Group Blog
ไฟรัก...บท 5/1


“ผมโทรศัพท์นัดให้เรียบร้อยแล้วครับ หมอนวดจะมาถึงในอีก ๔๕ นาที ส่วนนี่ตารางงานวันพรุ่งนี้ครับ” ฌองกล่าวพลางยื่นแฟ้มให้

เสียงพูดของฌองดึงภาติยะออกจากภวังค์ เขารับแฟ้มมาอ่าน พลางพึมพำ “ว่างตลอดครึ่งเช้าและช่วงบ่ายพบทนายความที่นี่”

ภาติยะกลับไปเมืองไทยได้เกือบสัปดาห์ ก็มีคำสั่งศาลขอให้เขาไปให้ปากคำในคดีพรากผู้เยาว์เด็กวัย ๑๔ ในอีก ๒ สัปดาห์ เขาจึงต้องรีบบินกลับมาอเมริกาเพื่อเตรียมเอกสารข้อมูลในการต่อสู้คดี

ฌองตอบว่า “ครับ...ผมจัดให้มีเวลาว่างครึ่งเช้า ก็เพื่อคุณแพทจะได้พักผ่อนต่ออีกหน่อย เพราะวันนี้เดินทางมาเหนื่อยๆ พรุ่งนี้บ่ายค่อยปรึกษากับทนายความ” ทนายความที่ภาติยะว่าจ้าง เป็นทนายความที่เก่งที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ก็เรียกค่าตัวแพงหูฉี่เหมือนกัน

คดีพรากผู้เยาว์เด็กวัย ๑๔ เป็นอีกปัญหาที่เกิดจากบรรดาสาวๆ ไม่ว่าจะเป็นสาวเล็กหรือสาวใหญ่ต่างพากันหลงใหลคลั่งไคล้ภาติยะขนาดหนัก กระทั่งพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหลอกล่อให้เขาขึ้นเตียง ที่ผ่านมาชายหนุ่มสามารถเอาตัวรอดได้ทุกราย เข้าทำนองรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง กระทั่งมาถึงรายล่าสุดที่เป็นนักแสดงรุ่นเยาว์ในฮอลลีวูด

ภาติยะพลาดถูกเธอมอมยา ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากความสนิทสนมและความไว้ใจมากเกินไป เขายืนยันต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่ได้ล่วงเกินเด็กหญิง แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงที่เข้ามาพบในอพาร์ตเมนต์ของเธอตอนนั้นไม่เชื่อ กล่าวหาว่าเขากระทำชำเราลูกสาว เพราะต่างหลับใหลในสภาพเปลือยกายทั้งคู่

ให้ตายเถอะ... คนที่อยู่ในสภาพไม่ได้สติ จะมีกำลังไปร่วมเพศได้อย่างไรเพราะอาวุธไม่แข็งตัว...ฌองนึกพลางสบถในใจ หากทว่าตำรวจไม่เชื่อ อ้างว่าพบคราบอสุจิของภาติยะอยู่บนตัวของเด็กหญิง ขณะนี้เรื่องจึงอยู่ระหว่างการดำเนินคดีเพื่อพิสูจน์ความจริง

“แล้วคิวงานของวันมะรืนนี้ เสร็จหรือยังครับ” ภาติยะถามต่อพลางขยับลุก เพื่อไปอาบน้ำและรอหมอนวดที่โรงยิม

“เสร็จแล้วครับ แต่ผมยังไม่ได้ปริ้นต์ออกมา ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าบริษัท...” ฌองเอ่ยชื่อบริษัทผลิตภาพยนตร์เรตเอ็กซ์ค่ายยักษ์ใหญ่ที่ภาติยะสังกัดอยู่ ก่อนพูดต่อว่า “ขอเลื่อนการถ่ายทำเร็วขึ้น มาเป็นวันมะรืนนี้ครับ”

ฌองหมายถึงหนังกอนโซซึ่งมีคิวถ่ายทำอยู่ในห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง ภาติยะพยักหน้ารับรู้ โดยปกติหนังกอนโซ ใช้เวลาถ่ายทำไม่นาน ประมาณ ๔-๕ ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว เพราะส่วนใหญ่เป็นฉากร่วมเพศ

นักแสดงหนุ่มตอบว่า “โอเค...ตกลงตามนั้นครับ แต่ยังไงรบกวนลุงฌองนัดกองถ่ายของหนังผมในวันถัดไปให้ด้วยนะครับ ผมอยากเริ่มคัดตัวนักแสดงกับหาโลเกชั่น เพราะตอนนี้บทภาพยนตร์เสร็จแล้ว”

“ได้เลยครับคุณแพท” ฌองรับคำอย่างนอบน้อม ก่อนมองตามนายหนุ่มเดินตรงไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นสู่ชั้นบน

หลังจากภาพยนตร์สงครามที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของหน่วยกู้ระเบิดในสงครามอิรัก ซึ่งภาติยะเป็นผู้กำกับ ได้รับการตอบรับด้วยดีจากผู้ชมในอเมริกา อังกฤษและตะวันออกกลาง กระทั่งกวาดรายได้ในระดับที่น่าพอใจและติดอันดับของบล็อกบัสเตอร์(Blockbuster)<1> ซึ่งเป็นร้านเช่าวิดีโอชื่อดังของอเมริกาและมีสาขากระจายอยู่ทั่วโลกนั้น สื่อมวลชนก็วิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ธรรมดาด้วยปัจจุบันผู้คนนิยมดูหนังแบบ pay-per-view<2>และที่สำคัญเคเบิลทีวีก็กำลังมีบทบาทเพิ่มสูงขึ้นด้วย อีกทั้งยังมีกระแสวิจารณ์ในหมู่นักข่าวและสื่อมวลชนในวงกว้างว่าภาพยนตร์ของเขาเป็นตัวเต็งที่น่าจะคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ<3>และรางวัลออสการ์<4>ในต้นปีหน้านี้ด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสถาบันนักวิจารณ์ National Society of Film Critics และสถาบันนักวิจารณ์ในนิวยอร์ก ชิคาโก รวมถึงในลอสแอนเจลิส มาแล้ว

ส่งผลให้เรื่องต่อไปที่เขาเสนอแนวคิดไปยังนายทุนหรือเอ็กเซ็กคิวทีฟ โปรดิวเซอร์ (Executive Producer) ที่เป็นเจ้าเดิม จึงได้รับการตอบรับด้วยดี โดยภาติยะเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับอดีตสายลับของอเมริกาที่หนีการตามล่าในรูปแบบสร้างสรรค์และจบอย่างหักมุม ซึ่งเอ็กเซ็กคิวทีฟ โปรดิวเซอร์มองว่าน่าทึ่งและมีความเป็นไปได้สูง จึงไฟเขียวงบประมาณก้อนหนึ่งมาให้ถ่ายทำ โดยเรื่องนี้นอกจากภาติยะจะเป็นผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์เองเหมือนเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เขายังจะเป็นผู้อำนวยการสร้างหรือโปรดิวเซอร์เองอีกด้วย

ภาติยะเขียนบทภาพยนตร์ ให้เป็นหนังสายลับระทึกขวัญ เกี่ยวกับผู้ชายอเมริกันคนหนึ่งที่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ต้องมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง เขาต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ขณะเดียวกันก็พยายามค้นหาว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร ก่อให้เกิดคำถามที่ชวนคิดว่ามนุษย์ควรจะทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อมากน้อยแค่ไหน ภาติยะตั้งใจนำเสนอโลกมืดที่ซ่อนเร้นอย่างถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริง จึงได้ไปปรึกษาหาข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการจารกรรมและหน่วยข่าวกรอง แล้วถึงจะมาลงมือเขียน เขาใช้เวลาทั้งหมดร่วม ๔ เดือนกว่าจะเขียนบทภาพยนตร์เสร็จ ช่วยหนุ่มตั้งใจจะผลิตออกมาให้เป็นภาพยนตร์ที่มีการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างฉากแอ็คชั่น การเมืองและการจารกรรม


ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่ทำงานอย่างรวดเร็ว เมื่อวานเธอขอประวัติตระกูลวรากรณ์จากสารวัตรตุลา วันนี้ประวัติทั้งหมดพร้อมทั้งแผนภูมิแสดงลำดับเครือญาติของตระกูลวรากรณ์ หรือ Family tree ก็มาอยู่ในมือเธอเรียบร้อยแล้ว แพรไหมนั่งอ่านและจิบกาแฟไปพลาง ขณะนี้เธอนั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน โดยมีเน็ตบุ๊ก เครื่องดื่มและจานขนมวางอยู่ตรงหน้า

จากการอ่านเอกสารเกือบสองหน้า เธอพบข้อมูลที่น่าสนใจคือ ตระกูลวรากรณ์สืบเชื้อสายกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด และได้รับนามสกุลพระราชทานในสมัยรัชกาลที่ 6 ลูกหลานในรุ่นต่อๆ มาก็ยังคงทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ถ้าไม่เป็นข้าราชการทหาร ตุลาการ ก็เป็นแพทย์ และอาจารย์ แล้วยังมีนักการทูต ตำรวจ ซึ่งทุกคนล้วนมียศตำแหน่งสูงๆ กันทั้งนั้น ลำดับเครือข่ายญาติที่น่าสนใจ คือสายท่านผู้หญิงนงคราญ โดยมีลูกชายและลูกสาว ๔ คนและคนที่น่าสนใจคือ พิริยะซึ่งแต่งงานกับนางแบบชาวอเมริกัน มีลูกชื่อว่า ภาติยะ วรากรณ์

สีหน้าแพรไหมปรากฏชัยชนะเมื่อเห็นชื่อ ภาติยะ เป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลวรากรณ์จริงๆ ความจริงเธอก็ดีใจไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนที่ฟังข่าวดีจากปากสารวัตรตุลา หากกระนั้นก็ยังอยากเห็นด้วยตาตัวเองอีกสักครั้งไม่ได้ จึงได้มาใจจดใจจ่อกับการนั่งอ่านเอกสารตรงหน้า โดยคอยไล่กวาดสายตาหาชื่อภาติยะ

เมื่ออ่านเอกสารครบทุกหน้าแล้ว แพรไหมก็วางขนมครัวซองลงบนจาน พิมพ์คำว่า ภาติยะ วรากรณ์ ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งแบบรวมคำและแยกคำระหว่างคำว่า ภาติยะ และ วรากรณ์ ในกูเกิล

เธอทดลองค้นหาทุกรูปแบบตราบจนมาถึงคำว่า วรากรณ์ ในชื่อภาษาอังกฤษ พลันที่พิมพ์คำนั้นลงในกูเกิล ก็ปรากฏลิงก์ต่างๆ ขึ้นมาพึ่บพั่บ คราวก่อนเธอมุ่งหาลิงก์ที่มีคำว่า ‘ภาติยะ วรากรณ์’ เมื่อลิงก์ที่ไม่ตรงกับความต้องการปรากฏขึ้นมา เธอจึงไม่ใส่ใจ แต่คราวนี้เธอไล่สายตาอ่านทุกลิงก์อย่างละเอียดลออชนิดที่ไม่ให้เล็ดลอดสายตาไปสักลิงก์เดียว พลันก็พบข่าวหนึ่งที่น่าสนใจ สถาบันวรากรณ์ตรวจสุขภาพเอดส์ให้แก่เพื่อนเหล่านักแสดงพอร์นสตาร์ฟรี กำลังจะดำเนินการก่อตั้งโดยผู้กำกับหนังและซูเปอร์พอร์นสตาร์สุดฮอต มานูเอล วรากรณ์ฒ

แพรไหมขมวดคิ้วเพราะในแผนภูมิ Family tree ที่เธอได้มา ไม่ปรากฏชื่อ มานูเอล วรากรณ์ อยู่ในตระกูล เธอใช้คำว่ามานูเอล วรากรณ์ ค้นหาภาพของเขาในกูเกิล และพลันที่รูปปรากฏขึ้น เธอก็อึ้งด้วยความช็อกไปชั่วขณะเมื่อพบว่ามานูเอล กับภาติยะ เป็นคนคนเดียวกัน

คุณพระ...ถึงว่าก่อนหน้านี้เธอเสิร์ชไม่เจอข้อมูลของเขา เพราะเขาใช้ชื่อมานูเอล วรากรณ์ นี่เอง

หญิงสาวค้นหาข้อมูลของมานูเอลในชื่อภาษาอังกฤษจากกูเกิล พลันลิงก์ทุกลิงก์ที่เกี่ยวข้องกับเขาก็ปรากฏขึ้นมา เธออ่านลิงก์ต่างๆ อย่างรวดเร็วแล้ว ณ วินาทีนั้นก็ต้องเกิดความผิดหวังตามมา เมื่อพบว่านับแต่มานูเอล ย้ายมาอยู่ที่อเมริกาเมื่อ ๒๑ ปีก่อน เขาก็ไม่เคยบินกลับเมืองไทยซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดอีกเลย

เนื้อหาในนั้นยังระบุด้วยว่า มานูเอล เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อายุ ๓๖ ปี เป็นผู้กำกับและเจ้าของบริษัทผลิตภาพยนตร์ และเป็นซูเปอร์พอร์นสตาร์ที่ฮอตที่สุดในยุคนี้ เขาเกิดที่เมืองไทย แต่ย้ายมาอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี สำเร็จการศึกษาระดับไฮสกูลจากโรงเรียน... ระดับปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก จากนั้นย้ายมาอยู่ที่นครลอสแอนเจลิส เพื่อเข้าสู่โลกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด ค่อยๆ ไต่เต้าจากพนักงานในกองถ่ายภาพยนตร์ กระทั่งสามารถขึ้นมาเป็นผู้กำกับในระดับแนวหน้าได้ในที่สุด และ ๓ ปีต่อมาเขาก็รับเล่นหนังพอร์นเรื่องแรก ส่งผลให้เขาได้รางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจาก XRCO นับจากนั้นชื่อเสียงของมานูเอลก็ยิ่งโด่งดัง

ปัจจุบันมานูเอลเป็นนักแสดงพอร์นสตาร์ในสังกัดของบริษัท... ซึ่งเป็นบริษัทผลิตภาพยนตร์เรตเอ็กซ์ค่ายยักษ์ใหญ่ที่สุดในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาถูกซื้อตัวด้วยค่าตัวหลายสิบล้านดอลล่าร์ ซึ่งนับเป็นจำนวนเงินสูงที่สุดในบรรดานักแสดงพอร์นหน้าใหม่ ข้อมูลในเว็บไซต์ยังระบุถึงผลงานการกำกับของมานูเอล พร้อมด้วยเรื่องล่าสุดที่เขากำลังจะผลิต ซึ่งเขาจะเป็นทั้งผู้เขียนบทภาพยนตร์ ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์เอง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากสื่อว่าเป็นเรื่องที่น่าจับตามอง ไม่ต่างจากเรื่องแรกของเขาที่ได้รับการวิจารณ์เชิงบวกว่าน่าจะได้รับรางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำและรางวัลออสการ์ในต้นปีหน้านี้

อ่านมาถึงตรงนี้แพรไหมก็หน้าแดงก่ำ แม้เขาจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้กำกับที่มากด้วยฝีไม้ลายมือ แต่เขาก็เป็นนักแสดงพอร์นสตาร์ที่มีชื่อเสียงของอเมริกาด้วย เธอคลิกลิงก์ต่อไปซึ่งเป็นโฮมเพจผลงานของมานูเอล พลันก็หน้าแดงมากขึ้นเมื่อพบคลิปวิดีโอโป๊มากมายของมานูเอลที่เขากำลังร่วมรักกับนักแสดงหญิงในลีลาต่างๆ พร้อมด้วยลิงก์ให้คลิกดาวน์โหลด ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องสมัครสมาชิกและเสียค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต แพรไหมรีบคลิกปิดเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว

เธอไล่อ่านลิงก์อื่นๆ พบข่าวเขาออกงานอีเวนต์ร่วมกับเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน ทั้งนักแสดงฮอลลีวูด นักแสดงพอร์นสตาร์ นอกจากนี้มีข่าวเขาคบหาหรือควงคู่อยู่กับใครบ้าง ตลอดจนข่าวเขาถูกฟ้องในคดีพรากผู้เยาว์เด็กหญิงวัย ๑๔ และอื่นๆ จิปาถะ ซึ่งสะท้อนว่าเขาเป็นคนดังที่ถูกสื่อจับตามองจริงๆ

แพรไหมเงยหน้าจากเน็ตบุ๊กด้วยท่าทีใช้ความคิด เพราะจากประวัติที่ค้นพบ แม้มานูเอล วรากรณ์ จะเป็นผู้ชายที่มีแต่เรื่อง คาวๆ ฉาวๆ สักแค่ไหน หากเธอก็ต้องยอมตัดชื่อเขาออกจากผู้ต้องสงสัย เพราะนับแต่เขาเดินทางไปอยู่อเมริกา ก็ไม่เคยปรากฏข่าวว่าเขากลับมาเมืองไทยอีกเลย

งั้นใครกันจะเป็นคนร้ายได้ ถ้าไม่ใช่ภาติยะ วรากรณ์? แพรไหมเริ่มขบคิดไม่แตก เห็นทีเธอต้องโทร.ปรึกษาสารวัตรตุลากระมัง จังหวะนั้นเองก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอกดรับสายเมื่อพบว่าปลายทางเป็นสารวัตรตุลา

“สารวัตรหรือคะ กำลังจะโทร.หาพอดีเลย”

“มีความคืบหน้าอะไรหรือครับ”

“มีค่ะ ดูเหมือนเราต้องตัดชื่อภาติยะ ออกจากผู้ต้องสงสัย เพราะจากข้อมูลที่แพรเสิร์ชเจอ ไม่ปรากฏว่าเขากลับมาเมืองไทยอีกเลยนับแต่ย้ายไปอยู่ที่อเมริกาเมื่อ ๒๑ ปีก่อน”

“ผิดแล้วน้องแพร... เขาล่ะเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรกเลยต่างหาก พี่โทร.มาก็จะแจ้งเรื่องนี้”

“อะไรนะคะ สารวัตรหมายความว่าไงคะ”

“พี่ตรวจสอบกับตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) แล้วพบว่าภาติยะ เดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน และเพิ่งจะเดินทางกลับอเมริกาเมื่อวานนี้”

“คุณพระ...เขามาทำอะไรที่เมืองไทย” แพรไหมครางในลำคอ

“มีหลักฐานจากใบตม.แจ้งว่าเขาเข้าพักที่โรงแรม...” สารวัตรตุลา เอ่ยชื่อโรงแรมดังกลางกรุงเทพฯ ที่ค่าห้องพักแพงหูฉี่ จากนั้นก็เล่าต่อว่า “และมีข่าวซุบซิบในหน้าสังคมของหนังสือพิมพ์วันนี้ว่าเขาไปเยี่ยมท่านผู้หญิงนงคราญ วรากรณ์ ผู้เป็นย่าเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ฉะนั้นข้อมูลทั้งหมดจึงไปพ้องว่ารายชื่อลูกค้าที่เข้าเช็กอินในห้องพักที่เกิดเหตุ น่าจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย พี่หมายความว่าหลักฐานทั้งหมดพุ่งไปในทางเดียวกัน นั่นคือสนับสนุนว่า ภาติยะ วรากรณ์ ผู้ที่เข้าเช็กอินห้องพักห้องนั้น น่าจะเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าข่มขืน”

“แสดงว่าเข้าพักก่อนยายไหมเสียชีวิต” แพรไหมจบคำถามด้วยเสียงคราง

“ถูกต้องครับ”

“คุณพระ...หมายความว่าเขาอยู่เมืองไทยตลอดเวลาที่น้องของแพรถูกฆ่าหรือคะ”

“ใช่ครับ เพราะเขาเพิ่งเดินทางกลับเมื่อวานหลังเราพบศพน้องใยไหมได้ ๑ วัน สันนิษฐานได้ว่าเขาอาจจะมีส่วนรู้เห็นในการก่อคดีครั้งนี้ ถึงได้รีบเดินทางกลับอเมริกาเพื่อหลบหนีการจับกุม ตอนนี้เหลือเพียงพิสูจน์หลักฐานจากเทปกล้องวงจรปิดว่ารูปพรรณสัณฐานใกล้เคียงกับเขาไหมซึ่งวันนี้พี่ได้แผ่นซีดีมาจากทางโรงแรมแล้ว ถ้าพบว่าใช่หรือใกล้เคียงกับเขา พี่ก็สามารถทำเรื่องขอให้ศาลออกหมายจับได้ทันที เพื่อขอให้เขาเดินทางมาพิสูจน์ความจริง เพราะลำพังแชตไดอะล็อกและการที่เขาหลบหนีไปอเมริกา ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่พี่จะขอหมายจับได้แล้ว”

โดยปกติคดีฆาตกรรมทั่วไป ถ้าพยานหลักฐานยังคลุมเครือ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถออกหมายเรียกหรือเชิญตัวผู้ต้องสงสัย หรือขอเส้นผม เล็บรวมถึงขอตรวจเลือดว่าตรงกับหลักฐานที่ตำรวจมีอยู่หรือไม่ โดยไม่ต้องออกหมายจับได้ แต่ในกรณีที่ผู้ต้องสงสัยหลบหนี ตำรวจสามารถขอศาลออกหมายจับได้เลย โดยไม่ต้องออกหมายเรียกก่อน

“อย่างนี้ต้องทำเรื่องถึงอเมริกาขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ หลังจากที่ได้หมายจับแล้ว พี่จะประสานกระทรวงการต่างประเทศของไทยเพื่อขอให้ประสานกระทรวงต่างประเทศของอเมริกาดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่กว่าจะได้ตัวคนร้ายมา ก็คงต้องใช้เวลานาน เพราะต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน รวมถึงอัยการสูงสุดของที่นั่นด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นแถลงข่าวความคืบหน้าไปก่อนดีไหมคะ อย่างน้อยจะได้เห็นความก้าวหน้าของคดี”

“ได้ครับ พี่จะจัดแถลงข่าวทันทีที่ได้ผลตรวจสอบจากเทปกล้องวงจรปิดแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นวันพรุ่งนี้”

“ดีค่ะ แพรจะโทร.บอกเพื่อนๆ นักข่าวทุกสำนักให้ไปช่วยทำข่าว อย่างน้อยจะได้ช่วยกระพือข่าวอีกแรง”



...................................


<1> บล็อกบัสเตอร์ : บริษัทชื่อดังในอเมริกาที่ดำเนินธุรกิจให้เช่าภาพยนตร์ ปัจจุบันมีเกือบ ๙,๐๐๐ สาขาทั่วโลก เฉพาะในอเมริกามีกว่า ๖,๕๐๐ สาขา ที่เหลือกระจายอยู่ใน ๒๑ ประเทศซึ่งมีกว่า ๒,๖๐๐ แห่ง อย่างไรก็ตามในปีพ.ศ.๒๕๕๓ บล็อกบัสเตอร์อยู่ในภาวะขาลงเนื่องจากประสบปัญหาล้มละลาย ภายหลังบริษัทผิดข้อตกลงกับธนาคารและการเจรจาประนอมหนี้กับเจ้าหนี้ ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากพ่ายกระแสอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอะเมซอนที่ขายดีวีดีผ่านออนไลน์ รวมทั้ง "เน็ตฟลิกซ์" ที่ให้บริการเช่าดีวีดีหนังราคาถูก ปัจจุบันมูลค่าตลาดของบล็อกบัสเตอร์ร่วงลงมาเหลือ ๑๒ ล้านดอลลาร์ จากกว่า ๔ พันล้านดอลลาร์ใน ๘ ปีก่อน

<2> Pay-per-view : จ่ายครั้งหนึ่งต่อการดูหนังหนึ่งเรื่อง

<3> รางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Award) เป็นรางวัลที่มอบให้แก่ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์เริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๙๔๔ จัดโดย Hollywood Foreign Press Association (HFPA) รางวัลลูกโลกทองคำถูกจัดอันดับว่ามีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับ ๓ รองจากรางวัลออสการ์และรางวัลแกรมมี่ โดยจัดขึ้นเป็นประจำช่วงต้นปี โดยยึดผลจากการโหวตจากนักข่าวและสื่อมวลชนในสหรัฐอเมริกา

<4> รางวัลออสการ์ มีทั้งหมด ๒๔ สาขา สาขาที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในงานคือสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม(Best Picture) เนื่องจากภาพยนตร์ที่จะได้รับรางวัลนี้ได้ต้องเป็นภาพยนตร์ที่มีการผสมผสานที่ดีของการสร้าง การกำกับ การแสดง และการเขียนบท ดังนั้นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลสาขานี้ จึงถือเป็นเกียรติสูงสุด ผู้ที่ขึ้นรับรางวัล จะเป็นผู้กำกับหรือโปรดิวเซอร์ที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นให้เครดิตอย่างเป็นทางการ ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมากกว่า ๑๑ สาขามาก่อน มากสุดคือ ๑๑ สาขา ได้แก่ เบนเฮอร์(Ben-Hur) ไททานิก(Titanic) และ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ : มหาสงครามชิงพิภพ (The Lord of the Rings:The Return of the King)







Create Date : 23 ตุลาคม 2553
Last Update : 26 ตุลาคม 2553 16:50:24 น.
Counter : 792 Pageviews.

15 comment
ไฟรัก...บท 4/2
greenteagreentea







ขอบคุณกรอบสวยๆ จากพี่กรีนที และขอบคุณน้อง a_del สำหรับผัง family tree ขอบคุณมากๆๆ ค่ะ

.............


ภาติยะบอกตัวเองว่าไม่คุ้นเคยกับคฤหาสน์หลังใหญ่ตรงหน้า ด้วยเปลี่ยนแปลงไปมากนับตั้งแต่ที่เขาจากไปตอนอายุ ๑๕ ปี ขณะนี้ตัวอาคารได้รับการบูรณะซ่อมแซมและขยับขยายต่อเติมจนดูใหม่เอี่ยมอ่องและยิ่งใหญ่อลังการเสียยิ่งกว่าสมัยที่เขาอยู่ด้วยซ้ำ

ผู้กำกับหนุ่มเพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวาน เขาเข้าพักที่โรงแรมกลางกรุง และวันนี้ใช้บริการรถแท็กซี่เพื่อเดินทางมายังคฤหาสน์ของท่านผู้หญิงนงคราญ ภาติยะเดินผ่านสนามหญ้าที่ยาวสุดลูกหูลูกตาสองข้างทางของทางเดิน เพื่อตรงไปยังตัวบ้าน ซึ่งดูเหมือนทุกคนจะรับรู้ล่วงหน้าถึงการมาของเขา เพราะพลันที่เหยียบย่างเข้าไป คนรับใช้ที่เพิ่งหายจากการตกตะลึงพรึงเพริดในทันทีที่เห็นเขา ก็พลันกะพริบตาปริบๆ และบอกว่าทุกคนรออยู่ในห้องรับแขกแล้ว จากนั้นก็เดินนำเขาเข้าไปในนั้นด้วยอาการที่ขัดเขินอย่างเห็นได้ชัด อันที่จริงทุกคนควรรู้ล่วงหน้าถึงการมาของเขา ใช่...ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะท่านผู้หญิงนงคราญโทร.ไปจี้ถามเขาหลายต่อหลายครั้งนับตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่เหยียบย่างแผ่นดินเกิดว่าเขาจะเข้ามาบ้านวันไหน

ในห้องอยู่กันพร้อมหน้า อย่างน้อยเขาก็เดาว่าอย่างนั้น สมาชิกของตระกูลฝั่งท่านผู้หญิงนงคราญมีเกือบ ๒๐ คนขณะนี้กำลังนั่งพร้อมพรั่ง จนดูจะคับห้องรับแขกอันโอ่อ่าแห่งนั้น เพียงแต่จะเป็นใครกันบ้างนั้นเขาก็จำไม่ได้ เพราะจากไปนานนับ ๒๑ ปี ฉะนั้นแต่ละคนย่อมเจริญวัยตามกาลเวลา โดยเฉพาะกลุ่มวัยไล่เลี่ยกับเขา เติบใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาวกันทุกคนจนเขาจำแทบไม่ได้ว่าใครเป็นใคร

ภาติยะก้าวเท้าเข้าไปในห้องรับแขกด้วยจังหวะก้าวที่มั่นคง ไม่หวั่นไหวสะทกสะท้านกับสายตานับสิบคู่ที่กำลังจับจ้องมองมาเป็นตาเดียวกัน เขากวาดตามองแต่ละคนอย่างพยายามเตือนความทรงจำแต่หนหลังว่าใครเป็นใคร เท่าที่จำได้ ดูจะมีปู่น้อยและย่าน้อยซึ่งเป็นน้องชายและน้องสาวของท่านผู้หญิงนงคราญ มีอาพันดร อาภารดา และอาพิยะดา ซึ่งเป็นน้องชายและน้องสาวของพ่อเขา นอกจากนั้นก็เป็นลูกสาวและลูกชายของบรรดาอาๆ ซึ่งดูเหมือนจะมากันครบทุกคน

วันรวมญาติสินะ... ภาติยะนึกอย่างเหยียดๆ

ท่านผู้หญิงนงคราญจับตามองหลานชายคนโตนับแต่ก้าวแรกที่พ้นประตูห้องรับแขกเข้ามา ภาติยะสูงใหญ่เหมือนฝรั่งและหล่อเหลาคมคาย เชื้อเอเชียดูจะเพิ่มความคมเข้ม ทำให้ผมและดวงตาของเขาเป็นสีนิล ส่วนผิวพรรณและหน้าตา ดูจะค่อนไปทางอเมริกัน

แทบไม่เหลือเค้าเลือดคนไทยอยู่เลย เพราะทุกอย่างกระเดียดไปทางเลือดตะวันตกฝ่ายแม่... ท่านผู้หญิงนงคราญนึกในใจ ภาติยะหล่อคมเข้มจนญาติๆ ในห้องรับแขกแห่งนั้น โดยเฉพาะบรรดาสาวๆ ทั้งสาวเล็กสาวใหญ่ต่างพากันมองอย่างตื่นตะลึง บางคนลืมหายใจหายคอ เพราะอ้าปากค้างและในรายที่สะกดกลั้นไม่อยู่ ถึงกับเผลอหลุดเสียงครางเรียกหาคุณพระคุณเจ้าออกมาด้วยซ้ำ

หลายคนเคยเห็นรูปถ่ายของเขาทางอินเทอร์เน็ต อย่างน้อยก็พวกสาวๆ กว่าครึ่งค่อนในห้องนี้ ด้วยต่างค้นหาข่าวจากกูเกิลอันเนื่องจากความเกลียดชังที่เขานำความอื้อฉาวมาสู่ตระกูลไม่ต่างจากผู้เป็นแม่ชาวอเมริกัน คนที่เคยเห็นก็รู้อยู่แล้วว่าเขาหล่อเหลา หากกระนั้นรูปถ่ายกลับเทียบกับตัวจริงไม่ติด เขาเหมือนหลุดมาจากภาพวาดมีชีวิตของจิตรกรฝีมือเอก เนื่องจากทุกอย่างสมบูรณ์แบบทั้งรูปร่างและหน้าตาอย่างที่เรียกว่าเกินกว่าจะเป็นหนุ่มที่มีเลือดเนื้อและจิตใจ ยิ่งกว่านั้นความร้อนแรงและความเป็นหนุ่มเยี่ยงชายชาตรีดูจะแผ่รัศมีมาจากตัวเขา จนรู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศในห้องร้อนแรงขึ้นทันทีที่ภาติยะก้าวเข้ามา

ใช่...เขามีความเป็น ชาย อยู่ในตัวทุกกระเบียดนิ้ว ฉะนั้นการที่สาวๆ ในห้อง ลืมเก็บอาการตกตะลึงตาค้างจนผู้เป็นสามีหรือไม่ก็พี่ชายน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ พากันสะกิดแรงๆ เพื่อให้รู้สึกตัวด้วยความหมั่นไส้นั้น ท่านผู้หญิงนงคราญจึงมองด้วยความรู้สึกเห็นใจและเข้าอกเข้าใจอย่างยิ่ง ด้วยแม้แต่ท่านผู้หญิงเองก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าหนุ่มน้อยภาติยะเมื่อกลับมาอีกครั้งจากผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยผอมแก้มตอบดั่งหนุ่มติดยานั้น เมื่อกาลเวลาผ่านไป ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งผลให้เขาเติบโตเป็นหนุ่มสูงใหญ่ที่หล่อเหลาและมีมาดภูมิฐานสง่างามอย่างนี้

ใช่...คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ท่านผู้หญิงบอกกับตัวเองว่าถ้าภาติยะจะยิ้มสักนิด แค่คลี่ปากน้อยๆ อย่างที่เรียกว่ายิ้มจริงๆ ไม่ใช่กำลังแสยะอย่างที่ดูออกว่ากำลังเหยียดทั้งโลกอย่างนี้ นางก็คงยิ้มตอบให้ด้วยความชื่นชมกับรูปลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ หากน่าเสียดายท่านผู้หญิงนงคราญมองเห็นรอยยิ้มแสยะนับแต่ก้าวแรกที่หลานชายก้าวพ้นประตูห้องรับแขกเข้ามาเลยทีเดียว ฉะนั้นที่คิดจะยิ้มทักทายให้ ท่านผู้หญิงจึงหุบฉับได้ทันและกลับมาทำหน้าเย็นชาตามปกติดังเดิม

‘มานั่งตรงนี้สิ’ ท่านผู้หญิงนงคราญชี้เก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ ซึ่งอยู่ทางขวามือของท่าน พลางพินิจหลานชายที่เกิดจากลูกชายคนโปรด ภาติยะเข้ามาทรุดนั่งเงียบๆ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่มองมาอย่างพินิจและสังเกตทุกอากัปกิริยาของเขา ภาติยะสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงสแล็กส์ตัดเย็บประณีตอย่างที่ดูออกว่าสั่งตัดจากห้องเสื้อชื่อดัง ผมหยักศกสีนิล จมูกโด่งตรง และนัยน์ตาที่ดูไกลๆ ว่าสีนิลนั้น ความจริงแล้วเป็นสีสนิมสวย ริมฝีปากบางอย่างอิสตรี บอกถึงความเป็นคนปากจัด และนิสัยไม่ยอมคน

เครื่องหน้าทุกชิ้นที่ประกอบขึ้นเป็นโครงหน้างามสมบูรณ์แบบ แต่ก็แกร่งอย่างชายชาตรี...

‘แพทจำญาติผู้ใหญ่แต่ละท่านได้ไหม นั่นปู่...’ ท่านผู้หญิงนงคราญไล่เรียงลำดับญาติแต่ละคนพร้อมบอกชื่อเพื่อแนะนำตัว หากทว่าภาติยะกลับรับรู้ด้วยอาการที่สงบนิ่งเฉยเมย ไม่แม้แต่จะยกมือไหว้ เขาทำราวกับลืมธรรมเนียมปฏิบัติของคนไทยไปแล้ว และนั่นจึงทำให้ญาติๆ พากันมองด้วยอาการคอแข็ง โดยเฉพาะท่านผู้หญิงนงคราญที่ชักสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด พลางอดเหน็บออกไปไม่ได้ว่า

‘มือกุดหรือแพท ถึงยกพนมไหว้ญาติผู้ใหญ่ไม่ได้น่ะ’

สำหรับภาติยะ...คำว่าญาติฝ่ายพ่อดูจะหมดสิ้นไปนับแต่วันที่พ่อแม่ไร้วิญญาณ ฉะนั้นเขาจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ยังคงรักษาระดับความราบเรียบเอาไว้ได้

‘ถ้าคิดจะเรียกผมกลับมาเมืองไทย เพื่อต่อว่าด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างเรื่องกิริยามารยาทละก็ เห็นทีจะเสียเวลาเปล่า ผมมันประเภทไม้แก่ดัดยาก พูดธุระของท่านย่ามาดีกว่าครับ อย่ามัวเสียเวลากับกิริยาไพร่ๆ ของผมเลย’ น้ำเสียงแม้จะนุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง แต่ทุกคนก็ฟังความนัยออกว่าภาติยะไม่ยอมลงให้ท่านผู้หญิงนงคราญ ท่าทีเขาหยิ่งผยองอย่างคนที่ทะนงในเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเอง และนั่นจึงเพิ่มความเกลียดชังมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะเห็นว่าภาติยะโอหัง

ที่คิดจะซักถามถึงการเดินทางว่าเรียบร้อยดีไหม ท่านผู้หญิงนงคราญจึงต้องปิดปากเงียบ พูดไม่ออก นางรู้สึกสะอึกกับคำยอกย้อนของหลานชาย จึงเปลี่ยนเรื่องพูดว่า

‘ดี!’ ท่านผู้หญิงกระแทกเสียง ก่อนกล่าวต่อ ‘จะเอาอย่างนั้นก็ได้ภาติยะ ไม่ต้องทำความรู้จัก ไม่ต้องเคารพนับถือญาติมิตรให้ยุ่งยากเสียเวลา เรามันประเภทไม่เคยเห็นหัวใครอยู่ในสายตาอยู่แล้วนี่ ไม่อย่างนั้นตลอด ๕-๖ ปีที่ผ่านมาคงไม่ทำตัวระยำตำบอนให้เป็นข่าวฉาวโฉ่อย่างนั้นหรอก’

ทุกคนแทบกลั้นหายใจเพราะรู้ว่าท่านผู้หญิงนงคราญกำลังโกรธจัด ต่างกับภาติยะที่แสร้งเบิกตาโตอย่างประหลาดใจนิดๆ อย่างที่ทุกคนดูออกว่าเขาแกล้งทำ ภาติยะหัวเราะก่อนว่า ‘ผมล่ะแปลกใจจริงๆ ที่ท่านย่าติดตามข่าวสารผมใกล้ชิดขนาดนั้น ถ้ารู้อย่างนี้ผมคงครองสมณเพศ ให้ท่านย่าเกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ไปแล้ว เสียดาย...’

สีหน้าตอนที่พูดประโยคท้ายเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบังแบบที่เรียกอารมณ์คุกรุ่นจากท่านผู้หญิงนงคราญได้ทันควัน นางชักสีหน้า คอแข็ง และอารมณ์เดือดปุดๆ อย่างที่เรียกว่าภาติยะประสบความสำเร็จในการยั่วอารมณ์ญาติผู้ใหญ่คนนี้

‘อย่ามาตีฝีปากเล่นลิ้นกับผู้ใหญ่ ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นแกนายแพท ดี...ในเมื่อไม่อยากเสวนาปราศรัยให้มากความ ฉันก็จะเข้าเรื่อง...รู้ใช่ไหมว่าฉันเรียกแกมาทำไม’

ภาติยะตอบด้วยกิริยาสงบว่า ‘ท่านย่าบอกยายมาเดอลีนว่าต้องการคุยเรื่องพินัยกรรม แต่ผมเดาว่าคงมีอะไรมากกว่านั้นสิครับ’

อีกครั้งที่ภาติยะทำหน้าเหยียดหยามท่านยายอย่างไม่ปิดบัง ประเดี๋ยวเถอะท่านเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ปรี๊ดแตกขึ้นมา แล้วพี่แพทจะลำบาก...พริ้มเพรานึกอย่างครั่นคร้ามแทนภาติยะในใจ แต่อีกใจก็อดทึ่งแกมนิยมชมชอบญาติผู้พี่คนนี้ไม่ได้ ด้วยหาญกล้าที่จะตีฝีปากกับเจ้าของอาณาจักรวรากรณ์อย่างไม่กลัวเกรง และดูจะเป็นคนแรกและคนเดียวในตระกูลด้วย

นับแต่ภาติยะก้าวเข้ามา เขาตรึงสายตาของเธอตลอดจนสาวๆ ในห้องนี้ให้สะกดอยู่ที่เขาคนเดียวและนับแต่นาทีนั้นจวบจนตอนนี้เธอก็ยังไม่เห็นใครโดยเฉพาะญาติสาวๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกันถอนสายตาจากเขาได้สำเร็จ ทุกคนจับจ้องไปที่เขาเป็นตาเดียวกัน ราวกับลุ้นว่าเขาจะทำอะไรหรือใช้สายตามองใคร อย่างไรต่อ ด้วยทุกอากัปกิริยาของภาติยะชวนมองไปหมด เขามีกิริยาที่ดูดีและนุ่มนวล สังเกตได้จากการหยิบจับเครื่องดื่ม แต่ก็มองออกว่าภายใต้ความนุ่มนวลนั้นคือความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ เขามีบุคลิกที่ขัดแย้งกันเองอยู่ในตัว ดูเป็นผู้ชายที่น่าสนใจและน่าค้นหาเอามากๆ

ตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นเธอแทบไม่กล้าหายใจ เขาดูราวกับเทพบุตรที่ลงมาจากสวรรค์ เพราะหวั่นว่าหากกะพริบตาหรือหายใจเพียงแค่เฮือกเดียว ภาพความสวยงามตรงหน้าจะเลือนหายไป เขาหล่อเหลาอย่างที่เรียกว่าเทพบุตรเดินดิน เธอไม่เคยเจอผู้ชายที่หล่อเหลาปานนี้มาก่อน ภาพในอินเทอร์เน็ตว่าคมคายอย่างหาตัวจับยากแล้ว ตัวจริงดูจะเพิ่มระดับความคมเข้มและความโดดเด่นชวนสะดุดตาไปอีกหลายช่วงตัว เธอนึกสงสัยว่าหากนำหนุ่มหล่อที่ได้รับการโหวตว่าฮอตและเซ็กซี่ที่สุดจากทุกทั่วโลกมายืนเรียงแถวกัน จะมีใครสักคนเทียบเคียงภาติยะได้ไหม...

ไม่...เธอมั่นใจว่าไม่มีอีกแล้ว เขาหล่อบาดใจและเซ็กซี่ที่สุดแล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่แปลกใจเลยที่เขาได้รับการโหวตจากสาวๆ ให้เป็นหนุ่มเซ็กซี่ที่สุดในโลกของอุตสาหกรรมหนังพอร์นและอุตสาหกรรมหนังฮอลลีวูด นึกมาถึงตรงนี้พริ้มเพราก็หน้าแดงก่ำ ด้วยตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอไม่เคยนึกอยากเข้าไปดูหนังพอร์นเลย แต่ทว่านับแต่วันที่รู้ว่ามีญาติชื่อภาติยะเป็นผู้กำกับหนังชื่อดังอยู่ในโลกใบนี้ด้วย เธอก็เริ่มต้นเสิร์ชดูความเป็นไปของเขาจากกูเกิลและนั่นทำให้เธอไม่ปฏิเสธว่า... เธอลงทุนแม้กระทั่งสมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์โป๊ของบริษัทต้นสังกัดของภาติยะ เพื่อจะได้โหลดคลิปวิดีโอที่ภาติยะแสดงมาดู และเธอก็เชื่อว่าสาวๆ กว่าครึ่งค่อนในนี้ก็ทำอย่างเดียวกับเธอ เพียงแต่จะมีใครกล้ายอมรับหรือไม่เท่านั้น

‘อย่ามาทำเสียงน่าเกลียดอย่างนั้นกับฉันนะภาติยะ’ แล้วเสียงพูดที่เพิ่มระดับขึ้นหลายเดซิเบลของท่านผู้หญิงนงคราญก็ดึงพริ้มเพราออกจากภวังค์ เธอเหลือบมองภาติยะว่ามีท่าทีตกใจหรือไม่ หากทว่าเปล่าเลย คำพูดราวฟ้าคำรามของท่านผู้หญิงก็ยังคงไม่สร้างความสะดุ้งสะเทือนให้แก่เขา

เธอล่ะนับถือเขาจริงๆ...

ภาติยะไหวไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน ท่านผู้หญิงนงคราญมองท่าทางนั้นด้วยอาการคอแข็ง ต้องสงบสติอารมณ์ชั่วขณะจึงเรียบเรียงคำพูดเหน็บกลับไปด้วยกังวานเสียงราบเรียบได้

‘แกจะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอกแพท ฉันสดับตรับฟังข่าวคราวแกมาตลอด ๕-๖ ปีตั้งแต่แกขึ้นไปเป็นผู้กำกับหนัง ช่างขยันทำเรื่องเสื่อมเสียให้แก่ตระกูลวรากรณ์ไม่เว้นแต่ละวัน อย่าให้ฉันต้องแฉเลยว่าแกทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงอะไรไว้บ้าง นี่ถ้าเป็นหลานสาว แกคงเข้าคลินิกรีดลูกออกไม่เว้นแต่ละปี แต่เมื่อแกเป็นผู้ชาย ฉะนั้นฉันขอทำนายไว้เลยว่า ถ้าไม่ตายด้วยโรคเอดส์ แกก็คงช็อกตายเพราะหมดแรงคานมโตๆ ของแม่สาวคู่ขาทั้งหลายเข้าสักวันแน่’

เกิดอาการสำลักน้ำลายจากทุกคนรอบวงทันที โดยเฉพาะบรรดาสาวๆ ทั้งที่เป็นสาวใหญ่สาวเล็กต่างหน้าแดงก่ำ

ภาติยะมองภาพนั้นด้วยแววตาเฉยเมย เขาโต้ออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า ‘ขอโทษ...ถ้าท่านย่าจะสังเกตหนังพวกนั้นให้ดี ท่านย่าจะเห็นว่าผมใช้ถุงยางระหว่างมีเซ็กซ์ทุกครั้ง อีกอย่างผมเองก็ห่วงใยสุขอนามัยของเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน ผมถึงได้นำเงินที่ท่านย่าสู้อุตส่าห์ส่งเสียให้ผมได้เรียน นำไปก่อตั้งมูลนิธิการกุศล...สถาบันวรากรณ์ตรวจสุขภาพเอดส์ของเพื่อนเหล่านักแสดงพอร์นสตาร์ฟรี ถือว่าท่านย่าทำบุญครั้งใหญ่ให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนะครับ’ กังวานเสียงตอนท้ายยกย่อง

ทุกคนเห็นเหมือนกันว่าท่านผู้หญิงนงคราญหน้าแดงก่ำ...แดงแล้วซีด ซีดแล้วแดงอย่างคนที่เลือดสูบฉีดไม่ปกติ เนื่องจากโกรธจนเก็บอาการไม่อยู่ แล้วท่านผู้หญิงนงคราญก็พูดเสียงดังคับห้องว่า

‘แกอย่ามายั่วฉันนะภาติยะ แค่พฤติกรรมที่แล้วๆ มา แกยังทำตัวฉาวโฉ่ ทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไม่พอใช่ไหม ถึงได้ขยันทำแต่เรื่องอัปรีย์อย่างนั้น ดี! พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีแล้ว เพราะที่ฉันเรียกแกกลับมาไทยด่วนก็ด้วยเรื่องนี้ เลือกเอานะภาติยะ ถ้าแกเลิกก่อตั้งมูลนิธิเฮงซวยนั่น ฉันจะเขียนพินัยกรรมยกมรดกในส่วนของพ่อแกให้แกทั้งหมด แต่ถ้าแกยังไม่เลิกทำตัวขวางโลก ก่อเรื่องอื้อฉาวให้แก่วงศ์ตระกูลอย่างนี้ ฉันก็จะยกมรดกในส่วนของพ่อแกทั้งหมดให้กับลูกหลานคนอื่นที่เขานำชื่อเสียงเกียรติยศมาให้วงศ์ตระกูล’

ภาติยะลุกยืน ‘นั่นก็สุดแล้วแต่ท่านย่าเถอะครับ ทรัพย์สมบัติเป็นของท่านย่า...จะเอาไปทำอะไรก็ได้อยู่แล้วนี่ครับ ใครจะไปห้ามได้ ผมกลับล่ะ หมดเรื่องพูดกับผมแล้วใช่ไหมครับ’

‘นั่งลงนายภาติยะ!’ ท่านผู้หญิงนงคราญตวาดเสียงแข็ง เห็นอีกฝ่ายนั่งลงแล้ว นางจึงพูดต่อว่า ‘แกพูดอย่างนั้นหมายความว่ายังไงภาติยะ บอกมาให้ชัดสิว่าจะเลิกหรือไม่เลิกทำตัวฉาวโฉ่’

ท่านผู้หญิงนงคราญยื่นคำขาด หากทว่าภาติยะก็ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ ว่า ‘ถ้าการทำบุญอย่างการที่นำเงินไปบริจาคก่อตั้งมูลนิธิการกุศล เรียกว่าเป็นการทำตัวฉาวโฉ่ล่ะก็ ผมก็ขอตอบว่า ’ไม่’ ครับ ผมจะเดินหน้าจัดตั้งมูลนิธินั่นเร็วๆ นี้’

‘โอหัง...ฉันให้เงินก้อนนั้นกับแก เพื่อให้แกเอาไปเรียนหรือใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น ไม่ใช่เอาไปทำเรื่องคาวๆ อย่างนั้น เลิกซะภาติยะ ถ้าแกยังยืนยันจะจัดตั้งมูลนิธิระยำๆ นั่นให้ได้ แกก็ใช้เงินสกปรกๆ ของแกจัดตั้งไป อย่าเอาเงินสะอาดๆ ของฉันไปแปดเปื้อนเด็ดขาด’

ท่านผู้หญิงนงคราญขึ้นเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนทุกคนในห้องนั้น มองหน้ากันเลิ่กลั่กและพลันรู้สึกใจหายใจคว่ำแทนภาติยะ หากมีแต่เจ้าตัวที่ยังคงวางหน้าเรียบเฉยไว้ได้ ภาติยะรักษามาดนิ่งสงบ เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า

‘เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ท่านย่าโอนให้ผม ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของผมแล้ว ฉะนั้นผมจะเอาไปทำอะไร ก็เป็นสิทธิ์ขาดของผม’

‘โอหัง!’ ท่านผู้หญิงนงคราญตวาดเสียงดังคับห้องอีกครา ‘แกทำอย่างนี้ เพื่อหวังให้ฉันตายเร็วๆ ใช่มั้ยภาติยะ แกเกลียดฉันมากใช่มั้ย’

ภาติยะลุกยืนอีกครา เป็นสัญญาณบอกว่าจบเรื่องคุยแค่นั้น ‘ถ้าท่านย่าพูดอย่างนั้น เราก็คงหมดเรื่องคุยกันแล้ว และผมเดาว่าท่านย่าคงหมดธุระกับผมแค่นี้ใช่ไหมครับ’

‘นั่งลงภาติยะ! ถ้าแกคิดจะเดินออกไปจากบ้านฉันตอนนี้ เราเป็นต้องเห็นดีกันแน่’

อีกคราที่ทุกคนรอบวงรอดูท่าทีของภาติยะว่าจะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งที่สุดเขาเลือกที่จะทรุดนั่งตามเดิม ญาติหนุ่มๆ โดยเฉพาะรุ่นราวคราวเดียวกันลอบทำหน้าผิดหวัง เพราะพวกเขาหวังจะให้ภาติยะต่อต้าน จะได้ยั่วยุอารมณ์ของท่านผู้หญิงนงคราญให้โกรธและเกลียดเขามากขึ้น แต่จะเป็นจริงเช่นนั้นหรือไม่ ในเมื่อจิตใจของคนเราเป็นสิ่งที่ยากจะหยั่งถึง ยิ่งเกลียดมาก...ลึกๆ มักเกิดจากความรักมาก เพียงแต่ควบคู่มากับความผิดหวัง

‘เรามาตกลงกันภาติยะ ถ้าแกตกลงที่จะเลิกทำตัวฉาวโฉ่ ฉันจะเขียนพินัยกรรมยกมรดกในส่วนของพิริยะให้แกวันนี้พรุ่งนี้เลย และจะยกหุ้นที่ฉันถืออยู่ทั้งหมดในบริษัทวรากรณ์ให้แกด้วย แต่ถ้าไม่...ฉันจะไม่ยกอะไรให้แกแม้แต่เงินสักเก๊เดียว เพราะฉะนั้นเลือกเอา’

เกิดเสียงฮือฮารอบวงขึ้นทันทีที่ท่านผู้หญิงนงคราญพูดจบ เพราะการยกหุ้นทั้งหมดที่ท่านผู้หญิงถืออยู่ในบริษัทวรากรณ์ ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกอันเป็นธุรกิจเก่าแก่ของตระกูลนั้น ความหมายอีกนัยหนึ่งก็คือ การยกตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทให้แก่ภาติยะนั่นเอง ฉะนั้นจึงเกิดเสียงฮือฮาต่อต้านขึ้นโดยพลัน โดยเฉพาะจากพันดร ผู้เป็นลูกชายคนที่สองของท่านผู้หญิงนงคราญ

พันดรทะลุกลางปล้องขึ้นว่า ‘ผมว่าไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่งที่แม่จะยกตำแหน่งประธานบริษัทให้ภาติยะ การยกมรดกในส่วนของพี่พิริยะให้หลาน อันนี้ผมเห็นด้วย แต่เรื่องตำแหน่งในบริษัทวรากรณ์ ภาติยะไม่คู่ควรแม้แต่ตำแหน่งเดียว ไม่ใช่ว่าผมตั้งแง่หรือรังเกียจหลาน แต่บริษัทนี้อยู่คู่กับตระกูลเรามาช้านานตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย เพราะฉะนั้นไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้ตกไปอยู่ในกำมือของเด็ก...ขอโทษ เด็กเมื่อวานซืนที่ไม่มีประสบการณ์เลยอย่างภาติยะ ผมว่ายกให้ภาสกรอย่างที่เราคิดกันไว้ตั้งแต่ต้นก็เหมาะสมแล้ว’

ลูกชายของท่านผู้หญิงนงคราญพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ หลังจากฟังบทสนทนามาพักใหญ่ๆ ภาสกร หรือ ภาส เป็นลูกชายคนโตวัย ๓๒ ของพันดร ที่เกิดจากภรรยาผู้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยระดับศาสตราจารย์ดอกเตอร์ พวกเขามีลูกชายและลูกสาวด้วยกันทั้งหมด ๔ คน โดยสองคนแรกเป็นลูกแฝด คือ ภาสกร และภูวนัย อยู่ในวัย ๓๒ คนที่สามชื่อว่า ภูวนารถ เป็นหนุ่มวัย ๓๐ และคนสุดท้องเป็นผู้หญิงชื่อว่า ภัทรวดี อายุ ๒๗ ปี ขณะนี้ภาสกรกำลังทำงานอยู่ในบริษัทวรากรณ์ ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการตลาด ก่อนหน้านี้มีการวางตัวกันว่าจะให้ภาสกรขึ้นมาเป็นประธานกรรมการบริษัทต่อจากท่านผู้หญิงนงคราญ

‘ครับ ผมว่าอาพันพูดถูก ผมมันเด็กเมื่อวานซืน เพราะงั้นสู้นายภาสกรไม่ได้หรอกครับ ยกตำแหน่งประธานบริษัทให้เขา ก็ถูกต้องแล้ว’ ภาติยะรับคำหน้าตาเฉย ด้วยกังวานเสียงเอื่อยๆ ไม่ยี่หระแบบคนที่ยียวนอย่างมาก

‘ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น!’ ท่านผู้หญิงนงคราญลั่นคำประกาศิต ก่อนจะหันไปส่งสายตากำราบลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ จากนั้นส่งสายตาปรามไปยังลูกหลานทั่ววงสนทนาแห่งนั้น ซึ่งได้ผล เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่กำลังดังเซ็งแซ่อื้ออึงถึงการตัดสินใจของนางก็พลันเงียบกริบ หลายคนที่กำลังอ้าปากจะสนับสนุนคำพูดของพันดร ก็มีอันต้องหุบปากฉับ

ท่านผู้หญิงนงคราญพูดต่อว่า ‘ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะมอบอะไร ให้ใคร และเวลานี้ฉันก็ได้ตัดสินใจไปแล้วที่จะมอบให้กับภาติยะ เพราะฉะนั้นห้ามใครโต้แย้งหรือก้าวก่ายความคิดฉันเด็ดขาด ลองมาหือสิ...ฉันจะไม่ให้เงินแม้แต่สักเก๊เดียว รับรองเลย’

จากนั้นท่านผู้หญิงนงคราญก็หันไปทางภาติยะ ถามว่า ‘ว่าไงภาติยะ แกตกลงจะรับเงื่อนไขของฉันหรือว่าจะปฏิเสธ ถ้าแกตอบรับ...ฉันจะเขียนพินัยกรรมยกให้แกวันนี้พรุ่งนี้เลย’

เกิดอาการคอแข็งจากลูกหลานรอบวงถ้วนหน้า โดยเฉพาะภาสกร แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ฮึดฮัด

ภาติยะยิ้มแต่ไม่ได้เลยไปถึงดวงตา จึงแลดูเป็นการหยามเหยาะมากกว่า เขากำลังนึกดูถูกผู้คนรอบข้าง ภาติยะตอบผู้เป็นย่าว่า ‘ผมยืนยันคำตอบเดิม ถึงท่านย่าจะยกหรือไม่ยกมรดกให้ผม ผมก็ยังใช้ชีวิตปกติตามวิถีทางของผม ไม่เปลี่ยนแปลง’

‘ตอบใหม่ภาติยะ! ฉันให้โอกาสแกตอบใหม่อีกครั้ง ฉันจะไม่ยอมรับคำปฏิเสธของแกหรอกนะ’

‘ก็แล้วแต่ท่านย่าเถอะครับ หมดธุระกับผมแค่นี้ใช่ไหมครับ’ ถามพลางขยับตัวลุก

‘ฉันให้เวลาแกถึงเดือนหน้า แล้วฉันจะโทร.ไปเอาคำตอบใหม่จากแก’ ท่านผู้หญิงนงคราญลั่นวาจาก่อนที่ภาติยะจะออกจากห้อง

‘สุดแต่ท่านย่าครับ ถึงตอนนั้นก็ค่อยมาดูกันว่าจะทำให้ผมเปลี่ยนใจได้มั้ย ผมขอตัวล่ะครับ’ ภาติยะยกมือลาญาติผู้ใหญ่แล้วจึงเดินออกมาโดยไม่ฟังคำทัดทานจากใครอีกเลย

‘ยโส’ ภาคิไนยพูดขึ้นเป็นคำแรกหลังจากภาติยะเดินออกไปแล้ว ทุกคนยังนั่งนิ่งเป็นเบื้อใบ้ เนื่องจากยังคงอึ้งกับท่าทีที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใครของภาติยะ สิ้นคำของภาคิไนยก็เกิดการขานรับจากหมู่ญาติๆ ขึ้นทันที แล้วจากนั้นก็เป็นการแข่งกันพูดราวกับนกกระจอกแตกรังถึงพฤติกรรมของภาติยะ ร้อนถึงท่านผู้หญิงนงคราญต้องยกมือปราม

‘หยุด! หยุด! หยุดแย่งกันพูดราวกับเจ๊กตื่นไฟได้แล้ว และถ้ายังไม่หยุด ‘ตีวัวกระทบคราด’ มาถึงการตัดสินใจของฉัน รับรองเลยว่าฉันจะตัดออกจากพินัยกรรมแน่ ฉันตัดสินใจไปแล้ว เพราะฉะนั้นถือว่าเป็นที่สิ้นสุด คำพูดฉันเป็นประกาศิตห้ามเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ เอาล่ะ...ฉันเหนื่อยมามากแล้ววันนี้ ขอตัวไปพักผ่อนล่ะ’ พูดจบท่านผู้หญิงนงคราญก็ลุกเดินจากไปทันที

คนที่บ่นว่าเหนื่อยมาก เดินออกไปอย่างกระฉับกระเฉง ไม่ส่อว่าเหนื่อยหรือบ่งบอกว่าอยู่ในวัย ๘๐ ตอนปลายสักนิด ญาติผู้ใหญ่ในลำดับถัดมา ซึ่งได้แก่น้องชาย น้องสาวตลอดจนลูกชายและลูกสาวของท่านผู้หญิงนงคราญลุกเดินตามออกไป ตอนนี้ในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงหลานๆ ที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว

ภูวนัย แฝดผู้น้องของภาสกร ลูกชายของพันดร วัย ๓๒ พูดขึ้นว่า ‘เกลียดไอ้แพทนัก พวกเราเห็นมั้ย มันทำกร่างไม่เห็นหัวใคร ทำตัววิเศษวิโสคงนึกว่าตัวมันเป็นเทวดามาเกิด ถุย! ก็แค่ดาราลามก พูดแล้วเสนียดปาก ฉันไม่กล้าบอกใครเลยว่ามันเป็นญาติเรา น่าสะอิดสะเอียน’

‘ใครบอกว่าพี่แพท เอ๊ย! นายภาติยะ เป็นดาราลามก เขาเป็นถึงผู้กำกับหนังชื่อดังนะ’ พริ้มเพราแก้ตัวแทน แต่ก็แย้งด้วยเสียงอ่อยๆ ยามอยู่ต่อหน้าญาติๆ เธอไม่กล้าเรียกภาติยะว่า พี่แพท เพราะหวั่นจะโดนประชาทัณฑ์ ซึ่งก็จริงเพราะพูดไม่ทันขาดคำ ภาคิไนย ผู้เป็นพี่ชายวัย ๓๓ ที่นั่งใกล้สุดก็ตบผัวะเข้าที่หลัง ขณะที่ภูวนัยโต้ว่า

‘ก็แค่ผู้กำกับกระจอกๆ ล่ะว้ายายพริ้ม เราเคยเห็นมันได้รางวัลออสการ์บ้างไหมล่ะ ก็เปล่า เอ...หรือเราจะถือว่ารางวัล XRCO นั่นก็เป็นออสการ์เหมือนกัน ใช่ซิ...มันเป็นออสการ์ แต่เป็นออสการ์ของหนังลามกไง’ เกิดเสียงหัวเราะครืนใหญ่ดังขึ้นพร้อมกันรอบวงขานรับมุกของภูวนัย มีเพียงพริ้มเพราคนเดียวที่ขำไม่ออก เธอได้แต่ก้มหน้า ทำหน้ามุ่ยและสงบปากสงบคำนับแต่นั้น

ภาสกร เสริมขึ้นบ้างว่า ‘นั่นสิทำตัวเป็นแกะดำของครอบครัว ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แถมยังไม่ยอมก้มหัวให้ใครด้วยแม้แต่ท่านย่า บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจ เห็นทำท่ารังเกียจมันนักหนา ใครพูดถึงเป็นต้องชักสีหน้า แต่พอมาวันนี้...เห็นไหมพอมาเจอมันเข้าจริงๆ ท่านย่าหงอมันเชียว ประเคนให้มันทุกอย่างแม้แต่ตำแหน่งประธานบริษัท’

‘นั่นสิ ทั้งที่ตำแหน่งนี้ เราวางตัวกันไว้แล้วว่าจะต้องเป็นของภาส’ พายุ ลูกชายคนโตของพิยะดา หนุ่มวัย ๓๕ เอ่ยสนับสนุน แม้ภาสกร จะมีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ แต่ด้วยวัยที่อ่อนกว่า พายุจึงไม่เคยเรียกพี่ แต่เรียกแทนตัวด้วยชื่อเล่น

ภาคิไนย แสดงความเห็นว่า ‘นั่นสิ...ท่านยายทำอย่างนั้นกับภาสได้ไง พูดไปแล้วไม่นับไอ้แพท ภาสกับนัย ก็ถือเป็นหลานชายคนโตของตระกูลเพราะใช้สกุลวรากรณ์ แถมยังทำงานให้กับบริษัทมาตั้งแต่จบนอกใหม่ๆ แล้วอยู่ๆ จะให้ไอ้แพทมาชุบมือเปิบ ไม่แฟร์เลยสักนิด พี่ล่ะเกลียดมันจริงๆ เห็นแล้วอยากจะปรี่ไปชกให้เลือดอาบ ไม่ชอบขี้หน้ามันเลย รู้สึกเขม่นตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว เสนียดลูกกะตา หน็อยแน่ทำมาเป็นมองเราด้วยหางตาราวกับเราเป็นเศษสวะ แล้วยังทำเหมือนพ่อแม่เราเป็นหัวหลักเป็นตอ จะยกมือไหว้สักนิดก็ไม่มี ทำยังไงน้า...เราจะสั่งสอนมันได้ พี่ล่ะอยากเอาให้มันกระอักเลือด จะได้เข็ดหลาบเลิกทำท่าจองหองพองขนอย่างนั้นเสียที’

‘ส่งนักเลงไปตีหัวมันดีไหม ตอนนี้มันพักอยู่ที่ไหนน่ะ ใครรู้บ้าง’ ภูวนารถ หนุ่มวัย ๓๐ ลูกชายคนที่สามของพันดร ถามขึ้น

ภาวิต ลูกชายคนโตวัย ๓๖ ของภราดา กล่าวขึ้นหลังจากทนฟังการสุมหัวของบรรดาญาติๆ มาพักหนึ่งว่า ‘อย่าทำอย่างนั้นเชียวนะ เดี๋ยวก็เป็นข่าวใหญ่โตว่าลูกหลานฆ่าแกงกันเพราะแย่งชิงสมบัติหรอก รู้ถึงไหนอายถึงนั่น’

‘ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดการกับมันยังไงดี’ ภาคิไนยถามขึ้นอย่างปรึกษาหารือ

‘มันต้องมีทางสิ เราต้องค่อยๆ คิด’ ภูวนารถให้ความเห็น

ภาวิตส่ายหน้าเมื่อเห็นว่าไม่มีใครฟังเขา ชายหนุ่มลุกยืนพลางกล่าวกลางที่ประชุมว่า ‘ผมจะกลับล่ะ ใครจะสุมหัวทำเรื่องเลวระยำตำบอนอะไร ก็เชิญเลยแต่ผมไม่ขอเอี่ยว พิช พริ้ม จะกลับพร้อมพี่ไหม” ประโยคหลังภาวิตหันไปถามน้องสาวคนโตและคนเล็ก ลูกๆ ของภราดามีด้วยกัน ๔ คน ไล่ตั้งแต่ ภาวิต พิชชาพร ภาคิไนยและพริ้มเพรา โดยพิชชาพร อายุ ๓๕ ปี ส่วนภาคิไนยและพริ้มเพรา อายุ ๓๓ และ ๒๒ ปีตามลำดับ

“กลับค่ะ” พิชชาพร และพริ้มเพรา ขานรับขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะเดินตามภาวิต ออกไป คงทิ้งให้ภาสกร ภูวนัย ภูวนารถ ภาคิไนย และพายุ พูดคุยกัน ส่วนพวกสาวๆ ที่เหลือ ก็มีภัทรวดี ซึ่งเป็นลูกสาวคนสุดท้องของพันดร วัย ๒๗ พิมพ์ลภัส และพิมพ์วิมล ซึ่งเป็นลูกสาวของพิยะดา ทั้งคู่อยู่ในวัย ๒๕ และ ๒๓ ตามลำดับ

‘พี่วิตเว่อร์จริง ไม่รู้จะธรรมะธัมโมไปถึงไหน แค่นี้ก็ทนฟังไม่ได้’ พิมพ์ลภัสพูดแสดงความเห็น โดยมีเสียงขานรับเป็นลูกคู่จากพิมพ์วิมล

‘ไม่ต้องเลยยายภัส ยายมล เมื่อกี้พี่แอบเห็นนะว่าแอบจ้องนายแพท ตาเป็นมันเลย หลงใหลได้ปลื้มเขาล่ะซี่ พี่รู้หรอก’ ภัทรวดีพูดแล้วแสร้งขยิบตา ทำทีรู้ทัน

พิมพ์ลภัสหน้าแดง โต้ว่า ‘หลงใหลอะไร อย่าพูดมั่วๆ นะพี่วดี’

พิมพ์วิมล เสริมพี่สาว ‘นั่นสิ อย่ามาหาเรื่องกันหน่อยเลยน่า มลเองก็เห็นนะว่าพี่วดีแอบจ้องนายภาติยะ ตาเป็นมัน’

‘ใช่เลยยายวดี แกไม่ต้องไปว่าคนอื่นหรอก พี่เห็นเต็มลูกกะตาว่าแกแอบมองมัน ทำท่าตกตะลึงตาค้างด้วย ทำไม...พวกแกๆ ทั้งหลายนี่ถึงชอบทำท่าหลงใหลได้ปลื้มมันนัก’ ภาคิไนยพูดพลางชี้นิ้วกราดไปทั่ววง ก่อนเสริมต่อว่า ‘ยายพริ้มก็คนหนึ่งแล้ว ด่าไอ้แพททีไร เป็นต้องออกรับแทนทุกที ทำยังกับมันเป็นผัว นี่ยังจะมาพวกแกอีก ขอเลยนะยายวดี ยายภัส ยายมล อย่าทำท่า ตาลอย ยังงั้นต่อหน้าพี่อีก เห็นแล้วอยากจะอ้วก’

‘เปล่านะ วดีไม่ได้ทำตาลอยสักหน่อย’ ภัทรวดีค้าน โดยมีเสียงขานรับเป็นลูกคู่จากสองสาว

ภาคิไนยกล่าวว่า ‘เออๆ...ปฏิเสธกันเข้าไป อย่าให้รู้เชียวว่าพวกแกทั้งหลายแอบหลงใหลได้ปลื้มมัน รู้เมื่อไหร่ พี่จัดการพวกแกแน่’

‘โธ่...พี่ภาค ใครจะไปชอบมันได้ มันเป็นใคร...ดาราโป๊นะ เห็นแล้วแหวะ สกปรก’ พิมพ์ลภัสทำท่าอ้วกประกอบ

‘นั่นสิ...วดีว่าใครเอาไปทำพันธุ์ ซวยไปเจ็ดชาติเลย ผ่านอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ ทั้งประตูหน้าประตูหลัง อึ๋ย...โคตรจะขยะแขยงเลย’ ภัทรวดีไม่แค่พูด แต่ยังทำท่าขนลุกขนพอง

ราวกับพิมพ์วิมล กลัวน้อยหน้า หญิงสาวเสริมว่า ‘นั่นสิ มลเกลียดมันจะตาย ทำตัวบัดสีบัดเถลิง ทำให้วงศ์ตระกูลเราเสื่อมเสีย นี่ถ้ามันหายสาบสูญไปจากโลกนี้จริงๆ มลจะดีใจมาก ไปไหน...อายเขาจะตาย มีญาติเป็นดาราหนังพอร์น ยี้...พูดแล้วเสนียดปาก’






greenteagreentea




Create Date : 20 ตุลาคม 2553
Last Update : 22 ตุลาคม 2553 21:01:45 น.
Counter : 917 Pageviews.

12 comment
ไฟรัก...บท 4/1



นครลอสแอนเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

พลันที่ภาติยะ วรากรณ์ ก้าวเข้าบ้านที่เป็นคฤหาสน์สวยหรูอลังการ พ่อบ้านชาวฝรั่งเศสสูงวัยก็เคลื่อนเข้ามาปลดเสื้อโค้ตตัวยาวออกจากบ่าให้เขาทันทีและอาศัยความที่สนิทสนมคุ้นเคยกันดี ด้วยเลี้ยงดูกันมาตั้งแต่อีกฝ่ายยังเป็นเพียงหนุ่มรุ่นกระทง จวบจนปัจจุบันเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ เขาจึงกล้าถามออกไปว่า

“การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” ฌองถามพลางพาดเสื้อโค้ตไว้กับแขน ก่อนหยิบเครื่องดื่มยี่ห้อโปรดของภาติยะจากถาดของพ่อครัวที่เดินมาเสิร์ฟด้วยตัวเอง ส่งให้ภาติยะผู้ที่ตัวเองรักเสมือนลูกหลาน

ภาติยะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังที่ขณะนี้กำลังส่งเรื่องเข้าประกวดรางวัลออสการ์<1> ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์แง่บวกจากสื่อมวลชนว่าเขาและภาพยนตร์ของเขาน่าจะเป็นเต็งหนึ่งที่กวาดรางวัลหลายรางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำ<2>และเวทีออสการ์ในต้นปีหน้านี้ เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังเป็นพอร์นสตาร์ (Porn Star) หรือดาราโป๊ระดับแนวหน้าที่ฮอตที่สุดในศตวรรษนี้ ด้วยบทรักของเขาร้อนแรงและถึงใจบรรดาดาราที่ร่วมแสดง จนนักแสดงหญิงรวมถึงสาวๆ ที่เป็นแฟนคลับของเขาต่างตั้งฉายาให้เขาว่า ‘นักรักผู้ยิ่งใหญ่’ ทุกคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าเขามีลีลารักบนเตียงที่เร่าร้อนยากจะหาใครเสมอเหมือน เพราะรู้วิธีที่จะให้ความสุขแก่คู่นอนกระทั่งพวกเธอถึงจุดไคลแมกซ์หลายต่อหลายครั้งในคืนเดียว

หลังจากภาติยะโดดเข้าสู่อุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่ ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายมากยิ่งขึ้น ทุกคนรู้จักเขาในนาม มานูเอล วรากรณ์ ผู้กำกับหนังและพอร์นสตาร์หนุ่มสุดฮอต เพราะนับแต่เขาเดินทางมาอเมริกาเมื่อ ๒๑ ปีก่อน ภาติยะไม่เคยใช้ชื่อไทยของเขาอีกเลย หากแต่ใช้ชื่อมานูเอล ที่ผู้เป็นแม่ตั้งให้ตลอดมา เมื่อเข้าวงการบันเทิง ชื่อมานูเอล จึงติดตัวไปด้วย น้อยคนนักจะรู้ว่าเขามีชื่อไทยว่า ภาติยะ ด้วย ยกเว้นคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทเท่านั้น ซึ่งฌองก็รวมอยู่ในนั้น

ฌองเป็นคนเก่าแก่ของตระกูลคาร์เตอร์ ตอนแคสซานดร้าแต่งงานและย้ายไปอยู่กับสามีคนไทยที่ชื่อพิริยะนั้น นางมาเดอลีนผู้เป็นยายของภาติยะ ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เพราะอยากจะให้ตบแต่งกับคนชาติเดียวกันมากกว่า แม้จะไม่ปลื้มลูกเขย แต่ก็ไม่เคยแสดงอาการรังเกียจหรือขัดขวางชัดเจนเหมือนท่านผู้หญิงนงคราญทำกับลูกสะใภ้ ด้วยเหตุนี้ตอนที่ภาติยะถูกส่งตัวกลับมาอยู่กับญาติๆ ฝ่ายแม่ที่อเมริกา นางมาเดอลีน จึงโกรธมาก เนื่องจากเห็นว่านอกจากท่านผู้หญิงนงคราญจะแสดงความรังเกียจลูกสาวนางแล้ว ยังปฏิบัติไม่ดีต่อหลานชายนางด้วย

ตอนที่ภาติยะมาถึงอเมริกาใหม่ๆ นั้น สมาชิกในบ้านรวมถึงฌองรับรู้ความเป็นไปของนายหนุ่มผู้นี้มาโดยตลอด คนในบ้านรักและห่วงใยเขามาก ต่างดูแล เลี้ยงดูและกล่อมเกลาไม่ต่างจากกล่องดวงใจ ราวกับต้องการลบเลือนและชดเชยวันคืนเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยบาดแผลในชีวิตวัยเยาว์ของภาติยะ ตราบจนเขาจบมหาวิทยาลัยนิวยอร์กและย้ายมาอยู่ที่สอลแอนเจลิสเพื่อเข้าสู่วงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด ฌองจึงขันอาสาตามมาดูแล นางมาเลอดีนให้การสนับสนุนเต็มที่ แต่คนที่คัดค้านกลับเป็นภาติยะเอง โดยบอกว่ายังไม่มีรายได้มากพอจะจ่ายเงินเดือนให้แก่เขา ฌองปฏิเสธและเสนอตัวที่จะช่วยดูแลบ้านให้ฟรีๆ ขอแค่แลกกับที่อยู่และอาหาร กระนั้นที่สุดภาติยะก็หาเงินมาจ่ายเป็นเงินเดือนให้แก่เขาจนได้

ฌองบอกตัวเองว่าเขารักภาติยะไม่ต่างจากลูกหลานคนหนึ่ง อาจเพราะเขาไม่มีลูกชายเนื่องจากเสียชีวิตตั้งแต่วัยรุ่นจากการตีรันฟันแทงกับพวกขี้เมา เมื่อภาติยะก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านคาร์เตอร์ในช่วงที่เขากำลังสูญเสียลูกพอดี ภาติยะจึงเป็นเสมือนตัวแทน ซึ่งถ้าหากลูกชายของเขาโต ก็คงอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน เหตุนี้เขาจึงรักภาติยะไม่ต่างไปจากลูกชายของตัวเอง

หลังจากเข้าทำงานในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮอลลีวูด ภาติยะก็ค่อยๆ ไต่เต้าจากตำแหน่งล่างๆ จวบจนสามารถขึ้นมาเป็นผู้กำกับได้ในที่สุด เขามีรายได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถตั้งบริษัทภาพยนตร์ของตัวเอง และมามีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางเมื่อโดดไปเล่นหนังพอร์นเมื่อช่วง ๓ ปีก่อน ทำให้เขามีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำจนสามารถซื้อคฤหาสน์หลังนี้ได้เมื่อปลายปีที่ผ่านมา

หนังพอร์นเรื่องแรกที่ภาติยะโดดไปเล่น คือหนังประเภทฟีตเจอร์ หรือ พอร์นอกกระฟี ฟีตเจอร์ (Pornography features) ซึ่งเป็นหนังประเภทที่มีเรื่องราว ไม่ได้มีแต่ฉากเซ็กซ์ แล้วก็ดังเป็นพลุแตกในวงการอุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่ ด้วยแผ่นซีดีขายเกลี้ยงภายในเดือนเดียว และมีการผลิตซ้ำขึ้นอีกหลายครั้งในเวลาต่อมา ในเว็บไซต์มียอดคลิกดาวน์โหลดสูงสุดเมื่อเทียบกับนักแสดงชายคนอื่นๆ ในช่วงเดือนเดียวกัน นั่นหมายความว่าเขาสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้แก่บริษัทผู้ผลิตทั้งในรูปแบบของแผ่นซีดีและการดาวน์โหลดทางเว็บไซต์ ที่สำคัญเรื่องนี้ยังส่งผลให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจาก XRCO ในเวลาต่อมาด้วย ซึ่งถือเป็นรางวัลที่ใหญ่สุดในโลกอุตสาหกรรมหนังเรตเอ็กซ์ เปรียบไปก็เหมือนรางวัลออสการ์ของหนังพอร์นเลยทีเดียว

เหตุนี้จึงมีบริษัทผู้ผลิตหนังเรตเอ็กซ์ค่ายใหญ่หลายแห่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางแห่งวงการอุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่ ต่างพากันเสนอราคาเพื่อแย่งซื้อตัวเขาไปเป็นนักแสดงในสังกัด ที่สุดเขาเลือกเซ็นสัญญา ๓ ปีกับบริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยค่าตัวที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของนักแสดงหน้าใหม่ แต่ภาติยะวางเงื่อนไขว่าเขาจะรับแสดงเฉพาะหนังกอนโซ เป็นหลัก ส่วนหนังฟีตเจอร์ เขาจะรับเล่นปีละเรื่องเดียวเท่านั้น เพื่อจะได้มีเวลาไปผลิตหนังให้บริษัทตนเอง

โดยปกติหนังโป๊ในวงการอุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่มีอยู่ ๒ ประเภท คือ กอนโซ พอร์นอกกระฟี (Gonzo pornography) หรือเรียกสั้นๆ ว่ากอนโซ เป็นหนังที่มุ่งเน้นฉากเซ็กซ์ ใช้เวลาถ่ายทำไม่นาน เป็นหนังประเภทที่ไม่มีเนื้อหา เมื่อทำความรู้จักกับนักแสดงหญิงแล้ว ก็เดินกล้องถ่ายทำฉากเซ็กซ์ทันที ส่วนหนังอีกประเภทหนึ่ง คือฟีตเจอร์ เป็นหนังที่มีเรื่องราว โดยมีบทละครให้เล่น ต้องจัดฉาก จัดเสื้อผ้า ถ่ายทำกันหลายสิบชั่วโมง แต่มีฉากเซ็กซ์น้อย อาจจะประมาณ ๒๐ นาทีเท่านั้น

ฌองไม่ประหลาดใจที่ภาติยะโดดไปเล่นหนังโป๊ เพราะภาติยะมีบาดแผลชีวิตในวัยเด็ก เนื่องจากญาติฝ่ายแม่แสดงความรังเกียจอาชีพนางแบบของแคสซานดร้า หาว่าเต้นกินรำกิน อีกทั้งยังแสดงท่าทีรังเกียจและเหยียดหยามแม่ของเขาสารพัด เหตุนี้ภาติยะจึงฝังใจและนึกอยากเอาคืนทุกรูปแบบ เมื่อเร็วๆ นี้ ภาติยะจึงออกข่าวไปทำนองว่าเขาจะนำเงินออมในธนาคารที่ได้จากญาติฝ่ายแม่ มาก่อตั้งมูลนิธิการกุศลในชื่อว่า วรากรณ์ : สถาบันตรวจสุขภาพสำหรับอุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่ ซึ่งจะเป็นคลินิกสำหรับตรวจสุขภาพฟรีของเหล่าดารานักแสดงหนังโป๊

ได้ผล... ท่านผู้หญิงนงคราญเต้นเป็นเจ้าเข้าทันทีที่เห็นข่าว นางโทรศัพท์ทางไกลมาหามาเดอลีน ผู้เป็นยายของภาติยะด้วยตนเองและสั่งให้บอกภาติยะให้กลับเมืองไทยด่วน ดูจะเป็นการติดต่อมาหาภาติยะเป็นครั้งแรกนับแต่ ๒๑ ปีที่ตัดหางปล่อยวัดเขา และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ภาติยะต้องเดินทางกลับเมืองไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

“ทุกอย่างมันแย่มากหรือครับ” ฌองถามต่อ เมื่อเห็นนายหนุ่มไม่ตอบคำถามทันที แต่เดินไปทรุดนั่งบนโซฟาหรูแล้วกระดกเครื่องดื่มโปรดรวดเดียวหมดแก้ว

“ไม่หรอก มันผ่านไปได้ด้วยดี” ภาติยะตอบช้าๆ ท่วงท่าใช้ความคิด

“แต่คุณแพทดูแย่มาก ผมหมายถึงดูเครียดมาก”

“นิดหน่อยน่า ไม่หนักหนาสาหัสกว่าในอดีตสักเท่าไหร่หรอก” พูดพลางขยับตัวนั่งตรง ก่อนกล่าวต่อว่า “รบกวนลุงฌองช่วยโทร.ตามหมอนวดให้ผมหน่อยสิครับ ขอประเภทที่นวดจริงๆ ไม่มีบริการเสริมเป็นของแถม”

ฌองรับคำสั่งด้วยมาดนิ่งสงบ เขาถามต่อว่า “ได้ครับ แล้วจะให้ผมพาหมอนวดไปที่ห้องไหนดีครับ”

“ขอโรงยิมแล้วกัน”

“ได้ครับ” ฌองรับคำอย่างนอบน้อม แล้วเดินไปทำภารกิจของตัวเอง คฤหาสน์หลังนี้มีอาณาเขตกว้างขวาง และมีถึง ๖ ชั้นไม่นับรวมชั้นใต้ดิน โรงยิมอยู่ชั้นสูงสุดซึ่งเป็นชั้นเดียวกับดาดฟ้าอันเป็นที่ตั้งของสระว่ายน้ำ โดยชั้นที่ ๖ แบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นโรงยิม และอีกส่วนเป็นสระว่ายน้ำที่มีขนาดกว้างขวาง ภาติยะสั่งสถาปนิกให้ออกแบบชั้นนี้เพื่อเป็นที่ออกกำลังกายโดยเฉพาะ

ภาติยะมองจนผู้ที่ตัวเองนับถือเสมือนญาติผู้ใหญ่เดินจากไปแล้ว เขาจึงเอนหลัง วางศีรษะพักที่วางคอ มือคลึงขมับไปมาพลางคิดว่า... ความจริงเป็นอย่างที่ฌองพูดจริงๆ แม้ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ก็ผ่านไปอย่างเครียดๆ

ก็อย่างว่า...กลับไปเผชิญหน้ากับญาติๆ เป็นครั้งแรกในรอบ ๒๑ ปี แถมต่างฝ่ายต่างไม่ชอบขี้หน้ากันชัดเจนด้วย แม้จะพยายามฉาบรอยยิ้มหรือรักษาสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ กระนั้นก็ปิดบังแววตารังเกียจลึกๆ ในดวงตาหลายสิบคู่เหล่านั้นไม่ได้ ฉะนั้นจะไม่ให้เครียดเลย ก็ดูจะผิดแผกไปสักหน่อย

สาเหตุที่ภาติยะต้องบินกลับเมืองไทยด่วน ทั้งที่ลั่นปากว่าจะไม่เหยียบย่างกลับไปที่นั่นอีก ก็เนื่องจากท่านผู้หญิงนงคราญ ติดต่อมาทางมาเดอลีนขอให้เขากลับเมืองไทยไปรับรู้เรื่องมรดก เขารู้ว่าเป็นแค่ข้ออ้าง เหตุผลใจความหลักเพราะต้องการเรียกเขาไปยับยั้งเรื่องก่อตั้งมูลนิธิการกุศลตรวจโรคเอดส์ฟรีให้แก่เหล่านักแสดงพอร์นสตาร์ต่างหาก อาจจะถือโอกาสด่าเขาเรื่องพฤติกรรมที่ผ่านมาเป็นของแถมด้วย ภาติยะนึกอย่างเหยียดๆ

หากกระนั้นเขาก็ยอมเดินทางไป ยอมเล่นตามเกมของท่านผู้หญิง ก็ทำไมจะไม่ล่ะในเมื่อท่านผู้หญิงอุตสาห์โทรศัพท์ติดต่อมาด้วยตัวเองอย่างนั้น ซึ่งเป็นการติดต่อครั้งแรกนับแต่ตัดหางปล่อยวัดส่งเขามาเรียนที่อเมริกาแล้วไม่เคยมาดูดำดูดีหรือแม้แต่โทรศัพท์มาไต่ถามถึงทุกข์สุขเลยสักครั้ง ฉะนั้นในอีก ๒ สัปดาห์ต่อมาที่เขาสามารถเคลียร์คิวงานได้ ภาติยะจึงจัดการซื้อตั๋วบินกลับเมืองไทยทันที และอยู่ที่นั่นเป็นเวลาเกือบสัปดาห์ เพิ่งจะบินกลับมาอเมริกาก็ในวันนี้

แล้วภาพการเดินทางกลับไปเมืองไทยครั้งแรกในรอบ ๒๑ ปี ก็ฉายชัดขึ้นในความทรงจำ...


………………

<1> รางวัลออสการ์ (Oscar) หรืออคาเดมี อวอร์ดส (Academy Awards) เป็นงานรางวัลทางภาพยนตร์ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จัดโดยสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences : AMPAS) จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปีค.ศ.๑๙๒๙ ที่โรงแรม Roosevelt ในฮอลลีวูด กระทั่งปีค.ศ.๒๐๐๒ จนถึงปัจจุบัน ที่จัดขึ้นที่โกดักเธียเตอร์ ในฮอลลีวูด โดยจัดขึ้นประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมของทุกปี

<2>รางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Award) เป็นรางวัลที่มอบให้กับภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์เริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๙๔๔ จัดโดย Hollywood Foreign Press Association (HFPA) รางวัลลูกโลกทองคำถูกจัดอันดับว่ามีผู้ชมมากที่สุดอันดับ ๓ รองจากรางวัลออสการ์และรางวัลแกรมมี่ โดยจัดขึ้นเป็นประจำช่วงต้นปี โดยยึดผลจากการโหวตจากนักข่าวและสื่อมวลชนในสหรัฐอเมริกา










Create Date : 20 ตุลาคม 2553
Last Update : 23 ตุลาคม 2553 10:14:20 น.
Counter : 2198 Pageviews.

10 comment
ไฟรัก...บท 3/2
greenteagreentea



บทหน้าเปิดตัวพระเอกแล้วค่ะ ตอนนี้ก็เลยกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับวงการอุตสาหกรรมหนังผู้ใหญ่และ porn star ในอเมริกา เสิร์ชเจอ porn star คนหนึ่งน่าสนใจมาก เป็นหนุ่มคนไทยที่ไปโตที่อังกฤษและตอนนี้เป็นดารา porn star อยู่ที่อเมริกา

กำลังติดต่อทาบทามขอสัมภาษณ์เพื่อขอข้อมูลเขาอยู่ค่ะ ยังไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวจะสนใจให้ข้อมูลไหม คงต้องลุ้น ^^


**********

เป็นครั้งแรกที่แพรไหมเข้าห้องนอนของน้องสาวซึ่งอยู่บนชั้นสองของตัวบ้าน ด้วยตลอดชีวิตไม่เคยคิดจะเหยียบย่างไกลไปกว่าห้องรับแขก แต่เพราะต้องการสืบเสาะหาเบาะแสทุกอย่างที่จะโยงไปถึงตัวฆาตกรให้ได้ เธอจึงต้องมาอยู่ในห้องนอนของใยไหมในขณะนี้

เมื่อวานการแถลงข่าวจบลงด้วยดี โดยทุกคนยินยอมที่จะสงวนชื่อและนามสกุลของผู้ตายเป็นความลับตามที่เธอร้องขอ แพรไหมบอกถึงเหตุผลความจำเป็นไปตรงๆ ว่าใยไหมเป็นอะไรกับเธอ เพื่อนๆ นักข่าวในสายอาชญากรรมจึงพร้อมใจที่จะให้ความร่วมมือ ทั้งยังเสนอตัวให้ความช่วยเหลือในทุกทางที่สามารถช่วยได้

สารวัตรตุลาบอกเธอว่าเมื่อวานได้สอบปากคำฟร้อนต์ที่ทำหน้าที่รับเช็กอินแล้ว แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ที่สำคัญฟร้อนต์ระบุรูปพรรณสัณฐานไม่ได้ อ้างว่าทัวร์สองแห่งเข้ามาพร้อมกันในเวลานั้นพอดี ทำให้ไม่อาจจดจำได้ว่าใครเป็นใคร ตอนนี้ตำรวจได้ขอเทปบันทึกจากกล้องวงจรปิดของโรงแรมมาตรวจสอบแล้ว

อะไรเป็นมูลเหตุจูงใจให้ใยไหมออกไปพบฆาตกรถึงห้องพักในโรงแรม?แพรไหมถามตัวเองพลางสอดส่ายหาสิ่งที่ผิดปกติ

ห้องนอนของใยไหมตกแต่งด้วยสีโทนหวาน เป็นระเบียบเรียบร้อยดูแล้วไม่ต่างจากนิสัยของผู้เป็นเจ้าของนัก เธอเข้าไปรื้อค้นในถังขยะข้างโต๊ะคอมพิวเตอร์ พบบิลค่าชุดชั้นในยี่ห้อดังซึ่งเป็นยี่ห้อเดียวกับที่ใยไหมสวมในวันเกิดเหตุ แพรไหมขมวดคิ้วมุ่นด้วยวันและเวลาในบิลสะท้อนว่าใยไหมเพิ่งซื้อก่อนหน้าวันนัดหนึ่งวันเพื่อที่จะสวมออกไปพบคนร้ายในวันถัดไป

เธออดคิดไม่ได้ว่าใยไหมเรียบร้อยขนาดนั้น ทำไมถึงกล้าลุกขึ้นมาสวมชุดชั้นในจีสตริงสุดเซ็กซี่ ซึ่งผิดวิสัยของน้องสาวเธออยู่มาก แสดงว่าใยไหมตั้งใจที่จะแต่งตัวสวยเพื่อไปพบใครคนนั้นใช่ไหม ตั้งใจสวยทั้งข้างนอกและข้างในเพื่อเขา? หรือความหมายอีกนัยหนึ่ง ก็คือใยไหมต้องสนิทสนมกับคนร้ายมากถึงขนาด...กล้าไว้ใจเข้าไปพบเขาถึงในห้องพัก

มีคำถามมากมาย หากแพรไหมไม่สามารถตอบตัวเองได้ หญิงสาวถอนหายใจแล้วทรุดนั่ง พลางเปิดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของน้องสาว

เธอคลิกเข้าไปที่โฟลเดอร์ My received files เป็นอันดับแรก พลันต้องชะงักตัวแข็งทื่อเมื่อพบไฟล์รูปภาพมากมายของผู้ชายคนหนึ่ง และเป็นคนคนเดียวกับที่เธอเคยเจอรูปถ่ายเขาอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของน้องสาวด้วย

แพรไหมอุทานอื้ออึง ก่อนจะพินิจไฟล์ภาพแต่ละภาพอย่างละเอียด ทุกภาพใยไหมตั้งชื่อว่า Patiya และใส่หมายเลขกำกับตั้งแต่ ๑-๑๕ เธอเซฟไฟล์ทั้งหมดลงในทัมไดร์ฟของตัวเอง จากนั้นก็คลิกดูข้อมูลส่วนอื่นๆ ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งพบบทสนทนา MSN ระหว่างใยไหมกับผู้ชายที่ใช้ชื่อล็อกอินว่า Patiya Warakorn เธอเปิดอ่านอย่างละเอียดตั้งแต่แรกที่คนทั้งคู่คุยกันตราบจนวันสุดท้ายที่เขานัดแนะให้ใยไหมออกไปพบ เพื่อร่วมงานวันเลี้ยงวันเกิดของเขาจนใยไหมเสียชีวิตในที่สุด

ตลอดเวลาที่อ่านบทสนทนาซึ่งยาวเป็นร้อยๆ หน้าเพราะคนทั้งคู่ติดต่อพูดคุยกันนานร่วมเดือนแล้วนั้น แพรไหมตัวชาวาบด้วยความรู้สึกตระหนกตกใจ

แพรไหมปิดคอมพิวเตอร์หลังจากใช้เวลาไปนานกว่า ๓ ชั่วโมง เธอเซฟทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ภาติยะ วรากรณ์ ลงในทัมไดร์ฟตัวเองแล้วจึงยกมือลูบหน้าอย่างพยายามตั้งสติ ก่อนจะถอดปลั๊กและอุ้มซีพียูนำกลับไปด้วย

“อ้าว...จะกลับแล้วหรือคะคุณแพร” จิดาภาถามขึ้น

“ค่ะ”

“ทำไมรีบกลับล่ะ อยู่กินข้าวเย็นกันก่อน แล้วทำไมหนูหน้าซีดอย่างนั้นล่ะลูก ไม่สบายหรือเปล่า”

แพรไหมปฏิเสธแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “พ่อลิสต์รายชื่อเพื่อนในกลุ่มไหมเสร็จหรือยังคะ”

“เสร็จแล้วลูก” เมธีตอบพลางยื่นกระดาษให้ลูกสาว

“ขอบคุณค่ะ”เธอวางซีพียูบนพื้นข้างตัวก่อนรับมาหย่อนใส่กระเป๋าสะพาย พลางกล่าวต่อว่า “เรื่องให้ปากคำ ถ้าถึงคิวพ่อกับคุณภาเมื่อไหร่ แพรจะโทร.มาบอกนะคะ”

“ได้ลูก แล้วเรื่องคดี...ได้เบาะแสอะไรบ้างหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ”

เมธีพยักหน้ารับรู้ “แล้วนั่นลูกจะเอาซีพียูของไหมไปด้วยเหรอ”

“ค่ะ แพรอยากจะตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์ให้ละเอียด”

“แล้วพบอะไรที่น่าสนใจบ้างหรือยัง”

แพรไหมชั่งใจครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “แพรพบรูปถ่ายของผู้ชายคนหนึ่งเต็มคอมพิวเตอร์ของยายไหม พ่อพอจะเคยได้ยินชื่อภาติยะ วรากรณ์ จากปากยายไหมบ้างไหมคะ?”

เมธีขมวดคิ้ว “ไม่นี่ลูก ไหมไม่เคยพูดถึงผู้ชายคนนี้หรือคนไหนๆ ให้พ่อฟังเลย”

แพรไหมพยักหน้าอย่างรู้สึกไม่ประหลาดใจนัก “ค่ะ ก็ควรต้องเป็นอย่างนั้น”

“ทำไมหรือลูก มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับคดีเหรอ”

“เอาไว้ถ้าแพรมีความคืบหน้าแล้ว จะบอกพ่อดีกว่าค่ะ เพราะมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่แพรคิดก็ได้ แต่ยังไงพ่ออย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายข้าวของของน้องนะคะ แพรอยากเข้ามาเช็กห้องน้องอีกหน่อย เพราะงั้นรอให้คดีสิ้นสุดก่อนแล้วค่อยเคลื่อนย้ายข้าวของ”

“แล้วฉันจะเข้าไปทำความสะอาดได้หรือเปล่าคะ” จิดาภาถามเสียงอ่อนๆ

“ได้ค่ะ ขอแค่อย่าเคลื่อนย้ายข้าวของอะไรเท่านั้น แพรคงต้องขอตัวกลับก่อนแล้วค่ะ มีนัดกับสารวัตรตุลาเย็นนี้” ประโยคหลังหันไปบอกเมธี แล้วแพรไหมก็เดินออกมาจากบ้านแห่งนั้น



“พี่มาเลตหรือน้องแพรมาก่อนเวลาครับ” สารวัตรตุลาเอ่ยล้อเลียนทันทีที่หย่อนก้นนั่ง เขานัดแพรไหมมาเจอที่สตาร์บัคส์แถวสน.เพื่อพูดคุยถึงความคืบหน้าของคดี

แพรไหมเลื่อนเน็ตบุ๊กที่เธอเปิดโฟลเดอร์รูปถ่ายของภาติยะค้างไว้ ไปตรงหน้าสารวัตรตุลา พลางบอกว่า “เมื่อเช้าแพรไปเอาซีพียูของน้องมา แพรพบข้อมูลหลายอย่างที่น่าสนใจ”

ตุลามองผู้ชายในไฟล์รูปภาพ พลางถามว่า “ผู้ชายคนนี้เป็นใคร แฟนของน้องใยไหมเหรอ”

“ถ้าสารวัตรถามก่อนหน้านี้ แพรก็คงยังยืนยันคำตอบเดิมว่าไม่มั่นใจ เพราะที่ผ่านมาน้องสาวแพรปฏิเสธมาตลอดว่าไม่ได้กำลังคบหาดูใจใครอยู่”

“พูดอย่างนี้ แปลว่าคำตอบวันนี้เปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม” พ.ต.ท.ตุลาตวัดสายตามองหญิงสาว ก่อนจะละกลับมาดูผู้ชายในภาพอย่างพินิจ เขายอมรับว่าหนุ่มในภาพเป็นเจ้าของโครงหน้าที่สมบูรณ์แบบอย่างที่เรียกว่า ชายแท้ และเป็นดาราฮอลลีวูดได้สบายๆ โดยไม่ต้องสงสัย และหากว่าจะมีใครมาบอกเขาว่าคนในภาพเป็นดารา เขาก็จะไม่แปลกใจเลย

ใบหน้าหล่อคมคายชวนสะดุดตาอย่างที่ดูออกว่าเลือดในตัวครึ่งหนึ่งเป็นเอเชียและอีกครึ่งเป็นตะวันตก ดูหล่อเหลายากเกินหาคำบรรยาย... สารวัตรตุลานึกพลางเขม้นตามองอีกครั้ง

แพรไหมมองสารวัตรหนุ่มเงียบๆ ตอนแรกที่เธอเห็นรูปภาติยะเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เธอก็มีอาการอึ้งไปเหมือนกันเพราะสะดุดกับหน้าตาที่หล่อเหลาของอีกฝ่าย แต่ด้วยความที่ไม่ได้เป็นคน ‘บ้าผู้ชายหล่อ’ จึงไม่ได้หวั่นไหวไปกับภาพถ่ายตรงหน้าเหล่านั้น ตรงกันข้ามตอนเห็นครั้งแรกเธอรู้สึกเขม่นๆ จนแทบจะเรียกได้ว่า ‘ไม่ถูกชะตา’ ด้วยซ้ำ และผลจากการอ่านบทสนทนา MSN ระหว่างใยไหมและภาติยะตลอดคืนที่ผ่านมา มันก็ช่วยตอกย้ำว่าสัญชาตญาณในเรื่อง ‘ไม่ไว้ใจคนเมื่อแรกพบ’ ของเธอถูกต้องจริงๆ

เขาเป็นผู้ชายอันตราย น่ากลัวมาก นับแต่วันแรกของบทสนทนาที่ได้อ่าน ก็พยายามหยอดคำหวาน และน่าสังเกตว่าในช่วง ๑ สัปดาห์ก่อนใยไหมเสียชีวิต เขาพยายามหว่านล้อมใยไหมสารพัดเพื่อให้ออกไปพบเขาให้ได้ แล้วที่สุดน้องสาวเธอก็หลวมตัวพลาดออกไปเจอเขา กระทั่งมีเหตุให้ต้องจบชีวิตลงในวันเดียวกันนั้น น้องสาวเธอซื่อและไร้เดียงสามาก ไว้ใจเขาขนาดที่เล่าทุกเรื่องให้ฟังทั้งเรื่องเรียน เรื่องภายในบ้านและแม้กระทั่งเรื่องชีวิตประจำวัน และจากการอ่านบทสนทนา MSN ของคนทั้งคู่ เธอรู้ว่าน้องสาวติดแชตกับเขาขนาดหนัก หลายครั้งแชตหามรุ่งหามค่ำจนไปเรียนไม่ไหวก็มี

แพรไหมนึกเสียใจที่ช่วงหลังๆ ไม่ได้ใกล้ชิดกับน้องสาวให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงก็เนื่องจากภาระงานที่มากขึ้น กระทั่งหาเวลาส่วนตัวให้กับตัวเองก็ยังไม่มี เธอเพิ่งจะได้ลาหยุดพักร้อนก็ช่วงนี้ ซึ่งจะทุ่มเวลาให้กับคดีของน้องสาวอย่างเต็มที่...

ใช่...เธอจะลากคอคนร้ายมารับกรรมให้ได้... แพรไหมนึกให้สัญญากับตัวเอง

แพรไหมตอบพ.ต.ท.ตุลาว่า “ค่ะ คำตอบเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากที่แพรได้อ่านแชตไดอะลอกของน้องกับผู้ชายคนนี้ คำตอบก็เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”

“เขาเป็นใคร ดาราเหรอ ทำไมหน้าตาหล่อมากขนาดนี้ ถ้าบอกว่าเป็นดาราต่างชาติ พี่จะไม่แปลกใจเลย เพราะดูแล้วรูปหน้าค่อนไปทางตะวันตกเหลือเกิน”

“เขาไม่น่าจะใช่ดาราค่ะ เพราะเสิร์ชจากกูเกิล ไม่พบข้อมูลของเขาเลย การที่อยู่ในวงการข่าวมา ๔ ปี แม้จะไม่ใช่นักข่าวสายบันเทิง แต่แพรติดตามข่าวสารวงการบันเทิงไทยและเทศอยู่บ้าง แพรค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เคยเจอผู้ชายคนนี้ปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ อย่างน้อยก็ต่อหน้ากล้อง แต่ถ้าจับพลัดจับผลูเป็นคนที่มีชื่อเสียงจริงๆ เขาก็คงเป็นประเภทอยู่หลังกล้องมากกว่าอยู่หน้ากล้อง เพราะถ้าอยู่หน้ากล้อง แพรต้องจำได้แน่ หน้าตาโดดเด่นสะดุดตาซะขนาดนี้” แพรไหมได้ชื่อว่าเป็นคนมีความจำแม่นจนเป็นที่ยอมรับของเพื่อนฝูง

สารวัตรตุลาฟังแล้วใจแป้วเมื่อแพรไหมชื่นชมผู้ชายอื่น แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าคนพูดไม่ได้ชื่นชมตามไปด้วย เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

“ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นใครกันครับ” ตุลาถามต่อ

แพรไหมเลื่อนกระดาษปึกหนึ่งที่เธอถ่ายสำเนาจากที่ปริ้นต์ออกมาไปตรงหน้าเขา ตัวเองเก็บไว้ปึกหนึ่งและส่งให้สารวัตรตุลาปึกหนึ่ง พลางตอบว่า “นี่เป็นแชตไดอะลอก MSN ระหว่างไหมกับผู้ชายคนนี้ค่ะ แพรปริ้นต์ตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาคุยกันจวบจนวันสุดท้ายก่อนที่ไหมจะออกไปถูกฆาตกรรม สารวัตรเก็บไว้เป็นหลักฐานและเอาไว้อ่านคืนนี้ก็ได้ค่ะ เพราะมันยาวมาก แต่แพรจะสรุปให้ฟังสั้นๆว่า น้องสาวแพรรู้จักกับนายภาติยะ จากโปรแกรมแชตหาเพื่อนโปรแกรมหนึ่ง เขาเข้ามาพูดคุยและแสดงความปรารถนาดีอย่างเพื่อนแล้วไหมก็หลงไว้ใจเขาเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวให้ฟังทุกอย่าง รวมถึงส่งไฟล์รูปภาพของตัวเองแลกเปลี่ยนกับนายคนนี้ และมีการแลกหมายเลขโทรศัพท์มือถือกันด้วยค่ะ ในแชตไดอะลอก นายภาติยะบอกว่าตัวเองยังโสด เป็นหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อายุ ๓๖ ปี ทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตภาพยนตร์”

“น้องแพรบอกว่าเขาชื่อ นามสกุลอะไรนะครับ” สารวัตรตุลาตวัดถามเสียงสูง

“ภาติยะ วรากรณ์ ค่ะ จากแชตไดอะล็อก เขาบอกใยไหมว่าชื่อและนามสกุลนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าเค้า เพราะเจ้าของห้องพักที่เกิดเหตุ เขาก็เข้าเช็กอินด้วยชื่อและนามสกุลนั้น ฟร้อนต์บอกพี่ว่าเขาเข้าเช็กอินด้วยชื่อภาติยะ วรากรณ์ แล้วนี่น้องแพรลองโทร.เช็กมือถือของเขาหรือยัง”

“ลองแล้วค่ะ แต่มีการระงับการใช้เบอร์นี้ไปแล้ว เช็กกับเครือข่ายไม่ได้ด้วยเพราะเป็นบัตรเติมเงิน ซึ่งไม่ต้องมีการลงทะเบียนการใช้”

สารวัตรตุลาพยักหน้า “ส่อถึงเจตนาที่จะวางแผนหลอกลวงแต่ต้น”

“ค่ะ แพรก็คิดอย่างนั้น”

“แล้วลองเช็กกับบริษัทผลิตภาพยนตร์ในไทยหรือยัง ถ้ายังเดี๋ยวพี่รับเป็นธุระจัดการให้”

“ตอนนี้แพรอยู่ระหว่างโทร.เช็ก แต่ยังไม่ครบเลยค่ะ เพราะการค้นจากกูเกิล เจอบริษัทที่ผลิตสื่อ ภาพยนตร์ และเพลงมากเกือบ ๗๐ แห่ง แต่เท่าที่เลือกโทร.เช็กกับบริษัทดังๆ เกือบ ๑๐ แห่ง ทุกแห่งปฏิเสธว่าไม่มีพนักงานหรือผู้บริหารที่ชื่อภาติยะ วรากรณ์ เลยสักคน” แพรไหมกล่าวพร้อมกับเลื่อนกระดาษอีกแผ่นไปตรงหน้าตุลา พลางพูดต่อว่า

“ทั้งหมดนี่ เป็นชื่อของบริษัทที่ผลิตสื่อ ภาพยนตร์และเพลง พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ที่แพรค้นได้ค่ะ ถ้าสารวัตรจะรับเป็นธุระให้ลูกน้องตรวจสอบ ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ ส่วนนี่ประวัติของนายภาติยะ เผื่อจะได้เทียบเคียงกัน และนี่ลิสต์รายชื่อเพื่อนในกลุ่มของใยไหมทั้งหมด ที่สารวัตรขอเพื่อจะเรียกมาสอบปากคำค่ะ” ประโยคหลังกล่าวพร้อมกับเลื่อนกระดาษอีกสองแผ่นไปตรงหน้าเขา

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา ตำรวจน่าจะขอข้อมูลได้ง่ายกว่า”

“ค่ะ และมีอีกเรื่องที่น่าสนใจค่ะ แพรลองใช้ชื่อภาติยะ วรากรณ์ ทั้งที่เป็นชื่อภาษาไทยและชื่อภาษาอังกฤษ รวมถึงอีเมลที่เขาใช้คุย MSN กับใยไหม สืบค้นในอินเทอร์เน็ต แต่ไม่พบชื่อคนนี้โผล่ขึ้นมาสักลิงก์ ซึ่งนั่นแปลได้สองทางคือ ภาติยะตั้งใจสร้างอีเมลขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้คุยกับใยไหมโดยเฉพาะ หรือไม่อีกทางหนึ่ง เป็นอีเมลที่เขามีอยู่แล้วไม่ได้สร้างขึ้นใหม่ เพียงแต่เป็นอีเมลส่วนตัวจึงไม่ได้โพสต์ตามบอร์ดไหนๆ พร่ำเพรื่อ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ที่น่าสนใจก็คือตอนที่ใช้ชื่อและนามสกุลของเขาเสิร์ชจากกูเกิล แพรเจอชื่อของคนใหญ่คนโตขึ้นมาพึ่บพั่บ แพรหมายถึงคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ ที่ใช้นามสกุลเดียวกับเขา เดี๋ยวแพรว่าจะลองค้นประวัติของสกุลวรากรณ์ดูว่าสืบสายต้นตระกูลกันมาอย่างไร ทำไมถึงมีแต่คนยศสูงๆ ใช้นามสกุลนี้”

“เป็นไปได้สองทางคือ นายภาติยะ อาจเป็นหนึ่งในคนตระกูลนี้จริงๆ หรือไม่ก็เป็นประเภทพวกที่ชอบแอบอ้างสวมรอย”

“ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลัง นายคนนี้ก็โง่มากๆ ที่เลือกใช้นามสกุลดังๆ มาสวมรอย เพราะการตรวจสอบจะง่ายและรวดเร็วขึ้นมาก” แพรไหมต่อประโยคเขา

“ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราจะเริ่มต้นสืบที่สกุลวรากรณ์”

“ค่ะ ตอนนี้แพรยังไม่ได้นำเสนอข่าวนี้เพราะอยากตรวจสอบให้มั่นใจก่อน แพรรบกวนสารวัตรช่วยเช็กข้อมูลกับกระทรวงมหาดไทยหน่อยนะคะว่าเขาเป็นใคร และเป็นคนในสกุลนี้จริงๆ หรือเปล่า” ความจริงเธอก็สามารถเช็กได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าใช้เส้นสายของสารวัตรตุลา

“เดี๋ยวพี่รับเป็นธุระไปจัดการให้ ไม่มีปัญหา ดีแล้วล่ะที่ยังไม่ผลีผลามเล่นข่าวไปก่อน เพราะหนึ่ง...ถ้ายังไม่รู้ข้อมูลชัดเจน ถึงจะมีหลักฐานเรื่องแชตไดอะลอกเป็นพยานเอกสาร ก็อาจจะเป็นคนร้ายสวมรอยมาเป็นภาติยะก็ได้ ซึ่งนั่นจะนำไปสู่การฟ้องหมิ่นประมาทจากผู้เสียหายได้ง่าย และสองถึงแม้ว่านายภาติยะ จะเป็นคนร้ายตัวจริง แต่ถ้าด่วนลงข่าวไปก่อน เขาก็จะไหวตัว หนีไปได้ เพราะฉะนั้นพี่คงต้องรบกวนน้องแพรว่างดเว้นเล่นข่าวนี้ไปสักระยะก่อน”

“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา แพรก็คิดตรงกับสารวัตร รอให้ได้ข้อมูลชัดเจนก่อนแล้วค่อยเล่นข่าวไปตูมเดียว พร้อมกันเลยทุกฉบับ ข่าวจะได้มีพลัง”

สารวัตรตุลายิ้มอย่างรู้ทัน เพราะความหมายอีกนัยหนึ่งคือการเล่นงานเหยื่ออย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง ซึ่งจะสร้างผลกระทบได้มากกว่าการลงข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับใดฉบับหนึ่ง เนื่องจากการเล่นข่าวพร้อมกันในทุกสื่อ ย่อมทำให้ประชาชนทั่วประเทศรับรู้ข่าวสารพร้อมกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งนั่นหมายถึงจะสร้างความเสียหายในวงกว้างให้แก่เหยื่อได้มากกว่า ตุลาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตอบกลับไปว่า

“ครับ ถ้าได้อะไรชัดเจนแล้ว พี่จะเป็นฝ่ายแถลงข่าวเอง มันจะได้เซฟน้องแพรไม่ให้ถูกฟ้องด้วย”

“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ” แพรไหมยิ้มขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายห่วงใย เธอถามต่อว่า “แล้วนี่พบเอกสาร บัตรประจำตัวประชาชน และมือถือของใยไหมบ้างหรือยังคะ”

“ยังเลยครับ พี่สั่งให้ลูกน้องค้นหาในรัศมี ๑๐๐ เมตรจากโรงแรม แต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสงสัยนัก”

แพรไหมพยักหน้ารับรู้ ใจนึกว่าคนร้ายคงยังเก็บหลักฐานเอาไว้ หรือไม่ก็อาจจะทำลายไปแล้ว เธอถามต่อว่า “แล้วได้เบาะแสจากกล้องวงจรปิดอะไรบ้างหรือเปล่าคะ เมื่อวานในที่เกิดเหตุ พบรอยนิ้วมือของคนร้ายบ้างไหม”

“ทางโรงแรมแจ้งว่าจะส่งบันทึกเป็นแผ่นซีดีมาให้วันพรุ่งนี้ เพราะเมื่อวานช่างเทคนิคลาป่วย ถ้าได้ซีดีมาแล้วพี่จะตรวจสอบโดยเร็ว ส่วนรอยนิ้วมือ ทางพี่กำลังเร่งตรวจสอบอยู่ครับ”

แพรไหมทำหน้าหนักใจไม่ปิดบัง เมื่อยังไม่มีเค้าลางเลยว่าจะสืบเสาะหาตัวคนร้ายได้...





greenteagreentea



Create Date : 18 ตุลาคม 2553
Last Update : 24 ตุลาคม 2553 15:26:47 น.
Counter : 973 Pageviews.

12 comment
ไฟรัก...บท 3/1
greenteagreentea



สีหน้าแพรไหมทุกข์ร้อนเป็นอย่างมากเมื่อไม่สามารถติดต่อใยไหมได้ เนื่องจากปลายสายไม่มีสัญญาณตอบรับดังที่เมธีว่าจริงๆ หญิงสาวเพียรโทร.ถามเพื่อนฝูงที่เป็นนักข่าวสายตระเวน แต่ได้คำตอบไม่ต่างกันว่ายังไม่ได้เบาะแสการเกิดอุบัติเหตุใดๆ ที่จะบ่งชี้ไปในทางที่ว่าอาจเป็นใยไหม

๒๔ ชั่วโมงแห่งการรอคอยเพื่อแจ้งความ จึงยาวนานเท่าๆ กับ ๒๔ ปี...

“ใจเย็นๆ น้องแพร มันอาจจะไม่ร้ายแรงอย่างที่เราคิดก็ได้” ตุลาปลอบ

“นั่นสิแพร...ทำใจดีๆ ไว้ก่อน น้องไหมอาจจะไปค้างบ้านใครสักคนก็ได้” ม่านแก้วละมือจากการโทร.เช็กตามสน. หันมากุมมือเพื่อนอย่างปลอบประโลม เธอช่วยแพรไหมโทร.เช็กตามสน.ต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งต้องใช้เวลากว่าจะครบ เนื่องจากมีเกือบ ๙๐<1> แห่ง

“ถ้าค้างแล้วทำไมยังไม่กลับ มือถือก็ติดต่อไม่ได้ด้วย นี่มันก็เที่ยงกว่าแล้ว”

“น้องไหมอาจกำลังเดินทางกลับก็ได้ แล้วบังเอิญแบตมือถือหมด ก็เลยโทร.บอกคนที่บ้านไม่ได้”

“ไม่รู้สิม่านว่าจะเป็นอย่างที่แกพูดไหม เพราะปกติไหมไม่เคยทำตัวนอกลู่นอกทาง กลับบ้านตรงเวลาทุกครั้ง ถ้าวันไหนกลับบ้านไม่ได้ ก็ต้องโทร.พ่อบอกก่อนเสมอ แล้วนี่เราถึงที่ไหนกันแล้วคะ” ประโยคท้ายหันไปถามตุลาซึ่งนั่งประกบเธออีกด้าน

“ใจเย็นๆ น้องแพร กำลังเข้ากรุงเทพฯ แล้ว เดี๋ยวพี่จะโทร.เช็กลูกน้องให้อีกที เผื่อจะมีอะไรคืบหน้าบ้าง”

“ขอบคุณค่ะ แกด้วยม่าน” ประโยคท้ายหันมากล่าวกับเพื่อนสนิทที่นั่งติดกันอีกด้าน

“ไม่เป็นไรหรอก”

สารวัตรตุลา ทำท่าจะเอ่ยปากพูด แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก่อน เขากดรับแล้วพลันต้องหน้าเผือดสีเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของปลายสาย

“คุณว่าอะไรนะผู้กองเอก ขออีกครั้งซิ”

ปลายสายทวนคำตอบซ้ำ “ผมได้รับแจ้งเหตุว่ามีการฆ่ากันตายเกิดขึ้นที่โรงแรม... ดูจากรูปพรรณสัณฐาน น่าจะเข้าเค้ากับเป็นเด็กสาวที่สารวัตรกำลังตามหา”

สารวัตรตุลาอึ้งไปพักใหญ่ๆ เขาซักถามรายละเอียดจนพอใจแล้ว จึงเอ่ยขอบคุณลูกน้องและตัดสายทิ้ง ก่อนจะหันมาทางแพรไหม

“น้องแพร...” สารวัตรตุลาเรียกแล้วจ้องหน้าหญิงสาวไม่คลาดสายตา แววตาทุกข์ร้อนชัดเจน

“ทำไมคะ มีอะไรเกิดขึ้นหรือคะสารวัตร” แพรไหมถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนแกมรบเร้า เมื่อเห็นใบหน้าตึงเครียดของอีกฝ่าย

ตุลาประสานตาแพรไหม พลางกล่าวว่า “น้องแพรตั้งสติดีๆ แล้วฟังพี่นะครับ... ลูกน้องที่สน. โทร.มาบอกพี่ว่าได้รับแจ้งเหตุมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่โรงแรม...” ตุลาเอ่ยชื่อโรงแรมดังแห่งหนึ่งที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของสน.ตัวเอง จากนั้นกล่าวต่อว่า “ตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุ พบศพเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีรูปพรรณสัณฐานใกล้เคียงกับน้องใยไหม ลูกน้องพี่ก็เลยขอให้พี่พาญาติไปชี้ตัว คาดว่าเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า ๖ ชั่วโมง<2> ที่ผ่านมา”



ความรู้สึกสูญเสียพุ่งเข้าจู่โจมหัวใจ จนยากจะบอกได้ว่ามากแค่ไหน เมื่อเห็นสภาพของน้องสาวที่นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงในห้องพักของโรงแรมแห่งนั้น

ศพของใยไหมอยู่ในสภาพนอนหงาย เปลือยกายท่อนล่าง ชุดเดรสสีชมพูที่สวมถูกถลกขึ้นมาเหนือหน้าอก มีกางเกงในจีสตริงสวมศีรษะศพเอาไว้ และถูกมัดมือไพล่หลังด้วยเสื้อคลุมแขนยาวสีดำ บริเวณลำคอมีรอยช้ำแดงเป็นปื้นๆ ลักษณะคล้ายรอยมือและรอยนิ้วมือ รวมถึงบริเวณหน้าท้องมีรอยแดงคล้ำ นอกจากนี้มีบราเซียแบบติดตะขอหน้าสีเดียวกับจีสตริงตกอยู่ข้างศพ พร้อมด้วยที่คาดผมสีดำ และรองเท้าหุ้มส้นข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างตกอยู่ข้างเตียง

แพรไหมกรีดร้องและทำท่าจะถลาเข้าไปกอดร่างไร้วิญญาณของน้องสาว แต่สารวัตรตุลาฉุดไว้พร้อมกับปลอบว่าขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บพยานหลักฐานก่อน หญิงสาวกรีดร้องโหยหวนท่ามกลางสายตาเห็นใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนจะเป็นลมหมดสติในอ้อมแขนของสารวัตรตุลา เขาอุ้มแพรไหมออกไปปฐมพยาบาลข้างนอก โดยมีม่านแก้วตามไปติดๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังกั้นเทปสีเหลืองเพื่อกันผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ให้เข้ามายุ่มย่าม ซึ่งขณะนี้เริ่มมีลูกค้าของโรงแรมมามุงอออยู่ด้านหน้าประตูห้องพัก แม้จะยังไม่มีนักข่าวมาทำข่าวสักคน แต่เขาเชื่อว่าเร็วๆ นี้นักข่าวทุกสำนักจะแห่กันมา ด้วยนักข่าวจมูกไวเสมอ

พ.ต.ท.ตุลาขอให้พนักงานโรงแรมเปิดห้องพักข้างๆ เพื่อปฐมพยาบาลหญิงสาว พร้อมทั้งขออุปกรณ์ปฐมพยาบาล ไม่นานแพรไหมก็ฟื้นขึ้นมา หญิงสาวร้องไห้อย่างหนักปานคนที่หัวใจแตกสลาย เขาและม่านแก้วช่วยกันปลอบ ครู่ใหญ่ๆ หญิงสาวจึงสงบลงและซาเสียงร้องไห้

“คุณพระ...มันเกิดขึ้นได้ยังไง ทำไมถึงต้องเกิดกับไหมด้วย สวรรค์ช่วย...ไหมเคราะห์ร้ายเหลือเกิน” ขณะที่คร่ำครวญ มีเสียงสะอื้นแทรกเป็นระยะๆ กังวานเสียงของแพรไหมสั่นเครืออย่างคนที่ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจขนาดหนัก

ตลอดเวลาที่นั่งรถมา เธอภาวนาให้เป็นการเข้าใจผิด ศพที่เจอต้องไม่ใช่ใยไหม หากกระนั้นเสียงอธิษฐานของเธอก็ดูจะไปไม่ถึงแดนสวรรค์... แพรไหมนึกอย่างเศร้าสร้อยระคนเจ็บช้ำ

สารวัตรตุลาเฝ้ามองหญิงสาวอย่างห่วงใย ความจริงแล้วนับแต่แจ้งข่าวร้ายแก่เธอ เขาก็คอยจับตามองอย่างห่วงใยตลอดมา

“น้องแพรไหวไหม พี่ต้องกลับไปช่วยลูกน้องทำคดีแล้วล่ะ น้องแพรอยู่กับน้องม่านที่นี่ เดี๋ยวเสร็จธุระแล้วพี่จะมาแจ้งความคืบหน้าของคดี”

“ไม่ค่ะ แพรขอไปด้วย”

“แต่สภาพจิตใจแกยังแย่นะแพร แกยังไม่ควรเข้าไปตอนนี้หรอก ขืนยังทำใจไม่ได้จะเป็นการเกะกะตำรวจเสียเปล่าๆ ดีไม่ดีจะไปทำลายพยานหลักฐานเอาด้วย” เป็นคำค้านจากม่านแก้วผู้เป็นเพื่อนสนิท

“ไม่...” แพรไหมปฏิเสธเพื่อนแล้ว ก็หันไปทางสารวัตรตุลา “แพรสัญญาว่าคราวนี้แพรจะควบคุมตัวเองให้ดี ไม่ร้องไห้ฟูมฟายให้เสียสมาธิของตำรวจ หรือเกะกะการทำงานของตำรวจแน่นอนค่ะ” แพรไหมให้คำมั่น

“เอาอย่างนั้นเหรอ” พ.ต.ท.ตุลา มีท่าทีลังเลไม่มั่นใจ

“นะคะสารวัตร ขอแพรเข้าไปดูน้องเถอะนะคะ ขอให้แพรได้ดูแลน้องเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถอะ” น้ำเสียงสั่นเครือระคนวิงวอน จนคนถูกร้องขอไม่อาจใจแข็งได้อีกต่อไป

สารวัตรตุลาพยักหน้าอย่างใจอ่อนในที่สุด



พ.ต.ท.ตุลานึกดีใจที่แพรไหมเข้มแข็งขึ้นและสามารถสะกดจิตใจจนไม่ปล่อยเสียงโฮและโถมเข้าไปกอดศพอีก หากแต่คงปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งได้แก่พนักงานสอบสวน และนิติพยาธิแพทย์ หรือหมอนิติเวช ทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการตายอย่างสะดวก ตลอดจนเก็บพยานวัตถุและพยานเอกสารเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐาน<3>ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด โดยที่เธอไม่เข้าไปเกะกะกีดขวาง สารวัตรตุลาดูจนมั่นใจแล้วว่าหญิงสาวไม่ช็อกหมดสติจากภาพสะเทือนใจอีกครั้ง จึงละสายตากลับไปทำงานตรงหน้า

ก่อนหน้านี้เขาพาแพรไหมและม่านแก้วแหวกวงล้อมของนักข่าวตลอดจนลูกค้าของโรงแรมที่เริ่มมาออกันเต็มหน้าห้องพัก คอยมุงดูเหตุการณ์อยู่หลังเทปสีเหลืองที่ตำรวจกั้นไว้หน้าประตู แล้วจึงแจกถุงมือให้หญิงสาวทั้งสองคนสวม พร้อมทั้งส่งถุงพลาสติกที่ทำด้วยวัสดุเฉพาะให้สวมทับรองเท้าเพื่อป้องกันการทำลายหลักฐาน

“ทางโรงแรมโทร.ไปแจ้งที่สน.ตอนกี่โมง” สารวัตรตุลาถามผู้กองเอก พลางจับตามองสภาพศพอย่างพินิจ ขณะที่พนักงานสอบสวนและหมอนิติเวช กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเคร่งครัดและขะมักเขม้น มีทั้งฝ่ายที่เก็บลายนิ้วมือ ฝ่ายที่จดบันทึกพยานวัตถุและพยานเอกสาร และฝ่ายที่ถ่ายภาพ ซึ่งจะมีการวาดรูป วาดแผนผังของตำแหน่งศพและสถานที่เกิดเหตุร่วมด้วย เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานอ้างอิงสถานที่เกิดเหตุในชั้นศาล

สารวัตรตุลาละสายตาจากผ้าปูเตียงยับย่นและหมอนกระจายบนเตียง ไปมองรอบห้องอย่างสังเกตถี่ถ้วน ข้าวของของทางโรงแรมไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ นิตยสารแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญๆ ในกรุงเทพฯ ตลอดจนแจกัน แก้วน้ำ ฯลฯ ตกลงมากระจัดกระจายทั่วห้อง ราวกับมีการต่อสู้เกิดขึ้น ทำให้มีเศษแก้วกระจายเกลื่อน หากทว่าไม่เห็นรอยเลือดใดๆ ปรากฏบนพรมซึ่งมีสีเข้มและบนผนังห้อง

พ.ต.ท.ตุลา ได้ยินเสียงผู้กองเอกตอบคำถามว่า “โรงแรมโทร.ไปแจ้งเหตุตอน ๑๓.๐๕ น. ครับ”

สารวัตรตุลาพยักหน้าพลางละกลับมาพินิจศพซึ่งหมอนิติเวชกำลังเก็บเศษชิ้นเนื้อจากซอกเล็บของผู้ตายเป็นหลักฐาน ตามลำคอมีรอยเล็บซึ่งอาจเกิดจากฆาตกรจิกเล็บลงไปที่คอผู้ตาย หรืออาจจะเป็นรอยเล็บของเหยื่อเองที่พยายามแกะมือฆาตกรออก ซึ่งเขาต้องส่งศพให้หมอนิติเวชผ่าศพเพื่อจะได้ตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป

เสียงของพ.ต.ต.มนตรี พนักงานสอบสวนคนหนึ่งดังขึ้นว่า

“ขณะนี้เวลา ๑๓.๕๐ น. ของวันที่... เดือน... ปี... เกิดเหตุฆาตกรรมบนชั้น ๑๐ ของโรงแรม... ซึ่งในที่เกิดเหตุไม่พบพยานเอกสารตกอยู่ แต่จากการชี้ตัวของญาติ ระบุว่าผู้ตายชื่อใยไหม สายโสภณ อายุ ๑๙ ปี เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย...” จากนั้นเป็นการบรรยายสภาพศพและหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “คาดว่าผู้ตายถูกคนร้ายใช้กำลังปลุกปล้ำเพื่อหวังข่มขืน แต่เหยื่อต่อสู้ คนร้ายจึงใช้เสื้อคลุมของผู้ตายมัดมือไพล่หลังแล้วข่มขืน ก่อนจะบีบคอเหยื่อจนเสียชีวิต”

พ.ต.ต.มนตรี ยังคงพูดลงในเครื่องบันทึกเสียงต่อไปว่า “สำหรับพยานวัตถุที่พบในที่เกิดเหตุ แพทย์ตรวจเจอเศษชิ้นเนื้อติดอยู่ในซอกเล็บและที่ซอกฟันของผู้ตาย ซึ่งน่าจะเกิดจากการดิ้นรนต่อสู้ เหยื่อน่าจะข่วนและกัดคนร้าย นอกจากนี้ยังพบคราบเลือดและคราบอสุจิที่แห้งกรังติดอยู่ที่อวัยวะเพศและหน้าท้อง ซึ่งน่าจะเกิดจากการข่มขืน โดยคาดว่าผู้ตายน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า...”

พนักงานสอบสวนคนเดิมหยุดการพูดลงในเทปบันทึกเสียง เพื่อใช้นิ้วชี้ที่อยู่ภายใต้ถุงมือ กดลงไปที่ท้องแขนและแผ่นหลังที่มีรอยเขียวช้ำของผู้ตาย ซึ่งพบว่าไม่มีการซีดของผิวหนังบริเวณนั้น จากนั้นพ.ต.ต.มนตรี ก็พูดใส่เทปต่อว่า “คาดว่าผู้ตายเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๘ ชั่วโมง เพราะมีรอยเขียวช้ำที่บริเวณแผ่นหลังและท้องแขนที่อยู่ตัว(Fixed)แล้ว”

โดยปกติ การเริ่มอยู่ตัว(Fixed)ของรอยเขียวช้ำหลังตาย จะเกิดขึ้นในระยะเวลาประมาณ ๘-๑๒ ชั่วโมง ซึ่งเกิดจากการตกของเม็ดเลือดตามแรงโน้มถ่วงหลังตาย โดยเม็ดเลือดจะตกลงไปอยู่ที่ด้านล่างของเส้นเลือด และเกิดการสะสมที่เส้นเลือดฝอยที่บริเวณผิวหนังนั้น ทำให้ปรากฏเป็นสีแดงคล้ำ ซึ่งมักเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่ ๓๐ นาทีถึง ๒ ชั่วโมงหลังการตาย และจะเริ่มอยู่ตัว คือ แม้เมื่อมีการเคลื่อนย้ายศพหรือกลับท่าศพ เม็ดเลือดแดงที่ปรากฏบนผิวหนังก็จะไม่เคลื่อนหรือไหลไปอยู่ในที่ใหม่อีก ซึ่งการอยู่ตัวของรอยเขียวช้ำดังกล่าว จะเริ่มตั้งแต่เวลา ๘-๑๒ ชั่วโมงหลังการตาย

สำหรับการตรวจรอยเขียวช้ำหลังการตายนั้น สามารถตรวจได้โดยการใช้นิ้วมือกดลงไปที่ตำแหน่งของรอยเขียวช้ำ ถ้าผิวหนังบริเวณนั้นไม่มีการอยู่ตัวของรอยเขียวช้ำ ก็จะปรากฏการซีดขาวไปชั่วครู่ และเมื่อปล่อยมือ สีของรอยเขียวช้ำจึงจะกลับมาปรากฏ แต่ตรงกันข้ามถ้ารอยเขียวช้ำอยู่ตัวแล้ว ผิวหนังบริเวณนั้นจะไม่ปรากฏการซีดใดๆ

เสียงของพ.ต.ต.มนตรี ยังคงดังต่อไป ขณะที่พนักงานสอบสวนอีกคนคอยถ่ายภาพและอีกคนทำหน้าที่จดบันทึกพยานวัตถุลงในสมุดบันทึก ส่วนสารวัตรตุลาเริ่มบันทึกบัญชีรายชื่อของผู้ที่ต้องเรียกตัวมาให้ปากคำ

“น้องแพร” ตุลาเรียกพลางเหลียวไปมองแพรไหม ซึ่งกำลังจดอะไรบางอย่างลงในสมุดจดข่าว เมื่อได้ยินเธอเงยหน้ามองเขาทันที

“มีอะไรเหรอคะสารวัตร” แพรไหมถามด้วยกังวานเสียงอ่อนๆ น้ำตาเธอเหือดแห้งไปนานแล้ว ขณะนี้ถูกแทนที่ด้วยเลือดแห่งความเป็นนักข่าว เธอบันทึกทุกอย่างลงในสมุดจดข่าว พร้อมทั้งไหว้วานให้ม่านแก้วช่วยถ่ายภาพพวกพยานวัตถุต่างๆ เพื่อเก็บเป็นหลักฐาน ตลอดเวลาที่ลงมือทำงาน เธอพยายามไม่ไปเกะกะเจ้าหน้าที่ตำรวจและหมอนิติเวช

“จดอะไรอยู่ครับ” สารวัตรตุลาถามไปอีกทาง

แพรไหมยิ้มซีดเซียวให้คนถาม ก่อนตอบว่า “รายละเอียดทั่วๆ ไปน่ะค่ะ ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ว่าแต่สารวัตรมีอะไรเหรอคะ”

“น้องใยไหมมีแฟนหรือไม่ก็หนุ่มที่กำลังคบหาดูใจกันอยู่บ้างไหมครับ”

แพรไหมย่นหัวคิ้วอย่างใช้ความคิด ก่อนตอบว่า “ไม่กล้าฟันธงค่ะ เพราะวันเสาร์ที่นัดเจอไหม แพรก็ถามเรื่องนี้กับน้องอยู่เหมือนกัน แต่ไหมปฏิเสธ บอกว่าตอนนี้ยังไม่มีแฟนและยังไม่ได้คบหาดูใจใครด้วย ส่วนว่าน้องจะแอบคบใครโดยไม่ให้แพรกับแม่รู้นี่ อันนี้แพรก็ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ”

พ.ต.ท.ตุลาพยักหน้ารับรู้ เขากล่าวต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เป็นต้นไปพี่จะเริ่มเรียกคนรอบข้างมาให้ปากคำ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของน้องแพร น้องแพร รวมถึงเพื่อนในกลุ่มของน้องใยไหม ส่วนวันนี้พี่จะเรียกแม่บ้านคนที่พบศพเป็นคนแรก และฟร้อนต์<4> มาให้ปากคำก่อน ได้ผลยังไงพี่จะโทร.บอกน้องแพรอีกที”

“ขอบคุณมากค่ะ ในส่วนของแพรยินดีมาให้ปากคำตลอดเวลานะคะ ส่วนของพ่อกับแม่ เดี๋ยวท่านก็คงมาถึงแล้วค่ะ เพราะแพรโทร.ไปแจ้งท่านแล้ว”

“ได้ครับ ว่าแต่เรื่องแถลงข่าวน้องแพรจะเอายังไง ตอนนี้นักข่าวมารอทำข่าวอยู่หน้าห้องเกือบครบทุกสำนักแล้ว”

“ได้ค่ะ สารวัตรแถลงข่าวตามแต่เห็นสมควรได้เลยค่ะ แพรขอแค่ว่าอย่าเปิดเผยชื่อน้องสาวของแพรเท่านั้น โอเค...มันจะอาจจะปกปิดได้ไม่นานนัก แต่อย่างน้อยก็ขออย่าได้หลุดจากปากของตำรวจหรือเจ้าหน้าที่โรงแรม ในส่วนของนักข่าว... เดี๋ยวแพรจะไปขอความร่วมมือจากพวกเขาเอง” ตอนที่เดินเข้าห้องมา เธอมองๆ นักข่าวที่มาทำข่าว พบว่าส่วนใหญ่เป็นเพื่อนฝูงที่เห็นๆ กันอยู่ในสายงานอาชญากรรม

“ตกลง ว่ากันตามนั้นครับ”

“ขอบคุณมากค่ะสารวัตร แพรจะไม่...” ทว่าแพรไหมพูดไม่ทันจบก็ต้องชะงัก เมื่อบัดนี้เสียงร้องไห้ฟูมฟายของนับไหมดังขึ้นก่อนที่ตัวจะมาถึงในทันทีที่ตำรวจเปิดประตูห้องให้เข้ามา โดยนับไหมมาพร้อมกับเมธี และทำท่าจะโถมเข้าไปกอดศพ แพรไหมจึงรีบปรี่เข้าไปรั้งผู้เป็นแม่ พลางพูดปลอบโยน

“อย่าค่ะแม่ ตำรวจกับหมอกำลังทำงานกันอยู่ เขากำลังเก็บพยานหลักฐาน ถ้าแม่เข้าไปตอนนี้ จะทำลายหลักฐานเสียหายหมด ปล่อยให้ตำรวจทำงานเถอะนะคะ อย่าเพิ่งเข้าไปกวนเลย เดี๋ยวพอเสร็จแล้วเราค่อยเข้าไป” แพรไหมปลอบทั้งที่รู้ถึงหัวอกของแม่ เพราะตอนที่เธอเห็นสภาพศพของใยไหมครั้งแรก ก็มีสภาพขวัญเสียไม่ต่างกัน

นับไหมปล่อยโฮอีกคำรบ พลางสวมกอดลูกสาวแนบแน่น ก่อนจะร้องไห้ฟูมฟายว่า “คุณพระ...ทำไมยายไหมโชคร้ายเหลือเกิน สัตว์นรกใจทรามตัวไหนมันทำนะ ใจมันทำด้วยอะไร ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมต่ำทรามแบบนี้ ยายไหมทำผิดอะไรกัน ทำไมเรื่องร้ายๆ ถึงต้องเกิดกับลูกสาวแม่ด้วย”

แพรไหมกอดกระชับผู้เป็นแม่แนบแน่นเป็นทวีคูณ เธอลูบแผ่นหลังไปมาพลางปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ภาพนั้นทำให้ทุกคนที่มองอยู่ พลอยรู้สึกสะเทือนใจไปด้วย

“คนชั่วมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพียงแต่ไหมโชคร้ายที่เดินเข้าไปในเส้นทางมัน แต่แพรสัญญา... แพรจะลากคอมันมารับโทษให้ได้ จะไม่ปล่อยให้มันลอยนวลเด็ดขาด มันต้องได้รับผลกรรมอย่างสาสม” น้ำเสียงตอนท้ายมีรอยสัญญา ทว่าแฝงไปด้วยความเหี้ยมเกรียม

เมธีเดินเข้ามาโอบไหล่คนทั้งสอง น้ำตาไหลเป็นทางยาวอย่างสะกดกลั้นไม่อยู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงขาดเป็นห้วงๆ ว่า “พ่อผิดเองที่ดูแลยายไหมไม่ดี พ่อผิดเองลูก...ถ้าพ่อดูแลดีกว่านี้ น้องคงไม่ต้องมารับเคราะห์แสนสาหัสอย่างนี้”

เกิดเสียงโฮใหญ่จากนับไหมและคนทั้งสามต่างพากันกอดกันกลมอย่างคนที่กำลังเผชิญภาวะสูญเสียร่วมกัน แพรไหมพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้น เธอเงยหน้าพลางกะพริบตาเพื่อไล่หยาดน้ำตา จังหวะนั้นสายตาจึงประสานเข้ากับสารวัตรตุลาที่เฝ้ามองมาเงียบๆ อย่างเห็นใจ หญิงสาวเมินหน้าหนี จึงเห็นภาพหมอกำลังใช้ถุงพลาสติกห่อมือทั้ง ๒ ข้างของใยไหมเพื่อรักษาพยานวัตถุที่อยู่ในมือ โดยเฉพาะเศษชิ้นเนื้อในซอกเล็บซึ่งจำเป็นต้องใช้เป็นพยานวัตถุในการยืนยันการกระทำความผิดของฆาตกร จากนั้นตำรวจก็ช่วยกันห่อศพด้วยผ้าขาวอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้สิ่งที่ติดอยู่กับศพสูญหายไป หรือปนเปื้อนกับสิ่งที่ไม่ได้ติดมากับศพ

ภาพนั้นทำให้แพรไหมสะกดกลั้นความสะเทือนใจไม่อยู่อีกต่อไป น้ำตาค่อยๆ ไหลรินเป็นทางยาว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงโฮใหญ่ หญิงสาวสะอึกสะอื้นร่ำไห้ปานคนที่หัวใจกำลังแหลกสลาย...



…………………………

<1>สถานีตำรวจนครบาล(สน.) มีทั้งหมด ๘๘ แห่งทั่วกรุงเทพฯ (ข้อมูลในปี ๒๕๕๓)

<2>สภาพแข็งทื่อหลังการตาย มีสาเหตุมาจากสารในเซลล์ที่ชื่อว่าอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต หรือ เอทีพี (Adenosine triphosphate) ที่มีอยู่ในมัดกล้ามเนื้อต่างๆ เกิดการสลายตัวไป ซึ่งโดยปกติการแข็งตัวของมัดกล้ามเนื้อ จะเริ่มเกิดขึ้นประมาณ ๒-๔ ชั่วโมงหลังการตาย และจะแข็งตัวเต็มที่ประมาณ ๖-๑๒ ชั่วโมงหลังการตาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ถ้ามีไข้สูงหรือชัก ก็อาจมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตและเอทีพีภายในกล้ามเนื้อมัดหมดไป ซึ่งเกิดสภาพที่กล้ามเนื้อแข็งตัวทันทีหลังการตาย เรียกว่า คาดาเวอริคสปัสซั่ม (Cadaveric Spasm) เช่น เกิดในรายที่จมน้ำตายหรือเป็นตะคริวเพราะผู้ตายพยายามดิ้นรนตะเกียกตะกายที่จะเอาตัวรอดก่อนตาย

<3>พยานหลักฐาน : สิ่งที่แสดงข้อเท็จจริงให้ปรากฏแก่ศาล ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ ตลอดจนคำเบิกความความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

<4>Front Desk : พนักงานหลังเคาน์เตอร์ที่คอยยืนต้อนรับลูกค้าของโรงแรม โดยมีภารกิจในเรื่องการรับเช็กอินลูกค้าและป้อนข้อมูลของลูกค้าเข้าในระบบเป็นหลัก




greenteagreentea




Create Date : 16 ตุลาคม 2553
Last Update : 18 ตุลาคม 2553 15:47:40 น.
Counter : 655 Pageviews.

12 comment
1  2  3  4  5  6  7  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments