไปเหมือนกันนะคะนี่.... กลับกันดีกว่าเรา





 

Create Date : 06 สิงหาคม 2550    
Last Update : 10 กันยายน 2550 23:48:26 น.
Counter : 1106 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

L@st love
Location :
Shenyang China

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ที่ว่า พลัดถิ่น กิน เที่ยว ช้อปฯ ไปกับรักครั้งสุดท้าย เพราะรักครั้งนี้พาระหกระเหินไปโน่นมานี่ อยู่ตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อยไปเรื่อยเปื่อยค่ะ

จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องพลัดจากบ้านไปอยู่ถิ่นที่ไม่คุ้นเคย อาหารที่ชอบก็หาไม่ค่อยได้ ของที่เคยใช้ก็ไม่ค่อยอยากจะมีให้ซื้อ ฯลฯ

บล็อกนี้เลยถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2549 เพราะคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องทางจีนๆ ก็แหม...ทางตะวันตกน่ะ หาอะไรก็ง่ายอยู่แล้วนี่คะ รู้ภาษาอังกฤษซะอย่างไปไหนก็เอาตัวรอดได้

หลังจากแว่บไปเก็บความรู้ตามบล็อกตกแต่งต่างๆ แล้ว ปริมาณเทคโนโลยีในสายเลือดก็ค่อยเพิ่มขึ้นมาในระดับหนึ่ง ตอนนี้จึงมีบล็อกที่ทำสำเร็จหลายบล็อกเลยค่ะ (ขอบคุณป้ามดและอีกหลายท่านค่ะ)

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามา เชิญไปเที่ยว ชม ช้อปฯ และชิมด้วยกันเลยค่ะ มีคำแนะนำ ติ ชมอย่างไร ฝากข้อความมาได้เลยนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักและรับทุกความเห็นค่ะ





สงวนลิขสิทธิ์ ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537

ภาพและบทความบนเวบไซต์แห่งนี้ จัดทำเพื่อเผยแพร่บนเวบ bloggang.com และ pantip.com เท่านั้น

"ห้ามนำภาพ ข้อความ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของภาพ และ/หรือ ข้อความในเวบไซต์แห่งนี้ไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต หากละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด"
Friends' blogs
[Add L@st love's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.