Group Blog
บท 3...พรหมภพ
ห้องที่กานพลูอยู่กับแม่ก่อนที่แม่จะเสียชีวิตนั้น ไม่กว้างนัก มีหีบใบใหญ่วางอยู่มุมห้อง ๓-๔ ใบ มุ้งและหมอนวางบนหีบ ส่วนหวี ขวดน้ำอบน้ำปรุง กระปุกดินสอพอง กระปุกแป้งเม็ด วางอยู่บนโต๊ะไม้เตี้ยๆ รำเพยสำรวจหีบผ้าทีละใบ ก่อนจะเปิดหีบใบหนึ่ง หยิบผ้าหลากสีขึ้นมาวางเรียงบนพื้นกระเบื้องที่ขัดจนแวววาวอย่างดีเพื่อคัดเลือก สีผ้าฉูดฉาดละลานตาจนเลือกไม่ถูก แต่ละผืนส่งกลิ่นหอมอบอวลด้วยกลิ่นแป้งร่ำ

“ดิฉันควรนุ่งโจงกับผ้าคาดอกผืนไหนดีคะ” รำเพยยกผ้า ๒ ผืนขึ้นทาบอก พลางหันไปขอความเห็นจากชไบนาง

“ฉันว่าหีบที่แม่กานพลูเปิดมานั่น คือหีบผ้านุ่งนะ ส่วนผ้าแถบ น่าจะอยู่ในหีบใบนี้” ชไบนางบอกพลางเดินไปเปิดหีบอีกใบ หยิบผ้าแถบหลากสีออกมาวางเคียงผ้าโจงอย่างคนที่คุ้นเคยห้องของกานพลูเป็นอย่างดี

“ดิฉันเคยได้ยินว่าชาววังนุ่งผ้าโจงกับผ้าแถบคาดอกตามสีประจำวันจริงไหมคะ” รำเพยถามต่อ

“จริงจ้ะ เราจะนุ่งผ้านุ่งกับห่มผ้าตามสีประจำวัน แม่กานพลูก็นุ่งอยู่ทุกวันนะเพราะแม่ของฉันสอน”

รำเพยเริ่มเข้าใจแล้วว่าผ้านุ่งคือผ้าโจง ส่วนผ้าห่มคือผ้าแถบคาดอก ยิ้มเจื่อนๆ แล้วว่า “บังเอิญดิฉันจำไม่ได้แล้วค่ะ แม่ชไบนางช่วยบอกอีกทีได้ไหมคะว่าแต่ละวันนุ่งสีอะไรบ้าง?”

ชไบนางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่เรียวปากคลี่ยิ้ม “วันจันทร์เรานิยมนุ่งเหลืองอ่อม ห่มผ้าแถบสีน้ำเงินอ่อนหรือจะห่มผ้าแถบสีบานเย็นก็ได้ หรือถ้าแม่กานพลู นุ่งผ้าโจงสีน้ำเงินนกพิราบ ก็คาดอกด้วยผ้าสีจำปาแดงก็ได้ วันอังคารนุ่งโจงสีปูนหรือสีม่วงเม็ดมะปราง ห่มด้วยผ้าคาดอกสีโศก หรือจะนุ่งโศกแล้วห่มด้วยม่วงอ่อนก็ได้” แล้วชไบนางก็จาระไนสีของแต่ละวันจวบจนครบทุกวัน

“สีโศกคือสีอะไรคะ?”

“สีเขียวอ่อนอย่างสีใบอโศกไงจ้ะ เอาล่ะวันนี้วันอังคาร แม่กานพลูอยากนุ่งสีอะไร ห่มสีอะไร?”

“สีเข้มทั้งนั้นเลย เอาเป็นนุ่งสีปูนห่มสีม่วงล่ะกันค่ะ”

ชไบนางพยักหน้า “รสนิยมดีจ้ะ” คัดสีที่อีกฝ่ายต้องการ ส่วนที่เหลือพับเก็บใส่หีบทั้ง ๒ ใบตามเดิม เมื่อหันกลับมาเห็นหญิงสาวยังคงถือผ้าทั้งสองผืนอย่างเก้ๆ กังๆ เธอก็เลิกคิ้ว

“ทำไมยังไม่นุ่งล่ะ”

“เปลี่ยนผ้านุ่งที่ไหนคะ แถวนี้มีห้องน้ำหรือห้องอะไรที่ปิดมิดชิดไหมคะ”

“ไม่มีดอก เราเปลี่ยนในห้องนี้แหละ ตรงนี้ก็มิดชิดดี เราผู้หญิงด้วยกันจะอายอันใด ว่าแต่ห้องน้ำคืออะไร?”

“ห้องที่มีไว้สำหรับอาบน้ำโดยเฉพาะ”

“ไม่มีดอกแม่กานพลู เราอาบตุ่ม อาบโอ่งกล้างแจ้ง ซึ่งต้องช่วยกันหาบคอนขึ้นมาจากแม่น้ำ ส่วนเด็กๆ ก็อาบแม่น้ำ บางทีถ้านึกสนุก เราก็อาบที่แม่น้ำกับเด็กๆ ด้วยเหมือนกัน”

รำเพยพยักหน้า ข่มความอายแล้วจัดการถอดเสื้อผ้าโดยใช้ผ้านุ่งเป็นผ้าถุง อาศัยเคยออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชนของมหาวิทยาลัย ทำให้พอจะนุ่งเป็นอยู่บ้าง ตั้งใจจะแอบไปซักชุดชั้นในเพื่อจะได้สวมวันพรุ่งนี้ หรือไม่เธออาจต้องตัดเย็บขึ้นมาใหม่ไว้ใช้ในวันต่อๆ ไป

“ทำไมแม่กานพลูจับผ้าเก้ๆ กังๆ ยังกับคนนุ่งไม่เป็นเล่า มาฉันช่วย”

“ก็ดิฉันบอกแล้ว ดิฉันไม่ใช่แม่กานพลู ไม่สังเกตหรือว่าดิฉันไว้ผมยาวไม่เหมือนแม่ชไบนางรวมถึงคนอื่นๆ ในยุคนี้”

ชไบนางชะงักมือที่กำลังไขว้ผ้าแถบด้านหน้าเสี้ยววินาที ก่อนไขว้ต่อด้วยกิริยาเป็นปกติ

“เรื่องนั้นฉันก็สงสัย แต่ที่เห็นคือใบหน้าของแม่กานพลูชัดๆ แล้วจะว่าไม่ใช่แม่กานพลูได้อย่างไรเล่า เอาล่ะ...เสร็จแล้ว”

“แม่กานพลูตกน้ำไปแล้ว ส่วนดิฉันคือรำเพย เป็นคนจากร.ศ.๒๓๓”

ชไบนางกะพริบตาปริบๆ “แม่พูดจริงหรือ?”

รำเพยพยักหน้า “ใช่ค่ะ”

ชไบนางผงะถอยหลัง “แล้วแม่โผล่มาได้อย่างใด หรือแม่เป็นภูติผีปีศาจ?”

รำเพยแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ “แม่ชไบนางก็เห็นแล้วว่าดิฉันเลือดอุ่น เป็นคนจริงๆ” เธอยื่นแขนไปให้จับ

ชไบนางยื่นมือออกมาจับอย่างกล้าๆ กลัวๆ สีหน้าคลายความกังวลเมื่อสัมผัสได้ถึงเนื้อตัวที่อุ่นเหมือนของตัวเอง “แม่เป็นคน ไม่ใช่ผี แล้วแม่โผล่มาที่นี่ได้อย่างใด”

“ดิฉันกำลังเที่ยวพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิม จู่ๆ ก็ตกน้ำแล้วมาโผล่ที่ตีนท่านี่” เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของชไบนาง เธอก็ขยายความว่า “ในอีก ๑๐๐ กว่าปีข้างหน้า ที่นี่จะเป็นพิพิธภัณฑ์”

“จะเป็นจริงไปได้อย่างใด”

“เป็นไปแล้ว ทายาทของบ้านเจ้าสัวกิม อนุรักษ์บ้านหลังนี้ให้เหมือนเดิมทุกอย่างแล้วเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม”

“มีเรื่องประหลาดแบบนี้ด้วยหรือ ต้องไปถามกัปตันอองเดร พ่อฝรั่งคนนั้นเก่ง ตอบได้ทุกเรื่อง แถมอาจช่วยแม่รำเพยกลับไปสู่ยุคของแม่ได้” ถึงตอนนี้ชไบนางก็เชื่อคำพูดของรำเพยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยว่าเมื่อสังเกตดีๆ ก็พบความแตกต่างระหว่างรำเพยกับกานพลู อย่างน้อยก็การแต่งกายและทรงผม

“ขอบคุณค่ะ ความจริงกัปตันอองเดรเป็นคนช่วยดิฉันขึ้นมาจากน้ำ นัยว่าเขาตั้งใจจะกระโดดไปช่วยกานพลู แต่กลับกลายเป็นดิฉันแทน”

ชไบนางอุทาน ยกมืออุดปาก “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ ใครๆ ต่างพูดว่าแม่กานพลูตกน้ำ งั้นก็เป็นความจริงน่ะสิ”

“ถูกแล้วแม่ชไบนาง ตอนนี้กัปตันอองเดรยังหาแม่กานพลูไม่พบ”

สีหน้าชไบนางวิตกทุกข์ร้อนทันที “ไม่รู้แม่กานพลูเป็นตายร้ายดีอย่างไร ฉันจะต้องไปดูแล้ว”

“เดี๋ยวค่ะ” รำเพยยึดมือบางก่อนอีกฝ่ายจะผละจากไป “แม่ชไบนางจะกลับมาที่นี่อีกใช่ไหม”

“แน่นอนค่ะ ประเดี๋ยวฉันจะกลับมา แม่รำเพยอย่ากังวลไปเลย”

รำเพยมองชไบนางจนลับสายตา เธองับประตู หันกลับมาสำรวจห้องของกานพลู เจอเข็มกลัดผีเสื้อ เธอพึมพำขออนุญาตแล้วเอาผ้าแถบมาทบครึ่ง คาดเฉียงกับบ่า ก่อนกลัดด้วยเข็มกลัด ส่วนผ้าโจง เธอหยิบเข็มขัดจากกางเกงยีนส์มาคาดทับ แล้วพับชายผ้าทบอีกชั้น มองรูปโฉมของตัวเองในกระจกแล้วนึกพอใจกับความมิดชิด ไม่รุ่มร่าม จากนั้นหันมาจัดการกับทรงผม ซึ่งทำอะไรไม่ได้มากนักเนื่องจากยังชื้น จึงได้แค่หวี เมื่อชไบนางกลับมาในอีก ๑๐ นาทีต่อมา ฝ่ายนั้นจึงมองด้วยสายตาสนเท่ห์

“แม่รำเพยแต่งตัวได้แปลกตา แต่ก็งาม”

“ขอบคุณค่ะ เจอกานพลูไหมคะ”

สีหน้าของชไบนางสลดลง “ไม่ค่ะ ไร้วี่แวว ได้ยินพวกบ่าวพูดว่ากัปตันอองเดรช่วยกานพลูขึ้นมาจากน้ำได้ บ่าวคงหมายถึงแม่รำเพย”

“ใช่ค่ะ ดิฉันเสียใจด้วยค่ะเรื่องกานพลู”

“ค่ะ คงต้องแล้วแต่บุญกรรม สงสารแม่กานพลูจริงๆ เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้แม่กานพลูเป็นที่รักของใครๆ เถอะ” ถอนหายใจยาวเหยียด แล้วถามต่อว่า “แล้วแม่รำเพยจะทำประการใดต่อ”

“ดิฉันคงต้องหาทางกลับสู่ภพของตัวเอง”

“งั้นระหว่างที่ยังหาหนทางกลับไม่ได้ แม่รำเพยอยู่ที่นี่เถอะนะ แล้วฉันจะสอนทุกอย่างให้เอง ใครๆ จะได้ไม่สงสัย”

“ขอบคุณแม่ชไบนางมาก”

ชไบนางพยักหน้า “แต่แม่รำเพยแต่งแบบนี้ จะทำให้ผู้คนแตกตื่นรู้มั้ย ถึงจะสวยแปลกตาก็ตามที”

“ดิฉันทราบ แต่จะให้แต่งตัวอย่างแม่ชไบนาง เห็นทีจะไม่ไหวเหมือนกัน เพราะค่อนข้างเปิดเผยเนื้อตัว ดิฉันยังไม่คุ้น”

ชไบนางคลี่ยิ้ม “เดี๋ยวนานๆ ไปแม่รำเพยจะคุ้น เพราะอากาศร้อน ให้ห่มมิดชิดจะร้อนตับแลบ แต่...ตามใจเถอะ เข้าใจดีว่าแม่อาจยังไม่คุ้ม แล้วการห่มสไบ...จะว่าไปบางทีฉันก็นึกครึ้มอกครึ้มใจห่มบ้างอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าใครสงสัย เราก็บอกแค่ว่าลองชุดก่อนไปงานบุญแล้วกัน แต่ทรงผมของแม่รำเพยนี่สิ ใครเห็นก็ต้องแปลกตา”

“ก่อนนี้ดิฉันบอกคุณเชิงพลอยไปว่าดิฉันใส่วิก”

“คืออะไรคะ?”

“คล้ายใส่ผมปลอมน่ะค่ะ แต่ดิฉันไม่แน่ใจว่าสมัยนี้มีร้านตัดผมหรือยัง ช่างจะใช้ผมปลอมครอบศีรษะให้กับคนที่ผมสั้นหรือหัวล้าน”

“เพื่อให้ดูว่าผมยาวใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ”

“อ้อค่ะ ฉันไม่ค่อยรู้นักดอกว่าร้านตัดผมมีมั้ย เพราะไม่ค่อยออกไปไหนกับใคร เวลาอยากตัดผม ก็ตัดกันเอง แต่เพื่อไม่ให้คนสงสัย ฉันว่าแม่รำเพยตัดให้สั้นเถอะ”

“คะ?” กะพริบตาปริบๆ

“จะได้เหมือนแม่กานพลูไง แม่กานพลูผมสั้นเหมือนๆ ฉันนี่แหละ”

“จำเป็นด้วยหรือคะ?” รำเพยพยายามยื้อความหวัง

“ฉันมองว่าจำเป็น ถ้าแม่รำเพยจะต้องอยู่ในบ้านนี้ ก็ไม่ควรทำตัวผิดแผกไปจากแม่กานพลู”

รำเพยกลืนน้ำลาย ใคร่ครวญแล้วจำต้องยอมรับว่าชไบนางพูดมีเหตุผล เธอจึงพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ...” ปลอบใจตัวเองว่าไม่นาน ผมของเธอก็คงยาวเหมือนเดิม

“งั้นฉันตัดให้...”

ชไบนางใช้เวลาไม่นานก็หั่นผมของรำเพยจนสั้นไม่ต่างจากผมของตัวเอง รำเพยลูบท้ายทอย รู้สึกเย็นหลังท้ายทอย เป็นครั้งแรกที่เธอตัดสั้นขนาดนี้

“ขอบคุณค่ะ” รำเพยอุบอิบว่า

ชไบนางยิ้ม มองออกว่ารำเพยเสียดาย “ไม่ต้องเสียดายไปดอก อีกประเดี๋ยวผมของแม่รำเพยก็ยาว คราวนี้แม่รำเพยจะไว้ยาวก็คงไม่มีใครสงสัย”

“ก็จริงของแม่ชไบนาง” ผ่อนลมหายใจอีกเฮือก

ชไบนางมองเอียงซ้ายเอียงขวา “ดูๆ ไปแม่รำเพยเหมือนกับแม่กานพลูจริงๆ นะ ถ้าไม่นับความเหนียมอาย ก็ไม่ต่างกันเลยจริงๆ”

“แม่กานพลู ไม่ใช่คนขี้อายหรือคะ?”

“ขี้อาย แต่หมายถึงเรื่องนุ่งผ้าแถบที่แม่กานพลูจะไม่เหนียมอายเหมือนแม่รำเพยอยู่อย่างนี้”

รำเพยยิ้มเจื่อนๆ เปลี่ยนเรื่องพูด “แม่ชไบนางเล่าเรื่องของแม่กานพลูให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ดิฉันอยากรู้เรื่องราวของเธอ เห็นกัปตันอองเดรบอกว่าชีวิตของเธอน่าสงสาร”

“แม่กานพลูเป็นลูกของแม่อบเชยกับนายใหญ่ ญาติห่างๆ ของแม่อบเชยนั่นแหละ ทั้งคู่เป็นบ่าวในบ้านนี้มานานแล้วล่ะ ใครๆ ก็ว่านายใหญ่หลงรักแม่อบเชย แล้วสุดท้ายก็แอบปล้ำจนเกิดเป็นแม่กานพลูนี่แหละ”

รำเพยนึกถึงที่มัคคุเทศก์เล่า ดูเหมือนว่าเป็นแผนการของคุณอุ่นเรือนที่ลวงให้หลวงพิภพเดชไปเห็นภาพบาดตาและเกิดความเข้าใจผิด ทั้งที่แท้จริงคนทั้งคู่ไม่มีอะไรกัน

“มีการไต่สวนไหมคะว่าเรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะอาจไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจก็ได้”

“พวกเขานอนด้วยกันโดยไม่มีผ้านุ่งสักชิ้น แบบนี้ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าไม่มีอะไรกัน”

“อาจจะเป็นการจัดฉากก็ได้”

“นายใหญ่พูดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ไม่มีใครเชื่อดอกแม่รำเพย คราวนั้นถูกโบยสาหัส ก่อนจะถูกขับออกจากบ้าน ส่วนแม่อบเชย ว่ากันว่าถูกใครๆ รังเกียจ โดยเฉพาะคุณพ่อมองว่าแม่อบเชยมีมลทิน ไม่คู่ควรกับท่านอีกต่อไป ท่านก็เลยไม่แยแส วันที่แม่อบเชยเสียชีวิตจากการคลอดลูก ว่ากันว่าคุณพ่อไม่ลงมาดูดำดูดีสักนิด จนแม่อบเชยตายไป ก็ไม่ได้สั่งลาใดๆ”

“น่าสงสารมาก” รำเพยพึมพำ “ทำไมไม่มีใครเชื่อ บางทีนายใหญ่อาจพูดความจริงก็ได้ค่ะ”

“สายไปแล้วล่ะ ตอนนี้แม่อบเชยตายไปแล้ว ส่วนนายใหญ่ก็ไม่รู้ไปไหนแล้วล่ะ”

รำเพยถอนหายใจ “น่าสงสัยว่าตั้งแต่เล็กจนโตกานพลูคงมีแต่แม่ชไบนางเป็นเพื่อนเล่น คนอื่นๆ คงรังเกียจ รุมกลั่นแกล้ง”

ชไบนางกล่าวว่า “ฉันยอมรับว่าชีวิตของแม่กานพลูน่าสงสาร ใครๆ ในบ้านไม่รัก คนอื่นได้เรียนหนังสือกับซินแส แต่แม่กานพลูกลับอ่านหนังสือไม่ออก ถูกคุณๆ ใช้งานงกๆ แถมยังถูกกลั่นแกล้งสารพัด จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็หลายหน”

“ทำไมไม่มีใครคิดช่วย หรือไม่ก็แจ้งตำรวจละคะ”

“โปลิศ(1) น่ะหรือคะ โธ่แม่รำเพย...” ชไบนางยังติดปากคำว่าโปลิศเหมือนกับคนเฒ่าคนแก่สมัยนั้น แม้คำว่าตำรวจจะเริ่มใช้กันแล้วในสมัยรัชกาลที่ ๕ “ใครๆ ก็รู้ว่าคุณพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่เพียงในสายตาคนนอก แต่ความจริงเกรงใจคุณอุ่นเรือนเสียยิ่งกว่ากระไร คุณอุ่นเรือนคุมลูกเลี้ยงและบ่าวๆ ได้หมด ฉะนั้นไม่มีใครกล้าหือท่านหรอกนะ” ถอนหายใจก่อนพูดต่อ “แต่ก็นั่นแหละ หนนี้คุณพ่อก็ใจร้ายเกินไป”

“อย่างไรหรือคะ?”

“เห็นบ่าวพูดกันว่าที่แป้นผลักตกน้ำ ก็เพราะเป็นคำสั่งของคุณพ่อ แต่ก็น่าจะจริงนะ คุณพ่อเกลียดแม่กานพลู หาว่าเป็นลูกชู้ทุกคำ ฉะนั้นเรื่องนี้คงเกี่ยวพันกับคุณพ่อไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

“ท่านจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้เลยหรือ ทำไมไม่ถามให้รู้ความจริง บางทีท่านอาจไม่รู้เรื่องก็ได้”

“ถ้าไม่รู้ก็ดีไป แต่หนูตัวไหนล่ะจะกล้าเอากระพรวนไปผูกคอแมว”

รำเพยอึ้ง ชไบนางเปรียบเปรยว่าการเอ่ยปากถามหลวงพิภพเดโช ไม่ต่างจากการรนหาเรื่อง

“ประเดี๋ยวแม่รำเพยเจอคุณพ่อ ก็คงได้รู้เองว่าท่านเป็นคนเยี่ยงไร บางทีแม่รำเพยอาจอยากถามด้วยปากของตัวเอง” ชไบนางแสร้งพูด แล้วขยิบตาอย่างคนขี้เล่น

“โธ่...แม่ชไบนางเล่นบรรยายสรรพคุณมาซะขนาดนี้ใครล่ะจะอยากเข้าใกล้ ยิ่งรู้ว่าท่านใจคอโหดเหี้ยม ดิฉันก็ไม่มั่นใจว่าอยากจะเจอท่านมั้ย”

“ไม่เจอไม่ได้ดอกแม่รำเพย อย่างไรก็เป็นหน้าที่ของแม่รำเพยที่จะต้องไปเจียนหมากพลู มวนบุหรี่ให้คุณพ่อ หาไม่แล้วคุณอุ่นเรือนจะมาต่อว่าได้”

รำเพยเลยต้องยิ้มเจื่อนๆ ทำใจดีสู้เสือ ไม่ทันตอบอะไรมากกว่านั้นเมื่อมีเสียงบอกกล่าวขึ้นที่ประตู

“พี่กานพลู คุณพ่อให้มาตาม”

รำเพยเหลียวไปมอง เด็กที่กำลังร้องบอกธุระอายุประมาณ ๑๐ ขวบ มีผมจุกยาวกลางศีรษะ หน้าตาจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตา

คนโบราณเชื่อว่า บริเวณกระหม่อมของเด็กบอบบาง จึงต้องเกล้าผมจุกไว้กลางกระหม่อม เพื่อป้องกันอันตราย ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือโรคภัยต่าง ๆ ออกจากตัวเด็ก รวมถึงเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย โดยมักเริ่มไว้จุกเมื่อมีอายุได้ ๔-๕ ปี และเมื่อมีอายุได้ราว ๑๑-๑๓ ปี ก็จะโกนจุก และไว้ผมตามปกติตามสมัยนิยม

ชไบนางถามว่า “รู้หรือเปล่าเรื่องอะไร”

“คุณพ่อไม่ได้บอกค่ะ” แม่หนูน้อยตอบสั้นๆ แล้ววิ่งผละไป

ชไบนางหันมาบอกว่า “แม่หนูคนนี้ชื่ออังกอบ เป็นลูกสาวของแม่กิ่งพิกุล”

รำเพยพยักหน้า “หน้าตาน่ารักมาก แต่งตัว ไว้จุกเหมือนตุ๊กตาชาววัง”

คนฟังยิ้ม “เดี๋ยวพออายุ ๑๑ ขวบก็โกนจุกแล้วล่ะ เอาล่ะ...แม่รำเพยรีบไปหาคุณพ่อเถอะ ประเดี๋ยวท่านจะรอนาน”

“ดิฉันต้องไปบอกย่าแก้วก่อนไหมคะ ว่าหลวงพิภพฯ เรียกหา เดี๋ยวย่าแก้วจะรอเพราะท่านให้ดิฉันไปช่วยงานครัวค่ะ”

“ไม่ต้องหรอก ขึ้นไปหาคุณพ่อเลยเถอะ เดี๋ยวทางย่าแก้ว ฉันจะบอกให้เอง” แล้วชไบนางก็บอกทางเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่หลวงพิภพเดโชพักผ่อนอยู่



“หวัดดีจ้าแม่กานพลู”

รำเพยสะดุ้งสุดตัวเมื่อเดินเลี้ยวมุมตึก จู่ๆ ก็มีวงแขนหนากระตุกเอวเพื่อคว้าตัวไปกอด ปฏิกิริยาเป็นไปอย่างอัตโนมัติ รำเพยหมุนตัวจับอีกฝ่ายทุ่ม เกิดเสียงพลั่กพร้อมเสียงร้องโอดครวญตามมา

“ขอโทษค่ะ ดิฉันตกใจ” รำเพยรีบขอโทษขอโพยเมื่อเห็นอีกฝ่ายลงไปนอนจุก

“แม่กานพลูเล่นอะไรนี่ กระดูกกระเดี้ยวหักหมดแล้ว”

“คุณเข้าถึงตัวดิฉันก่อน ดิฉันตกใจก็เลย...”

“ตกใจก็เลยจับผมทุ่มนี่นะ” ฝ่ายนั้นสวนกลับมาทันควัน

รำเพยยิ้มเจื่อนๆ ไม่ทันตอบ ก็มีเสียงดังขึ้นราวฟ้าผ่าทางด้านหลัง

“เป็นอะไรนายพี ทำไมลงไปนอนเอ้งเม้งแบบนั้น”

รำเพยเหลียวขวับไปมอง เจ้าของเสียงทรงพลังอยู่ในวัย ๒๐ ตอนปลาย นุ่งโจงและคาดผ้าแถบลายพื้น หน้าตาสะสวยแต่แววตาดุ รำเพยเห็นแล้วรู้สึกหวาดหวั่นแปลกๆ

ฝ่ายที่ล้มอยู่ตอบว่า “มะไม่มีอะไรจ้ะแม่ ผมลื่นล้ม”

“ไม่เป็นอะไรก็รีบลุกขึ้นได้แล้ว บ่าวมาเห็นเข้าจะน่าเกลียด” ตอบแล้ว ตวัดสายตาไปทางรำเพย “หล่อนไม่ได้เป็นอะไรรึ เห็นแป้นบอกฉันว่าหล่อนตกน้ำ”

ยามนั้นรำเพยยังนึกไม่ออกว่าคนที่ทักเป็นใคร เธอจึงตอบกลับไปอย่างสุภาพว่า “ค่ะตกน้ำ แต่ปลอดภัยดี”

“ดวงแข็งว่างั้นเถอะ” ตอบแล้วมองอย่างหมิ่นๆ “รีบเข้าไปหาคุณพ่อ เสร็จแล้วจะได้ไปช่วยย่าแก้วเตรียมสำรับ ค่ำนี้กัปตันอองเดรจะอยู่ทานมื้อค่ำด้วย”

“ค่ะ” รำเพยตอบอย่างนอบน้อม เธอเดินห่างออกมาเล็กน้อย ได้เสียงพูดคุยทางด้านหลัง

“นี่นายพี แม่บอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าไปทำก้อร้อก้อติกกับแม่กานพลู”

“ผมเปล่า”

“ยังจะเปล่าอีก แม่เห็นนะว่าพีจะคว้าแม่นั่นมากอด แม่สั่งห้ามเลยนะ...จะเอาบ่าวคนไหนมาทำนางบำเรอ แม่ไม่ว่า แต่ห้ามเป็นแม่กานพลูเด็ดขาด”

“ทำไมล่ะจ๊ะแม่ ผมรักแม่กานพลูแม่ก็รู้”

แล้วคนเป็นแม่จะตอบอย่างไร รำเพยก็ไม่ได้ยินอีกเพราะเธอเดินจากมาไกลแล้ว รำเพยผ่อนลมหายใจ รู้เลยว่ากานพลูอยู่ในบ้านนี้อย่างไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย และนั่นหมายความว่าเธอเองก็ต้องระมัดระวังให้จงหนักด้วย



“เข้ามาสิกานพลู”

หลวงพิภพเดโชกล่าวขึ้นเมื่อเห็นรำเพยด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ประตูราวกับล้าละลัง ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเข้ามาดีหรือไม่ดี เมื่อได้ยินคำอนุญาตฝ่ายนั้นก็คลานเข่ามาทรุดนั่งตรงหน้า

“ขึ้นมานั่งที่เก้าอี้สิ” หลวงพิภพเดโชเอ่ยอนุญาต

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันนั่งแบบนี้ก็สบายดีแล้ว”

รำเพยบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไรทำให้เธอพินอบพิเทาหลวงพิภพเดโชเป็นพิเศษ อาจเพราะลักษณะอย่างเจ้าขุนมูลนายที่เห็นออกชัดเลยทำให้เธอไม่กล้าตีเสมอ เธอไม่กล้าแม้กระทั่งเงยหน้าสบตาด้วยซ้ำ จึงได้แต่มองปลายเท้าของผู้ปกครอง ขณะที่หลวงพิภพเดโชยังคงจ้องรำเพยไม่คลาดสายตา ไม่ต่างจากอองเดรที่จับตามองไม่ขาดระยะ อองเดรสังเกตเห็นว่าหญิงสาวตัดผมสั้นเรียบร้อยแล้ว ยิ่งทำให้ดูไม่ต่างจากกานพลู รำเพยอยู่ในชุดแต่งกายรัดกุมในชุดผ้าโจง คาดผ้าแถบและห่มสไบ กิริยาของหญิงสาวยามคลานเข่ามานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าหลวงพิภพเดโชนั้น ดูนุ่มนวลเนิบช้าอย่างน่าชื่นชม เธอเพิ่งหลุดมาในยุคของเขาไม่นาน แต่กลับทำตัวได้อย่างกลืมกลืน

“ผมบอกคุณหลวงแล้วกานพลูไม่ได้เป็นอะไร” อองเดรเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

หลวงพิภพเดโชพยักหน้ารับรู้ “ก็เห็นใครๆ บอกว่ากานพลูไม่โผล่ ผมก็คิดว่าจมน้ำไปแล้ว

รำเพยค่อยๆ เงยหน้ามอง “คุณหลวง” เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ปราศจากความรู้สึกนั้น หลวงพิภพเดโชนั่งอยู่บนโซฟาไม้แกะสลักลวดลายจีน เขาอยู่ในวัย ๓๐ ปลายๆ นุ่งโจงสีเขียวใบตอง เสื้อแขนกระบอกยาวจดศอกสีขนนกพิราบ มีใบหน้าหล่อเหลาคมสันแต่ดูดุดัน อาจเพราะไว้หนวดเครา ปากแดงเพราะกินหมาก มือขวาคืบบุหรี่ยาวลักษณะคล้ายซิการ์ของคิวบา มีกลิ่นหอมของใบตองแห้งและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ แล้วเสี้ยววินาทีต่อมารำเพยก็ต้องชะงักตัวแข็งทื่อ นึกออกแล้วว่าเป็นกลิ่นเดียวกับที่เธอได้กลิ่นตอนที่กำลังเดินชมพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมแห่งนี้ และเป็นกลิ่นเดียวกับที่เธอได้กลิ่นมาตลอดช่วงเกือบ ๒ เดือนที่ผ่านมา!!

ยามนั้นรำเพยยังขบคิดไม่ตกว่ากลิ่นนี้จะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ที่เธอหลุดมาในโลกอดีตนี้หรือไม่อย่างไร แต่ที่แน่ๆ เธอเชื่อว่าฟ้าเบื้องบนคงมีเหตุผลอะไรบางประการถึงได้ส่งเธอมายังที่นี่!!

“เธอตกน้ำ แต่ผมช่วยไว้ได้ทัน” อองเดรตอบ

รำเพยเงยหน้ามองอองเดรซึ่งนั่งบนเก้าอี้ไม้ติดกับหลวงพิภพเดโช เขาเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าแห้งเรียบร้อยแล้ว โดยนุ่งโจง สวมเสื้อแขนกระบอกเหมือนผู้เป็นเจ้าของบ้าน เดาว่าหลวงพิภพเดโชคงสละชุดให้เขาเปลี่ยน

“เจ้าตกน้ำตกท่าได้อย่างไร” หลวงพิภพเดโชหันมาถามเธอ

“ดิฉันไม่แน่ใจ อารามตกใจเลยจำเหตุการณ์อะไรไม่กระจ่างนัก แต่เห็นใครๆ บอกว่ามีคนอยากให้ดิฉันตาย”

“อะไรนะ?” หลวงพิภพเดโชย้อนถามเสียงสูง

“ก็ดิฉันเป็นลูกชู้ ใครหลายคนเลยอาจไม่ปลื้ม”

“นี่กานพลู เจ้าท้าทายข้ารึ”

“ดิฉันเปล่าท้าทาย แต่พูดไปตามเนื้อผ้า เห็นใครๆ ชอบย้ำว่าดิฉันเป็นลูกชู้”

หลวงพิภพเดโชชี้นิ้วมาที่เธอ ปากคอสั่น “เจ้าหมายความว่ากระไร พูดออกมาให้ชัด”

อองเดรรีบแทรกขึ้นก่อนที่รำเพยจะทันได้ตอบ “แม่กานพลูคงช็อกจากการตกน้ำ อย่าถือสาเธอเลยครับ ผมว่าปล่อยให้เธอไปพักผ่อนดีกว่า”

“กัปตันก็ได้ยินอยู่ว่ากานพลูพูดจาเลอะเลือนแค่ไหน”

“เธออาจเพลียแล้วก็ยังช็อก” อองเดรพยายามไกล่เกลี่ย คาดไม่ถึงเหมือนกันว่ารำเพยจะกล้าโพล่งออกมาตรงๆ แบบนั้น

“ดิฉันเปล่าช็อกหรือพูดจาเลอะเลือน อีกอย่างดิฉันสบายดี อยากมาช่วยเจียนหมากเจียนพลูให้คุณพ่อมากกว่า” รำเพยพูดด้วยจังหวะเนิบช้าแต่ชัดถ้อยชัดคำ น่าแปลกที่ยามนั้นเธอไม่ได้รู้สึกกลัวหลวงพิภพเดโชอีกต่อไป ใจมีแต่อยากทำความรู้จักให้มากขึ้น เธออยากรู้เหมือนกันว่าทำไมหลวงพิภพเดโชถึงใจคออำมหิตสั่งฆ่าได้แม้กระทั่งลูกสาวของตัวเอง แรกๆ เธอเชื่อตามคำเล่าของมัคคุเทศก์ แต่พอมาได้ยินคำพูดคำจาของหลวงพิภพเดโช เธอเริ่มเอนเอียงไปทางคำบอกเล่าของผู้คนในยุคนี้โดยไม่รู้ตัว

หลวงพิภพเดโชขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดคำจาที่ฉะฉาน ด้วยว่าแต่ไหนแต่ไรมาลูกชู้คนนี้จะเข้าลักษณะกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าตอบหรือมองหน้าเขาตรงๆ แต่คราวนี้เธอกลับสู้หน้าเขา แถมยังไม่มีท่าทีกลัวเกรง แล้วหลวงพิภพเดโชก็ชะงัก เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ากานพลูมีใบหน้าสะสวยยิ่งนัก ดูจะสวยยิ่งกว่าอบเชยด้วยซ้ำ

อืม...ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงไม่ประจักษ์ความจริงข้อนี้?

--------------------------------

(1) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๐๓-๒๔๗๕ มีการปฏิรูปการปกครองขนานใหญ่ทุกๆ ด้าน ตามแบบอย่างอารยประเทศตะวันตก เริ่มปรากฏหลักฐานว่า ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๐๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ครุฑ) เป็นแม่กอง รับผิดชอบกองโปลิศ (กรมกองตระเวน) ขึ้นครั้งแรก โดยจ้างชาวพม่า อินเดีย สิงคโปร์ เริ่มทำงานครั้งแรกที่ย่านตลาดพาหุรัด ในพระนคร







Create Date : 14 ตุลาคม 2558
Last Update : 14 ตุลาคม 2558 23:15:24 น.
Counter : 1034 Pageviews.

7 comment
บท 2...พรหมภพ
อองเดรดำผุดดำว่ายอยู่นาน แต่จนแล้วจนรอดก็หากานพลูไม่เจอ เวลาเคลื่อนคล้อยไปทุกขณะ นึกห่วงความปลอดภัยของเธอและพานฉงนว่ากานพลูหายไปไหน จังหวะที่เขากำลังดำดิ่งเพื่องมหารอบที่เท่าไรก็นับไม่ถ้วนนั้น ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นเหนือฝั่ง

“แม่กานพลูไปนั่งเอ้อระเหยอะไรที่เรือเก๋ง ไม่เข้าบ้านเข้าเรือน งานการก็มี ประเดี๋ยวก็ถูกคุณเรือนใหญ่เอ็ดเอาดอก รีบขึ้นเรือนมาช่วยเตรียมสำรับคาวหวานได้แล้ว อย่าได้อู้”

รำเพยสะดุ้ง เหลียวขวับไปมองต้นเสียงสลับกับมองผิวน้ำตรงบริเวณที่อองเดรผุดหายไปก่อนหน้านี้อย่างทำอะไรไม่ถูก เธอไม่รู้จักใครเลย จะร้องถามฝรั่งตาน้ำข้าว เขาก็ดำลึกไม่โผล่ขึ้นมาให้ซัก

“แน่ะยังจ้องตาแป๋วอยู่อีก ขึ้นจากเรือเก๋งสิแม่คุณ จะนั่งอู้จนรุ่งสางเลยรึกระไร ใครๆ ตะโกนโหวกเหวกว่าเธอตกน้ำตกท่า แต่ฉันก็เห็นอยู่ว่าสบายดี หรือว่าสติจะวิปลาสไปแล้ว?”

รำเพยคิดได้อย่างเดียวว่าหญิงสาวที่ชื่อกานพลู คงไม่เป็นที่โปรดปรานของใครๆ ในบ้านหลังนี้ เพราะขนาดทุกคนรู้ว่าฝ่ายนั้นตกน้ำ ยังไม่มีใครออกมาเหลียวแล เธออยากถามข้อมูลกานพลูจากกัปตันอองเดรให้มากกว่านั้น เสียดายก่อนนี้เธอไม่ซักให้ละเอียด คิดแล้วเจ้าตัวก็ขยับลุกจากเรือเก๋ง เดินขึ้นตีนท่าตรงไปยังหญิงสูงวัยริมตลิ่ง ฝ่ายนั้นนุ่งโจงกระเบนผ้าลายพื้น ห่มผ้าแถบสีเลือดหมู ผมทรงกระทุ่มหวีแสกกลาง

“แล้วนั่นทำไมแต่งตัวประหลาด เอาชุดพิสดารจากไหนมานุ่งฮึ?”

รำเพยยิ้มเจื่อนๆ เมื่อถูกเทศนาในทันทีที่เดินไปถึงตัว “ถ้าดิฉันตอบว่าไม่ใช่กานพลู คุณจะเชื่อไหมคะ?”

“แสดงจำอวดอยู่รึไง เห็นๆ อยู่ว่าเป็นกานพลู ฉันรู้ดอกว่าใครๆ ไม่ปลื้มหล่อน แต่ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาทำตัวสติสตังไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้ ไป...ไปลูบเนื้อลูบตัวแล้วผลัดเปลี่ยนผ้านุ่ง ไปหาฉันที่เรือนครัว”

“เดี๋ยวค่ะ” รำเพยรีบเรียกไว้เมื่อฝ่ายนั้นจะเดินจากแยกไป “ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ? คุณชื่ออะไรคะ แล้วเป็นอะไรกับกานพลู?”

ฝ่ายนั้นทำท่าเหมือนถูกผีหลอก “หล่อนท่าจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ฉันชื่อแก้ว เป็นเมียของหลวงนาวีเดชานนท์ คราวนี้รู้รึยังว่าเป็นอะไรกับหล่อน”

“แล้วเป็นอะไรคะ? ขอโทษค่ะที่ต้องถามตรงๆ”

“นี่หล่อนเป็นอะไรของหล่อน สงสัยตกน้ำจนเพี้ยน หรือทั้งหมดที่ทำเพราะต้องการอู้งาน? ไป...รีบกลับเรือน ผลัดเปลี่ยนผ้านุ่งแล้วไปหาฉันที่เรือนครัว” ฝ่ายนั้นกำชับแล้วเดินจากไป ทิ้งนี้รำเพยมองตามอย่างงงงวย

จังหวะที่รำเพยหันรีหันขวาง หาว่าเรือนพักของกานพลูคือเรือนไหน เสียงทุ้มกล่าวภาษาไทยด้วยสำนวนแปร่งๆ ก็ดังขึ้นทางด้านหลัง

“ถึงคุณจะบอกใครๆ ว่าไม่ใช่กานพลู ก็ไม่มีใครเชื่อดอก”

รำเพยเหลียวหลังไปมอง ตาเบิกโตด้วยความดีใจ “ดีใจที่เจอคุณอีกครั้ง เจอกานพลูไหมคะ?”

อองเดรส่ายหน้า แววตาเศร้าสร้อย เสื้อและโจงกระเบนเปียกชื้นเพราะเพิ่งขึ้นจากแม่น้ำ ก่อนหน้านี้เขาโผล่มาเหนือน้ำเห็นรำเพยกำลังเดินตามย่าแก้วเข้าเรือน จึงรีบขึ้นจากน้ำ เดินตามหลัง ทันได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสองก่อนที่ย่าแก้วจะแยกตัวจากไป

“ถ้าจมไปนานขนาดนี้ ผมเกรงว่าเธอจะหายไปกับสายน้ำแล้ว คงต้องรอให้ศพอืดขึ้นมา หรือไม่ก็อาจไหลไปตามน้ำ ถูกพัดพาไปจนหาศพไม่เจอ แต่ผมภาวนาขอให้เธอปลอดภัย กานพลูเป็นเด็กดี ไม่ควรต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้ ชีวิตเธออาภัพจริงๆ เกิดมาก็เสียแม่ โตมาก็ถูกผู้คนรังเกียจหาว่าเป็นลูกชู้ ผู้คนในบ้านรวมไปถึงบ่าวคอยรังแก แม้กระทั่งหลวงพิภพฯ ก็ไม่ไยดี”

อาการถอดใจของอองเดร ทำให้รำเพยพลอยรู้สึกเศร้าไปด้วย “ดิฉันเสียใจด้วยค่ะ แต่ไม่แน่นะคะ เธออาจรอดปลอดภัย ไม่เสียชีวิตก็ได้ เพราะอย่าลืมว่าเราทั้งคู่ตกน้ำในเวลาไล่ๆ กัน แล้วดิฉันก็มาโผล่ที่นี่ ฉะนั้นกานพลูอาจไปโผล่ที่ภพดิฉันก็ได้”

“แล้วคุณตกน้ำได้อย่างไร”

“ดิฉันเป็นนักท่องเที่ยว มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัว ระหว่างจะก้าวจากโป๊ะลงเรือ จู่ๆ ก็มีคนกระแทกหลัง ดิฉันเซตกน้ำ แล้วก็มาโผล่ที่นี่”

“พิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิม? คุณหมายถึงที่นี่หรือ?”

“ใช่ค่ะ อีก ๑๐๐ กว่าปีข้างหน้า ที่นี่จะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์เอกชนที่เปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้าชมได้ ดิฉันเป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวเหล่านั้น”

อองเดรอึ้ง “ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้หรอกนะ เพราะดูจะเกินจริงอยู่สักหน่อย”

รำเพยผ่อนลมหายใจ “ดิฉันรู้ว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ทำไงได้เกิดขึ้นกับดิฉันแล้ว แถมยังหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ด้วย ว่าแต่คุณเป็นอะไรกับกานพลู คนรักของเธอเหรอคะ?”

“ผมเป็นแค่คนแอบรัก กานพลูเป็นเด็กเจียมเนื้อเจียมตัว เลยไม่รับรักใคร แต่ยิ่งจะทำให้คนเห็นใจ สงสาร และหลงรัก มากขึ้น เธอมีหนุ่มๆ มาชอบพอหลายคน ทั้งลูกชายของคุณอุ่นเรือน ลูกชายของคุณช้องนาง คุณไวทยาน้องชายของหลวงพิภพฯ แต่เธอก็ยังคงวางตัวเฉยเมย” เมื่อเห็นรำเพยทำตาปริบๆ เขาก็หัวเราะ “ที่เรือนนี้คนเยอะ คุณต้องรู้จักและจดจำให้หมดว่าใครเป็นใคร ถ้าต่อจากนี้จะต้องสวมบทบาทเป็นเธอ”

“จำเป็นด้วยหรือที่ดิฉันจะต้องสวมบทบาทเป็นเธอ?” รำเพยถามทันควันอย่างไม่สบายใจ จะเอ่ยปากขอให้อองเดรช่วยหาที่อยู่ให้ ก็ไม่แน่ใจว่าจะไว้ใจเขาได้กี่มากน้อย ในเมื่อเขาประกาศตัวโต้งๆ ว่าแอบรักกานพลู ขืนเขาหน้ามืดเห็นเธอเป็นกานพลูขึ้นมา ก็จะยุ่ง

“ถ้าคุณจำเป็นต้องอยู่ในภพนี้ในระหว่างที่ยังกลับภพของตัวเองไม่ได้ ผมว่าก็จำเป็น หรือคุณอยากไปอยู่กับผมล่ะ?” แสร้งถามด้วยนัยน์ตากรุ้มกริ่ม แต่เมื่อเห็นรำเพยค้อนขวับวงใหญ่กลับมา เขาก็หัวเราะ “ผมก็เดาแล้วว่าคุณต้องเซย์โน เพราะฉะนั้นอยู่ที่นี่ไปเถอะ จนกว่าผมจะคิดหาทางช่วยคุณไปสู่ภพของคุณได้”

“ถ้าคุณรับปากว่าดิฉันจะปลอดภัย ดิฉันก็อาจจะขอให้คุณช่วยหาที่อยู่ให้”

“ผมไม่รับปากหรอกรำเพย แถมเสร็จจากการต้อนรับซาเรวิตซ์ ผมก็จะต้องกลับไปภูเก็ต ผมต้องไปๆ มาๆ ระหว่างภูเก็ตกับบางกอก คงไม่สะดวกที่จะพาคุณไปด้วย อยู่ที่นี่สะดวกและปลอดภัยกว่า”

รำเพยหน้ามุ่ย “แล้วถ้าดิฉันหาทางกลับบ้านตัวเองไม่ได้ตลอดกาลล่ะ”

“คุณก็ต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป ฉะนั้นการสวมบทบาทเป็นกานพลูเป็นหนทางที่ดีที่สุดในกรณีนั้น”

รำเพยหน้าเสีย “ดิฉันไม่อยากอยู่ภพนี้ อยากกลับไปสู่ภพของตัวเอง”

“ผมรู้ ผมจะหาทางช่วยเหลือคุณให้ถึงที่สุด”

“ขอบคุณค่ะ แล้วคุณเป็นอะไรกับหลวงพิภพฯ คะ?”

“ผมเป็นเพื่อนของท่าน” ความจริงอายุของเขาอ่อนกว่าหลวงพิภพเดโชหลายปี รู้จักกันในพระราชพิธีโสกันต์(1) ของพระราชโอรสพระองค์หนึ่งของพระเจ้าแผ่นดิน หลวงพิภพเดโชสนใจที่จะร่วมทุนบริษัทเดินรถรางกับเขา ช่วงนี้จึงเชื้อเชิญเขามาเยี่ยมบ้านเป็นพิเศษ อองเดรกล่าวต่อว่า “ผมเข้านอกออกในเรือนท่านมานาน ก็เลยรู้จักลูกๆ หลานๆ ท่านทุกคน ถ้าคุณจำเป็นต้องสวมบทบาทเป็นกานพลู คุณควรต้องรู้ว่านั่นเป็นเรือนพำนักของคุณ” อองเดรพูดพลาง ชี้นิ้วไปยังอาคารที่อยู่ฝั่งท่าน้ำ รำเพยมองตาม เพิ่งสังเกตว่ากลุ่มอาคารชิโน-โปรตุกีส มีอาคารขนาดเล็กและน้อยหลังกว่าตอนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ เดาว่าทายาทรุ่นต่อมาคงปลูกสร้างขยับขยายเพิ่มเติมมาเรื่อยจนกลายมาเป็นกลุ่มอาคารหลังใหญ่หลายหลังติดต่อกันดังเช่นในปัจจุบัน ถัดจากกลุ่มอาคาร เป็นไม้ดอกไม้ประดับ สลับกับไม้ยืนต้นสูงใหญ่และไม้ดัดที่วางเป็นระเบียบ ไม้ดอกไม้ประดับส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลรอบตัวเธอจนยากจะแยกได้ว่ากลิ่นอะไรเป็นกลิ่นอะไร แล้วอองเดรก็แจกแจงต่อว่า “ตรงกลางนั่นเป็นเรือนพักของหลวงพิภพฯ กับคุณอุ่นเรือน ถัดไปก็ของคุณช้องนาง คุณกิ่งพิกุล คุณฮง คุณไวทยา ย่าแก้ว ส่วนด้านล่างเรียงจากด้านนี้ เป็นของคุณรพีพรพักกับอังกูร คุณเชิงพลอยพักกับมาลา คุณชินานางพักกับชไบนาง...” อองเดรสาธยายต่อไปเรื่อยๆ จนครบทุกคน

“เป็นครอบครัวใหญ่จริงๆ สมาชิกเยอะมาก ดิฉันไม่แน่ใจว่าจะจำได้ครบทุกคนไหม”

“ค่อยๆ จำไป เดี๋ยวก็จำได้เอง ความจริงถ้ารวมบ่าวด้วย ก็เกือบ ๓๐ คน แต่ถ้านับเฉพาะหัวหน้าครอบครัว เมียๆ และลูกๆ ก็มีแค่ ๑๗ คน”

“เยอะจริงๆ ค่ะ” เธอย้ำ

อองเดรพยักหน้า “เดี๋ยวผมต้องขึ้นไปหาหลวงพิภพฯ แล้ว ตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้ขึ้นไปทักทายท่าน”

“คุณจะบอกใครๆ เรื่องของกานพลูมั้ย” รำเพยรีบถามก่อนที่เขาจะแยกตัวไป

แววตาอองเดรเศร้า “ไม่...ผมจะบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ปลอดภัยเพราะกำลังยืนคุยกับผมอยู่ตรงหน้านี้”

ความหมายโดยนัย เขาจะบอกหลวงพิภพเดโชว่าเธอคือกานพลู รำเพยถอนหายใจ “คุณคิดว่าเป็นแผนการของใครคะ”

“หลวงพิภพฯ เพราะรังเกียจลูกสาวคนนี้ คิดว่าเป็นลูกชู้”

“แล้วเป็นลูกชู้จริงไหมคะ”

อองเดรไม่ทันตอบเมื่อมีบ่าวคนหนึ่งเดินผ่านมา เขารอจนบ่าวคนนั้นดินพ้นไปแล้ว จึงตอบว่า “เรื่องมันยาว เอาไว้ผมจะเล่าวันหลัง”

“แล้วคุณป้าที่มาตามกานพลูเมื่อกี้ คือใครคะ?”

“คนนั้นย่าแก้ว เป็นแม่เลี้ยงของหลวงพิภพฯ ผมหมายถึงอนุภรรยาคนหนึ่งของหลวงนาวีเดชานนท์ ตอนนี้หลวงนาวีฯ กับเมียคนอื่นๆ เสียหมดแล้ว คงเหลือแต่ย่าแก้ว”

“แล้วเป็นมิตรกับกานพลูไหม คือดิฉันอยากรู้ว่าใครพอจะเป็นที่พึ่งให้กับกานพลูได้บ้าง”

อองเดรไม่ทันตอบเมื่อมีเสียงตะโกนดังขึ้นบนระเบียงชั้นสอง

ฝ่ายนั้นตะโกนว่า “เอาอีกแล้ว...แม่กานพลู ชอบหว่านเสน่ห์ผู้ชายเสียจริง ทั้งอู้งาน อ่อยหนุ่มๆ ครบถ้วนกระบวนความเสียจริง”

“นั่นใครคะ”

อองเดรละสายตากลับมามองสาวสวยร่างบางที่ยืนใกล้ตัว ตอบเสียงเบาว่า “คุณเชิงพลอย เป็นลูกสาวของคุณอุ่นเรือน ในเรือนนี้มีคนที่ญาติดีกับกานพลูแค่ ๔ คนคือย่าแก้ว คุณมาลาซึ่งเป็นลูกสาวของคุณอุ่นเรือน คุณชไบนางลูกสาวของคุณช้องนาง และคุณส้มจีนลูกสาวของคุณกิ่งพิกุล”

เธออยากค้านว่าเขาเข้าใจผิด เพราะท่าทีย่าแก้วเมื่อครู่ ห่างไกลจากคำว่า “ญาติดี” นัก

“แล้วคนไหนคือคุณมาลา คุณชไบนาง คุณส้มจีนคะ ดิฉันจะได้ไปหา”

“คงกำลังทำงานอยู่บนเรือน เดี๋ยวพอเจอใครต่อใคร คุณก็จะรู้ด้วยตัวเองว่าคนไหนมิตร คนไหนคุณมาลา คุณชไบนาง คุณส้มจีน เอาล่ะ...ผมต้องไปแล้ว” พูดจบก็ปลีกตัวขึ้นไปบนเรือน ใช้เส้นทางคนละด้านกับเชิงพลอย

เมื่อเชิงพลอยเดินลงมาถึงตัว ก็ถามว่า “กัปตันอองเดรไปไหนเสียล่ะ” ถามพลางเหลียวมองรอบตัว แต่ไม่เห็นวี่แวว

“ขึ้นไปบนเรือนแล้วค่ะ”

“จริงๆ เล้ย” บ่นแค่นั้น แล้วเชิงพลอยก็หันมาสำรวจรำเพยตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าเท้าจดศีรษะ เหยียดปาก กล่าวว่า “ใครๆ บอกว่าหล่อนตกน้ำ ฉันรึก็เห็นหล่อนสุขสบายดี ดวงแข็งสิท่า”

รำเพยเพียงแค่ยิ้ม ไม่ตอบ

เชิงพลอยเบะปาก “แล้วนี่เอาชุดพิสดารอะไรมาสวม สมกับเป็นลูกบ่าวเสียจริง ไปไป๊...ไปเปลี่ยนซะ ฉันล่ะทนมองแม้แต่หางตาไม่ไหวจริงเชียว เสียสุขภาพจิต”

รำเพยทำท่าจะเดินจากไปแล้ว แต่ต้องชะงัก เมื่อเสี้ยววินาทีต่อมาถูกเรียกตัวไว้

“เดี๋ยว...”

รำเพยหยุดยืน แต่ไม่เหลียวหลังไปมอง เป็นผลให้เชิงพลอยต้องเป็นฝ่ายเดินไปหา เธอมองร่างสูงเพรียวในชุดเปียกมะล่อกมะแลกของรำเพยที่คิดว่าเป็นกานพลูแล้วเหยียดปากด้วยความริษยา เชิงพลอยอิจฉาความสูงเพรียวของกานพลูมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เข้าใจเสียจริงทั้งที่เป็นลูกบ่าวกับชายชู้ แต่กลับเกิดมาหน้าตาสะสวยยังกับนางฟ้านางสวรรค์ ใครเห็นเป็นต้องรุมรัก ดูอย่างกัปตันอองเดรผู้เป็นเจ้าของบริษัทเดินรถราง หล่อรวย แต่กลับมาใฝ่รักลูกชู้ของบ่าวในทันทีที่เห็นหน้า นับแต่นั้นก็เทียวไล้เทียวขื่อไม่ได้ขาด

“ทำไมหล่อนถึงไว้ผมยาวรกรุงรังแบบนั้น”

รำเพยสะดุ้ง เธอนึกกลัวว่าจะถูกจับกร้อนผม เลยตอบเสียงรัวว่า “ดิฉันสวมผมปลอม”

“เป็นยังไง” เชิงพลอยถามต่ออย่างสนใจ เพราะดูๆ แล้วผมยาวเด่นสะดุดตา

“ถ้าคุณไม่ถือเรื่องเรียนรู้จากบ่าว ดิฉันจะสอนให้”

เชิงพลอยชักสีหน้า “นี่แม่กานพลูอย่ากำเริบให้มากนัก คนอย่างฉันรึจะลดตัวไปเรียนจากหล่อน ฝันไปเถอะ ไปไป๊...จะไปไหนก็ไป ฉันเหม็นเบื่อขี้หน้าหล่อนเต็มทนแล้ว”

รำเพยเลยได้โอกาสผละจากมา เธอรีบตรงไปยังเรือนของกานพลูที่อองเดรบอกไว้ เมื่อผลักประตูไม้เข้าไป ก็ชะงัก

“อุ๊ย”

ต่างคนต่างตกใจ แล้วฝ่ายนั้นก็โผเข้ามากอด “แม่กานพลูเป็นอย่างไรบ้าง ฉันเป็นห่วงสุดซึ้ง ได้ยินบ่าวและคุณอุ่นเรือนบอกว่าเธอตกน้ำ แลบ้างก็ว่าแม่กานพลูลงไปว่ายเล่น ฉันร้อนใจอยากลงมาดู แต่กำลังช่วยงานคุณอุ่นเรือน เลยไม่กล้าลงมา”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันปลอดภัยแล้ว ว่าแต่คุณคือใครคะ?”

“แม่กานพลูถามแปลกจริง ฉันชื่อชไบนาง จำไม่ได้รึ?”

“อ้อ...จำได้ค่ะ ดีใจที่ได้เจอคุณค่ะ” รำเพยร้องด้วยความยินดีแล้วโผเข้าไปกอดอีกฝ่าย ดีใจประหนึ่งเจอเพื่อนเก่า

ชไบนางทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ตวัดตาค้อนแล้วว่า “กระดูกฉันจะหักเป็นหลายท่อนแล้วแม่กานพลู เบาๆ หน่อยจ้ะ”

“ขอโทษค่ะ ดิฉันดีใจมากไปหน่อย”

“แล้วทำไมถึงดีใจมากขนาดนี้เล่า”

รำเพยยิ้ม “ก็คุณเป็นมิตรของกานพลู ขอบคุณคุณชไบนางอีกครั้งค่ะที่เป็นห่วง”

ฝ่ายนั้นมองตาปริบๆ แล้วว่า “แม่กานพลูพูดแปลกๆ นะ ว่าแต่ทำไมถึงเรียกฉันว่าคุณล่ะ”

“ก็คุณเป็นลูกของคุณช้องนางไม่ใช่หรือคะ?”

ชไบนางหัวเราะ “แม่กานพลูเลอะเลือนเสียแล้ว ลูกๆ ของคุณอุ่นเรือนเท่านั้นดอก ถึงจะได้รับการเรียกขานว่า “คุณ” อย่างเราลูกเมียน้อย ไม่ถูกเรียกว่า “อี” หรือ “นัง” ก็ดีเท่าไหร่แล้ว พวกเราเรียกกันเองว่า “แม่” จ้ะ” ตบท้ายด้วยรอยยิ้มขำๆ

รำเพยยิ้มตอบ เดาว่าอีกฝ่ายอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับเธอ ไม่ทันถามฝ่ายนั้นก็ถามต่อว่า

“แล้วนั่นแม่กานพลูเอาเสื้อผ้าแปลกๆ พวกนั้นมาจากไหนจ้ะ แล้วยังจะผมเผ้าอีก ดูไม่เหมือนแม่กานพลูเลยจริงๆ”

“เป็นทรงผมในปีพ.ศ.๒๕๕๘ ค่ะ”

“อะไรนะ?”

รำเพยยิ้มในหน้า “ถ้าดิฉันบอกว่าดิฉันไม่ใช่กานพลู คุณจะเชื่อไหมคะ?”

“อารั้ย...เห็นอยู่ว่าเป็นแม่กานพลู จะมาพูดจาเทอะเลอะอะไรกัน เอาล่ะรีบลูบเนื้อลูบตัวแล้วนุ่งผ้าไปหาย่าแก้วได้แล้ว เราต้องเตรียมสำรับคาวหวานต้อนรับกัปตันอองเดรแล้ว แล้วไหนยังจะต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำขี้ผึ้งวิเศษดาราคุปต์ให้คุณอุ่นเรือนอีก อุ้ย...วันนี้แม่กานพลูมีหน้าที่เจียนหมากพลูแล้วก็มวนบุหรี่ให้คุณพ่อด้วยนี่ ได้ขึ้นเรือนไปทำให้หรือยังจ๊ะ”

รำเพยมองตาปริบๆ เพราะตามไม่ทัน “เดี๋ยวนะคะ กานพลูต้องทำอะไรบ้างนะคะ?” เมื่อเห็นชไบนางมองมาด้วยสีหน้าอ่อนใจ เธอก็ยิ้มเจื่อนๆ “ขอโทษค่ะ คงเพราะดิฉันตกน้ำ เลยทำให้สมองกระทบกระเทือน ดูเหมือนความทรงจำจะขาดๆ เกินๆ ไม่สมบูรณ์นัก คุณชไบนางช่วยเล่าเรื่องราวของตระกูลเจ้าคุณพ่อให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ?” รู้เหมือนกันว่าเหตุผลไม่เข้าท่า แต่วินาทีนั้นคิดเหตุผลอื่นไม่ออก

“ทำไมแม่กานพลูถึงเรียกคุณพ่อว่าเจ้าคุณพ่อล่ะในเมื่อท่านเป็นแค่หลวง ไม่ได้เป็นพระยาหรือเจ้าพระยาสักหน่อย”

รำเพยยิ้มเหยเก ด้วยว่าเธอจำข้อมูลที่เป็นปัจจุบันได้เท่านั้น “ค่ะ จำผิด ดิฉันบอกแม่ชไบนางไปแล้วว่านับแต่ตกน้ำ สมองไม่รู้เป็นอะไร จำผิดๆ ถูกๆ อยู่เรื่อย”

ชไบนางพยักหน้าอย่างไม่ถือสา เล่าว่า “คุณปู่ของเรา หลวงนาวีเดชานนท์เป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างฐานะตัวเองด้วยการทำมาค้าขายอยู่ในเรือนแพ จนกระทั่งมีเงินทองมากมายมาต่อเติมอาคารชิโน-โปรตุกีส ต่อมาท่านก็เข้ารับราชการเป็นหลวงนาวีเดชานนท์ ท่านมีภรรยาทั้งหมด ๒ คน คือย่าสุ่นและย่าแก้ว อยู่ด้วยกันมาอย่างผาสุกจนสิ้นอายุขัย บัดนี้เหลือแต่ย่าแก้วที่ยังมีชีวิตยืนยาว” ชไบนางเล่าเป็นต่อยหอย ดูจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าที่มาตามหารำเพยผู้ที่ตนเข้าใจว่าเป็นกานพลูด้วยกิจธุระอะไร

“แล้วคุณพ่อของเราล่ะคะมีประวัติอย่างไร”

“ประวัติของคุณพ่อยาวเหยียดเป็นหางว่าว เล่ากันว่าสมัยคุณพ่อยังเล็กๆ คุณปู่หาจีนซินแสมาสอนหนังสือจีนให้ที่บ้าน พออายุ ๑๐ ขวบ ก็ถูกส่งตัวไปเรียนหนังสือที่ประเทศจีน แต่เรียนได้ไม่กี่ปีก็ถูกเรียกตัวกลับมา ท่านถูกส่งตัวไปเรียนต่อโรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อออกจากโรงเรียนก็ไปฝึกงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในประเทศมาเลเซีย แล้วกลับมาทำงานกับคุณปู่ จากนั้นก็มีเหตุให้ต้องเข้ารับราชการเป็นเสมียนที่กรมฝิ่น(2) กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ได้รับพระราชทานเงินเดือน ๔๐๐ บาท”

“๔๐๐?” รำเพยทวนคำด้วยความรู้สึกทึ่งด้วยว่าเงินเดือน ๔๐๐ บาทในสมัยนั้นถือว่าไม่น้อยเลย ไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไมหลวงพิภพเดโชถึงสามารถเลี้ยงดูบริวารและลูกเมียนับสิบนับร้อยชีวิตได้ ก็ท่านร่ำรวยแบบนี้นี่เล่า

ชไบนางพยักหน้า เล่าต่อด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ความจริงเงินเดือนของเสมียนสมัยนั้นแค่ ๔๐ บาทเท่านั้น แต่ด้วยความเป็นคนขยันขันแข็งของคุณพ่อ เช้าก็ลงเรือข้ามฟากไปทำงาน กลางวันก็กลับมากินข้าวที่บ้าน ทำงานหามรุ่งหามค่ำชนิดที่เรียกว่าไม่เกี่ยงงาน แถมเลิกงานก็เก็บกวาดที่ทำงาน ปิดห้องหับประตูหน้าต่างเรียบร้อย เรียกว่าทำงานตั้งแต่ตำแหน่งเสมียนยันภารโรง พอสิ้นเดือนเจ้านายก็จ่ายเงินเดือนให้ ๔๐๐ บาท คุณพ่อตกใจเลยเข้าไปกราบทูลว่ากระหม่อมขอเงินเดือนแค่ ๔๐ บาท ทำไมถึงได้ ๔๐๐ บาท มากเกินไป กระหม่อมไม่มีรายจ่ายอะไร เช้าก็ข้ามฟากมาทำงาน กลางวันกลับไปกินข้าวบ้าน แถมลูกเมียก็ไม่มี เย็นไม่รู้ไปไหน ก็เลยอยู่ช่วยภารโรงเก็บกวาดห้องจนเสร็จ แล้วจึงจะกลับ ก็แค่นั้น ท่านอธิบดีกรมฝิ่นได้ฟังก็รับสั่งว่า ทำงานมากกว่าคนอื่นและทำงานได้เรียบร้อย ประหยัดในการจ้างคนอื่นอีกหลายคน ฉะนั้น ๔๐๐ บาทก็ถูกต้องแล้วรับไปเถอะ แล้วนับแต่นั้นตำแหน่งของคุณพ่อก็ก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ จวบจนมาเป็นหัวหน้ากองคลังฝิ่น แผนกรักษาฝิ่นในปัจจุบัน”

“แล้วอย่างไรต่อคะ” รำเพยถามต่อ รู้สึกทึ่งแกมศรัทธาหลวงพิภพเดโชพอได้มาฟังประวัติจากปากชไบนาง เพราะตอนฟังประวัติจากอองเดรว่าท่านเกลียดกานพลู หาว่าเป็นลูกชู้ เธอก็มองท่านด้วยความรู้สึกติดลบ

“เมื่องานก้าวหน้า คุณพ่อก็มีคุณอุ่นเรือนเป็นเมียหลวง แม่ของฉัน คุณกิ่งพิกุล รวมถึงแม่ของกานพลู มาทีหลัง สำหรับแม่ของฉัน มีชื่อว่าช้องนาง เคยเป็นข้ารับใช้ของเจ้าจอมมารดาของเสด็จในวังหลวงมาก่อน ก่อนที่คุณพ่อจะรับตัวมาอยู่ที่นี่ ส่วนคุณกิ่งพิกล เป็นลูกสาวของหัวเมืองฉะเชิงเทรา และแม่ของกานพลู ฉันไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าเป็นใคร มาจากไหน?”

“บอกหน่อยเถอะ เพราะดิฉันจำไม่แม่นจริงๆ”

“เอ้ย...แม่ของกานพลูนี่แปลกคนเสียจริง จำประวัติของแม่ตัวเองไม่ได้” ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่แววตาติดรอยปรานี “แม่ของกานพลู มีชื่อว่าอบเชย เป็นบ่าวติดตามย่าแก้วมา แม่อบเชยมาเป็นบ่าวในบ้านนี้ตั้งแต่เล็กๆ จวบจนโตเป็นสาว เธอสวยมากๆ คุณพ่อหลงรักก็เลยคว้ามาเป็นเมียอีกคน ในบรรดาเมียๆ ทั้งสาม ดูเหมือนคุณพ่อจะรักแม่ของกานพลูมากที่สุด ก็อย่างว่าแม่ของกานพลูสวย กานพลูก็เลยได้ความสวยมาจากแม่เต็มๆ”

“แม่ชไบนางมีรูปถ่ายของกานพลูให้ดูมั้ย”

“อะไรคือรูปถ่าย?”

รำเพยอธิบายคุณลักษณะของกล้องรูปถ่าย

“โห...นั่นล่ะมีเฉพาะในวังหลวง ชาวบ้านอย่างเราๆ ใช้การวาดรูปแหละจ้ะ แต่ค่าวาดรูปแพงมาก เลยมีแต่ภาพวาดของคุณอุ่นเรือนกับคุณพ่อติดอยู่ที่ผนังในตอนนี้ ว่าแต่แม่กานพลูถามถึงภาพทำไมหรือจ๊ะ?”

“ก็ดิฉันอยากเห็นว่ากานพลูมีหน้าตาอย่างไร”

ชไบนางกะพริบตาปริบๆ “แม่กานพลูพูดตลกจริงเชียว เห็นตัวเองอยู่ทุกวัน ยังจะมาถามหน้าตา ส่องกระจกดูก็รู้ว่าหน้าตาเป็นเยี่ยงไร”

รำเพยยิ้มเจื่อนๆ เสเปลี่ยนเรื่องพูด “แล้วคุณอบเชย มีลูกๆ อีกไหมจ๊ะ”

ชไบนางรู้สึกแปลกๆ ที่อีกฝ่ายเรียกแม่ของตัวเองว่าคุณ แต่ไม่ได้ออกปากสังเกต “เปล่าดอก มีแค่แม่กานพลูคนเดียว แม่กานพลูนี่ท่าจะอาการหนักนะ จำไม่ได้แม้แต่กระทั่งว่าตัวเองเป็นลูกโทน”

รำเพยยิ้มกร่อยๆ ถามต่อว่า “แล้วเรื่องงานในบ้านละคะ แม่ชไบนางบอกว่าดิฉันมีงานในหน้าที่ต้องทำทุกวัน?”

ชไบนางพยักหน้า “บ้านหลังนี้คุณพ่อปกครองก็จริง แต่คุณอุ่นเรือนก็เป็นใหญ่ไม่แพ้กัน ท่านไม่ได้เลี้ยงดูลูกๆ ให้สุขสบายชนิดที่เรียกว่าเท้าไม่ติดดิน ฉะนั้นถึงแม้ว่าที่บ้านเราจะมีบ่าวมากมาย แต่ลูกๆ ทุกคนก็จะมีหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไปคนละอย่างสองอย่าง อย่างอังกูรน้องชายของฉันมีหน้าที่จุดตะเกียงทั่วทั้งบ้าน ทุกเย็นต้องคอยเติมน้ำมันตะเกียง ตัดไส้ตะเกียง เช็ดถูกตะเกียงให้สะอาด ส่วนลูกชายอีกคน มีหน้าที่บีดนวดให้คุณพ่อทุกเย็น นี่เป็นตัวอย่างละนะ สำหรับลูกสาวก็มีหน้าที่ต้องช่วยกันทำงานบ้านงานครัว เย็บปักถักร้อย ไม่มีใครอยู่ว่างได้ดอก อย่างฉันก็ต้องช่วยทำงานครัวจิปาดะ คุณเชิงพลอยมีหน้าที่ช่วยคุณอุ่นเรือนทำขี้ผึ้งวิเศษดาราคุปต์ คนอื่นๆ ก็ช่วยเตรียมอุปกรณ์ ส่วนแม่กานพลู ก็มีหน้าที่หลักเจียนหมากพลูแล้วก็มวนบุหรี่ให้คุณพ่อ”

แค่เจียนหมากพลู มวนบุหรี่ ไม่ยาก รำเพยคิดในใจก่อนพยักหน้า “งั้นดิฉันจะไปช่วยงานครัวย่าแก้วก่อน เสร็จแล้วก็ค่อยเจียนหมากพลู มวนบุหรี่ ให้คุณพ่อ”

ชไบนางพยักหน้า “แต่ก่อนอื่นแม่กานพลูลูบเนื้อลูบตัว เปลี่ยนผ้านุ่งก่อนดีไหม?”

“อะไรคือลูบเนื้อลูบตัวคะ?”

ชไบนางกลั้นยิ้มขำ เมื่อสุดจะกลั้นก็พ่นเสียงหัวเราะ “อุ้ย...แม่มาได้ยิน คงหาว่าฉันไม่มีสมบัติชาววัง จะยิ้มจะหัวเราะก็เสียงดัง แต่แม่กานพลูก็ช่างน่าหัวร่อเสียจริง...ลูบเนื้อลูบตัวแปลว่าทำความสะอาดร่างกาย แต่ไม่ถึงกับอาบน้ำดอก ก็วักน้ำจากขันลูบหน้าลูบตัว ต่อด้วยประแป้งหรือดินสอพอง แต่กานพลูน่ะพิถีพิถันยังกับชาววัง ต้องเช็ดตัวด้วยผ้าผืนเล็กที่จุ่มน้ำลอยดอกไม้ บิดหมาดๆ เช็ดตามเนื้อ แล้วชโลมด้วยน้ำอบ จนแม่ฉันบอกว่ากานพลูน่ะยังกับลูกชาววัง”

แม้สตรีสมัยโบราณจะแต่งกายถูกกับสภาพอากาศ คือนุ่งโจงกระเบน มีผ้าคาดอก แต่ก็ยังรู้สึกร้อนเป็นครั้งคราว จะอาบน้ำก็ไม่สะดวก เพราะไม่มีห้องน้ำมิดชิด ดังนั้นวิธีคลายร้อนที่ไม่ให้ตัวเหนียวเหนอะหนะก็คือ การลูบเนื้อลูบตัวนั่นเอง ถ้าเป็นชาวบ้านก็จะใช้มือวักน้ำจากภาชนะ เช่น ขัน ลูบไล้ใบหน้า ตามลำตัว โดยใส่ชุดเดิมไม่ต้องเข้าห้องน้ำ จากนั้นก็ประแป้งเม็ด หรือดินสอพอง แต่สำหรับชาววัง จะพิถีพิถันกว่า เช่น ใช้น้ำลอยดอกไม้ ภาชนะก็ใช้ขันเงิน วิธีการลูบเนื้อลูบตัว อาจใช้ผ้าผืนเล็กชุบน้ำบิดพอหมาด เช็ดตามตัวที่อยู่นอกร่มผ้า เสร็จแล้วชโลมด้วยน้ำปรุง หรือน้ำอบ ทาทับด้วยแป้งหอม จะทำให้เนื้อตัวเย็นสบายขึ้น(3)

รำเพยยิ้มแห้งๆ “แต่ดิฉันตกน้ำมาทั้งตัวแล้ว คงไม่ต้องลูบเนื้อลูบตัวกระมังคะ? แค่นุ่งโจงกับผ้าคาดอกก็น่าจะพอ?”

หญิงสาวจากโลกปัจจุบันพูดติดตลก เธอพยายามเลียนแบบการพูดการจาของชไบนาง เมื่ออีกฝ่ายหัวเราะคิก เลยเป็นผลให้ตนเองหัวเราะตาม รำเพยเริ่มสนุกกับการโลดแล่นในบทบาทของกานพลู การหลุดมาในภพอดีต ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเกินไปนัก อย่างน้อยก็ทำให้เธอเข้าใจผู้คน วิถีชีวิตและประวัติศาสตร์ในยุคนั้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอปรารถนามาโดยตลอด ยามเธอไปเที่ยวโบราณสถาน โบราณวัตถุหรือตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เธอมักคิดจินตนาการและตั้งคำถามกับตัวเองว่าผู้คนในยุคนั้นอยู่กันอย่างไร และสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อวิวัฒนาการในสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้า คราวนี้เธอคงได้รู้คำตอบ...

--------------------------------

(1) พระราชพิธีโสกันต์ : พระราชพิธีโกนจุก ของพระราชโอรสหรือพระราชธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนเจ้านายระดับหม่อมเจ้า เรียกว่า "พิธีเกศากันต์" ลูกชาวบ้านเรียกว่า “โกนจุก” นิยมโกนจุกเมื่อเด็กหญิงเด็กชายมีอายุ ๑๑-๑๓ ปี โกนช่วงอายุเลขคลี่ เช่น ๑๑ , ๑๓

(2) กรมฝิ่น : การเก็บภาษีสรรพสามิตมีต้นกำเนิดมาจากสินค้า ๒ ประเภท คือ ฝิ่น และสุรา จัดเก็บภาษีโดยกรมฝิ่นและกรมสุรา ต่อมาเปลี่ยนชื่อว่า “กรมสรรพสามิตต์และฝิ่น” ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “กรมสรรพสามิต” ในปัจจุบัน

(3) ลูบเนื้อลูบตัว : ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย “สี่แผ่นดิน” กับเรื่องจริงในราชสำนักสยาม





Create Date : 27 กันยายน 2558
Last Update : 27 กันยายน 2558 11:46:23 น.
Counter : 699 Pageviews.

7 comment
บท 1/2...พรหมภพ
ขอปรับแก้และเพิ่มเติมบท 1/1 เล็กน้อยนะคะ ก่อนจะเข้าสู่บท 1/2 อันเนื่องจาก... ยอมรับว่าแนวพีเรียดเขียนยากตรงที่ต้องเช็กข้อมูลหลายรอบมากค่ะ อาทิ เช่น การแปลงร.ศ.ไปเป็นพ.ศ. และพ.ศ. ไปเป็นร.ศ. ควรจะลบด้วย -หรือ+ ด้วย 2324 หรือ 2325 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นของรัตนโกสินทร์ดี ซึ่งที่สุดตัดสินใจยึดตามเอกสารราชกิจจานุเบกษา ฯลฯ และยังมีข้อมูลอีกมากมาย ที่ต้องดับเบิลเช็กลักษณะนี้ พอเจอก็ต้องตามไปแก้ของเก่า เลยเป็นเหตุให้ต้องปรับแก้เล็กๆ น้อยๆ ตามมาเป็นระยะๆค่ะ

**********************


บทที่ 1


“คุณเป็นยังไงบ้าง ขอบคุณพระเจ้าที่คุณปลอดภัย”

ถามเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ ในจังหวะไล่ๆ กับที่รำเพยพรวดตัวขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ โดยมีลำแขนแข็งแกร่งล็อกคอทางด้านหลังแน่นหนา เธอไอแค่กๆ เพราะสำลักน้ำไปหลายอึก ยามนั้นยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำไมถึงตกลงมาในน้ำได้ อย่างเดียวที่นึกออกคือ เธอกำลังยืนดูรูปถ่ายในกล้องถ่ายรูป เนื่องจากเห็นเงาลางๆ ปรากฏอยู่หน้าห้องนอนของท่านอุ่นเรือน พยายามเขม่นตามองว่าคือเงาอะไร จังหวะนั้นจู่ๆ ก็มีใครบางคนซึ่งเธอไม่ทันสังเกต กระแทกเข้าที่กลางหลังจนเซถลา นอกจากคว้าอะไรไม่ทันแล้ว เธอยังสะดุดเชือก มีผลให้ร่วงตกลงไปในน้ำอย่างไม่เป็นท่า

“ไม่...ปล่อยดิฉันนะ” เธอแหวเสียงสั่น พยายามสะบัดตัวหนีจากวงแขนหนาในทันทีที่ได้สติกลับคืน

กล้องถ่ายรูปกระเด็นหลุดจากมือในจังหวะที่เธอถูกชนตกลงไปในน้ำ รำเพยนึกด้วยความรู้สึกเสียดาย เข้าใจว่าตอนนี้มันคงดิ่งลงไปสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำเจ้าพระยาและอาจกำลังนอนสงบแน่นิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในเบื้องล่างนั่น จำได้ว่าตอนที่เธอตกลงไปชนิดที่เรียกว่าทิ้งตัวอย่างหมดท่านั้น เธอพยายามตะเกียกตะกายและตั้งสติเพื่อลอยตัวขึ้นไปอยู่เหนือน้ำ แต่ราวกับมีอะไรบางอย่างรัดรึงเธอไว้ ค่อยๆ ลากเธอลงสู่เบื้องล่าง และในจังหวะที่คิดว่ากำลังจะขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจนั่นเอง จู่ๆ ก็มีวงแขนแข็งแกร่งลากเธอขึ้นมา

“อยู่นิ่งๆ สิ ถ้าไม่อยากจมอีก ผมจะพาคุณไปที่ท่าตีน” เสียงเข้มดุเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ อีก

“ดิฉันว่ายน้ำเป็น ปล่อยสิ” เธอพยายามดิ้นรนผลักไส พลางตะโกนแข่งกับเสียงไอแค่กๆ ถึงตอนนี้ไม่มีแรงสะบัดตัวหนี จึงทำได้แต่ตีแขนขาเพื่อพยุงตัวให้ลอยเหนือน้ำ ชะรอยอีกฝ่ายคงเห็นว่าเธอช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว จึงยอมปล่อยเป็นอิสระ

“เบาๆ หน่อย เสียงดังไป เดี๋ยวหลวงพิภพฯ ก็ได้ยินดอก”

รำเพยชะงักเมื่อสมองเริ่มซึมซับถึงคำพูดแปร่งๆ มีนัยแปลกๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ายนั้นพุ่งตัวมาลอยตัวเหนือน้ำอยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้วมุ่นอีกคราเมื่อคลับคล้ายว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน แล้วฉับพลันก็ถึงบางอ้อ เขาเป็นฝรั่งที่เธอเคยเจอที่งานวัดที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดจำลองขึ้นเมื่อเดือนก่อน ตอนนั้นเธอเดินออกมาจากกระโจมหมอดูออกมาไกลมากแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนว่าไฟไหม้ เธอกับพิมพาเหลียวหลังไปมอง แล้วต้องชะงักเมื่อพบว่าเป็นแค่โจ๊กตลกๆ ของฝรั่งขี้นก เขาดูมีสติสตังดี แต่กลับกุเรื่องได้อย่างน่ารังเกียจ

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร หลวงพิภพฯ อะไรของคุณ?” กระชากเสียงถามด้วยสีหน้าตำหนิ

“ก็หลวงพิภพฯ ท่านเป็นคนสั่งให้แป้นผลักคุณตกน้ำ”

รำเพยทำหน้างงงวย “ใครคือหลวงพิภพฯ ใครคือแป้น แล้วจะทำแบบนั้นไปทำไม?”

ฝ่ายนั้นจ้องเธอกลับมาราวกับเห็นเขางอกออกจากหัว “คุณตกน้ำจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ หลวงพิภพฯ คือคุณพ่อของคุณไง ส่วนแป้นคือบ่าวคนสนิทของคุณอุ่นเรือน”

ยิ่งฝรั่งตาโตสีบลูโทพาส(1) ขยายความ ก็ยิ่งพาให้เธอมึนงงหนักขึ้น “คุณกำลังพูดเรื่องอะไร ดิฉันงงไปหมดแล้ว”

“คุณจะบอกว่าตกน้ำไป สติเลยฟั่นเฟือนอย่างนั้นรึ?”

“สติฟั่นเฟือนอะไร ดิฉันปกติดี”

“ปกติดีอะไร คุณจำไม่ได้ว่าตัวเองชื่อกาน”

“กาน? คุณหมายถึงใคร?”

“นั่นไงคุณจำไม่ได้จริงๆ คุณชื่อกานพลู เป็นลูกสาวของหลวงพิภพฯ กับแม่อบเชย ผมเพิ่งสังเกตว่าคุณแต่งตัว ทำผมแปลกๆ ไป คุณเอาชุดแปลกๆ พวกนี้มานุ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเอามาจากไหน?”

รำเพยเบิกตาโต พินิจพิเคราะห์เขาอย่างละเอียดลออขึ้น แล้วเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาสวมเสื้อกระบอกคอกลม แขนยาวเกือบจดข้อศอก เสื้อชุ่มน้ำ แนบไปกับแผงอกกว้างจนเห็นกล้ามอกเป็นมัดๆ ใต้น้ำใส ผมเปียกน้ำลู่ไปกับศีรษะทุย เห็นวงหน้าหล่อเหลาเด่นชัดโดยเฉพาะนัยน์ตาสีฟ้า จมูกโด่งตรงและริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับ มีรอยหยักบนกลีบปากล่าง ยิ่งทำให้เรียวปากคู่นั้นดูนุ่มและ... รำเพยชะงักความคิดแค่นั้น หน้าแดงระเรื่อเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุที่เอาแต่สำรวจเขาไม่วางตา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งจึงพบว่าเขาหรี่ตามองมาอยู่แล้ว

รำเพยดึงสติกลับมา “คุณต่างหากที่ดูแปลกๆ แล้วดิฉันก็ไม่ใช่กานพลูด้วย”

“คุณกำลังพูดตลกอะไร ก็เห็นอยู่ว่าคุณคือกานพลู”

“คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่คุยด้วยแล้ว ดิฉันหนาวแล้วก็เพลียด้วย ขอตัวค่ะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิต”

รำเพยลาแล้วเตรียมพลิกตัวจะว่ายเข้าหาโป๊ะ แล้วจังหวะนั้นเธอก็ชะงัก ตัวแข็งทื่อ ลืมตีแขนขาพยุงตัวไปเสี้ยววินาทีเมื่อพบว่าโป๊ะและเรือยนต์หายไป กลายเป็นตีนท่าและมีเรือเก๋งอยู่ลำหนึ่งเข้ามาแทนที่ ไร้ซึ่งประตูเล็กๆ ที่นำไปสู่พิพิธภัณฑ์ เธอตีแขนขาพยุงตัว เหลียวมองรอบตัวแล้วพบว่าตนเองกำลังเคว้งคว้างอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา รอบตัวปราศจากสิ่งที่คุ้นเคย และเหนือจากตีนท่าเป็นอาคารชิโน-โปรตุกีสที่เห็นอยู่ไม่ไกลนัก หลังไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับหลังที่เธอเพิ่งเดินจากมาเมื่อครู่

รำเพยเริ่มเอะใจแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น สภาพรอบข้างที่เธอเห็น ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เรือเก๋งยกเลิกใช้ไปนานแล้วไม่ใช่หรือ เธอสะบัดศีรษะเพราะอาจกำลังฝัน แต่สภาพรอบข้างก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

“คุณโอเคมั้ย?” ฝ่ายนั้นถามกลับมาด้วยสีหน้าห่วงใย

รำเพยครางเสียงเบาหวิวแทนคำตอบ ตวัดสายตากลับมามองเขาด้วยนัยน์ตาที่เบิกโตเท่าไข่ห่าน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากกระซิบ สีหน้าซีดเผือด นัยน์ตาเบิกโต

“ดิฉันไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ”

“คุณหมายความว่ากระไร?”

รำเพยไม่ตอบ แต่ถามไปอีกเรื่อง “นี่ปีพ.ศ.อะไรคะ?”

“พ.ศ.?” ทวนพลางทำหน้ามึนงง

“ดิฉันหมายถึงปีพุทธศักราช” เมื่อเห็นเขายังทำหน้างงๆ เธอก็กล่าวแก้ใหม่ว่า “ดิฉันหมายถึงการนับปีศักราช อย่างประเทศคุณ ใช้ค.ศ.ไรเงี่ย” ประโยคหลังเธอเปลี่ยนมาสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ

“คุณพูดภาษาอังกฤษได้เก่งมาก โดยทั่วไปผมแทบหาชาวบ้านที่พูดภาษาผมไม่ได้เลย” กล่าวด้วยสีหน้าทึ่งจัด

“ขอบคุณค่ะ”

“คุณไปเรียนมาจากไหน”

“มหาวิทยาลัยค่ะ ว่าแต่คุณยังไม่ตอบคำถามดิฉันว่าตอนนี้ปีอะไร”

เจ้าตัวพยักหน้า “คุณหมายถึงร.ศ.(2) ใช่ไหมครับ?”

รำเพยพยักหน้า ถึงบางอ้อว่าคนไทยในยุคนั้นยังคงใช้ร.ศ. นึกได้ว่ามีการเปลี่ยนจากร.ศ. มาเป็น พ.ศ.ในรัชกาลที่ ๖

“ตอนนี้ร.ศ.๑๐๙ ครับ คุณถามทำไม?”

ร.ศ. ๑๐๙ หรืออีกนัยหนึ่ง พ.ศ.๒๔๓๔ รำเพยบวกลบตัวเลขอยู่ในใจแล้วครางอึ้งอึง คุณพระช่วย...เธอย้อนเวลากลับมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ไม่อยากเชื่อตัวเองว่าผลจากการตกน้ำ ทำให้ย้อนเวลากลับมาในอดีต คิดแค่ว่ามีในนวนิยาย ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

“ทำไมคุณทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกแบบนั้น?” ฝ่ายนั้นถามกลับมาอย่างประหลาดใจ

แต่รำเพยเหมือนไม่ได้ยิน เธอหลับตาพริ้มด้วยว่าเป็นลมหมดสติไปแล้ว...



อองเดรวางร่างบอบบางบนเรือเก๋งสี่แจว(3) ที่จอดแอบอยู่ข้างตีนท่าน้ำ แล้วผละถอยห่างออกมาเล็กน้อยอย่างทำอะไรไม่ถูก เพิ่งตระหนักว่าหญิงสาวที่กำลังนอนเป็นลมหมดสติอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่กานพลู ก็เมื่อเห็นเครื่องแต่งกายและทรงผมชัดๆ ซึ่งแปลกตาไปจากหญิงสาวทุกคนในบางกอก ถึงหน้าตาจะเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกันก็ตาม ด้วยว่าสาวบางกอกทั่วๆ ไปจะนุ่งโจงกระเบนและห่มผ้าแถบ(4) แต่หญิงสาวรายนี้แต่งกายเหมือนผู้คนในโลกตะวันตกที่เขาจากมา เป็นเสื้อมีปก ผ่าหน้า ติดกระดุมตลอดแนวอย่างที่เรียกว่าเสื้อเชิ้ต และกางเกงเนื้อหนาแบบยีนส์ อวดรูปร่างของเจ้าตัวที่มีหุ่นเพรียวลมและกลมกลึงสมส่วน เช่นเดียวกับทรงผม หญิงสาวรายอื่นๆ จะตัดผมสั้นเป็นทรงดอกกระทุ่ม(5) หวีแสกหรือเสย แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับไว้ผมยาว อองเดรนึกแล้วสำรวจใบหน้าเรียวรูปไข่ที่บัดนี้ผมยาวสลวยแนบไปกับศีรษะ เห็นเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มเด่นชัด ไล่ตั้งแต่หน้าผากมน จมูกโด่งปลายรั้น ริมฝีปากบางแต่อิ่มได้รูปกระจับ เธอสวยยิ่งกว่าสาวงามคนใดที่เขาเคยเจอ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้าน ดูประหนึ่งฝาแฝดของกานพลูก็ไม่ปาน

อองเดรเป็นกัปตันเรือชาวเดนมาร์ก เชื้อสายฝรั่งเศส สืบเชื้อสายมาจากพระคาร์ดินัล(6) ซึ่งเป็นอัครเสนาบดีและที่ปรึกษาของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ แห่งฝรั่งเศส ต้นตระกูลอพยพมาอยู่ในเดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรสงครามของฝรั่งเศส เนื่องจากทางการฝรั่งเศสต้องการให้ทหารและชาวบ้านมาครอบครองที่ดินของเดนมาร์ก เมื่อเขาโต ได้สมัครเป็นนายเรือกับเรือสินค้า มีโอกาสเดินทางล่องเรือมาเห็นสยามเมืองเอกราชท่ามกลางอาณานิคมของชาติตะวันตกครั้งหนึ่ง จึงเกิดความรู้สึกแรงกล้าอยากมาอยู่บางกอก ประกอบกับช่วงนั้นสงครามระหว่างเดนมาร์กกับรัสเซียยืดเยื้อมานานและจบลงด้วยการที่เดนมาร์กแพ้สงคราม เสียดินแดนให้กับสมาพันธรัฐเยอรมัน ปัญหาการเมืองภายในวุ่นวาย ความขัดแย้งไม่รู้จบ ทหารส่วนหนึ่งเปลี่ยนอาชีพ และบางคนเลือกที่จะอพยพไปแสวงหาอนาคตใหม่ๆ ดั่งเช่นเขา ฉะนั้นเมื่อกลับสู่มาตุภูมิแล้วสอบได้ประกาศนียบัตรนายเรือ ยศนายทหารกองหนุนของกองทัพเรือเดนมาร์กในระดับนายเรือโท เขาจึงเข้าหาผู้ใหญ่หลายครั้งจนมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ ที่พระราชวังกรุงโคเปนเฮเกน เพื่อขอพระราชทานหนังสือแนะนำตัวมาถวายพระเจ้าแผ่นดินของสยาม หลังจากนั้นเขาก็ล่องเรือมายังสยาม ผ่านลอนดอน สิงคโปร์เข้าสู่บางกอก และกงสุลเดนมาร์กเป็นผู้นำเขาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อกงสุลใหญ่เดนมาร์กประจำสยามมาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินของสยาม โดยอัญเชิญพระราชสาส์นของพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ มาถวายด้วย โดยฝากฝังเขาพร้อมด้วยเอกสารรับรองการเป็นนายทหารและกัปตันเรือของเดนมาร์ก มายืนยันความรู้ความสามารถ ทำให้พระเจ้าแผ่นดินของสยามทรงยินดีที่จะรับเขาไว้ โดยทรงมอบให้เขาเป็นผู้บังคับกองเรือ พิทยัมรณยุทธ (Regent) ที่ภูเก็ต

งานหลักของเขาคือทำแผนที่ชายฝั่งทะเลสยามด้านตะวันตกซึ่งสยามมีเขตแดนติดต่อกับเมืองขึ้นของอังกฤษ ครั้งหนึ่งขณะกำลังสำรวจเพื่อทำแผนที่ในอาณาบริเวณปริมณฑลของภูเก็ต ได้เจอหินโสโครกในทะเลระนองซึ่งเป็นกองหินปริ่มน้ำ เมื่อน้ำขึ้นจะมองไม่เห็น จะโผล่ยอดเมื่อน้ำลง ส่งผลให้เรือชนอับปางมานักต่อนักแล้วเนื่องจากมองไม่เห็น เขากำหนดจุดลงบนแผนที่เพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุและตั้งชื่อกองหินตามชื่อของเขา ภารกิจของเขายังเข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง โดยระหว่างที่เรือรบลอยกลางทะเลนั้น ข้าหลวงเมืองภูเก็ตซึ่งมีหน้าที่ไปรับเงินภาษีที่เก็บจากหัวเมืองมาส่งที่บางกอก เผชิญเหตุการณ์จีนกุลีทำเหมืองจะตีกัน เขาและทหารเรือขึ้นฝั่งมาช่วยปราบ ทำให้คนจีนเหล่านั้นอยู่ในความสงบได้ ทางข้าหลวงเมืองภูเก็ตทำบันทึกรายงานพระเจ้าแผ่นดิน ทำให้เขาได้รับความดีความชอบมากมาย



ช่วงที่อองเดรยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำให้เธอฟื้นอย่างไร เพราะเธอไม่ได้หมดสติจากการจมน้ำ เขาถึงจะได้ช่วยผายปอด แต่เธอเป็นลมจากความตกใจ จังหวะที่กำลังหันรีหันขวางอย่างชั่งใจอยู่นั่นเอง สาวสวยตรงหน้าก็ลืมตาขึ้น เธอผุดลุกนั่ง ผงะถอยหลัง

“คุณเป็นใคร แล้วที่นี่ที่ไหน” รำเพยถามเป็นประโยคแรก ด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เหลียวมองรอบตัวด้วยสีหน้าวิตกกังวล

“เรือเก๋งของหลวงพิภพฯ ขอโทษที่พามาที่นี่ แต่ถ้าผมพาคุณไปที่เรือนด้วยสภาพนี้ ผู้คนแตกตื่นแน่”

เดาว่าคงเป็นเรือเก๋งสี่แจวลำที่เธอเห็นจอดอยู่ที่ตีนท่า รำเพยถามต่อว่า “แล้วคุณเป็นใคร”

“ผมต่างหากควรต้องถามว่าคุณเป็นใคร แล้วมาที่นี่ได้ยังไง คุณหน้าตาเหมือนกานพลู แต่แต่งตัว ทำผมและภาษาพูดไม่ใช่”

“คุณตอบคำถามของดิฉันมาก่อน แล้วดิฉันค่อยตอบคำถามของคุณ”

อองเดรนิ่วหน้ากับลูกอีช่างต่อรองของอีกฝ่าย แต่ก็ยอมตอบตามจริง “ผมชื่ออองเดร เป็นกัปตันเรือ คราวนี้ถึงตาคุณที่ต้องตอบคำถามผมบ้างแล้ว” เมื่อเห็นหญิงสาวไม่ตอบ เอาแต่จดจ้อง อองเดรก็ถามต่อว่า “ทำไมถึงจ้องผมแบบนั้น?”

“คุณหน้าตาเหมือนใครบางคนที่ดิฉันเคยเจอ”

“ใครรึ?”

“ดิฉันไม่รู้จัก เคยเห็นหน้าแค่ครั้งเดียว” ภาพหนุ่มต่างชาติที่เจอที่งานวัดจำลองปรากฏขึ้นในความทรงจำอีกครา

“เขาหล่อได้ครึ่งของผมไหม?”

รำเพยชะงัก ทำหน้าปั้นยาก จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะบึ้งก็ไม่เชิง

อองเดรยิ้มเมื่อไม่ได้คำตอบ เขาเปลี่ยนเรื่อง “คุณยังไม่บอกว่าเป็นใคร มาจากไหน”

“ดิฉันชื่อรำเพย มาจาก...” ชะงักเสี้ยววินาที ก่อนกล่าวต่อว่า “ปีพ.ศ.๒๕๕๘”

“อะไรนะ?”

รำเพยรีบแก้ใหม่ นึกได้ว่าเขาอาจไม่คุ้นกับปีพ.ศ. “ดิฉันบอกว่า ดิฉันมาจากร.ศ.๒๓๓” เธอแปลงเป็นรัตนโกสินทร์ศกให้เขาเรียบร้อย

อองเดรอึ้ง ยังไม่ปักใจเชื่อสักทีเดียวว่าเธอมาจากโลกในอนาคตอีก ๑๐๐ กว่าปีข้างหน้า “คุณหน้าตาเหมือนกานพลูมาก คุณเป็นอะไรกับเธอ?”

“ดิฉันไม่รู้จักผู้หญิงที่คุณพูดถึง”

“เอาล่ะ...ผมยอมรับว่ากิริยา คำพูดคำจาระหว่างคุณกับกานพลูแตกต่างกัน คนหนึ่ง...กิริยาเนิบช้า พูดนุ่มนวล น่าฟัง แต่อีกคนปราดเปรียวคล่องแคล่ว พูดแปร่งๆ ยังกับไม่ใช่คนบางกอก แต่กระนั้นคุณทั้งคู่ก็เหมือนกันราวกับถอดมาจากพิมพ์เดียวกันอยู่ดี ทั้งรูปร่าง ผิวพรรณ หน้าตาเหมือนกันยิ่งนัก”

รำเพยแยกเขี้ยว ถ้ามีหนวด หนวดคงกระตุกไปแล้ว “ดิฉันว่าคนที่พูดแปร่งๆ คือฝรั่งตาน้ำข้าวอย่างคุณต่างหากล่ะ”

“ตาน้ำข้าว? หมายความว่ากระไร?”

“ก็หมายความว่าตาเหมือนน้ำซาวข้าวไง สีขาวขุ่นน่ะ”

“แต่ตาของผมเป็นสีบลูโทพาส” อองเดรแย้ง เขาหมายถึงสีฟ้าของอัญมณีบลูโทพาส

คนฟังแยกเขี้ยว “มันเป็นสำนวน พวกฝรั่งแถบยุโรป อเมริกา ออสเตรเลียหรือชาวตะวันตกที่มีผิวขาว ฯลฯ เราเรียกเหมารวมว่าฝรั่งตาน้ำข้าวทั้งนั้น”

“อ๋อ...อ แล้วฝรั่งแปลว่ากระไร?”

รำเพยกลอกตา “อยู่เมืองไทยจนฟังภาษาไทยออก ยังไม่รู้อีกหรือว่าฝรั่งแปลว่าอะไร?”

“พอเดาได้ แค่อยากรู้ว่าจะใช่อย่างที่คิดไหม”

คนถูกถามตีหน้ายักษ์ ไม่จริงจังนัก “เคยอ่านหนังสืออภิธานศัพท์ คำไทยที่มีต้นเค้าจากภาษาต่างประเทศ ของกรมศิลปากร บอกว่า คำว่าฝรั่งมีรากศัพท์มาจากภาษาอาหรับว่า "ฟารานจิ" (Faranji) แต่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานไว้ว่าชาวยุโรปที่เข้ามาอยู่ในประเทศสยามแรกๆ มีแต่พวกโปรตุเกสชาติเดียวตลอดเวลาเกือบร้อยปี แต่ไทยเรียกว่าฝรั่งตามอย่างพวกชาวอินเดีย ซึ่งเรียกชาวยุโรปไม่ว่าชาติใดๆ ว่า “ฟรังคีส” ไทยจึงเรียกทั้งยุโรปและอเมริกาว่าฝรั่ง ว่าแต่คุณเป็นฝรั่งชาติไหน?”

“เดนมาร์ก แต่เชื้อชาติฝรั่งเศส”

“อ้อ...แล้วทำไมคุณถึงเลือกที่จะมาอยู่เมืองไทย”

“คุณหมายถึงสยามหรือ?”

“ใช่...”

“ทำไมคุณถึงเรียกสยามว่าเมืองไทย(7) ล่ะ”

“ดิฉันไม่อยากมาถกวิชาประวัติศาสตร์กับคุณหรอกนะ ว่าสยามเปลี่ยนชื่อมาเป็นประเทศไทยเมื่อไหร่ ฉะนั้นช่วยเข้าเรื่องหน่อยเถอะ”

อองเดรคลี่ยิ้มกับความใจร้อนของอีกฝ่าย เธอหน้าตาเยาว์วัย ให้อย่างไรก็น่าจะอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับกานพลูซึ่งนั่นแปลว่าอ่อนกว่าเขากว่ารอบ

“ผมเบื่อการเมืองภายในประเทศที่วุ่นวายไม่รู้สิ้นสุด แล้วก็เบื่อสงครามระหว่างเดนมาร์กกับรุสเซียด้วย ก็เลยมาแสวงหาอนาคตใหม่ที่สยาม” อองเดรหมายถึงรัสเซีย เขาติดปากเรียกว่ารุสเซียตามคนไทย “โชคดีญาติๆ พอจะรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ผมเลยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ เพื่อขอพระราชทานหนังสือแนะนำตัวมาถวายพระเจ้าแผ่นดินของสยาม พระองค์ทรงอ่านพระราชสาส์น และทรงยินดีที่จะรับผมเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือ ทรงแต่งตั้งให้ผมเป็นผู้บังคับกองเรือพิทยัมรณยุทธที่ภูเก็ต ทำหน้าที่สำรวจเส้นทางเดินเรือเพื่อทำแผนที่ชายฝั่งทะเลสยามด้านตะวันตก”

รำเพยชะงัก เพราะจำได้ว่าเรือพิทยัมรณยุทธ เป็นเรือรบเก่าสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ถูกปลดประจำการไปนานแล้ว

“แล้วทำไมคุณไม่อยู่ที่ภูเก็ต มาอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำไม?” เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของเขา เธอก็รีบแก้ว่า “ดิฉันหมายถึงบางกอก”

อองเดรพยักหน้า ตอบว่า “ผมได้รับคำสั่งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ขึ้นมาเตรียมการเพื่อต้อนรับซาเรวิตช์(8) จากรุสเซียซึ่งจะเดินทางมาเยือนบางกอกในอีก ๓ เดือนข้างหน้า พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผมเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งสุริยมณฑลเพื่อไปรับเสด็จที่ปากน้ำ สมุทรปราการ เพื่อนำขบวนเรือพระที่นั่งมายังบางกอก”

“เดี๋ยวนะคุณพูดถึงซาเรวิตช์ คุณหมายถึงจักรพรรดินิโคลัสที่ ๒ แห่งรัสเซียน่ะหรือ?”

อองเดรนิ่วหน้า “ใช่...แต่พระองค์ คือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฎราชกุมาร ยังไม่ได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นจักรพรรดิแห่งรุสเซีย”

“นั่นแหละ อีกไม่กี่ปีต่อมาพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ หรือจักรพรรดิแห่งรัสเซีย”

ข่าวคราวการมาเยือนกรุงสยามของมกุฎราชกุมารนิโคลาสหรือซาเรวิตช์จากรัสเซียในสมัยนั้น เป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วกรุงสยามและถูกหยิบยกมาพูดถึงไปอีกนานตลอดปีนั้น เนื่องจากทางการจัดพิธีต้อนรับใหญ่โต หรูหราสมพระเกียรติ จนเกิดเป็นสำนวนเปรียบเทียบเวลาที่พูดถึงการตระเตรียมใหญ่โตหรูหราของผู้คนในสมัยนั้นว่า “ราวกับรับซาเรวิตช์”

กล่าวกันว่าเบื้องหลังการเดินทางเยือนเอเชียตะวันออกของมกุฎราชนิโคลาส ก็เพื่อเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์จุดต้นทางเพื่อเริ่มก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ณ เมืองวลาดีวอสต๊อค ในรัสเซียตะวันออก ตลอดจนเพื่อศึกษาดูงานระบอบการปกครองในประเทศต่างๆ อันเป็นการสั่งสมบารมีและเสริมอิทธิพลทางการเมืองของอ้อมให้กับรัสเซีย รวมไปถึงพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ ๒ พระบรมราชชนกต้องการให้มกุฎราชนิโคลาสแยกกันอยู่กับแฟนสาวนักเต้นบัลเล่ต์ผู้ที่พระบรมราชชนกคอยกีดกันไม่ให้ทั้งสองคบหากัน โดยเส้นทางของขบวนเสด็จเริ่มออกเดินทางขบวนรถไฟหลวงจากนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ล่องใต้สู่กรุงเวียนนาจนถึงเมืองตรีเอสเต(Trieste) จากนั้นเดินทางต่อโดยเรือพระที่นั่งปัมยัตอาโซวา ผ่านกรีก อียิปต์ ตัดเข้าเอเชียทางคลองสุเอซ บ่ายหน้าสู่อินเดีย ศรีลังกา สิงคโปร์ สยาม เวียดนาม จีนและญี่ปุ่น โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จออกไปรับเสด็จซาเรวิตช์ถึงในสิงคโปร์ โดยเรือมกุฎราชกุมาร และเขาได้รับมอบหมายให้ไปรับเสด็จซาเรวิตช์พร้อมด้วยคณะ ที่ปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการเพื่อนำเสด็จเดินทางต่อมายังบางกอก

ถึงตอนนี้รำเพยก็ตัวแข็งทื่อ เมื่อพบว่าตนเองพบกับบุคคลในประวัติศาสตร์เข้าให้แล้ว “อย่าบอกนะว่าคุณคือกัปตันโกล ดิฉันหมายถึงพลเรือโท พระยาชลยุทธการบดินทร์”

อองเดรทำหน้าประหลาดใจหนักขึ้น “คุณเข้าใจผิดแล้วมิสรำเพย ผมคือกัปตันอองเดร เดอ โกล ก็จริง แต่ผมเป็นแค่ พลเรือจัตวา พระชลยุทธการบดินทร์ ยังไม่ได้เลื่อนยศเป็น พลเรือโท พระยาฯ ดั่งที่คุณว่า”

“ในปลายรัชกาลที่ ๕ คุณจะได้เลื่อนยศเป็น พลเรือโท พระยาชลยุทธการบดินทร์” รำเพยยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

กัปตันอองเดร เดอ โกล หรือ พระชลยุทธการบดินทร์ รับราชการในสังกัดกระทรวงทหารเรือ ตำแหน่งสูงสุดคือผู้บัญชาการทหารเรือของกองทัพเรือ เป็นรองผู้บัญชาการการรบของไทยในวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒(9) และเป็นผู้ออกแบบป้อมพระจุลจอมเกล้า จังหวัดสมุทรปราการ สร้างเสร็จและทำการทดลองยิงครั้งแรกก่อนเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ เพียงเดือนเศษ

ในช่วงวิกฤตการณ์ ร.ศ.๑๑๒ กัปตันอองเดล เป็นผู้นำทหารเรือชาวเดนมาร์กเข้าร่วมรบต่อสู้กับกองเรือฝรั่งเศสที่ปากน้ำ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นกงสุลเดนมาร์กห้ามไม่ให้ชาวเดนมาร์กเข้าไปยุ่งเกี่ยว โดยช่วงที่เกิดเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ กัปตันอองเดร มียศเป็นพลเรือจัตวา ตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารเรือ ภายหลังการรบ ได้รับพระราชทานเลื่อนยศเป็น พลเรือตรี พระยาชลยุทธการบดินทร์ และต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ดำรงยศ พลเรือโท พระยาชลยุทธการบดินทร์

อองเดรมองสาวสวยตรงหน้าด้วยสีหน้าขำขัน “คุณเป็นหมอดูรึ”

รำเพยยิ้ม ทำท่าอมภูมิ “ดิฉันรู้มากกว่านั้นอีก รู้ว่าคุณกำลังร่วมหุ้นกับพระเทศาชลธาร เปิดบริษัทเดินรถราง” พระเทศาชลธารที่เธอพูดถึง เธอหมายถึงกัปตันจอห์น ผู้เป็นเพื่อนสนิทของเขา เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ เขาลงทุนร่วมกับเพื่อนเปิดบริษัททำการเดินรถราง เส้นทางจากตำบลบางคอแหลม ผ่านถนนเจริญกรุง ไปถึงศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร เป็นรถรางสายแรกในเอเชีย และในอีก ๗ ปีต่อมา ได้พัฒนาเป็นรถรางเดินด้วยไฟฟ้า นอกจากนี้ยังก่อตั้งบริษัทไฟฟ้าสยามเพื่อผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และก่อตั้งบริษัทรถไฟปากน้ำซึ่งเปิดดำเนินการรถไฟสายกรุงเทพ-สมุทรปราการ ขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ระยะทาง ๒๑ กิโลเมตร เป็นสายแรกในปีพ.ศ.๒๔๓๖ ด้วย

อองเดรยิ้มมากขึ้น “เรื่องนั้นทุกคนในบางกอกรู้อยู่แล้ว ไม่น่าประหลาดใจเลย ทายอย่างอื่นที่จะทำให้ผมประหลาดใจสิ”

“ก็ดิฉันไม่ใช่หมอดูจะให้ทายอะไรล่ะ บอกสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต คุณก็เหน็บว่าเป็นหมอดู พอเล่าเหตุการณ์ในปัจจุบัน คุณก็ว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว สรุปเปลี่ยนเรื่องพูดเถอะ”

คนถูกต่อว่า กะพริบตาปริบๆ “อะไรขี้น้อยใจเสียจริง แลช่างต่อว่าต่อขานด้วย เล่าหน่อยเถอะว่าในรัชสมัยที่คุณอยู่ ใครเป็นพระเจ้าแผ่นดิน”

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม พระองค์ คือหลานปู่ของรัชกาลที่ ๕”

อองเดรอึ้ง ถึงตอนนี้ก็มั่นใจมากขึ้นว่าผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่กานพลูสาวที่ตนหลงรัก ด้วยว่าถึงจะมีใบหน้า ผิวพรรณและรูปร่างที่เหมือนกันราวกับแกะ แต่มีนิสัย กิริยาท่าทางและคำพูดคำจาต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เธอขี้เล่น ช่างต่อว่าต่อขาน แต่ก็ดูคล่องแคล่วปราดเปรียว และที่สำคัญพูดภาษาอังกฤษได้ดี ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดล้วนไม่ปรากฏอยู่ในตัวกานพลู กระนั้นรำเพยก็พูดเรื่องแปลกๆ ที่เขาฟังไม่เข้าใจ ทั้งที่ดูสติสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่ได้ฟั่นเฟือน ถ้าเป็นกานพลู คงไม่พูดอะไรแบบนี้แน่ เธอเป็นกุลสตรีประเภทที่ไม่ช่างพูด พูดเนิบช้า มีจังหวะจะโคนน่าฟัง ราวกับเสียงดนตรี นึกมาถึงตรงนี้ อองเดรก็ชะงัก เมื่อรู้สึกตัวว่าเขายังตามหากานพลูไม่เจอ

“ผมต้องไปแล้ว” พูดพลางขยับลุก ย่อตัวออกมาจากเรือเก๋ง โดยมีรำเพยขยับตามอย่างรวดเร็ว เธอนึกดีใจที่เสื้อเชิ้ตแห้งเร็ว ไม่ได้แนบตัวอีก คงมีเพียงกางเกงยีนส์ที่สร้างความรำคาญเพราะเปียกชื้น

“คุณจะไปไหน” เธอร้องถามเมื่อออกมานั่งที่กราบเรือเก๋ง เขาเหมือนญาติคนเดียวในภพนี้ เธอไม่รู้จักใครเลย ถ้าเขาไป ก็คงเหมือนหมดที่พึ่ง

“ผมต้องตามหากานพลู เธอถูกบ่าวผลักตกน้ำ” อองเดรพูดด้วยสีหน้าร้อนใจ

“แต่เราไม่เห็นเธอโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเลย เธอว่ายน้ำเป็นใช่มั้ย?” รำเพยถามต่อ เหลียวมองรอบตัวเพื่อหาสิ่งมีชีวิต แต่เธอก็ไม่พบสัญญาณใดๆ

“ว่ายเป็น แต่ไม่แข็ง” อองเดรตอบแล้วเหลียวมองรอบกาย จริงอย่างที่แม่สาวคนนี้พูด แม่น้ำเจ้าพระยานิ่งสงบ ผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับล้อแสงแดด มีเกลียวคลื่นเล็กๆ ม้วนตัวเข้าหาฝั่งยามเรือวิ่งผ่าน ซึ่งก็นานๆ ครั้งจะผ่านมาสักลำ น้ำจึงค่อนข้างนิ่ง

ไร้วี่แววสาวที่เขาแอบรัก เธอไม่โผล่หรือชูมือขึ้นมาขอความช่วยเหลือ... อองเดรนึกด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เขาภาวนาขอให้เธอรอดปลอดภัย อย่าได้จมลงสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งลึกราวกับหาจุดสิ้นสุดไม่ได้นั่น อองเดรนึกพลางพุ่งตัวลงไปในแม่น้ำอย่างไม่ลังเลทั้งที่เขายังหาตำแหน่งที่เธอตกน้ำไม่ได้ แต่แค่ได้ลงไปงมหา ก็อุ่นใจแล้ว อองเดรคิดว่าถ้าหญิงสาวตกน้ำจริง ก็ควรอยู่แถวๆ ตีนท่า

ก่อนหน้านี้เขายืนเก็บดอกจำปาอยู่ใต้ต้น เพื่อหวังเอาไปให้กานพลูทำน้ำอบ จังหวะที่เดินไปหาเธอที่ตีนท่า ซึ่งฝ่ายนั้นกำลังช่วยแป้นตักน้ำจากแม่น้ำไปใส่โอ่ง ก็ได้ยินเสียงคนตกน้ำในจังหวะไล่ๆ กับที่แป้นลุกลี้ลุกลนเดินขึ้นมาจากตีนท่า สีหน้าตื่นๆ ส่อพิรุธ เขาไม่มีโอกาสซักถาม เพราะต้องช่วยชีวิตของกานพลูไว้ก่อน เขากระโดดลงไปช่วย ควานหาอยู่นาน แต่เมื่อเจอตัว กลับกลายเป็นรำเพย ไม่ใช่กานพลู เขาสับสนค่อนข้างมาก เธอโผล่มาได้อย่างไร แล้วกานพลูหายไปไหน? และถ้าหญิงสาวคนนั้นพูดความจริงซึ่งตรองแล้วก็น่าจะพูดจริง ก็แสดงว่าเธอมาจาก ๑๐๐ ปีข้างหน้า

จะเป็นจริงไปได้อย่างไร? อองเดรนึกถามตัวเองด้วยความสับสน...


**********************************

(1) บลูโทพาส (Blue topaz) : อัญมณีสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจและเฉลียวฉลาด

(2) ร.ศ. : รัตนโกสินทร์ศก เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นปีแรก

(3) เรือเก๋งสี่แจว : เรือที่มีเครื่องบังแดดบังฝน มีฝา หลังคาแบนทำด้วยไม้ มี ๔ คนแจว

(4) ผ้าแถบ : ผ้าผืนยาว ๆ แคบ ๆ ใช้ห่มคาดหน้าอกต่างเสื้อ

(5) ทรงดอกทุ่ม : ผมที่ตัดสั้นทั้งศีรษะในระดับที่ชี้ขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายดอกกระทุ่ม เมื่อยาวในระดับพอดี ก็หวีเสยหรือหวีแสกกลาง

(6) คาร์ดินัล : สมณศักดิ์ชั้นสูง รองจากพระสันตะปาปา ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพระสันตะปาปา ในการปกครองคริสตจักรโรมันคาทอลิก

(7) ไทย : มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" อย่างเป็นทางการในวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘ โดยในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ปลุกแนวคิดชาตินิยมและการเชื่อฟังผู้นำ ทำให้เกิดความต้องการรวบรวมชนเผ่าไทยจากต่างแดนเข้ามาสู่ประเทศ "ไทย" เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ในที่สุดจึงเปลี่ยนชื่อ “ประเทศ ประชาชน และสัญชาติ” เป็น "ไทย" ตามประกาศรัฐนิยมฉบับที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๒ และมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘

(8) ซาเรวิตช์ (Tzarevitch) : มกุฎราชกุมารนิโคลาส ตามภาษารัสเซียเรียกว่าซาเรวิตช์

(9) วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ : เหตุการณ์ร้ายแรงจากการที่ฝรั่งเศสใช้กำลังเรือรบตีฝ่าป้อมและเรือรบที่ปากน้ำเจ้าพระยา ในปีพ. ศ. ๒๔๓๖ ซึ่งทำให้ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และเสียค่าปรับ ๓ ล้านฟรังก์ หรือ ๑,๖๐๕,๐๐๐ บาท






Create Date : 24 กันยายน 2558
Last Update : 24 กันยายน 2558 10:55:40 น.
Counter : 765 Pageviews.

6 comment
บท 1/1...พรหมภพ
บทนำมีการปรับเพิ่มอีกแล้วค่ะ เลยต้องโพสต์ให้อ่านกันใหม่ ต้องขอโทษทีค่ะ ส่วนถ้าใครไม่อยากอ่าน ก็ข้ามไปอ่านตอนที่ 1 ได้เลยค่ะ

**********************


พรหมภพ
บทนำ
‘…ทุกคนล้วนเกิดมามีคู่ เพียงแต่โชคชะตาจะขีดเส้นว่าจะพบเจอคนนั้นเมื่อไหร่
ถ้าถึงเวลาเหมาะสม เราก็จะได้เจอ แต่ถ้าไม่...
ต่อให้เราเสาะแสวงหาหรือแทบเดินสวนกัน ก็ยังไม่ “พบ” คนนั้น
เปรียบไปไม่ต่างจากเราวิ่งไล่เงาตัวเอง และเพราะฉันเชื่อแบบนี้ฉันจึงเฝ้ารอคอย
ด้วยความเชื่อมั่นว่าฉันจะได้เจอสักวัน...’

*****


แปดโมงเช้า ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอกราวกับเป็นใจให้กับทริปล่องเรือรอบกรุงเก่าเพื่อทำบุญไหว้พระ ผู้ร่วมทริปเดินทางมาพร้อมเพรียงกันที่จุดนัดพบเพื่อล่องแม่น้ำเจ้าพระยาโดยเรือยนต์ ๕๐ ที่นั่ง รำเพยพร้อมด้วยกล้องคู่ใจ ก้าวลงเรือด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เสียงมัคคุเทศก์ประกาศผ่านโทรโข่ง ระวังลื่นล้ม กฎในการโดยสารทางเรือมีอยู่ ๒ ข้อ นั่นคือ ระวังลื่นล้มระหว่างก้าวขึ้น-ลงเรือ และต้องรอให้เรือจอดสนิทแล้วเท่านั้นถึงจะก้าวขึ้น-ลงเรือ

รำเพยอายุ ๒๓ ปี เพิ่งจบคณะโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งมาหมาดๆ ได้ชื่อว่าเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และชาติตระกูล ด้วยว่าเกิดในตระกูลดี สวย รูปร่างดีและร่ำรวย สมัยเรียนเธอเป็นดาวคณะและเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัย เข้าตาแมวมองและเอเจนซี่จนถูกชักชวนให้ไปเทสต์หน้ากล้อง โดยเฉพาะเอเจนซี่ที่มองหานักแสดงหน้าตาไทยๆ เข้ากับละครแนวพีเรียด จะถูกใจกับหน้าตาและรูปร่างที่อ้อนแอ้นของเธอเป็นพิเศษ แต่รำเพยปฏิเสธไปทุกราย ด้วยเหตุผลว่าไม่ชอบอาชีพที่ต้องอยู่หน้ากล้อง เธอชอบอยู่หลังกล้องมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ลังเลที่จะสมัครเป็นช่างภาพของนิตยสารการท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรมแห่งหนึ่งหลังเรียนจบปริญญาตรี ตั้งใจทำงานระหว่างรอมหาวิทยาลัยในต่างประเทศตอบรับเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท วันนี้เป็นวันหยุด เธอจึงถือโอกาสมาพักผ่อนด้วยการซื้อทัวร์ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำและถือโอกาสไหว้พระทำบุญไปพร้อมกัน

เธอรักการปฏิบัติธรรม ชอบทำบุญไหว้พระ แต่กลับไม่มีโชคด้านความรักจนถูกเพื่อนๆ ล้อว่า...สวย รวยแถมใจบุญ แต่กลับไม่มีแฟน... สำหรับรำเพยมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถ้ามี เธออยากได้ประเภทคู่แท้ ไม่ใช่คู่จรหรือคู่ผ่าน เธอเชื่อว่าถ้าเป็นเนื้อคู่กันแล้ว ย่อมมีสัญญาณอะไรบ่งบอกหรือสัมผัสได้ว่าเขาคือคนคนนั้น รำเพยเชื่อว่าตนเองมีคู่แท้ ขอแค่ใจเย็น รอให้ถึงวันเวลาที่เหมาะสม แล้วสวรรค์จะจัดสรรให้เอง ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่เคยมีแฟน และเฝ้ารอใครคนนั้นตลอดมา

แล้วเสียงของเพื่อนสนิท ก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด กลบเสียงเรือยนต์เสียมิด

‘เพย...ไปดูหมอกัน’

พิมพาผู้เป็นเพื่อนสนิทลากมือเธอเข้าไปในกระโจมหมอดูในทันทีที่เดินผ่านโซนหมอดูซึ่งประกอบไปด้วยหมอดูที่ทำนายด้วยใบไม้ ไพ่ยิปซี ลายมือ โหงวเฮ้ง เป็นต้น เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมรูปแบบหนึ่งที่กระทรวงวัฒนธรรมพยายามรื้อฟื้นวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เรียกว่า “งานวัด” ขึ้นมา โดยจำลองประเพณี ขนบธรรมเนียม ชิงช้าสวรรค์ การละเล่นสาวน้อยตกน้ำ ปาเป้า เวทีรำวง มีร้านจำหน่ายขนมและอาหารแบบไทยๆ รวมอยู่ในงานเดียวกัน พร้อมด้วยสายรุ้งคละสีพาดระโยงรยางค์เหนือเสาไฟและต้นไม้ทั่ววัด กระโจมหมอดู จึงกลายเป็นอะไรที่ผิดแผกไปจากกิจกรรมอื่นๆ ในงาน

‘ไม่ ฉันไม่อยากดู’ รำเพยปฏิเสธ พยายามฝืนแรงฉุดของเพื่อน

‘แค่เข้าไปเป็นเพื่อนฉัน’

รำเพยเลยจำใจต้องเดินตามแรงลากของเพื่อนเข้าไปในกระโจมอย่างไม่เต็มใจนัก

‘ปิดผ้าใบด้วยหนู’ กระโจมไหนที่มีลูกค้าใช้บริการอยู่ ผ้าใบจะถูกปิดลงเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ลูกค้ารายอื่นๆ ได้ทราบว่ากระโจมนั้นไม่ว่าง มีลูกค้ากำลังใช้บริการอยู่ อีกทั้งเพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิของหมอดูภายในกระโจมนั้นด้วย

สิ้นเสียงของหมอดู รำเพยก็ทำตามอัตโนมัติราวกับหุ่นยนต์ เธอรู้สึกราวกับหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งด้วยว่าข้าวของในกระโจมไม่ต่างจากพวกยิปซีโบราณ มีโต๊ะเล็กคล้ายๆ กับโต๊ะญี่ปุ่นวางอยู่ตรงหน้าแม่หมอโดยมีผ้ากำมะหยี่สีแดงสดปูรองโต๊ะ มีลูกแก้วใสลูกใหญ่วางบนสุด แว่นกันแดดวางข้างๆ มุมซ้ายและมุมขวาของกระโจม มีโต๊ะเตี้ยๆ บูชารูปปั้นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และอีกด้านบูชาพระพุทธรูป แล้วเสี้ยววินาทีต่อมารำเพยก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดมาปะทะร่างกาย ให้รู้สึกหนาวแปลกๆ เธอหันขวับมองผ้าใบทางด้านหลัง แต่พบว่ามันไม่ไหวติง แถมไม่มีช่องลม

แล้วลมมาจากไหน? รำเพยถามตัวเอง แล้วเหลียวมองรอบตัวเพื่อหาแหล่งที่มาซึ่งอาจเป็นพัดลมที่แม่หมอแอบซ่อนไว้สักที่ เหมือนกับกลิ่นกำยานที่จู่ๆ เธอก็ได้กลิ่นอยู่ในขณะนี้ซึ่งแม่หมออาจจะวางซุกไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อหวังสร้างบรรยากาศให้ขลังก็ได้ อาจใช้วิธีเล่นกลหรือไม่ก็ตั้งเวลาให้มันทำงานตามที่ต้องการ แต่เวลานั้นเธอก็หาควันไม่เจอ ยิ่งกว่านั้นจากกลิ่นกำยาน ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นบุหรี่อย่างน่าประหลาดใจ มันส่งกลิ่นฉุนรุนแรงจนเธอต้องยกมือปิดจมูก ปกติเธอไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเรื่องเหลวไหลพวกนี้ แต่วินาทีนั้นกลับรู้สึกขนลุกชันด้วยเหตุผลบางประการที่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้

พิมพาทรุดนั่งฝั่งตรงข้ามหมอดู มีลูกแก้ววางอยู่ตรงกลางระหว่างเธอกับแม่หมอ โดยมีรำเพยทรุดตัวนั่งด้านหลังพิมพา

‘หนูต้องการดูเรื่องความรักค่ะ ปีนี้หนูจะได้แต่งงานกับแฟนไหมคะ’ พิมพาเกริ่นขึ้นเป็นประโยคแรก

หมอดูทำพิธีอะไรบางอย่างราวกับคนทรงเจ้า เนื้อตัวสั่นเทิ้ม โต๊ะบูชาขยับไหว ลูกแก้วหมุนเหนือแกนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่ตอนนั้นรำเพยเชื่อว่าแม่หมออาจใช้ทริคอะไรบางอย่าง

แม่หมอยังคงหลับตา สองมือประคองลูกแก้วที่กำลังหมุนด้วยตัวของมันเองอย่างช้าๆ

‘ไม่ต้องห่วงได้แต่งแน่ เพราะสิ่งที่อยู่ในท้องเจ้าผูกมัดเขาอยู่’ แม่หมอตอบ

พิมพาหน้าแดงระเรื่อ นึกทึ่งแกมศรัทธาแม่หมอ ขณะที่รำเพยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำทำนาย

‘แต่แม่เขาไม่ยอมรับ...’ พิมพาพูดต่อ

‘เชื่อข้า เมื่อแม่ผัวเห็นหน้าหลาน นางจะเปลี่ยนท่าที’ แม่หมอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ

ชัดเจนแล้ว... รำเพยสะกิดเพื่อน พลางกระซิบถาม ‘แกท้องเหรอ?’

พิมพาแสร้งทำทีไม่ได้ยิน ถามหมอดูต่อว่า ‘เขากำลังจะย้ายไปประจำที่ต่างจังหวัด แม่หมอช่วยให้หนูแต่งงานกับเขา ก่อนย้ายไปได้ไหมคะ หนูกลัวผู้หญิงคนอื่นจะจับเขา’

‘ได้สิ แต่ค่าหมอแพงนะ’ ยังคงตอบด้วยอาการหลับตาพริ้ม

‘เท่าไหร่คะ’ พิมพาถามต่อ

หมอดูบอกตัวเลข ๕ หลัก รำเพยอึ้ง เธอกระตุกแขนเพื่อน ไม่อยากให้เพื่อนถูกหลอก แต่พิมพาปัดมือออกราวกับไล่ยุง

‘ได้ค่ะ เราเริ่มพิธีได้เลยไหมคะ?’

‘ได้สิ...เจ้านอนลง’

แล้วจากนั้นพิธีก็เริ่มต้นขึ้นจวบจนเสร็จสิ้นและพิมพาจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว รำเพยก็ขยับลุก แต่เพื่อนสาวกลับพูดว่า

‘แล้วเพื่อนของหนูละคะ จะมีเนื้อคู่ไหม เธอเป็นสาวสวยแต่กลับไร้คู่ แม่หมอช่วยเธอหน่อยได้ไหมคะ’

รำเพยสะดุ้ง รีบส่งเสียงท้วงเพื่อน ‘เฮ้อ...ยายพิมพ์ฉันไม่ได้อยากดูนะ’

ขณะที่แม่หมอตอบว่า ‘ได้สิ’ พลางลืมตา จ้องดูรำเพย สภาพการณ์ราวกับอะไรบางอย่างออกจากร่างแล้ว เพราะเสียงพูดกลับไปเหมือนเดิม และเนื้อตัวไม่ได้สั่นเทิ้มอีก แม่หมอดูโหงวเฮ้งของรำเพยแล้วตอบว่า ‘โหงวเฮ้งหนูแปลกมาก’

‘แปลกยังไงคะ’ พิมพาถาม

แต่รำเพยรีบปฏิเสธเสียงรัว ‘ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่อยากดู’

‘ไม่เป็นไร ข้าจะดูให้ฟรี นานๆ ครั้งจะพบโหงวเฮ้งแปลกอย่างนี้ หนูมีทั้งโชคและเคราะห์อยู่ในคราวเดียวกัน’

‘หมายความว่าไงคะ?’ พิมพาถามต่อ

‘ยื่นมือมาให้หมอสิ’ แม่หมอกลับหันไปบอกรำเพย

พิมพาเขย่าแขนเพื่อนเมื่อเห็นฝ่ายนั้นยังนั่งเฉย มองตาปริบๆ ราวกับกำลังงุนงง พิมพาถือวิสาสะกระตุกมือเพื่อนไปให้แม่หมอ รำเพยพยายามกระตุกกลับ แต่พิมพาขืน ดึงไว้แน่น แม่หมอจับมือบอบบางขาวนวลเนียนของรำเพย พลางพริ้มตาหลับ นาทีต่อมาก็ลืมตา

‘มีอะไรบางอย่างกำลังตามหนู ถ้าหนูช่วยให้เขาหลุดพ้นบ่วงกรรมได้ หนูก็จะได้เจอเนื้อคู่’

‘แปลว่าที่เพื่อนหนูยังไม่ได้เจอเนื้อคู่ เพราะมีอะไรบางอย่างคอยขวางหรือคะ?’ พิมพาถามรัวเร็ว

‘ใช่’

‘อะไรที่ตามหนูอยู่คะ?’ รำเพยถามบ้าง

‘สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก’

‘คุณพระ...แม่หมอหมายถึงผีหรือคะ’ พิมพาโพล่งออกมา ขนลุกชัน

‘ไม่ใช่ แต่ใกล้เคียง เขาเป็นดวงจิตที่ติดอยู่ในที่ที่หนึ่งรอวันแม่หนูคนนี้ปลดปล่อย’ แม่หมอตอบ

‘ทำไมต้องรอหนูปลดปล่อย แล้วทำไมต้องเป็นหนู?’

‘เพราะหนูกับเขาทำบุญทำกรรมร่วมกันมา และหนูก็เป็นทายาทสายตรงของคนที่เป็นเจ้าหนี้กรรมเขา’

‘แม่หมอกำลังพูดอะไร หนูงงไปหมดแล้ว’

หมอดูไม่ฟังที่รำเพยพูด เธอพูดต่อว่า ‘เขากำลังรอความช่วยเหลือจากหนู มีหนูคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้’

‘แล้วหนูจะเจอเขาได้ยังไง’

‘ไม่ต้องห่วง เขาจะตามหนูเจอเอง’

‘เมื่อไหร่คะ?’

‘อีกไม่นาน...อีกไม่นาน ตอนนี้ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ถ้าอยากเจอเร็วกว่านั้น พิพิธภัณฑ์ริมน้ำคือคำตอบ’

‘อะไรนะคะ แม่หมอหมายถึงอะไร?’ รำเพยถามอย่างงุนงง

‘หมอบอกได้เท่านี้ ทั้งหมดที่หมอรู้และพูดได้ หมอพูดไปหมดแล้ว’

‘จิตดวงนั้นจะมาทำอันตรายเพยไหมคะ’ พิมพาถามบ้าง

‘เปล่า... ไม่ต้องห่วง เขามาดี เขาจะเป็นคุณกับแม่หนูด้วยซ้ำ’

‘แปลว่า...ถ้าเพยช่วยเขาได้ เพยจะได้เจอเนื้อคู่ใช่ไหมคะ’ พิมพาถามต่อ

‘ถูกต้อง’

‘เอ...หรือจิตดวงนั้นคือเนื้อคู่ของเพยเองคะแม่หมอ?’ พิมพายังคงถามต่อ แต่คราวนี้ไม่มีคำตอบจากหมอดู

ความจริงพิมพาถามไปด้วยความคึกคะนอง ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบจริงจัง เพราะรู้แน่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อจิตดวงนั้นยังไม่ได้มาเกิด ก็ย่อมไม่มีทางจะเป็นเนื้อคู่ของรำเพยไปได้ และถ้ารอให้มาเกิดใหม่ ก็คงไม่ทันในชาตินี้เพราะรำเพยอายุปาไป ๒๓ ปีแล้ว แล้วหลังจากนั้นไม่ว่าพิมพาหรือรำเพยจะพยายามเค้นถามอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับนั้น หมอดูก็พูดวกกลับไปเรื่องเดิม ไม่ต่างจากแผ่นเสียงตกร่อง จนพวกเธอต้องเปลี่ยนเรื่องไปถามเรื่องอื่นแทน

‘แล้วเนื้อคู่ของเพย จะมีลักษณะยังไงคะ’ พิมพาถามใหม่

‘ถ้าแม่หนูได้สัมผัส ก็จะรู้เอง’

‘คำตอบกว้างเกินไป งั้นเอางี้ เขามีลักษณะเด่นอะไรบ้าง ที่เพื่อนหนูเห็นแล้ว จะรู้ได้เลยว่านั่นคือเนื้อคู่?’

แม่หมอนิ่งแล้วตอบอย่างเนิบช้าว่า ‘ปานแดงเล็กๆ รูปหัวใจ เขาจะมีสัญลักษณ์นั้น’


รำเพยบอกตัวเองว่าไม่ใช่เพราะคำทำนายในคราวนั้นที่ทำให้เธอดั้นด้นท่องเที่ยวไปตามพิพิธภัณฑ์นับแต่เหนือสุดของแดนสยามจวบจนล่างสุดของด้ามขวาน เพราะคำทำนายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน ขณะที่เธอชื่นชอบกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมาตั้งแต่จำความได้ สมัยเด็กๆ พ่อแม่มักพาเธอไปเที่ยวตามวัดวาอาราม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ตลอดจนหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ ต่างจากเด็กคนอื่นๆ ในรุ่นราวคราวเดียวกันที่ชอบเที่ยวห้าง สวนสนุก ฯลฯ

แม้วันนี้ครอบครัวของเธอพร้อมด้วยน้องชายจะย้ายไปอยู่เดนมาร์ก เนื่องจากพ่อเธอย้ายไปเป็นทูตอยู่ที่นั่นและเธอก็เตรียมตัวที่จะเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่นด้วยในเร็วๆ นี้ กระนั้นเธอก็ยังคงชื่นชอบกับการท่องเที่ยวในประเทศไทยตามสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ไม่เปลี่ยนแปลง



เริ่นต้นทริปด้วยการแวะวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นที่แรก วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร หรือ "วัดกัลยา" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ฝั่งใต้ สร้างขึ้นโดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ได้บริจาคที่ดินซึ่งเป็นหมู่บ้านกุฎีจีนเดิม ถวายเป็นพระอารามหลวงแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ขณะที่สร้างเจ้าพระยานิกรบดินทร์ได้เสียชีวิตเสียก่อน รัชกาลที่ ๓ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการสร้างจนแล้วเสร็จ พระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางมารวิชัย ชื่อพระพุทธไตรรัตนนายก หมายถึง แก้ว ๓ ประการ สอดคล้องกับคำจีนว่า ซำปอกง ซึ่งเป็นชื่อที่คนจีนในย่านนี้เรียกและยังมีเทพเจ้าต่างๆ ให้กราบไหว้บูชาตามความเชื่อของชาวจีน

รำเพยถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ก็ตามคณะล่องเรือต่อไปยังพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร(วัดแจ้ง) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "วัดมะกอกนอก" เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จกรีฑาทัพมาถึงวัดมะกอกนอกในเวลารุ่งอรุณพอดี จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "วัดแจ้ง" ในช่วงที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี วัดแจ้งถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระบาง อย่างไรก็ตามในปี พ. ศ. ๒๓๒๗ พระแก้วมรกตได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระบางนั้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดพระราชทานคืนนครเวียงจันทร์ ประเทศลาว ความน่าสนใจของพระปรางค์ อยู่ตรงที่แฝงความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ เรื่องเทวดาพระอินทร์และเรื่องราวไตรภูมิ โดยจำลองไว้ในสถาปัตยกรรมของพระปรางค์วัดอรุณฯ รำเพยเดินผ่านประตูรั้วขององค์ปรางค์ที่เปรียบเสมือนกำแพงของจักรวาล พื้นลานกว้างเปรียบเหมือนท้องทะเลสีทันดร และกลางทะเลมีเขาพระสุเมรุซึ่งก็คือองค์ปรางค์โดยแวดล้อมด้วยปรางค์ ๔ ทิศซึ่งแทน ๔ ทวีป ซึ่งในไตรภูมิก็คือ อุตรกุรุทวีปด้านทิศเหนือ บุรพวิเทหทวีปด้านตะวันออก อมรโคยานทวีปด้านตะวันตก และชมพูทวีปด้านทิศใต้ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์

นอกจากพระปรางค์แล้ว โบสถ์น้อยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จุดสำคัญอยู่ที่แผ่นศิลาจารึกของพระองค์ และแท่นบรรทมที่ไม่มีใครสามารถยกหรือเคลื่อนย้ายได้ซึ่งตั้งอยู่ที่โบสถ์น้อยแห่งนี้กว่า ๒๐๐ ปี

รำเพยดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมและถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ก็ตามคณะล่องเรือต่อไปยังวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร(วัดระฆัง,วัดหลวงพ่อโต) เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยาซึ่งเดิมมีชื่อว่า “วัดบางหว้าใหญ่” ระหว่างที่รำเพยเดินเที่ยวชม ไกด์บอกเล่าประวัติไว้อย่างน่าสนใจ

“ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่ง เล่ากันว่ามีเสียงไพเราะและรูปทรงสวยงาม จึงโปรดให้นำไปไว้ที่หอระฆังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และถึงแม้มีเสียงที่ไพเราะแต่ไม่มีใครอยากได้ยิน เพราะระฆังนี้ จะตีเฉพาะ ๒ เหตุการณ์ คือ การเปลี่ยนพระสังฆราชและการเปลี่ยนพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงการสูญเสีย เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว พระองค์ก็ทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางหว้าใหญ่ ๕ ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่าวัดระฆังโฆสิตาราม”

ในบริเวณวัดยังสามารถเดินชมเรือนไทยแฝด ๓ หลังซึ่งเคยเป็นเรือนประทับของรัชกาลที่ ๑ ปัจจุบันเป็นหอพระไตรปิฎก จัดเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวของมาฆะมานพ หรือการกำเนิดของพระอินทร์ มีที่เดียวในประเทศไทยอายุกว่า ๒๐๐ ปี เขียนโดยพระอาจารย์นาค ซึ่งเป็นจิตรกรในสมัยอยุธยาตอนปลาย

รำเพยกดชัตเตอร์เก็บภาพขณะที่ไกด์สาวบรรยายว่า

“เรือน ๓ หลังแฝดที่เห็นคือ หอพระไตรปิฎก หอด้านใต้ลักษณะเป็นหอนอน หอกลางเป็นห้องโถง หอด้านเหนือเข้าใจว่าเป็นห้องรับแขก ของเดิมเป็นหลังคามุงจาก ได้เปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้อง ชายคาเป็นรูปเทพพนม เรียงรายเป็นระยะๆ ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ ๒ ตู้ ประดิษฐานไว้ในหอด้านเหนือ ๑ ตู้ หอด้านใต้ ๑ ตู้...”

รำเพยชอบฟังประวัติศาสตร์ เพราะทำให้คิดจินตนาการว่าคนในสมัยโบราณกินอยู่และใช้ชีวิตอย่างไร แอบคิดว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าหลุดไปอยู่ในยุคโบราณ แล้วเธอก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อเสียงไกด์สาวประกาศผ่านโทรโข่งว่า

“เอ้า...ลงเรือได้แล้วจ้า ถึงเวลาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปแล้ว”



พิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิม ชาวจีนที่ย้ายมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ เป็นเจ้าภาษีนายอากร เจ้าของกิจการค้าข้าว โรงสี และเดินเรือสำเภาค้าขายระหว่างไทยและจีน บ้านเจ้าสัวกิมเป็นบ้านเก่าของต้นตระกูลดาราคุปต์ สร้างในสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ลักษณะที่โดดเด่นคือ เป็นกลุ่มอาคารชิโน-โปรตุกีสหลายหลังที่เชื่อมต่อถึงกัน สร้างในบริเวณเดียวกันในเนื้อที่เกือบ ๒ ไร่ หันหน้าเข้าหาลานกว้างซึ่งอยู่ตรงกลาง บ้านเจ้าสัวกิมตกเป็นมรดกของลูกหลานหลายรุ่น ทายาทหวังให้สถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชน ตลอดจนการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคนั้นในช่วง ๒๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา จึงได้อนุรักษ์ตัวอาคารและเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านไว้เป็นอย่างดี และเปิดให้ผู้สนใจได้เข้าไปชมโดยเสียค่าบัตรเข้าชมเพียงคนละ ๕๐ บาทสำหรับคนไทยและคนละ ๑๐๐ บาทสำหรับชาวต่างชาติ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาบ้านเก่าโบราณหลังนี้ ให้คงอยู่ในสภาพเดิม

รำเพยมาร่วมทริปนี้ เพื่อหวังเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของต้นตระกูลดาราคุปต์เป็นการเฉพาะซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของภาคเอกชน เนื่องจากได้ยินมาว่าในยุคสมัยนั้นเจ้าสัวกิมรวยที่สุดในย่านนั้น เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษเมืองจีน วัสดุของบ้านส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากการค้าขายทางเรือในสมัยนั้นเฟื่องฟู เช่น รั้วบ้านจากฮอลแลนด์ กระเบื้องปูพื้นจากอิตาลี ฯลฯ ปัจจุบันเจ้าสัวกิมมีลูกหลานนับเนื่องมากว่า ๑๐ รุ่น แต่ถ้านับจากต้นสกุลพระราชทานดาราคุปต์ ถือว่ามีทายาทเป็นรุ่นที่ ๖

รำเพยเข้าไปในห้องแสดงภาพของต้นตระกูลซึ่งไม่ต่างจากหอเกียรติยศ ด้วยว่าแต่ละภาพที่แขวนอยู่บนผนังซึ่งมีทั้งภาพวาดขาวดำ ภาพถ่ายขาวดำและภาพถ่ายที่เป็นภาพสีนั้น มีข้อมูลรายละเอียดภาษาไทยและภาษาอังกฤษกำกับไว้ทุกภาพว่าบรรพชนแต่ละท่านสร้างคุณงามความดีไว้กับแผ่นดินไทย หรือเป็นใคร เกี่ยวข้องกับตระกูลดาราคุปต์อย่างไรบ้าง ไล่ตั้งแต่ภาพแรกที่เป็นภาพวาดขาวดำของเจ้าสัวกิม จวบจนมาถึงภาพวาดขาวดำของหลวงนาวีเดชานนท์ซึ่งแต่งงานกับสดใส บุตรีของพระยาธำรงภักดีฤทธิ์ ตามมาด้วยสุ่นและแก้ว น้องชายน้องสาวของหลวงนาวีเดชานนท์ จากนั้นมาถึงต้นตระกูลดาราคุปต์ซึ่งเป็นสกุลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ นั่นคือ ม.อ.ต.(1)เจ้าพระยาพิภพเดโช ตามมาด้วยน้องชาย ๒ คนของท่าน คือ ฮง และเชน ถัดมาคือภาพถ่ายขาวดำของอุ่นเรือน บุตรีของพระยาพิชัยอากาศ ผู้เป็นภรรยาหลวงของม.อ.ต.เจ้าพระยาพิภพเดโช ซึ่งมีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือ รพีพร เชิงพลอย กาหลง จากนั้นเป็นภาพถ่ายขาวดำของช้องนาง อนุภรรยาของม.อ.ต.เจ้าพระยาพิภพเดโช ซึ่งมีบุตรด้วยกัน ๓ คน คือ ชินานาง ชไบนาง อังกูร แล้วเป็นภาพถ่ายขาวดำของกิ่งพิกุล อนุภรรยาคนที่ ๒ ซึ่งมีบุตรด้วยกัน ๓ คนอีกเช่นกัน คือ ส้มจีน ลำเทียนและอังกอบ

รำเพยไล่สายตาดูภาพถ่ายของบรรพชนในตระกูลดาราคุปต์เรื่อยๆ จนมาถึงภาพถ่ายซึ่งเป็นภาพสีของพันตำรวจโททวีสิน แล้ววินาทีนั้น เธอก็ได้กลิ่นบุหรี่คละเคล้ากลิ่นดอกไม้ เหลียวมองรอบตัวเพื่อหาแหล่งที่มา แต่ทว่าก็ไม่เห็นใครสูบ ทุกคนกำลังดื่มด่ำไปกับเรื่องราวที่แสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนั้นผ่านทางภาพวาด ภาพถ่าย ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยที่จัดแสดงอยู่ในห้องโถงแห่งนั้น

เป็นเวลาเกือบ ๒ เดือนมาแล้วที่เธอได้กลิ่นบุหรี่โดยที่หาสาเหตุและหาแหล่งที่มาไม่ได้ จนร่ำๆ คิดว่าตนเองเพี้ยนหรือไม่ก็บ้าไปแล้วที่ได้กลิ่นอยู่คนเดียว เพราะถามใครๆ ก็ไม่ได้กลิ่น แล้วจังหวะนั้น เสียงไกด์ก็ทำลายภวังค์

“ว่ากันว่าภาพถ่ายของญาติๆ ในตระกูลดาราคุปต์หายไปหนึ่งสายค่ะ” ไกด์สาวพูดขึ้นขณะเดินมาหยุดยืนข้างๆ

“คะ? หมายความว่าไงคะ?” รำเพยเหลียวมองไกด์สาวซึ่งฝ่ายนั้นกำลังแหงนหน้ามองภาพถ่ายที่เป็นภาพสีของม.อ.ต.เจ้าพระยาพิภพเดโช

“เทียด(2)เคยเล่าให้ฟังว่าเจ้าคุณพิภพเดโชมีภรรยาทั้งหมด ๔ ท่าน คนที่ ๔ เป็นบ่าวในบ้าน ท่านรักมากจนบรรดาภรรยาคนอื่นๆ เกิดความอิจฉาริษยา”

“แล้วอย่างไรคะ? เจ้าคุณรักมากแล้วทำไมถึงไม่ปรากฏภาพวาดเหมือนกับภรรยาคนอื่นๆ ของท่านละคะ?” รำเพยถามเสียงอ่อนๆ อย่างสนใจเมื่อไกด์สาวหยุดเล่าไปเฉยๆ ในสมัยแรกๆ ของต้นตระกูลยังเป็นภาพวาดขาวดำ เนื่องจากยังไม่มีกล้องถ่ายรูปซึ่งเพิ่งจะเข้ามาในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕

ไกด์สาวเหลียวมาสบตาลูกทัวร์คนสวยแล้วว่า “รักมาก แต่ก็เกลียดและแค้นมากด้วยเช่นกัน เนื่องจากคบชู้กับญาติห่างๆ ของตัวเอง”

“อะไรนะคะ?”

ไกด์สาวพยักหน้า ก่อนเล่าต่อว่า “เป็นแผนการของภรรยาหลวงที่จงใจให้ท่านเจ้าคุณไปเห็นภาพบาดตาบาดใจนั้นแล้วเกิดความเข้าใจผิด นัยว่าเป็นการสร้างสถานการณ์โดยที่อนุภรรยาและญาติหนุ่มของอนุภรรยาท่านนั้น ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย ผลคือท่านเจ้าคุณเกลียดภรรยาคนนี้มาก วันที่เสียชีวิตจากการคลอดลูก ว่ากันว่าท่านไม่ไปดูดำดูดีเลยสักนิดและลูกที่เกิดมา ท่านก็ไม่เคยอุ้มชูเหลียวแล จนถูกบรรดาเมียๆ และพี่ๆ น้องๆ กลั่นแกล้งสารพัด เวลาผ่านไปจนเข้าสู่วัยสาวก็ต้องมาจบชีวิตลงด้วยการถูกฆาตกรรม นั่นแหละท่านถึงได้มารู้สำนึก”

“ฆาตกรรม?” รำเพยทวนคำเสียงสูง น้ำเสียงแหบแห้ง น่าแปลกเธอรู้สึกเศร้าสร้อย น้ำตารินไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ

ไกด์สาวพยักหน้า เล่าต่อว่า “เป็นการฆาตกรรมที่ทำทีให้เป็นอุบัติเหตุ แต่ผู้คนในสมัยนั้นเชื่อว่าเป็นแผนการของภรรยาหลวง แต่นั่นแหละท่านเป็นใหญ่ในบ้านรองลงมาจากท่านเจ้าคุณ เลยไม่มีใครกล้าทำอะไร พอท่านเจ้าคุณนิ่งเฉย ทุกคนในบ้านเลยต้องพร้อมใจกันหลับตาข้างหนึ่ง ทำทีมองไม่เห็น”

“แล้วอย่างไรต่อคะ?” รำเพยกระตุ้นถามต่อ

“พอญาติห่างๆ ของอนุภรรยาท่านที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นชู้กับอนุภรรยาท่าน รู้ข่าวการเสียชีวิตของหลานสาว ก็ดั้นด้นเดินทางจากหัวเมืองมาบอกความจริงกับท่านเจ้าคุณ ความจริงเขาเคยยืนยันความบริสุทธิ์ไปแล้วหนหนึ่งตอนเกิดเรื่อง แต่ครั้งนั้นท่านเจ้าคุณไม่เชื่อ คิดว่าอนุภรรยากับญาติหนุ่มลักลอบได้เสียกันจริงๆ เลยจับโบยเลือดอาบ แล้วขับไล่เขาออกจากบ้าน หนนี้เขากลับมายืนยันความบริสุทธิ์อีกครั้ง บอกว่าไม่เคยมีอะไรกับอนุภรรยาของท่าน และบอกว่าเด็กสาวที่เสียชีวิตไปคนนั้น ถูกฆาตกรรมและเป็นลูกสาวของท่านเจ้าคุณจริงๆ นอกจากท่านเจ้าคุณจะไม่เชื่อแล้ว ยังโกรธมากด้วย คิดว่าเขาเอาสร้างเรื่องโกหกมดเท็จเพื่อหวังให้ท่านเจ้าคุณรู้สึกผิดกับการเสียชีวิตของเด็กสาวคนนั้น ผู้ชายคนนั้นก็เลยถูกโบยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดและถูกล่ามโซ่ตรวนนานนับเดือน โดยให้อาหารแค่พอประทังชีวิต จนกว่าเขาจะรู้สำนึกผิดและพูดความจริง ว่ากันว่าเขาถูกจองจำนานจนสติวิปลาส วันหนึ่งเขาบอกท่านเจ้าคุณว่าเขาพร้อมจะเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกโดยการลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ท้าว่าถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นเท็จ ก็ขอให้เขาตายกลางกองเพลิงนั้น แต่ถ้าเป็นความจริง ก็ขอให้เขารอดชีวิตจากกองเพลิงและขอให้ท่านเจ้าคุณซึ่งมีมิจฉาทิฏฐิ ทำผิดไว้กับเมียและลูกของตัวเอง รวมถึงกับเขาด้วย ก็ขอให้ท่านเจ้าคุณพบแต่ความฉิบหาย”

“ผลเป็นยังไงคะ? แล้วทำไมเขาต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงแบบนั้นด้วยแค่แลกกับการพิสูจน์ความจริง”

“เล่ากันว่าเขาอยากล้างมลทินให้กับทั้งตัวเองและญาติสาวก็เลยยอมเอาชีวิตเข้าแลก เดาว่าเขาคงหมดอาลัยตายอยากในชีวิตด้วย เพราะถูกจองจำอยู่นานมาก ผลปรากฏว่าเขาลุยกองเพลิงที่กำลังลุกโหมเหนือตัวเขาโดยไม่เป็นอะไรเลยราวกับปาฏิหาริย์ นับแต่นั้นท่านเจ้าคุณก็เลยยอมเชื่อและอยู่อย่างสำนึกผิดกับการที่ถูกเป่าหูง่าย ว่ากันว่าการเสียชีวิตของลูกเมียกลายเป็นตราบาปในชีวิต ท่านตรอมใจตายในอีกหลายปีต่อมา เมื่อท่านเจ้าคุณเสียชีวิตแล้ว คุณอุ่นเรือนก็ลบเรื่องราวต่างๆ ของอนุภรรยาท่านคนนี้ออกจากหน้าประวัติศาสตร์ของต้นตระกูลดาราคุปต์ ด้วยเหตุนี้ถึงไม่มีภาพหรือหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับอนุภรรยาของท่านคนนี้เลย”

รำเพยอึ้งหลังจากฟังเรื่องราวต่างๆ จบลง “แล้วทายาทรุ่นต่อๆ มาไม่เคยรู้เรื่องของอนุภรรยาท่านคนนี้เลยหรือคะ?”

ไกด์สาวส่ายหน้า “เข้าใจว่าไม่นะถ้าไม่ได้ฟังต่อๆ มาจากปากของคนโบราณสมัยนั้น เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ที่บ่งบอกว่าท่านเจ้าคุณมีอนุภรรยาคนนี้เลย แถมคนเก่าๆ ในตระกูลนั้นก็พร้อมใจกันไม่พูดถึงด้วย แต่อย่างว่าเรื่องราวทั้งหมดนี่เป็นเรื่องเล่าของเทียดดิฉันซึ่งมีอายุเฉียด ๑๐๐ ปีเข้าไปแล้ว ฉะนั้นความทรงจำอาจจะหลงๆ ลืมๆ ท่านอาจจำผิดๆ ถูกๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นฟังเป็นเรื่องขำขัน คิดเสียว่าเป็นนิยายปรัมปราหรือไม่ก็นิทานก่อนนอนเพื่อเพิ่มสีสันให้กับทริปนี้ละกันค่ะ” จบประโยคด้วยการหันมาส่งยิ้มหวานตบท้าย

“เดี๋ยวค่ะ” รำเพยรีบเรียกเมื่อไกด์สาวทำท่าจะเดินออกจากห้อง

“อนุภรรยาท่านชื่ออะไรคะ?”

“อบเชยค่ะ ส่วนลูกสาวท่านชื่อว่ากานพลู”

ฟังจบรำเพยขนลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ และฉับพลันเธอก็ได้กลิ่นบุหรี่ เธอเหลียวมองรอบกายก่อนเอ่ยปากถามไกด์สาว

“คุณได้กลิ่นอะไรบ้างไหมคะ?”

ไกด์สาวทำจมูกฟุดฟิดราวกับสูดหากลิ่น แล้วตอบว่า “ไม่ได้กลิ่นเลยค่ะ คุณได้กลิ่นอะไรคะ?”

“กลิ่นบุหรี่ค่ะ กลิ่นอ่อนๆ เหมือนมีกลิ่นดอกอะไรสักอย่างแซมอยู่ด้วย” ความจริงตลอดเวลาที่ฟังไกด์สาวเล่า รำเพยได้กลิ่นบุหรี่เป็นระยะๆ แต่ไม่เอ่ยปากทัก กลัวขัดเรื่องที่ไกด์สาวกำลังเล่าแล้วจะพานขาดอรรถรส

ไกด์สาวชะงัก เหลียวมองรอบตัวเลิกลั่ก ขยับชิดลูกทัวร์โดยไม่รู้ตัว “คุณรำเพยอย่าพูดเล่นสิคะ ที่นี่เป็นห้องนอนเก่าของท่าน และท่านยังเฝ้าอยู่ในห้องนี้ด้วย”

“อะไรนะคะ?”

ไกด์สาวยิ้มเจื่อนๆ “ปละเปล่าค่ะ ไม่มีอะไร เรารีบออกไปจากห้องนี้กันเถอะ จะได้ดูห้องอื่นๆ ยังมีอีกหลายห้องที่น่าสนใจค่ะ”



“สวัสดีค่ะคุณพรหมมินทร์ คุณลักษณา” ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมโค้งศีรษะอย่างนอบน้อมในทันทีที่ทายาทรุ่นล่าสุดของตระกูลดาราคุปต์พร้อมด้วยน้องสาวก้าวลงจากรถหรูภายหลังคนรถปรี่มาเปิดประตูให้ เฉิดฉายทักทายพลางจ้องมองร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งไทย-เดนมาร์กด้วยแววตาชื่นชม ด้วยว่าหล่อเหลาคมคายอย่างหาตัวจับยากแม้จะมีเชื้อไทยครึ่งหนึ่งแต่รูปร่างและหน้าตาไม่ได้เฉียดไทยเลย แต่กระเดียดไปทางมารดา ๑๐๐% จนดูแทบไม่ออกเลยว่าเลือดครึ่งหนึ่งของชายหนุ่ม คือไทย

“เรียกพอลเถอะครับ ผมแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองมีชื่อไทยชื่อนั้น” พอลตอบด้วยภาษาไทยที่แปร่งเล็กน้อย เนื่องจากไม่ใช่ภาษาแม่ เขาได้ชื่อว่ามีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ทักษะการใช้ภาษาไทย แค่จ้างครูไทยมาสอนตัวต่อตัวที่บ้านไม่นาน เขาก็พูดและฟังภาษาไทยรู้เรื่องแล้ว ยกเว้นภาษาเขียนและภาษาอ่าน ที่ยังทำได้ไม่ดีนัก

พอล หรือ พรหมมินทร์ เป็นทายาทรุ่นที่ ๖ ของตระกูลดาราคุปต์ วัย ๓๕ จบปริญญาโท ๒ ใบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในอังกฤษ ได้ชื่อว่าสมบูรณ์แบบทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูลและการศึกษา ตลอด ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษและประเทศโซนยุโรปตลอด ด้วยว่าย้ายตามมารดาชาวเดนมาร์กไปอยู่ที่นั่น เอมิเลียรับไม่ได้กับการที่พันตำรวจโททวีสิน ดาราคุปต์ ผู้เป็นสามีมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน เมื่อเขามีภรรยาคนที่ ๒ เธอจึงหอบลูกชายซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง ๒ ขวบและลูกชายอีกคนที่อยู่ในท้องกลับไปอยู่ประเทศบ้านเกิด แม้สามีจะบินตามไปงอนง้ออย่างไร เธอก็ไม่ยอมคืนดี นับแต่นั้นชีวิตคู่ระหว่างบิดาและมารดาซึ่งเป็นภรรยาหลวงก็ปิดฉากลง

พอลคิดว่าตัวเองคงใช้ชีวิตที่เดนมาร์กตลอดกาล ถ้า ๒ ปีก่อนบิดาชาวไทยจะไม่เสียชีวิตลงและมีการเปิดพินัยกรรม เขาและน้องชายได้รับแจ้งจากทนายความประจำตระกูลดาราคุปต์ ให้กลับมาเมืองไทยด่วนเพื่อฟังพินัยกรรมร่วมกับญาติคนอื่นๆ ที่เป็นภรรยาและลูกๆ ต่างมารดาของบิดาซึ่งเขาล้วนไม่รู้จัก ตามเจตจำนงของพันตำรวจโททวีสินที่สั่งเสียไว้ก่อนตาย วันที่มาถึงเมืองไทยเขาถึงได้รู้ว่าบิดามีลูกๆ ที่เกิดจากภรรยาชาวไทย ๓ คน ถึง ๘ คนด้วยกัน รวมเขากับน้องชายด้วยก็เป็น ๑๐ คน พันตำรวจโททวีสิน ยกที่ดินแถวปทุมธานี ตลาดกิม รวมถึงพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมหลังนี้ให้กับเขา ส่วนน้องชาย ได้สิทธิ์ในที่ดินนนทบุรีและโครงการบ้านจัดสรร แถมยังให้สิทธิ์เขากับน้องชายอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุงร่วมกับลูกๆ และภรรยาคนอื่นๆ ในคฤหาสน์ด้วย

การเปิดพินัยกรรมหลังการเสียชีวิตของบิดาในคราวนั้น ทำให้พอลต้องย้ายมาอยู่เมืองไทยชั่วคราวเพื่อจัดการเรื่องมรดก ด้วยว่าเขาปรึกษาเรื่องนี้กับมารดาและน้องชายเรียบร้อยแล้ว ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าไม่มีใครอยากมาอยู่เมืองไทยและไม่ต้องการทรัพย์สมบัติใดๆ ด้วย แต่แม้จะปฏิเสธผ่านทนายความไปแล้ว ทว่าบรรดาภรรยาและลูกๆ ของบิดาก็ยืนยันที่จะให้พวกเขาได้สิทธิ์นั้นตามเจตนารมณ์ของพันตำรวจโททวีสิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับการไหว้วานจากน้องชายให้อยู่จัดการมรดก โดยทำเรื่องมอบให้ลูกหลานคนอื่นๆ ของบิดาตามที่เห็นสมควร แต่การจะมอบให้ใครถึงจะเหมาะสมนั้น พวกเขายังตัดสินใจไม่ได้ ด้วยว่าน้องๆ ต่างมารดาเหล่านั้นเขาไม่รู้จักสักคน น้องชายจึงแนะนำให้เขาอยู่เมืองไทยสักระยะเพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอของแต่ละคนก่อนจะมอบมรดกให้ ส่วนตัวน้องชายและมารดาอาสาที่จะดูแลกิจการน้ำหอมให้เขาที่เดนมาร์กเอง

ช่วงแรกๆ พอลจึงไปๆ มาๆ ระหว่างเดนมาร์กกับไทย เพื่อดูแลกิจการน้ำหอมของตนเอง แต่ทำไปทำมาเขาชักติดใจประเทศไทยหลังจากอยู่ได้แค่ ๖ เดือนโดยเฉพาะสาวไทย ที่สวยอ่อนหวานและกิริยานุ่มนวลซึ่งต่างจากสาวชาติเดียวกัน สาวตะวันตกหรือสาวยุโรปที่เขาเคยพบเจอและคบหาด้วย จึงไม่ต่างจากอาการเห่อของเล่นชิ้นใหม่ ยอมรับว่าเขาติดใจประเทศเกิดของบิดาเพราะสาวไทย ด้วยเหตุนี้จึงลากยาวอยู่มานานถึง ๒ ปีและระยะหลังเขาอยู่เมืองไทยเป็นหลัก นานๆ ครั้งจะบินกลับเดนมาร์กสักครั้ง อาศัยน้องชายเป็นคนดูแลกิจการที่นั่น ส่วนตัวเองจะสั่งงานผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อีเมล สไกป์ หรือไลน์แทน

สำหรับบ้านเจ้าสัวกิมซึ่งเป็นบ้านเก่าแก่ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นนั้น ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลมาแต่ครั้งโบราณกาลว่าจะต้องตกทอดแก่ทายาทคนแรกของแต่ละรุ่นเท่านั้น บ้านเจ้าสัวกิมจึงตกเป็นสิทธิ์ของเขาเมื่อเขาเป็นทายาทคนโตของรุ่นที่ ๖ เขาเลือกที่จะเดินรอยตามทายาทคนก่อนๆ ด้วยการอนุรักษ์บ้านหลังนี้ให้อยู่ในสภาพพิพิธภัณฑ์ดังเดิมบนเนื้อที่เกือบ ๒ ไร่ และทุกๆ เดือนเขาจะมาตรวจเยี่ยมด้วยตัวเองว่ามีปัญหาอะไร การให้บริการแก่นักท่องเที่ยวขาดตกบกพร่องอะไรหรือไม่ เพื่อจะได้หาทางแก้ไข

น่าแปลกที่เขารู้สึกผูกพันกับกลุ่มอาคารชิโน-โปรตุกีสหลังนี้นับแต่ก้าวแรกที่ย่างกรายเข้ามาเมื่อ ๒ ปีก่อน ด้วยว่าให้บรรยากาศราวกับหลุดไปอยู่ในปีพ.ศ.๒,๓๐๐ กว่าๆ ซึ่งเป็นช่วงปีที่ต้นตระกูลนั่งเรือสำเภาย้ายมาอยู่เมืองไทยถาวร เป็นบรรยากาศที่แปลกใหม่สำหรับชาวต่างชาติอย่างเขา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอย เฟอร์นิเจอร์ จานชาม เครื่องปั้นดินเผา เครื่องสังคโลก สิ่งก่อสร้าง หรืออื่นๆ ที่ยังคงอนุรักษ์ทุกอย่างไว้เหมือนเดิม เป็นส่วนผสมที่สอดผสานอย่างลงตัวและกลมกลืนระหว่างความเป็นจีน ตะวันตกและไทย เขารู้สึกว่ามีมนตร์ขลัง มีเสน่ห์ และน่าสนใจอย่างมาก เขาไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าภาพวาดขาวดำ รวมไปถึงภาพถ่ายขาวดำที่สาวไปถึงต้นตระกูลที่แขวนเรียงรายอยู่บนผนัง รอบหอเกียรติยศในบ้านหลังนี้ จะเป็นคนในสมัยโบราณซึ่งเป็นต้นตระกูลและเคยมีชีวิตอยู่ในสมัยนั้นจริงๆ ด้วยว่าทุกคนล้วนอยู่ในเครื่องแต่งกายและทรงผมที่แปลกตา ไม่คุ้นตา แต่ก็ดูคลาสสิกและน่าหลงใหลอย่างมาก

“คุณพอลอยู่เมืองไทยจะครบ ๒ ปีอยู่แล้ว ยังไม่ชินกับชื่อไทยอีกหรือคะ” เฉิดฉายยอมกลับไปใช้ชื่อฝรั่งตามที่ผู้เป็นนายต้องการ อาศัยว่าทายาทผู้นี้ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนเจ้าขุนมูลนายคนก่อนๆ ตรงกันข้ามสบายๆ เป็นกันเอง ไม่ถือตัว จึงทำให้เฉิดฉายกล้าแหย่ด้วยความรักและเอ็นดู พอลมาอยู่เมืองไทยได้ ๒ ปีแต่เป็นที่รักของลูกจ้างทุกคน ต่างจากทายาทคนก่อนๆ ที่วางตัวเหนือกว่าจนพวกเธอเข้าไม่ถึง

หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะ “ไม่เลยครับ ผมชอบชื่อพอลที่คุณแม่ตั้งให้มากกว่า”

“แต่ลักษณ์ว่าพรหมมินทร์ที่คุณพ่อตั้งให้ก็เท่ไม่หยอกนะคะ” ลักษณาเพิ่งมีโอกาสร่วมบทสนทนาด้วย เธอมองญาติหนุ่มลูกครึ่งผู้เป็นเจ้าของวงหน้าหล่อเหลาด้วยแววตาชื่นชมแกมเทิดทูน พอลมีรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายดั่งนักกีฬาด้วยว่าออกกำลังกายอยู่เป็นนิตย์และเล่นเพาะกล้ามพองาม จึงเสริมบุคลิกให้ดูดีอย่างมาก

ลักษณาเป็นลูกสาวคนเล็กของภรรยาคนที่ ๒ ของพันตำรวจโททวีสิน เธอเป็นปลื้มกับพี่ชายลูกครึ่งคนนี้ ความจริงเธอนึกเสียดายด้วยซ้ำที่เขาเป็นพี่ชายต่างมารดา ถ้าเกิดมาคนละพ่อคนละแม่ เธอจะไม่รั้งรอเลยที่จะเป็นฝ่ายรุกเขา ยอมรับว่าพอลมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศอย่างมาก ใครเห็นเป็นต้องเหลียวมองซ้ำสอง คิดดูพอลยืนคุยกับผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บริเวณปากทางเข้าพิพิธภัณฑ์ไม่ถึงนาที แต่มีนักท่องเที่ยวสาวๆ ทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กเหลียวมองมาไม่ต่ำกว่า ๕๐ คน เรียกว่าพอลเป็นเป้าสายตาไม่ต่างจากแม่เหล็กเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงความรู้ความสามารถที่เป็นถึงเจ้าของกิจการน้ำหอมที่ใหญ่ที่สุดในเดนมาร์ก แค่รูปร่างหน้าตาก็กินขาด ทำให้สาวๆ พร้อมจะสยบแทบเท้าแล้ว ลักษณาเชื่อว่าสาวๆ กว่าครึ่งค่อนในประเทศนี้จะคิดเหมือนเธอ คือพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรก็แล้วแต่ที่ตัวเองมี ขอแค่ได้มีโอกาสใช้เวลาค่ำคืนกับเขาสองต่อสองสักคืนแค่นั้น

พอลรับรู้ถึงสายตาของน้องสาวที่กำลังจ้องเขม็งมา เขาหลียวมาสบตาด้วย แวววตาอ่อนโยนเมื่อตอบว่า “พี่ว่าออกเสียงยาก เรียกพอลง่ายสุดแล้ว วันนี้มีนักท่องเที่ยวเข้าชมพิพิธภัณฑ์เยอะไหมครับ” ประโยคหลังหันไปถามเฉิดฉาย

นับแต่เขาเดินทางมาอยู่เมืองไทย เขาได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากลักษณา เธอมีอัธยาศัยดี มนุษยสัมพันธ์ดีและช่างพูด แค่สัปดาห์แรกที่เขาย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลังงามร่วมกับลูกๆ หลานๆ ของบิดา ลักษณาก็ตามติดเขาเป็นเงาตามตัว เขาไม่ได้รำคาญหรือเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามรู้สึกเพลิดเพลินไปกับความน่ารักที่ช่างเอาใจ ดูแลเอาใจใส่ คอยชี้แนะและคอยบอกเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับประเทศไทยให้เขารับรู้ ซึ่งทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับประเทศไทยที่จำเป็นต้องรู้ได้เร็วขึ้น

เฉิดฉายยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน “เยอะค่ะ มีทัวร์จีนลง ๒ กรุ๊ป แล้วก็มีทัวร์ไหว้พระซึ่งเป็นทัวร์ไทย รวมๆ แล้วก็เกือบ ๒๐๐ คนไปแล้วค่ะในเช้าวันนี้”

พอลพยักหน้าอย่างพอใจ “เยอะมากครับ”

“ใช่ค่ะ วันนี้เยอะเป็นพิเศษจริงๆ คงเพราะเป็นวันหยุด นักท่องเที่ยวเลยเยอะ”

พอลพยักหน้า กล่าวต่อว่า “แล้วมีปัญหา หรืออะไรชำรุดต้องซ่อมบ้างไหมครับ”

“ไม่มีค่ะ เพราะเราจัดเจ้าหน้าที่ตามประกบตลอด โดยเฉพาะทัวร์จีน มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเรื่องความสะอาดอยู่ห่างๆ แต่ปัญหาน่าหนักใจสุดคือนักท่องเที่ยวแย่งกันใช้ห้องน้ำ และห้องน้ำสกปรกเร็ว พนักงานทำความสะอาดไม่ทัน”

“งั้นคุณเฉิดฉายลองไปดูว่าจะสร้างห้องน้ำเพิ่มเติมยังไงได้บ้าง ดูเหมือนเรายังมีพื้นที่เหลือสำหรับการสร้างอาคารเพิ่มได้ใช่ไหมครับ?” กล่าวพลางออกเดินนำเข้าไปในพิพิธภัณฑ์โดยมีเฉิดฉายและลักษณาเดินตาม

“ใช่ค่ะ มีพื้นที่ริมแม่น้ำเหลือเฟือ แต่ถ้าจะมาสร้างห้องน้ำ จะไม่เสียทัศนียภาพทางสายตาหรือคะ เพราะทัวร์ไหว้พระขึ้นลงทางน้ำอยู่ตลอดเวลา อาจไม่น่าดูและส่งกลิ่นรบกวน”

“ลองให้สถาปนิกออกแบบศูนย์จำหน่ายของที่ระลึกเป็นอาคารชิโน-โปรตุกีสให้กลมกลืนไปกับเรือนใหญ่ไหมครับ ห้องน้ำอาจให้ฝังอยู่ในอาคารลึกหน่อย แถมยังสามารถขายอาหาร ของที่ระลึกและโปสการ์ดเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ นำเงินมาหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายดูแลพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย ส่วนเรื่องการดูแลความสะอาดและเรื่องกลิ่น ไม่น่ามีปัญหาถ้าเราเพิ่มพนักงานดูแลความสะอาด ยังไงลองเสนอค่าใช้จ่ายมาดูครับ ขาดเหลือยังไง ผมเซ็นเช็คส่วนตัวให้”

โดยปกติจะมีเงินสำหรับการดูแลพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ มาจากค่าบัตรเข้าชมและเงินบริจาคจากนักท่องเที่ยวตามจิตศรัทธา แต่ที่ผ่านมาขาดเหลืออย่างไร พอลมักสมทบเงินส่วนตัวมาช่วยโดยตลอด เฉิดฉายมองด้วยสายตาชื่นชมเป็นเท่าตัว หนุ่มลูกครึ่งผู้นี้มักมีมุมมองที่แปลกใหม่ น่าเลื่อมใส เขาต่างจากทายาทรุ่นก่อนที่เก็บเงินจากค่าบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เข้ากระเป๋าตัวเองครึ่งหนึ่ง แต่พอมาถึงสมัยพอล นอกจากไม่นำค่าบัตรเข้ากระเป๋าตัวเองแม้แต่สตางค์แดงเดียวแล้ว ยังบริจาคเงินส่วนตัวมาดูแลบำรุงรักษาพิพิธภัณฑ์ด้วย นอกจากนี้เขาริเริ่มแนวคิดจัดนิทรรศการหมุนเวียนตามแต่โอกาสที่เหมาะสม และออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวพาลูกจ้างของพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดไปศึกษาดูงานต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ว่าพิพิธภัณฑ์ระดับโลกบริหารจัดการอย่างไรถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาเข้าชมเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี รวมตลอดถึงเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการและการอนุรักษ์สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในพิธิภัณฑ์ให้คงสภาพเดิมไว้ได้ยาวนานที่สุด

“ได้ค่ะ ดิฉันว่าน่าสนใจ เดี๋ยวถ้าได้แบบเรียบร้อยแล้ว จะส่งให้คุณพอลทางอีเมลนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

น้องสาวต่างมารดาเงยหน้ามอง ด้วยว่าผู้เป็นพี่ชายสูงกว่ามาก “พี่พอลมาพิพิธภัณฑ์บ๊อยบ่อย ไม่เบื่อบ้างหรือคะ” ทุกครั้งที่พอลมา มีเธอตามติดมาด้วยทุกครั้ง จึงรู้ว่าเขาพิศมัยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มากแค่ไหน

“ไม่เลย พี่ชอบบรรยากาศโบราณๆ อย่างที่นี่ พี่ว่าต้นตระกูลเราเก่ง คิดดูร้อยกว่าปีก่อนที่เวชภัณฑ์ยังไม่ก้าวหน้า แต่คนในตระกูลดาราคุปต์สามารถคิดยาและเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ขึ้นมาใช้ภายในครัวเรือนเองได้”

ลักษณาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พี่ชายต่างมารดาพูดถึงขี้ผึ้งวิเศษดาราคุปต์ที่ทำมาจากสมุนไพรที่ปลูกไว้กินและใช้กันเองภายในครัวเรือนและกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านของผู้คนในยุคนั้น สมัยนั้นท่านอุ่นเรือน ภรรยาของเจ้าพระยาพิภพเดโช ซึ่งถือเป็นแม่ของเทียดของเธอ ทำขึ้นเองเพื่อใช้ทาเวลาโดนแมลงกัดต่อย ผลปรากฏว่าหายชะงัดนัก ท่านอุ่นเรือนแบ่งให้คนข้างบ้านใช้ มีการบอกปากต่อปากถึงสรรพคุณที่รักษาแมลงสัตว์กัดต่อยได้ดี จนชาวบ้านร้องขอให้ท่านทำขาย กลายเป็นกิจการในครัวเรือน และวางขายตามร้านขายยาจีนโบราณ จวบจนเวชภัณฑ์เจริญรุดหน้า ยาสมุนไพรโบราณก็ค่อยๆ เลือนหายไป ตอนนี้แทบไม่มีคนที่รู้จักขี้ผึ้งวิเศษดาราคุปต์แล้วถ้าไม่ใช่คนโบราณในยุคนั้น

แล้วลักษณา ก็อดนึกย้อนไปถึงต้นตระกูลไม่ได้ ตามประวัติที่เล่าต่อๆ กันมา ต้นตระกูลคนแรกที่อพยพมาจากประเทศจีน มาตั้งรกรากในไทยคือเจ้าสัวกิม แซ่หลี ยึดอาชีพทำมาค้าขาย เมื่อกิจการค้าขายดี ก็ขยับขยายมาทำโรงสีและขายข้าว พอมีฐานะมั่งคั่งขึ้น ก็สร้างอาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีสริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่อยู่อาศัย นัยว่าเจ้าสัวกิมมีเพื่อนที่เป็นนายช่างออกแบบอาคารชิโน-โปรตุกีสให้กับเจ้าสัวที่ภูเก็ต เจ้าสัวกิมนำแบบมาดัดแปลง โดยออกแบบให้เป็นอาคารสองหลังที่เชื่อมต่อกัน ต่อมาเมื่อมีลูกๆ หลานๆ มากขึ้นเจ้าสัวกิมก็ขยายต่อเติมบ้านออกไปเรื่อยๆ และรุ่นต่อๆ มาก็ขยายอาณาเขตออกไปอีกจนกลายมาเป็นกลุ่มอาคารหลังใหญ่ที่หันหน้าเข้าหากันโดยมีลานกว้างอยู่ตรงกลางบนพื้นที่เกือบ ๒ ไร่ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อมาถึงสมัยของม.อ.ต.เจ้าพระยาพิภพเดโช ผู้เป็นพ่อของเทียดของเธอ ว่ากันว่าในสมัยที่พ่อของเทียดยังเป็นแค่หลวงพิภพเดโช สังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นกระทรวงการคลังในปัจจุบันนั้น รัชกาลที่ ๖ ก็ได้พระราชทานนามสกุลให้ว่า “ดาราคุปต์”

เมื่อเดินผ่านอาคารหลังแรกแล้ว เฉิดฉายก็เอ่ยชวนขึ้น “ลองไปดูสถานที่ริมน้ำดูไหมคะ เผื่อว่าคุณพอลอยากให้สร้างบริเวณไหน”

“ได้ครับ” พอลเดินตาม ออกไปทางอาคารด้านหลังซึ่งเชื่อมไปยังท่าน้ำ

เสี้ยววินาทีที่หลุดจากประตูหลังพิพิธภัณฑ์ พอลก็ชะงัก หยุดยืนแข็งทื่อ พลอยทำให้ลักษณาที่เดินเคียงข้างชะงักตาม เธอขมวดคิ้ว ถามขึ้นอย่างสงสัย

“พี่พอลหยุดทำไมคะ?”

“เห็นผู้หญิงคนนั้นไหม” พอลกลับถามไปอีกเรื่อง

ลักษณามองตามปลายนิ้วเรียวราวกับของอิสตรี ตรงไปยังท่าเรือที่มีนักท่องเที่ยวชาวไทยสัญจรไปมา บางคนกำลังออกจากพิพิธภัณฑ์ ตรงไปยังโป๊ะเพื่อลงเรือ บางคนออกจากโป๊ะ เดินลอดรั้วลวดลายจีนเพื่อเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ รั้วทำเป็นประตูเล็กๆ ทำให้ยังเห็นวิวแม่น้ำเจ้ายาแบบพาโนราม่า

“คนไหนคะ นักท่องเที่ยวมากมาย ลักษณ์ไม่รู้ว่าพี่หมายถึงคนไหน”

“คนที่กำลังดูกล้องถ่ายรูปอยู่ที่โป๊ะไง”

“อ๋อ...ค่ะ มีอะไรหรือคะ?” ลากเสียงถาม พลางปรายตามองตาม หญิงสาวที่พี่ชายพูดถึง น่าจะเป็นนักศึกษา ด้วยว่าแลดูเยาว์วัย เธออยู่ในชุดทะมัดทะแมงคือเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ เสริมให้รูปร่างบอบบางชวนมองมากยิ่งขึ้น อาจเพราะสูงจัดและขาเรียวยาว เมื่อสวมยีนส์ จึงเห็นช่วงขาที่เรียวยาวชัดเจนยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุด คือใบหน้าเรียวรูปไข่ ที่สะสวยราวกับสาวไทยยุคโบราณซึ่งเธอรู้ว่าเป็นสไตล์ที่พี่ชายชื่นชอบอย่างยิ่ง

“คนนี้เราเคยเจอเมื่อเดือนก่อนตอนที่ลักษณ์ไปดูหมอดูยิปซีจำได้ไหม?”

“งานวัดที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นน่ะหรือคะ” เมื่อเห็นพี่ชายพยักหน้า เธอก็ถามต่อว่า “แล้วยังไงต่อคะ?”

พอลเท้าความต่อว่า “ลักษณ์ยุให้พี่ดูหมอ พี่เลยยื่นมือไปให้หมอดูขำๆ แล้วหมอดูก็ทักขึ้นว่า พี่จะได้เจอเนื้อคู่เร็วๆ นี้”

“จำได้ค่ะ แล้วยังไงต่อคะ?” ลักษณายังคงถามอย่างไม่เข้าใจ

พอลทบทวนความจำของตัวเองไปพลาง “แล้วพี่ก็พบว่าตัวเองลืมแว่นกันแดดไว้ที่กระโจมหมอดู เราย้อนกลับไปที่นั่น แล้วหมอดูก็บอกว่า เนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง เพิ่งจะเดินออกไปจากกระโจม”

“ค่ะ ลักษณ์จำได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง จะเป็นเด็กคนนั้นนี่คะ อย่าลืมว่าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง หมายถึงคนไหน เพราะเราเห็นแค่หลังของเธอ” ลักษณาจำได้ว่ามีหญิงสาว ๒ คนออกจากกระโจมพอดีในจังหวะที่เธอไปถึง แต่เธอก็ไม่มีโอกาสเห็นหน้า ได้แค่เห็นแผ่นหลัง เพราะทั้งคู่เดินจากไปไกลแล้ว จำได้แค่ว่าคนหนึ่งสวมกระโปรง อีกคนสวมกางเกง

พอลส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เพราะวันนั้นเขามีโอกาสเห็นหน้าเธอ แล้วภาพในวันนั้นก็ย้อนมาสู่ความทรงจำอีกครา

‘ผมลืมแว่นตากันแดด ขอโทษครับ’

‘กำลังรออยู่... จะบอกว่าเนื้อคู่ของพ่อหนุ่มเพิ่งจะเดินออกไป’

‘อะไรนะครับ’ ยามนั้นพอลงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเดิมเขาไม่เชื่อเรื่องหมอดูอยู่แล้ว เห็นเป็นเรื่องขำๆ มากกว่า

‘ชอบสาวสวยหน้าตาไทยๆ ไม่ใช่หรือ เธอเพิ่งจะเดินออกไปตะกี้’

แค่ได้ยินสรรพคุณว่าสวย หน้าตาไทยๆ...
พอลก็ไม่อยู่รอฟังจนจบประโยค เขากระโจนออกจากกระโจมอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เห็นว่าทั้งคู่เดินไปไกลแล้ว เขารีบวิ่งแทรกผู้คนเพื่อตามเธอไปให้ทัน จังหวะที่คิดว่าคงจะคลาดกับพวกเธอเสียแล้ว เขาก็ตะโกนออกไปสุดเสียง

‘ช่วยด้วยๆ ไฟไหม้’

ได้ผล...ทุกคนหันมามอง รวมถึงสองสาวนั้นด้วย แค่แวบเดียวที่สบตากันก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเบือนหน้ากลับไป หลังจากพบว่าเป็นแค่เรื่องปาหี่ ไม่ใช่เรื่องจริง เขาก็ได้เห็นแล้วว่าหนึ่งในสองสาวนั้น สวยดั่งที่หมอดูว่าจริงๆ...



“ช่วยด้วยๆ คนตกน้ำ”

พอลตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นที่โป๊ะ

“เกิดอะไรขึ้น” ปากถาม พลางถลาออกไปที่ท่าเรือ

ลักษณาและเฉิดฉายวิ่งตาม ลักษณาเป็นฝ่ายให้คำตอบว่า “เด็กสาวที่พี่พอลชี้ให้ดูตกน้ำค่ะ มีใครบางคนเบียดกระแทกเธอ ทำให้สะดุดเชือกเลยตกลงไปในน้ำ”

พอลไม่ได้ฟังจนจบประโยค เขาสลัดรองเท้ากระโจนลงไปในแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว แค่ได้ยินว่าคนที่ตกน้ำคือเธอ ใจเขาก็หล่นไปอยู่ตาตุ่ม ภาวนาให้เธอรอดปลอดภัยและเขาหาเธอเจอ

“กรี๊ด...ด” ลักษณาส่งเสียงกรี๊ดยาวเมื่อเห็นพอลกระโจนลงไปในน้ำ ขณะที่คนอื่นๆ บนโป๊ะยังคงหันรีหันขวาง สีหน้าตื่นตระหนกอย่างทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงตะโกนหวีดร้อง ขณะที่ผู้ชายเอาแต่เกาะเชือกโดยไม่มีใครคิดจะกระโดดลงไปช่วย ลักษณาใจหาย รีบหันไปทางเฉิดฉาย สีหน้าตกใจ ขณะละล่ำละลั่กบอกว่า

“คุณเฉิดฉายช่วยไปตามใครที่ว่ายน้ำเก่งๆ ลงไปช่วยพี่พอลหน่อยค่ะ พี่พอลหายไปเลย ลักษณ์มองไม่เห็นเขา”

--------------------------------

บทที่ 1


“คุณเป็นยังไงบ้าง ขอบคุณพระเจ้าที่คุณปลอดภัย”

ถามเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ ในจังหวะไล่ๆ กับที่รำเพยพรวดตัวขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ โดยมีลำแขนแข็งแกร่งล็อกคอทางด้านหลังแน่นหนา เธอไอแค่กๆ เพราะสำลักน้ำไปหลายอึก ยามนั้นยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำไมถึงตกลงมาในน้ำได้ อย่างเดียวที่นึกออกคือ เธอกำลังยืนดูรูปถ่ายในกล้องถ่ายรูป เนื่องจากเห็นเงาลางๆ ปรากฏอยู่หน้าห้องนอนของท่านอุ่นเรือน พยายามเขม่นตามองว่าคือเงาอะไร จังหวะนั้นจู่ๆ ก็มีใครบางคนซึ่งเธอไม่ทันสังเกต กระแทกเข้าที่กลางหลังจนเซถลา นอกจากคว้าอะไรไม่ทันแล้ว เธอยังสะดุดเชือก มีผลให้ร่วงตกลงไปในน้ำอย่างไม่เป็นท่า

“ไม่...ปล่อยดิฉันนะ” เธอแหวเสียงสั่น พยายามสะบัดตัวหนีจากวงแขนหนาในทันทีที่ได้สติกลับคืน

กล้องถ่ายรูปกระเด็นหลุดจากมือในจังหวะที่เธอถูกชนตกลงไปในน้ำ รำเพยนึกด้วยความรู้สึกเสียดาย เข้าใจว่าตอนนี้มันคงดิ่งลงไปสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำเจ้าพระยาและอาจกำลังนอนสงบแน่นิ่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในเบื้องล่างนั่น จำได้ว่าตอนที่เธอตกลงไปชนิดที่เรียกว่าทิ้งตัวอย่างหมดท่านั้น เธอพยายามตะเกียกตะกายและตั้งสติเพื่อลอยตัวขึ้นไปอยู่เหนือน้ำ แต่ราวกับมีอะไรบางอย่างรัดรึงเธอไว้ ค่อยๆ ลากเธอลงสู่เบื้องล่าง และในจังหวะที่คิดว่ากำลังจะขาดใจตายเพราะขาดอากาศหายใจนั่นเอง จู่ๆ ก็มีวงแขนแข็งแกร่งลากเธอขึ้นมา

“อยู่นิ่งๆ สิ ถ้าไม่อยากจมอีก ผมจะพาคุณไปที่ตื้น” เสียงเข้มดุเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่งๆ อีก

“ดิฉันว่ายน้ำเป็น ปล่อยสิ” เธอพยายามดิ้นรนผลักไส พลางตะโกนแข่งกับเสียงไอแค่กๆ ถึงตอนนี้ไม่มีแรงสะบัดตัวหนี จึงทำได้แต่ตีแขนขาเพื่อพยุงตัวให้ลอยเหนือน้ำ ชะรอยอีกฝ่ายคงเห็นว่าเธอช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว จึงยอมปล่อยเป็นอิสระ

“เบาๆ หน่อย เสียงดังไป เดี๋ยวหลวงพิภพฯ ก็ได้ยินดอก”

รำเพยชะงักเมื่อสมองเริ่มซึมซับถึงคำพูดแปร่งๆ มีนัยแปลกๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ายนั้นพุ่งตัวมาลอยตัวเหนือน้ำอยู่ตรงหน้า ขมวดคิ้วมุ่นอีกคราเมื่อคลับคล้ายว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน แล้วฉับพลันก็ถึงบางอ้อ เขาเป็นฝรั่งที่เธอเคยเจอที่งานวัดที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดจำลองขึ้นเมื่อเดือนก่อน ตอนนั้นเธอเดินออกมาจากกระโจมหมอดูออกมาไกลมากแล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนว่าไฟไหม้ เธอกับพิมพาเหลียวหลังไปมอง แล้วต้องชะงักเมื่อพบว่าเป็นแค่โจ๊กตลกๆ ของฝรั่งขี้นก เขาดูมีสติสตังดี แต่กลับกุเรื่องได้อย่างน่ารังเกียจ

“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร หลวงพิภพฯ อะไรของคุณ?” กระชากเสียงถามด้วยสีหน้าตำหนิ

“ก็หลวงพิภพฯ ท่านเป็นคนสั่งให้แป้นผลักคุณตกน้ำ”

รำเพยทำหน้างงงวย “ใครคือหลวงพิภพฯ ใครคือแป้น แล้วจะทำแบบนั้นไปทำไม?”

ฝ่ายนั้นจ้องเธอกลับมาราวกับเห็นเขางอกออกจากหัว “คุณตกน้ำจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ หลวงพิภพฯ คือคุณพ่อของคุณไง ส่วนแป้นคือบ่าวคนสนิทของคุณอุ่นเรือน”

ยิ่งฝรั่งตาโตสีบลูโทพาส(3)ขยายความ ก็ยิ่งพาให้เธอมึนงงหนักขึ้น “คุณกำลังพูดเรื่องอะไร ดิฉันงงไปหมดแล้ว”

“กานจะบอกว่าตกน้ำไป สติเลยฟั่นเฟือนอย่างนั้นรึ?”

“กาน? คุณหมายถึงใคร?”

“ก็คุณไงมิสกานพลู คุณดูแปลกๆ ไป จริงสิผมเพิ่งสังเกตว่าคุณแต่งตัว ทำผมแปลกๆ ไป คุณเอาชุดแปลกๆ พวกนี้มานุ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเอามาจากไหน?”

คราวนี้รำเพยพินิจเขาอย่างละเอียดลออขึ้น แล้วเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาสวมเสื้อกระบอกคอกลม แขนยาวเกือบจดข้อศอก เสื้อชุ่มน้ำ แนบไปกับแผงอกกว้างจนเห็นกล้ามอกเป็นมัดๆ ผมเปียกน้ำลู่ไปกับศีรษะทุย เห็นวงหน้าหล่อเหลาเด่นชัดโดยเฉพาะนัยน์ตาสีฟ้า จมูกโด่งตรงและริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับ มีรอยหยักบนกลีบปากล่าง ยิ่งทำให้เรียวปากคู่นั้นดูนุ่มและ... รำเพยชะงักความคิดแค่นั้น หน้าแดงระเรื่อเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุที่เอาแต่สำรวจเขาไม่วางตา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งจึงพบว่าเขาหรี่ตามองมาอยู่แล้ว

รำเพยดึงสติกลับมา “คุณต่างหากที่ดูแปลกๆ แล้วดิฉันก็ไม่ใช่กานพลูด้วย”

“คุณกำลังเล่นตลกอะไร ก็เห็นอยู่ว่าคุณคือกานพลู”

“คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่คุยด้วยแล้ว ดิฉันหนาวแล้วก็เพลียด้วย ขอตัวค่ะ ขอบคุณที่ช่วยชีวิต”

รำเพยลาแล้วเตรียมพลิกตัวจะว่ายเข้าหาโป๊ะ แล้วจังหวะนั้นเธอก็ชะงัก ตัวแข็งทื่อ ลืมตีแขนขาพยุงตัวไปเสี้ยววินาทีเมื่อพบว่าโป๊ะและเรือยนต์หายไป กลายเป็นตีนท่าและมีเรือเก๋งอยู่ลำหนึ่งเข้ามาแทนที่ ไร้ซึ่งประตูเล็กๆ ที่นำไปสู่พิพิธภัณฑ์ เธอตีแขนขาพยุงตัว เหลียวมองรอบตัวแล้วพบว่าตนเองกำลังเคว้งคว้างอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา รอบตัวปราศจากสิ่งที่คุ้นเคย และเหนือจากตีนท่าเป็นอาคารชิโน-โปรตุกีสที่เห็นอยู่ไม่ไกลนัก หลังไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับหลังที่เธอเพิ่งเดินจากมาเมื่อครู่

รำเพยเริ่มเอะใจแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น สภาพรอบข้างที่เธอเห็น ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เรือเก๋งยกเลิกใช้ไปนานแล้วไม่ใช่หรือ เธอสะบัดศีรษะเพราะอาจกำลังฝัน แต่สภาพรอบข้างก็ยังเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

“คุณโอเคมั้ย?” ฝ่ายนั้นถามกลับมาด้วยสีหน้าห่วงใย

รำเพยครางเสียงเบาหวิวแทนคำตอบ ตวัดสายตากลับมามองเขาด้วยนัยน์ตาที่เบิกโตเท่าไข่ห่าน กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากกระซิบ สีหน้าซีดเผือด นัยน์ตาเบิกโต

“ดิฉันไม่อยากเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ”

“คุณหมายความว่ากระไร?”

รำเพยไม่ตอบ แต่ถามไปอีกเรื่อง “นี่ปีพ.ศ.อะไรคะ?”

“ร.ศ.(4)๑๑๐  ทำไมหรือครับ?”

ร.ศ. ๑๑๐ หรืออีกนัยหนึ่ง พ.ศ.๒๔๓๔ รำเพยบวกลบตัวเลขอยู่ในใจแล้วครางอึ้งอึง คุณพระช่วย...เธอย้อนเวลากลับมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่อยากเชื่อตัวเองว่าผลจากการตกน้ำ ทำให้ย้อนเวลากลับมาในอดีต คิดว่ามีแค่ในนวนิยาย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ

“ทำไมคุณทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกแบบนั้น?” ฝ่ายนั้นถามกลับมาอย่างประหลาดใจ

แต่รำเพยเหมือนไม่ได้ยิน เธอหลับตาพริ้มด้วยว่าเป็นลมหมดสติไปแล้ว...



อองเดรวางร่างบอบบางบนเรือเก๋งสี่แจว(5)ที่จอดแอบอยู่ข้างตีนท่าน้ำ แล้วผละถอยห่างออกมาเล็กน้อยอย่างทำอะไรไม่ถูก เพิ่งตระหนักว่าหญิงสาวที่กำลังนอนเป็นลมหมดสติอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่กานพลู ก็เมื่อเห็นเครื่องแต่งกายและทรงผมชัดๆ ซึ่งแปลกตาไปจากหญิงสาวทุกคนในบางกอก ถึงหน้าตาจะเหมือนกันราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกันก็ตาม ด้วยว่าสาวบางกอกทั่วๆ ไปจะนุ่งโจงกระเบนและห่มผ้าแถบ(6) แต่หญิงสาวรายนี้แต่งกายเหมือนผู้คนในโลกตะวันตกที่เขาจากมา เป็นเสื้อมีปก ผ่าหน้า ติดกระดุมตลอดแนว และกางเกงเนื้อหนา อวดรูปร่างของเจ้าตัวที่มีหุ่นเพรียวลมและกลมกลึงสมส่วน เช่นเดียวกับทรงผม หญิงสาวรายอื่นๆ จะตัดผมสั้นเป็นทรงดอกกระทุ่ม(7)หวีแสกหรือเสย แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับไว้ผมยาว อองเดรนึกแล้วสำรวจใบหน้าเรียวรูปไข่ที่บัดนี้ผมยาวสลวยแนบไปกับศีรษะ เห็นเครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มเด่นชัด ไล่ตั้งแต่หน้าผากมน จมูกโด่งปลายรั้น ริมฝีปากบางแต่อิ่มได้รูปกระจับ เธอสวยยิ่งกว่าสาวงามคนใดที่เขาเคยเจอ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาสะอาดสะอ้าน ดูประหนึ่งฝาแฝดของกานพลูก็ไม่ปาน

อองเดรเป็นกัปตันเรือชาวเดนมาร์ก เชื้อสายฝรั่งเศส สืบเชื้อสายมาจากพระคาร์ดินัล(8)ซึ่งเป็นอัครเสนาบดีและที่ปรึกษาของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ แห่งฝรั่งเศส อพยพมาอยู่ในเดนมาร์กซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรสงครามของฝรั่งเศส เนื่องจากทางการฝรั่งเศสต้องการให้ทหารและชาวบ้านมาครอบครองที่ดินของเดนมาร์ก เมื่อเขาโต ก็สมัครเป็นนายเรือกับเรือสินค้า มีโอกาสเดินทางล่องเรือ มาเห็นสยามเมืองเอกราชท่ามกลางอาณานิคมของชาติตะวันตกครั้งหนึ่ง จึงเกิดความรู้สึกแรงกล้าอยากมาอยู่บางกอก ประกอบกับช่วงนั้นสงครามระหว่างเดนมาร์กกับรัสเซียยืดเยื้อมานานและจบลงด้วยการที่เดนมาร์กแพ้สงคราม เสียดินแดนให้กับสมาพันธรัฐเยอรมัน ปัญหาการเมืองภายในวุ่นวาย ความขัดแย้งไม่รู้จบ ทหารส่วนหนึ่งเปลี่ยนอาชีพ และบางคนเลือกที่จะอพยพไปแสวงหาอนาคตใหม่ๆ ดั่งเช่นเขา ฉะนั้นเมื่อกลับสู่มาตุภูมิแล้วสอบได้ประกาศนียบัตรนายเรือ ยศนายทหารกองหนุนของกองทัพเรือเดนมาร์กในระดับนายเรือโท ด้วยอายุ ๒๒ ปี เขาจึงเข้าหาผู้ใหญ่หลายครั้งจนมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ ที่พระราชวังกรุงโคเปนเฮเกน เพื่อขอพระราชทานหนังสือแนะนำตัวมาถวายพระเจ้าแผ่นดินของสยาม หลังจากนั้นเขาก็ล่องเรือมายังสยาม ผ่านลอนดอน สิงคโปร์เข้าสู่บางกอก และกงสุลเดนมาร์กเป็นผู้นำเขาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อกงสุลใหญ่เดนมาร์กประจำสยามมาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินของสยาม โดยอัญเชิญพระราชสาส์นของพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ มาถวายด้วย โดยฝากฝังเขาพร้อมด้วยเอกสารรับรองการเป็นนายทหารและกัปตันเรือของเดนมาร์ก มายืนยันความรู้ความสามารถ ทำให้พระเจ้าแผ่นดินของสยามทรงยินดีที่จะรับเขาไว้ โดยทรงมอบให้เขาเป็นผู้บังคับกองเรือ พิทยัมรณยุทธ (Regent) ที่ภูเก็ต

งานหลักของเขาคือทำแผนที่ชายฝั่งทะเลสยามด้านตะวันตกซึ่งสยามมีเขตแดนติดต่อกับเมืองขึ้นของอังกฤษ ครั้งหนึ่งขณะกำลังสำรวจเพื่อทำแผนที่ในอาณาบริเวณปริมณฑลของภูเก็ต ได้เจอหินโสโครกในทะเลระนองซึ่งเป็นกองหินปริ่มน้ำ เมื่อน้ำขึ้นจะมองไม่เห็น จะโผล่ยอดเมื่อน้ำลง ส่งผลให้เรือชนอับปางมานักต่อนักแล้วเนื่องจากมองไม่เห็น เขากำหนดจุดลงบนแผนที่เพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุและตั้งชื่อกองหินตามชื่อของเขา ภารกิจของเขายังเข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง โดยระหว่างที่เรือรบลอยกลางทะเลนั้น ข้าหลวงเมืองภูเก็ตซึ่งมีหน้าที่ไปรับเงินภาษีที่เก็บจากหัวเมืองมาส่งที่บางกอก เผชิญเหตุการณ์จีนกุลีทำเหมืองจะตีกัน เขาและทหารเรือขึ้นฝั่งมาช่วยปราบ ทำให้คนจีนเหล่านั้นอยู่ในความสงบได้ ทางข้าหลวงเมืองภูเก็ตทำบันทึกรายงานพระเจ้าแผ่นดิน ทำให้เขาได้รับความดีความชอบมากมาย


******************


(1) ม.อ.ต. : ยศ "มหาอำมาตย์ตรี" เริ่มมีการใช้ยศในรัชกาลที่ ๕ และบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยในราวปีพ.ศ. ๒๔๓๐ ต่อมาทรงกำหนดข้าราชการพลเรือนโดยเทียบกับยศทหารเป็นชั้นที่ ๑ เอก โท ตรี เทียบ นายพลเอก โท ตรี, ชั้นที่ ๒ เอก โท ตรี เทียบ นายพันเอก โท ตรี, ชั้นที่ ๓ เอก โท ตรี เทียบ นายร้อยเอก โท ตรี ในรัชกาลที่ ๖ ทรงเปลี่ยนชื่อยศข้าราชการพลเรือน เป็นดังนี้ ชั้นที่ ๑ เอก โท ตรี เป็น มหาอำมาตย์เอก(ม.อ.อ.) มหาอำมาตย์โท(ม.อ.ท.) มหาอำมาตย์ตรี(ม.อ.ต.), ชั้นที่ ๒ เอก โท ตรี เป็น อำมาตย์เอก(อ.อ.) อำมาตย์โท(อ.ท.) อำมาตย์ตรี(อ.ต.),ชั้นที่ ๓ เอก โท ตรี เป็น รองอำมาตย์เอก(ร.อ.อ.) รองอำมาตย์โท(ร.อ.ท.) รองอำมาตย์ตรี(ร.อ.ต.) และทรงเพิ่มยศ “มหาอำมาตย์นายก” เทียบเท่า จอมพล

(2) เทียด : พ่อหรือแม่ของทวด

(3) บลูโทพาส (Blue topaz) : อัญมณีสีฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของความมีอำนาจและเฉลียวฉลาด

(4) ร.ศ. : รัตนโกสินทร์ศก เริ่มนับตั้งแต่ปีที่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นปีแรก

(5) เรือเก๋งสี่แจว : เรือที่มีเครื่องบังแดดบังฝน มีฝา หลังคาแบนทำด้วยไม้ มี ๔ คนแจว

(6) ผ้าแถบ : ผ้าผืนยาว ๆ แคบ ๆ ใช้ห่มคาดหน้าอกต่างเสื้อ

(7) ทรงดอกทุ่ม : ผมที่ตัดสั้นทั้งศีรษะในระดับที่ชี้ขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายดอกกระทุ่ม เมื่อยาวในระดับพอดี ก็หวีเสยหรือหวีแสกกลาง

(8) คาร์ดินัล : สมณศักดิ์ชั้นสูง รองจากพระสันตะปาปา ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาพระสันตะปาปา ในการปกครองคริสตจักรโรมันคาทอลิก







Create Date : 21 กันยายน 2558
Last Update : 21 กันยายน 2558 23:54:33 น.
Counter : 1235 Pageviews.

10 comment
บทนำ...พรหมภพ(ใช้ไฟล์นี้)
เนื่องจากมีการปรับจากบทนำของเดิมเล็กน้อย เลยขอถือโอกาสโพสต์ให้อ่านใหม่ตามต้นฉบับจริงค่ะ...และมีเพิ่มเติมมาอีกครึ่งตอนค่ะ ^_^

**************


พรหมภพ

‘…ทุกคนล้วนเกิดมามีคู่ เพียงแต่โชคชะตาจะขีดเส้นว่าจะพบเจอคนนั้นเมื่อไหร่
ถ้าถึงเวลาเหมาะสม เราก็จะได้เจอ แต่ถ้าไม่...
ต่อให้เราเสาะแสวงหาหรือแทบเดินสวนกัน ก็ยังไม่ “พบ” คนนั้น
เปรียบไปไม่ต่างจากเราวิ่งไล่เงาตัวเอง และเพราะฉันเชื่อแบบนี้ฉันจึงเฝ้ารอคอย
ด้วยความเชื่อมั่นว่าฉันจะได้เจอสักวัน...’
*****


แปดโมงเช้า ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอกราวกับเป็นใจให้กับทริปล่องเรือรอบกรุงเก่าเพื่อทำบุญไหว้พระ ผู้ร่วมทริปเดินทางมาพร้อมเพรียงกันที่จุดนัดพบเพื่อล่องแม่น้ำเจ้าพระยาโดยเรือยนต์ ๕๐ ที่นั่ง รำเพยพร้อมด้วยกล้องคู่ใจ ก้าวลงเรืออย่างคล่องแคล่ว เสียงมัคคุเทศก์ประกาศผ่านโทรโข่ง ระวังลื่นล้ม กฎสำหรับการโดยสารทางเรือมีอยู่ ๒ ข้อ คือ ระวังลื่นล้มระหว่างก้าวขึ้น-ลงเรือ และต้องรอให้เรือจอดสนิทแล้วเท่านั้นถึงจะก้าวขึ้น-ลงเรือ

รำเพยอายุ ๒๓ ปี เพิ่งจบคณะโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งมาหมาดๆ ได้ชื่อว่าเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และชาติตระกูล ด้วยว่าเกิดในตระกูลดี สวย รูปร่างดีและร่ำรวย สมัยเรียนเธอเป็นดาวคณะและเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัย เข้าตาแมวมองและเอเจนซี่จนชักชวนให้ไปเทสต์หน้ากล้อง โดยเฉพาะเอเจนซี่ที่มองหานักแสดงหน้าตาไทยๆ เข้ากับละครแนวพีเรียด ถูกใจหน้าตาและรูปร่างที่อ้อนแอ้นของเธอเป็นอย่างมาก แต่รำเพยปฏิเสธไปทุกราย ด้วยเหตุผลว่าไม่ชอบอาชีพที่ต้องอยู่หน้ากล้อง เธอชอบอยู่หลังกล้องมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ลังเลที่จะสมัครเป็นช่างภาพของนิตยสารการท่องเที่ยงเชิงวัฒนธรรมแห่งหนึ่งหลังเรียนจบปริญญาตรี ตั้งใจทำงานระหว่างรอมหาวิทยาลัยในต่างประเทศตอบรับเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท วันนี้เป็นวันหยุด เธอจึงถือโอกาสมาพักผ่อนด้วยการซื้อทัวร์ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำและถือโอกาสไหว้พระทำบุญไปพร้อมกัน

เธอรักการปฏิบัติธรรม ชอบทำบุญไหว้พระ แต่กลับไม่มีโชคด้านความรักจนถูกเพื่อนๆ ล้อว่า...สวย รวยแถมใจบุญ แต่กลับไม่มีแฟน... สำหรับรำเพยมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะถ้ามี เธออยากได้ประเภทคู่แท้ ไม่ใช่คู่จรหรือคู่ผ่าน เธอเชื่อว่าถ้าเป็นเนื้อคู่กันแล้ว ย่อมมีสัญญาณอะไรบ่งบอกหรือทำให้สัมผัสได้ว่าเขาคือคนคนนั้น รำเพยเชื่อว่าตนเองมีคู่แท้ ขอแค่ใจเย็น รอให้ถึงวันที่เหมาะสม แล้วสวรรค์จะจัดสรรให้เอง ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่เคยมีแฟน และเฝ้ารอใครคนนั้นตลอดมา

แล้วเสียงของเพื่อนสนิท ก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิด กลบเสียงเรือยนต์เสียมิด

‘เพย...ไปดูหมอกัน’

พิมพาผู้เป็นเพื่อนสนิทลากมือเธอเข้าไปในกระโจมหมอดูในทันทีที่เดินผ่านโซนหมอดูซึ่งประกอบไปด้วยหมอดูที่ทำนายด้วยใบไม้ ไพ่ยิปซี ลายมือ โหงวเฮ้ง เป็นต้น เป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมรูปแบบหนึ่งที่กระทรวงวัฒนธรรมพยายามรื้อฟื้นวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เรียกว่า “งานวัด” ขึ้นมา โดยจำลองประเพณี ขนบธรรมเนียม ชิงช้าสวรรค์ การละเล่นสาวน้อยตกน้ำ ปาเป้า เวทีรำวง มีร้านจำหน่ายขนมและอาหารแบบไทยๆ รวมอยู่ในงานเดียวกัน พร้อมด้วยสายรุ้งหลากสีพาดระโยงรยางค์เหนือเสาไฟและต้นไม้ทั่ววัด กระโจมหมอดู ดูจะเป็นอะไรที่ผิดแผกไปจากกิจกรรมอื่นๆ ในงาน

‘ไม่ ฉันไม่อยากดู’ รำเพยปฏิเสธ พยายามฝืนแรงฉุดของเพื่อน

‘แค่เข้าไปเป็นเพื่อนฉัน’

รำเพยเลยจำใจต้องเดินตามแรงลากของเพื่อนเข้าไปในกระโจมอย่างไม่เต็มใจนัก

‘ปิดผ้าใบด้วยหนู’ กระโจมไหนที่มีลูกค้าใช้บริการอยู่ ผ้าใบจะถูกปิดเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ลูกค้ารายอื่นๆ ได้ทราบว่ากระโจมนั้นไม่ว่าง มีลูกค้ากำลังใช้บริการอยู่ อีกทั้งเพื่อไม่ให้รบกวนสมาธิของหมอดูภายในกระโจมนั้นด้วย

สิ้นเสียงของหมอดู รำเพยก็ทำตามอัตโนมัติตามกับหุ่นยนต์ เธอรู้สึกราวกับหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งด้วยว่าข้าวของในกระโจมไม่ต่างจากพวกยิปซีโบราณ มีโต๊ะญี่ปุ่นวางอยู่ตรงหน้าแม่หมอโดยมีผ้ากำมะหยี่สีแดงสดปูรองโต๊ะ มีลูกแก้วใสลูกใหญ่วางบนสุด แว่นกันแดดวางข้างๆ มุมซ้ายและมุมขวาของกระโจม มีโต๊ะเตี้ยๆ บูชารูปปั้นของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และอีกด้านบูชาพระพุทธรูป แล้วเสี้ยววินาทีต่อมารำเพยก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดมาปะทะร่างกาย ให้ความรู้สึกหนาวแปลกๆ เธอหันขวับมองผ้าใบทางด้านหลัง แต่พบว่ามันไม่ไหวติง แถมไม่มีช่องลม

แล้วลมมาจากไหน? รำเพยถามตัวเอง แล้วเหลียวมองรอบตัวเพื่อหาแหล่งที่มาซึ่งอาจเป็นพัดลมที่แม่หมอแอบซ่อนไว้สักที่ เหมือนกับกลิ่นกำยานที่เธอจู่ๆ ก็ได้กลิ่นอยู่ในขณะนี้ซึ่งแม่หมออาจจะวางซุกไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อหวังสร้างบรรยากาศให้ดูขลังก็ได้ อาจใช้วิธีเล่นกลหรือไม่ก็ตั้งเวลาให้มันทำงานตามที่ต้องการ? แต่เวลานั้นเธอก็หาควันไม่เจอ ยิ่งกว่านั้นจากกลิ่นกำยาน ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นบุหรี่อย่างน่าประหลาดใจ มันส่งกลิ่นฉุนรุนแรงจนเธอต้องยกมือปิดจมูก ปกติเธอไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเรื่องเหลวไหลพวกนี้ แต่วินาทีนั้นกลับรู้สึกขนลุกด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างที่เธอเองก็อธิบายไม่ได้

พิมพาทรุดนั่งฝั่งตรงข้ามหมอดู มีลูกแก้ววางอยู่กึ่งกลางระหว่างเธอกับแม่หมอ รำเพยทรุดตัวนั่งด้านหลังเพื่อน

‘หนูต้องการดูเรื่องความรักค่ะ ปีนี้หนูจะได้แต่งงานกับแฟนไหมคะ’ พิมพาเกริ่นขึ้นเป็นประโยคแรก

หมอดูทำพิธีอะไรบางอย่างราวกับคนทรงเจ้า เนื้อตัวสั่นเทิ้ม โต๊ะบูชาขยับไหว ลูกแก้วหมุนเหนือแกนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แต่ตอนนั้นรำเพยเชื่อว่าแม่หมออาจใช้ทริคอะไรบางอย่าง

แม่หมอยังคงหลับตา มือจับลูกแก้วหมุนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พลางตอบว่า ‘ไม่ต้องห่วงได้แต่งแน่ เพราะสิ่งที่อยู่ในท้องเจ้าผูกมัดเขาอยู่’

พิมพาหน้าแดงระเรื่อ นึกทึ่งแกมศรัทธาแม่หมอ ขณะที่รำเพยขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำทำนาย

‘แต่แม่เขาไม่ยอมรับ...’ พิมพาพูดต่อ

‘เชื่อข้า เมื่อแม่ผัวเห็นหน้าหลาน นางจะเปลี่ยนท่าที’ แม่หมอยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ

ชัดเจนแล้ว... รำเพยสะกิดเพื่อน พลางกระซิบถาม ‘แกท้องเหรอ?’

พิมพาแสร้งทำทีไม่ได้ยิน ถามหมอดูต่อว่า ‘เขากำลังจะย้ายไปประจำที่ต่างจังหวัด แม่หมอช่วยให้หนูแต่งงานกับเขา ก่อนจะย้ายไปได้ไหมคะ หนูกลัวผู้หญิงคนอื่นจะจับเขา’

‘ได้สิ แต่ค่าหมอแพงนะ’ ยังคงตอบด้วยอาการหลับตาพริ้ม

‘เท่าไหร่คะ’ พิมพาถามต่อ

หมอดูบอกตัวเลข ๕ หลัก รำเพยอึ้ง เธอกระตุกแขนเพื่อน ไม่อยากให้เพื่อนถูกหลอก แต่พิมพาปัดมือออกราวกับไล่ยุง

‘ได้ค่ะ เราเริ่มพิธีได้เลยไหมคะ?’

‘ได้สิ...เจ้านอนลง’

แล้วจากนั้นพิธีก็เริ่มต้นขึ้นจวบจนเสร็จสิ้นและพิมพาจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว รำเพยก็ขยับลุก แต่เพื่อนสาวกลับพูดว่า

‘แล้วเพื่อนของหนูละคะ จะมีเนื้อคู่ไหม เธอเป็นสาวสวยแต่กลับไร้คู่ แม่หมอช่วยเธอหน่อยได้ไหมคะ’

รำเพยสะดุ้ง รีบส่งเสียงท้วงเพื่อน ‘เฮ้อ...ยายพิมพ์ฉันไม่ได้อยากดูนะ’

ขณะที่แม่หมอตอบว่า ‘ได้สิ’ พลางลืมตา จ้องดูรำเพย สภาพการณ์ราวกับอะไรบางอย่างออกจากร่างแล้ว เพราะเสียงพูดกลับไปเหมือนเดิม และเนื้อตัวไม่ได้สั่นเทิ้มอีก แม่หมอดูโหงวเฮ้งของรำเพยแล้วตอบว่า ‘โหงวเฮ้งหนูแปลกมาก’

‘แปลกยังไงคะ’ พิมพาถาม

แต่รำเพยรีบปฏิเสธเสียงรัว ‘ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่อยากดู’

‘ไม่เป็นไร ข้าจะดูให้ฟรี นานๆ ครั้งจะพบโหงวเฮ้งแปลกอย่างนี้ หนูมีทั้งโชคและเคราะห์อยู่ในคราวเดียวกัน’

‘หมายความว่าไงคะ?’ พิมพาถามต่อ

‘ยื่นมือมาให้หมอสิ’ แม่หมอกลับหันไปบอกรำเพย

พิมพาเขย่าแขนเพื่อนเมื่อเห็นฝ่ายนั้นยังนั่งเฉย มองตาปริบๆ ราวกับกำลังงุนงง พิมพาถือวิสาสะกระตุกมือเพื่อนไปให้แม่หมอ รำเพยพยายามกระตุกกลับ แต่พิมพาขืน ดึงไว้แน่น แม่หมอจับมือบอบบางขาวนวลเนียนของรำเพย พลางพริ้มตาหลับ นาทีต่อมาก็ลืมตา

‘มีอะไรบางอย่างกำลังตามหนู ถ้าหนูช่วยให้เขาหลุดพ้นบ่วงกรรมได้ หนูก็จะได้เจอเนื้อคู่’

‘แปลว่าที่เพื่อนหนูยังไม่ได้เจอเนื้อคู่ เพราะมีอะไรบางอย่างคอยขวางหรือคะ?’ พิมพาถามรัวเร็ว

‘ใช่’

‘อะไรที่ตามหนูอยู่คะ?’ รำเพยถามบ้าง

‘สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก’

‘คุณพระ...แม่หมอหมายถึงผีหรือคะ’ พิมพาโพล่งออกมา ขนลุกชัน

‘ไม่ใช่ แต่ใกล้เคียง เขาเป็นดวงจิตที่ติดอยู่ในที่ที่หนึ่งรอวันแม่หนูคนนี้ปลดปล่อย’ แม่หมอตอบ

‘ทำไมต้องรอหนูปลดปล่อย แล้วทำไมต้องเป็นหนู?’

‘เพราะหนูกับเขาทำบุญทำกรรมร่วมกันมา และหนูก็เป็นทายาทสายตรงของคนที่เป็นเจ้าหนี้กรรมเขา’

‘แม่หมอกำลังพูดอะไร หนูงงไปหมดแล้ว’

หมอดูไม่ฟังที่รำเพยพูด เธอพูดต่อว่า ‘เขากำลังรอความช่วยเหลือจากหนู มีหนูคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้’

‘แล้วหนูจะเจอเขาได้ไง’

‘ไม่ต้องห่วง เขาจะตามหนูเจอเอง’

‘เมื่อไหร่คะ?’

‘อีกไม่นาน...อีกไม่นาน ตอนนี้ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ถ้าอยากเจอเร็วกว่านั้น พิพิธภัณฑ์ริมน้ำคือคำตอบ’

‘อะไรนะคะ แม่หมอหมายถึงอะไร?’ รำเพยถามอย่างงุนงง

‘หมอบอกได้เท่านี้ ทั้งหมดที่หมอรู้และพูดได้ หมอพูดไปหมดแล้ว’

‘จิตดวงนั้นจะมาทำอันตรายเพยไหมคะ’ พิมพาถามบ้าง

‘เปล่า... ไม่ต้องห่วง เขามาดี เขาจะเป็นคุณกับแม่หนูด้วยซ้ำ’

‘แปลว่า...ถ้าเพยช่วยเขาได้ เพยจะได้เจอเนื้อคู่ใช่ไหมคะ’ พิมพาถามต่อ

‘ถูกต้อง’

‘เอ...หรือจิตดวงนั้นคือเนื้อคู่ของเพยเองคะแม่หมอ?’ พิมพายังคงถามต่อ แต่คราวนี้ไม่มีคำตอบจากหมอดู

ความจริงพิมพาถามไปด้วยความคึกคะนอง ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบจริงจัง เพราะรู้แน่ว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อจิตดวงนั้นยังไม่ได้มาเกิด ก็ย่อมไม่มีทางจะเป็นเนื้อคู่ของรำเพยไปได้ และถ้ารอให้มาเกิดใหม่ ก็คงไม่ทันในชาตินี้เพราะรำเพยอายุปาไป ๒๓ ปีแล้ว แล้วหลังจากนั้นไม่ว่าพิมพาหรือรำเพยจะพยายามเค้นถามอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งลี้ลับนั้น หมอดูก็พูดวกกลับไปเรื่องเดิม ไม่ต่างจากแผ่นเสียงตกร่อง จนพวกเธอต้องเปลี่ยนเรื่องไปถามเรื่องอื่นแทน

‘แล้วเนื้อคู่ของเพย จะมีลักษณะยังไงคะ’ พิมพาถามใหม่

‘ถ้าแม่หนูได้สัมผัส ก็จะรู้เอง’

‘คำตอบกว้างเกินไป งั้นเอางี้ เขามีลักษณะเด่นอะไรบ้าง ที่เพื่อนหนูเห็นแล้ว จะรู้ได้เลยว่านั่นคือเนื้อคู่?’

แม่หมอนิ่งแล้วตอบอย่างเนิบช้าว่า ‘ปานแดงรูปหัวใจ เขาจะมีสัญลักษณ์นั้น’


รำเพยบอกตัวเองว่าไม่ใช่เพราะคำทำนายในคราวนั้นที่ทำให้เธอดั้นด้นท่องเที่ยวไปตามพิพิธภัณฑ์นับแต่เหนือสุดของแดนสยามจวบจนล่างสุดของด้ามขวาน เพราะคำทำนายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อน ขณะที่เธอชื่นชอบกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมาตั้งแต่จำความได้ สมัยเด็กๆ พ่อแม่มักพาเธอไปเที่ยวตามวัดวาอาราม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ตลอดจนหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ ต่างจากเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่นๆ ที่ชอบเที่ยวห้าง สวนสนุก ฯลฯ แม้วันนี้ครอบครัวของเธอพร้อมด้วยน้องชายจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากพ่อเธอย้ายไปเป็นทูตอยู่ที่นั่นและเธอก็มีแผนจะเดินทางตามไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่นด้วยในเร็วๆ นี้ กระนั้นเธอก็ยังคงชื่นชอบกับการท่องเที่ยวตามสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ไม่เปลี่ยนแปลง


เริ่นต้นทริปโดยแวะวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นที่แรก วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร หรือ "วัดกัลยา" ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ฝั่งใต้ สร้างขึ้นโดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ในปี พ.ศ. ๒๓๖๘ ได้บริจาคที่ดินซึ่งเป็นหมู่บ้านกุฎีจีนเดิม ถวายเป็นพระอารามหลวงแด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ขณะที่สร้างเจ้าพระยานิกรบดินทร์ได้เสียชีวิตเสียก่อน รัชกาลที่ ๓ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการสร้างจนแล้วเสร็จ พระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร" และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางมารวิชัย ชื่อพระพุทธไตรรัตนนายก หมายถึง แก้ว ๓ ประการ สอดคล้องกับคำจีนว่า ซำปอกง ซึ่งเป็นชื่อที่คนจีนในย่านนี้เรียกและยังมีเทพเจ้าต่างๆ ให้กราบไหว้บูชาตามความเชื่อของชาวจีน

รำเพยถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ก็ตามคณะล่องเรือต่อไปยังพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร(วัดแจ้ง) ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า "วัดมะกอก" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "วัดมะกอกนอก" เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จกรีฑาทัพมาถึงวัดมะกอกนอกในเวลารุ่งอรุณพอดี จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "วัดแจ้ง" ในช่วงที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี วัดแจ้งถือเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระบาง อย่างไรก็ตามในปี พ. ศ. ๒๓๒๗ พระแก้วมรกตได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระบางนั้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดพระราชทานคืนประเทศลาว ความน่าสนใจของพระปรางค์ อยู่ตรงที่แฝงความเชื่อเรื่องแดนนรกสวรรค์ เรื่องเทวดาพระอินทร์และเรื่องราวไตรภูมิ โดยจำลองไว้ในสถาปัตยกรรมของพระปรางค์วัดอรุณฯ รำเพยเดินผ่านประตูรั้วขององค์ปรางค์ที่เปรียบเสมือนกำแพงของจักรวาล พื้นลานกว้างเปรียบเหมือนท้องทะเลสีทันดร และกลางทะเลมีเขาพระสุเมรุซึ่งก็คือองค์ปรางค์โดยแวดล้อมด้วยปรางค์ ๔ ทิศซึ่งแทน ๔ ทวีป ซึ่งในไตรภูมิก็คือ อุตรกุรุทวีปด้านทิศเหนือ บุรพวิเทหทวีปด้านตะวันออก อมรโคยานทวีปด้านตะวันตก และชมพูทวีปด้านทิศใต้ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์

นอกจากพระปรางค์แล้ว โบสถ์น้อยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเป็นที่ประทับเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จุดสำคัญอยู่ที่แผ่นศิลาจารึกของพระองค์ และแท่นบรรทมที่ไม่มีใครสามารถยกหรือเคลื่อนย้ายได้ซึ่งตั้งอยู่ที่โบสถ์น้อยแห่งนี้กว่า ๒๐๐ ปี

รำเพยดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมและถ่ายรูปจนพอใจแล้ว ก็ตามคณะล่องเรือต่อไปยังวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร(วัดระฆัง,วัดหลวงพ่อโต) เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยาซึ่งเดิมมีชื่อว่า “วัดบางหว้าใหญ่” ระหว่างที่รำเพยเดินเที่ยวชม ไกด์บอกเล่าประวัติทางด้านหลังอย่างน่าสนใจ

“ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่ง เล่ากันว่ามีเสียงไพเราะและรูปทรงสวยงาม จึงโปรดให้นำไปไว้ที่หอระฆังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และถึงแม้มีเสียงที่ไพเราะแต่ไม่มีใครอยากได้ยิน เพราะระฆังนี้ จะตีเฉพาะ ๒ เหตุการณ์ คือ การเปลี่ยนพระสังฆราชและการเปลี่ยนพระมหากษัตริย์ ซึ่งหมายถึงการสูญเสีย เมื่อโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามแล้ว พระองค์ก็ทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางหว้าใหญ่ ๕ ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่าวัดระฆังโฆสิตาราม”

ในบริเวณวัดยังสามารถเดินชมเรือนไทยแฝด ๓ หลังซึ่งเคยเป็นเรือนประทับของรัชกาลที่ ๑ มาก่อน ปัจจุบันเป็นหอพระไตรปิฎก จัดเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวของมาฆะมานพ หรือการกำเนิดของพระอินทร์ มีที่เดียวในประเทศไทยอายุกว่า ๒๐๐ ปี เขียนโดยพระอาจารย์นาค ซึ่งเป็นจิตรกรในสมัยอยุธยาตอนปลาย

รำเพยกดชัตเตอร์เก็บภาพขณะที่ไกด์สาวบรรยายว่า

“เรือน ๓ หลังแฝดที่เห็นคือ หอพระไตรปิฎก หอด้านใต้ลักษณะเป็นหอนอน หอกลางเป็นห้องโถง หอด้านเหนือเข้าใจว่าเป็นห้องรับแขก ของเดิมเป็นหลังคามุงจาก ได้เปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้อง ชายคาเป็นรูปเทพพนม เรียงรายเป็นระยะๆ ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ ๒ ตู้ ประดิษฐานไว้ในหอด้านเหนือ ๑ ตู้ หอด้านใต้ ๑ ตู้...”

รำเพยชอบฟังประวัติศาสตร์ เพราะทำให้คิดจินตนาการว่าคนในโบราณกินอยู่และใช้ชีวิตอย่างไร เธอแอบคิดว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าเธอหลุดไปอยู่ในยุคโบราณ แล้วเธอก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อเสียงไกด์สาวประกาศผ่านโทรโข่งต่อว่า

“เอ้า...ลงเรือได้แล้วจ้า ถึงเวลาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปแล้ว”

พิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิม ชาวจีนที่ย้ายมาอยู่เมืองไทย เป็นเจ้าภาษีนายอากร เจ้าของกิจการค้าข้าวและโรงสีและเดินเรือสำเภาค้าขายระหว่างไทยและจีน บ้านเจ้าสัวกิมเป็นบ้านเก่าของต้นตระกูลดาราคุปต์ สร้างมากว่า ๑๐๐ ปี ในสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ลักษณะที่โดดเด่นคือ เป็นกลุ่มอาคารชิโน-โปรตุกีสหลายหลังที่เชื่อมต่อถึงกัน สร้างในบริเวณเดียวกันในเนื้อที่เกือบ ๒ ไร่ หันหน้าเข้าหาลานกว้างซึ่งอยู่ตรงกลาง บ้านเจ้าสัวกิมตกเป็นมรดกของลูกหลานหลายรุ่น ทายาทหวังให้สถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชน ตลอดจนการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคนั้นในช่วง ๑๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา จึงได้อนุรักษ์ตัวอาคารและเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ ในบ้านไว้เป็นอย่างดี และเปิดให้ผู้สนใจได้เข้าไปชมโดยแลกกับตั๋วค่าเข้าชมเพียงคนละ ๕๐ บาทสำหรับคนไทยและคนละ ๑๐๐ บาทสำหรับชาวต่างชาติ เพื่อไว้ใช้สำหรับการดูแลรักษาบ้านเก่าโบราณหลังนี้ ให้คงอยู่ในสภาพเดิม

รำเพยมาร่วมทริปนี้ เพื่อหวังเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ของต้นตระกูลดาราคุปต์ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ของภาคเอกชนเป็นการเฉพาะ เนื่องจากได้ยินมาว่าเจ้าสัวกิมรวยที่สุดในย่านนั้นในยุคสมัยนั้น เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษเมืองจีน วัสดุของบ้านนั้นส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากการค้าขายทางเรือในสมัยนั้นเฟื่องฟู เช่น รั้วบ้านจากฮอลแลนด์ กระเบื้องปูพื้นจากอิตาลี ฯลฯ ปัจจุบันบ้านเจ้าสัวกิมมีอายุกว่า ๑๐๐ ปี และมีลูกหลาน นับเนื่องเป็นรุ่นที่ ๖ แล้ว แล้ววินาทีนั้น เธอก็ได้กลิ่นบุหรี่ เหลียวมองรอบตัวเพื่อดูว่ามีใครสูบบุหรี่แถวนั้นหรือไม่ แต่ทว่าก็ไม่เห็นใครสูบ ทุกคนกำลังก้าวฉับๆ ตรงไปยังโป๊ะ เธอเหลียวกลับมาเดินตามคนเพื่อนๆ

เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนมาแล้วที่เธอได้กลิ่นบุหรี่โดยที่หาสาเหตุและหาแหล่งที่มาไม่ได้ จนร่ำๆ คิดว่าเพี้ยนหรือบ้าไปแล้วที่ได้กลิ่นอยู่คนเดียว เพราะถามใครๆ ก็ไม่ได้กลิ่น แล้วจังหวะนั้น เสียงไกด์ก็ทำลายภวังค์

“เร็วค่ะคุณรำเพย ลงเรือได้แล้วค่ะ คุณกำลังรั้งท้ายอยู่นะคะ”



“สวัสดีค่ะคุณพรหมมินทร์ คุณลักษณา” ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมโค้งศีรษะอย่างนอบน้อมในทันทีที่ทายาทรุ่นล่าสุดของตระกูลดาราคุปต์พร้อมด้วยน้องสาวก้าวลงจากรถหรูภายหลังคนรถปรี่มาเปิดประตูให้ เฉิดฉายทักทายพลางจ้องมองร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งไทย-อังกฤษรุ่นลูกด้วยแววตาชื่นชม ด้วยว่าหล่อเหลาคมคายอย่างหาตัวจับยากแม้จะมีเชื้อไทยครึ่งหนึ่งแต่รูปร่างและหน้าตาไม่ได้เฉียดไทยเลย แต่กระเดียดไปทางมารดา ๑๐๐% จนแทบดูไม่ออกเลยว่าเลือดครึ่งหนึ่งของชายหนุ่ม คือไทย

“เรียกพอลเถอะครับ ผมแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองมีชื่อไทยชื่อนั้น” พอลตอบด้วยภาษาไทยที่แปร่งเล็กน้อย เนื่องจากไม่ใช่ภาษาแม่ เขาได้ชื่อว่ามีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ทักษะการใช้ภาษาไทย แค่จ้างครูไทยมาสอนตัวต่อตัวที่บ้านไม่นาน ก็ทำให้เขาพูดและฟังภาษาไทยได้แล้ว ยกเว้นภาษาเขียนและอ่าน ที่เขาทำได้ไม่ดีนัก

พอล หรือ พรหมมินทร์ เป็นทายาทรุ่นที่ ๖ ของตระกูลดาราคุปต์ วัย ๓๕ จบปริญญาโท ๒ ใบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในอังกฤษ ได้ชื่อว่าสมบูรณ์แบบทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูลและการศึกษา ตลอดชีวิต ๓๐ กว่าปีเขาอยู่ที่อังกฤษตลอดด้วยว่าย้ายตามมารดาชาวอังกฤษไปอยู่ที่นั่น เอมิเลียรับไม่ได้กับการที่พันตำรวจโททวีสิน ดาราคุปต์ ผู้เป็นสามีมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน เมื่อเขามีภรรยาคนที่ ๒ เธอจึงหอบลูกชายซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง ๒ ขวบและลูกชายอีกคนที่อยู่ในท้องกลับไปอยู่ประเทศเกิด แม้สามีจะบินตามไปงอนง้ออย่างไร เธอก็ไม่ยอมคืนดี นับแต่นั้นชีวิตคู่ระหว่างบิดาและมารดาซึ่งเป็นภรรยาหลวงก็ปิดฉากลง

พอลคิดว่าตัวเองคงใช้ชีวิตที่อังกฤษตลอดกาล ถ้า ๒ ปีก่อนบิดาชาวไทยจะไม่เสียชีวิตและมีการเปิดพินัยกรรม เขาและน้องชายถูกทนายความประจำตระกูลดาราคุปต์ เรียกตัวกลับมาไทยด่วนตามเจตจำนงของพันตำรวจโททวีสินที่สั่งเสียไว้ก่อนตาย ให้มาร่วมฟังพินัยกรรมพร้อมด้วยญาติคนอื่นๆ ที่เป็นภรรยาและลูกๆ ต่างมารดาซึ่งแต่ละคนเขาล้วนไม่รู้จัก มาถึงเมืองไทยเขาถึงได้รู้ว่าบิดามีลูกๆ ที่เกิดจากภรรยาชาวไทย ๓ คน ถึง ๘ คนด้วยกัน รวมเขากับน้องชายก็เป็น ๑๐ คน พันตำรวจโททวีสิน ยกที่ดินแถวปทุมธานี ตลาดกิม รวมถึงพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมหลังนี้ให้กับเขา ส่วนน้องชาย ได้สิทธิ์ในที่ดินนนทบุรีและโครงการบ้านจัดสรร แถมยังให้สิทธิ์เขากับน้องชายอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางกรุงร่วมกับลูกๆ และภรรยาคนอื่นๆ ในคฤหาสน์หลังนั้นด้วย

การเปิดพินัยกรรมหลังการเสียชีวิตของบิดาในคราวนั้น ทำให้พอลต้องย้ายมาอยู่เมืองไทยชั่วคราวเพื่อจัดการเรื่องมรดก ด้วยว่าถึงเขาและน้องชายไม่ต้องการทรัพย์สมบัติใดๆ และได้ปฏิเสธผ่านทนายความไปแล้ว แต่บรรดาภรรยาและลูกๆ ของบิดาในเมืองไทย ก็ยืนยันที่จะให้เขาได้สิทธิ์นั้นตามเจตนารมณ์ของพันตำรวจโททวีสิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับการไหว้วานจากน้องชายให้อยู่จัดการมรดก โดยทำเรื่องมอบให้ลูกหลานคนอื่นๆ ของบิดาตามที่เห็นสมควร เขาปรึกษาเรื่องนี้กับมารดาและน้องชายเรียบร้อยแล้ว เมื่อทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าไม่มีใครอยากมาอยู่เมืองไทย ดังนั้นจะมอบมรดกเหล่านั้นให้แก่ลูกหลานคนอื่นๆ ของบิดา แต่เขากับน้องชายยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะมอบให้แก่ใครดี ด้วยว่าน้องๆ ต่างมารดาเหล่านั้นเขาไม่รู้จักสักคน น้องชายจึงแนะนำให้เขาอยู่เมืองไทยสักระยะเพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอของแต่ละคนก่อนจะมอบมรดกให้ ส่วนตัวน้องชายและมารดาอาสาที่จะดูแลกิจการน้ำหอมให้เขาที่อังกฤษเอง

ช่วงแรกๆ พอลจึงไปๆ มาๆ ระหว่างอังกฤษและไทย เพื่อดูแลกิจการน้ำหอมของตนเอง แต่ทำไปทำมาเขาชักติดใจประเทศไทยหลังจากอยู่ได้แค่ ๖ เดือนโดยเฉพาะสาวไทย ที่สวยอ่อนหวานและกิริยานุ่มนวลซึ่งต่างจากสาวชาติเดียวกัน สาวตะวันตกหรือสาวยุโรปที่เขาพบเจอและคบหาด้วยอย่างมาก จึงไม่ต่างจากอาการเห่อของเล่นชิ้นใหม่ ยอมรับว่าเขาติดใจประเทศเกิดของบิดาเพราะสาวไทย ด้วยเหตุนี้จึงลากยาวอยู่มานานถึง ๒ ปีและระยะหลังเขาอยู่เมืองไทยเป็นหลัก นานๆ ครั้งจะบินกลับอังกฤษสักครั้ง อาศัยน้องชายเป็นคนดูแลกิจการที่นั่น ส่วนตัวเองจะสั่งงานผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ อีเมล สไกป์ หรือไลน์แทน

สำหรับบ้านเจ้าสัวกิมซึ่งเป็นบ้านเก่าแก่ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นนั้น ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลมาแต่โบราณกาลว่าจะต้องตกทอดแก่ทายาทคนแรกของแต่ละรุ่นเท่านั้น บ้านเจ้าสัวกิมจึงตกเป็นสิทธิ์ของเขาเมื่อเขาเป็นทายาทคนโตของรุ่นที่ ๖ เขาเลือกที่จะเดินรอยตามทายาทคนก่อนๆ ด้วยการอนุรักษ์บ้านหลังนี้ให้อยู่ในสภาพพิพิธภัณฑ์ดังเดิมบนเนื้อที่เกือบ ๒ ไร่ และทุกๆ เดือนเขาจะมาตรวจเยี่ยมด้วยตัวเองว่ามีปัญหาหรือการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวขาดตกบกพร่องอะไรหรือไม่

น่าแปลกที่เขารู้สึกผูกพันกับกลุ่มอาคารชิโน-โปรตุกีสหลังนี้นับแต่ก้าวแรกที่ย่างกรายเข้ามาเมื่อ ๒ ปีก่อน ด้วยว่าให้บรรยากาศราวกับหลุดไปอยู่ในปีพ.ศ.๒,๔๐๐ กว่าๆ ซึ่งเป็นปีที่ต้นตระกูลนั่งเรือสำเภาย้ายมาอยู่เมืองไทยถาวร เป็นบรรยากาศที่แปลกใหม่สำหรับชาวต่างชาติอย่างเขา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไม้สอย เฟอร์นิเจอร์ จานชาม เครื่องปั้นดินเผา เครื่องสังคโลก สิ่งก่อสร้าง หรืออื่นๆ ที่ยังอนุรักษ์ทุกอย่างไว้เหมือนเดิม เป็นส่วนผสมที่สอดผสานกันอย่างลงตัวและกลมกลืนระหว่างความเป็นจีน ตะวันตกและไทย เขารู้สึกว่ามีมนตร์ขลัง มีเสน่ห์ และน่าสนใจอย่างมาก พอลไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำว่าภาพถ่ายขาวดำ รวมไปถึงภาพวาดขาวดำที่สาวไปถึงต้นตระกูลที่แขวนอยู่บนผนังเรียงรายอยู่รอบบ้านของเจ้าสัวกิมนั่นคือคนในสมัยโบราณซึ่งเป็นต้นตระกูลของเขาจริงๆ ด้วยว่าทุกคนล้วนอยู่ในเครื่องแต่งกายและทรงผมที่แปลกตา ไม่คุ้นตา แต่ก็ดูคลาสสิกและน่าหลงใหลอย่างมากสำหรับเขา

“คุณพอลอยู่เมืองไทยจะครบ ๒ ปีอยู่แล้ว ยังไม่ชินกับชื่อไทยอีกหรือคะ” เฉิดฉายยอมกลับไปใช้ชื่อฝรั่งตามที่ผู้เป็นนายต้องการ อาศัยว่าทายาทผู้นี้ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนเจ้าขุนมูลนายคนอื่นๆ ตรงกันข้ามสบายๆ เป็นกันเอง ไม่ถือตัว จึงทำให้เฉิดฉายกล้าแหย่ด้วยความรักและเอ็นดู พอลมาอยู่เมืองไทยได้ ๒ ปีแต่เป็นที่รักของลูกจ้างทุกคน ต่างจากทายาทคนก่อนๆ ที่วางตัวเหนือกว่าจนพวกเธอเข้าไม่ถึง

หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะ “ไม่เลยครับ ผมชอบชื่อพอลที่คุณแม่ตั้งให้มากกว่า”

“แต่ลักษณ์ว่าพรหมมินทร์ที่คุณพ่อตั้งให้ก็เท่ไม่หยอกนะคะ” ลักษณาเพิ่งมีโอกาสร่วมบทสนทนาด้วย เธอมองหนุ่มลูกครึ่งเจ้าของวงหน้าหล่อเหลาแววตาชื่นชมแกมเทิดทูน พอลมีรูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายดั่งนักกีฬาด้วยว่าออกกำลังกายและเล่นเพาะกล้ามพองาม อยู่เป็นนิตย์ จึงเสริมบุคลิกให้ดูดีอย่างมาก

ลักษณาเป็นลูกสาวคนเล็กของภรรยาคนที่ ๒ ของพันตำรวจโททวีสิน เธอเป็นปลื้มกับพี่ชายลูกครึ่งคนนี้ ความจริงเธอนึกเสียดายด้วยซ้ำที่เขาเป็นพี่ชายต่างมารดา ถ้าเกิดมาคนละพ่อคนละแม่ เธอจะไม่รั้งรอเลยที่จะเป็นฝ่ายรุกเขา ยอมรับว่าพอลมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศอย่างมาก ใครเห็นเป็นต้องเหลียวมองซ้ำสอง คิดดูพอลยืนพูดคุยกับผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์บริเวณปากทางเข้าพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมไม่ถึงนาที แต่มีนักท่องเที่ยวสาวๆ ทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กเหลียวมองมาไม่ต่ำกว่า ๕๐ คนแล้ว เรียกว่าพอลเป็นเป้าสายตาไม่ต่างจากแม่เหล็กเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรู้ความสามารถที่เป็นถึงเจ้าของกิจการน้ำหอมที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ แค่รูปร่างหน้าตาก็กินขาด ทำให้สาวๆ พร้อมจะสยบแทบเท้าแล้ว ลักษณาเชื่อว่าสาวๆ กว่าครึ่งจะคิดเหมือนเธอ คือพร้อมที่จะแลกด้วยอะไรก็แล้วแต่ที่ตัวเองมี ขอแค่ได้มีโอกาสใช้เวลายามค่ำคืนกับเขาตามลำพังสองต่อสองสักคืนแค่นั้น

พอลรับรู้ถึงสายตาของน้องสาวที่กำลังจ้องเขม็งมา เขาหลียวมาสบตาด้วย แวววตาอ่อนโยนเมื่อตอบว่า “พี่ว่าออกเสียงยาก เรียกพอลง่ายสุดแล้ว วันนี้มีนักท่องเที่ยวเข้าชมพิพิธภัณฑ์เยอะไหมครับ” ประโยคหลังหันไปถามเฉิดฉาย

นับแต่เขาเดินทางมาอยู่เมืองไทย เขาได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากลักษณา เธอมีอัธยาศัยดี มนุษยสัมพันธ์ดีและช่างพูด แค่สัปดาห์แรกที่เขาย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ร่วมกับลูกๆ หลานๆ ของบิดา ลักษณาก็ตามติดเขาเป็นเงาตามตัวนับแต่นั้น เขาไม่ได้รำคาญหรือเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามเพลิดเพลินไปกับความน่ารักของหญิงสาวที่ช่างเอาใจ ดูแลเอาใจใส่ คอยชี้แนะและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับประเทศไทยให้เขารู้ ซึ่งทำให้เขาเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับประเทศไทยได้เร็วขึ้น

เฉิดฉายยิ้มด้วยแววตาอ่อนโยน “เยอะค่ะ มีทัวร์จีนลง ๒ กรุ๊ปแล้วในเช้านี้ แล้วก็มีทัวร์ไทยทัวร์ไหว้พระด้วยค่ะ รวมๆ ก็เกือบ ๒๐๐ คนไปแล้ว”

พอลพยักหน้าอย่างพอใจ “เยอะมากเลยครับ”

“ใช่ค่ะ วันนี้เยอะเป็นพิเศษจริงๆ คงเพราะเป็นวันหยุด นักท่องเที่ยวเลยเยอะ”

พอลพยักหน้า กล่าวต่อว่า “แล้วมีปัญหา หรืออะไรชำรุดต้องซ่อมบ้างไหมครับ”

“ไม่มีค่ะ เพราะเราจัดเจ้าหน้าที่ตามประกบตลอด โดยเฉพาะทัวร์จีน มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลเรื่องความสะอาดอยู่ห่างๆ แต่ปัญหาน่าหนักใจสุดคือนักท่องเที่ยวแย่งกันใช้ห้องน้ำ และห้องน้ำสกปรกเร็ว พนักงานทำความสะอาดไม่ทัน”

“งั้นคุณเฉิดฉายลองไปดูว่าจะสร้างห้องน้ำเพิ่มยังไงได้บ้าง ดูเหมือนเรายังมีพื้นที่เหลือสำหรับการสร้างอาคารเพิ่มได้ใช่ไหมครับ?” กล่าวพลางออกเดินนำเข้าไปในพิพิธภัณฑ์โดยมีเฉิดฉายและลักษณาเดินตาม

“ใช่ค่ะ มีพื้นที่ริมแม่น้ำเหลือเฟือ แต่ถ้าจะมาสร้างห้องน้ำ จะไม่เสียทัศนียภาพทางสายตาหรือคะ เพราะทัวร์ไหว้พระขึ้นลงทางน้ำอยู่ตลอดเวลา อาจไม่น่าดูและส่งกลิ่นรบกวน”

“ลองให้สถาปนิกออกแบบศูนย์จำหน่ายของที่ระลึกเป็นอาคารชิโน-โปรตุกีสให้กลมกลืนไปกับเรือนใหญ่ไหมครับ ห้องน้ำอาจให้ฝังอยู่ในอาคารลึกหน่อย แถมยังสามารถขายอาหาร ของที่ระลึกและโปสการ์ดเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ นำเงินมาหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายดูแลพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย ส่วนเรื่องการดูแลความสะอาดและเรื่องกลิ่น ไม่น่ามีปัญหาถ้าเราเพิ่มพนักงานดูแลความสะอาด ยังไงลองเสนอค่าใช้จ่ายมาดูครับ ขาดเหลือยังไง ผมเซ็นเช็คส่วนตัวให้”

โดยปกติจะมีเงินสำหรับการดูแลพิพิธภัณฑ์โดยเฉพาะ มาจากค่าบัตรเข้าชมและเงินบริจาคจากนักท่องเที่ยวตามจิตศรัทธา แต่ที่ผ่านมาขาดเหลืออย่างไร พอลมักสมทบเงินส่วนตัวมาช่วยโดยตลอด เฉิดฉายมองด้วยสายตาชื่นชมเป็นเท่าตัว หนุ่มลูกครึ่งผู้นี้มักมีมุมมองที่แปลกใหม่ น่าเลื่อมใส เขาต่างจากทายาทรุ่นก่อนที่เก็บเงินจากค่าบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์เข้ากระเป๋าตัวเองครึ่งหนึ่ง แต่พอมาถึงสมัยพอล นอกจากไม่นำค่าบัตรเข้ากระเป๋าตัวเองแม้แต่สตางค์แดงเดียวแล้ว ยังบริจาคเงินส่วนตัวมาดูแลบำรุงรักษาพิพิธภัณฑ์ด้วย นอกจากนี้เขาริเริ่มแนวคิดจัดนิทรรศการหมุนเวียนตามแต่โอกาสที่เหมาะสม และออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวพาลูกจ้างของพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดไปศึกษาดูงานต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ว่าพิพิธภัณฑ์ระดับโลกบริหารจัดการอย่างไรถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลมาเข้าชมเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี รวมตลอดถึงเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการและการอนุรักษ์สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในพิธิภัณฑ์ให้คงสภาพเดิมไว้ได้ยาวนานที่สุด

“ได้ค่ะ ดิฉันว่าน่าสนใจ เดี๋ยวถ้าได้แบบเรียบร้อยแล้ว จะส่งให้คุณพอลทางอีเมลนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

น้องสาวต่างมารดาเงยหน้ามอง ด้วยว่าผู้เป็นพี่ชายสูงกว่ามาก “พี่พอลมาพิพิธภัณฑ์บ๊อยบ่อย ไม่เบื่อบ้างหรือคะ” ทุกครั้งที่พอลมา มีเธอตามติดมาด้วยทุกครั้ง จึงรู้ว่าเขาพิศมัยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มากแค่ไหน

“ไม่เลย พี่ชอบบรรยากาศโบราณๆ อย่างที่นี่ พี่ว่าต้นตระกูลเราเก่ง คิดดูร้อยกว่าปีก่อนที่เวชภัณฑ์ยังไม่ก้าวหน้า แต่คนในตระกูลดาราคุปต์สามารถคิดยาและเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ขึ้นมาใช้ภายในครัวเรือนเองได้”

ลักษณาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พี่ชายต่างมารดาพูดถึงขี้ผึ้งวิเศษเดชาคุปต์ที่ทำมาจากสมุนไพรที่ปลูกไว้กินและใช้กันเองภายในครัวเรือนและกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านของผู้คนในยุคนั้น สมัยนั้นท่านอุ่นเรือน ภรรยาของเจ้าพระยาพิภพตรา ซึ่งถือเป็นแม่ของเทียด(1)ของเธอ ทำขึ้นเองเพื่อใช้ทาเวลาโดนแมลงกัดต่อย ผลปรากฏว่าหายชะงัดนัก หม่อมอุ่นเรือนแบ่งให้คนข้างบ้านใช้ มีการบอกปากต่อปากถึงสรรพคุณที่รักษาแมลงสัตว์กัดต่อยได้ดี จนชาวบ้านร้องขอให้หม่อมอุ่นเรือนทำขาย กลายเป็นกิจการในครัวเรือน และวางขายตามร้านขายยาจีนโบราณ จวบจนเวชภัณฑ์เจริญรุดหน้า ยาสมุนไพรโบราณก็ค่อยๆ เลือนหายไป ตอนนี้แทบไม่มีใครรู้จักขี้ผึ้งวิเศษเดชาคุปต์แล้วถ้าไม่ใช่คนโบราณในยุคนั้น

แล้วลักษณา ก็อดนึกย้อนไปถึงต้นตระกูลไม่ได้ ตามประวัติที่เล่าต่อๆ กันมา ต้นตระกูลของเธอได้อพยพมาจากประเทศจีน ต้นตระกูลคนแรกที่มาตั้งรกรากในไทยคือเจ้าสัวกิม แซ่หลี ยึดอาชีพทำมาค้าขาย เมื่อกิจการค้าขายดี ก็ขยับขยายมาทำโรงสีและขายข้าว พอมีฐานะมั่งคั่งขึ้น ก็ได้สร้างอาคารสไตล์ชิโน-โปรตุกีสริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่อยู่อาศัย นัยว่าเจ้าสัวกิมมีเพื่อนที่เป็นนายช่างออกแบบอาคารชิโน-โปรตุกีสให้กับเจ้าสัวที่ภูเก็ต เจ้าสัวกิมนำแบบมาดัดแปลง โดยออกแบบให้เป็นอาคารสองหลังที่เชื่อมต่อกัน ต่อมาเมื่อมีลูกๆ มากขึ้นเจ้าสัวก็ขยายต่อเติมบ้านออกไปเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นกลุ่มอาคารหลังใหญ่ที่หันหน้าเข้าหากันโดยมีลานกว้างอยู่กึ่งกลางบนพื้นที่เกือบ ๒ ไร่ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อมาถึงสมัยของเจ้าพระยาพิภพตรา ผู้เป็นพ่อของเทียดของเธอ ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของหลวงนาวีเดชานนท์ กับท่านสดใส บุตรีของพระยาธำรงภักดีฤทธิ์ ว่ากันว่าในสมัยที่พ่อของเทียดยังเป็นหลวงพิภพตรา สังกัดกระทรวงมหาสมบัติ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นกระทรวงพระคลังมหาสมบัติและกระทรวงการคลังตามลำดับในปัจจุบันนั้น รัชกาลที่ ๖ ก็ได้พระราชทานนามสกุลให้ว่า “เดชาคุปต์”

เมื่อเดินผ่านอาคารหลังแรกแล้ว เฉิดฉายก็เอ่ยชวนขึ้น “ลองไปดูสถานที่ริมน้ำดูไหมคะ เผื่อว่าคุณพอลอยากให้สร้างบริเวณไหน”

“ได้ครับ” พอลตอบแล้วเดินออกทางอาคารหลังเพื่อตรงไปยังท่าน้ำ

เสี้ยววินาทีที่หลุดจากประตูหลังพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิม พอลก็ชะงัก หยุดยืนแข็งทื่อ พลอยทำให้ลักษณาที่เดินเคียงคู่ ชะงักตาม เธอขมวดคิ้วถามขึ้นอย่างสงสัย

“มีอะไรหรือคะพี่พอล”

“เห็นผู้หญิงคนนั้นไหม”

ลักษณามองตามปลายนิ้วเรียวราวกับของอิสตรี ตรงไปยังท่าเรือที่มีนักท่องเที่ยวไทยกำลังทยอยขึ้นจากเรือ บางคนออกจากโป๊ะ กำลังเดินผ่านรั้วลวดลายจีนเพื่อตรงเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ รั้วทำเป็นประตูเล็กๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น ทำให้ยังเห็นวิวแม่น้ำเจ้ายาแบบพาโนราม่า

“ใครคะ นักท่องเที่ยวมากมาย ลักษณ์ไม่รู้ว่าพี่หมายถึงคนไหน”

“คนที่กำลังดูกล้องถ่ายรูปอยู่ที่โป๊ะ”

“อ๋อ...ค่ะ มีอะไรหรือคะ?” ลากเสียงถาม พลางปรายตามองตาม หญิงสาวที่พี่ชายพูดถึง น่าจะเป็นนักศึกษา ด้วยว่าแลดูเยาว์วัย เธออยู่ในชุดทะมัดทะแมงคือเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ แต่กลับเสริมให้รูปร่างบอบบางชวนมองมากยิ่งขึ้น อาจเพราะความที่สูงจัดและขาเรียวยาว เมื่อสวมยีนส์ จึงเห็นช่วงขาที่เรียวยาวชัดเจนขึ้น แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตามากที่สุด เห็นจะเป็นใบหน้าเรียวรูปไข่ ที่สะสวยราวกับสาวไทยยุคโบราณซึ่งเธอรู้ว่าเป็นสไตล์ที่พี่ชายชอบอย่างยิ่ง

“คนนี้เราเคยเจอเมื่อเดือนก่อนตอนที่ลักษณ์ไปดูหมอดูยิปซีจำได้ไหม?”

“จำได้ค่ะ ในงานวัดที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้น มีอะไรหรือคะ?”

พอลเล่าต่อว่า “ลักษณ์ยุให้พี่ดูหมอ พี่เลยยื่นมือไปให้ดูอย่างขำๆ แล้วหมอดูก็ทักขึ้นว่า พี่จะได้เจอเนื้อคู่เร็วๆ นี้”

“จำได้ค่ะ แล้วยังไงต่อคะ?” ลักษณายังคงถามอย่างไม่เข้าใจ

พอลกล่าวอย่างทบทวนความจำของตัวเองไปพร้อมกันว่า “แล้วพี่ก็พบว่าตัวเองลืมแว่นกันแดดไว้ที่กระโจมหมอดู เราย้อนกลับไปที่นั่น แล้วหมอดูก็บอกว่า เนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง เพิ่งจะเดินออกไปจากกระโจม”

“ค่ะ ลักษณ์จำได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง จะเป็นเด็กคนนั้นนี่คะ อย่าลืมว่าเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนื้อคู่ที่หมอดูพูดถึง จะหมายถึงคนไหน เพราะเราเห็นแค่แผ่นหลังของเธอ” ลักษณาจำได้ว่ามีหญิงสาว ๒ คนออกจากกระโจมพอดีในตอนที่เธอไปถึง แต่เธอก็ไม่มีโอกาสเห็นหน้า ได้แค่เห็นแผ่นหลัง เพราะทั้งคู่เดินไปไกลแล้ว จำได้แค่ว่าคนหนึ่งสวมกระโปรง อีกคนสวมกางเกง

พอลส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย เพราะวันนั้นเขาได้มีโอกาสเห็นหน้าเธอ แล้วภาพในวันนั้นก็ย้อนกลับมาสู่ความทรงจำอีกครา

‘ผมลืมแว่นตากันแดด ขอโทษครับ’

‘กำลังรออยู่... จะบอกว่าเนื้อคู่ของพ่อหนุ่มเพิ่งจะเดินออกไป’

‘อะไรนะครับ’ ยามนั้นพอลงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเดิมเขาไม่เชื่อเรื่องหมอดูอยู่แล้ว เห็นเป็นเรื่องขำๆ มากกว่า

‘ชอบสาวสวยหน้าตาไทยๆ ไม่ใช่หรือ เธอเพิ่งจะเดินออกไปตะกี้’

แค่ได้ยินสรรพคุณว่าสวย หน้าตาไทยๆ...
พอลก็ไม่อยู่รอฟังจนจบประโยคอีก เขากระโจนออกจากกระโจมอย่างไม่รั้งรอ เห็นว่าทั้งคู่เดินไปไกลแล้ว เขารีบวิ่งแทรกผู้คนเพื่อตามเธอไปให้ทัน จังหวะที่คิดว่าคงจะคลาดกับพวกเธอเสียแล้ว เขาจึงตะโกนออกไปสุดเสียง

‘ช่วยด้วยๆ ไฟไหม้’

ได้ผล...ทุกคนหันมามอง รวมถึงสองสาวนั้นด้วย แค่แวบเดียวที่สบตากันก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเบือนหน้ากลับไป หลังจากพบว่าเป็นแค่เรื่องปาหี่ ไม่ใช่เรื่องจริง เขาก็ได้เห็นแล้วว่าหนึ่งในสองสาวนั้น สวยดั่งที่หมอดูว่าจริงๆ...



“ช่วยด้วยๆ คนตกน้ำ”

พอลตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นที่โป๊ะ

“เกิดอะไรขึ้น” ปากถาม แต่ถลาออกไปโป๊ะท่าเรือเรียบร้อยแล้ว

ลักษณาและเฉิดฉายวิ่งตาม ลักษณาเป็นฝ่ายให้คำตอบว่า “เด็กสาวที่พี่พอลชี้ให้ดูตกน้ำค่ะ มีใครบางคนเบียดกระแทกเธอ ทำให้สะดุดเชือกเลยตกลงไปในน้ำ”

ทว่าพอลไม่ได้อยู่ฟังจนจบประโยค เขาสลัดรองเท้ากระโจนลงไปในแม่น้ำเรียบร้อยแล้ว แค่ได้ยินว่าคนที่ตกน้ำคือเธอ ใจเขาก็หล่นไปอยู่ตาตุ่ม ภาวนาให้หาเธอเจอ และขอให้เธอรอดปลอดภัย

“กรี๊ด...ด” ลักษณาส่งเสียงกรี๊ดยาวเมื่อเห็นพอลกระโจนลงไปในน้ำ ขณะที่คนอื่นๆ บนโป๊ะยังคงหันรีหันขวาง สีหน้าตื่นตระหนกอย่างทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงตะโกนหวีดร้อง ขณะที่ผู้ชายเอาแต่เกาะเชือกโดยไม่มีใครคิดจะกระโดดลงไปช่วย ลักษณาใจหาย รีบหันไปทางเฉิดฉาย สีหน้าตกใจขณะละล่ำละลั่กกล่าวว่า

“คุณเฉิดฉายช่วยไปตามใครที่ว่ายน้ำเก่งๆ ลงไปช่วยพี่พอลหน่อย พี่พอลหายไปเลย ลักษณ์มองไม่เห็นเขา”


******************

1 เทียดหรือเชียด เป็นพ่อหรือแม่ของทวดหรือชวด








Create Date : 10 กันยายน 2558
Last Update : 12 กันยายน 2558 10:18:47 น.
Counter : 762 Pageviews.

14 comment
1  2  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments