Group Blog
เสกรักข้ามภพ...ตอน 6


เสียงตึงตังนอกห้องนอนทำให้ติณณภพงัวเงียตื่น เขาลุกจากเตียงในชุดเสื้อกล้ามกางเกงบ็อกเซอร์เดินออกไปดูด้วยความเคยชิน พลันที่เห็นเด็กสาวกำลังลูบๆ คลำๆ โทรทัศน์ ในขณะที่เมทัลกระโดดขึ้นลงบนรีโมท เขาก็หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง เพราะเพิ่งนึกได้ว่าไอริสกับกระรอกหน้าตาพิลึกของเธอยังคงอยู่ในรีสอร์ทหลังนี้ ความหวังที่จะให้ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ “ความฝัน” จริงๆ

“เธอทำอะไร ทำไมตื่นตั้งแต่เช้ามืดแบบนี้” ติณณภพถามด้วยน้ำเสียงสงสัย เพราะเพิ่งตี ๕ กว่าๆ เมื่อคืนกว่าเขาจะข่มตาหลับลงได้ ก็ปาไปเช้าวันใหม่ด้วยมีหลายเรื่องให้ขบคิดเหลือเกิน โดยเฉพาะเรื่องของแม่มดหลงยุคตรงหน้า

ไอริสเหลียวหลังไปมอง พลันที่เห็นติณณภพในชุดไม่เรียบร้อย เธอก็รีบยกมือปิดหน้าหันหลังกลับ “เจ้าจะแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนออกจากห้องไม่ได้หรือไง”

เห็นท่าทางขัดเขินของแม่มดสาว ติณณภพก็นึกขึ้นได้ เขารีบก้าวไปยืนหลบหลังโซฟา หวังช่วยปิดบังลำตัวส่วนล่าง “ก็ไม่คิดว่าเธอจะยังอยู่นี่ อีกอย่างฉันไม่ได้แต่งตัวโป๊อะไร ก็แค่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น”

“ก็นั่นแหละโป๊” แม่มดต่างภพย้ำ แล้วลดมือ ชี้นิ้วไปทางโทรทัศน์ “นี่อะไร ทำไมถึงมีคนเข้าไปอยู่ในนี้ได้ล่ะ แถมยังเคลื่อนไหวได้เหมือนจริงด้วย”

“เขาเรียกว่าโทรทัศน์ ภาษาปากเรียกว่าทีวี ในโลกที่เธอจากมาไม่มีเหรอ”

“ไม่มี...มันทำงานยังไงหรือ”

“รับภาพมาจากเครื่องส่งๆ จะส่งสัญญาณภาพและเสียงไปตามบ้านที่มีโทรทัศน์ซึ่งเป็นเครื่องรับ รายการที่ส่งมาก็มีหลากหลายทั้งละคร ข่าว ภาพยนตร์ โฆษณา สารคดี การ์ตูน แล้วแต่เราจะเลือกดูรายการไหน อย่างถ้าเป็นข่าว ก็จะเป็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง”

“งั้นก็เป็นเหมือนเครื่องแอบดูชาวบ้านน่ะสิ รู้หมดใครทำอะไร เราไปดูเรื่องของชาวบ้านแบบนั้น เขาไม่ว่าเอาเหรอ”

“มันก็คงเหมือนแม่มดใช้ลูกแก้วดูเรื่องของชาวบ้านมั้ง” ติณณภพแสร้งแหย่กลับ

“ใครบอกล่ะ ลูกแก้วของแม่มด เอาไว้ดูแต่เรื่องใหญ่ๆ ไม่ใช่เรื่องชาวบ้านหรอก เจ้าไปเอามาจากไหนว่าลูกแก้วแม่มดใช้แอบดูชาวบ้าน”

“ก็เห็นในหนัง ละคร นิทาน ว่าไว้แบบนั้นนี่”

“โลกของเจ้าทำให้แม่มดป่นปี้ เราไม่ใช้ลูกแก้ววิเศษพร่ำเพรื่อหรอก เข้าใจเสียใหม่นะ เอาล่ะ...ช่วยทำให้ข้าหายสงสัยทีสิว่าเจ้าจอสี่เหลี่ยมนี่ ทำงานยังไง”

ติณณภพทำท่าจะเดินไปหยิบรีโมทที่เมทัลเหยียบอยู่ พลันนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายกล่าวหาว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อย เขาก็หยุดกึก

“มันต้องใช้รีโมท เธอกดรีโมทที่เมทัลเหยียบอยู่สิ ตรงปุ่มสีแดงน่ะ ทีวีก็จะทำงาน”

“รีโมทคืออะไร” ไอริสถามต่อ แต่ก็ทำตามคำแนะนำของเขาเงียบๆ เธอหยิบแท่งสี่เหลี่ยมยาวๆ มากดปุ่มสีแดง พลันก็เกิดภาพบนหน้าจอ เธอลองไล่ปุ่มไปเรื่อยๆ พบว่าภาพบนหน้าจอเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วเธอก็หยุดตรงรายการทำอาหาร

“รีโมท คือ ตัวควบคุมคำสั่ง ทั้งเปิด ปิด เปลี่ยนช่องรายการ”

“สนุกจัง ที่บ้านข้าน่าจะมีบ้าง”

ติณณภพยิ้มกับน้ำเสียงตื่นเต้นราวกับเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ อากัปกิริยาของไอริส ทำให้เขานึกถึงลูกสาวอย่างช่วยไม่ได้ “เธอชอบทำครัวเหรอ ถึงชอบดูรายการอาหาร”

“ริสชอบกินมากกว่า ไม่ชอบทำหรอก” เมทัลชิงตอบแทน

ไอริสหันขวับไปทางเพื่อนร่วมภพ “เอ๊ะ...เจ้านี่ยังไงนะ เดี๋ยวก็เสกให้เป็นกระรอกย่างจริงๆ เสียหรอก”

เมทัลไต่ปรู๊ดไปบนตู้แขวน สะบัดหางไปมา ท่าทางกวนประสาทอย่างมาก ไอริสส่ายหน้า หันกลับมาตอบติณณภพ

“ข้าชอบดู ภาพในจอสนุกดี ว่าแต่พวกเขาพูดภาษาอะไรกัน”

“ภาษาไทย”

“ข้าอยากรู้จักภาษาไทย”

“เธอก็เสกเอาสิ” ติณณภพแกล้งแหย่

“ทำยังกับง่ายนักนี่ ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภาษาไทยคืออะไร เพราะฉะนั้นข้าเสกไม่ได้หรอก เจ้าสอนให้ข้าหน่อยสิ”

ติณณภพนิ่วหน้า “ไม่มีทาง ฉันไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น”

“ทำไมไม่มีเวลาล่ะ ก็ไม่เห็นเจ้าทำอะไร มีแต่กินกับนอน”

ติณณภพหน้าแดงก่ำ พยายามข่มอารมณ์ ตอบกลับไปว่า “ฉันหนีมาอยู่รีสอร์ทริมหาดก็เพื่อหาบรรยากาศปิดต้นฉบับ เดดไลน์มาจ่ออยู่ตรงหน้า เพราะฉะนั้นฉันไม่สามารถเจียดเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นได้หรอก”

“ปิดต้นฉบับคืออะไร”

ติณณภพกลอกตาขึ้นลง แต่ก็ยอมบอกตรงๆ “เร่งเขียนนิยายให้จบน่ะ”

“ว้าว...เจ้าป็นนักเล่านิทานหรือ เขียนเกี่ยวกับอะไร”

“ไม่ใช่นิทาน แต่เป็นนิยาย ฉันเขียนเรื่องข้ามเวลา”

“อะไรนะ...ข้ามภพ? เยี่ยมเลย งั้นข้าขออ่านหน่อย ดูว่าทำยังไง”

“ไม่ได้เด็ดขาด”

“ทำไมล่ะ”

“ไม่มีอะไร ก็แค่ไม่สะดวกใจที่จะให้อ่าน เอาล่ะ...ฉันขอตัวไปอาบน้ำ” แล้วติณณภพก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ เขาถามต่อว่า “เธอจะใช้ห้องน้ำก่อนไหม หรือว่าแม่มดไม่จำเป็นต้องอาบน้ำ?”

“ก็ไม่เชิง คือ แม่มดตนอื่นไม่ต้องอาบ แค่ใช้เวทมนตร์อาบก็เรียบร้อย แต่สำหรับข้ายังต้องอาบ”

ติณณภพเผลอยิ้มขำโดยไม่รู้ตัว “ทำไมล่ะ” แสร้งถามทั้งที่พอเดาคำตอบได้

“ก็แม่มดแสนซนตนนี้ ยังอ่อนหัดเรื่องเวทมนตร์อยู่ไง เจ้าก็เห็นอยู่ว่าริสเสกคาถาอะไรไม่เคยสมบูรณ์สักที”

“อีกแล้วนะเจ้ากระรอกตัวป่วน สงสัยเจ้าอยากถูกย่างจริงๆ เสียแล้ว เดี๋ยวก็ปล่อยให้มนุษย์ผู้นี้จับเจ้าถอนขนย่างจริงๆ เสียหรอก”

ติณณภพขมวดคิ้ว นึกฉงนเพราะพอไอริสพูดจบ กระรอกก็วิ่งหายเข้าไปในครัว

“เธอคุยอะไรกับกระรอกเหรอ” เขาถาม

ไอริสถ่ายทอดในสิ่งที่เธอกับกระรอกโต้ตอบกัน แล้วตบท้ายว่า “เจ้าเมทัลร้าย เป็นตัวป่วนขนานแท้”

คนฟังพยักหน้ารับรู้ “สมุนเธอชอบแหย่มากกว่า ดูก็รู้ว่ารักเธอมาก”

“รักอะไรล่ะ ไม่มีเพื่อนตัวไหนยอมคบน่ะสิ ถึงต้องมาสุงสิงกับข้า”

ติณณภพยิ้มขำกับน้ำเสียงกระเง้ากระงอดนั้น “แล้วตกลงเธอจะอาบน้ำก่อนไหม ถ้าอาบ ฉันจะได้ไปเตรียมผ้าขนหนู กับเสื้อผ้าให้”

“ขอบคุณ แต่เสื้อผ้าคงไม่ต้อง เพราะข้าคงสวมของเจ้าไม่ได้”

“งั้นเธอจะทำไง เสกเอาเหรอ”

“เป็นคำถามที่ดี คงต้องลอง”

“เอาแบบนี้ล่ะกัน ฉันจะเตรียมเสื้อผ้าชุดที่เธอน่าจะใส่ได้วางบนเตียงไว้ให้ ถ้าเธอเสกไม่ได้ ก็สวมเสื้อผ้าของฉันไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกินมื้อเช้าเสร็จจะพาไปหาซื้อ”

“ขอบคุณ ทำไมเจ้าถึงใจดีกับข้านักล่ะ”

คนถูกถามอึ้ง ติณณภพเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ เขาเลยได้แต่เสยผม แล้วเลี่ยงว่า “มโนธรรมมั้ง ฉันขอตัวนะ”

ไอริสรอจนได้ยินเสียงปิดประตูตามหลังแล้ว เธอจึงสนใจเครื่องรับสัญญาณตรงหน้า แล้วเสียงของเมทัลก็ดังขึ้นไม่ห่างจากตัวนัก

“ผู้ชายคนนั้นไม่เลวหมือนกัน”

“ฮื่อ...ดูท่าทางเป็นคนดี” ไอริสตอบรับอย่างไม่สนใจนัก สายตายังคงเพ่งพินิจโทรทัศน์เบื้องหน้าอย่างสนใจ แล้วเธอก็พูดว่า “ข้านึกอะไรออกล่ะ เราหาวิธีเอาเครื่องสอดแนมชาวบ้านเครื่องนี้กลับไปบ้านเราดีกว่า”

“เจ้าหมายถึงโลกแม่มดน่ะเหรอ”

“แหงสิ คิดดูนะถ้าเครื่องนี้ไปโผล่ที่บ้านเรา ต่อไปเราก็ไม่ต้องนั่งเรียนในห้อง แต่สามารถเรียนคาถาจากที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีเครื่องรับเครื่องส่งเท่านั้น”

“แล้ว แม่มดครู ที่ไหนจะยอมสอนผ่านเครื่องส่งเครื่องรับพวกนี้”

“นั่นก็ต้องไปโน้มน้าวกันอีกที ไม่แน่หรอกอาจมีแม่มดครูบางตนสนใจก็ได้ เพราะไม่ต้องเหนื่อยมาเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ในห้อง เนื่องจากแค่สอนผ่านเครื่องส่งเท่านั้น”

“อ้อ...ลูกศิษย์ขี้เกียจเขาคิดกันแบบนี้นี่เอง” เมทัลพยักหน้าหงึกหงัก

ไอริสหน้าคว่ำ “เลิกคุยกับเจ้าแล้ว ข้าไปอาบน้ำดีกว่า”



แม่มดสาวเคาะประตูอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบรับ ไอริสร้องเรียกเขาแต่หลังประตูยังคงมีแต่ความเงียบ เธอจึงกลับไปรอที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเดิม เมื่อติณณภพผลักประตูออกมาภายหลังแต่งตัวเสร็จในอีกหลายนาทีถัดมา จึงพบภาพไอริสหลับอุตุอยู่บนโซฟาในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนซึ่งไม่น่าสบายนัก เขาอุ้มร่างบอบบางราวกับวัตถุไร้น้ำหนักไปวางบนเตียง โดยมีเมทัลวิ่งตามไม่ห่างพร้อมส่งเสียงเรียกไอริสด้วยความห่วงใยเพื่อปลุกให้ตื่น แต่ติณณภพฟังไม่รู้เรื่อง เขาดึงผ้าห่มมาคลุมให้ถึงลำคอ ก่อนปรับอุณหภูมิเครื่องทำความเย็นให้ทำงานกำลังดี แล้วจึงออกไปสั่งอาหารเช้าสำหรับตัวเองและเด็กสาว ไอริสหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ มาสะดุ้งตื่นก็ตอนที่ได้ยินเมทัลทำเสียงตึงตัง

“เจ้าทำอะไรน่ะหนวกหูเสียจริง” ว่าพลางพลิกตัวอีกด้าน

“ก็ปลุกเจ้าแหละแม่มดขี้เซา”

ไอริสผุดลุกนั่งอย่างนึกขึ้นได้ “โอ...นึกออกแล้วข้ากำลังอยู่ในโลกมนุษย์นี่”

“ใช่บนเตียงของยักษ์ตนนั้นด้วย”

ไอริสลดสายตามองเนื้อตัวอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างยังเรียบร้อยเธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ “เขาพาข้ามาไว้บนเตียงนี่เหรอ”

“ใช่ ข้าพยายามร้องเรียกเจ้าแล้วแต่เจ้าขี้เซาเหลือเกิน โชคดีที่เขาไม่ทำอะไร แค่ห่มผ้าให้ ว่าไปแล้วเขาก็เป็นคนดีเหมือนกัน”

ไอริสบิดขี้เกียจแล้วลุกจากเตียง “เขาก็คงต้องดีแหละ ไม่งั้นก็ถูกข้าเสกเป็นกบแน่”

“ขี้โม้ชะมัด เจ้าจะอาบน้ำ ข้าไปรอข้างนอนดีกว่า” พูดจบก็วิ่งออกจากห้องอย่างรวดเร็ว

ไอริสเดินไปปิดประตู ก่อนสำรวจรอบห้อง เพราะตอนที่ถูกจับมัดมือไว้กับเตียง อารามตกใจจึงไม่ได้สำรวจอะไรมากนัก เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าริมเตียงมีเสื้อตัวใหญ่ซึ่งเวลานั้นเธอไม่รู้ว่า นั่นคือ เสื้อคลุมอาบน้ำ และเคียงข้างกันคือ เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นพร้อมกับวัสดุยาวๆ สีดำ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าคือเข็มขัด แม่มดสาวสลัดเดรสยาวออกจากตัวแล้วเดินเปลือยกายเข้าไปห้องน้ำ ตื่นตาตื่นใจกับสภาพของใช้ซึ่งเธอไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง ด้านหนึ่งเป็นบริเวณส่วนแห้งซึ่งมีอ่างล้างหน้าและอีกด้านล้อมรอบด้วยกระจกด้วยมีอ่างขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง เหนือขึ้นไปมีท่อสีเงิน เวลานั้นไอริสไม่รู้ว่านั่นคืออ่างจากุสซีและฝักบัว

แม่มดหลงยุคทดลองหมุนอุปกรณ์ทุกอย่างที่สามารถหมุนได้ ซึ่งปรากฏว่ามีน้ำร้อนๆ พุ่งออกมาจากอุปกรณ์คล้ายท่อเหนือศีรษะ และด้านล่างที่เป็นท่อสั้นๆ ก็มีน้ำไหลออกมาด้วย เธอลองดึงลองกดเข้าไป ปรากกฎว่าด้านล่างหยุดไหล ไหลเพียงด้านบน เริ่มรู้ว่ามันคือก๊อกน้ำ เพียงแต่รูปร่างหน้าตาและลักษณะการทำงานแตกต่างจากก๊อกน้ำในโลกของเธอ ไอริสไปยืนอยู่ใต้ท่อ รู้สึกผ่อนคลายจากสายน้ำร้อนๆ นั้น เมื่อลองหมุนอีกด้านก็กลายเป็นน้ำเย็น เธอรู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างจากเด็กที่ได้ของชิ้นใหม่ๆ

ไอริสฟอกตัวด้วยสบู่ก้อนและสระผมด้วยแชมพู ซึ่งสบู่และแชมพูไม่ค่อยต่างจากโลกของเธอนัก จึงพอคาดเดาได้ว่าอะไรเป็นอะไร จากนั้นออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูที่ติณณภพวางไว้ให้ข้างอ่าง ก่อนจะแต่งตัวด้วยชุดที่ติณณภพเตรียมไว้ให้



ติณณภพขนแม็กบุ๊คพร้อมเอกสารต่างๆ มาทำงานที่ระเบียงหน้าบ้าน เบื้องหน้าเป็นผืนทรายและผืนน้ำที่กว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา เขาจมกับงานตรงหน้า จวบกระทั่งมีสายเรียกเข้า

“พ่อติณพูดครับ” ติณณภพหยิบโทรศัพท์มากดรับ ก่อนทักทายลูกสาว

“มอร์นิ่งค่ะพ่อติณ นี่หนูเอมม่านะคะ” เอมม่าเลียนแบบคำพูดของเขากลับมา

“มอร์นิ่งลูก หนูกินข้าวเช้าหรือยัง คุณย่าทำอะไรให้กินบ้าง”

“คุณย่าสั่งให้แม่ครัวทำโจ๊กหมูสับให้เอมม่าค่ะ พ่อติณละคะทานข้าวหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วลูก วันนี้คุณปู่คุณย่ามีโปรแกรมพาลูกไปเที่ยวไหนบ้างไหม” ติณณภพถามต่อพลางมองถาดอาหารของตัวเองที่เพิ่งกินเสร็จไปหมาดๆ

“คุณย่าบอกว่าจะพาไปเที่ยวสวนสัตว์ค่ะ แล้วก็ไปดูโรงแรมที่สูงมั่กๆ ของคุณย่า” เจ้าตัวลากเสียงยาวตรงคำว่า”มั่กๆ” ให้ดูเหมือนว่าสูงมากจริงๆ

“หนูจะเบื่อหรือเปล่าถ้าต้องไปรอคุณย่าที่ทำงาน ให้พ่อพูดโทรศัพท์กับคุณย่าหน่อยมั้ย?”

“ไม่นะคะพ่อติณ คุณย่าบอกว่าไม่ได้ไปทำงาน แค่ไปประชุมเดียวเดี๋ยวค่ะ เสร็จแล้วจะพาหนูไปหาซื้อของเล่น”

“แกร่วอยู่ที่ทำงานของคุณย่า พ่อกลัวจะไม่สนุกน่ะสิ แล้วช่วงนั้นใครจะดูแลหนู”

“คุณปู่ไงคะ คุณปู่จะอยู่กับหนูตลอดเวลาค่ะ แล้วพ่อติณละคะไปเที่ยวทะเลคนเดียวเป็นไงบ้าง”

“ไม่สนุกเหมือนไปเที่ยวกับหนูหรอกลูก ที่นี่เงียบเมื่อไม่มีหนู...” ประโยคหลังสะดุดไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงแม่มดและกระรอกหน้าตาประหลาดๆ ของไอริส ติณณภพถอนหายใจแล้วตบท้ายว่า “ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีหนูไม่ต้องห่วง”

“บรรยากาศเงียบๆ แบบนั้น พ่อติณก็ทำงานเสร็จไวสิคะ เย้...พ่อติณจะได้มารับหนูกลับบ้านไวๆ”

ติณณภพคลี่ยิ้ม “ยังลูก... เรื่องที่พ่อเขียนไม่ได้จบง่ายๆ แบบนั้น”

“ว้า...อย่างนี้หนูต้องอยู่กับคุณย่าไปอีกหลายวันใช่ไหมคะ”

“ใช่ลูก หนูไม่ชอบอยู่กับคุณย่าเหรอ”

“ชอบค่ะ แต่อยากอยู่กับพ่อติณมากกว่า”

“แน่ะ...ปากหวาน”

แม่หนูน้อยส่งเสียงหัวเราะกลับมาแล้วว่า “พ่อติณขา คุณย่าเรียกแล้ว แค่นี้ก่อนนะคะ”

ติณณภพไม่ทันตอบ ลูกสาวตัวน้อยก็วางสายไปเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อเรือพ่วงส่ายหน้า แววตาอ่อนโยน ตอนนั้นเองที่เขาสะดุ้งเมื่อเสียงทางด้านหลังทักขึ้นว่า

“นั่นเรียกว่าอะไร”

ติณณภพชะงัก เขามองตามสายตาของไอริสแล้วชูโทรศัพท์มือถือ “มือถือนี่น่ะเหรอ?”

“ใช่...เขาเรียกว่าอะไรน่ะ”

“โทรศัพท์มือถือ”

“เรียกแปลกจัง”

“ก็ไม่ได้แปลก เรียกตามลักษณะการใช้งาน โทรศัพท์เป็นเครื่องมือสื่อสารประเภทหนึ่ง ด้วยเหตุที่ต้องใช้มือถืออยู่ตลอดของการใช้งาน เราจึงเรียกสั้นๆ ว่า มือถือ เราจะได้ยินคู่สนทนาไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลแค่ไหนถ้าหากว่าที่นั่นมีคลื่นสัญญาณไปถึง”

“แล้วจะถือไปทำไมน่ะ” ไอริสถามอย่างสงสัย

ติณณภพปรายตามองคนถามอย่างประเมินว่าอยากรู้จริงๆ หรือต้องการกวนกันแน่ ฝ่ายนั้นเห็นสายตาของเขาก็รีบพูดต่อ

"ก็จริงนี่นา ใช้การสื่อจิตไม่ง่ายกว่าเหรอ ส่งผ่านทางจิตน่ะ"

"ก็มนุษย์ไม่ใช่แม่มด ทุกคนไม่ได้มีเวทมนตร์หรือพลังจิตจะได้ส่งโทรจิตกันเป็นว่าเล่น"

ถึงตอนนี้เธอก็มานั่งข้างๆ ติณณภพ พลางหยิบอุปกรณ์ที่กำลังพูดถึงมาพลิกดูไปมา "หน้าตาก็คล้ายกล่องสี่เหลี่ยม แต่มีกระจกด้วย" ไอริสยกขึ้นมาส่องตรงหน้า "ทำไมไม่เห็นหน้าข้าล่ะ" วินาทีนั้นก็มีสายเรียกเข้า พร้อมกับมีภาพของผู้หญิงมาดดุปรากฏบนหน้าจอ “อุ้ย...มีคนโผล่ออกมาจากกระจกด้วย”

ติณณภพส่ายหน้า เขายื่นมือไปดึงโทรศัพท์จากมือบางด้วยกิริยานุ่มนวล “ฉันขอมือถือคืน มีสายเรียกเข้า” ติณณภพกดรับเมื่อเห็นปลายทางเป็นสายของแม่เขา

“ติณพูดครับ”

“พ่อติณขานี่เอมม่านะคะ หนูยืมมือถือของคุณย่ามาโทร.หาพ่อค่ะ”

“อ่อ...ครับ แล้วหนูมีอะไรหรือเปล่า”

“หนูจะบอกว่าคุณย่าฝากความคิดถึงมาด้วยค่ะ บอกว่าขอให้พ่อติณเขียนนิยายจบไวๆ ค่ะ”

“ขอบใจลูก แล้วนี่จะออกไปหรือยัง”

“หนูอยู่บนรถของคุณปู่แล้วค่ะ แค่นี้นะคะ”

ติณณภพส่ายหน้า เขาโต้ตอบลูกสาวไปอีกสองสามคำแล้ววางสาย ซึ่งแม่มดสาวก็ถามขึ้นทันที

“เจ้าพูดภาษาอะไร”

“ภาษาไทย”

“แล้วตอนนี้ลูกของเจ้าอยู่ที่ไหน”

“อยู่ที่กรุงเทพฯ กับคุณย่า ฉันหมายถึงแม่ของฉัน ภาษาไทยเราเรียกแม่ของพ่อว่าย่า”

“แล้วแม่ของลูกเจ้าล่ะ”

“เสียชีวิตแล้ว” ติณณภพตอบสั้นๆ

“งั้นเจ้าก็เป็นพ่อม่ายลูกติดสิ ข้าเสียใจด้วย ว่าแต่กรุงเทพฯ อยู่ที่ไหน”

“กรุงเทพฯ อยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก เป็นอีกจังหวัดหนึ่ง เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย”

“แล้วทำไมพวกเจ้าไม่อยู่ด้วยกัน”

“ปกติอยู่ด้วยกัน แต่บังเอิญช่วงนี้ฉันต้องเร่งเขียนงานให้จบ ก็เลยพาลูกไปฝากไว้บ้านแม่ของฉัน”

ไอริสพยักหน้ารับรู้ “ถ้าแบบนั้นข้าก็สามารถติดต่อกับครอบครัวของข้าที่โลกของแม่มดด้วยอุปกรณ์ชิ้นนี้สิ”

“ไม่ได้หรอก อุปกรณ์ประเภทประเภทนี้ไม่สามารถข้ามผ่านมิติ หรือติดต่อสิ่งที่อยู่ต่างภพหรือต่างโลกได้ มันไม่ใช่อุปกรณ์ประเภทไทม์แมชชีนถึงจะทะลุอีกมิติได้”

“โลกของเจ้าเจริญก้าวหน้าดีแท้ แล้วไทม์แมชชีนคืออะไร”

“ไทม์แมชชีน คือเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำให้เธอย้อนเวลาไปหาอดีตหรือไปในโลกแห่งอนาคต ซึ่งมันมีแต่เรื่องเล่า ไม่มีอยู่จริง”

“แม่มดไปไหนๆ ได้โดยไม่ต้องใช้ไทม์แมชชีน เราใช้แค่เวทมนตร์คาถา แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้มือถืออะไรอย่างที่เจ้าว่า แค่ใช้โทรจิต แล้วถ้าไทม์แมชชีนไม่มีอยู่จริง ทำไมมนุษย์ถึงได้แต่งเรื่องหลอกกันเอง”

“ไม่ได้หลอก แต่เป็นเรื่องเล่าที่พิสูจน์ได้ยากว่ามีจริง เหมือนเรื่องของเธอ ถ้าใครไม่ได้เจอกับตัว ไม่มีทางรู้หรอกว่าแม่มดมีอยู่จริง”

“งั้นก็เหมือนโลกมนุษย์ ก่อนนี้ข้าคิดแค่ว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในตำนาน ไม่มีอยู่จริง ตอนนี้ข้าเชื่อสนิทใจแล้วว่าโลกมนุษย์มีอยู่จริง” ไอริสเพิ่งรู้ว่าภาพเหตุการณ์ที่เห็นในนิมิตซึ่งแวบมาให้เห็นเป็นครั้งคราวนั้น ที่แท้ก็คือโลกมนุษย์นั่นเอง

“ก็อาจจะใช่”

“แล้วเช้านี้แหวนเป็นไงบ้าง”

ติณณภพเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็เปลี่ยนเรื่องพูด เขายกนิ้วขึ้นมาพินิจ “ก็เหมือนเดิม ติดข้อนิ้ว”

“แปลกดีแท้”

“ถ้าไม่มีแหวน เธอกลับโลกของเธอไม่ได้หรือ”

ไอริสส่ายหน้าจนผมสยาย “ไม่ได้หรอก เพราะข้าไม่รู้คาถา ถึงรู้ก็ยังกลับไม่ได้อยู่ดี เพราะกลับไปก็คงเจอแต่เรื่องร้ายๆ แล้วคาดเดาไม่ได้ด้วยว่าเรื่องจะเลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่แค่ไหน ข้าไม่น่าฝึกคาถาเคลื่อนย้ายสิ่งของเลย ดู...นอกจากข้าจะทำแหวนประจำตัวหายแล้ว แหวนยังดูดข้ามาในภพที่ไม่คุ้นเคยอีก” ประโยคท้ายบ่นกระปอดกระแปด

“ฉันเสียใจด้วย” ติณณภพพูดเสียงนุ่ม แล้วภาพแม่เฒ่าในร้านขายตุ๊กตาโบราณแห่งนั้น ก็ปรากฏในความทรงจำ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ตอนนั้นแม่เฒ่าพูดแปลกๆ ทำนองว่าถ้าเขาสนใจก็เป็นของเขา ติณณภพชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องแม่เฒ่าให้ไอริสฟังดีหรือไม่ แต่ที่สุดก็ตัดสินใจปิดปากเงียบ จากนั้นต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง ติณณภพลอบสังเกตไอริสเงียบๆ เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าฝ่ายนั้นอยู่ในชุดเสื้อผ้าของเขา เสื้อยืดตัวโคร่งข่มให้เธอดูเล็กกระจ้อยร่อย หากทว่าเนินอกกลับดันเนื้อผ้าออกมาจนเห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนซึ่งบ่งบอกว่าภายใต้เสื้อยืดไม่ได้ “เล็ก” อย่างที่คิด ดูแวบเดียวก็มองออกว่าเธอสาวสะพรั่งไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไป

ติณณภพพินิจใบหน้าสวยเก๋ของแม่มดสาวเงียบๆ แม้จะเจอเหตุการณ์ร้ายๆ มาตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา แต่เธอก็ยังคงสวยสดใส ดูไร้เดียงสาไม่ต่างจากพระแม่มารีย์ ติณณภพนึกแล้วลดสายตามองผิวพรรณของแม่มดสาว ซึ่งขาวผุดผาดและเนียนใสเป็นธรรมชาติ ไร้ซึ่งการปรุงแต่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางหรือจริตมารยา

ใช่...ดูเผินๆ เธอก็เหมือนมนุษย์เราดีๆ นี่เอง เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป ยากจะแยกแยะออกว่าเธอคือแม่มด แล้วคุณพ่อเรือพ่วงก็พูดว่า

“เสื้อผ้าของฉันเธอใส่ได้ไหม” ถามทั้งที่เห็นคำตอบว่าเสื้อผ้าของเขาโคร่งจนดูรุ่มร่าม เขาเดาว่าเธอคงเสกเสื้อผ้าไม่ได้ถึงยอมสวมเสื้อผ้าของเขา

“ไม่พอดีตัว แต่ก็โอเค ดีกว่าสวมเสื้อผ้าชุดเก่า เพราะข้าเสกเรียกเสื้อผ้ามาไม่ได้” ประโยคท้ายพูดแล้วพ่นลมหายใจยาวเหยียด “ว่าแต่เสื้อยาวๆ ที่วางอยู่บนเตียงนั่น เจ้าจะให้ข้าสวมด้วยเหรอ ข้าว่ามันใหญ่เทอะทะ”

ติณณภพหัวเราะ “มันเป็นเสื้อคลุม ใช้ใส่ก่อนเข้าห้องน้ำหรือไม่ก็หลังอาบน้ำเสร็จ”

“ก็มีผ้าขนหนูอยู่แล้ว”

“บางคนก็สวมทับอีกชั้นด้วยเสื้อคลุม แต่เสื้อคลุมตัวนั้นใหญ่โคร่งเกินไปสำหรับเธอ เดี๋ยวกินมื้อเช้าเสร็จ ฉันจะพาไปหาซื้อใหม่”

“เจ้าใจดีมาก”

“เรื่องเล็กน้อย ฉันแน่ใจว่าถ้าฉันหลงไปในโลกของเธอ เธอก็คงช่วยเหลือฉันในแบบเดียวกันนี้ใช่มั้ย?”

“ไม่หรอก” ไอริสปฏิเสธทันควัน “เพราะโลกของแม่มดใช่ว่าใครๆ จะทะลุเข้าไปง่ายๆ เรามีเวทมนตร์ป้องกันหลายชั้น ทำให้มองไม่เห็นง่ายๆ ครั้งหนึ่งข้าเคยคิดจะพาสัตว์ในเทพนิยายออกมาจากตำราเวทมนตร์ แต่เอาออกมาไม่ได้เล้ย”

“เธอนี่ดูๆ ไปท่าทางจะซนเอาการนะ” ติณณภพตั้งข้อสังเกต

“ทำไมล่ะ”

“ก็ดูท่าชอบเที่ยวชอบเล่นไปทั่ว”

“ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย ข้าแค่ชอบท่องป่าเขาลำเนาไพร ชอบไปในโลกกว้างที่ไม่รู้จัก ยกเว้นโลกมนุษย์ที่ข้าไม่เคยแม้แต่จะคิดอยากกล้ำกลาย แต่กลับต้องมา”

“ทำไมล่ะ”

“ก็ในตำราแม่มดบอกว่ามนุษย์โหดร้ายยิ่งกว่าสัตว์ตนใด”

ติณณภพนิ่วหน้า “ไม่จริงเสมอไปหรอกนะ มนุษย์ก็เหมือนแม่มดนั่นแหละ มีทั้งดีและไม่ดีปะปนกันไป ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์และเลวร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก”

“ก็คงจริง ขนาดเจ้า...ถึงจะโหดร้ายจับข้ากับเมทัลขัง แต่เจ้าก็ยังมีคุณธรรม ให้ที่พักพิงกับเรา”

“ที่จับเจ้ากับเมทัลขัง ก็เพราะยังไม่รู้จักดีพอ ยังไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน เลยต้องปลอดภัยไว้ก่อน”

“ผู้ชายสองคนที่เจ้าเรียกมาเป็นใครกัน”

“เป็นตำรวจ คนที่ทำหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนน่ะ เรามักพูดกันว่าตำรวจ คือคนที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน”

“โลกของข้าไม่มีตำรวจ เพราะแม่มดทุกตนสามารถดูแลตัวเองได้”

“ดีแล้ว ทุ่นรายจ่ายไปได้เยอะ ว่าแต่แม่มดหิวหรือยัง กินอะไรไหมฉันโทร.สั่งอาหารเช้าให้กับเธอและเมทัลด้วย”

“โทร.สั่ง? แปลว่าอะไร”

“หมายถึงสั่งให้พนักงานรีสอร์ททำอาหารมาให้ ถามต่อล่ะสิรีสอร์ท คืออะไร?” เมื่อเห็นไอริสพยักหน้า เขาก็ตอบต่อว่า “รีสอร์ท คือที่พัก บ้านที่เรากำลังพักอยู่นี่เรียกว่ารีสอร์ท ความจริงจะเข้าครัวทำอาหารเองก็ได้เพราะรีสอร์ทของแม่ฉันมีครัวให้ด้วย แต่ฉันไม่อยากเสียเวลาหรือยุ่งยาก ก็เลยโทร.สั่งแทน ว่าไงหิวหรือยัง?”

“นิดหน่อย”

“งั้นก็กินอาหารเช้าของเธอ นี่ของเธอและนี่ของเมทัล” ติณณภพพูดแล้วเลื่อนถาดอาหารที่มีฝาแก้วครอบมิดชิดไปตรงหน้าไอริส และเลื่อนถาดผลไม้อีกถาดไปตรงหน้าเมทัลซึ่งขณะนี้กระโดดลงมายืนบนโต๊ะราวกับรอคอยอยู่แล้ว

“นี่คืออะไร” แม่มดสาวยกฝาครอบออกพลางถาม

“ข้าวต้มหมูสับ ส่วนของเมทัล ฉันสั่งแครอท แอปเปิ้ล แล้วก็ถั่วฝักยาวมาให้”

“แล้วเจ้ากินแล้วหรือ”

“ฉันเรียบร้อยแล้ว ขอโทษที่ไม่ได้รอ”

ไอริสไม่ทันตอบเมื่อขณะนี้เมทัลคว้าแครอทหมับ มันแทะกินอย่างเอร็ดอร่อยพลางพูดชมไม่ขาดปากว่า “อร่อยจริงๆ”

“เจ้ากระรอกตะกละ ค่อยๆ กินสิ ดูสิเจ้าทำให้ข้ากับมนุษย์เลอะเทอะหมดแล้ว” ไอริสปรามเมื่อเมทัลกัดสะบัดจนเศษแครอทกระเด็นมาโดนเธอและติณณภพ ซึ่งฝ่ายหลังทำแค่สะบัดชายเสื้อ กระรอกจากโลกแม่มดไม่สนใจคำเตือนของไอริส ยังคงกินอย่างเอร็ดอร่อย แม่มดสาวละสายตามามองติณณภพแล้วว่า

“ขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะเจ้ามนุษย์”

ติณณภพนิ่วหน้า “ไม่เป็นไร แต่เธอเรียกฉันว่าติณสั้นๆ ก็ได้ เรียก “มนุษย์” ฟังแปลกๆ หูยังไงไม่รู้”

“ตกลง...ติณ แล้วนั่นอะไร” ไอริสชี้ไปทางทะเลเบื้องหน้าซึ่งเหมือนกับภาพในนิมิต

“ทะเล”

“แล้วทะเล คืออะไร”

“ทะเล ก็คือ ห้วงน้ำเค็มที่กว้างใหญ่”

“ข้าเคยเห็นในนิมิต เพิ่งรู้ว่าคือทะเลนี่เอง” ไอริสพึมพำ หากแววตาเป็นประกายระยับราวกับกำลังมีเรื่องสนุกๆ มาให้ผจญภัยอีกแล้ว

ติณณภพทำเสียงรับรู้ในลำคอ พินิจแม่มดสาวซึ่งขณะนี้จ้องไปทางทะเลเวิ้งว้างเบื้องหน้าด้วยแววตาครุ่นคิด เขานึกอยากรู้ทะเลในนิมิตที่เด็กสาวพูดถึงเป็นอย่างไร และเธอเคยเห็นภาพนิมิตอะไรที่เกี่ยวกับโลกของเขาอีกบ้าง? บางทีเขาอาจเจอวัตถุดิบสำหรับนิยายเรื่องต่อไปเข้าให้แล้ว…









Create Date : 23 มิถุนายน 2556
Last Update : 23 มิถุนายน 2556 19:24:28 น.
Counter : 1471 Pageviews.

4 comment
เสกรักข้ามภพ...ตอน 5


“คาถาเจ้าทำเรื่องอีกแล้ว เจ้าทำให้ผู้ชายคนนั้นสลบ” เมทัลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกล่าวหา พลางวิ่งวนรอบๆ ตัวติณณภพซึ่งกำลังนอนแผ่หราอยู่บนพรมกลางห้อง ตอนที่เขาล้ม ไอริสกระโดดมาช่วยรับร่างเขาช่วยไม่ให้ศีรษะกระแทกพื้น

“เขาเรียกว่าเป็นลม ไม่ใช่สลบ แล้วข้าไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” ไอริสแก้ตัวเสียงอ่อยๆ ด้วยว่าเธอตั้งใจเสกให้ตัวเองหายไปทั้งตัว แต่กลับผิดพลาดหายไปแค่ลำตัว เหลือส่วนหัว “ข้าว่าข้าท่องคาถาถูกแล้วนะ ใครจะไปรู้ว่าเขาขวัญอ่อนแบบนี้ เดี๋ยวค่อยทำให้ฟื้น ตอนนี้ขอเอาแหวนคืนก่อน” ไอริสทรุดนั่งข้างเขา พยายามถอดแหวนแต่ถอดไม่ออก แม่มดต่างภพบ่น “บ้าชะมัด...แหวนติดนิ้วเขา”

“ใช้คาถาสิ”

แม่มดฝึกหัดเหล่ตามองตัวแนะนำ ฝ่ายนั้นพยักพเยิดให้กำลังใจอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก ไอริสร่ายเวทมนตร์ แต่สรรพสิ่งรอบข้างยังคงสงบนิ่ง “แปลกจริงทำไมข้าใช้เวทมนตร์ไม่ได้” ไอริสลองใหม่ และไม่ได้ผลเหมือนเดิม เธอหันกลับมาใช้วิธีการดั้งเดิมอีกครั้ง นั่นคือ ถอด แต่คราวนี้แค่เพียงยื่นมือไปแตะแหวน คนที่กำลังหมดสติก็ส่งเสียงเข้ม พร้อมผุดลุกนั่ง

“เธอจะทำอะไร!”

ไอริสผงะเมื่อติณณภพรวบมือทั้งสองข้างของเธอด้วยมือข้างหนึ่งของเขา

“ปล่อยนะ มาจับมือข้าไว้ทำไม”

“ก็เธอกำลังจะปลดทรัพย์ฉัน”

“ไม่ใช่สักหน่อย...ปลดทรัพย์อะไร นี่มันแหวนของข้า”

“ของเธอ?! เห็นอยู่ว่าเธอกำลังจะถอดจากนิ้วฉัน”

“ก็ของของข้า เดี๋ยวเสกให้เป็นกบซะหรอก”

ติณณภพปล่อยมืออัตโนมัติราวกับกำลังจับของร้อนๆ ไม่ได้กลัว เพียงแต่ปลอดภัยไว้ก่อน เขาถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก “เธอเป็นแม่มดจริงๆ หรือ”

“จะต้องเสกให้ดูอีกรอบไหม คราวนี้เสกให้เจ้าหายไปดีกว่า” ขู่ทั้งที่ไม่แน่ใจหรอกว่าจะทำสำเร็จหรือไม่

“เฮ้ย...อย่านะ” ติณณภพร้องเสียงหลง พลางลุกยืน เขาทบทวนความทรงจำว่าทำไมถึงลงไปนอนที่พื้น เมื่อจำได้ก็เบิกตากว้าง ไม่แน่ใจว่ากำลังฝันไปหรือเปล่า เขาหยิกแขนตัวเอง แต่ภาพเด็กสาวพร้อมกระรอกหน้าตาประหลาดก็ยังคงอยู่ตรงหน้า เด็กสาวลุกยืนตามเขา พลางแบมือมาตรงหน้า

“ขอแหวนข้าคืน”

ติณณภพไม่ตอบสนองสิ่งที่เด็กสาวเรียกร้องในทันที ความอยากรู้อยู่เหนือความกลัว จึงตั้งคำถามว่า “ตกลงเธอเป็นผีหรือแม่มดกันแน่ ถ้าเป็นแม่มดจริงๆ เธอมาที่นี่ได้ยังไง แล้วบ้านอยู่ที่ไหน”

“ชิ...อย่าดูถูกกันนะ ข้าเป็นแม่มดแสนสวยเจ้าเสน่ห์ ไม่ใช่ภูตผีปีศาจน่าเกลียดน่ากลัว เจ้ามาว่าข้าเป็นผีได้ไง” ถลึงมองตาขุ่นตาเขียว น้ำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ “แล้วบ้านข้าอยู่ไกลโพ้นโน่นแน่ะ ชั่วโมงก่อนนู้น ข้าทำแหวนหาย พยายามเรียกมันกลับคืน แต่กลายเป็นว่าตัวเองต้องมาโผล่ที่นี่แทน ว่าแต่ที่นี่ที่ไหน?” ถามเสียงแทบสะบัดเพราะยังเคืองที่มีคนตาไม่ดีหาว่าเป็นภูตผี

“โลกมนุษย์”

“อะไรนะ?”

“เธอได้ยินแล้ว...โลกมนุษย์ ไม่เคยได้ยินหรือไง” ถามประชดไปแบบนั้นเอง

“ก็เคยได้ยินอยู่หรอกนะจากตำรา แต่ไม่คิดว่าจะมีจริง” ไอริสไม่รู้สึกรู้สมกับคำแขวะนั้น เธอตอบกลับไปอย่างตื่นเต้น ก่อนวกกลับมาถามว่า ”ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร?”

“ติณณภพ”

“ทำไมออกเสียงยากจัง?”

“เป็นชื่อภาษาไทย”

“แปลว่าอะไร” ถามต่อเป็นเจ้าหนูจำไม

“คนข้ามภพ”

ไอริสทำหน้าตื่นเต้น “งั้นเจ้าก็ข้ามภพได้น่ะสิ”

ติณณภพส่ายหน้า ทำหน้าชนิดหนึ่งที่ไอริสแปลได้ว่า ‘ถามโง่ๆ’ ก่อนตอบ “เปล่า... ฉันไม่ได้ข้ามมิติได้เหมือนเธอ”

“งั้นเราน่าจะสลับชื่อกัน”

“ติณณภพเป็นชื่อผู้ชาย” ติณณภพตอบหน้าตาย

“อ๋อ...” แม่มดสาวลากเสียงยาว “แล้วประเทศไทยอยู่ที่ไหน”

“บอกไปเธอจะรู้เหรอ ในเมื่อโลกมนุษย์ เธอก็ไม่รู้จัก”

“ไม่ได้บอกว่าไม่รู้จักสักหน่อย แค่บอกว่าเคยได้ยินจากตำรา”

“เคยอ่านจากตำรา แล้วนึกไม่ออกอีกเหรอ”

ไอริสส่ายศีรษะ หน้าตาบ๊องแบ๊วพอๆ กับเอมม่า ติณณภพส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ “ว่างๆ ฉันจะบอกจุดพิกัดประเทศให้ แล้วเธอล่ะชื่ออะไร”

“ไอริส...”

ดอกไอริส ที่เจอที่บ้านอย่างไม่คาดฝันเมื่อวันก่อนแวบเข้ามาในความคิดของติณณภพ น่าแปลกสองสามวันมานี้ ชีวิตของเขาพัวพันแต่กับ ไอริส

“ทำไมถึงชื่อไอริส” ติณณภพย้อนถามกลับ

“แม่คลอดตอนที่ดอกไอริสกำลังบานสะพรั่งหลังบ้าน ว่าแต่เจ้าได้แหวนมายังไง” วกกลับมาสู่เรื่องที่ตัวเองสนใจ

“ได้มาเมื่อวานจากร้านขายตุ๊กตาโบราณ หน้าตาแปลกประหลาดดี ก็เลยลองเอามาสวม แล้วมันก็ติดนิ้วถอดไม่ออกอีกเลย ถึงจะลองใช้สบู่ช่วยก็ไม่ออก แปลกมาก”

“เจ้าลองถอดตอนนี้ได้มั้ย”

ติณณภพถอดตามคำขอของเด็กสาว แต่ถอดไม่ออกเหมือนเดิม

“ขอข้าดูหน่อย” ไอริสแบมือไปตรงหน้า ฝ่ายถูกขอทำหน้าลังเลเสี้ยววินาที ก่อนวางมือหนาลงบนมือบาง ผิวเด็กสาวอ่อนนุ่มราวผิวทารก ติณณภพได้กลิ่นหอมแปลกๆ จากกายเธอ

“แหวนเหมือนลดไซซ์ลงเรื่อยๆ จนถอดไม่ออก” ติณณภพอธิบายเมื่อเด็กสาวพยายามถอด แต่แหวนติดข้อนิ้ว

“แปลกมาก ข้าเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ แล้วจะทำยังไงดี ข้าต้องการแหวนคืน” บ่นพึมพำอย่างทุกข์ร้อน

คุณพ่อเรือพ่วงสบตาหวานซึ้ง วินาทีนั้นราวกับว่าเขาถูกดึงให้จมดิ่งไปในเมรัยสีอำพันโดยไม่รู้ตัว “สีตาเธอแปลกมาก” ติณณภพเผลอรำพัน

“แปลกยังไง”

“เหมือนวิสกี้”

ไอริสไหวไหล่ ยังคงจดจ่อกับงาน ไม่รู้เลยว่าถูกลอบพินิจ “วิสกี้เป็นไง”

“วิสกี้เป็นเหล้าชนิดหนึ่งสีเหมือนอำพัน”

“สีตาเจ้าก็แปลก ไม่เป็นสีอำพัน”

ติณณภพเผลอยิ้มมุมปาก ไม่แน่ใจว่าถูกเด็กสาวแหย่เข้าให้หรือไม่ ทำนองว่าไม่เหมือนเธอ ก็แปลกเหมือนกัน “เธออายุกี่ปี” เขาถามไปอีกเรื่อง

“๖๐”

“อะไรนะ!” ติณณภพตวัดถามเสียงสูง รู้สึกมนตร์ขลังคลายในบัดดล

“เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก ๖๐ ปี แล้วเจ้าล่ะ”

“๓๐ แต่เธอดูเด็กมากยังกับ ๑๕-๑๖ หลอกฉันหรือเปล่า ๖๐ น่ะ”

“เปล่า ข้าลืมตาดูโลกนี้มา ๖๐ ปีแล้ว” เธอหมายถึงโลกแห่งแม่มด “ว่าแต่เจ้าอายุ ๓๐ เองเหรอ ทำไมดูแก่จัง” ขมวดคิ้วอย่างสงสัย เพราะเมื่อเทียบกับตัวเธอที่อายุ ๖๐ อีกฝ่ายดูน่าจะอายุมากกว่าเธอเป็นเท่าตัว

ติณณภพทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “น้อยๆ หน่อย เธอเองแหละหน้าเด็กยังกับหนูเอมม่า โกงอายุหรือเปล่า”

ไอริสเงยหน้ามองเขา “ใครคือหนูเอมม่า?”

“ลูกสาวของฉันเอง”

“อายุเท่าไหร่แล้ว”

“๕ ขวบกว่าๆ”

“โห...เจ้ามีลูกไวมาก”

ติณณภพชะงัก ก่อนตอบว่า “ก็ไม่ไวหรอก มีไม่น้อยที่มีลูกเร็วกว่าฉันเยอะ แล้วเธอล่ะแม่มดส่วนใหญ่แต่งงานมีครอบครัวเมื่อไหร่”

“ส่วนใหญ่ก็ ๘๐-๙๐ ปีขึ้นไป”

“งั้นแสดงว่าเธอยังเด็กมากสำหรับโลกของเธอ”

“แม่นแล้ว แค่เห็นหน้าข้า เจ้าก็น่าจะรู้”

ติณณภพแยกเขี้ยวแทนคำตอบ

ไอริสยิ้มหน้าเป็นเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ แล้วเธอก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เอาล่ะ...ดูเหมือนแหวนจะถอดไม่ออกจริงๆ คราวนี้เราจะทำยังไงกันดี”

เมทัลซึ่งสังเกตการณ์มาระยะหนึ่งเสนอแนะขึ้น “ตัดนิ้วเขาเลย”

“เจ้าก็ดุเหมือนกันนะ” ไอริสตอบ

“ใครดุ? ฉันยังไม่พูดอะไร”

“ข้าหมายถึงเมทัลน่ะ กระรอกแนะนำให้ตัดนิ้วเจ้า เพื่อจะได้ถอดแหวนออกได้”

ติณณภพสะดุ้งโหยง รีบเก็บมือซุกในกระเป๋ากางเกง “เพื่อนหน้าตาพิลึกของเธอพูดไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย”

ไอริสหัวเราะ ขณะที่เมทัลทำเสียงคล้ายกับตอบอะไรบางอย่างกลับมา แต่เขาฟังไม่ออก

“เพื่อนประหลาดของเธอพูดอะไรน่ะ”

“มันพูดว่า ถ้าเจ้าพูดคำว่า “พิลึก” อีกครั้งเดียว มันจะกัดนิ้วเจ้า” ดูท่าว่าเวทสื่อสารของเธอคราวนี้จะทำให้เมทัลฟังคำพูดของคนแปลกหน้ารู้เรื่องด้วย

ติณณภพแยกเขี้ยว ทำหน้าบึ้ง ไม่รู้ว่าจนถึงตอนนี้ใครจะเพี้ยนมากกว่ากัน ระหว่างกระรอกพูดได้ กับเขาที่ฟังภาษาของแม่มดรู้เรื่อง เขาได้แต่หวังว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงแค่ความฝัน และเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า จะพบว่าเป็นแค่ความฝันตื่นหนึ่ง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ทุกอย่างล้วนเกิดจากเขาหมกมุ่นกับการเขียนนิยายแนวเหนือธรรมชาติมากเกินไปจนเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ...

“สัตว์เลี้ยงของเธอประหลาดมาก พูดได้ด้วย” ติณณภพพูดขึ้นหลังตั้งสติได้

“เมทัลบอกว่าเจ้าก็ประหลาด ตัวโตยังกับยักษ์” เสียงไอริสเป็นล่ามถ่ายทอดข้อความมาให้

“แล้วเคยเห็นยักษ์จับกระรอกถอนขนย่างกินบ้างไหมล่ะ บาร์บีคิวเนื้อกระรอกอาจอร่อย” เขาพูดลอยๆ โต้กลับ

เมทัลกระโดดลงจากตัวไอริส วิ่งขึ้นไปอยู่บนตู้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ภาพนั้นทำให้ไอริสหัวเราะขำ เมทัลโอดครวญว่า “ยักษ์ตนนี้จะทำความลำบากมาสู่เรา ไอริสรีบจัดการเร็วๆ”

ไอริสหัวเราะขำมากขึ้น “อย่าถือสาเมทัลเลยนะ ชอบขี้ตื่นแบบนี้แหละ”

“ข้าไม่ได้ขี้ตื่น แต่ข้ามีลางสังหรณ์ เจ้าตัวโตจะทำความยุ่งยากให้กับเรา”

“แหม เจ้ากลัวจะถูกจับย่างกินน่ะสิ”

“ชิชะ แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน” เมทัลสะบัดหน้าใส่

ภาพนั้นทำให้แม่มดฝึกหัดหัวเราะ ขณะที่ติณณภพถามว่า “เธอคุยอะไรกับกระรอก”

“เมทัลบอกว่าเจ้าจะนำความเดือดร้อนมาสู่ข้ากับเมทัล”

“ฉันว่าคนที่จะเดือดร้อนคือฉันมากกว่า เพราะนับตั้งแต่เจอเธอกับเพื่อนหน้าตาประหลาดของเธอ ฉันมีแต่เรื่องเดือดร้อนวุ่นวาย”

ไอริสทำหน้าบึ้ง “เจ้าเดือดร้อนคนเดียวที่ไหนกัน ข้าก็เดือดร้อนด้วย”

คุณพ่อลูกติดไม่อยากต่อล้อต่อเถียง จึงได้แต่ตีหน้ายักษ์แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “แล้วนี่เธอจะทำยังไง ในเมื่อแหวนถอดไม่ออกแบบนี้”

“นั่นสิ ข้าก็ไม่รู้”

“แหวนมีความสำคัญยังไงกับเธอ” ติณณภพถามต่อ

“แม่มดแต่ละตนจะมีแหวนประจำตัว แหวนโอปอลนี่เป็นแหวนประจำตัวของข้า มันช่วยเพิ่มพลังพิเศษ ถ้าหายไปข้าจะเจอแต่เรื่องร้ายๆ ในทางกลับกันถ้าตกไปอยู่กับคนที่ไม่ใช่เจ้าของ คนนั้นก็จะเจอแต่เรื่องร้ายๆ เหมือนกัน”

“เหมือนที่เจ้ากำลังเจอไอริสนี่ไง อย่างงี้ก็เรียกโชคร้ายได้เหมือนกัน” เสียงเจ้าตัวกวนลอยมา

“เมทัล! เดี๋ยวเสกให้เป็นกระรอกย่างเสียหรอก ข้าว่าเขาโชคร้าย ก็เพราะเจอเจ้านั่นแหละ”

ติณณภพเลิกคิ้วอย่างรอคำอธิบาย ไอริสจึงทวนคำของเมทัลให้ฟัง เจ้าตัวฟังแล้วว่า “ฉันก็ตอบไม่ถูกว่าโชคร้ายหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เป็นเรื่องแปลกมากๆ ที่ฉันได้เจอพวกเธอ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือเปล่า ไม่แน่...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ฉันหลับแล้วฝันไป เมื่อตื่นนอนในตอนเช้า เธอกับเมทัลอาจไม่อยู่แล้วก็ได้”

“ไม่ใช่ความฝัน และเมื่อเจ้าตื่นพรุ่งนี้ เจ้าก็จะยังเจอข้าอยู่ข้างๆ ตราบใดที่ข้ายังหาวิธีถอดแหวนไปจากนิ้วของเจ้าไม่ได้”



“เราจะทำไงดีถึงจะเอาแหวนกลับคืนมา” ไอริสปรับทุกข์ขึ้นหลังจากติณณภพเข้าไปนอนในห้องนอนแล้ว ความจริงเขาเสนอที่จะนอนบนโซฟาในห้องนั่งเล่นเอง แต่เธอปฏิเสธและยืนยันกลับไปว่าขอนอนที่ห้องนั่งเล่นแทน

“มีวิธีเดียวต้องตัดนิ้วเขา”

“เพ้อเจ้อ...หยุดพูดเรื่องเหลวไหลสักนาทีได้ไหมเจ้ากระรอกตัวป่วน ข้ากำลังกลุ้มๆ อยู่นะ”

“ข้ารู้ๆ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าเครียดไง ความจริงข้าก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงดี”

“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องอยู่กับมนุษย์ผู้นี้ไปก่อนจนกว่าจะคิดหาทางออกได้”

“ระหว่างนี้เจ้าก็ต้องหมั่นฝึกเวทมนตร์คาถาไปด้วย ไม่งั้นเราจะพากันเดือดร้อนอีก”

ไอริสตวัดตาค้อน “ขืนเจ้าพูดซ้ำเติมอีกคำเดียว ข้าเสกให้เจ้าหายวับแน่” ขู่ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้สำเร็จหรือไม่

“ข้าไม่กลัว กลัวแต่เจ้าเสกผิดพลาดแล้วทำให้ข้าเดือดร้อนหนักกว่าเก่านี่สิ”

“นี่!”

“เอาเถอะๆ หยุดเถียงแล้วฝึกคาถาได้แล้ว เจ้าจำคาถาเรียกแหวนกลับคืนมาไม่ได้เลยหรือ”

“ไม่ได้ ก็ข้าไม่ทันจำ เพื่อนเจ้าก็ทำเสียฤกษ์แล้ว”

“แก่บ่นจริงทั้งที่อายุแค่ ๖๐! เอางี้...เจ้าฝึกคาถาไป ข้าจะอยู่ให้กำลังใจเป็นเพื่อนเจ้า”

“อ้าว...แล้วนั่นจะไปไหน บอกว่าจะอยู่ให้กำลังใจ” ท้วงทันควันเพราะพอฝ่ายนั้นพูดจบ ก็ไต่ลงจากตู้ มุ่งไปสู่อีกห้องทันที

“หาอะไรกิน” เมทัลตอบกลับมา

“แล้วไหนบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อน”

“กินเป็นเพื่อนไง อย่าบ่น ฝึกคาถาไป”

ไอริสผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ บ่นไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะเมทัลหายไปอีกห้องเรียบร้อยแล้ว เธอดึงเท้าขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนโซฟาที่นั่งอยู่ พยายามทำสมาธิเพื่อรำลึกว่ากระดาษเวทมนตร์ที่พี่สาวเสกให้มีข้อความอะไรบ้าง แต่ดูเหมือนสมองจะไม่ทำงานเอาเสียดื้อๆ

แม่มดฝึกหัดถอนหายใจยาวเหยียด แต่แล้วคำพูดของแม่ที่เคยพร่ำสอนถึงวิธีการรวบรวมสมาธิตั้งแต่วัยเยาว์ก็หวนกลับมาในความทรงจำอีกครั้ง ทำให้จิตใจนิ่งสงบจนเกิดสมาธิ การฝึกสมาธิสำหรับคนอื่นเป็นยังไงเธอไม่รู้ แต่สำหรับเธอเปรียบเสมือนการการควบคุมพลังในตัว แต่ตอนนี้ไอริสไม่รู้ว่าไม่ใช่แค่เป็นการควบคุมแต่เป็นการสะสมพลังอีกด้วย เมื่อไม่มีแหวนช่วย คาถาที่ผิดๆ ถูกๆ ของเธอจะไม่ส่งผลมากนัก เว้นแต่เธอสามารถสะสมพลังไว้ได้มากพอ ไอริสนั่งสมาธิได้นานกว่าเคยนับจากที่เข้าโรงเรียนมา เมื่อออกจากสมาธิ แวบหนึ่งที่เหมือนภาพนิมิตที่เคยเห็นเป็นครั้งคราวจะกลับมา

ภาพนิมิตเหล่านั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อน เป็นภาพผืนทรายและผืนน้ำกว้างใหญ่สีเขียว ซึ่งขณะนั้นเธอยังไม่รู้ว่านั่นคือ “ทะเล” ภาพพาหนะรูปทรงแปลกๆ ซึ่งเธอไม่รู้ว่านั่นเป็น “รถ” และร้านขายตุ๊กตาโบราณ ที่มีภาพชายหนุ่มและเด็กหญิง เธอเห็นภาพในนิมิตไม่ชัดนัก รู้แต่ว่าทั้งคู่สื่อสารกันด้วยภาษาแปลกๆ และแต่งกายแปลกๆ

ภาพเหล่านั้นปรากฏแวบเดียวก่อนเลือนหายไป เธอพยายามเรียกซ้ำกลับมา แต่ไม่สำเร็จ ถึงตอนนี้เธอนึกสงสัยว่าภาพชายหนุ่มและเด็กหญิงคู่นั้น จะเป็นติณณภพกับลูกสาวของเขาหรือไม่ เพราะภาษาและเสื้อผ้าใกล้เคียงกับที่ติณณภพสวมใส่

โลกนี้ลึกลับสลับซับซ้อนกว่าที่เธอเคยคิดและเคยเห็น... ไอริสนึกในใจ









Create Date : 14 มิถุนายน 2556
Last Update : 22 มิถุนายน 2556 2:32:45 น.
Counter : 826 Pageviews.

5 comment
เสกรักข้ามภพ...ตอน 4



ติณณภพคลำมือสะเปะสะปะไปในความมืด ภายหลังเขาสะดุ้งตื่นกลางดึกจากความฝันแปลกประหลาดที่เกี่ยวกับแม่มด เขาก็เดินลงมาหาเบียร์กระป๋องในตู้เย็นดื่ม ไม่ทันได้ดื่มจู่ๆ ไฟก็เกิดดับ เขาต้องคลำทางกลับไปยังห้องนอนเพื่อหาไฟฉาย แต่จังหวะที่กำลังคลำทางไปตามผนังนั่นเอง ก็บังเอิญสัมผัสโดนอะไรบางอย่างที่อ่อนนุ่ม พร้อมๆ กับที่เสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ไฟในบ้านสว่างพรึบ

“คุณเป็นใคร!” ติณณภพตะคอกถามแขกไม่ได้รับเชิญ พลางรวบมือสองข้างด้วยมือข้างหนึ่ง ตาเข้มสบนัยน์ตาหวานซึ้ง ยามนั้นติณณภพเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงกรีดร้อง นั่นเป็นเพราะเขาจับโดนส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดในร่างกายของผู้หญิง แขกยามวิกาลเบิ่งตาโต แม้เธอจะอยู่ในภาวะตื่นตระหนก ดูมึนงงสับสนราวกับไม่คาดฝันที่ได้เจอเขา หากกระนั้นติณณภพจำต้องยอมรับว่าเธอสวยแปลกตาอย่างมาก...แปลกตาอย่างที่เขาตอบไม่ได้ว่าแปลกอย่างไร? เธอดูเยาว์วัยด้วยผิวแก้มที่เนียนใสราวผิวเด็กทารก หากอมเลือดฝาดจนออกสีชมพูระเรื่อ ดูไม่ต่างจากเด็กวัย ๑๔-๑๕ ดวงตากลมโตที่กำลังเบิ่งกว้างมองเขานั้น เป็นสีอำพันส่งประกายราวกับเมรัยชั้นดีที่ชวนดึงดูดให้ถลำลึกลงไป จมูกโด่งปลายงอนบอกถึงความดื้อรั้นและริมฝีปากได้รูปสวยเต็มอิ่ม มีรอยหยักกึ่งกลางบริเวณกลีบปากล่าง ซึ่งบัดนี้อ้านิดๆ ราวกับตื่นตะลึง

เจ้าของบังกะโลไล่สายตาสำรวจต่ำลงมา ก็พบคำตอบว่าเหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าเด็กสาวดูแปลกตา นั่นเพราะเธอแต่งกายด้วยชุดเดรสยาวกรอมเท้าสีขาว ปกคลุมมิดชิดตั้งแต่ลำคอจดแขน ดูเรียบร้อยดุจชุดนักบวชก็ไม่ปาน เหนือศีรษะมีหมวกเบเร่ต์สีเดียวกัน ปลายผมที่โผล่พ้นหมวกเหยียดตรงเคลียไหล่ และอะไรก็ไม่น่าทึ่งเท่าส่วนสูงของเธอที่สูงเกือบเท่าๆ กับเขา เธอเตี้ยกว่าเขาแค่คืบกว่าๆ เท่านั้น ซึ่งหายากนักในหญิงไทย ยกเว้นว่าเธอไม่ใช่สาวไทย ซึ่งดูจากโครงสร้างร่างกายและหน้าตา...ก็ไม่น่าจะใช่

“...”

แขกไม่ได้รับเชิญ ตอบอะไรบางอย่างกลับมา แต่เขาฟังไม่ออก จากนั้นเธอหันไปคุยกับสัตว์บนบ่าที่มีหน้าตาแปลกประหลาด ด้วยว่าคล้ายกระรอก แต่ตัวเล็กกว่าและมีขนดกกว่า เขาเพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่าเธอพากระรอกหน้าตาประหลาดเข้ามาในบ้านพักของเขาด้วย ไม่ได้ลอบเข้ามาตามลำพัง

“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร” ติณณภพถามย้ำเสียงเข้ม พลางบีบมือนุ่ม เด็กสาวอุทานพลางทำหน้าเหยเก จากนั้นก็พูดอะไรบางอย่างแล้วทำจมูกดุกดิก ดูน่าตลก ก่อนจะหันไปคุยอะไรบางอย่างกับสัตว์ประหลาดบนบ่าอีกครา หัวขโมยสาวดูท่าจะบ๊อง เพราะพูดกับสัตว์ก็ได้ แถมใช้ภาษาแปลกประหลาดที่เขาฟังไม่ออก

“อย่ามาทำเนียนใช้ภาษาต่างด้าวนะหนูน้อย ถึงฉันฟังไม่ออก หรือถึงเธอจะเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ฉันก็กล้าจับส่งตำรวจ” ติณณภพขู่กลับไป

“...”

เด็กสาวยังคงกวนประสาทกลับมาเหมือนเดิม นอกจากจะไม่ตอบเขาแล้ว ยังทำจมูกดุกดิกดูหมิ่นเขาอีก ติณณภพหมดความอดทน ตัดสินใจลากเธอไปมัดไว้กับเสาเตียงในห้องนอน มิไยที่เธอจะพยายามดิ้นเพื่อสะบัดให้หลุด แต่เขาก็ไม่นำพา ยังคงลากเธอเข้าไปในห้องและจัดการมัดมือและมัดเท้าทั้งสองข้างผูกกับเสาเตียง จับกระรอกที่เกาะนิ่งอยู่บนไหล่ไม่หนีไปไหนขังเดี่ยวในขวดน้ำพลาสติกขนาดใหญ่ที่เขาเทน้ำออกและเจาะรูเพื่อให้มีอากาศหายใจ แล้วจึงออกไปโทรศัพท์หาตำรวจนอกห้องนอน



แม่มดหลงมิติ พยายามรวบรวมสมาธิก่อนเรียกคาถาล่องหน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากขวดพลาสติกที่ขังเมทัลไหวไปมาเล็กน้อยเท่านั้นจนแทบมองด้วยสายตาไม่เห็น ไอริสผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างหนักใจ ด้วยว่าเธอลองเสกคาถานับสิบครั้งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล

“เร็วๆ หน่อยไอริส ก่อนที่ยักษ์ตนนั้นจะกลับเข้ามา”

ไอริสทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ขำก็ขำกับสรรพนามที่กระรอกร่วมชะตากรรมเรียกผู้ชายคนนั้น แต่เพราะความตึงเครียดมีมากกว่า เธอจึงไม่ได้หัวเราะ คงตอบเครียดๆ กลับไปว่า “ถ้าอยากให้เร็วก็มาช่วยแก้มัดข้าสิ”

“โธ่...ถ้าแก้มัดเจ้าได้ คาถาแม่มดก็ไม่ต้องใช้แล้ว” กระรอกแสบเหน็บ ก่อนโอดครวญต่อ “เพราะเจ้าทีเดียว ชอบใช้เวทมนตร์ผิดพลาดทำให้เราทั้งคู่ลำบากเสียเรื่อย” บ่นพลางวิ่งขึ้นลงตามขวดพลาสติกอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน

“ก็แล้วเจ้าจะตามข้าไปไหนต่อไหนทำไมเล่า ช่วยไม่ได้ในเมื่ออยากตามมาเอง ฉะนั้นไม่ต้องบ่น” ไอริสสรุป สีหน้าเริ่มหงุดหงิดปานกัน

“ใครอยากตามเจ้ากัน ข้าอยู่บนบ่าเจ้าดีๆ เวทมนตร์เจ้าต่างหากดูดข้ามา” กระรอกที่ติดร่างแหมาด้วยยังคงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้

“แล้วใครขอให้เจ้ามาอยู่บนตัวข้า และถ้าจะว่าไป ต้องโทษออกัสเพื่อนเจ้าโน่นไม่ใช่ข้า เล่นอะไรไม่เข้าท่า ทำให้เราถูกจับอยู่แบบนี้” ไอริสยังไม่หายฉุนกระรอกตัวแสบ ผลจากการที่ถูกออกัสแกล้ง ทำให้เธอตกใจจนท่องคาถาผิด แถมเมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ เธอไล่กลิ่นเหล่านั้นด้วยการทำจมูกฟุดฟิด ก็เท่ากับกำกับให้คาถาบังเกิดผลนั่นเอง

“บ่นไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เจ้าเสกให้ข้าออกจากขวดน้ำนี่สิ ข้าจะได้ไปใช้ฟันกัดเชือกให้เจ้า” เมทัลว่า พลางวิ่งพล่านอยู่ในขวด

“ถ้าใช้เวทมนตร์เสกให้เจ้าได้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยฟันเจ้าหรอก ว่าแต่เจ้าใช้ฟันกัดแทะขวดไม่ได้หรือไง”

“ถ้าใช้ฟันข้าได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยเวทมนตร์เจ้าหรอก” เมทัลย้อนกลับบ้าง

“เยี่ยมทั้งข้าทั้งเจ้า ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้”

“สำหรับข้าไม่แปลกหรอก เพราะขวดนี่แข็งบรม แต่เจ้านี่สิ ทำไมถึงใช้เวทมนตร์ไม่ได้”

“ข้าไม่รู้ ตั้งแต่ตอนถูกผู้ชายคนนั้นจับตัวไว้แล้ว พยายามเสกให้ตัวเองล่องหนเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สำเร็จ” ไอริสพูดด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว

“บางทีอาจเพราะเจ้าจำคาถาผิดพลาด แล้วนี่เราอยู่ที่ไหนกัน” เมทัลตั้งคำถามใหม่

“ข้าไม่รู้ รู้แต่ว่าผู้ชายคนนั้นใช้ภาษาแปลกจัง แล้วนี่เขาไปไหน ทำไมถึงมาขังเราไว้”

“ข้าไม่รู้ รู้แต่ว่าน่าจะมีอะไรผิดพลาด และสัญชาตญาณบอกข้าว่าผิดอย่างมหันต์ด้วย เพราะที่นี่แปลก...แปลกเกินไป ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าเลย ข้าไม่ชอบ ข้าอยากกลับบ้านให้เร็วที่สุด เจ้าลองควบคุมสมาธิแล้วเรียกเวทมนตร์อีกครั้งสิ อ้อ...อย่าลืมพาข้ากลับไปด้วยนะ ข้าไม่อยากติดอยู่ในที่แปลกๆ แห่งนี้”

“คราวนี้อยากไปกับข้าแล้วเหรอ” แม่มดน้อยอดเหน็บไม่ได้

“แหงสิ ถึงเจ้าจะเป็นตัวป่วน แต่อยู่กับเจ้าก็ยังอุ่นใจกว่าอยู่กับยักษ์ตนนั้น”

ไอริสหัวเราะ แล้วลองใหม่ พยายามควบคุมสมาธิ ก่อนบริกรรมคาถา จากนั้นสั่งการให้บังเกิดผลด้วยการสั่นจมูกดุกดิก ชั่วพริบตาเดียวตัวเธอและเมทัลก็หายวับ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงประตูเปิดผัวะเข้ามา...



“ผมไม่ได้โกหกจริงๆ นะครับคุณตำรวจ มีเด็กผู้หญิงลอบเข้ามาในบ้านหลังนี้จริงๆ” ติณณภพย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่เขาก็จำไม่ได้แล้ว ด้วยว่านับตั้งแต่โทร.ไปแจ้งตำรวจแล้วสายตรวจสองนายตรงหน้าก็เข้ามาตรวจค้นจนแทบพลิกบ้านค้นหา และเมื่อหาไม่เจอ เขาก็ยืนยันเป็นครั้งที่สิบที่ร้อยว่ามีขโมยลอบขึ้นบ้านจริงๆ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังคงมองเขาอย่างคลางแคลงใจแกมไม่เชื่อใจอยู่นั่นเอง

“ถ้าอย่างนั้นไหนล่ะขโมยที่คุณว่า?” ร้อยเวรนายหนึ่งถามกลับด้วยน้ำเสียงเยาะๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกชายรัฐมนตรีใหญ่โต เขาก็อยากต่อว่าแรงๆ ค่าที่ทำให้สายตรวจอย่างเขาเสียเวลาโดยเปล่าๆ ปลี้ๆ ทั้งที่สมควรเอาเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ ไปดูแลทุกข์สุขของชาวบ้านที่เดือดร้อนจริงๆ ไม่ใช่มาสนองความหวาดระแวงของลูกหลานรัฐมนตรีโดยไม่เกิดประโยชน์ ทั้งที่เขายืนยันหนักแน่นแล้วว่าไม่มีขโมยขึ้นบ้านเพราะปราศจากร่องรอย แต่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ลูกรัฐมนตรีใหญ่โตตรงหน้า ก็ยังยืนกรานว่ามี ซึ่งทำให้เขาชักกรุ่นแกมหน่ายอย่างมาก

“ถึงมีจริง มันคงฉลาดอยู่ให้คุณจับหรอก” ติณณภพแกล้งเหน็บกลับให้บ้างอย่างเหลืออด เพราะนับตั้งแต่ตำรวจนายนี้มาเห็นว่าเป็นเขาที่เป็นคนโทร.แจ้งความ ก็ออกอาการหงุดหงิดตั้งแต่นั้น ชะรอยจะเป็นตำรวจประเภทที่เขม่นพวกลูกหลานนักการเมืองเป็นทุนเดิม ซึ่งเขาก็ไม่อยากไปโทษความมีอคติของคนในเครื่องแบบ เพราะลูกหลานนักการเมืองบางคนกร่างจริงๆ ซึ่งพลอยทำให้ปลาทั้งข้องเหม็นไปด้วย

“ก็คุณย้ำนักย้ำหนาเองว่าจับขโมยไว้ในห้องนี้”

ติณณภพข่มอารมณ์ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนที่โทร.หาคุณ ขโมยอยู่ในห้องนี้จริงๆ ผมจับเธอมัดไว้กับเสาเตียง ส่วนกระรอกแคระ อยู่ในขวดพลาสติกบนโต๊ะนั่น” พูดพลางชี้ไปทางโต๊ะกระจกข้างหัวเตียง

เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนายมองตาม ตำรวจขี้หงุดหงิดรายเดิมกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นไหนล่ะอุปกรณ์ที่คุณใช้มัดขโมย แล้วก็ขวดพลาสติกที่คุณขังกระรอก คุณจะบอกว่าขโมยหนีไปพร้อมกับอุปกรณ์พวกนั้นอย่างงั้นสิ” แดกดันกลับเพราะมั่นใจว่าไม่มีขโมยอยู่จริงอย่างที่ติณณภพว่า แต่เป็นเพียงเรื่องหวาดวิตกไปเอง เพราะเขาตรวจหาหลักฐานจนทั่วแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยการบุกรุกใดๆ พวกลูกหลานรัฐมนตรีหรือลูกหลานคนใหญ่โตมักเป็นแบบนี้ ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินจริง ชอบเรียกร้องความสนใจ หรือไม่ก็เป็นประเภทขอให้ได้แสดงตัวหรืออวดเบ่งว่าตัวเองเป็นใคร ยิ่งมีนามสกุลใหญ่โต ก็ยิ่งอวดอ้างแล้วใหญ่ซึ่งเขาเจอมานักต่อนัก ตำรวจนึกอย่างเขม่นในใจ

ติณณภพรู้ว่า คงเป็นเรื่องตลกถ้าหากจะยอมรับ หากกระนั้นมันเป็นความจริง ฉะนั้นเขาจึงตอบว่า “ผมเกรงว่าจะเป็นแบบนั้น ไม่งั้นเชือกกับขวดน้ำจะหายไปได้อย่างไรครับ” พยายามตอบกลับอย่างสุภาพ ทั้งที่ในใจไม่ได้เยือกเย็นดั่งท่าทีภายนอก

ตำรวจสายตรวจสบตากัน ก่อนจะหันมามองเขาด้วยสายตาตำหนิตรงๆ แล้วตำรวจอีกนายที่นิ่งฟังมาโดยตลอดก็กล่าวขึ้นว่า “คุณคงไม่คิดว่าคนร้ายจะลงทุนบุกบ้านของคุณ เพียงเพื่อจะขโมยเชือกกับขวดพลาสติกนั่นหรอกนะ ถ้าคุณคิดและเชื่อแบบนั้น ก็ตลกสิ้นดี”

“ผมไม่ได้บอกว่าโจรลอบขึ้นบ้านเพียงเพื่อขโมยของสองอย่างนั่น แต่ผมพยายามจะบอกว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่โจรจะพยายามทำลายหลักฐาน” ติณณภพยังคงอธิบายอย่างใจเย็นทั้งที่ใบหน้าร้อนซู่ด้วยความอับอายที่ถูกเยาะเย้ยถากถาง วูบหนึ่งนึกโกรธไปถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาหน้าม้านและตกอยู่ในที่นั่งลำบากอยู่ในตอนนี้ คอยดูเถอะ...มีโอกาสเจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่ จะเอาคืนอย่างสาสมเลยทีเดียวค่าที่ทำให้อับอายขายหน้าและกลายเป็นตัวตลกในสายตาของตำรวจอยู่ในขณะนี้... ติณณภพนึกคาดโทษอยู่ในใจ

“แต่พวกผมตรวจค้นโดยละเอียดแล้วไม่พบร่องรอยการบุกรุก หรืองัดแงะใดๆ”

“ถ้าอย่างงั้น คุณตำรวจคิดว่าผมกุเรื่องทั้งหมดอย่างงั้นสิ” ย้อนถามเสียงขุ่น

“คุณบอกเองว่าไม่มีของมีค่าหรือมีราคาขาย”

“ก็ไม่มีอะไรหายจริงๆ โจรไม่ได้ขโมยอะไรไปนอกจากเชือกและขวดพลาสติก” ติณณภพยังคงย้ำ ยิ่งย้ำเขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ และเขานึกอยากจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด สัญญากับตัวเองเลยว่าครั้งหน้าถ้ามีเรื่องชวนปวดหัวลักษณะนี้อีก เขาจะไม่โทร.ตามตำรวจให้มาจัดการปัญหาให้อีกเด็ดขาด

“อย่าหาว่าอย่างโง้นอย่างงี้เลยนะครับ เรื่องเชือกกับขวดคุณพูดของคุณเอง จะจริงหรือเปล่าเรายังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ เราตรวจจนแทบพลิกบ้านแล้ว แต่ไม่พบหลักฐานชวนสงสัยใดๆ ว่าจะมีคนร้ายลอบขึ้นบ้านพักของคุณ ฉะนั้นผมอยากขอร้องว่าคราวหน้าคราวหลังขอให้มั่นใจจริงๆ ว่ามีคนร้ายบุกขึ้นบ้าน ก่อนที่จะโทร.แจ้งตำรวจ ไม่อย่างนั้นเราทั้งสองฝ่ายก็ต้องมาเสียเวลาแบบนี้ เวลาของคุณมีค่า เวลาของพวกผมก็มีค่า”

ตำรวจสายตรวจหันมองเพื่อนหน้าตาเลิ่กลั่ก ที่ผ่านมานึกนับถือนิสัยตรงไปตรงมาและการพูดจาขวานผ่าซากของเพื่อน แต่หนนี้เพื่อนอาจแกว่งเท้าหาเสี้ยนเกินไป หรือไม่ก็อาจปาก “พาจน” จนได้ เพราะติณณภพเป็นถึงลูกชายของรัฐมนตรีที่มีตำแหน่งใหญ่โต ซึ่งอาจกลับมาเล่นงานเพื่อนเขาในภายภาคหน้าได้ แต่นั่นแหละเชื่อว่าตักเตือนไปก็คงไร้ประโยชน์ เพราะที่ผ่านมาเจ้านายเคยเรียกเพื่อนเขาไปตักเตือนด้วยความหวังดีหลายครั้ง แต่เจ้าตัวก็ยังคงเป็นคนขวางโลกไม่เปลี่ยนแปลง ความจริงมีตำรวจไม่น้อยที่เกลียดลูกหลานนักการเมือง เพียงแต่ได้แต่คิด แต่ไม่กล้าแสดงออกหรือกล้าบ้าบิ่นเหมือนเพื่อนเขา ด้วยหวั่นจะเป็นการ “รนหาที่” ให้ตนเองเดือดร้อนหรือทำความลำบากให้ตำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งแต่ละคนยังมีคนข้างหลังให้ต้องดูแล ฉะนั้นส่วนใหญ่จึงยอมสยบต่อบรรดาลูกหลานนักการเมืองที่นิสัยเสียเหล่านั้น

ติณณภพหน้าม้านเป็นคำรบสอง นึกอยากแย้งว่าก็ถ้าชาวบ้านไม่มั่นใจหรือหวาดหวั่น ก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องมาขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน แต่นั่นแหละเถียงไปก็คงไม่มีประโยชน์ แถมฟังดูตำรวจทั้งสองนายน่าจะเกลียดขี้หน้าลูกหลานนักการเมืองเข้าไส้ ฉะนั้นทางที่ดี เขาควรสงบปากสงบคำจะฉลาดกว่า ฉะนั้นเมื่อตำรวจอีกรายรีบประนีประนอมโดยการเสนอว่าจะสำรวจรอบบ้านให้เขาอีกรอบก่อนลากลับ เขาจึงปฏิเสธ

“ไม่ต้องดีกว่าครับ ผมคิดว่าคงไม่มีโจรขโมยจริงๆ แต่คงเป็นความเข้าใจผิดของผมไปเอง รบกวนเวลาของคุณตำรวจมากพอแล้ว ขอบคุณนะครับ”

ติณณภพประชดพลางเดินนำตำรวจทั้งสองออกจากบ้านไปยังประตูหน้าบ้าน รอจนเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อนมอเตอร์ไซค์คันเดียวกันขี่หายลับไปจากสายตาแล้ว จึงวกกลับเข้ามาในห้องนอน แววตายังเต็มไปด้วยรอยสนเท่ห์ขณะสำรวจตรวจตรารอบห้อง หากทว่าเขาไม่พบความผิดปกติใดๆ น่าสงสัยว่าเด็กสาวคนนั้นหายไปทางไหนในเมื่อไม่มีรอยงัดแงะหรือช่องลมที่จะพาเธอหนีไปได้เลย แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว เธอหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย

ใช่...เธอกับสัตว์หน้าตาประหลาดนั่นหายไปได้อย่างไร และหายไปทางไหน และตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ติณณภพนึกถามตัวเอง ด้วยว่าตลอดเวลาเขายืนเฝ้าอยู่ด้านนอกประตูตลอด พ่อเรือพ่วงรู้สึกมืดแปดด้านราวกับถูกปิดตา จังหวะที่กำลังขบคิดไม่ตกอยู่นั่นเอง จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงคล้ายพึมพำทางด้านหลัง หันขวับไปมอง ก็เห็นเด็กสาวคนเดิมพร้อมด้วยกระรอกแคระหน้าตาประหลาดตัวนั้น เธอยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา โดยมีเตียงคั่นกลาง

“เธอ!” ติณณภพพูดไม่ออก เมื่อพบว่าเสียงที่เปล่งออกไปไม่คุ้นหู อยากมั่นใจว่าไม่ใช่ภาษาใดสักภาษาดั่งที่เขาเคยได้ยินมาในโลกใบนี้

ไอริสมองภาพเบื้องหน้าด้วยความพึงใจ ด้วยว่าเธอสามารถร่ายเวทมนตร์ทำให้เขาเข้าใจและสื่อสารภาษาของเธอได้ ก่อนหน้านี้เธอเห็นเหตุการณ์ที่เขาพาชายสองคนเข้ามาตรวจค้นในบ้าน พวกเขาต่างพูดคุยกันด้วยภาษาที่เธอไม่เข้าใจ เธอเฝ้าสังเกตการณ์เงียบๆ ตราบจนเห็นเขาชี้มือไปทางโต๊ะกระจกข้างหัวเตียง จึงสังเกตเห็นตอนนั้นเองว่าแหวนโอปอลซึ่งเป็นแหวนประจำตัวของเธอที่หายไปมาอยู่บนนิ้วของเขา วินาทีนั้นเธอถึงเข้าใจว่าเวทมนตร์ที่เธอร่ายผิดพลาด ดึงให้เธอมาพบกับแหวนของตัวเองซึ่งอยู่ในที่ที่หนึ่งที่เธอไม่รู้จัก ภายหลังผู้ชายสองคนนั้นจากไปแล้ว เธอจึงปรากฏกายพร้อมกับร่ายเวทมนตร์ให้แหวนโอปอลเป็นสื่อช่วยให้เขาสามารถเข้าใจภาษาของเธอได้

“นี่มันภาษาอะไร?” ติณณภพถามอย่างฉงนแกมตกใจ เมื่อไม่คุ้นหูกับภาษาและสำเนียงที่ตัวเองพูด ชะรอยสีหน้าเขาคงดูตลก เพราะฝ่ายนั้นยิ้มขำกลับมา

“ภาษาของข้าเอง”

“ภาษาของข้า? หมายความว่าไง? ”

“ก็หมายความว่าเจ้ากำลังพูดภาษาของแม่มดไง”

ติณณภพทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก ก่อนจะรวบรวมสติได้แล้วพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “เธอคิดว่าฉันเป็นเด็กอมมือหรือไง ถึงคิดจะหลอกยังไงก็ได้”

“เปล่าเลย...ไม่เชื่อก็ดูนี่” ไอริสเสกคาถาล่องหน ก่อนกำกับด้วยการทำจมูกดุกดิก แล้วร่างส่วนล่างของเธอก็หายวับไปในทันที พลันที่เจอแหวนประจำตัวกำลังใจก็กลับคืนมา ทว่าตรงกันข้ามกับชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ติณณภพล้มหงายหลังในทันทีที่เห็นร่างของไอริสหายวับไปต่อหน้าต่อตาเหลือแต่ส่วนคอ










Create Date : 09 มิถุนายน 2556
Last Update : 22 มิถุนายน 2556 2:29:25 น.
Counter : 960 Pageviews.

5 comment
เสกรักข้ามภพ...ตอน 3
loaocatloaocat


ฟ้าร้องครืนๆ ดังสนั่น ปานประหนึ่งเมขลากำลังล่อแก้วรามสูร แล้วเสียงของเอมม่าแวบเข้ามาในความทรงจำ ราวกับดังอยู่ข้างหู ‘ฟ้าแลบฟ้าร้อง ก็คือเวลาที่เมขลาล่อแก้วและรามสูรขว้างขวาน แสงแก้ว คือ แสงฟ้าแลบ เสียงขวาน คือ ฟ้าร้อง’ เอมม่าซุกในอ้อมกอดเขา พลางพูดราวกับท่องอาขยานในวันที่ฟ้าร้องครืนๆ ราวกับกำลังพิโรธ

‘เอมม่าเชื่อแบบนั้นหรือลูก’ ครั้งนั้นเขาถามลูกสาวกลับไปแบบนั้น

‘ใช่ค่ะ พ่อติณบอกว่าให้เชื่อฟังคุณครู เอมม่าก็เชื่อค่ะ’

‘อ้าว...ไหงโยนมาแบบนั้น แล้วทีคุณครูบอกให้นอน ทำไมหนูไม่ฟังบ้างล่ะ’

‘เอมม่าฟังแล้วค่า แต่ใครๆ ก็คุยกัน’

ติณณภพหัวเราะกับคำตอบโต้ของลูกสาว ซึ่งแม้จะไร้เดียงสาแต่ดูทีว่าเป็นเด็กฉลาดและไม่ยอมจนมุมง่ายๆ คุณพ่อเรือพ่วงคลี่ยิ้มมากขึ้นเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ แต่ก็เช่นเคย รอยยิ้มไม่ได้เลยไปถึงดวงตา ตรงกันข้ามแฝงรอยเศร้าหมองด้วยคิดถึงคนที่จากไป การได้อยู่กับเอมม่าทำให้เขามีความสุขก็จริง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเสมือนการตอกย้ำลงไปบนบาดแผลแห่งความสูญเสียทุกเมื่อเชื่อวันว่าเขาได้สูญเสียอลินาไปแล้วตลอดกาลเพราะความเลวระยำของน้องชาย คุณพ่อจำเป็น ผลักประตูห้องนอนของลูกสาวซึ่งเป็นห้องเด็กเล็ก ที่คุณหญิงตติยาสั่งรื้อปรับแต่งใหม่เป็นพิเศษเพื่อหลานสาวสุดรัก

“ไม่เป็นไรแล้วลูก พ่ออยู่นี่” ติณณภพ รีบเข้าไปนั่งริมเตียง ปลอบโยนลูกสาวที่กำลังนอนซุกตัวเบียดกับผนังร้องไห้กระซิกๆ มือกอดตุ๊กตาในอ้อมแขนแน่น

เอมม่ารีบพลิกตัวกลับมาซุกกอดขาผู้เป็นพ่อ ปากฟ้องจ้อยๆ ว่า “เอมม่ากลัวเสียงรามสูร”

“พ่อรู้ลูก พ่อก็เลยรีบมานี่ไง”

“เอมม่าจะทำไงถ้าพ่อติณไม่อยู่แล้วเกิดฝนตกขึ้นมา?” แม่หนูปุจฉาขึ้น

ติณณภพลูบศีรษะลูกสาวอย่างปรานี “พ่อก็จะขอให้คุณย่ามานอนเป็นเพื่อนลูกทุกคืนที่ฝนตก ดีมั้ย?”

“ก็ดีค่ะ พ่อติณจะไปต่างจังหวัดกี่วันคะ”

“ไม่เกิน ๒ อาทิตย์ลูก”

“พ่อติณต้องโทร.หาเอมม่าทุกวันนะคะ”

“พ่อสัญญา เอาล่ะ...นอนซะ ดึกแล้ว พ่อจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าลูกจะหลับ”

“พ่อติณนอนกับเอมม่าได้ไหมคะ พรุ่งนี้พ่อติณก็ต้องไปแล้ว” ลูกสาวออดอ้อน

คุณพ่อจำเป็น เลิกคิ้ว แววตาฉายรอยยิ้มปรานี “ตกลงครับ งั้นพ่อไปปิดไฟนะ เราจะได้หลับไวๆ”

“ไม่เอาค่ะ นอนเปิดไฟแบบนี้แหละ”

“เอ้า...ตามใจ” ติณณภพอุ้มลูกสาวไปวางกลางเตียง แล้วล้มตัวนอนข้างๆ แม่หนูน้อย ซึ่งเจ้าตัวพลิกมาซุกอกเขาโดยพลัน กิริยานั้นทำให้ติณณภพคลี่ยิ้มอ่อนโยน เขาก้มจูบกลางกระหม่อม พึมพำแทบไม่ได้ยินว่า “หลับเสียนะ คืนนี้จะมีนางฟ้ามากล่อมลูก”

“นางฟ้าหรือแม่มดคะ” แม่หนูถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

“นางฟ้าสิลูก ทำไมคิดว่าเป็นแม่มดล่ะ”

“ก็ทุกทีที่ฝนตก แม่มดจะปรากฏตัวทุกที”

“ไม่ใช่เมขลาแล้วหรือ” แสร้งต่อล้อต่อเถียงลูกสาว

ทว่าไม่มีเสียงตอบจากเจ้าตัวน้อยเพราะเข้าสู่นิทราเรียบร้อยแล้ว ติณณภพก้มจูบกระหม่อมอีกคราว โยกคลอนร่างน้อยไปมาอย่างเห่กล่อมกระทั่งได้ยินเสียงหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ชั่วขณะนั้นแหวนบนนิ้วที่วางเหนือแผ่นหลังลูกสาวก็เป็นประกายสว่างไสวอย่างน่าประหลาดใจ ติณณภพยกนิ้วขึ้นมาพินิจแหวนอย่างสงสัย และอย่างช้าๆ ที่แหวนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตต่อหน้าต่อตาเขา

มันคืออะไรกัน? ติณณภพถามตัวเอง และรู้สึกแปลกใจมาตั้งแต่ตอนหัวค่ำที่พยายามล้างออกด้วยน้ำสบู่ แต่แหวนกลับไม่ลื่นหลุดออก ซึ่งผิดปกติอย่างมาก...ราวกับว่าแหวนสามารถปรับขนาดลงกระทั่งไม่อาจขยับออกจากนิ้วก้อยได้



ติณณภพขับรถออกจากบ้านของรัฐมนตรีฯ ชาตรี ตั้งแต่เช้ามืด มาถึงรีสอร์ทริมหาดในเวลาไม่กี่ชั่วโมง หลังจากเช็กอิน ฟ้ายังไม่สว่างดีนักเมื่อเขานำรถเข้าไปจอดข้างที่พักซึ่งมีลักษณะไม่ต่างจากบังกะโลริมหาดทั่วไป ติณณภพคว้ากุญแจพร้อมอาหารสดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่แวะซื้อข้างทาง นำไปเก็บในตู้เย็นในห้องครัว ก่อนเดินสำรวจรอบบ้านซึ่งภายในแบ่งเป็นสัดส่วนระหว่างห้องนอนพร้อมระเบียง ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำและห้องครัว เขาเปิดประตูบานเลื่อนรับอากาศสดชื่น เบื้องหน้าเป็นหาดสีขาว ท้องฟ้าสีครามและทะเลสีเขียวที่ไกลสุดลูกหูลูกตา คุณพ่อลูกติดรื้อเสื้อผ้าไปแขวนเก็บในตู้ ก่อนหยิบแม็คบุ๊กออกมาเปิดหน้าจอเพื่อเริ่มงาน เขาตั้งใจพักที่บังกะโลแห่งนี้ ๒ สัปดาห์หรืออาจขยายยาวกว่านั้นถ้าหากปิดต้นฉบับไม่เสร็จ

คุณพ่อเรือพ่วงในวัย ๒๙ เฉียด ๓๐ กำลังเขียนนิยายแนวเหนือธรรมชาติ ที่นางเอกข้ามเวลาไปแก้ไขอดีตเพื่อช่วยเหลือพระเอก ก่อนจะเริ่มเรื่องใหม่เกี่ยวกับแม่มดที่โผล่มาตามหากระจกส่องปฐพีในโลกมนุษย์ ซึ่งแม่มดชั่วร้ายที่เป็นแม่เลี้ยงของสโนว์ไวท์แอบขโมยหนีมาจากโลกแห่งแม่มด แล้วระหว่างการตามหาของแม่มดสาว ก็สร้างปัญหาให้แก่ตัวเธอเองเมื่อเกิดไปหลงรักผู้ชายมาดขรึมคนหนึ่งที่เกลียดผู้หญิงเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากเธอจะต้องจัดการกับปัญหาหัวใจซึ่งต้องเลือกระหว่างอยู่ในโลกมนุษย์กับคนที่รัก หรือทิ้งคนรักไว้ข้างหลังเพื่อกลับไปสู่โลกแห่งแม่มดของตัวเองแล้ว เธอยังต้องผจญกับแม่มดชั่วร้ายซึ่งคอยมาปั่นป่วนเธอกับเขาด้วย เรื่องนี้เขาได้ไอเดียจากการอ่านนิทานให้ลูกสาวฟัง

ติณณภพลงมือทำงานได้พักใหญ่ๆ ก็ปรากฏเสียงฟ้าครืนๆ ราวกับฝนจะตก ช่วยไม่ได้ที่คำพูดของลูกสาวจะแวบเข้ามาในความคิด “เสียงฟ้าร้อง มักจะตามมาด้วยแม่มด” ติณณภพส่ายหน้า พักหลังเขาชักเพ้อเจ้อเกินไปแล้ว ลุกไปเลื่อนบานประตูกระจกปิด ก่อนกลับมาทอดกายนอนบนเก้าอี้หวายเพื่อพักสมอง ช่วงที่เข้าสู่นิทรานั่นเองเขาก็ฝันสะเปะสะปะเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติ


โลกของ ไอริส ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนับแต่วินาทีที่เธอทำแหวนประจำตัวหายสาบสูญอันเนื่องมาจากการท่องคาถาผิดพลาด ไอริส เป็นแม่มดแสนสวยแต่ซุกซนไปตามประสาวัยรุ่น เธอมีผิวเนียนใสอมเลือดฝาด สวยยิ่งกว่าแม่มดตนใดๆ รูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ดูเผินๆ เหมือนเด็กสาววัย ๑๕ แต่อายุของเธอ คือ ๖๐ ปี แม่มดมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ ๔ เท่า ดังนั้นอายุ ๖๐ ปี จึงเท่ากับวัย ๑๕ ของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งถือว่า “เยาว์วัย” อยู่มากสำหรับแม่มด เพราะอายุโดยเฉลี่ยของแม่มดอยู่ที่ ๓๐๐-๔๐๐ ปี

ไอริส มีฉายาในหมู่เพื่อนฝูงว่า แม่มดจอมซนเจ้าเสน่ห์ ด้วยความที่สดใส ขี้เล่นและร่าเริง เธอเป็นหลานสาวคนสุดท้ายของตระกูล อาร์มัน ตระกูลเก่าแก่ของแม่มดซึ่งส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากอดีตกาลหลายหมื่นปี และแน่นอนเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดตระกูลหนึ่งในโลกแม่มดแห่งนี้

ด้วยเหตุที่มีพลังจิตสูงมากมาตั้งแต่กำเนิด แม้จะไม่ได้ใช้เวทมนตร์ก็สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ ทำให้พ่อแม่หวั่นว่าถ้าหากท่องคาถาผิดพลาด จะทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ ซึ่งจะต่างกับเด็กทั่วไป ที่แม้ใช้คาถาผิดพลาด ก็ไม่มีผลอะไรหรือแม้เกิดก็ไม่ร้ายแรง ฉะนั้นนับตั้งแต่เด็ก ไอริสจึงถูกบังคับให้ฝึกหัดทำสมาธิ เมื่อถึงวัยเรียนจริงๆ ทำให้เธอชอบหนีชั้นเรียนเพื่อไปเที่ยวเล่น เธอชอบออกไปผจญโลกกว้างด้วยการท่องไปตามป่าเขาลำเนาไพร ชอบพูดคุยกับสัตว์นานาชนิดเพื่อเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเอง ความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์เป็นพรสวรรค์เฉพาะตัวต่างจากแม่มดตนอื่นๆ ที่กว่าจะทำได้ จะต้องร่ำเรียนฝึกหัดร่ายเวทมนตร์หลายปี และบางตนก็ทำได้กับสัตว์บางชนิดเท่านั้น

ความที่เธอชอบหนีเรียนบ่อยครั้ง ทำให้คาถาที่เรียนมาตกๆ หล่นๆ ฉะนั้นทุกคราวที่นำไปใช้จึงเกิดปัญหาเสมอ ที่ผ่านมาเวลาเธอท่องคาถาผิดพลาด จะก่อให้เกิดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อย่างฟ้าร้องฟ้าคำรามโดยไม่มีเค้าฝน ดอกไม้ผลิดอกในฉับพลัน หรือไม่ก็เหี่ยวเฉาในทันที ข้าวของตกแตก วัตถุเล็กๆ น้อยๆ อย่างดอกไม้ปลิดปลิวลอยละล่องไปทั่ว

ใช่...ความผิดพลาดที่ผ่านมาไม่รุนแรงเลย เมื่อเทียบกับครั้งล่าสุด...

สัปดาห์ก่อนระหว่างที่เธอฝึกใช้คาถาอย่างหนักเพื่อเตรียมตัวสอบเลื่อนชั้น เธอเกิดจำคาถาผิดพลาด ส่งผลให้ท้องฟ้าแปรปรวนอย่างรุนแรง และอะไรก็ไม่ร้ายเท่า...คาถา “เสกของล่องหน” ของเธอ ทำให้แหวนประจำตัวซึ่งเธอได้รับจากแม่มดผู้เฒ่าตั้งแต่ยังเป็นทารกแบเบาะหายสาบสูญไปไหนไม่รู้ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่เธออย่างมาก เพราะแหวนประจำตัวถือเป็นเสมือนตัวเสริมพลังของแม่มดแต่ละตนที่ต้องมีเครื่องประดับสัญลักษณ์ของตัวเองติดตัว ซึ่งแหวนของแม่มดแต่ละวงจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนกัน เป็นความสามารถของแม่มดผู้เฒ่าที่มองเห็นและทำนายอนาคตของแม่มดแต่ละตนนับแต่เห็นหน้าทารก แหวนประจำตัว ยังเป็นเสมือนเครื่องรางและคอยขจัดปัดเป่าโชคร้ายไปในคราวเดียวกัน ว่ากันว่าถ้าของประจำตัวหาย ความซวยก็จะมาเยือนผู้เป็นเจ้าของในสามวันเจ็ดวัน และนี่ยังไม่ทันข้ามพ้นหนึ่งช่วงราตรี ความซวยก็มาเยือนไอริสเรียบร้อยแล้ว เมื่อพี่สาวส่งกระแสจิตมาบอกว่าพรุ่งนี้เธอจะต้องสอบท่องคาถา “ย้ายข้าวของ” ก่อนเป็นคนแรก ทั้งที่ตามลำดับที่ เธอน่ะอยู่ลำดับท้ายสุด

และเมื่อแหวนประจำตัวหาย เธอยิ่งเสียกำลังใจ จิตก็แกว่งมากขึ้น จนไม่สามารถรวบรวมสมาธิเพื่อท่องคาถา หรือเว้นวรรคให้ถูก ใครนะช่างคิดช่างสร้างเงื่อนไขการใช้คาถาที่ว่า นอกจากจะต้องท่องให้ถูกทุกตัวอักษรแล้ว ยังต้องเว้นวรรคให้ถูกต้องอีกด้วย แถมถ้าเป็นแม่มดฝึกหัดยังต้องท่องคาถาบทยาวๆ ไม่อาจใช้วิธีย่อคาถาเหมือนแม่มดอาวุโสได้ ไม่ยุติธรรมสักนิด... ไอริสนึกในใจพลางทำหน้ามุ่ย ด้วยว่าพยายามรวบรวมสมาธิเพื่อท่องคาถาเรียกแหวนกลับคืนมาหลายรอบแล้ว แต่ก็รวบรวมสมาธิไม่ได้ แล้วเสียงของแม่เธอก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิดซึ่งขณะนั้นเธออายุแค่ ๑๒ ขวบ

‘ในบรรดาลูกแม่ทั้งสี่ ริสพลังมากที่สุด’

‘โห...มากอะไร พี่ๆ คนอื่นสามารถใช้คาถาได้ทุกบท แต่ริสใช้คาถาอะไรไม่ได้เลย อย่างน้อยก็ต้องท่องคาถาไม่ต่ำกว่าสิบเที่ยวถึงสำเร็จ’

‘นั่นเพราะสมาธิของริสไม่นิ่งพอ เราน่ะคิดแต่จะเที่ยวเล่นซุกซน มันเลยไม่มีสมาธิ การท่องคาถาเต็มบท ก็เป็นวิธีการฝึกสมาธิอีกแบบหนึ่ง’

‘ไม่แฟร์เลย เพราะยิ่งถ้าใช้คาถายาวๆ จะทำให้ยิ่งจำไม่ได้’

‘นั่นเกิดจากสมาธิไม่แน่วแน่พอ แม่บอกแล้วสำคัญที่สุด คือ “สมาธิ” ฉะนั้นริสต้องฝึกสมาธิให้เยอะ’

‘อย่างงี้พลังสูงมากไป ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะใช้งานไม่ได้’

‘ถ้าควบคุมพลังไม่ได้ ที่สำคัญจะเป็นโทษอีกด้วย แม่ถึงให้ริสฝึกสมาธิตั้งแต่เด็ก เลิกบ่น ฝึกไป เอ้า...หลับตาท่องคาถาแล้วนึกถึงสิ่งที่เราต้องการให้เกิด...’ ผ่านไปเสี้ยววินาที แม่เธอก็บ่นต่อว่า ‘ไม่มีสมาธิอีกแล้ว เห็นไหมมัวแต่ฝึกเล่นๆ แบบนั้นไง แล้วเมื่อไหร่เราจะสามารถควบคุมพลังพิเศษได้’

ยามนั้นจำได้ว่าตัวเองถามทั้งที่ยังหลับตา ‘แม่รู้ได้ไงว่าริสไม่มีสมาธิ’

‘ก็รอบตัวริส เต็มไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานเต็มไปหมด’ ตอนนั้นเธอนึกแค่ว่าทำอย่างไรถึงจะหนีการฝึกสมาธิที่แสนน่าเบื่อนี้ไปได้ แล้วภาพเพื่อนเล่นในป่าก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด...

‘เห็นผลหรือยัง นั่นเพราะริสมีพลังมาก ถึงแม้คาถาผิด ก็ยังเกิดผลตามมา’

ความสามารถพิเศษของไอริส มีหลากหลายและมีมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงสามารถเคลื่อนย้ายของต่างๆ ได้ ในขณะที่เด็กอื่นๆ ทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ฝึก ฉะนั้นพ่อแม่ของเธอจึงต้องเคี่ยวเข็ญเธออย่างหนักตั้งแต่เล็กๆ ก่อนเด็กอื่นๆ เพราะกลัวว่าอาจเกิดอันตรายได้ ทว่ายิ่งฝึกเธอก็ยิ่งเบื่อ เพราะเด็กคนอื่นได้เล่นกัน ขณะที่ตัวเองกลับต้องถูกเคี่ยวกรำ เวียนฝึกกับพ่อ แม่ พี่ๆ หรือไม่ก็ญาติๆ เลยกลายเป็นการฝึกที่ไม่ค่อยเต็มใจและตั้งใจนัก


ไอริสหลับตา พยายามรวบรวมสมาธิแล้วท่องคาถาบทนั้น ก่อนจะสั่งให้บังเกิดผลโดยการทำจมูกดุกดิก แม่มดจะมีท่าประจำตัวเพื่อเสกให้บังเกิดผลตามคาถา ซึ่งก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละตน บางตนอาจถนัดการดีดนิ้ว บางตนถนัดการวาดมือไปกลางอากาศ ขณะที่บางตนอาจใช้การยักไหล่ ส่วนเธอ...ท่าประจำตัว “จมูกดุกดิก” เกิดขึ้นจากการที่ทุกคราวที่เธอท่องคาถา เป็นต้องคันจมูกยุบยิบและเมื่อได้สลัดไล่อาการที่ว่าด้วยการทำจมูกดุกดิก อาการคันก็จะหายไป

อาการคันจมูกยุบยิบครั้งแรก เกิดขึ้นจากตอนที่ฝึกเวทมนตร์ใหม่ๆ ด้วยความหวังดี เมื่อเห็นกระรอกตัวหนึ่งกำลังเขย่งจะปลิดผลไม้บนกิ่งไม้ลงมากิน ก็เลยจะทดลองใช้คาถาช่วยเสกให้ แต่กลายเป็นทำผลไม้หล่นใส่หัวกระรอกตัวนั้น ทำให้กระรอกฉุนเธอ คว้าดอกส้มที่อยู่ใกล้ตัวปาใส่หน้าเธอ ซึ่งเป็นจังหวะที่เธอกำลังจะเสกแก้ตัวให้ใหม่พอดี เลยทำให้คันจมูก เกิดอาการจมูกดุกดิกขณะท่องมนต์ และที่สุดเธอก็ติดท่านี้ไปโดยปริยาย

หลังบริกรรมคาถา เธอก็ค่อยๆ ลืมตามองปลายนิ้วตัวเองอย่างลุ้นๆ แต่เมื่อพบว่านิ้วยังว่างเปล่าปราศจากแหวนโอปอล ซึ่งหมายความว่าการท่องคาถาสูญเปล่า ด้วยว่ามีเพียงดอกไม้ที่ลอยอยู่รอบตัวเธอ เด็กสาวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นับเป็นครั้งที่ร้อยที่พันแล้วในเย็นนี้ที่เธอพยายามเสกคาถาบทนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แม่มดฝึกหัดหลับตาอีกรอบ หวังท่องคาถาบทเดิมเผื่อจะสามารถเรียกแหวนกลับคืนมาได้ คราวนี้เมื่อทำ “จมูกดุกดิก” เสร็จ ก็ส่งผลให้กระรอกที่นั่งอยู่กิ่งไม้ร้องลั่นเมื่ออยู่ดีๆ กิ่งไม้ก็หักผัวะทำให้เจ้าขนปุยตกลงมานอนแอ้งแม้งบนพื้นหญ้า เธอหรี่ตามองข้างหนึ่ง พบว่าคาถาของเธอมีผลให้กิ่งไม้เปราะจนหักโค่นลงมา เธอยิ้มแหยๆ ให้กระรอก

“ขอโทษทีเมทัล แต่คงไม่ใช่ฝีมือฉันใช่ไหม” กล่าวเสียงแหยงๆ เมทัลเป็นกระรอกที่เจอกันบ่อยครั้ง เวลาเธอหนีออกมาเที่ยว จนกลายเป็นเพื่อนคุ้นหน้าไปแล้ว

“ฝีมือเจ้าแหละไอริส”

ไอริสถอนหายใจ เปลี่ยนอิริยาบถจากท่านั่งสมาธิ มายืดขาภายใต้เดรสยาวกรอมเท้าสีขาว อวดเรียวเท้าเล็กๆ เปลือยเปล่าที่โผล่พ้นชายกระโปรง เจ้าตัวถอดรองเท้าบูทวางข้างๆ เธอยิ้มเหยเกเชิงขอโทษขอโพย ก่อนปรับทุกข์กับเพื่อนต่างสปีชี่ “เบื่อจริงๆ เสกแหวนกลับมาไม่ได้”

“ทำไมไม่ไปร่ายคาถาในที่โล่งๆ มาเสกคาถาใต้ต้นไม้แบบนี้ มันอันตรายกับเพื่อนๆ เรานะ” เมทัล หมายถึงเพื่อนกระรอกด้วยกัน พูดจบก็ปีนขึ้นมานั่งบนบ่าไอริส ยามนี้เจ้าขนปุยรู้สึกว่าอยู่บนตัวไอริส น่าจะปลอดภัยกว่าบนกิ่งไม้ ขณะนี้ไอริส และเมทัล กำลังนั่งอยู่บนเนินหญ้าเขียวขจีที่มองต่ำลงไปเห็นผืนสีม่วงของทุ่งลาเวนเดอร์ที่ไกลสุดลูกหูลูกตา และเหนือศีรษะของไอริสขึ้นไปเป็นทิวป่าสน

“แถวนี้มีใครที่ไหนกัน มีแต่เจ้าแหละ”

“มันแน่อยู่แล้ว...คนอื่นรู้สึกถึงเวทมนตร์ของเจ้า ก็ขวัญกระเจิงหนีไปไกลแล้ว”

“แล้วทำไมเจ้าไม่หนีไปด้วยล่ะ” ย้อนกลับ รู้สึกขำกึ่งฉุน

“ก็อยากรอดูว่าเจ้าจะทำสำเร็จไหม ข้าเอาใจช่วยอยู่นะ”

แม่มดสาวรุ่นไม่ทันโต้ เมื่อเสียงของพี่สาวดังขึ้น ก่อนที่จะปรากฏกายเฉิดฉายในชุดเดรสสีดำยาวกรอมเท้า แขนยาวปิดถึงลำคอ บนศีรษะมีหมวกขนไก่เก๋ไก๋

“เสกคาถาเรียกแหวนไปถึงไหนแล้ว” คนเป็นพี่สาวถาม เอลิเซียเป็นพี่สาวคนโต หน้าตาสะสวย อายุ ๑๒๐ ปี หรือเทียบเท่า ๓๐ ปีของโลกมนุษย์

ไอริสยิ้มทักทายให้เอลิเซีย ก่อนตอบเสียงจ๋อยๆ “ริสยังเรียกแหวนกลับมาไม่ได้”

“อืม...” พี่สาวคนสวยทำเสียงรับรู้ในลำคอ

“พี่เซีย ถ้าริสเรียกแหวนกลับมาไม่ได้ตลอดกาลจริงๆ อะไรจะเกิดขึ้น” น้องนุชสุดท้องตีหน้ายุ่ง

“แหวนประจำตัวช่วยเสริมพลัง และในขณะเดียวกันยังเป็นเสมือนเครื่องราง ฉะนั้นนอกจากริสจะโชคร้ายแล้ว ที่แห่งหนตำบลใดที่แหวนของริสตกไปอยู่ ก็จะมีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวาย จะเกิดอาเพศชนิดที่เราไม่อาจคาดเดาได้ แล้วแหวนประจำตระกูลเรา เป็นแหวนที่ผ่านพิธีเสกแล้ว ฉะนั้นถ้าไปอยู่กับคนที่ไม่ใช่เจ้าของ แหวนจะทำให้เกิดเหตุต่างๆ หนักขึ้นไปอีก”

“โอ้...จอร์ช” ไอริสคอย่นเมื่อได้ฟังสารพัดโทษ “เราน่าจะสร้างวงใหม่มาทดแทนได้”

“จะสร้างได้ ก็ต้องกำจัดแหวนวงเก่าก่อน ซึ่งนั่นไม่มีทางเลย เพราะเท่ากับกำจัดตัวเราด้วย”

“แย่ที่สุด” น้ำเสียงจ๋อยลงไปอีก

“คราวนี้เห็นผลของการชอบหนีเรียนหรือยัง ริสชอบถือว่ามีพลังพิเศษ เลยชอบเที่ยวเล่น ผลเป็นไง รู้สำนึกหรือยัง”

“โห...ไม่ต้องซ้ำได้ไหม แล้วริสไม่เคยทะนงตัวหรือลำพองเรื่องพลังเลย ก็แค่อยากเที่ยวแบบเด็กคนอื่นๆ บ้าง ริสฝึกสมาธิมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะ”

เอลิเซียถอนใจ เข้าใจปัญหาของน้องสาวดี แต่เพราะความชอบเที่ยว ชอบซุกซนไปตามประสานี่แหละ ถึงทำให้เกิดเรื่องไม่หยุดหย่อน ไม่ทันตอบเมื่อเสียงของน้องสาวดังอีกว่า

“เอางี้... พี่เขียนคาถาให้ริสอ่าน แบบนี้ง่ายกว่ากันเยอะ”

“เราจะหัวหมอไปแล้วนะ ถ้าทำแบบนั้นเมื่อไหร่จะจำคาถาได้สักที”

“ก็นี่ไม่ใช่การฝึกเพื่อเตรียมสอบ แต่ริสจำเป็นต้องรีบเรียกแหวนกลับคืน”

พี่สาวลังเล “จะดีเหรอ”

“มันดีกว่าทำแหวนหายไปชั่วกัปชั่วกัลป์นะพี่เซีย”

เอลิเซียชั่งใจครู่ใหญ่ๆ แล้วพยักหน้า “ก็ได้...แต่แค่หนนี้หนเดียวนะ”

“ได้ๆ” ใบหน้าสวยแอร่มรีบพยักหน้ารับ ยิ้มกว้างเต็มเรียวปากจนเห็นลักยิ้มน่ารักสองข้าง ส่งผลให้วงหน้าเรียวสะสวยอ่อนหวานละมุนมากขึ้น ทันใดนั้นก็มีดอกไม้มาลอยเบ่งบานอยู่รอบกายสองสาวพี่น้อง ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วไม่ต่างจากกลิ่นน้ำหอมชั้นดีราวกับตอบรับความยินดีของไอริสก็ไม่ปาน พี่สาวมองรอบตัวด้วยความรู้สึกทึ่งแกมชื่นชม “นี่เป็นพรสวรรค์อีกอย่างของริสสินะ ความดีใจสามารถเรียกดอกไม้ให้มาบานส่งกลิ่นหอมได้”

แม่มดน้องขมวดคิ้ว “ริสไม่รู้ รู้แต่ว่าทุกครั้งที่ริสดีใจมากๆ จะมีดอกไม้มาแย้มกลีบบานสะพรั่งแบบนี้อยู่เสมอ” พูดพลางมองดอกไม้รอบตัวด้วยรอยยิ้ม ดอกไม้หลากสีหลากชนิดกำลังเบ่งบานท้ามวลภมรอย่างน่าประหลาดใจ หนึ่งในนั้นมีดอกไอริสซึ่งเป็นดอกไม้ประจำตัวเธอ แม้เหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก หากทุกครั้งที่เกิดขึ้น ยังความตื่นเต้นปรีดาให้เธอเสมอ

“หอมสดชื่นจัง” เมทัล กระรอกน้อยร้องขึ้น พลางสูดจมูกฟุดฟิด

เอลิเซียเหลือบตามองเพื่อนตัวจ้อยของน้องสาวด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดกับน้องสาวว่า “สังเกตไหม ยิ่งริสเรียกคาถาสูงขึ้นๆ เท่าไหร่ พรสวรรค์ที่อยู่ในตัวก็ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้นเท่านั้น น่าสงสัยว่าถ้าริสเรียนจบคอร์สเหมือนคนอื่นๆ ริสจะมีพลังแก่กล้าแค่ไหนและจะมีพรสวรรค์น่าทึ่งอะไรปรากฏออกมาอีก”

“ซึ่งจะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด เพราะริสไม่ชอบการนั่งเรียนในห้อง”

เอลิเซียตวัดตาค้อน “เราก็เป็นซะแบบนี้ถึงเรียนได้ไม่ถึงไหนเลย เอาล่ะ...มาท่องคาถาเรียกแหวนดีกว่า” แล้วเอลิเซียก็บริกรรมคาถา ก่อนดีดนิ้วกำกับ ชั่วครู่ก็มีกระดาษพร้อมตัวอักษรปรากฏอยู่ในมือเรียวสวย เอลิเซียยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้น้องสาว แล้วว่า

“อ่านออกเสียงตามคาถา ระวังอย่าให้ผิดพลาดเด็ดขาด”

“ขอบคุณจ้าพี่เซียคนสวย” แม่มดฝึกหัดยิ้มปะเหลาะ แล้วอ่านทบทวนรอบหนึ่งเพื่อเรียกสมาธิ ใจนึกถึงแหวนตามวิธีของการบริกรรมคาถาที่ต้องนึกถึงวัตถุสิ่งนั้นในระหว่างที่ร่ายคาถา หากทว่าพออ่านมาถึงประโยคที่ว่า “...ด้วยอำนาจแห่งข้า จงนำพามาสู่แหล่งที่ข้าต้องการ ในนามแห่งข้า ‘ไอริส’ จงบังเกิด...” ชั่วขณะนั้นเองจู่ๆ ก็ปรากฏกระรอกอีกตัวบนกิ่งต้นส้มไม่ห่างออกไปนัก มันขว้างผลส้มใส่กระดาษเธออย่างต้องการกลั่นแกล้ง กระดาษหลุดร่วงจากมือ ไอริสตกใจทำให้ท่องกลายเป็นว่า “ด้วยนามแห่งข้า จงนำพาไปสู่แหล่งที่ข้าต้องการ ในอำนาจแห่งข้า ‘ไอริส’ ’ จงบังเกิด...” ในจังหวะเดียวกันนั้นกลิ่นส้มสุกจวนเน่าจากผลส้มที่ตกกระแทกพื้นแล้วแตกลอยมากระทบจมูก ทำให้เธอสั่นจมูกดุกดิกรุนแรงเพื่อหวังขับไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์นั้น เสี้ยววินาทีต่อมานั่นเองร่างเธอก็หายวับไปกับตาพี่สาว

“ไอริส!” เอลิเซียตะโกนก้องไปทั่วป่าผืนนั้นอย่างตกใจ เพราะการร่ายมนตร์ถูกๆ ผิดๆ ของน้องสาว ทำให้เกิดความผิดพลาดมหันต์ เมื่อมันได้พาไอริสหายสาบสูญไปในทันที







loaocatloaocat




Create Date : 06 มิถุนายน 2556
Last Update : 16 มิถุนายน 2556 23:15:48 น.
Counter : 743 Pageviews.

3 comment
เสกรักข้ามภพ...ตอน 2
lozocatlozocat


เสียงคนรับใช้ดังไปทั่วบ้านอย่างยินดี มีทั้งดีใจที่เจอลูกและมีบ้างดีใจที่เจอพ่อ ในทันทีที่รถของติณณภพเคลื่อนเข้าไปจอดในโรงจอดรถ เคียงข้างรถหรูนำเข้าจากนอกราคาแพงระยับหลายคันที่จอดเรียงรายอยู่ก่อนแล้ว บ่งบอกถึงความมีฐานะมั่งคั่งของรัฐมนตรีฯ ชาตรี และคุณหญิงตติยาได้เป็นอย่างดี เอมม่ารอจนรถจอดสนิท คว้าตุ๊กตา ถุงเสื้อผ้าทั้งของตุ๊กตาและของตัวเองเดินแกมวิ่งเข้าไปในบ้าน ปากร้องเรียก “คุณย่าขา” ไปตลอดทาง ติณณภพเปิดกระโปรงหลังรถ หยิบเป้เสื้อผ้าและกระเป๋าหนังสือของลูกสาว ก้าวยาวๆ ตามไปติดๆ

คนรับใช้วัย 20 ตอนปลายเข้ามารายงาน “คุณติณคะ คุณหญิงท่านให้มาเรียนเชิญที่ห้องไข่มุกค่ะ”

ห้องไข่มุก เป็นห้องนั่งเล่นสำหรับครอบครัว ถ้าเป็นแขกฝ่ายการเมืองของรัฐมนตรีฯ ชาตรี หรือแขกด้านสังคมสงเคราะห์ของคุณหญิงตติยา จะใช้ห้องงาช้างแทน ห้องรับแขกของบ้าน จะตั้งชื่อตามโทนสีและลักษณะการตกแต่งของห้อง

ติณณภพชะงัก ก่อนจะบอกเรียบๆว่า “เรียนคุณแม่ด้วย ผมขอเอาของของคุณหนูเอมม่าไปเก็บก่อน แล้วจะเข้าไป”

คนรับใช้ไม่ทันตอบ เมื่อเอมิกาที่ยืนอยู่ข้างๆ ผู้เป็นพ่อ พูดแทรกขึ้น “พ่อติณขา เอมม่าขอไปหาคุณย่ากับคุณปู่ก่อนได้ไหมคะ” ถามพลางยื่นถุงกระดาษให้ติณณภพ เมื่อผู้เป็นพ่อพยักหน้า แม่หนูพร้อมด้วยตุ๊กตาในอ้อมกอดก็เดินแกมวิ่งไปทางห้องไข่มุกในทันที ติณณภพละสายตากลับมาจากลูกสาว เรียวปากยังเปื้อนยิ้มละมุนละไม หมุนตัวจะเดินขึ้นบันได แต่คนรับใช้ตรงหน้าท้วงขึ้น

“คุณติณคะ ให้นันเอาของของคุณหนูไปเก็บให้ไหมคะ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเก็บเอง” การโดนตามตัวทันทีที่เข้าบ้านกลับทำให้เขาอยากถ่วงเวลาอีกหน่อย

นันทิยามองตามร่างสูงใหญ่เกือบ ๑๙๐ เซนติเมตรของฝาแฝดคนโตของบ้านเจนการเดินขึ้นบันไดด้วยแววตาเคลิบเคลิ้ม กระทั่งฝ่ายนั้นหายลับไปจากสายตา ไม่รู้เลยว่าตลอดเวลาตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนรุ่นพี่ร่วมอาชีพ ฉะนั้นเมื่อหมุนตัวกลับ จึงปะทะเข้ากับแววตาจ้องจับผิดของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง

“ทำตาเล็กตาน้อยเชียวนะแม่นัน หัดเจียมกะลาหัวไว้บ้าง” สาลิกาถากถางขึ้น

“อะไรป้า” กัดกลับ ทั้งที่สาลิกาไม่ได้แก่กว่ามากมายนัก “ก็ได้แต่มองให้ชุ่มฉ่ำหัวใจแหละป้า ไม่กล้าทำอย่าง นังใหม่ มันหรอก ว่าแต่คุณติณนี่นับวันจะหล่อผุดๆ” นันทิยาพูดศัพท์แสงวัยรุ่น “ยิ่งขรึมยิ่งหล่อ ดูๆ ไปมีเสน่ห์มากกว่าคุณตรัยน้องฝาแฝดเสียอีก คงเพราะ “กินยาก” เลยทำให้สาวๆ คลั่งไคล้” นันทิยาแสดงความเห็นอย่างคะนองปาก เพราะมั่นใจว่าแถวนั้นไม่มี “ยายเนี้ยบ” แม่บ้านจอมเฮี้ยบเจ้าระเบียบมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ

“ใครว่ายะ วันก่อนยังเจอข่าวในนิตยสาร เห็นว่าควงกับสาวสวยนางแบบลูกครึ่งอะไรสักคน ฉันว่าคุณติณไม่ได้กินยากหรอก เจ้าชู้พอๆ กับคุณตรัยนั่นแหละ เพียงแต่เจ้าชู้เงียบๆ เท่านั้น ไม่ได้กระโตกกระตากเหมือนคุณตรัย” สาลิกาเผลอร่วม “นินทา” ผสมโรง

“เอ๊ะป้านี่ อย่าว่าคุณติณของฉันนะ”

“เอ๊ะนังนี่” สาลิกาเขกหัวคนรับใช้รุ่นน้องไปป้าบหนึ่งอย่างอดรนทนไม่ได้ “ฉันทนให้แกเรียก “ป้า” อีกต่อไปไม่ไหวแล้วนะโว้ย นังนี่วอนเสียจริง ชอบตีเสมอผู้ใหญ่ไม่รู้จักระบบสเตตัสบ้างเลย”

“อะไรป้าระบบสเตตัส” พูดพลางคลำหัวป้อยๆ “เชยจริง ใครเขาเรียกสเตตัส ถ้าป้าหมายถึงระบบที่รุ่นน้องต้องเคารพเชื่อฟังรุ่นพี่ นั่นเขาเรียกว่า “โซตัส” ต่างหาก ไม่ใช่สเตตัส ป้ามัวแต่แอบเล่นเฟสบุ๊กลับหลังยายเนี้ยบสิท่า เลยรู้จักแต่สเตตัส”

“หน็อยแน่นังนี่” สาลิกาหน้าแดงก่ำ จะฟาดอีกป้าบแต่คราวนี้เพื่อนรุ่นน้องไหวตัวทัน ถอยกรูดฉากหลบได้เส้นยาแดงผ่าแปด “อย่าเฉียดเข้ามาใกล้นะนังนัน แม่จะฟาดไม่เลี้ยง” คาดโทษเสียงดัง

“น่าน...ลดอายุลงมาอีก ไม่ช่วยให้หนังหน้าป้าอ่อนลงมาหรอกนะ”

“เอ๊ะนังนี่! จะวอนไปถึงไหนวะ”

นันทิยาหัวเราะ เลิกแหย่เพื่อนรุ่นพี่แค่นั้น “ฉันแหย่เล่นน่า พี่สาอย่าโกรธไปเลย มาเม้าท์เรื่องนายต่อดีกว่า...สรุปที่ข่าวว่าคุณติณเจ้าชู้นี่ เป็นเรื่องจริงหรือ”

“แกจะเสือกเรื่องเจ้านายไปทำไมวะ เสือกไป คุณๆ ทั้งสองไม่ว่าจะเป็นคุณติณหรือคุณตรัย ก็ไม่มีทางชายหางตามาแลแกหรอก เพราะฉะนั้นหยุดฝันเฟื่องแล้วไปทำงานต่อได้แล้ว ก่อนที่ขี้กลากจะกินหัวมากไปกว่านี้”

“โหป้า เอ้ย...พี่สา” รีบแก้เมื่อเห็นฝ่ายนั้นง้างมือทำท่าจะแจก “ผาง” อีกรอบ “พูดซะเสียน้องหมา ฉันไม่ได้เสือกเรื่องเจ้านาย ก็ใครๆ พูดถึงคุณติณคุณตรัยทั้งนั้น แล้วคู่นี้น่ะหล่อเพอร์เฟ็กต์ ต่างแค่ว่าคนหนึ่งหล่อเงียบ อีกคนหล่อขี้เล่น อีกอย่างว่าไปแล้ว ไม่จริงหรอกที่ว่า “คุณๆ” จะไม่สนใจขี้ข้าอย่างพวกเรา ก็ดูอย่าง “นังใหม่” สิ เสือกจนได้ดี จู่ๆ บุญหล่นทับได้เป็น “เมีย” คุณตรัย”

“นังใหม่ให้ท่าคุณตรัยน่ะสิ” สาลิกาย้อนกลับทันควัน “แล้วนั่นเหตุเกิดแค่คืนเดียวเขาไม่เรียกว่า “เมีย” หรอกย่ะ แต่เรียกว่า “ของเล่น” ชั่วค่ำคืนของคุณตรัย แรดแล้วยังเสือกโง่ไปโพนทะนาอวดอ้างเสียสามบ้านเจ็ดบ้านอีก รู้ไปถึงหูคุณหญิงๆ ก็เลยไล่ตะเพิดออกจากบ้าน ดีสมน้ำหน้า โง่แล้วยังอวดฉลาด เสียทั้งตัวเสียทั้งงาน แกอยากได้บ้างมั้ยล่ะ”

น้ำเสียงคนพูดเต็มไปด้วยรอยริษยาอย่างฟังออกชัด แต่นันทิยาค้านที่จะแย้ง ด้วยเป็นที่รับรู้ในบ้านเจนการว่าคนรับใช้ในวัยสาวแทบทุกคนคาดหวังจะได้รับการชายตาแลจากลูกชายฝาแฝดของเจ้าของบ้านมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะทั้งคู่หล่อเทียบชั้นดารานายแบบต่างประเทศก็ว่าได้ ด้วยรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาคมสันกระเดียดไปทางตะวันออกกลาง แต่เนื่องจากตรัยภพทำเสียการปกครองโดยทำตัวเป็นสมภารกินไก่วัดเมื่อ ๕ ปีก่อนในหนนั้น ทำให้คุณหญิงตติยา ลั่นปากคาดโทษจะตัดเงินเบี้ยเลี้ยง และจะยกเลิกการส่งตัวไปเรียนที่ต่างประเทศ ส่งผลให้ตรัยภพซึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยได้ไม่กี่วัน แต่ขยันสร้างเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ไม่กล้า “แอ้ม” เด็กรับใช้ในบ้านอีกต่อไป ประกอบกับนับแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น คุณหญิงตติยา ก็ตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการไม่รับเด็กรับใช้วัยรุ่นที่รูปโฉมสะคราญตาเข้ามาทำงานในบ้านอีกเลย คงรับแต่เพียงหญิงแก่หรือไม่ก็อายุอานามเลย ๒๐ ตอนปลายแต่หน้าตา “ไม่เจริญหูเจริญตา” มาทำงานแทน แล้วนันทิยาก็คิดว่าตัวเองโชคดี นอกจากเป็นคนรับใช้รุ่นเก่าแก่ จึงอยู่นอกเหนือจากเงื่อนไขเหล่านั้น นั่นคือ เธอยังไม่แก่และสวย

“ได้ข่าวว่านังใหม่ได้เงินจากคุณตรัยไปหลายไม่ใช่เหรอ เห็นว่าตั้งตัวที่บ้านนอกได้สบายๆ เลย” นันทิยาถามต่อ

“คุณตรัยให้เพื่อตัดความรำคาญน่ะสิ ไม่งั้นมันก็คร่ำครวญจะเป็นจะตายอยู่นั่นแหละ แถมขู่ว่าจะไปฟ้องนักข่าวด้วย นังนี่แสบนัก คงดูละครหลังข่าวเยอะ เลยหัวหมอ”

คนฟังหัวเราะ “แล้วจริงหรือเปล่าที่เขาว่าคุณหนูเอมม่าเป็นลูกของคุณตรัยกับคุณอลินา”

สาลิกาตกใจ รีบถลาไปอุดปากรุ่นน้อง ตามองรอบตัวเลิ่กลั่ก เมื่อไม่เห็นมีใคร ก็ปล่อยมือ แต่ลดเสียงลงจนกลายเป็นการกระซิบกระซาบ “อย่าเอ็ดไป... เดี๋ยวก็ถูกเฉดหัวออกจากบ้านไม่ทันหรอก จะพูดจะจาอะไรหัดระวังปากคำไว้บ้าง คุณหนูเอมม่ายิ่งเป็นแก้วตาดวงใจของคนบ้านนี้ด้วย ไม่ใช่แค่บ้านนี้สิ ทั้งตระกูลเจนการเลยก็ว่าได้” สาลิกาหมายถึงเครือญาติเจนการที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตเดียวกันนี้

นันทิยาตวัดตาค้อน แต่ก็ยอมลดเสียงลง “จะให้ระวังปากระวังคำอะไรล่ะพี่สา คนเขารู้กันทั้งซอย เอ้ย...ทั้งบ้านว่าคุณหนูเอมม่าเป็นลูกของคุณตรัย ถึงหน้าตาจะดูไม่ออกว่าเหมือนคุณตรัยหรือคุณติณ เพราะหน้าคุณๆ ทั้งสองเหมือนกันราวกับแกะ แต่เพราะความที่คุณตรัยเจ้าชู้โจ่งครึ่ม ทุกคนเลยพร้อมใจกันเชื่ออย่างนั้น อีกอย่างนับนิ้วย้อนกลับไปช่วงที่คุณอลินาตั้งท้อง คุณติณน่าจะยังอยู่อังกฤษนะช่วงนั้น เพราะคุณติณไม่ได้กลับมาบ้านเลยมัวแต่มุเรียนหนัก ไม่เหมือนคุณตรัยหรอก หยิบโหย่งไม่จบอะไรสักอย่าง เรียนแป๊บๆ ก็บินกลับมา ร่อนไปร่อนมาในเมืองไทยเป็นพ่อพวงมาลัย จนคุณท่านเอือมระอา ขู่ว่าจะเลิกให้เงินนั่นแหละ ถึงยอมกลับไปเรียนต่อ แต่ก็ดูเหมือนจะหยิบโหย่งเหมือนเคย เพราะป้าศรีเล่าว่าเรียนที่อเมริกาจะ ๖-๗ ปีเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังไม่จบอะไรสักอย่าง” นันทิยาพูดอย่างคนรู้อะไรดีๆ เพราะฟังมาจากเพื่อนคนรับใช้ข้างบ้านซึ่งก็เป็นบ้านของญาติๆ ของครอบครัวคุณหญิงตติยานั่นแหละนินทาให้ฟัง

คนรับใช้ในตระกูลเจนการ ถ้าว่างจากการงาน ก็มักมาจับกลุ่มรวมตัวกันนินทาเจ้านาย หัวข้อยอดฮิตที่มักหยิบยกมาผูกสัมพันธไมตรีระหว่างเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน นั่นคือ “คุณหนูเอมม่า” ผู้เป็นลูกสาวของตรัยภพและอลินา ซึ่งเป็นหัวข้ออันโอชะอย่างยิ่ง ด้วยว่ามีการเล่าปากต่อปากว่าสมัยที่ติณณภพยังคบหาอยู่กับอลินานั้น ไม่เป็นที่โปรดปรานของคุณหญิงตติยา เพราะอลินายากจน แถมไม่ได้มาจากตระกูลดัง ดังนั้นถึงจะมีรูปโฉมเป็นทรัพย์ท่วมเป็นภูเขาเลากาจนได้ตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัย ก็ไม่อาจเอาชนะใจว่าที่แม่สามีได้

อลินาไม่เป็นที่ต้อนรับและไม่เป็นที่ยอมรับของคุณหญิงตติยามาแต่ไหนแต่ไร ติณณภพจึงเลี่ยงการกระทบกระทั่งระหว่างคนทั้งคู่ ด้วยการไม่พาอลินามากินข้าวที่บ้านอีกเลย นั่นยิ่งทำให้คุณหญิงตติยาโกรธและชังอลินามากขึ้น คิดว่าถูกแย่งลูกชาย คุณหญิงตติยาหาทางแยกคนทั้งคู่ด้วยการบังคับให้ติณณภพแฝดคนโตไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่การขัดขวางหนนั้นกลับเข้าทางตรัยภพซึ่งแอบพึงใจแฟนสาวของพี่ชายอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ติณณภพพามากินข้าวที่บ้านครั้งแรก ยิ่งกว่านั้นมีการพูดกันปากต่อปากว่านับตั้งแต่ติณณภพไปเรียนที่อังกฤษ ตรัยภพก็เข้าไปตีสนิทและพยายามจีบอลินามาโดยตลอด

และไม่นานต่อมา อลินาก็เกิดตั้งท้องขึ้น ซึ่งตอนนั้นติณณภพยังเรียนอยู่ที่อังกฤษ แล้วเรื่องเป็นมาอย่างไรหลังจากนั้นนันทิยาก็ไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าจู่ๆ แฝดผู้พี่ก็มารับสมอ้างเป็นพ่อ ขณะที่อลินาซึ่งไม่เคยปรากฏว่าเป็นโรคหัวใจอะไรมาก่อนเลยนั้น กลับต้องมาเสียชีวิตจากโรคหัวใจล้มเหลวในระหว่างการคลอดคุณหนูเอมม่า ที่น่าตลกยิ่งกว่านั้น คือ คุณหญิงตติยาซึ่งเคยแสดงอาการรังเกียจรังงอนคนเป็นแม่ชัดเจน กลับเปลี่ยนท่าทีมารักคนเป็นลูกอย่างออกนอกหน้า เข้าตำรา “เกลียดตัวกินไข่” ชนิดที่เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยทีเดียว เพราะจากที่เคยๆ รังเกียจ แต่พอได้เลี้ยงดูคุณหนูเอมม่าในระหว่างที่ติณณภพเดินทางกลับไปเรียนต่อที่อังกฤษได้ไม่กี่สัปดาห์นั้น คุณหญิงตติยากลับเกิดความรู้สึกหลงรักแม่หนูจนกลายเป็นแก้วตาดวงใจ และนับแต่นั้นหนูน้อยก็กลายเป็นสมาชิกของตระกูลเจนการไปอีกคน

“เอ๊ะ...นังนันนี่ ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ เดี๋ยวก็พากันซวยทั้งคู่หรอก ไปๆ รีบไปทำงานได้แล้ว คุณหญิงสั่งให้มาตามคุณติณไปพบไม่ใช่หรือ รีบขึ้นไปรายงานคุณติณได้แล้ว”

“โอ๊ย...พูดเรื่องนี้แล้วนึกขึ้นได้ คุณติณสั่งให้ฉันไปบอกคุณหญิงนี่น่า ว่าขอเวลาไปเก็บของให้คุณหนูเอมม่าแป๊บหนึ่ง แล้วจะตามไปสมทบที่ห้องรับแขก แย่แล้ว...มัวแต่เม้าท์เพลินลืมไปเลย งั้นฉันไปล่ะพี่สา ต้องรีบไปเรียนท่านแล้ว”



ติณณภพก้าวเข้าไปในห้องไข่มุกซึ่งในห้องไม่ได้มีแต่บุพการี และลูกสาวเท่านั้น แต่ยังมี ตรัยภพ ผู้เป็นน้องแฝดอยู่ด้วย เขาชะงักแค่เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็ก้าวต่อด้วยจังหวะสม่ำเสมอดังเดิม

เป็นเวลากว่า ๕ ปีมาแล้วที่เขากับน้องชายไม่เคยพูดคุยดีๆ กันเกินประโยคเลยสักครั้ง...

“พ่อติณมาแล้ว” เอมม่าร้องขึ้นอย่างยินดีแล้วกระโดดผลุงลงจากตักปู่ วิ่งโผเข้าไปกอดติณณภพ พาจูงมานั่งโซฟาที่ว่างข้างคุณย่าแล้วร้องขอให้เขาอุ้มขึ้นไปนั่งบนตัก ตรัยภพมองภาพนั้นโดยไม่พูดไม่จา ตวัดตามองพี่ชายฝาแฝดสลับกับลูกสาวตัวจ้อยเงียบๆ ยิ้มระรื่นแฝงแววขี้เล่นยังคงเกลี่ยอยู่บนริมฝีปากเมื่อกระเซ้าว่า

“หนูเอมม่าโตขึ้นเยอะ ยิ่งโตยิ่งสวยเหมือนแม่” ตรัยภพแซวตามประสาคนปากอยู่ไม่สุข เขาไม่ได้มีความผูกพันกับเอมม่า แม้ว่าจะเป็นลูกสาวของเขาและอลินาผู้หญิงที่ถูกเขาเปิดบริสุทธิ์เป็นคนแรก กระนั้นต้องยอมรับว่านับวันแม่หนูน้อยยิ่งโตยิ่งมีเค้าสะสวยเหมือนอลินา แถมยังฉลาด ช่างพูดช่างจา ช่างฉอเลาะ จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากจะเป็นที่รักของทุกๆ คนในครอบครัวในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เว้นแม้กระทั่งเขาที่เจอแม่หนูน้อยนานๆ ครั้ง แต่เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้ม กิริยาพูดฉอเลาะอย่างน่ารัก ก็อดเอ็นดูไม่ได้ ความจริงเขาบินกลับมาบ้านบ่อยครั้ง แต่ไม่ค่อยได้เจอเพราะคราใดที่พี่ชายฝาแฝดรู้ว่าเขากลับมาบ้าน ฝ่ายนั้นก็จะพยายามเลี่ยง ไม่พาแม่หนูน้อยมาบ้าน

ติณณภพขบกรามแน่น เขากัดฟันพูดเสียงแทบไม่ลอดไรฟันว่า “อย่ามาบังอาจแตะต้องอลินากับลูกสาวฉันเด็ดขาด” โต้กลับ สองแขนแกร่งกอดเอวเล็กอย่างปกป้อง

เสียงกร้าวแต่แผ่วต่ำในลำคอของติณณภพ ทำให้เอมม่าตกใจ รีบแหงนหน้ามอง ลูกสาวตัวน้อยรับรู้ได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวของผู้เป็นพ่อ จึงยื่นมือไปลูบแก้มไปมา ติณณภพเอียงหน้าจูบฝ่ามือเล็กอย่างขอบใจในความห่วงใยของลูกสาว

“ไม่เอาน่า ผมก็แค่ตั้งข้อสังเกต” ตรัยภพพูดกลั้วหัวเราะ ยั่วต่อว่า “เอ...หรือว่าพี่ติณจะบอกว่าหนูเอมม่า ยิ่งโตยิ่งสวยเพราะพ่อหล่อ?”

“ไอ้ตรัย!” คราวนี้ติณณภพคำรามเสียงเข้ม แววตากร้าวบอกเป็นนัยว่าถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าพ่อแม่ เขาคงปรี่เข้าไปต่อยให้คว่ำแล้ว และทุกคนก็ดูเหมือนรับรู้สัญญาณนั้น คุณหญิงตติยาจึงรีบห้ามทัพ “ตรัยนี่ไงนะ มาถึงก็ชอบก่อเรื่องระรานคนอื่นไปทั่ว ไป...อยากไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ใช่หรือ จะไปก็รีบไปเสียสิ” เอ่ยอนุญาตอย่างตัดบทเพื่อตัดปัญหา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตรัยภพพยายามเซ้าซี้ขอไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ แต่เธอห้ามไว้ อ้างว่าเพิ่งกลับมาจากอเมริกา ควรอยู่บ้านให้พ่อแม่หายคิดถึงบ้าง

หลายปีก่อนติณณภพได้รู้จักกับอลินา นักเรียนวัยคอซองที่มารับจ้างทำงานพิเศษช่วยแม่ด้วยการเป็นพนักงานขายของร้านฟาสต์ฟูดในห้างแห่งหนึ่ง เป็นความรักแรกพบที่ฝังใจมาตั้งแต่วัยเรียน พวกเขาคบหาและวางแผนจะแต่งงานกันในทันทีที่ฝ่ายหญิงจบมหาวิทยาลัย หากทว่าความฝันของพวกเขาก็ต้องดับสลาย เมื่อจู่ๆ คุณหญิงตติยาขอให้เขาไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ เพื่อว่าจะได้กลับมาดูแลและสืบทอดกิจการโรงแรมต่อ คุณหญิงตติยาบอกว่าถ้าจบกลับมาแล้วจะไม่ขัดขวางเรื่องการแต่งงาน

ติณณภพขอร้องให้แฟนสาวไปด้วยกันโดยยอมที่จะออกค่าใช้จ่ายในการเรียนปริญญาตรีให้กับเธอทุกอย่าง ด้วยรู้ว่าอลินาไม่ได้ร่ำรวย ตรงกันข้ามครอบครัวหาเช้ากินค่ำ เพราะพ่อเสียตั้งแต่เธอเล็กๆ มีแม่เพียงคนเดียวคอยเลี้ยงดู แต่อลินาปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าไม่อยากเป็นภาระด้านค่าใช้จ่ายกับเขา ติณณภพมารู้ภายหลังว่าเหตุผลที่หญิงสาวปฏิเสธ เพราะคุณหญิงตติยาโทร.ไปขัดขวาง โดยใช้คำพูดถากถางสารพัด ความจริงเขาน่าจะเอะใจตั้งแต่คราวที่พาเธอมาร่วมรับประทานอาหารที่บ้านและแม่เขาออกอาการไม่ยินดีชัดเจน เขาควรเดาออกแล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคอยขัดขวางความรักของเขา ก็คือคุณหญิงตติยา นั่นเอง

ขณะที่เขาเรียนต่างประเทศ อลินาอยู่เมืองไทย ช่วงนี้เองที่ตรัยภพดอดเข้าหาอลินาโดยอ้างความเป็นน้องชายของเขา ทำให้อลินาตายใจจนเพลี่ยงพล้ำตกเป็นของตรัยภพ ภายหลังถูกข่มเหงไม่กี่เดือนเธอก็ตั้งท้อง อลินาพยายามกินยานอนหลับฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ เพราะแม่เธอเข้าไปพบเสียก่อน จึงนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทัน

เมื่อทราบเรื่องจากแม่ของอลินา เขารีบเดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมกับขอร้องและขอให้เธอสัญญาว่าจะไม่พยายามฆ่าตัวตายอีก อลินาบอกว่าเธอรังเกียจตัวเอง แต่เขารับได้และไม่รังเกียจ เขาบอกเธอว่ายินดีรับเป็นพ่อเด็กและพร้อมจะแต่งงานกับเธอในทันทีที่ออกจากโรงพยาบาล โดยเขาจะเลี้ยงดูเธอกับลูกเอง อลินาตอบตกลงที่จะไม่ฆ่าตัวตายพร้อมรับปากว่าจะเก็บลูกไว้ แต่ขอคำสัญญาจากเขาว่าจะต้องเรียนจบปริญญาโทก่อนแล้วค่อยแต่งงานกัน เพราะเธออยากเห็นเขาสวมชุดครุยมหาบัณฑิต ติณณภพยอมตกลง พวกเขาให้คำสัญญาต่อกันว่าจะแต่งงานด้วยกันในทันทีที่เขาเรียนจบกลับมา

หากทว่าโชคชะตาไม่เข้าข้าง ในวันที่เธอคลอดลูกซึ่งเป็นวันที่เขาได้ชีวิตใหม่ แต่กลับต้องเป็นวันที่เขาสูญเสียอีกชีวิตหนึ่งไปตลอดกาล อลินาสิ้นลมหายใจด้วยอาการหัวใจล้มเหลว มารดาของอลินายอมยกเอมม่าให้เขาตามที่เขาขอร้องแกมอ้อนวอน แต่ด้วยเหตุที่เขาสัญญากับอลินาไว้ว่าจะคว้าปริญญาโทกลับมา เขาจึงกลับไปมุมานะเรียนต่อ และฝากเอมม่าให้คุณหญิงตติยาช่วยเลี้ยง โดยเขาไม่ปิดบังเรื่องที่น้องชายทำเลวระยำตำบอนไว้กับอลินา แม่เขายอมรับเลี้ยงอย่างจำใจ เขากลับไปมุมานะเรียนหนักจนจบและกลับมารับเอมม่าไปเลี้ยงดูตามที่ให้สัญญากับคุณหญิงตติยา เขาทำให้ความฝันของอลินาและครอบครัวสมหวังในเรื่องเรียนก็จริง แต่ทว่านับแต่นั้นก็มี “เส้นบางๆ” ขีดกั้นระหว่างเขากับคุณหญิงตติยาด้วยเหมือนกัน นอกเหนือจาก “เส้นหนาๆ” ที่กั้นกลางระหว่างเขากับน้องชาย เขามองว่าถ้าคุณหญิงตติยาไม่ขัดขวางความรักของเขากับอลินา เขาก็ไม่ต้องสูญเสียเธอไปตลอดกาล และเอมม่าก็คงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเขา ไม่ใช่จากผู้ชายห่วยๆ ไม่เอาไหนอย่างน้องชายแบบนี้



ตรัยภพฟังคำพูดของคุณหญิงตติยาแล้วหัวเราะ เขาแบมือไปข้างหน้า “เงินล่ะครับ ไปค้างโรงแรมแม่ ฟรีก็จริง แต่ผมก็มีค่าใช้จ่ายต้องกินต้องใช้ด้วยเหมือนกัน” ตรัยภพแบมือ “ไถ” หน้าตาเฉย

คุณหญิงตติยาชักสีหน้า ตวัดตาค้อน แต่คนในห้องไข่มุกดูออกว่า “แกล้งทำ” ด้วยเป็นที่รับรู้ในหมู่เครือญาติเป็นอย่างดีว่าคุณหญิงตติยาไม่เคยขัดใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ได้เลยสักครั้ง ตรงกันข้ามตามใจกันมาจนเสียผู้เสียคน

“แล้วเงินที่ฉันเพิ่งโอนให้เมื่อ ๒ อาทิตย์ก่อนล่ะ อย่าบอกนะว่าแกถลุงไปจนหมดแล้ว”

“โถ...แม่ครับเงินแค่แสนเดียว แม่คิดว่าผมจะใช้ไปตลอดทั้งชาติเลยหรือไง ผมอยู่แอลเอนะครับไม่ได้อยู่ร้อยเอ็ด ค่าเงินจะได้ถูกๆ แบบนั้น” ลูกชายสุดที่รักย้อนกลับอย่างเจ็บแสบ

“ค่าเงินที่แอลเอจะแพงแค่ไหน แกก็ไม่ควรใช้หมดภายใน ๒ อาทิตย์ ถ้าแกยังใช้เงินมือเติบแบบนี้ ถึงฉันมีตู้เอทีเอ็มวิเศษ ก็คงเนรมิตเงินให้แกผลาญไม่ทันอยู่ดี”

“โห...ว่าเสียเจ็บแสบ ผมเปล่าผลาญนะ แม่ก็รู้ผมจำเป็นต้องใช้เงินไปปิดเคส”

“ปิดเคสอะไรกัน” รัฐมนตรีชาตรีฯ ซึ่งฟังบทสนทนาระหว่างแม่ลูกมาโดยตลอดเพิ่งมีโอกาสถามขึ้น คิ้วเข้มขมวดมุ่น

คุณหญิงตติยารีบเปลี่ยนเรื่อง หวังหันเหเรื่องที่สามีสนใจด้วยการหันไปคุยกับลูกชาย “โอเคๆ ไม่ต้องพูดมากแล้ว เดี๋ยวฉันเซ็นเช็คให้” คุณหญิงตติยาเปิดกระเป๋าราคาแพงระยับ หยิบเช็คและปากกาออกมาเซ็นเกร็กแล้วยื่นให้ลูกชายคนเล็กที่เดินมารอรับ “รีบเอาเงินแล้วจะไปไหนก็ไปเลย”

ตรัยภพรับเช็คมาดูตัวเลขแล้วร้องโอดครวญ “อะไรแค่ ๕ หมื่นเองเหรอ”

“จะเอาหรือไม่เอา” ย้อนถามกลับเสียงเข้ม

ตรัยภพรีบเก็บซุกกระเป๋ากางเกงเมื่อผู้เป็นแม่ทำท่าจะฉกเช็คกลับ “ก็ดีกว่าไม่ได้ ไปแล้วนะครับคุณแม่สุดที่รัก อาไปก่อนนะหนูเอมม่า หลานสาวคนสวยของอา หนูนี่นับวันยิ่งสวย ฉลาดช่างพูดเป็นที่สุด” ไม่แค่พูด แต่ยังก้มจุ๊บแก้มหลานสาว ติณณภพตัวแข็ง พยายามบังคับตัวเองไม่ให้เบี่ยงตัวลูกสาวหนี ขณะที่เอมม่าโบกมือบ๊ายบายตอบ ติณณภพมองตามหลังน้องชายด้วยแววตาขึ้งโกรธ

“ตรัยพูดเรื่องปิดเคสอะไรกัน” รัฐมนตรีฯ ชาตรีหันไปถามภรรยาอย่างติดใจ

“ไม่มีอะไรหรอกคุณ อย่าไปสนใจเลย ก็แค่เรื่องสร้างความปวดหัวตามประสาผู้ชายนั่นแหละ”

“แล้วคราวนี้เรื่องอะไรล่ะ”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ก็แค่เรื่องเที่ยวแล้วไปมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่น” คุณหญิงตติยาพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมบอกความจริงแก่สามี

“คุณไม่ควรตามใจตรัยมากเกินไป ตอนนี้มันเสียผู้เสียคนแล้ว”

“น่า...ไม่มีอีกแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วง” คุณหญิงตติยารับปากส่งเดช

ติณณภพถามขึ้น “หมอนั่นกลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่”

คุณหญิงตติยาหันมาตอบ แววตายิ้มปรานี “เพิ่งมาถึงเมื่อวานจ๊ะ ติณก็อย่าไปถือโทษโกรธน้องเลยนะ นายตรัยชอบกวนโอ๊ยไปแบบนั้นเอง แต่ไม่มีอะไรหรอก” ออกรับแทนลูกชายคนเล็กหน้าตาเฉย ทั้งที่รู้กันในหมู่เครือญาติที่สนิทกันอย่างดีว่านับตั้งแต่ตรัยภพทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงด้วยการข่มเหงอลินาจนท้อง ก็เกิดความบาดหมางใจและเข้าหน้ากันไม่ติดระหว่างพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ แม้เธอจะพยายามเยียวยาความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แต่สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปอีกเมื่ออลินามาจบชีวิตลงจากการคลอดเอมม่า นับจากนั้นรอยร้าวระหว่างสองพี่น้องก็ไม่อาจสมานได้อีกเลย คงกลายเป็นหลุมดำแห่งความเกลียดชังที่ถมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม เธอจึงได้แต่คาดหวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่างไปเอง

ติณณภพตอบเรียบๆ ว่า “ผมไม่ถือลูกชายของคุณแม่หรอกครับ รู้สันดานมันดี”

คุณหญิงตติยาสะอึก ขณะที่รัฐมนตรีฯ ชาตรีกระแอม เขาไกล่เกลี่ยบรรยากาศชวนอึดอัดนั้น ด้วยการหันไปชวนหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนออกไปเดินเล่น “หนูเอมม่าไปเดินเล่นกับปู่ไหมลูก ปู่นั่งนานๆ ชักเมื่อย อยากออกไปเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อย”

“ได้เลยค่ะคุณปู่ พ่อติณขา เอมม่าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณปู่นะคะ” เอมม่าเอียงหน้าขออนุญาต

แววตาติณณภาพกลับมาอ่อนแสงลงเมื่อตอบลูกสาวว่า “ไปเถอะลูก” เขารอจนลูกสาวออกพ้นห้องไปแล้ว จึงหันมาทางคุณหญิงตติยา ถามเปลี่ยนเรื่องว่า “คุณแม่ให้เด็กไปตามผม มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

“แม่อยากให้ติณแต่งงาน หนูไนซ์รอลูกมานานแล้วนะ รีบแต่งๆ เถอะ จะได้เข้ามาช่วยดูแลกิจการของครอบครัวเรา” คุณหญิงตติยาแย็บตรงประเด็น

“ยังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีกหรือครับ ถ้าแม่อยากได้คนสืบสกุล ก็มีหนูเอมม่าคนหนึ่งแล้ว” ติณณภพย้อนอย่างไม่ยอมจำนน ความจริง ไนซ์ หรือ นัยนา เป็นผู้หญิงที่สวย ชาติตระกูลดีและการศึกษาสูง ด้วยจบปริญญาโทจากฮาร์วาร์ด เสียแต่ว่าเขาเองที่ไม่พร้อมกับการเปิดใจรับใครอีก นับแต่สูญเสียอลินา เขาก็ปิดล็อกหัวใจไม่ให้ผู้หญิงคนไหนเฉียดเข้ามากล้ำกรายได้อีกเลย

“ไม่ใช่เรื่องคนสืบสกุล แต่เรื่องดูแลกิจการของครอบครัวจ๊ะ” คุณหญิงตติยาแก้ความเข้าใจของลูกชายอย่างใจเย็น

“ก็ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ไปเคี่ยวเข็ญลูกชายสุดที่รักของคุณแม่ล่ะ”

คุณหญิงตติยาค้อนขวับใหญ่ แววตาวิบวับ นับแต่ติณณภพปักใจเชื่อว่าเธอให้ท้ายตรัยภพ เนื่องจากไม่ลงโทษเรื่องที่ทำให้อลินาท้อง ซึ่งความจริงเธอไม่ได้ให้ท้าย เพียงแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายก็ท้องและเสียชีวิตไปแล้ว ครั้งนั้นก็เลยแค่ต่อว่าตรัยภพต่อหน้าติณณภพไปนิดๆ หน่อยๆ พอเป็นพิธี แต่ทว่านับจากนั้นติณณภพก็ดูจะกลายเป็นคนขวางๆ คอยแต่มีคำถากถางมาทิ่มตำเธอให้เจ็บๆ คันๆ ในหัวใจเล่น คุณหญิงตติยาลอบถอนหายใจอย่างหนักใจ แต่ไม่ทันคิดหาคำมาแย้ง ตรัยภพก็วกกลับเข้ามาในห้อง เขาเดินมาหยิบหมวกที่วางลืมไว้บนโต๊ะ กล่าวโอดครวญแต่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เดือดร้อนนัก

“ทำไมถึงโยนกองมาให้ผมแบบนั้นล่ะพี่ติณสุดเลิฟ ผมยังไม่คิดกลับมาอยู่เมืองไทยง่ายๆ หรอก ฉะนั้นอย่ามาเกลี้ยกล่อมแม่ให้เล็งเป้ามาที่ผมเสียให้ยาก แม่เคี่ยวเข็ญพี่ติณน่ะถูกแล้ว อีกอย่างพี่ติณเป็นพี่ชายคนโต สมควรอย่างยิ่งที่จะตบแต่งเมียพาเข้าบ้านเพื่อมาช่วยดูแลกิจการของครอบครัว ผมแค่เข้ามาเอาหมวก ไปแล้วนะแม่ อ้อ...อีกอย่าง หนูไนซ์ของแม่เรียบร้อยเกินไป ไม่ถูกสเป็กผมหรอก จับผู้หญิงจืดๆ คลุมถุงชนให้พี่ติณน่ะถูกแล้ว”

“นายนี่ห่วยแตกไม่เปลี่ยนจริงๆ นายมองผู้หญิงแค่เรื่องกิเลสตัณหาเท่านั้นเองเหรอ” ตอกกลับอย่างเจ็บแสบ

“หยาบคายจริงพี่ติณ ผู้หญิงเรียบร้อยหรือไม่เรียบร้อย ส่งสัญญาณถึงเรื่องบนเตียงนะ เรื่องอย่างนี้พี่น่าจะรู้ เพราะพี่ไม่ได้ทึ่ม แต่ร้อนแรงไม่แพ้ผม” พูดพลางขยิบตายักคิ้วให้ แววตารื่นรมย์แฝงแววเจ้าเล่ห์เมื่อพูดต่อว่า “ถ้าเข้าขากันไม่ได้ พี่ก็รู้ชีวิตคู่จบเห่เร็วแค่นั้น”

คุณหญิงตติยาทำหน้าเหมือนจะเป็นลม ตากลอกขึ้นบน มือคว้าพัดข้างตัวมาพัดวีไปมา “นี่พูดเรื่องอะไรกัน แม่จะเป็นลม ทำไมถึงพูดถึงผู้หญิงดีๆ ในทางเสียๆ หายๆ ไม่น่าฟังแบบนั้น หนูไนซ์เป็นผู้ดีมีสกุลรุนชาตินะ แถมมาจากครอบครัวมั่งคั่งที่ตระกูลมีธุรกิจเป็นพันล้านหมื่นล้าน ฉะนั้นจะพูดจะจาอะไรหัดให้เกียรติหนูไนซ์บ้าง แม่ไม่ชอบเลยที่ตรัยพูดอย่างไม่ให้เกียรติผู้หญิงแบบนั้น”

“แม่น่าจะชิน ตรัยมันปากพล่อยแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

ตรัยภพหัวเราะ ไม่อนาทรกับคำเสียดสีของพี่ชาย “ผมไม่สนหรอก อยากว่าอะไรก็ว่าไป ผมไม่เดือดร้อน” ยักคิ้วแผล็บให้พี่ชายแล้วหันไปยกมือตะเบ๊ะให้คุณหญิงตติยา ก่อนเดินออกจากห้องไปอย่างลอยชาย

ติณณภพบดกรามแน่น “นิสัยห่วยลงทุกวัน เพราะถูกให้ท้ายจนเสียคน”

คุณหญิงตติยาสะดุ้ง ทำหน้าเหยเก แต่อดไม่ได้ที่จะแย้งเสียงอ่อนๆ ว่า “ช่วงหลังแม่ก็ไม่ได้ให้ท้ายตรัยแล้วนะ กำราบในเรื่องผู้หญิงไปเยอะแล้ว”

“เรื่องห่วย ผมไม่ได้หมายถึงผู้หญิงเรื่องเดียว แต่หมายถึงเรื่องหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนด้วย สมัยผมเรียนต่างประเทศ ไม่เคยต้องเดือดร้อนเงินพ่อแม่”

“แม่รู้ แต่นั่นไม่เหมือนกัน ติณเป็นเด็กช่างคิดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม่โอนเงินเข้าแบงค์ให้ทุกเดือน ก็ไม่เคยเอาออกมาใช้ แต่นี่เป็นตรัย น้องมันยังคิดอะไรไม่เป็น หยิบโหย่งสำรวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าให้ไปหาเงินส่งเสียตัวเองเรียน คงได้ไปนอนข้างถนนเท่านั้นเอง” คนเป็นแม่แย้งเสียงอ่อนๆ ด้วยความเกรงอกเกรงใจลูกชายคนโตเป็นอย่างยิ่ง

“แม่ให้ท้ายหมอนั่นแบบนี้ไง ถึงไม่โตสักที ความจริงถ้าแม่อยากให้ตรัยโต ควรจะเลิกส่งเสียมัน แล้วจับมานั่งโต๊ะดูแลบริษัทของครอบครัว ยื่นคำขาดไปเลยว่า แลกเอาถ้าไม่ทำงาน ก็ไม่ต้องเอาเงิน”

คุณหญิงตติยาทำหน้าเหยเกหนักขึ้น “แม่กลัวว่าตรัยจะทำให้ธุรกิจแม่เจ๊งเท่านั้นเอง”

ติณณภพถอนหายใจ เพราะพูดไปพูดมาก็วนกลับมาสู่ที่เดิม นั่นคือ ให้ท้ายตรัยภพ เขาจึงเงียบ เลือกที่จะไม่โต้ตอบอะไรอีก

คุณหญิงตติยาพูดต่อด้วยน้ำเสียงประเล้าประโลม “ติณก็เห็นอยู่ว่าน้องไม่เอาไหนแค่ไหน ถ้าแม่ไปตั้งความหวัง ก็เหลวเปล่าเท่านั้นเอง”

“แม่เป็นคนทำให้ตรัยไม่โต รับผิดชอบตัวเองไม่เป็น แม่ทราบไหมครับ”

“แม่รู้ๆ เอาน่า...ยังไงแม่ก็ไม่ยกบริษัทให้ตรัยดูแลอยู่แล้ว แม่ยกให้เรา เพราะฉะนั้นติณมาดูแลธุรกิจให้แม่เถอะนะ แม่แก่ตัวลงไปทุกวัน จะมีกำลังวังชาไปดูแลคิดอ่านเพื่อต่อสู้ในตลาดการค้าที่นับวันมีแต่จะแข่งขันสูงขึ้นๆ แบบนี้ได้ยังไง แม่ว่าติณรีบแต่งงานกับหนูไนซ์แล้วมาช่วยกันดูแลบริษัทเถอะ สองคนผัวเมียจะได้ช่วยกันคิดช่วยกันอ่านขยับขยายกิจการ หนูไนซ์จบมาจากฮาร์วาร์ดหัวก้าวหน้าไม่เลวหรอก น่าจะช่วยให้กิจการเราขยายรุ่งเรืองแผ่ไพศาลได้มากขึ้นไม่ยาก”

“ผมยังไม่พร้อม” ติณณภพปัดอย่างไม่ไยดี

“แล้วเมื่อไหร่จะพร้อม แม่ให้ติณทำในสิ่งที่รักที่ชอบมานานพอแล้วนะ สมควรแก่เวลาแล้วที่ติณต้องเสียสละเพื่อแม่บ้าง แล้วถามหน่อยเถอะ งานเขียนนิยายทำรายได้ให้ติณกี่มากน้อย ในเมื่อหนูเอมม่าต้องโตต้องใช้เงินมากขึ้นทุกวัน ติณจะแบกรับภาระไหวถึงเมื่อไหร่ ไหนจะค่าเทอม ไหนจะค่ากิจกรรมพัฒนาทางการเรียน ไหนจะค่าเรียนพิเศษ โอ๊ย...จิปาถะ ฉะนั้นลูกต้องทำงานเป็นหลักแหล่ง ลำพังเงินค่าต้นฉบับจะพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องสองคนพ่อลูกได้ไง”

“เงินค่าต้นฉบับมากพอที่ผมจะเลี้ยงลูก อาจไม่สบายเหมือนสมัยที่อยู่กับแม่ แต่ผมก็เต็มใจและภูมิใจที่จะเลี้ยงดูลูกสาวด้วยตัวของผมเอง” ติณณภพพูดอย่างหยิ่งๆ

คุณหญิงตติยาถอนใจดังๆ ให้ลูกชายได้ยิน “แม่ไม่เข้าใจติณเลย ติณจะลำบากลำบนเขียนนิยายได้เงินไม่กี่หมื่นกี่แสนไปทำไมกัน ในเมื่อทำงานให้บริษัทตัวเอง จะกรอกเงินเดือนเท่าไหร่ก็ได้ แม่หมายถึงแม่ยอมจ่ายให้ติณนอกเหนือจากเรตบริษัทให้น่ะ... อีกอย่างแม่ก็แก่ตัวลงไปทุกวัน ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ ฉะนั้นติณจะไม่เปลี่ยนใจหรือ?” ทั้งเกลี้ยทั้งกล่อมทั้งต้อนทั้งหลอกล่อ แต่ทว่าลูกชายคนโตกลับไม่ยอมรับ

“ผมไม่ถนัดงานโรงแรม ไม่ได้เรียนมา”

“งานเขียนนิยาย ติณก็ไม่ได้เรียนมาเหมือนกัน แต่ยังทู่ซี้ทำไปได้เลย” คุณหญิงตติยาย้อนกลับอย่างไม่ยอมแพ้

“มันไม่เหมือนกัน งานเขียนนิยายเป็นงานที่ผมรัก”

“งั้นก็ทำมันทั้งคู่ กลางวันดูแลโรงแรม กลางคืนเมื่อมีเวลาว่าง ก็ค่อยเขียนนิยาย” ยอมอ่อนข้อให้

“ไม่...”

“ไม่รู้ล่ะ” คุณหญิงตติยาทะลุกลางปล้อง ไม่ปล่อยให้ลูกชายพูดจนจบประโยค “แม่จะให้เวลาติณตัดสินใจแค่สัปดาห์เดียว เสาร์หน้าติณต้องให้คำตอบแม่ว่าติณจะเลือกเดินทางไหนและจะจัดการกับชีวิตตัวเองยังไง แม่ย้ำอีกครั้งนะว่าครอบครัวหนูไนซ์รอลูกมานานแล้ว แม่ทาบทามไว้ให้ลูกหลายปีดีดัก ถ้าต้องทอดเวลาไปนานกว่านี้ แม่ต้องเสียผู้ใหญ่แน่ และแม่จะไม่ยอมให้ติณทำแบบนั้นกับแม่เด็ดขาด ถ้าติณยอมตกลงแต่งงานกับหนูไนซ์ แม่จะเซ็นยกหุ้นในบริษัทให้ลูกกับหนูไนซ์ทั้งหมด ตกลงนะลูก” เมื่อเห็นลูกชายเอาแต่เม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร เธอก็พูดต่อ “อ้อ...พรุ่งนี้เที่ยง อยู่กินข้าวด้วยนะ แม่นัดหนูไนซ์กับแม่เธอมากินข้าวที่บ้าน ห้ามปฏิเสธแม่เด็ดขาด”

“เสียใจครับ ผมต้องออกเดินทางแต่เช้า คงไม่สะดวก”

“เราจะทำให้แม่เสียผู้ใหญ่อีกแล้วนะ นัดแต่ละครั้งไม่เคยอยู่”

“ก็แม่นัดโดยไม่ปรึกษาผมๆ วางแผนของผมมาก่อน เพราะฉะนั้นจะไม่เปลี่ยนแผนเด็ดขาด” น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว

“แค่อยู่กินข้าวกับหนูไนซ์ จะเป็นอะไรนักหนาเชียว” คุณหญิงตติยาแขวะ

“ผมไม่ชอบทำอะไรที่ผิดแผน ถ้าแม่อยากทำหน้าที่แม่สื่อ แม่ก็ควรแจ้งผมแต่เนิ่นๆ”

“แจ้งแล้วเราจะยอมไหมล่ะ” ตวัดตาค้อน

“ไม่” ติณณภพปฏิเสธหน้าตาเฉย

“นั่นไง เห็นไหมล่ะ เราก็เป็นซะอย่างนี้ เฮ้อ...นี่ฉันต้องผิดคำพูดอีกแล้วหรือนี่” ประโยคท้ายบ่นกับตัวเอง แล้วคุณหญิงตติยาก็ถอนใจเฮือกใหญ่อีกคำรบ นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนเปลี่ยนเรื่องพูด “แล้วนี่ติณจะหาบรรยากาศสงบๆ ปิดต้นฉบับที่ไหน” เป็นที่รู้กันว่าถ้าลูกชายต้องไปต่างจังหวัด นั่นหมายความว่าจำเป็นต้องเร่งปิดต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์ เพราะโดยปกติเขาจะไม่แยกจากลูกสาวโดยเด็ดขาด

“ทะเลแถวๆ นี้แหละครับ”

“งั้นก็ออกจากบ้านสายๆ หน่อย หลังเที่ยงค่อยออก”

“นั่นไม่เรียกว่าสายแล้วครับ เขาเรียกว่าบ่ายแล้ว และผมยังไม่อยากเจอปัญหารถติด ฉะนั้นออกแต่เช้ามืดดีแล้ว”

“เรานี่จะขัดแม่เสียทุกเรื่องหรือไงนะ หนูเอมม่าโตขึ้นทุกวัน เขาต้องการแม่นะ”

“ไม่เกี่ยวครับ ผมเลี้ยงมาโตได้ขนาดนี้ ไม่เคยต้องมีแม่นะครับ เพราะฉะนั้นถ้าจะไม่มีแม่ต่อไป ก็ไม่ทำให้อะไรแตกต่างไปหรอกครับ”

คุณหญิงตติยาปรายตาค้อน เพราะเอมม่าอยู่กับเธอมาหลายปีกว่าลูกชายจะมารับตัวกลับไปหลังจากจบปริญญาโท อายุของหนูน้อยก็ปาไป ๓ ขวบแล้ว แต่เธอคร้านจะเถียงลูกชาย ยิ่งเป็นคนขวานผ่าซากและขวางโลกแบบนี้ด้วย เธอจึงเลือกที่จะแย้งไปอีกเรื่องว่า “แต่เด็กวัยรุ่นต้องการการชี้แนะในเรื่องแบบผู้หญิงนะ ติณจะแนะนำลูกทุกเรื่องได้ไง โดยเฉพาะเรื่องของผู้หญิงๆ”

“ไม่สำเร็จหรอกครับ แม่อย่ามาเสียเวลาเกลี้ยกล่อมผมเลย เอาเวลาไปกล่อมนายตรัยยังจะง่ายกว่า เพราะรายนั่นถนัดเรื่องหาผู้หญิงมาทำพันธุ์อยู่แล้ว”

“ติณนี่ไงนะ ปากจัดจริงๆ” ทว่าว่าอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว เมื่อลูกชายตัวดีพูดจบก็เดินอาดๆ จากไปทันที






lozocatlozocat




Create Date : 03 มิถุนายน 2556
Last Update : 9 มิถุนายน 2556 10:15:59 น.
Counter : 807 Pageviews.

3 comment
1  2  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments