Group Blog
ไฟรัก...บท 12/2


“ไม่นะ คุณต้องไม่ทำกับฉันอย่างนั้น” เธอต่อสู้ขัดขืน ทั้งหยิกข่วนและชกต่อยเขาสารพัด หากกระนั้นร่างสูงใหญ่ดังขุนเขาของภาติยะก็ไม่สะดุ้งสะเทือน ยังคงฉุดมือเธอลากตรงไปยังฉากกั้นอาบน้ำซึ่งอยู่ด้านในสุดของห้องน้ำ

แพรไหมสบถดังลั่นเมื่อเขาเปิดก๊อกน้ำให้สายน้ำเย็นๆ รดศีรษะเธอ กระทั่งคนทั้งคู่เปียกปอนไปตามๆ กัน ภาติยะไม่ได้แยแสเชิ้ตราคาแพงของตัวเอง จัดการรวบมือบางทั้งสองข้างของแพรไหมไพล่ไว้ข้างหลัง ก่อนจะหยิบสบู่บนที่วางมาถูปากเธอ หญิงสาวดิ้นหนี พยายามสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุม ขณะที่ปากก็ร้องสบถและตะโกนด่าเขาไปพลาง รสเฝื่อนระคนขมปร่าของสบู่ร่วงสู่ลำคอในจังหวะเดียวกับที่เธออ้าปากด่าเขา เจ้าตัวสำลักและไอโดยพลัน

“สัญญากับผมว่าคุณจะเลิกสบถ แล้วผมจะเลิกลงโทษคุณ” ภาติยะตะโกนแข่งกับเสียงฝักบัวและเสียงด่าของเธอ

นักข่าวสาวไม่ตอบ พยายามสะบัดตัวหนี แต่ด้วยพื้นที่จำกัดและน้ำจากฝักบัวไหลพรั่งพรูไม่ขาดระยะ ทำให้เธอไม่อาจขยับหนีไปได้ไกล ยิ่งมีร่างหนาของภาติยะยืนปักหลักบดเบียดแนบชิดไม่ยอมห่าง ทำให้เธอไร้หนทางต่อสู้ น้ำตาไหลอาบแก้ม คละเคล้ากับเสียงสำลักน้ำ ขณะที่เธอพยายามสะบัดหน้าหนีสบู่ในมือเขา และสายน้ำจากฝักบัว

ความโกรธของภาติยะผ่อนลง เมื่อเห็นท่าทีทรมานของแพรไหม แววตาสีสนิมจุดรอยขอโทษระคนเสียใจอยู่ในที ขณะทิ้งสบู่ลงกับพื้น เขาปล่อยมือเรียวสองข้างเป็นอิสระแล้วรวบเอวบางมาประชิดลำตัวด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างอ้อมไปด้านหลังแพรไหมเพื่อหมุนก๊อกน้ำปิด ก่อนจะลดศีรษะลงมาประกบจูบ

“คุณมันบ้า คุณมันซาดิสม์ภาติยะ” แพรไหมแผดเสียงลั่น พลางรัวทุบอกเขาเต็มแรงไปในคราวเดียวกัน หลังจากที่เขาคืนอิสระ เมื่อจูบจาบจ้วงพักใหญ่ผ่านไปแล้ว

คนถูกหาว่าซาดิสม์ไม่ตอบโต้การถูกประทุษร้ายนั้น ภาติยะดันหญิงสาวไปติดกับผนัง ก่อนจะตามไปบดเบียดด้วยเรือนกายกำยำ ผู้กำกับหนุ่มเลื่อนมือไปบีบปลายคางเพื่อบังคับให้เผยอเรียวปาก ขณะที่อีกข้างยกขึ้นมาโอบทรวงอกอูมข้างหนึ่งผ่านเชิ้ตเปียกน้ำที่บัดนี้แนบไปกับนวลเนื้อ เขาสอดปลายลิ้นเข้าไปสัมผัสรสเฝื่อนของสบู่ภายในปากของแพรไหม ก่อนจะดูดกลืนราวกับต้องการจะช่วยชะล้างรสชาติให้หมดไป กิริยาของภาติยะนุ่มนวลอ่อนโยน บอกถึงอาการงอนง้อระคนขอโทษอยู่ในที

ผู้กำกับหนุ่มถอนจูบหลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาพูดเสียงอ่อนนุ่มอย่างง้องอนว่า

“ผมคงบ้าอย่างที่คุณว่าจริงๆ แพรไหม เพราะแม้แต่ตอนที่กำลังโกรธคุณอยู่ ผมก็ยังอยากจูบคุณ พระเจ้า...ผมหยุดความรู้สึกต้องการคุณไม่ได้ และผมสงสัยว่าจะมีวันนั้นไหม” ภาติยะจบประโยคด้วยการเลื่อนมือขึ้นมาเชยปลายคางที่ก้มงุดให้เงยขึ้นสบตาเขา แววตาที่เปี่ยมไปด้วยแรงแห่งดำฤษณามองกราดทั่วพวงแก้มแดง ริมฝีปากบวมเจ่อจากการถูกจูบ ระเรื่อยไปยังทรวงอกอวบอิ่มภายใต้ฝ่ามือที่เวลานี้ไม่อาจปกปิดความอวบอิ่มจากสายตาได้อีกต่อไป ด้วยเชิ้ตแนบเนื้อและบางจนทะลุเห็นเนินอกอูมเหนือขอบบราเซียชัดเจน

ภาติยะเลื่อนสายตาขึ้นสบตาแพรไหมอีกครา พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “คุณมีรูปร่างที่สมบูรณ์แบบจริงๆ แพรไหม...ผมชอบรอยหยักบนริมฝีปากเซ็กซี่คู่นี้” บอกพลางลดศีรษะไปดูดกลืนขอบปากล่างเป็นการสาธิต แพรไหมเม้มริมฝีปากหนี เขาจึงแกล้งขบเน้นย้ำๆ จนอีกฝ่ายเผยอเรียวปากหลุดเสียงร้องประท้วง ภาติยะหัวเราะเบาๆ อย่างขบขันแล้วกล่าวชิดกลีบปากนุ่มว่า “ผมชอบหน้าอกของคุณมากด้วย สวยและเต็มไม้เต็มมือ” ยืนยันคำพูดด้วยการลดศีรษะลงครอบครองทรวงอกอูมข้างหนึ่งผ่านเชิ้ตเปียกชื้น

ปราศจากแรงใจที่จะต่อต้านอีกต่อไป ขาสองข้างไหวระริกจนต้องเอื้อมมือไปเกาะบ่าแข็งแกร่งเพื่อเป็นหลัก แพรไหมทิ้งน้ำหนักตัวพิงผนังและหลับตาพริ้ม เมื่อพลันรู้สึกได้ถึงฝ่ามือหนาสอดขึ้นมาหยอกล้อกับปลายยอดทรวงภายใต้บราเซีย ภาติยะร่ายมนตร์กับทรวงอกอูมด้วยปลายนิ้ว ขณะที่ศีรษะวกกลับมาพรมจูบเธออีกครา ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงเลื่อนมือไปปลดเชิ้ตและบราเซียของหญิงสาวออกอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ

อาภรณ์ส่วนบนหลุดร่วงจากกายเรียบร้อยแล้ว ภาติยะจึงลดสายตามองอย่างหลงใหล เขาครางระคนกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นภาพงดงามมากที่สุดปรากฏอยู่เบื้องหน้า...

ทรวงอกอวบอิ่มได้รูปสวย ขาวผุดผาดจนเห็นปลายยอดเป็นสีทับทิม รับกับเอวคอดกิ่วที่เล็กจนเขาแอบคิดว่าสามารถจับหักเป็นสองท่อนได้อย่างสบายๆ และหน้าท้องแบนราบที่หายไปใต้ขอบกางเกงยีนเอวต่ำ

สมบูรณ์แบบ...ทุกอย่างสมบูรณ์แบบเกินกว่าที่เขาเคยคิดจินตนาการไว้ ภาติยะนึกพลางไล่สายตาขึ้นมามองหน้าอกเต่งตึงอย่างหลงใหล ซึ่งบัดนี้ยอดอกกำลังผลิขยายชูชันอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

อย่างช้าๆ ที่ภาติยะลดศีรษะไปลิ้มลองรสชาติอย่างอดใจไม่อยู่อีกต่อไป มือทั้งสองข้างของแพรไหมตกร่วงผล็อยจากบ่าเขา ในจังหวะเดียวกับที่เขาลดศีรษะไปดูดกลืนปลายทรวงข้างหนึ่ง ขบเม้มและดูดเน้นอย่างยาวนานราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป ส่วนหน้าอกอีกข้างตกอยู่ภายใต้ปลายนิ้วเรียวราวอิสตรีที่กำลังไล้วนสลับกับบีบเคล้นอย่างปลุกเร้า

พระเจ้า...แพรไหมให้รสชาติหวานล้ำยิ่งกว่าสิ่งใดและเธอสร้างความสุขสมให้แก่เขาได้มากกว่าผู้หญิงคนไหนๆ ที่เขาเคยประสบมา ทั้งๆ ที่เธอแทบไม่ได้ทำอะไรเพียงแค่ยอมให้เขาเชยชม ความรู้สึกของภาติยะในยามนี้จึงไม่ต่างจากภมรหนุ่มที่ตกลงไปในโถน้ำผึ้งที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมจรุงใจของมวลหมู่ดอกไม้ ผู้กำกับหนุ่มดูดกลืน ขบเม้มและลิ้มรสชาติของทรวงอกคู่งามทั้งสองข้างสลับกันอย่างหลงใหล ราวกับต้องการตราตรึงความรู้สึกหวานซึ้งไว้ในใจตราบนานเท่านาน กระทั่งเสียงครางอย่างสุขสมสลับกับการร้องเรียกชื่อเขาด้วยเสียงผะแผ่วแหบพร่า หากทว่าเขาฟังว่าเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดในโลกหลุดจากเรียวปากเล็กๆ ของแพรไหม สายธารแห่งความพิศวาสจึงยากจะควบคุมและต้านทานอีกต่อไป

ภาติยะย่อตัวลงจนเป็นการคุกเข่า ปากร้องบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลระคนวอนขอว่า “เอามือคุณเกาะก๊อกน้ำไว้ยอดรัก ผมต้องลิ้มรสชาติคุณเดี๋ยวนี้ และผมก็ยังไม่อยากให้คุณต้องทรุดในระหว่างนั้น”

แพรไหมไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไร รู้แต่ว่ากังวานเสียงเว้าวอนนั้นนุ่มนวลและเชิญชวนเกินกว่าเธอจะปฏิเสธได้ มันราวกับมีคำสัญญาอยู่เบื้องหลังน้ำเสียงของเขาด้วยว่า เธอจะได้รับความสุขอย่างที่ไม่เคยได้พานพบมาก่อน หญิงสาวปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างไม่อิดออด แล้วปล่อยตัวปล่อยใจเปิดรับประสบการณ์แปลกใหม่เป็นครั้งแรก

พอร์นสตาร์หนุ่มรูดซิปกางเกงยีนอย่างช้าๆ โดยที่ริมฝีปากตามไปประพรมทั่วหน้าท้องแบนราบในเวลาเดียวกัน

สวรรค์ช่วย...เขารักกระทั่งหน้าท้องเรียบเนียนของเธอ

แพรไหมไม่รู้เลยว่าภาติยะต้องรวบรวมแรงกายและแรงใจทั้งหมดแค่ไหนเพื่อที่จะเปลื้องอาภรณ์สองชิ้นสุดท้ายอย่างช้าๆ ทั้งที่ในใจอยากทำสิ่งที่ตรงกันข้าม...กระชากออกอย่างรวดเร็วและร่วมรักกับเธอเดี๋ยวนั้นอย่างกระแทกกระทั้นจนเธอร้องครวญครางออกมาเป็นชื่อเขา หากกระนั้นนักแสดงหนังพอร์นกลับทำทุกอย่างอย่างใจเย็น เพื่อไม่ให้เธอตระหนกไปกับอารมณ์ร้อนแรงดิบเถื่อนที่เธอเป็นผู้จุดให้แก่เขา เป็นอารมณ์ที่เขาเองก็ไม่ถนัดในการรับมือนัก...ไม่แม้แต่จะช่วยเหลือตัวเองได้ นอกเสียจากจะรอรับความปรานีจากแพรไหมเท่านั้น

พระเจ้า...แพรไหมมีรูปร่างสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ ภาติยะอุทานอื้ออึงในใจเมื่ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายหลุดร่วงไปแล้ว เขาไล่สายตาสำรวจทั่วเรือนกายอย่างช้าๆ

เหลือเชื่อ... เธอเป็นภาพวิจิตรงดงามอย่างเหลือเชื่อจริงๆ ทรวงอกอวบอิ่มได้รูปสวยรับกับเอวคอดกิ่ว หน้าท้องแบนราบจดสะโพกกลมมนและเรียวขาเพรียว ผิวของแพรไหมผุดผาดไร้ซึ่งไฝฝ้าราคีใดๆ ภาติยะพินิจนวลเนื้อที่แสดงความเป็นหญิงนานเป็นพิเศษแล้วจึงไล่สายตาสำรวจทรวงอกอูมสองข้างสลับกันไปมา

แววตาสีสนิมเข้มขึ้นด้วยแรงแห่งดำฤษณา เมื่อคิดว่าหญิงสาวสวยเกินกว่าจะเป็นจริง...แพรไหมงดงามเกินกว่าจะเป็นคนที่มีเลือดเนื้อและจิตใจ ดูราวกับหลุดมาจากภาพวาดนางอัปสรสวรรค์ ภาติยะหลุดเสียงครางด้วยความชื่นชมออกมาอย่างอดไม่ได้

“สวรรค์ช่วย...คุณสวยเหลือเกินแพรไหม ยังกับภาพวาด ไม่ใช่คนจริง”

แพรไหมมองเขาด้วยนัยน์ตาปรือ กะพริบตาปริบๆ สมองจึงรับรู้ถึงคำพูดเหล่านั้น เมื่อเข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร นัยน์ตาเธอก็เบิกโตพร้อมกับเลื่อนมือมาปกปิดเนื้อตัวโดยพลัน

รอยยิ้มขำระคนอ่อนโยนจุดทั่วเรียวปากของภาติยะ ขณะลดศีรษะไปจูบดูดดื่ม พลางจับมือบางทั้งสองข้างไปกดแนบกับผนังเหนือศีรษะเธอด้วยมือข้างหนึ่ง ซึ่งก็เป็นไปอย่างง่ายดาย เนื่องจากอีกฝ่ายไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน

“สายไปแล้วยอดรัก ผมเห็นหมดแล้วว่าคุณสวยงามแค่ไหน” กังวานเสียงสัพยอกเอ่ยติดกลีบปากนุ่ม พลางขบเม้มกลีบปากล่างแรงๆ อย่างหยอกล้อซึ่งอีกฝ่ายร้องประท้วงออกมาโดยพลัน

ภาติยะหัวเราะ เขาพูดต่อว่า “คุณงดงามเกินกว่าจะปกปิดแพรไหม และผมนึกสงสัยว่าจะมีจิตรกรคนไหนสามารถถ่ายทอดความงามของคุณออกมาได้สักครึ่งหนึ่งไหม”

“คุณมีความสามารถพูดให้ผู้หญิงรู้สึกไร้ยางอาย ฉันควรจะต้องอาย แต่กลับพบว่าไม่มีความรู้สึกนั้นสักนิดเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าคุณ ช่างน่าละอายนัก” แพรไหมพยายามทำเสียงแข็ง แต่กลับพบว่าเสียงที่พูดออกไปสั่นพร่าราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง

ใช่...เธอควรจะต้องละอายในเมื่อเธอเปลือยกายล่อนจ้อน ขณะที่เขาสวมเครื่องแต่งกายมิดชิดและกำลังส่งสายตาโลมเลียระคนเล้าโลมมาที่เธอ หากกระนั้นแพรไหมกลับพบว่าตัวเองไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายที่จะยืนเปลือยกายต่อหน้าเขา เพียงแต่มีความรู้สึกขัดเขินอยู่บ้างเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกที่ชวนตระหนกด้วยเธอไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน และแพรไหมก็เดาว่าเป็นความสามารถพิเศษของภาติยะที่ทำให้เธอรู้สึกอย่างนั้นได้ อาจเป็นด้วยแววตาสีเข้มคู่นั้นที่มองเธออย่างชื่นชมราวกับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยและน่าปรารถนานักหนา เดาว่าความรู้สึกของการได้เป็นที่ต้องการและน่าปรารถนาของคนที่เรารัก คงทำให้ผู้หญิงเราอ่อนแอ ไร้ยางอาย กระทั่งยินยอมพร้อมใจที่จะเปิดเผยเนื้อตัวต่อหน้าเขาด้วยความรู้สึกเต็มใจ ภูมิใจและอย่างสง่าผ่าเผยด้วยในคราวเดียวกัน

ความรู้สึกของการได้เป็นที่ต้องการและน่าปรารถนาของคนที่เรารัก ทำให้ผู้หญิงเราอ่อนแอ ไร้ยางอาย...แพรไหมทวนความคิดของตัวเองแล้วพลันเกิดความรู้สึกช็อก เธอทำให้ตัวเองตกใจสุดขีดด้วยความจริงนั้น ถึงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอทำตัวง่ายกับเขาทั้งที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน นั่นเป็นเพราะว่าเธอรักเขานั่นเอง แพรไหมพลันตระหนักในคำตอบที่เคยเฝ้าถามตัวเองตลอดมา

คุณพระ...เธอรักภาติยะ แพรไหมทวนความคิดของตัวเองกลับไปกลับมาด้วยรู้สึกตระหนก พลางนึกสงสัยว่าเธอรักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...เมื่อไหร่กันที่เธอเกิดความรู้สึกน่าตกใจนั้น ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอมองเขาว่าเป็นศัตรูและเห็นเป็นอาชญากรที่ฆ่าน้องสาวของเธอมาตลอด

แล้วแพรไหมก็พลันได้คำตอบว่าเธอรักเขาตั้งแต่วินาทีที่ถูกดึงดูดเข้าไปในวังวนของดวงตาสีสนิมที่หน้าโรงพิมพ์ เพราะวินาทีที่ได้สัมผัสมือทักทายเขา ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจากตัวเขามาสู่ตัวเธอ ใช่...เธอรักเขาเมื่อแรกพบ รักทั้งๆ ที่ตอนนั้นเธอเห็นว่าเขาเป็นฆาตกร รักทั้งๆ ที่ไม่เหมาะสมสักนิด

แพรไหมรู้สึกตระหนกกับความจริงที่เพิ่งค้นพบ เธอยังคงครุ่นคิดอย่างไม่สบายใจและตกอยู่ในห้วงความคิดคำนึงของตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงพูดของผู้กำกับหนุ่ม

ภาติยะฟังแพรไหมสารภาพแล้ว เขาก็หัวเราะแผ่วเบา นึกรักความตรงไปตรงมาของหญิงสาว จึงเอ่ยเสียงนุ่มโต้กลับไปด้วยกังวานสัพยอกว่า “ผมมีความสามารถมากกว่านั้นอีก เชื่อมั้ยยอดรัก?...ขอเวลาแค่นาทีเดียวให้ผมได้พิสูจน์ รับรองเลยว่าคุณจะได้รู้ว่าผมมีความสามารถมากกว่าผู้ชายคนอื่นๆ แค่ไหน...แยกขาที่รัก ผมอยากให้คุณแยกขาให้ผมเดี๋ยวนี้” พอร์นสตาร์หนุ่มจบประโยคด้วยการใช้หัวเข่าดุนต้นขาเรียวของแพรไหมให้แยกจากกันด้วยกิริยาที่นุ่มนวลอ่อนโยน

กังวานเสียงของภาติยะอ่อนหวานเกินกว่าจะฟังเป็นคำสั่ง และมีคำสัญญาอยู่ในน้ำเสียงว่าจะมีความสุขสมที่ยากจะหาได้จากสิ่งใดเสมอเหมือน ตามมา สองขาเรียวจึงแยกออกอย่างอัตโนมัติราวกับมีชีวิตของมันเอง โดยที่เธอก็ไม่รู้ตัว

แน่นอน...แพรไหมไม่รู้แน่ ด้วยเวลานี้เธอยังคงช็อกกับความจริงที่เพิ่งค้นพบว่าเธอหลงรักภาติยะ สมองจึงราวกับว่างเปล่า ไร้ความคิดอ่านใดๆ ไปชั่วขณะ

ผู้กำกับหนุ่มก้มจูบเรียวปากนุ่มเป็นรางวัลที่เธอว่าง่าย แล้วจึงกระซิบชิดกลีบปากนุ่มด้วยกังวานเสียงหยอกล้อระคนให้สัญญาว่า “ถัดจากนั้น ผมอยากให้คุณยึดก๊อกน้ำให้มั่น ผมไม่อยากให้คุณล้มครืนลงไปนาทีใดนาทีหนึ่งที่ผมกำลังพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง” นักแสดงหนังพอร์นกระเซ้า พลางถือวิสาสะจับมือบางไปวางบนก๊อกน้ำข้างตัวของหญิงสาว อีกข้างเขายกขึ้นมาจูบกลางฝ่ามือก่อนจะวางบนบ่าของเขา

ภาติยะประสานสายตาของแพรไหมขณะค่อยๆ ย่อตัวลงจนกลายเป็นการคุกเข่าตรงหน้าอีกฝ่าย เขาคลี่ยิ้มหล่อเหลาให้แพรไหม ก่อนจะลดสายตามองเรือนร่างงดงามอย่างหลงใหล

แพรไหมยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร จะด้วยเหตุเพราะด้อยประสบการณ์หรือด้วยยังคงช็อกจากความจริงที่เพิ่งค้นพบ จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ มันกำลังส่งผลให้หญิงสาวมองเขานิ่งๆ ด้วยนัยน์ตาเบิกโต กึ่งรอคอยกึ่งฉงนสนเท่ห์ หญิงสาวพลันมารู้ความตั้งใจของอีกฝ่าย ก็เมื่อมือหนาแข็งแกร่งอ้อมมาช้อนหลังสะโพกเธอ ก่อนจะยื่นหน้ามาประกบริมฝีปากกับนวลเนื้อที่แสดงความเป็นหญิง

ร่างบางสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับที่หลุดเสียงอุทานและพยายามผละหนี แต่ข้อมือหนาของภาติยะกลับตรึงสะโพกไว้แน่น จนเธอขยับตัวไม่ได้

“มันไม่เหมาะ คุณพระ...คุณไม่ควรจะทำอย่างนั้น” เธอติงด้วยกังวานเสียงแหบพร่าระคนครางกระเส่า ร่างกายแอ่นโค้งอย่างยากจะควบคุม ไม่ต่างจากคันธนูที่ถูกเหนี่ยวสุดแรง

ภาติยะไม่ตอบ แต่ยังคงสำรวจนวลเนื้อที่ไวต่อประสาทสัมผัสอย่างใกล้ชิด ท่วงท่าเขาเป็นไปอย่างเชื่องช้า เร้าใจ หากมั่นใจในการกระทำของตัวเอง มือหนากดสะโพกแนบชิด ขณะที่ริมฝีปากขบเม้มและดูดกลืนนวลเนื้อแห่งวัยสาวไม่ขาดระยะ กระทั่งแพรไหมหลุดเสียงครางผะแผ่วออกมาเป็นชื่อเขา

พระเจ้าช่วย...แพรไหมให้รสชาติหวานล้ำยิ่งกว่าไวน์รสเลิศ...ภาติยะนึกอย่างวาบหวามระคนซาบซ่านในจิตใจ เขาชอบเวลาที่เธอหลุดเสียงครางออกมาเป็นชื่อเขาด้วยเสียงแหบพร่าอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เขารักเสียงเซ็กซี่นั้น ภาติยะยังคงผลักดันอารมณ์เหนี่ยวรั้งของหญิงสาวให้หลุดจากการควบคุมมากยิ่งขึ้น ด้วยการรัดสะโพกกลมมนมากดแนบกับริมฝีปาก ก่อนจะดูดกลืนและขบเม้มในจังหวะที่รวดเร็ว หนักหน่วงและกระชั้นถี่มากขึ้น

วินาทีต่อมาผู้กำกับหนุ่มก็รู้สึกถึงชัยชนะแห่งพลังอำนาจทางเพศ เมื่อร่างงามไหวระริกรุนแรงอย่างสุดแรงต้าน มือที่ขยุ้มลงมาจิกบ่าเขาแน่นจนภาติยะรู้สึกได้ถึงปลายเล็บแหลมๆ นั้น หากเขากลับรับรู้ด้วยความรู้สึกอ่อนหวาน แพรไหมตอบสนองเขาอย่างสวยงามเหลือเกิน เป็นธรรมชาติ เร่าร้อนและกระตือรือร้นไม่ต่างจากสาวน้อยไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ผุดผ่องปานน้ำค้างแรกอรุณ

งดงามสมบูรณ์แบบ...ภาติยะชื่นชมอยู่ในใจ เขาเชื่อว่าเขาจะจดจำภาพสวยงามเบื้องหน้าไปอีกนานเท่านาน... ภาพที่ร่างบางกำลังแอ่นโค้ง พร้อมกับครางเรียกชื่อเขาผะแผ่วด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเซ็กซี่ ในจังหวะเดียวกับที่สายธารแห่งรักไหลชุ่มฉ่ำ ก่อนที่ร่างกายซึ่งอ่อนปวกเปียกจะซวนซบลงมาบนบ่าเขาอย่างหมดเรี่ยวแรง

แพรไหมยอมศิโรราบต่อเพลิงอารมณ์ของตัวเองอย่างหมอบราบคาบแก้ว...









Create Date : 16 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2555 20:10:50 น.
Counter : 701 Pageviews.

31 comment
ไฟรัก...บท 12/1


ไฟรัก...บท 12/1



แพรไหมนิ่วหน้า “คุณไม่มีงานการต้องทำต่อเหรอ อย่างหนังที่คุณกำลังจะสร้าง”

“ไม่มีหรอก งานพวกนั้นไว้ทำตอนผมกลับไปอเมริกาแล้ว ตอนนี้วินาทีนี้เป็นเวลาของการพักผ่อน มาเถอะ...มาดูกันว่ามีเพลงไหนที่เราจะใช้เต้นรำกันได้บ้าง”

“ฉันไม่เต้นรำได้ไหม แต่ขอนั่งฟังเฉยๆ” แพรไหมยื่นข้อต่อรอง พลางเดินตามเขาเข้าไปในห้องนั่งเล่น เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่นมากกว่านั้น

ภาติยะทำทีไม่ได้ยินเสียงโอดครวญนั้น เขาขยิบตาให้ฌองที่เดินสวนมาให้กลับห้องตัวเอง จากนั้นเดินตรงไปยังมุมห้องเพื่อเลือกซีดีเพลง พลางพูดอย่างชวนคุยว่า “ผมเป็นคนที่ชอบฟังเพลง เวลาเดินทางไกลๆ ลุงฌองจึงมักพกเครื่องเล่นซีดีขนาดพกพาติดมือมาให้ผมด้วย คุณชอบฟังเพลง Soledad ของ Westlife ไหม ผมชอบเพลงของวงนี้มาก โดยเฉพาะเพลงนี้ เรามาเต้นรำกันเถอะ” ผู้กำกับหนุ่มจบประโยคด้วยการลุกไปหาหญิงสาว

“ฉันบอกแล้วฉันไม่เต้น” แพรไหมปฏิเสธด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“ทำไมล่ะ” ภาติยะตรงไปยังโซฟาหรูที่หญิงสาวนั่งอยู่ พลางฉุดมือเรียวให้ลุกยืน มิไยที่แพรไหมจะขัดขืน แต่เขาก็ไม่นำพา ยังคงออกแรงฉุดพาเธอออกไปอยู่กลางห้องสำเร็จจนได้

“ฉันเต้นรำไม่เป็น” เธอประท้วง

“แค่ปล่อยใจไปตามจังหวะเสียงเพลง ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม” ภาติยะบอกเสียงนุ่ม พลางจับมือเรียวให้โอบเอวเขา ส่วนมืออีกข้างของแพรไหม เขาคว้ามากุมไว้ และอีกข้างของตัวเอง ก็โอบแผ่นหลังของหญิงสาว

ทั้งคู่เต้นไปตามจังหวะเพลงอย่างช้าๆ ขณะที่ภาติยะกล่าวขึ้นว่า “เล่าให้ผมฟังสิครับ ว่าทำไมคุณถึงไม่อยากไปไหนมาไหนสองต่อสองกับผม”

“ฉันบอกแล้วฉันไม่อยากเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ”

“มีสื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้วเหรอ?” น้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ

แพรไหมหลบสายตาคมกล้าที่มองมา เสมองปลายคางเขาแทน “สื่อต่างชาติพูดถึงแล้วค่ะ ในเว็บไซต์ของประเทศคุณ เปิดให้คนเข้าไปวางเงินเดิมพันเพื่อทายว่าใครจะได้เป็นคู่ควงคนต่อไปของคุณด้วย”

ภาติยะเลิกคิ้วอย่างฉงน แต่ปากก็ตอบไปว่า “และผมก็เดาว่า คุณเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้นใช่ไหม?”

คนถูกถาม พยักหน้าแทนคำตอบ

ผู้กำกับหนุ่มยิ้มบางๆ “แล้วเป็นข่าวกับผมมันเสียหายตรงไหน”

“คุณพูดยังกับไม่รู้ฉายาฉาวโฉ่ของตัวเองอย่างนั้นแหละ สื่อต่างชาติพูดกันทั้งนั้นว่า คุณเป็นนักรักตัวยงและเปลี่ยนคู่ควงไม่เคยซ้ำหน้า” แพรไหมตวัดตาค้อนเขา

“เพราะเหตุนี้ คุณถึงไม่อยากเป็นข่าวกับผม?” ภาติยะต่อประโยคให้หญิงสาว

“แน่นอน ก็ฉันไม่อยากพลอยเสื่อมเสียไปกับคุณด้วยนี่ แค่เมื่อวานที่ฉันมาหาคุณที่โรงแรม ก็เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วเว็บไซต์ของสำนักข่าวต่างประเทศแล้ว”

ภาติยะขมวดคิ้ว “สื่อต่างชาติรู้ได้ยังไง ในเมื่อคุณบอกเองว่าสื่อเหล่านั้นไม่เห็นคุณ”

“นั่นสิ ฉันก็ยังแปลกใจตอนที่เพื่อนบอกว่ามีเว็บไซต์ต่างชาติรายงานข่าวเรื่องนี้ พอเข้าไปดู ก็เห็นว่ามีจริงๆ”

“อืม...” ผู้กำกับหนุ่มนิ่วหน้าอย่างใช้ความคิด

“มีอะไรหรือคะ”

นักแสดงหนังพอร์นชั่งใจชั่วครู่ แล้วจึงตอบตรงๆ ว่า “ความจริงมีแค่คนเดียวที่รู้เรื่องผมเจรจากับคุณ นั่นคือคุณย่าของผม เพราะผมโทร.ไปขอให้ท่านไม่ฟ้องคุณเมื่อคืน แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นฝีมือท่านที่เป็นคนปล่อยข่าวนี้”

“คุณคุยอะไรกับคุณย่าของคุณบ้าง บอกฉันได้ไหมคะ?” แพรไหมถามไปอีกทาง

“ไม่มีอะไรพิเศษเลยแพร ก็แค่ขอให้ท่านเลิกฟ้องคุณ เหมือนที่ผมตัดสินใจที่จะไม่ฟ้องคุณและโรงพิมพ์ของคุณ”

“ไม่มีเงื่อนไขอะไรเป็นข้อแลกเปลี่ยนพิเศษเลยหรือคะ?” ถามคาดคั้นด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ

ภาติยะหัวเราะ “จะให้เป็นข้อแลกเปลี่ยนอะไรล่ะ ไหนลองบอกผมทีสิ”

“ฉันไม่รู้ ถึงได้ถามคุณ เมื่อเช้าคุณย่าของคุณโทร.มาหาฉันค่ะ บอกว่าคุณกับท่านมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างต่อกันเพื่อแลกกับที่ท่านไม่ฟ้องฉันตามที่คุณขอ แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนอะไร”

ภาติยะหัวเราะอีกครากับความช่างสงสัยของอีกฝ่าย กระนั้นความอยากรู้มีมากกว่าจึงเป็นฝ่ายชนะ เขาถามเสียงอ่อนๆ กลับไปว่า “ทำไมย่าผมต้องโทร.ไปหาคุณด้วยล่ะ?”

“ท่านโทร.มาเพื่อด่าฉันน่ะค่ะ ย่าคุณเข้าใจว่าฉันเป็นคนเกลี้ยกล่อมคุณ ให้ไปช่วยพูดให้ท่านไม่ฟ้องฉัน”

ผู้กำกับหนุ่มพยักหน้ารับรู้ “เข้าใจล่ะ”

“ตกลงมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรระหว่างกันคะ ถ้าฉันทำให้คุณไม่สะดวกใจหรือยุ่งยากใจ ฉันก็ต้องขอโทษด้วย”

ภาติยะหัวเราะ “ไม่เป็นไรเลย อย่าไปซีเรียส เรื่องจิ๊บจ๊อยมาก ท่านก็แค่ขอให้ผมเลิกก่อตั้งสถาบันวรากรณ์เป็นข้อแลกเปลี่ยน ก็เท่านั้น เห็นไหมไม่มีอะไรสลักสำคัญเลย”

“ฉันจำได้...เป็นสถาบันที่คุณตั้งใจตั้งขึ้นเพื่อทำการกุศล ช่วยตรวจโรคเอดส์ฟรีให้กับนักแสดงหนังพอร์น”

ผู้กำกับหนุ่มพยักหน้า มองอีกฝ่ายอย่างทึ่งในความรู้กว้างขวาง “ใช่ครับ...คุณย่าของผมมองว่าเป็นการสร้างความอื้อฉาวให้กับวงศ์ตระกูล ก็เลยขอให้ผมเลิกความคิดนั้นน่ะ”

“แล้วคุณตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่าล่ะ?” แพรไหมย้อนถาม แววตารู้ทัน วันนี้ในการประชุมหารือเรื่องคดีของใยไหม ทำให้เธอได้รู้ประวัติลึกๆ ของเขาอีกมากมาย ได้รู้เหตุผลมากกว่าที่พริ้มเพราเคยบอกว่าทำไมเขาถึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล...

เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ของคนที่รู้สึกว่าถูกทำร้ายและไม่เป็นที่รักของใครๆ เปล่า...เขาไม่ได้บอกเหตุผลนั้นกับเธอ แต่จากการฟังเขาเล่า มันทำให้เธอวิเคราะห์ออกมาได้แบบนั้น วูบหนึ่งที่เธอนึกอยากเจอภาติยะในวัยเยาว์ ยามนั้นเขาคงเป็นเด็กชายที่อ้างว้างโดดเดี่ยวและรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลกใบนี้แน่

คุณพระ...เธออยากเจอเขาในวัยเด็ก เพื่อจะได้ปลอบโยนและเป็นเพื่อนเล่นกับเขา บอกเขาว่ายังมีเธอเป็นเพื่อนที่เข้าใจและเห็นอกเห็นใจเขา แพรไหมไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นความรู้สึกอ่อนหวานที่เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วน โดยที่เธอเองก็ตั้งรับไม่ทัน

ภาติยะพูดต่ออย่างไม่จริงจังนักว่า “เกลียดคนรู้ทัน” จบประโยค ศีรษะทุยได้รูปสวยก็ลดลงมาฉกจูบอย่างรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้แพรไหมตั้งตัว ภาติยะเลื่อนมือไปช้อนท้ายทอยของหญิงสาว อีกข้างประคองข้างแก้มเพื่อบังคับให้แหงนหน้ารับจูบถนัดถนี่

กาลเวลาเหมือนถูกลืมเลือนไปจากการรับรู้ เมื่อสองหนุ่มสาวต่างหยุดเต้นรำและภาติยะหันมาสำรวจกายนุ่มของคนในอ้อมแขน

แพรไหมประท้วงเสียงอู้อี้ในลำคอ พลางขยับถอยหนี หากภาติยะกลับรัดกายแน่นไม่ยอมห่าง ริมฝีปากยังไม่ยอมหยุดรุกรานอย่างจาบจ้วง เพื่อแสวงหาความหวานจากกลีบปากสีโอลด์โรสฉ่ำชื่น

ผู้กำกับหนุ่มพูดชิดเรียวปากนุ่มด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ผมชอบริมฝีปากคุณ แพรไหม...ขอให้ผมได้ลิ้มรสชาติมันอีกสักครั้งเถอะ”

คนถูกขอ ใจอ่อนโดยพลัน แพรไหมหลับตาและแย้มเรียวปากออก เพื่อต้อนรับลิ้นร้อนๆ ของเขา

เพียงแค่นั้นก็เป็นคำตอบที่เพียงพอและน่าพอใจแล้วสำหรับภาติยะ ชายหนุ่มลดอาการจูบร้อนแรงลง เปลี่ยนมาเป็นอ่อนหวาน หยอกล้อและเรียกร้องในคราวเดียวกัน

หญิงสาวอิงอกกว้างโดยไม่รู้ตัว มือเรียวเลื่อนขึ้นรัดรอบลำคออีกฝ่าย พลางแลกจูบด้วยจังหวะร้อนแรงตามแต่สัญชาตญาณจะนำทาง เขามีความสามารถเป็นเลิศในการกระตุ้นเพลิงพิศวาสที่เธอไม่เคยรู้เลยว่ามีอยู่ในตัวให้ลุกโชนขึ้นมาได้

ภาติยะครางออกมาอย่างอดใจไม่อยู่ เมื่อแพรไหมประคองสองข้างแก้มเขาเพื่อจูบได้ถนัดถนี่ เธอสอดลิ้นเข้ามาในปากเขา ดูดกลืนและขบเม้ม เลียนแบบทุกท่วงท่าที่เขาปฏิบัติต่อเธอก่อนหน้านี้

สวรรค์ช่วย...เธอร้อนยิ่งกว่าลาวาภูเขาไฟ และถูกใจเขายิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนๆ ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ผู้กำกับหนุ่มนึกพลางดูดกลืนปลายลิ้นเล็กๆ นั่นตอบ ก่อนจะลดมือไปสำรวจทรวงอกคู่งามและเย้ายวนอย่างอดใจไม่อยู่ เขารักและหลงใหลหน้าอกคู่นี้ไม่ต่างจากริมฝีปากของเธอ ภาติยะนึกพลางแกะรังดุมเสื้อเชิ้ตออกโดยพลัน มือสองข้างเลื่อนอ้อมไปด้านหลังเพื่อปลดตะขอบราเซีย ขณะที่ริมฝีปากยังคงดูดกลืนปลายลิ้นของแพรไหม และถอยออกมาขบกัดขอบปากล่างอย่างหยอกล้อ เขาสอดฝ่ามือไปใต้บราเซีย ก่อนจะร่ายปลายนิ้วไปบนยอดทรวงและเคล้นคลึงนวลเนื้อเต็มกำมือ

พระเจ้า...เขารักความรู้สึกยามที่ทรวงอกของแพรไหมผลิขยายตอบรับฝ่ามือเขา มันมีชีวิตชีวาและดูจะรักฝ่ามือเขา มากเท่าๆ กับที่เขารักความรู้สึกของมัน ภาติยะคราง ก่อนจะเผลอแสดงความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดโดยไม่รู้ตัว

“เคยมีใครบอกคุณมั้ยว่า คุณมีหน้าอกที่สวยและเย้ายวนเหลือเกิน พระเจ้า...ผมรักมันและอยากลิ้มรสชาติมันเหลือเกิน”

แพรไหมพลันขนลุกซู่และร่างกายพลอยชะงักงัน ในจังหวะเดียวกันที่สติสัมปชัญญะกลับคืนมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเขา นักข่าวสาวเชื่อว่าเขาไม่ได้ตั้งใจดูถูก...อย่างน้อยเธอก็คาดหวังว่าเขาคงทำมันโดยที่ไม่รู้ตัว หญิงสาวนึกอย่างหนาวยะเยือกในใจแล้วผลักอกเขาโดยแรง ซึ่งฝ่ายนั้นเซผงะไปข้างหลังทันทีเหมือนกัน แพรไหมรวบรวมกำลังใจหันหลังติดรังดุมด้วยมืออันสั่นเทา ไม่สนใจเสียงประท้วงของคนข้างหลัง

“เกิดอะไรขึ้นแพร ผมคิดว่าเรากำลังเข้ากันได้ดีเสียอีก” น้ำเสียงติดรอยฉงนชัดเจน

เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ยังมีหน้ามาถาม ภาติยะเห็นเธอเป็นผู้หญิงไม่ดีและเห็นเป็นผู้หญิงร่านรักใช่ไหม ถึงได้มาถามว่ามีผู้ชายที่ไหนเคยเห็นและบอกเธอบ้างไหมว่า เธอมีหน้าอกที่สวยและเย้ายวน? นั่นแปลว่าเขาคิดว่าเธอเคยปล่อยใจปล่อยกายแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นมานักต่อนักแล้วใช่ไหม?

ขอให้เขาไปลงนรกซะ! แพรไหมสบถ และเหนือสิ่งอื่นใด เธอขอให้ตัวเองถูกธรณีสูบหายไปด้วย เพราะเหตุที่ทำตัวด้อยค่าและเผลอไผลไปกับเขาง่ายๆ ก็สมควรแล้วที่เขาจะคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงง่ายและไร้ค่า

แพรไหมก่นด่าทั้งตัวเขาและตัวเองไปในคราวเดียวกัน ขณะติดรังดุมอย่างกระแทกกระทั้น เรียบร้อยแล้วจึงหันไปมองเขาชนิดที่เรียกว่าตาเขียวปัด พบแววตาสีเข้มคุกรุ่นที่ยังคงมองมาด้วยแรงพิศวาส เธอก็หน้าแดงก่ำ

“ฉันจะกลับบ้าน” แพรไหมประกาศขึ้นเสียงเย็นๆ

“ผมยังไม่ยอมให้คุณกลับ บอกผมมาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ คุณถึงผลุนผลันจะกลับบ้านอย่างนี้”

แพรไหมเม้มริมฝีปาก ไม่ตอบเขา

ภาติยะมองกิริยานั้นนิ่งๆ แล้วกระแนะกระแหนขึ้นว่า “คุณจะบอกว่าคุณไม่ชอบให้ผมเล้าโลมคุณว่างั้นเถอะแพรไหม?”

“ใช่...ฉันรังเกียจ” แพรไหมกระแทกเสียงกลับไปพอกัน รู้สึกหมั่นไส้กับความหลงตัวของเขา

“คุณโกหก” ภาติยะขึ้นเสียง สวนกลับไปทันควัน “ร่างกายคุณชอบผม มันชอบพอๆ กับที่ผมชอบคุณนั่นแหละแพรไหม ปฏิกิริยาทางร่างกายคุณมันฟ้องอยู่”

แพรไหมหน้าแดงก่ำเมื่อถูกทวนความจำ “ฉันจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ทุกอย่างมันจบไปแล้ว มันเป็นความผิดพลาดของฉันเอง และขอให้คุณลืมมันให้หมด ต่อไปนี้ระหว่างเราจะมีแค่เรื่องของคดีเท่านั้น จะไม่มีอารมณ์พิศวาสบ้าๆ แบบนี้เกิดขึ้นอีก”

“อารมณ์พิศวาสบ้าๆ หรือแพร ขอให้ความรู้สึกต่อต้านของคุณไปลงนรกซะเถอะ ระหว่างเราไม่มีอะไรผิดพลาดทั้งนั้น และผมก็จะไม่ลืมมันด้วยว่าคุณตอบสนองผมอย่างสวยงามแค่ไหน คุณโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ไม่ใช่เด็กสาวๆ ที่ไม่ประสีประสากับอารมณ์ประเภทนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาเอามากๆ กับการหลับนอนกับใครสักคนที่เราถูกใจ ถามหน่อยเถอะมันผิดพลาดตรงไหนถ้าเราจะไปจบลงที่เตียง ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีพันธะ ยังโสดและไม่มีใคร เราไม่ได้ทำเรื่องผิดศีลธรรมหรือผิดลูกเมียใครนะแพร เพราะฉะนั้นทำไมจะมีอะไรด้วยกันไม่ได้ และผมบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ก่อนที่ผมจะกลับอเมริกาในสัปดาห์หน้านี้ ผมจะพาคุณขึ้นเตียงให้ได้ ในห้องนี้และบนเตียงที่อยู่ถัดไปนั่น ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนหรืออย่างไร ก็แล้วแต่”

“ผัวะ” เธอซัดเขาครึ่งปากครึ่งจมูกโดยไม่เสียเวลาคิด จากนั้นก็สบถยาวเหยียด

สวรรค์ช่วย...พวกเธอมาไกลกันเกินไปแล้ว หลับนอน...นี่แปลว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาภาติยะคิดกับเธอเรื่องนี้มาโดยตลอดใช่มั้ย? ทำทุกวิถีทางเพื่อพาเธอขึ้นเตียงให้ได้ ไม่มีความรัก...ไม่มีการพูดถึงเรื่องนั้นสักนิด

ให้ตายเถอะ...ขอให้เขาลงนรกไปซะ! และเหนือสิ่งอื่นใด เธอก็อยากสาปแช่งตัวเองด้วยที่เผลอทำตัวให้เขาดูถูกได้ ก็สมแล้วที่จะได้รับการดูถูกจากเขา ใช่...เธอสมควรแล้วจริงๆ เพราะเธอทำตัวง่ายกับเขาเกินไป

ถ้าแพรไหมคิดว่าทำร้ายเขาแล้วจะลอยนวลไปได้ในหนนี้ เธอก็คิดผิดถนัด ภาติยะคิดพลางถลาเข้าไปกระตุกแขนเรียว พลางออกแรงบีบกระชับแน่น เมื่อพูดว่า

“รู้อะไรไหมทูนหัว ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำร้ายผมแล้วจะลอยนวลไปได้ง่ายๆ แต่กับคุณ...กี่ครั้งมาแล้วที่ผมปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่จัดการอะไรเลย และผมก็เคยลั่นวาจาแล้วว่าถ้าคุณสบถใส่ผมอีกเป็นครั้งที่สาม คุณจะถูกจับล้างปากเป็นการลงโทษ เห็นทีคุณคงอยากให้ผมทำแบบนั้นจริงๆ ใช่มั้ย ถึงได้คิดลองดีอยู่ในตอนนี้”

“ไม่นะ!” เธอขืนตัวเต็มที่เมื่อถูกลากถูลู่ถูกังไปหลังประตูบานหนึ่ง ”คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้มามาออกคำสั่ง ทำตัวเผด็จการอย่างนั้น ฉันไม่ใช่ลูกไล่หรือลูกน้องคุณนะ ปล่อยฉัน!” จบประโยคด้วยการแผดเสียง

ผู้กำกับหนุ่มไม่ตอบและไม่นำพาต่อแรงต้านนั้น เขายังคงลากแพรไหมเข้าไปในห้องหนึ่ง พลันที่เห็นว่าเป็นห้องนอน หญิงสาวก็หน้าเผือดสี ใจกระตุกวูบ เธอดิ้นรนขัดขืนแต่ไม่อาจต้านทานแรงฉุดของเขาได้ ที่สุดภาติยะไม่ได้หยุดอยู่ที่เตียงนอนแต่เดินผ่านตรงไปยังประตูอีกบานที่อยู่ถัดไป คราวนี้เธอรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้วว่า เขามีจุดหมายอยู่ที่ไหนและตั้งใจจะทำอะไร

จับเธอล้างปากด้วยสบู่! แพรไหมคิดด้วยใจที่หวาดหวั่นพรั่นพรึง

..............................................






Soledad : Westlife

If Only You Could See The Tears
In The World You Left Behind
If Only You Could Heal My Heart
Just One More Time
Even When I Close My Eyes
There's An Image Of Your Face
And Once Again I Come To Realise
You're A Loss I Can't Replace

Chorus
Soledad
It's A Keeping For The Lonely
Since The Day That You Were Gone
Why Did You Leave Me
Soledad
In My Heart You Were The Only
And Your Memory Lives On
Why Did You Leave Me
Soledad

Walking Down The Streets Of Nothingville
Where Our Love Was Young And Free
Can't Believe Just What An Empty Place
It Has Come To Be
I Would Give My Life Away
If It Could Only Be The Same
'cause I Can't Still The Voice Inside Of Me
That Is Calling Our Your Name

Repeat Chorus

Time Will Never Change The Things You Told Me
After All We're Meant To Be
Love Will Bring Us Back To You And Me
If Only You Could See










Create Date : 15 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2553 15:52:50 น.
Counter : 1049 Pageviews.

16 comment
ไฟรัก...บท 11/2


แพรไหมนึกทึ่งกับการทำงานที่รวดเร็วของภาติยะ ด้วยพลันที่เธอเลี้ยวรถเข้ามาจอดในที่จอดรถของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช้าวันนี้ ก็ได้รับโทรศัพท์จากท่านผู้หญิงนงคราญทันที

“แพรไหม นี่ฉันท่านผู้หญิงนงคราญนะ” ปลายสายแนะนำตัวเอง

“ค่ะ ท่านผู้หญิงมีอะไรให้ดิฉันรับใช้หรือคะ” แพรไหมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ตอนนี้เธอปิดวิทยุแล้ว แต่ยังคงนั่งอยู่ในรถ

“เธอไปกล่อมหลานฉันอีท่าไหน เขาถึงยอมไม่ฟ้องเธอ แถมยังมาบังคับขู่เข็ญฉันให้เลิกความคิดที่จะฟ้องเธอด้วย”

ท่านผู้หญิงนงคราญถามเสียงแข็งๆ นางไม่ได้บอกต่อว่าตอนที่ภาติยะโทร.มาขอร้องแกมบังคับนั้น นางได้ยื่นข้อเสนออะไรเป็นการแลกเปลี่ยนกลับไปด้วย และภาติยะก็ยอมรับเงื่อนไขนั้นง่ายๆ ซึ่งผิดวิสัยเป็นอย่างมาก นั่นทำให้ท่านผู้หญิงนงคราญต้องหันกลับมาประเมินและวิเคราะห์หญิงสาวคราวหลานที่อยู่ในสายอีกครั้งว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงมีความสำคัญกับภาติยะมาก กระทั่งอีกฝ่ายยอมรับเป็นธุระที่จะมาเจรจายอมความให้ ทั้งที่จะว่าไปแล้ว เขาควรเป็นคนฟ้องรายแรกในฐานะเป็นผู้เสียหายมากที่สุดด้วยซ้ำ

แพรไหมตอบกลับไปว่า “ดิฉันเปล่าค่ะ คุณภาติยะคงสงสารและเข้าใจมังคะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แต่ว่ากันไปตามกระบวนการและหลักฐาน”

“ไม่ต้องมาทำพูดดี วาทะเธอใช้กับฉันไม่ได้หรอก บอกก่อนนะถึงฉันจะยอมทำตามที่หลานชายฉันขอในคราวนี้ แต่หากครั้งหน้าเธอมาแตะต้องตระกูลวรากรณ์ของฉันอีก รับรองเลยว่าจะไม่ปล่อยเธอไปแน่”

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคนในตระกูลวรากรณ์ของท่านผู้หญิงทำตัวดีแค่ไหน ถ้าทำดีอยู่แล้ว ใครจะไปแตะต้องอะไรได้ล่ะคะ ตรงกันข้ามถ้าทำความเดือดร้อนให้แก่สังคม ดิฉันก็คงละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เหมือนกัน แค่นี้นะคะดิฉันต้อง...”

ทว่าคนฟังไม่รอให้แพรไหมพูดจบ ท่านผู้หญิงนงคราญทะลุกลางปล้องขึ้นว่า “นี่หรือผู้หญิงที่หลานชายฉันปกป้องนักหนา เธอมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้หญิงดาษดื่นที่จ้องจะจับคนรวยหรือคนเด่นคนดังในสังคม รู้หรือเปล่าสำหรับผู้หญิงไร้ค่าอย่างเธอ หลานชายฉันต้องแลกกับอะไรมาบ้างเพื่อทำให้ฉันยอมที่จะไม่แตะต้องเธอน่ะ...เธอมันนางมารร้าย อสรพิษชัดๆ”

แพรไหมนิ่วหน้า เมื่อปลายสายพูดจบก็โยนโทรศัพท์ใส่หูเธอโครมใหญ่...หญิงสาวกดสายทิ้งตามด้วยหัวคิ้วที่ยังคงขมวดมุ่น ท่านผู้หญิงนงคราญพูดราวกับว่าระหว่างภาติยะกับนางมีการยื่นข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่าง เพื่อแลกกับการที่ท่านผู้หญิงนงคราญไม่ฟ้องเธอในคราวนี้ ว่าแต่มันคืออะไรกัน?

ถอนหายใจเมื่อไม่มีโอกาสถาม เมื่อวานก็ทีหนึ่งแล้วเธอพยายามครุ่นคิดหาคำตอบว่าทำไมภาติยะถึงทำท่าเหมือนว่าพิศวาสเธอนักหนาระหว่างที่กอดจูบกัน หากเมื่อผ่านพ้นไปแล้วเขากลับทำนิ่งเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เธอครุ่นคิดหาคำตอบเรื่องนี้ตลอดทั้งคืนจวบจนรุ่งสาง ก็ยังไม่ได้คำตอบ

แพรไหมถอนหายใจอีกครา พลางก้าวลงจากรถ เธอกดรีโมตล็อกรถแล้วจึงเดินตรงไปยังห้องผู้สื่อข่าว พลันก็ต้องเลิกคิ้วแสดงความประหลาดใจเมื่อเห็นคธาอยู่ด้วย

“ลมอะไรหอบนายมาถึงนี่” เธอทักเขา เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ประจำอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

“ลมคิดถึงแม่นักข่าวสาวชื่อดังน่ะสิ เดี๋ยวนี้เธอดังใหญ่แล้วนะ มีชื่ออยู่ในเว็บไซต์ของสำนักข่าวต่างประเทศทุกเว็บ”

“ฉันควรจะดีใจสินะกับการถูกลากไปเป็นส่วนหนึ่งของข่าวฉาวๆ นี่”

“เธอห้ามสื่อต่างชาติไม่ได้หรอก ในเมื่อภาติยะเป็นคนดังระดับนั้น ว่าแต่ที่สำนักข่าวต่างประเทศลงจริงหรือเปล่า ที่ว่าเมื่อวานเธอไปหาเขาที่โรงแรม”

แพรไหมขมวดคิ้วมุ่น เธอควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติอย่างมากเมื่อตอบกลับไป ด้วยขณะนี้ไม่ได้มีเพียงแต่คธาที่รอฟังคำตอบ แต่ยังมีเพื่อนนักข่าวจากทุกสำนักที่อยู่ในห้องนี้รอฟังด้วย

“ไม่จริงหรอก คงมีการจำคนผิดเกิดขึ้นแล้วล่ะ ว่าแต่เว็บไซต์ไหนที่ลงน่ะ”

คธาเอ่ยชื่อสำนักข่าวต่างประเทศชื่อดังสำนักหนึ่ง จากนั้นขยายความว่า “เขาเขียนข่าวรายงานว่าเธอไปหาเขาที่โรงแรม เพื่อเจรจาให้เขายอมความ ไม่ให้ฟ้องเธอ”

“ข่าวลงผิดๆ แล้วล่ะ เธอก็รู้ไม่ใช่นิสัยฉันเลย ที่จะไปเข้าหาหรือยอมหงอให้กับคนที่กระทำความผิด” แพรไหมบอกตัวเองว่าเธอไม่ได้พูดโกหก ก็กับคนผิด เธอไม่เคยเข้าหา ยอมหงอหรือยอมลงให้จริงๆ นี่นา แต่กับกรณีของภาติยะมันต่างออกไป เขาเป็นคนที่ถูกเข้าใจผิด

“เฮ้...นายจะมาซักไซ้ไล่เลียงอะไรกับแพรวะ ที่ผ่านมามันก็โดนญาติคุณภาติยะยำเละอยู่แล้ว มาเลยแพร...เราไปหาข่าวกันเถอะ อย่าได้แคร์ว่าใครจะว่ายังไง”

เสียงระฆังพักยกของม่านแก้วทำให้เธอลอบถอนหายใจอย่างดีใจ เธอก้าวตามแรงฉุดของเพื่อนที่พาตรงไปยังโรงอาหาร พลางพึมพำขอบคุณ

“ไม่เป็นไรหรอก คธาก็เกินไปหน่อย ถามอะไรไม่ดูกาละเทศะบ้างเลย นักข่าวอยู่กันออกเต็ม”

แพรไหมหัวเราะแผ่วเบา ไม่ถือสากับนักข่าวหนุ่มที่ถูกพาดพิงถึง แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอกดรับ

“พี่ตุลานะครับน้องแพร”

“ค่ะ”

“เรื่องคดีความกับคุณภาติยะ ไปถึงไหนแล้วครับ ตกลงว่าเขาจะฟ้องน้องแพรไหม”

“เขาตกลงจะไม่ฟ้องค่ะ แต่แลกกับการที่แพรต้องให้ความร่วมมือกับเขาในการสืบหาตัวคนร้ายที่สวมรอยเป็นเขา”

“แล้วน้องแพรตอบเขาไปว่าไงครับ” ตุลาถามนิ่มๆ ไม่ให้ฟังออกว่าเขากำลังละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว ความจริงเขาเพิ่งวางสายจากภาติยะ เขาตั้งใจโทร.ไปนัดฝ่ายนั้นเพื่อมาสอบถามว่าสงสัยใครเป็นพิเศษว่าน่าจะเป็นคนร้าย จะได้จำกัดผู้ต้องสงสัยให้แคบลง กระนั้นภาติยะกลับบอกเล่าเพิ่มเติมว่านัดแพรไหมไว้เย็นนี้เพราะตั้งใจจะช่วยหญิงสาวสืบหาตัวฆาตกร

“แพรตกลงค่ะ แล้วคุณภาติยะก็นัดเจอแพรเย็นนี้เพื่อคุยกันเรื่องนี้”

“นัดกันที่ไหนครับ”

“โรงแรมที่คุณภาติยะพักอยู่คะ”

“จะให้พี่ไปเป็นเพื่อนมั้ย” สารวัตรหนุ่มรีบเสนอตัว

“ไม่เป็นไรค่ะ แพรดูแลตัวเองได้ ไว้เหลือบ่ากว่าแรงแล้วแพรจะบอกสารวัตรนะคะ”

“ถ้าอย่างนั้นน้องแพรดูแลตัวเองให้ดีๆ นะครับ แล้วค่อยเจอกันครับ”

“ค่ะ ขอบคุณสารวัตรมากค่ะ”

แพรไหมตัดสายตามปลายทาง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ม่านแก้วตั้งข้อสังเกตขึ้น

“สารวัตรตุลานี่ห่วงใยแกเสมอต้นเสมอปลายดีนะ เมื่อไหร่แกจะใจอ่อนกับเขาสักที?”

“ใจอ่อนเรื่องอะไร ความสัมพันธ์ของเราเป็นแค่แหล่งข่าวและพี่น้อง”

“ไปหลอกเด็กอมมือเถอะไป๊ เขารู้กันทั้งนั้นว่าสารวัตรตุลาชอบแกอยู่ รอก็แต่ว่าเมื่อไหร่เขาจะสารภาพรักและขอแกแต่งงานเท่านั้น ว่าแต่เขาขอแกแต่งงานหรือยัง?”

“บ้า...ไม่หรอก และถึงเขาจะขอจริงๆ ฉันก็คงปฏิเสธ เพราะฉันไม่ได้คิดกับเขาแบบนั้น”

“แต่แกไปไหนมาไหนกับสารวัตรบ่อยมาก จนคนเขาคิดกันทั้งนั้นว่าแกคงต้องตกล่องปล่องชิ้นกับเขาสักวัน สารวัตรตุลาเองก็เถอะ ฉันเชื่อว่าเขาก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะในบรรดาเพื่อนผู้ชายของแก แกสนิทกับเขามากที่สุดแล้ว และพูดก็พูดเถอะเขาเป็นคนดี ไม่ได้เลวเกวอะไร เป็นสารวัตรที่อนาคตยาวไกล โสด ไม่เจ้าชู้ ไม่ดื่มเหล้านอกจากเวลาเข้าสังคม แถมยังไม่สูบบุหรี่อีก โอ๊ย...ไม่รู้จะเป็นคนดีไปถึงไหน”

สารวัตรตุลามีคุณสมบัติเพียบพร้อมดังที่ม่านแก้วว่าจริงๆ เหตุนี้จึงเป็นที่ใฝ่ฝันของบรรดาสาวๆ และเป็นต้นเหตุให้เขาต้องครองตัวเป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความที่ระวังตัวแจหวั่นว่าจะถูกผู้หญิงจับ

แพรไหมพยักหน้า พูดสนับสนุนว่า “สารวัตรเป็นคนดีจริงๆ วางตัวดี น่าคบหา เขาไม่เคยมายุ่มย่ามหรือก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉันเลย ที่สำคัญไม่เคยเจ้าชู้หรือโปรยเสน่ห์ใส่ฉัน เหตุนี้ฉันถึงคบเขาได้นานและอย่างสนิทใจ ฉันเดาว่าถ้าเขาทำก้อร้อก้อติกใส่ ฉันก็คงฉากหลบเหมือนกัน”

“สงสัยจะต้องใส่รายชื่อคนอกหักเพิ่มเข้ามาในทำเนียบอีกคนแล้ว นอกเหนือจากนายคธา” ม่านแก้วเย้ายิ้มๆ

“บ้า...เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว อย่าไปพูดแบบนี้ให้ใครได้ยินนะ อายเขาตาย”

ม่านแก้วหัวเราะ แล้วกล่าวเปลี่ยนเรื่องว่า “แล้วคุณภาติยะล่ะ เป็นยังไง?”

“เป็นยังไงน่ะเป็นยังไง?” ตวัดสายตามามองเพื่อนอย่างระแวงโดยพลัน

“ก็เขามีท่าทีสนใจเธอ ใครๆ ก็มองออกทั้งนั้น”

“เพราะฉันเป็นพี่สาวของใยไหม เขาไม่ได้สนใจนอกเหนือจากเหตุผลนั้น” แพรไหมพยายามย้ำเหตุผลนี้กับตัวเองตลอดคืนที่ผ่านมาเช่นกัน

“น้อยไปสิยายแพร ทำไมแกประเมินเสน่ห์ตัวเองต่ำขนาดนั้น แกสวยและเก่งนะแพร ถามหน่อยเถอะมีหนุ่มไหนบ้างที่เห็นแกแล้วไม่หวั่นไหว ลองแจกแจงมาสักชื่อสองชื่อสิ”

แพรไหมหน้าแดงก่ำ เธอสะบัดหน้าไปมองทางเดินซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่แหล่งข่าวเดินสวนมา เธอกับม่านแก้วยกมือไหว้ทักทาย จากนั้นจึงตอบคำถามเพื่อนว่า

“ฉันไม่คิดอย่างแกหรอกนะ ผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตฉัน แต่ละคนก็มาด้วยเหตุผลต่างกรรมต่างวาระกันทั้งนั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะชอบหรือเพราะเสน่ห์ฉันแน่”

“แกก็เป็นซะอย่างนี้ ไม่เคยยอมรับความจริง ถึงยังไม่มีแฟนไง ลองเอากลับไปตรองดูดีๆ คุณภาติยะแอบปิ๊งแกจริงๆ และถ้าเขาเกิดชวนขึ้นเตียง แกต้องรีบเซย์เยสเลยนะ คนระดับนั้นใช่ว่าผู้หญิงอย่างเราๆ จะมีโอกาสไปนอนให้เขานาบได้ง่ายๆ นักหรอก”

“บ้า...ยายทะลึ่ง แกนี่ลามกใหญ่แล้วยายม่าน” ไม่พูดเปล่าแต่ยังฟาดต้นแขนเพื่อนด้วยกระเป๋าสะพายด้วย

“เอ้า...เขินใหญ่แล้ว” ม่านแก้วหัวเราะอย่างไม่ถือสาคำด่าของเพื่อน พลางปัดป้องอย่างไม่จริงจังนัก ซาเสียงหัวเราะแล้ว เธอก็ถามขึ้นว่า “ถามจริงถ้าคุณภาติยะมาชอบแกจริงๆ แกจะทำยังไง ตอนนี้ในเว็บไซต์เดิมพันต่างประเทศ แกเข้าไปอ่านบ้างหรือเปล่า เขารับแทงพนันด้วยคำถามที่ฟังแล้วโคตรจะจั๊กจี้จั๊กเดียม คู่ควงคนต่อไปของคุณภาติยะจะเป็นใคร รู้มั้ยหนึ่งในตัวเลือกคือใคร?”

“จะไปรู้เหรอ” ตอบทั้งที่นึกเดาคำตอบได้อยู่แล้ว น่าตกใจ...ที่เรื่องราวของเธอกับภาติยะขจรขจายไปไกลขนาดนั้น ทั้งที่เธอพลาดเข้าไปในโรงแรมที่ภาติยะพักอยู่ ให้นักข่าวต่างชาติเห็นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ม่านแก้วตอบเพื่อนว่า “แกไงล่ะ มีชื่อแกโผล่เป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้นด้วย นั่นแสดงว่านักข่าวต่างประเทศก็จับสังเกตหรือไม่ก็มีเซ้นส์เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”

แพรไหมหน้าแดง พลางกลอกตาขึ้นสูงเป็นคำตอบ

“ตกลงว่าไง แกยังไม่ตอบคำถามฉัน ถ้าคุณภาติยะมาชอบแกจริงๆ แกจะว่ายังไง”

“ไม่ว่ายังไงหรอก เพราะฉันยังไม่คิดเรื่องนี้ อยากจะสะสางคดีของน้องสาวให้จบก่อน อย่างน้อยก็รอให้จัดการงานศพของไหมให้เรียบร้อยก่อนก็ยังดี เวลานี้คนร้ายยังลอยนวลนะและฉันเชื่อว่าน้องก็ยังคงนอนตายตาไม่หลับแน่ ถ้ายังลากคอฆาตกรมาลงโทษไม่ได้” แพรไหมเหลียวมองรอบตัว พยายามส่งสารถึงบุคคลที่ล่วงลับว่า “พี่ไม่รู้ว่าไหมจะวนเวียนอยู่รอบตัวพี่บ้างหรือเปล่า ถ้าวนเวียน พี่ก็อยากให้มาเข้าฝันพี่เหลือเกิน อย่างน้อยก็เข้ามาให้เบาะแสคนร้ายบ้างก็ยังดี พี่คิดถึงเรานะ”

ใช่...หลายสัปดาห์มานี้ เธอคิดถึงใยไหมเหลือเกิน หากน่าแปลกที่น้องสาวไม่เคยมาเข้าฝันเธอเลยนับตั้งแต่เสียชีวิต ทั้งที่คนโบราณว่าไว้ว่า ภายใน ๗ วันวิญญาณคนตายจะกลับมาหาญาติ ตอนนี้ครอบครัวเธอยังไม่ได้จัดงานศพให้แก่ใยไหม เพราะต้องการจับตัวคนร้ายและปิดคดีให้ได้เสียก่อน

สิ้นคำพูดของเพื่อน ม่านแก้วก็เหลียวมองรอบตัวเลิ่กลั่ก พลางพูดว่า “น้องไหม ไปเข้าฝันพี่แพรคนเดียวนะ ไม่ต้องเผื่อแผ่มาถึงพี่ด้วย ยังไงพี่ก็จะช่วยพี่แพรสืบหาตัวคนร้ายมาลงโทษอย่างเต็มที่อยู่แล้ว”

พลันที่ม่านแก้วพูดจบ ก็เกิดกระแสลมพัดผ่านเธอวูบหนึ่ง ทั้งที่ต้นไม้ใบหญ้าแถวนั้นนิ่งสงบ นักข่าวสาวเกิดอาการขนลุกซู่...



แพรไหมแสดงความรู้สึกประหลาดใจระคนยินดี เมื่อก้าวตามหลังศิลาเข้าไปในห้องรอยัลสวีต แล้วเจอทนายความเดวิด เวหา รวมถึงฌองอยู่ในห้องครบทุกคน ภาติยะลุกยืนต้อนรับ ก่อนจะพาเธอไปแนะนำให้ทุกคนรู้จัก เดวิด กับเวหา เธอรู้จักแล้วจากการทำข่าว เหลือเพียงฌองซึ่งฝ่ายนั้นแสดงท่าทีไม่ยินดียินร้ายเมื่อยื่นมือออกมาสัมผัสตอบ เธอไม่สนใจ แต่เดินตามภาติยะไปทรุดนั่งบนเก้าอี้ที่เขาเลื่อนให้ ซึ่งเท่ากับนั่งอยู่ทางขวามือของเขา และขวามือของเธอเป็นศิลา

เจ้าของห้องสวีตหันมากล่าวกับแขกรายล่าสุดว่า “คุณจะรับเครื่องดื่มอะไรไหม?”

ก่อนที่แพรไหมจะเข้ามา เขากำลังประชุมเรื่องคดีความในอเมริกา เพราะจะถึงกำหนดขึ้นศาลในสัปดาห์หน้า และได้ชี้แจงเหตุผลกับทุกคนไปแล้วว่าเขาจะไม่ฟ้องโรงพิมพ์ต้นสังกัดที่แพรไหมทำงานอยู่ แต่จะขอให้เธอเข้ามาช่วยสืบหาคนร้ายร่วมกับเขา เพราะการสวมรอยฆาตกรรมในชื่อของเขาโดยที่คนร้ายยังคงลอยนวลอยู่ข้างนอก เป็นภัยคุกคามต่อสวัสดิภาพของทุกคน รวมถึงตัวเขา ซึ่งไม่รู้ว่าคนร้ายจะลงมือปฏิบัติกับเหยื่อคนต่อไปอีกหรือไม่

“ไม่ค่ะ ขอบคุณ” แพรไหมตอบ

ภาติยะหันไปทางฌอง กล่าวว่า “งั้นลุงฌอง ผมขอน้ำส้มแก้วหนึ่งสำหรับแพรไหมครับ”

เดวิด รอจนพ่อบ้านเดินออกไปแล้ว จึงพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “เรามาเริ่มกันเลยดีมั้ยจะได้ไม่เสียเวลา นี่แผนภูมิเครือญาติของคุณภาติยะ คุณอัครเทวาลองเอาไปศึกษาดูครับ” เขาพูดพลางเลื่อนภาพแผนภูมิไปตรงหน้าแพรไหม

“เรียกฉันว่าแพรไหมก็ได้ค่ะ” เธอรับมาดู พลางกล่าวเบาๆ พบว่าเป็นภาพเดียวกับที่ได้มาจากสารวัตรตุลา

“ขอบคุณครับ” เดวิดพึมพำขอบคุณ แล้วพูดต่อว่า “ถ้าดูจากแผนภูมิ จะเห็นว่าญาติผู้ชายของคุณภาติยะ มีทั้งหมด ๗ คน ไล่ตั้งแต่คุณพันดร อายุ ๖๓ ปี ผมไม่ได้ตัดเขาออกจากข่ายผู้ต้องสงสัย เพราะแม้ไม่ได้ลงมือทำเอง ก็อาจเป็นคนวางแผนอยู่เบื้องหลังหรือไม่ก็อยู่ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดได้ เขามีลูกชาย ๓ คน คือ ภาสกร และภูวนัย สองคนนี้เป็นคู่แฝดอายุ ๓๒ ปี และภูวนารถอายุ ๓๐ ปี นอกจากนี้มีภาวิต วัย ๓๖ และภาคิไนย วัย ๓๓ ซึ่งเป็นลูกชายของคุณภราดา ส่วนลูกชายของคุณพิยะดา คือ พายุ อายุ ๓๕ ปี”

“คุณตัดรายชื่อผู้หญิงออกจากผู้ต้องสงสัยทั้งหมดใช่มั้ยคะ” แพรไหมถามขึ้น

“ครับ ผมคุยกับคุณแพทแล้ว คิดว่าน่าจะสโคปลงมาที่ผู้ชายมากกว่า คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ได้ไม่น่าจะเป็นผู้หญิง”

“หรืออาจจะใช่?”

ภาติยะหันมายิ้มให้ทั้งดวงตาและริมฝีปาก “คุณกำลังจะทำให้เราเขวนะแพร นี่ถามจริง...มาช่วยเรา หรือมาทำให้เราหลงทางกันแน่”

น้ำเสียงเขานุ่มเกินกว่าจะเป็นการเสียดสี แพรไหมจึงยิ้มและโต้ตอบคำพูดเย้าแหย่ของเขากลับไปว่า “ก็เพราะต้องการช่วยนี่แหละ ก็เลยไม่อยากให้คุณต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่”

“คุณแพรไหมพูดถูกนะครับ เราอย่าเพิ่งตัดญาติผู้หญิงออกจากข่ายผู้ต้องสงสัยดีกว่า” เวหาสนับสนุนขึ้น

“เยี่ยม...คราวนี้เราก็มีผู้ต้องสงสัยเป็นกะตั๊ก ผมชักสงสัยแล้วว่าคืนนี้ผมจะร่ายรายชื่อญาติครบหมดทุกคนหรือเปล่า”

แพรไหมหัวเราะ ขณะที่คนอื่นยิ้มขำกับคำโอดครวญของภาติยะ เสียงหัวเราะซาลงแล้ว หญิงสาวจึงแนะว่า “ก็เอาเฉพาะญาติที่สนิทสิ คุณจะขุดญาติฝ่ายย่าน้อยและปู่มาทำไมล่ะ”

ภาติยะยิ้มตอบหญิงสาว ก่อนกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม ถ้าเราตั้งต้นที่คนวางแผนหรือคนที่สมรู้ร่วมคิด ผมว่าคืนนี้เราคงไม่มีอะไรคืบหน้าแน่ ทำไมไม่มาเริ่มกันที่ผู้ลงมือฆ่าเลยล่ะ แล้วพอได้ตัวมาแล้ว ค่อยสอบเค้นขยายผลไปยังผู้สมรู้ร่วมคิดหรือวางแผน”

“ถ้าเริ่มต้นที่คนลงมือฆ่า แน่นอนว่าคนลงมืออาจจะไม่ใช่คนเดียวกับคนวางแผน ความหมายตามมาอีกนัยหนึ่งก็คืออาจจะไม่ใช่ญาติคนใดคนหนึ่งของคุณ ฉะนั้นเมื่อคนลงมือฆ่า เป็นคนนอกครอบครัวคุณ ก็ย่อมหมายความว่าเป็นคนเดินถนนข้างนอกซึ่งมีเป็นล้านแปด”

“เฮ้...คุณนี่เป็นตัวป่วนขนานแท้เลยนะแพร ผมขอเวลานอกพาเธอไปจูบสั่งสอนก่อนได้มั้ย จะได้ย้ำเตือนว่าเธอมาในฐานะยืนข้างเดียวกับผมเพื่อช่วยสืบหาตัวคนร้าย ไม่ใช่ยืนคนละข้างถือปากกาฟาดฟันผมอีกต่อไป” แม้จะเย้าแหย่กลับไปอย่างนั้น แต่ภาติยะจำต้องยอมรับว่าแพรไหมพูดถูก

ทุกคนหัวเราะไปกับมุกตลกของอดีตผู้ต้องหา คงมีเพียงแพรไหมคนเดียวที่ขำไม่ออก ใบหน้าสวยเฉี่ยวเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ สะท้อนถึงความขัดเขินของเจ้าตัว เมื่อพานไปนึกถึงจูบดูดดื่มของเขาเมื่อคืน

ภาติยะจ้องใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกายระยับระคนอบอุ่น คุณก็กำลังคิดถึงจูบเมื่อคืนอยู่เหมือนกันใช่มั้ยแพรไหม? นัยน์ตาของนักแสดงพอร์นสตาร์เปลี่ยนเป็นสีเข้ม บอกถึงแรงพิศวาสร้อนแรง

พระเจ้า...น้องชายของเขาทรยศอีกแล้ว ภาติยะหันไปคว้าแก้ววอดก้าบนโต๊ะมาดื่มอึกใหญ่ รวดเดียวหมดแก้ว

ไม่ต่างจากแพรไหม เธอพยายามสะกดกลั้นอารมณ์และควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติเมื่อตอบว่า “ฉันล้อคุณเล่นค่ะ ความหมายของฉัน คือ ทำไมเราไม่มาเริ่มต้นจากภาพของผู้ชายในกล้องวงจรปิดละคะ เขาจะเป็นญาติหรือคนที่ถูกจ้างวานมาก็ช่าง แต่ประเด็นสำคัญคือ เราต้องตามหาตัวเขาให้พบเพื่อมาเค้นความจริงและขยายผลให้ได้ ซึ่งถ้าเทียบจากกล้องวงจรปิด จะเห็นว่าเขามีรูปร่างใกล้เคียงกับคุณ คราวนี้เราก็มาดูว่าญาติคนไหนของคุณบ้างที่รูปร่างใกล้เคียงกัน ถ้าใกล้เคียงก็เก็บไว้ ไม่ใกล้เคียงก็ตัดออกไป แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ควรดูเรื่องแรงจูงใจเป็นเหตุผลสำคัญด้วย ฉะนั้นคุณช่วยเล่าทัศนคติของญาติๆ ที่มีต่อคุณให้ทุกคนฟังได้ไหมคะว่าแต่ละคนคิดเห็นกับคุณอย่างไรบ้าง”

แพรไหมแสดงความเห็นยาวเหยียด โดยที่ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย ภาติยะมองหญิงสาวอย่างชื่นชม ก่อนจะเริ่มต้นเล่าประวัติของตัวเองอย่างช้าๆ พร้อมทั้งตบท้ายว่าญาติแต่ละคนคิดเห็นกับเขาอย่างไรบ้าง

การพูดคุยหารือยังคงดำเนินไปเช่นนั้นจนจบการหารือในคืนนั้น ทุกคนทานมื้อค่ำแล้วจึงเดินทางกลับ ภาติยะจงใจหันไปล่ำลาเดวิดและเวหาเป็นลำดับแรก และเมื่อคนทั้งคู่กลับไปแล้ว เขาจึงหันไปทางแพรไหม ซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างศิลา รอกล่าวคำลา

ภาติยะหันไปทางแพรไหม พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “อย่าเพิ่งกลับเลยนะ ไปฟังเพลงต่อกับผมเถอะ มีผับในโรงแรมนี้อยู่แห่งน่าสนใจมาก”

ศิลาซ่อนรอยยิ้มขำมิดชิด เมื่อเห็นปฏิกิริยาขัดเขินบนพวงแก้มของแพรไหมเป็นประจักษ์พยาน ระหว่างคนทั้งคู่ศิลาเชื่อว่ามีปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่างเกิดขึ้น เขาเคยผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้ว รู้ว่ามันยากจะต้านทานแค่ไหน แม้จะพยายามห้ามใจสุดฤทธิ์ก็ตาม เขาเชื่อว่าแพรไหมตกที่นั่งเดียวกับเขาในครั้งนั้นและพยายามต่อต้านมันอยู่ แต่สำหรับภาติยะแล้ว เขาเชื่อว่าทุกคนในห้องประชุมดูออก นอกจากภาติยะจะไม่พยายามต่อต้านปฏิกิริยาทางเคมีนั้นแล้ว ยังเวียนส่งสายตาร้อนแรงและเต็มไปด้วยรอยพิศวาสให้แก่หญิงสาวตลอดการหารือในค่ำคืนนี้ด้วย ยามที่คิดว่าคนอื่นมองไม่เห็น

ภาติยะถูกใจแพรไหมค่อนข้างมาก และอาจจะถึงขั้นหลงใหลก็เป็นได้... ศิลาไม่เคยเล่นบทบาทพ่อสื่อ แต่คืนนี้เขาอยากสวมบทบาทนั้น บอดี้การ์ดหนุ่มจึงกล่าวขึ้นว่า “ทำไมคุณแพรไม่ไปฟังเพลงกับคุณแพทล่ะครับ เผื่อจะได้ผ่อนคลายจากปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ได้บ้าง”

แพรไหมแย้งเสียงอ่อนๆ ว่า “คงเป็นภาพที่ไม่ดีนัก ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ แต่กลับออกไปสนุกสนานในผับในบาร์ อีกอย่างแพรไม่อยากไปไหนสองต่อสองกับคุณแพท เพราะไม่อยากตกเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ”

ความเป็นกันเองที่ภาติยะให้กับทุกคน จึงไม่มีใครกระอักกระอ่วนใจที่จะเรียกเขาด้วยชื่อเล่น

ภาติยะขมวดคิ้ว แต่ตั้งใจรอซักหญิงสาวทีหลัง เขาพูดเสียงอ่อนๆ ว่า “ถ้าไม่อยากออกไปไหนมาไหนกับผมสองต่อสอง ก็อยู่ฟังเพลงกับผมในห้องนี้ก่อนได้ไหม”

แพรไหมเมินมองทางอื่น เมื่อเห็นแววตาออดอ้อนที่ฝ่ายนั้นเพียรส่งมา แต่ไม่ทันได้ตอบปฏิเสธ ศิลาก็กล่าวขึ้นว่า

“เอาอย่างนี้ดีมั้ย ผมฝากคุณแพทให้ไปช่วยส่งคุณแพรที่บ้าน เพราะผมมีธุระกับภรรยา ต้องรีบแล้วล่ะครับ”

“เชิญตามสบายเลยค่ะคุณศิลา ต้องขอโทษจริงๆ”

ภาติยะรับปากที่จะไปส่งหญิงสาวและศิลาลากลับไปแล้ว เขาจึงหันมาทางแพรไหม กล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเพิ่มอีกเท่าตัวว่า “ตกลงนะครับแพร อยู่ฟังเพลงต่อกับผมอีกหน่อย”








Create Date : 15 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2553 1:45:38 น.
Counter : 922 Pageviews.

9 comment
ไฟรัก...บท 11/1


มันบ้าชัดๆ... แพรไหมนึกบอกตัวเองในทันทีที่เขาตวัดเอวเธอไปจูบแล้วเธอพลันรู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ร่างแข็งทื่อก่อนจะค่อยๆ อ่อนปวกเปียกราวกับไร้กระดูก สวรรค์ช่วย...เธอโอนอ่อนผ่อนตามเขาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ร่างกายเธอตอบสนองเขาอย่างเร่าร้อนราวกับมันมีชีวิตของมันเอง...

ให้ตายเถอะ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด...แพรไหมนึกสบถระคนโอดครวญอยู่ในใจ หากกระนั้นกลับจูบตอบเขาอย่างบ้าคลั่ง

โลกดูจะถูกลืมเลือนและห่างไกลออกไปชั่วขณะในวินาทีที่แพรไหมเลื่อนมือขึ้นมาโน้มลำคอเขา พร้อมทั้งบดเบียดร่างกายตัวเองให้แนบชิดกับเขายิ่งขึ้น ภาติยะครางในลำคอพร้อมกับร่างกายที่สั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่

พระเจ้าช่วย...เขาไม่เคยเกิดอาการอย่างนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน...อาการราวกับจะสำลักความสุขสม เร่าร้อนราวกับจะแผดเผาให้ด่าวดิ้น หากก็เจือความหวานยากเกินจะกล่าว ภาติยะเลื่อนมือลงไปขยำสะโพกกลมมนอย่างอดใจไม่อยู่ ส่วนอีกมือเลื่อนขึ้นมาสำรวจทรวงอกนุ่มเต่งตึงด้านหน้านอกเสื้อคอเต่า

นุ่มหยุ่นมือและพอเหมาะพอเจาะกับมือเขา... ภาติยะนึกพลางดุนปลายลิ้นให้ริมฝีปากนุ่มเผยอออก เมื่อทำไม่สำเร็จจึงขบเม้มเน้นๆ เกิดเสียงร้องประท้วงขึ้นจากแพรไหมโดยพลัน ในจังหวะเดียวกับที่เขาสอดปลายลิ้นเข้าไปในเรียวปากได้สำเร็จ

นักแสดงพอร์นสตาร์จูบดูดดื่ม ประสบการณ์รักตั้งแต่วัยหนุ่มจวบจนมาถึงวัย ๓๖ ถูกบรรจงถ่ายทอดผ่านจูบนั้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมีทั้งความหวาน ความโหยหาและเรียกร้องในคราวเดียวกันจนร่างบางซวนมาซบเขา

แพรไหมยังคงจูบตอบเขาอย่างเร่าร้อนตามแต่อารมณ์และสัญชาตญาณจะนำพา มือเธอสอดเข้าในเรือนผมท้ายทอยอีกฝ่าย ขณะที่อีกมือยึดปลายคางเพื่อจะได้จูบอย่างถนัดถนี่

ราวกับมีวังน้ำร้อนหมุนวนอยู่รอบกายจนแพรไหมรู้สึกปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอไม่รู้ตัวเลยว่าภาติยะสอดมือเข้ามาใต้บราเซียเมื่อไหร่ มารู้สึกตัวก็ตอนที่มือร้อนผ่าวอีกข้างกำลังสัมผัสแนบชิดอยู่กับเนื้อตัวเบื้องล่าง นั่นแหละเธอถึงรู้ว่าตอนนี้มือทั้งสองข้างของเขาอยู่ตรงไหนบ้าง

แพรไหมผละถอยห่างตามสัญชาตญาณ หากภาติยะตามมารัดกายนุ่มกลับไปชิดแผงอกกว้างตามเดิม ก่อนจะออกแรงกอดรัดแนบแน่นราวกับงูรัดเหยื่อ ขณะที่ริมฝีปากยังคงจูบปากนุ่มไม่ยอมห่าง ไม่นำพากับอาการประท้วงขัดขืนและส่งเสียงฮือฮาในเรียวปากเขา ภาติยะยังคงเดินหน้าสำรวจเรือนกายเซ็กซี่ของอีกฝ่ายด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างรวบมือเรียวของแพรไหมไปไพล่ไว้ข้างหลัง

นักข่าวสาวไม่มีโอกาสแม้จะส่งเสียงประท้วง ลมหายใจตัดขัดและร่างกายพลันอ่อนระทวย เมื่อรู้สึกได้ถึงมือหนาที่กำลังสอดเข้ามาในบราเซีย จูบนี้มันจะไปจบลงที่ไหน? แพรไหมนึกถามตัวเองอย่างหวาดหวั่น หากเธอก็ได้คำตอบทันทีเหมือนกัน...เขาจะยังไม่ปล่อยเธอจนกว่าจะได้จูบเธอจนพอใจ

อยากจะต่อต้าน...อยากจะขัดขืน หากกระนั้นแพรไหมก็ไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงหดหายไปไหน...บางทีมันอาจจะโบยบินไปพร้อมกับราตรีกาล... แพรไหมคิดอย่างขำๆ เธอพยายามหาเรื่องมาให้ตัวเองขบคิด จะได้จิตไม่ว่างและเขวไปกับจูบดูดดื่มของเขา

พระเจ้าช่วย...สวรรค์บนดินชัดๆ ภาติยะนึกพลางเค้นคลึงทรวงอกงามอย่างหลงใหล เขาชอบหน้าอกของแพรไหม มันพอดีกับมือเขาราวกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ...นุ่มแต่ก็หนั่นแน่นเต็มมือ หากในขณะเดียวกันก็เต่งตึงและตอบสนองอย่างมีชีวิตชีวา...อย่างที่เขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน

ภาติยะผละขึ้นมองหน้า เมื่อจูบแรกที่ดูดดื่มแสนยาวนานผ่านพ้นไปแล้ว ใบหน้าของแพรไหมแดงก่ำและลมหายใจสะท้านขึ้นลงเป็นจังหวะเดียวกับอัตราการเต้นของหัวใจที่ยังคงอยู่ภายใต้อุ้งมือเขา

“คุณเป็นสาวเซ็กซี่และร้อนแรงมากแพรไหม ผมพนันได้เลยว่าผมยอมแลกด้วยทุกอย่างที่ตัวเองมี ขอแค่ได้สัมผัสเรือนร่างคุณด้วยเนื้อตัวผม”

แพรไหมหน้าแดง เธอตอบไปอีกทางว่า “ข้อตกลงเราเป็นอันสิ้นสุดลงแล้ว เพราะฉะนั้นกรุณาปล่อยมือฉัน”

ผู้กำกับหนุ่มปล่อยกายนุ่มเป็นอิสระอย่างอ้อยอิ่ง ร่างบางเซเล็กน้อย เขาต้องเอื้อมมือไปช่วยพยุง ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงถามอย่างอาทรว่า “คุณโอเคนะ ผมหมายถึงยืนมั่นคงนะ?”

คนถูกถามหน้าแดงก่ำยิ่งขึ้น “โอเคค่ะ...ขอบคุณ” น้ำเสียงซ่อนรอยประชดมิดชิด

ภาติยะเห็นแพรไหมยืนมั่นคงแล้ว จึงปล่อยมือ เขาถามว่า “อยากจะได้เครื่องดื่มอะไรมั้ย ผมเดาว่าคืนนี้เราคงต้องการเครื่องดื่มแรงๆ พอๆ กัน” ถามแล้วออกเดินนำตรงไปยังโต๊ะรับประทานอาหาร เขารินแชมเปญใส่แก้วใบใหม่ให้แก่หญิงสาวและตัวเอง หยุดยืนรอจนแพรไหมหันหลังจัดการกับบราเซียเรียบร้อยแล้ว จึงเดินถือแก้วแชมเปญไปส่งให้

“จิบนี่หน่อย คุณจะรู้สึกดีขึ้น”

เมื่อแพรไหมหันมาสบตาเขา ก็หน้าแดงก่ำ ด้วยนึกรู้ได้ว่าเขาคงเห็นกิริยานั้นโดยตลอด เธอพึมพำขอบคุณแล้วรับแก้วเครื่องดื่มมาดื่มอึกใหญ่ หากพลันที่น้ำสีอำพันล่วงสู่คอ เธอก็ไอและสำลักทันที

ภาติยะหัวเราะ เขาเคลื่อนไปด้านหลังหญิงสาว พลางลูบแผ่นหลังให้แผ่วเบา “คุณต้องค่อยๆ ดื่มแพรไหม คุณยังไม่ชินกับเครื่องดื่มประเภทนี้”

เกิดความสนิทสนมขึ้นระหว่างคนทั้งคู่ โดยที่ต่างไม่ได้สังเกต...

ต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพและประสบการณ์มากไหมกว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างสงบนิ่งและไม่ว่อกแว่กเหมือนอย่างเขา? ถามตัวเองแล้วแพรไหมก็พลันเดาคำตอบได้ทันทีเหมือนกันว่า สำหรับเธอคงไม่มีทางจะสงบนิ่งได้เท่ากับเขาในตอนนี้อีกแล้ว ด้วยเขาดูแกร่งและหนักแน่นดั่งภูผา ไม่มีอะไรมาคลอนแคลนได้เลย ต่างกับเธอที่ดู อ่อนหัด เนื่องจากได้รับอิทธิพลมาจากจูบนั้นเต็มๆ

ใช่...ดูเหมือนจูบนั้นไม่ได้ส่งผลใดๆ กับเขา ไม่ได้ทำให้เขาหวั่นไหว ด้วยยังคงพูดคุยและหัวเราะกับเธออย่างสนุกสนานเป็นกันเอง ราวกับว่าเรื่องจูบเมื่อครู่ เป็นเพียงการเจรจาทางธุรกิจที่ไม่ได้มีความหมายอะไรไปมากกว่านั้น

ให้ตายเถอะ!... เธอไม่มั่นใจว่าจะชอบใจกับความจริงที่เพิ่งได้ตระหนักนั้นหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เธออยากจะทำตัวเฉยๆ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเขาได้บ้าง

ภาติยะพูดต่อว่า “ลองดื่มใหม่ ค่อยๆ จิบ”

แพรไหมทำตามคำแนะนำของเขา คราวนี้รู้สึกสมองโปร่งโล่งขึ้น เมื่อรสเฝื่อนๆ ของน้ำสีอำพันล่วงสู่ลำคอ

“อย่างนั้นแหละ” ผู้กำกับหนุ่มเอ่ยชมเสียงนุ่ม ก่อนจะยกเครื่องดื่มของตัวเองขึ้นดื่มอึกใหญ่ ภาติยะกล่าวต่อว่า “คุณมาด้วยรถอะไรแพร จะให้ผมไปส่งมั้ย”

แพรไหมไม่ได้นึกค้านกับการที่เขาเรียกชื่อเล่น เธอตอบอย่างสุภาพว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเอารถมา”

ภาติยะพยักหน้า “คุณจะสะดวกมาเจอผมได้อีกเมื่อไหร่ เราจะได้พูดคุยกันเรื่องคดีของใยไหม ผมอยากจะช่วยคุณจับคนร้ายให้ได้เร็วๆ จะได้เคลียร์ด้วยว่าใครที่เกลียดผมมากจนต้องสวมรอยทำเรื่องชั่วร้ายในชื่อผม”

“คุณมีศัตรูที่ไหนบ้างคะ เรามาเริ่มจากจุดนั้นกันดีมั้ย?”

“เป็นความคิดที่ดี ว่าแต่คุณพร้อมเมื่อไหร่”

แพรไหมตอบว่า “แล้วแต่คุณดีกว่าค่ะ”

“งั้นพรุ่งนี้เย็นและที่นี่เป็นไง”

คนฟัง หน้าเปลี่ยนสี “ทำไมต้องเป็นที่นี่”

“สะดวกและปลอดคนที่สุดแล้ว ผมไม่อยากไปคุยที่ร้านอาหาร ในเมื่อเราก็มีห้องประชุมที่สะดวกสบายและไม่มีใครรบกวนในนี้อยู่แล้ว” นักแสดงพอร์นสตาร์อธิบายด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้ดูน่าเชื่อถือที่สุด

แพรไหมนิ่วหน้า ชั่งใจ “ไม่มีอะไรตุกติกใช่มั้ย?”

ภาติยะหัวเราะกับความน่ารักของผู้หญิงตรงหน้า ถึงมีผมจะกล้าบอกคุณมั้ยล่ะยาหยี? ผู้กำกับหนุ่มสำรวมกิริยา และตอบกลับไปด้วยมาดเคร่งขรึมว่า “ไม่มีหรอก เราจะคุยกันเรื่องงานล้วนๆ”

คนฟังทำหน้านิ่งคิดชั่วครู่ แล้วตอบว่า “ตกลงตามนั้นก็ได้ค่ะ งั้นคืนนี้ฉันขอตัวนะคะ ขอบคุณสำหรับดินเนอร์ค่ะ”

เจ้าภาพดินเนอร์โค้งคำนับให้อย่างล้อเลียน พลางตอบว่า “ด้วยความยินดีครับ ผมจะเดินไปส่งคุณที่ประตู”

แพรไหมหยุดยืนที่ประตู เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเหมือนว่าเธอกำลังรออะไร มารู้คำตอบก็เมื่ออีกฝ่ายก้มศีรษะลงมาจดปลายจมูกกับหน้าผากเธอแผ่วเบา พลางบอกว่า

“กู้ดไนต์นะครับคนดี”

แพรไหมหน้าแดงก่ำ รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ภาติยะมองตามหลังหญิงสาวจนลับสายตา แล้วจึงปิดประตูก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน เขากระตุกเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ด้วยกิริยาที่แทบเรียกว่ากระชากไปในคราวเดียวกัน

พระเจ้า...เขาต้องการน้ำเย็นจัดๆ รดตัวตอนนี้ด่วนที่สุด กระนั้นภาติยะก็ยังนึกสงสัยว่ามันจะช่วยดับอาการร้อนรุ่มที่เกิดจากแพรไหมเป็นผู้จุดในค่ำคืนนี้ได้หรือไม่

“ไม่อย่างแน่นอน” ภาติยะเผลอส่งเสียงครางออกมาดังๆ หวั่นใจว่าคืนนี้จะเป็นอีกคืนที่ยาวนานสำหรับเขา นั่นสิจะหลับลงได้อย่างไร ในเมื่อกลิ่นกายหอมกรุ่นของวัยสาวและรสสัมผัสที่หวานซาบซ่านยังคงตราตรึงอยู่ในใจเขาไม่เสื่อมคลาย... ผู้กำกับหนุ่มนึกพลางเดินเปลือยกายเข้าไปในใต้ฝักบัวและเปิดก๊อกน้ำเย็นรดศีรษะ

เงยหน้าและหลับตา รับสายธารของน้ำเย็นๆ หากกระนั้นภาพของความรู้สึกยามที่ทรวงอกอวบอิ่มผลิขยายอย่างมีชีวิตชีวาใต้สัมผัสเขา และนวลเนื้อแห่งความเป็นหญิงไหวระริกตอบรับฝ่ามือเขา กลับปรากฏชัดขึ้นในความทรงจำ

ไม่...น้ำเย็นๆ ไม่พออีกแล้ว ถึงตอนนี้จะเป็นก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ เขาก็ยังนึกสงสัยว่ามันจะช่วยยับยั้งอาการทรมานที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้หรือไม่ ภาติยะนึกอย่างห่อเหี่ยวใจ เมื่อได้คำตอบว่าความเป็นชายของเขายังไม่หยุดสร้างความทรมาน สวรรค์ช่วย...เขาต้องทนกับความหงุดหงิดงุ่นง่านนี้ไปอีกนานแค่ไหน?

ก็จนกว่าแพรไหมจะใจอ่อนยอมขึ้นเตียงกับนายยังไงล่ะ...ภาติยะตอบตัวเอง แล้วฉับพลันเขาก็แทบอยากร้องครางออกมาดังๆ








Create Date : 14 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2553 0:43:04 น.
Counter : 930 Pageviews.

12 comment
ไฟรัก...บท 10/2


เอารูปห้องรอยัลสวีตของพี่แพทมาฝากค่ะ เห็นน้องมิ้วพูดถึงเตียง 10 ฟุต ^_^ (ขอบคุณภาพจากมติชนออนไลน์ค่ะ)



เตียงนอน "ทวินคิงส์"



ห้องนั่งเล่นสุดหรู มองเห็นทิวทัศน์ เมืองกรุงได้รอบ





ทิวทัศน์รอบกรุงเทพฯ ที่มองจากบนห้อง




********
ขอบคุณที่ช่วยคลิกโหวตค่า ^_^


1.เรื่องต่อไป อยากอ่านแนวไหนกันบ้างคะ



เทียบกับของเก่า




2.ชอบพระเอกเรื่องไหนมากที่สุดคะ



เทียบกับของเก่า




3.ชอบเรื่องไหนมากที่สุดคะ



เทียบกับของเก่า




*****************


แพรไหมประสานสายตาเขาได้เพียงครู่เดียว ก็ต้องเมินหลบ ในใจคิดว่าถ้าลำพังตัวเอง เธอไม่สนใจเลยว่าจะถูกฟ้องร้องหรือไม่ แต่นี่มีโรงพิมพ์ซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของพนักงานทั้งบริษัทเข้ามาเกี่ยวข้อง และที่ผ่านมาเธอก็เป็นต้นเหตุให้โรงพิมพ์ถูกฟ้องมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว บวกลบคูณหารผลได้ผลเสียแล้ว แพรไหมจึงตัดสินใจตอบว่า

“ถ้าฉันตกลง คุณสัญญาได้มั้ยว่าจะจบแค่จูบเดียว”

ภาติยะซ่อนยิ้มเจ้าเล่ห์มิดชิด เมื่อพยักหน้ารับ แพรไหมไม่รู้เลยว่ากำลังจะเสียรู้แก่ผู้ที่มากด้วยประสบการณ์และชั้นเชิง

“แล้วคุณต้องไม่จูบตอบฉันด้วย” แพรไหมพูดต่อ

คนฟังส่ายหน้าทันควัน “ก็ถ้าอย่างนั้น ผมจะขอให้คุณจูบผมทำไม ไปจูบเสาไฟฟ้าไม่ดีกว่าเหรอ”

แพรไหมนิ่วหน้ากับคำแขวะของเขา

ภาติยะตีหน้าตาย หว่านล้อมต่อว่า “แต่ผมสัญญาได้ว่าจะไม่บังคับขืนใจคุณ ถ้าคุณไม่อยากสานต่อหลังจากจูบแรกสิ้นสุดลง คุณก็ถอนตัวไปได้ตลอดเวลา เห็นมั้ยไม่มีอะไรยุ่งยากเลย”

สวรรค์ช่วยเขาพูดเรื่องพวกนี้โดยที่ยังทำหน้าเฉยได้ยังไง ในขณะที่เธอร้อนวูบวาบไปหมดทั้งตัวแล้วราวกับตกลงไปในเตาอบ

“ฉันไม่เข้าใจเกมของคุณเลย คุณตั้งเงื่อนไขบ้าๆ นี่ขึ้นมาทำไม”

“คุณสบถใส่ผมเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ขืนมีครั้งที่สาม รับรองเลยว่าคุณจะเสียมากกว่าหนึ่งจูบแน่”

แพรไหมหน้าแดงก่ำจากคำซ่อนนัยของเขา

ภาติยะมองกิริยานั้นพลางตอบคำถามว่า “มันไม่ใช่เกมแพรไหม แต่ผมจริงจัง ว่าไงคุณจะเลือกเซย์เยสหรือเซย์โน”

“ฉันมีทางเลือกด้วยเหรอ”

ร่างสูงใหญ่หัวเราะ “ผมเดาว่าไม่”

แพรไหมพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ เธอถามอย่างคนจำยอมรับสภาพ ‘เป็นเบี้ยล่าง’ ว่า “งั้นที่ไหนและเมื่อไหร่คะ”

ผู้กำกับหนุ่มเบิกตาโต ต้องสะกดใจอย่างมากไม่ให้โพล่งออกไปว่า บนเตียงและเดี๋ยวนี้ เพราะหวั่นว่าไก่จะตื่น ภาติยะกระแอมก่อนตอบว่า “หลังดินเนอร์มื้อนี้ ที่ห้องนั่งเล่นเป็นไง?”

“ตกลงค่ะ” แพรไหมตอบรับด้วยน้ำเสียงสงบเสงี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้เลยว่าท่าทีที่เธอทำราวกับเป็นนักโทษที่รอการประหาร ยิ่งตอกย้ำให้ภาติยะรู้สึกว่าเธอรังเกียจจูบของเขา และนั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนยิ่งถูกดูหมิ่นมากขึ้น



มันไม่น่าจะยากเลยก็แค่ชะโงกหน้าไปประกบริมฝีปากเขา...แพรไหมนึกปลอบตัวเองขณะก้าวไปยืนตรงหน้าภาติยะซึ่งกำลังยืนรอตรงบริเวณที่กรุด้วยกระจก สามารถมองออกไปเห็นทิวทัศน์ที่ตกอยู่ในราตรีกาลด้านนอก

“หลับตาได้ไหม” นักข่าวสาวยื่นข้อเสนอด้วยน้ำเสียงขลาดๆ น้ำเสียงแหบแห้ง ไม่เหลือมาดคนกล้าอีกต่อไป ตอนมาเธอพกกำลังใจมาเกินร้อย หากบัดนี้มันหดหายแทบเหลือศูนย์

แววตาคมกล้าสีสนิมจุดรอยยิ้มขำเมื่อตอบว่า “ไม่...แพรไหม ผมไม่เคยจูบกับผู้หญิงคนไหนโดยหลับตามาก่อน” ตอบพลางมองเรียวปากอวบอิ่มตรงหน้า เขาชอบรอยหยักตรงขอบริมฝีปากล่างของเธอ มันดูเซ็กซี่เย้ายวน

ใช่...เธอมีริมฝีปากที่เซ็กซี่จริงๆ พระเจ้าช่วย...เขารักมันเลยล่ะ แต่อีกนั่นแหละยังมีเนื้อตัวส่วนไหนในตัวผู้หญิงคนนี้ที่เขาไม่ชอบบ้าง? ภาติยะพลันตอบตัวเองได้ทันทีว่าไม่มีเลย เขาชอบทุกส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเธอ ไม่ว่าจะเป็นดวงตาคมซึ้งสีนิลใต้คิ้วเรียวเป็นคันศร จมูกเล็กแต่โด่งรับกับเรียวปากอิ่มที่มีรอยผ่าเล็กๆ บนริมฝีปากล่าง และยังจะรูปร่างที่เย้ายวนกวนกิเลสเพศชาย...อกเป็นอก สะโพกเป็นสะโพก

แพรไหมเป็นสาวเอเชียที่เซ็กซี่เย้ายวนใจที่สุดแล้ว...

“ฉันไม่มั่นใจว่าจะชอบคำตอบนั้นมั้ย ทำไมเราไม่มาสร้างความแตกต่างจากผู้หญิงรายอื่นๆ ของคุณ ด้วยการที่คุณยอมแหวกกฎของตัวเองเป็นครั้งแรกล่ะ” ส่งเสียงประชดกลับไปอย่างอดไม่ได้ บอกตัวเองว่าไม่ได้เขม่นที่ได้ยินว่าเขามีประสบการณ์จูบกับผู้หญิงมาแล้วหลายคน แต่ไม่ชอบใจที่เขาไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเธอมากกว่า ใช่...เธอไม่ชอบเขาด้วยเหตุผลนั้นจริงๆ นะ

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าครั้งแรกน่าสนใจแค่ไหน คุณมีอะไรมาเสนอบ้างล่ะ” ภาติยะถามยิ้มๆ กดมือให้อยู่ข้างลำตัวเต็มที่ ทั้งที่อยากจะวางพักบนสะโพกยวนใจของอีกฝ่าย

“ไม่มีค่ะ” แพรไหมตอบปฏิเสธทันควัน

“ว้า...งั้นผมก็ต้องตอบปฏิเสธ” ภาติยะแสร้งทำเสียงผิดหวัง แต่แววตายิ้มพร่างพราย เขารู้สึกสนุกที่ได้ต่อปากต่อกรกับแพรไหม ไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นความรู้สึกครั้งแรกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน

“หลับตา” แพรไหมวกมาสู่ข้อเรียกร้องเก่า

“ไม่...” ภาติยะตอบเสียงนิ่มๆ ตาเบิ่งโตมากขึ้นราวจะแกล้ง จนเห็นม่านตาสีสนิมชัดเจน

แพรไหมอึ้ง จ้องไปในวังน้ำวนสีสนิมราวกับตกอยู่ในภวังค์ ก่อนถามราวกับคนละเมอว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่จบแค่จูบเดียว”

คนถูกถาม ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลประเล้าประโลมว่า “การตัดสินใจทุกอย่างเป็นของคุณ ผมจะให้เท่าที่คุณต้องการ รับรองไม่เกินไปกว่าที่คุณร้องขอ”

ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเสียงเพลงหวานๆ ที่กำลังดังเบาๆ อยู่ด้านหลังเขา ก็คงเป็นเพราะอารมณ์โรแมนติกที่เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนในพริบตาที่เขาได้ประสานสายตากับเธอ มันจึงทำให้เขาเผลอให้สัญญากับแพรไหมออกไปแบบนั้น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร...ขอให้ทั้งเพลงและทั้งอารมณ์โรแมนติกไปลงนรกซะ... เพราะมันขัดกับความรู้สึกของเขาในยามนี้เหลือเกิน...ความรู้สึกอยากจะตวัดเอวหญิงสาวอุ้มพาไปที่เตียงนอนและร่วมรักกับเธออย่างช้าๆ จวบจนรุ่งเช้า ก็เวลานี้เนื้อตัวเขาครัดเคร่งไปหมดแล้วด้วยความต้องการอีกฝ่าย...

แพรไหมไม่ตอบ แต่เลือกที่จะยืดตัวขึ้นไปเกาะบ่าเขา เธอทำทุกอย่างไปโดยอัตโนมัติ ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเอามากๆ กับการที่โน้มลำคอเขาลงมาต่ำในจังหวะเดียวกับที่สองมือหนาเลื่อนขึ้นมาโอบแผ่นหลังและสะโพกของเธอ ก่อนที่เธอจะประกบเรียวปากกับริมฝีปากสวยราวอิสตรีของภาติยะในลำดับต่อมา

หรือว่านี่คือเสน่ห์ของนักแสดงหนังพอร์นที่ชื่อว่า มานูเอล ผู้ที่สื่อต่างชาติต่างขนานนามว่า...นักรักตัวยง แพรไหมนึกถามตัวเอง แล้วภาพคลิปการแสดงหนังพอร์นของภาติยะก็พลันผุดขึ้นในความทรงจำของเธอซึ่งล้วนตอกย้ำว่าผู้ชายคนนี้เคยผ่านการมีเซ็กซ์มาอย่างโชกโชนกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา

คลิปเรียกสติของแพรไหมกลับคืนมา เธอรีบผละจากเขาอย่างรวดเร็ว...

“เกิดอะไรขึ้น” ภาติยะโพล่งขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ไม่อยากยอมรับเลยว่าเขากำลังเกิดความรู้สึก ค้าง เหมือนถูกกระชากตกสวรรค์ เป็นครั้งแรกที่ผู้กำกับหนุ่มถูกเพศตรงข้ามผละหนี ทั้งๆ ที่การเล้าโลมยังไม่ทันได้เริ่มต้นขึ้น

ก่อนหน้านี้แพรไหมโอบรอบลำคอเขา พลางยืดตัวขึ้นมาจูบและจังหวะที่เขากดริมฝีปากจูบตอบ เธอก็พลันถอยห่าง

“ฉันทำไม่ได้” แพรไหมขยับถอยหนีไปด้านหลัง เมื่อภาติยะเอื้อมมือมาจะคว้าเอว

“ทำไม” ภาติยะขมวดคิ้วถาม พลางหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ เขามองแพรไหมนิ่งๆ อย่างไม่เข้าใจนัก

นักข่าวสาวสารภาพตรงๆ ว่า “ก่อนฉันมาพบคุณ ฉันดูคลิปหนังพอร์นของคุณ แล้วฉันก็เอ่อ...”

“คุณก็อะไร...แพรไหม พูดให้จบซิ” พอร์นสตาร์หนุ่มรุกถามต่อ

“ฉัน เอ่อ...” แพรไหมหน้าแดง

“คุณเห็นการแสดงหนังโป๊ของผม?” ภาติยะช่วยต่อประโยคให้ พลางเลิกคิ้วถาม

แพรไหมพยักหน้า “ฉันทำไม่ได้เมื่อคิดว่าคุณผ่านผู้หญิงมาตั้งมากมาย การแสดงพวกนั้นมันสกปรกและเอ่อ...น่าขยะแขยงเกินไป”

สีหน้าภาติยะเปลี่ยนมาเป็นเย็นชาโดยพลัน เมื่อคิดว่าแพรไหมรังเกียจเขา ยามนั้นนักแสดงพอร์นสตาร์ไม่ทันฉุกใจคิดว่าเป็นเพราะแพรไหมยังเป็นสาวบริสุทธิ์ ถึงรับไม่ได้กับคลิปพวกนั้น ใจคิดแค่ว่าเธอรังเกียจบทบาทในหนังโป๊ของเขา

“กลับไปซะแพรไหม คืนนี้ผมอยากจะพักผ่อนแล้ว”

“แล้วข้อตกลงของเรา คุณยังจะฟ้องฉันมั้ย?” แพรไหมถามต่ออย่างขยาดๆ

“ผมรักษาคำพูดเสมอ ถึงจูบของคุณจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ถือว่าคุณได้จูบผมแล้ว กลับไปเถอะ...ผมขอโทษที่ส่งคุณได้แค่นี้”

ภาติยะเดินตัดผ่านโต๊ะรับประทานอาหาร ไปเปิดประตูรอหญิงสาว แพรไหมหน้าเสียเมื่อรู้สึกว่าถูกไล่ทางอ้อม

“ฉันขอแก้ตัวได้มั้ย ฉันรู้สึกว่าไม่แฟร์กับคุณ ในเมื่อคุณใจกว้างไม่ฟ้องฉัน แถมยังจะช่วยเกลี้ยกล่อมย่าคุณ และช่วยสืบหาคนร้ายให้กับฉันด้วย เพราะฉะนั้นฉันก็อยากรักษาคำพูดของตัวเองเหมือนกัน”

ภาติยะเลิกคิ้ว แพรไหมคงไม่รู้ว่าเขาไม่เคยให้โอกาสผู้หญิงคนไหนซ้ำสอง เขาไม่คิดว่าการมีอาชีพนักแสดงหนังพอร์นจะเป็นอุปสรรคต่อการหลับนอนกับผู้หญิงสักคนที่เขาถูกใจ ตราบจนมาเจอแพรไหม...เธอทำให้โลกของเขาสวิงกลับ ๓๖๐ องศา และเกิดความวุ่นวายไปหมด เพราะที่ผ่านมาเขายังไม่เคยถูกใครปฏิเสธ

“คุณจะรักษาคำพูดด้วยวิธีไหนแพรไหม ในเมื่อคุณรังเกียจผมอย่างนั้น” ภาติยะถามเสียงเย็นๆ กลับไป สัญญากับตัวเองเลยว่า...ถ้ามีครั้งที่สอง คราวนี้เขาจะกอดแพรไหมแน่นๆ ไม่ปล่อยให้มีช่องว่างจนอีกฝ่ายขยับหนีไปได้

แพรไหมกัดริมฝีปากอย่างชั่งใจ ก่อนตอบว่า “ขอลองใหม่อีกครั้งได้มั้ย”

“แล้วถ้าครั้งนี้ไม่สำเร็จ เพราะคุณบังเอิญเกิดความรังเกียจผมขึ้นมาดื้อๆ อีกล่ะ” ถามแกมประชด พลางปล่อยให้ประตูดีดกลับ ขณะที่ตัวเองเดินไปหาหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางห้องรับประทานอาหาร

แพรไหมกลืนน้ำลาย บอกตัวเองว่าเธอตัดสินใจถูกแล้ว เพราะไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาวและเหนือสิ่งอื่นใด เธอไม่ใช่คนตระบัดสัตย์ด้วย

“ไม่อีกแล้วค่ะ” นักข่าวสาวยืนยันหนักแน่น หากด้วยสีหน้าที่แห้งแล้ง

“สอง” ภาติยะประกาศขึ้น

แพรไหมขมวดคิ้ว “อะไรสอง?”

“ถ้าคุณบิดพลิ้วเป็นครั้งที่สอง คุณจะถูกปรับจูบเพิ่มขึ้น และครั้งนี้ผมสัญญาเลยว่าจะไม่ปล่อยคุณออกจากห้องนี้โดยที่ยังจูบคุณไม่สำเร็จ คุณเข้าใจกติการะหว่างเราดีหรือยัง?”

คนถูกคาดคั้น กลืนน้ำลายอีกเอื๊อก ก่อนตอบว่า “เข้าใจค่ะ”

อะไรผลักดันให้เธอเดินหน้าเล่นเกม ไฟ นี้กับเขา? เดาว่าเพราะคลิปพอร์นบ้าๆ นั่นทีเดียว... มันทำให้เธอนึกรังเกียจขยะแขยงเขา หากในคราวเดียวกันก็นึกอยาก...แพรไหมชะงักเมื่อรู้ตัวว่ากำลังไพล่ไปคิดอะไรกับเขา หน้าแดงก่ำโดยไม่รู้ตัวและไม่รู้เลยว่าภาติยะกำลังจับตามองอย่างสงสัย หากกระนั้นนักแสดงหนังพอร์น ก็ถามต่อไปว่า

“งั้นคุณจะเดินหน้าหรือเปล่า ผมให้โอกาสคุณตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เพราะครั้งนี้เมื่อตัดสินใจโจนลงมาแล้ว ผมจะไม่ให้โอกาสคุณเปลี่ยนใจอีก ผมพูดชัดหรือยัง?”

แพรไหมกลืนน้ำลายอีกครา ก่อนพยักหน้า “ชัดค่ะ”

“งั้นคำตอบของคุณคือ…?”

“เดินหน้าค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่นขึ้นอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว

“สองนะแพรไหม”

นักข่าวสาวพยักหน้า พวงแก้มแดงก่ำ “แต่ไม่ต้องห่วงคุณไม่มีโอกาสได้ปรับฉันหรอกค่ะ ฉันบอกแล้วฉันเป็นคนแฟร์ และไม่เคยเสียคำพูดด้วย”

“เรามาลองดูกันว่าจะเชื่อถือคำพูดคุณได้มากแค่ไหน หลับตา...คราวนี้ผมจะไม่รอจูบของคุณอีกแล้ว แต่คุณจะต้องเป็นฝ่ายรับจูบของผม”

“แต่...”

“ไม่มีแต่ ข้อตกลงเราคือ วัน คิส เพราะฉะนั้นใครจะจูบใครก่อน ก็ไม่สำคัญเท่ากับผลที่เกิดขึ้น”

แพรไหมอ้าปากค้าง หากทว่าไม่ทันได้ขยับปากค้าน ร่างสูงใหญ่ของภาติยะก็ก้าวยาวๆ ตรงมาหา เขาโอบแผ่นหลังเธอให้แนบชิดกับแผงอกเขา ก่อนที่ริมฝีปากนุ่มปานกำมะหยี่ จะตามมาบดขยี้อย่างเร่าร้อนราวกับจะลงทัณฑ์ก็ไม่ปาน...




จบตอน









Create Date : 13 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2553 3:28:33 น.
Counter : 1630 Pageviews.

15 comment
1  2  3  4  5  6  7  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments