Group Blog
บท 3...พรหมภพ
ห้องที่กานพลูอยู่กับแม่ก่อนที่แม่จะเสียชีวิตนั้น ไม่กว้างนัก มีหีบใบใหญ่วางอยู่มุมห้อง ๓-๔ ใบ มุ้งและหมอนวางบนหีบ ส่วนหวี ขวดน้ำอบน้ำปรุง กระปุกดินสอพอง กระปุกแป้งเม็ด วางอยู่บนโต๊ะไม้เตี้ยๆ รำเพยสำรวจหีบผ้าทีละใบ ก่อนจะเปิดหีบใบหนึ่ง หยิบผ้าหลากสีขึ้นมาวางเรียงบนพื้นกระเบื้องที่ขัดจนแวววาวอย่างดีเพื่อคัดเลือก สีผ้าฉูดฉาดละลานตาจนเลือกไม่ถูก แต่ละผืนส่งกลิ่นหอมอบอวลด้วยกลิ่นแป้งร่ำ

“ดิฉันควรนุ่งโจงกับผ้าคาดอกผืนไหนดีคะ” รำเพยยกผ้า ๒ ผืนขึ้นทาบอก พลางหันไปขอความเห็นจากชไบนาง

“ฉันว่าหีบที่แม่กานพลูเปิดมานั่น คือหีบผ้านุ่งนะ ส่วนผ้าแถบ น่าจะอยู่ในหีบใบนี้” ชไบนางบอกพลางเดินไปเปิดหีบอีกใบ หยิบผ้าแถบหลากสีออกมาวางเคียงผ้าโจงอย่างคนที่คุ้นเคยห้องของกานพลูเป็นอย่างดี

“ดิฉันเคยได้ยินว่าชาววังนุ่งผ้าโจงกับผ้าแถบคาดอกตามสีประจำวันจริงไหมคะ” รำเพยถามต่อ

“จริงจ้ะ เราจะนุ่งผ้านุ่งกับห่มผ้าตามสีประจำวัน แม่กานพลูก็นุ่งอยู่ทุกวันนะเพราะแม่ของฉันสอน”

รำเพยเริ่มเข้าใจแล้วว่าผ้านุ่งคือผ้าโจง ส่วนผ้าห่มคือผ้าแถบคาดอก ยิ้มเจื่อนๆ แล้วว่า “บังเอิญดิฉันจำไม่ได้แล้วค่ะ แม่ชไบนางช่วยบอกอีกทีได้ไหมคะว่าแต่ละวันนุ่งสีอะไรบ้าง?”

ชไบนางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ แต่เรียวปากคลี่ยิ้ม “วันจันทร์เรานิยมนุ่งเหลืองอ่อม ห่มผ้าแถบสีน้ำเงินอ่อนหรือจะห่มผ้าแถบสีบานเย็นก็ได้ หรือถ้าแม่กานพลู นุ่งผ้าโจงสีน้ำเงินนกพิราบ ก็คาดอกด้วยผ้าสีจำปาแดงก็ได้ วันอังคารนุ่งโจงสีปูนหรือสีม่วงเม็ดมะปราง ห่มด้วยผ้าคาดอกสีโศก หรือจะนุ่งโศกแล้วห่มด้วยม่วงอ่อนก็ได้” แล้วชไบนางก็จาระไนสีของแต่ละวันจวบจนครบทุกวัน

“สีโศกคือสีอะไรคะ?”

“สีเขียวอ่อนอย่างสีใบอโศกไงจ้ะ เอาล่ะวันนี้วันอังคาร แม่กานพลูอยากนุ่งสีอะไร ห่มสีอะไร?”

“สีเข้มทั้งนั้นเลย เอาเป็นนุ่งสีปูนห่มสีม่วงล่ะกันค่ะ”

ชไบนางพยักหน้า “รสนิยมดีจ้ะ” คัดสีที่อีกฝ่ายต้องการ ส่วนที่เหลือพับเก็บใส่หีบทั้ง ๒ ใบตามเดิม เมื่อหันกลับมาเห็นหญิงสาวยังคงถือผ้าทั้งสองผืนอย่างเก้ๆ กังๆ เธอก็เลิกคิ้ว

“ทำไมยังไม่นุ่งล่ะ”

“เปลี่ยนผ้านุ่งที่ไหนคะ แถวนี้มีห้องน้ำหรือห้องอะไรที่ปิดมิดชิดไหมคะ”

“ไม่มีดอก เราเปลี่ยนในห้องนี้แหละ ตรงนี้ก็มิดชิดดี เราผู้หญิงด้วยกันจะอายอันใด ว่าแต่ห้องน้ำคืออะไร?”

“ห้องที่มีไว้สำหรับอาบน้ำโดยเฉพาะ”

“ไม่มีดอกแม่กานพลู เราอาบตุ่ม อาบโอ่งกล้างแจ้ง ซึ่งต้องช่วยกันหาบคอนขึ้นมาจากแม่น้ำ ส่วนเด็กๆ ก็อาบแม่น้ำ บางทีถ้านึกสนุก เราก็อาบที่แม่น้ำกับเด็กๆ ด้วยเหมือนกัน”

รำเพยพยักหน้า ข่มความอายแล้วจัดการถอดเสื้อผ้าโดยใช้ผ้านุ่งเป็นผ้าถุง อาศัยเคยออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชนของมหาวิทยาลัย ทำให้พอจะนุ่งเป็นอยู่บ้าง ตั้งใจจะแอบไปซักชุดชั้นในเพื่อจะได้สวมวันพรุ่งนี้ หรือไม่เธออาจต้องตัดเย็บขึ้นมาใหม่ไว้ใช้ในวันต่อๆ ไป

“ทำไมแม่กานพลูจับผ้าเก้ๆ กังๆ ยังกับคนนุ่งไม่เป็นเล่า มาฉันช่วย”

“ก็ดิฉันบอกแล้ว ดิฉันไม่ใช่แม่กานพลู ไม่สังเกตหรือว่าดิฉันไว้ผมยาวไม่เหมือนแม่ชไบนางรวมถึงคนอื่นๆ ในยุคนี้”

ชไบนางชะงักมือที่กำลังไขว้ผ้าแถบด้านหน้าเสี้ยววินาที ก่อนไขว้ต่อด้วยกิริยาเป็นปกติ

“เรื่องนั้นฉันก็สงสัย แต่ที่เห็นคือใบหน้าของแม่กานพลูชัดๆ แล้วจะว่าไม่ใช่แม่กานพลูได้อย่างไรเล่า เอาล่ะ...เสร็จแล้ว”

“แม่กานพลูตกน้ำไปแล้ว ส่วนดิฉันคือรำเพย เป็นคนจากร.ศ.๒๓๓”

ชไบนางกะพริบตาปริบๆ “แม่พูดจริงหรือ?”

รำเพยพยักหน้า “ใช่ค่ะ”

ชไบนางผงะถอยหลัง “แล้วแม่โผล่มาได้อย่างใด หรือแม่เป็นภูติผีปีศาจ?”

รำเพยแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่ “แม่ชไบนางก็เห็นแล้วว่าดิฉันเลือดอุ่น เป็นคนจริงๆ” เธอยื่นแขนไปให้จับ

ชไบนางยื่นมือออกมาจับอย่างกล้าๆ กลัวๆ สีหน้าคลายความกังวลเมื่อสัมผัสได้ถึงเนื้อตัวที่อุ่นเหมือนของตัวเอง “แม่เป็นคน ไม่ใช่ผี แล้วแม่โผล่มาที่นี่ได้อย่างใด”

“ดิฉันกำลังเที่ยวพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิม จู่ๆ ก็ตกน้ำแล้วมาโผล่ที่ตีนท่านี่” เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของชไบนาง เธอก็ขยายความว่า “ในอีก ๑๐๐ กว่าปีข้างหน้า ที่นี่จะเป็นพิพิธภัณฑ์”

“จะเป็นจริงไปได้อย่างใด”

“เป็นไปแล้ว ทายาทของบ้านเจ้าสัวกิม อนุรักษ์บ้านหลังนี้ให้เหมือนเดิมทุกอย่างแล้วเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม”

“มีเรื่องประหลาดแบบนี้ด้วยหรือ ต้องไปถามกัปตันอองเดร พ่อฝรั่งคนนั้นเก่ง ตอบได้ทุกเรื่อง แถมอาจช่วยแม่รำเพยกลับไปสู่ยุคของแม่ได้” ถึงตอนนี้ชไบนางก็เชื่อคำพูดของรำเพยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยว่าเมื่อสังเกตดีๆ ก็พบความแตกต่างระหว่างรำเพยกับกานพลู อย่างน้อยก็การแต่งกายและทรงผม

“ขอบคุณค่ะ ความจริงกัปตันอองเดรเป็นคนช่วยดิฉันขึ้นมาจากน้ำ นัยว่าเขาตั้งใจจะกระโดดไปช่วยกานพลู แต่กลับกลายเป็นดิฉันแทน”

ชไบนางอุทาน ยกมืออุดปาก “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ ใครๆ ต่างพูดว่าแม่กานพลูตกน้ำ งั้นก็เป็นความจริงน่ะสิ”

“ถูกแล้วแม่ชไบนาง ตอนนี้กัปตันอองเดรยังหาแม่กานพลูไม่พบ”

สีหน้าชไบนางวิตกทุกข์ร้อนทันที “ไม่รู้แม่กานพลูเป็นตายร้ายดีอย่างไร ฉันจะต้องไปดูแล้ว”

“เดี๋ยวค่ะ” รำเพยยึดมือบางก่อนอีกฝ่ายจะผละจากไป “แม่ชไบนางจะกลับมาที่นี่อีกใช่ไหม”

“แน่นอนค่ะ ประเดี๋ยวฉันจะกลับมา แม่รำเพยอย่ากังวลไปเลย”

รำเพยมองชไบนางจนลับสายตา เธองับประตู หันกลับมาสำรวจห้องของกานพลู เจอเข็มกลัดผีเสื้อ เธอพึมพำขออนุญาตแล้วเอาผ้าแถบมาทบครึ่ง คาดเฉียงกับบ่า ก่อนกลัดด้วยเข็มกลัด ส่วนผ้าโจง เธอหยิบเข็มขัดจากกางเกงยีนส์มาคาดทับ แล้วพับชายผ้าทบอีกชั้น มองรูปโฉมของตัวเองในกระจกแล้วนึกพอใจกับความมิดชิด ไม่รุ่มร่าม จากนั้นหันมาจัดการกับทรงผม ซึ่งทำอะไรไม่ได้มากนักเนื่องจากยังชื้น จึงได้แค่หวี เมื่อชไบนางกลับมาในอีก ๑๐ นาทีต่อมา ฝ่ายนั้นจึงมองด้วยสายตาสนเท่ห์

“แม่รำเพยแต่งตัวได้แปลกตา แต่ก็งาม”

“ขอบคุณค่ะ เจอกานพลูไหมคะ”

สีหน้าของชไบนางสลดลง “ไม่ค่ะ ไร้วี่แวว ได้ยินพวกบ่าวพูดว่ากัปตันอองเดรช่วยกานพลูขึ้นมาจากน้ำได้ บ่าวคงหมายถึงแม่รำเพย”

“ใช่ค่ะ ดิฉันเสียใจด้วยค่ะเรื่องกานพลู”

“ค่ะ คงต้องแล้วแต่บุญกรรม สงสารแม่กานพลูจริงๆ เกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้แม่กานพลูเป็นที่รักของใครๆ เถอะ” ถอนหายใจยาวเหยียด แล้วถามต่อว่า “แล้วแม่รำเพยจะทำประการใดต่อ”

“ดิฉันคงต้องหาทางกลับสู่ภพของตัวเอง”

“งั้นระหว่างที่ยังหาหนทางกลับไม่ได้ แม่รำเพยอยู่ที่นี่เถอะนะ แล้วฉันจะสอนทุกอย่างให้เอง ใครๆ จะได้ไม่สงสัย”

“ขอบคุณแม่ชไบนางมาก”

ชไบนางพยักหน้า “แต่แม่รำเพยแต่งแบบนี้ จะทำให้ผู้คนแตกตื่นรู้มั้ย ถึงจะสวยแปลกตาก็ตามที”

“ดิฉันทราบ แต่จะให้แต่งตัวอย่างแม่ชไบนาง เห็นทีจะไม่ไหวเหมือนกัน เพราะค่อนข้างเปิดเผยเนื้อตัว ดิฉันยังไม่คุ้น”

ชไบนางคลี่ยิ้ม “เดี๋ยวนานๆ ไปแม่รำเพยจะคุ้น เพราะอากาศร้อน ให้ห่มมิดชิดจะร้อนตับแลบ แต่...ตามใจเถอะ เข้าใจดีว่าแม่อาจยังไม่คุ้ม แล้วการห่มสไบ...จะว่าไปบางทีฉันก็นึกครึ้มอกครึ้มใจห่มบ้างอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นถ้าใครสงสัย เราก็บอกแค่ว่าลองชุดก่อนไปงานบุญแล้วกัน แต่ทรงผมของแม่รำเพยนี่สิ ใครเห็นก็ต้องแปลกตา”

“ก่อนนี้ดิฉันบอกคุณเชิงพลอยไปว่าดิฉันใส่วิก”

“คืออะไรคะ?”

“คล้ายใส่ผมปลอมน่ะค่ะ แต่ดิฉันไม่แน่ใจว่าสมัยนี้มีร้านตัดผมหรือยัง ช่างจะใช้ผมปลอมครอบศีรษะให้กับคนที่ผมสั้นหรือหัวล้าน”

“เพื่อให้ดูว่าผมยาวใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ”

“อ้อค่ะ ฉันไม่ค่อยรู้นักดอกว่าร้านตัดผมมีมั้ย เพราะไม่ค่อยออกไปไหนกับใคร เวลาอยากตัดผม ก็ตัดกันเอง แต่เพื่อไม่ให้คนสงสัย ฉันว่าแม่รำเพยตัดให้สั้นเถอะ”

“คะ?” กะพริบตาปริบๆ

“จะได้เหมือนแม่กานพลูไง แม่กานพลูผมสั้นเหมือนๆ ฉันนี่แหละ”

“จำเป็นด้วยหรือคะ?” รำเพยพยายามยื้อความหวัง

“ฉันมองว่าจำเป็น ถ้าแม่รำเพยจะต้องอยู่ในบ้านนี้ ก็ไม่ควรทำตัวผิดแผกไปจากแม่กานพลู”

รำเพยกลืนน้ำลาย ใคร่ครวญแล้วจำต้องยอมรับว่าชไบนางพูดมีเหตุผล เธอจึงพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ...” ปลอบใจตัวเองว่าไม่นาน ผมของเธอก็คงยาวเหมือนเดิม

“งั้นฉันตัดให้...”

ชไบนางใช้เวลาไม่นานก็หั่นผมของรำเพยจนสั้นไม่ต่างจากผมของตัวเอง รำเพยลูบท้ายทอย รู้สึกเย็นหลังท้ายทอย เป็นครั้งแรกที่เธอตัดสั้นขนาดนี้

“ขอบคุณค่ะ” รำเพยอุบอิบว่า

ชไบนางยิ้ม มองออกว่ารำเพยเสียดาย “ไม่ต้องเสียดายไปดอก อีกประเดี๋ยวผมของแม่รำเพยก็ยาว คราวนี้แม่รำเพยจะไว้ยาวก็คงไม่มีใครสงสัย”

“ก็จริงของแม่ชไบนาง” ผ่อนลมหายใจอีกเฮือก

ชไบนางมองเอียงซ้ายเอียงขวา “ดูๆ ไปแม่รำเพยเหมือนกับแม่กานพลูจริงๆ นะ ถ้าไม่นับความเหนียมอาย ก็ไม่ต่างกันเลยจริงๆ”

“แม่กานพลู ไม่ใช่คนขี้อายหรือคะ?”

“ขี้อาย แต่หมายถึงเรื่องนุ่งผ้าแถบที่แม่กานพลูจะไม่เหนียมอายเหมือนแม่รำเพยอยู่อย่างนี้”

รำเพยยิ้มเจื่อนๆ เปลี่ยนเรื่องพูด “แม่ชไบนางเล่าเรื่องของแม่กานพลูให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ดิฉันอยากรู้เรื่องราวของเธอ เห็นกัปตันอองเดรบอกว่าชีวิตของเธอน่าสงสาร”

“แม่กานพลูเป็นลูกของแม่อบเชยกับนายใหญ่ ญาติห่างๆ ของแม่อบเชยนั่นแหละ ทั้งคู่เป็นบ่าวในบ้านนี้มานานแล้วล่ะ ใครๆ ก็ว่านายใหญ่หลงรักแม่อบเชย แล้วสุดท้ายก็แอบปล้ำจนเกิดเป็นแม่กานพลูนี่แหละ”

รำเพยนึกถึงที่มัคคุเทศก์เล่า ดูเหมือนว่าเป็นแผนการของคุณอุ่นเรือนที่ลวงให้หลวงพิภพเดชไปเห็นภาพบาดตาและเกิดความเข้าใจผิด ทั้งที่แท้จริงคนทั้งคู่ไม่มีอะไรกัน

“มีการไต่สวนไหมคะว่าเรื่องราวแท้จริงเป็นอย่างไร เพราะอาจไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเข้าใจก็ได้”

“พวกเขานอนด้วยกันโดยไม่มีผ้านุ่งสักชิ้น แบบนี้ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าไม่มีอะไรกัน”

“อาจจะเป็นการจัดฉากก็ได้”

“นายใหญ่พูดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ไม่มีใครเชื่อดอกแม่รำเพย คราวนั้นถูกโบยสาหัส ก่อนจะถูกขับออกจากบ้าน ส่วนแม่อบเชย ว่ากันว่าถูกใครๆ รังเกียจ โดยเฉพาะคุณพ่อมองว่าแม่อบเชยมีมลทิน ไม่คู่ควรกับท่านอีกต่อไป ท่านก็เลยไม่แยแส วันที่แม่อบเชยเสียชีวิตจากการคลอดลูก ว่ากันว่าคุณพ่อไม่ลงมาดูดำดูดีสักนิด จนแม่อบเชยตายไป ก็ไม่ได้สั่งลาใดๆ”

“น่าสงสารมาก” รำเพยพึมพำ “ทำไมไม่มีใครเชื่อ บางทีนายใหญ่อาจพูดความจริงก็ได้ค่ะ”

“สายไปแล้วล่ะ ตอนนี้แม่อบเชยตายไปแล้ว ส่วนนายใหญ่ก็ไม่รู้ไปไหนแล้วล่ะ”

รำเพยถอนหายใจ “น่าสงสัยว่าตั้งแต่เล็กจนโตกานพลูคงมีแต่แม่ชไบนางเป็นเพื่อนเล่น คนอื่นๆ คงรังเกียจ รุมกลั่นแกล้ง”

ชไบนางกล่าวว่า “ฉันยอมรับว่าชีวิตของแม่กานพลูน่าสงสาร ใครๆ ในบ้านไม่รัก คนอื่นได้เรียนหนังสือกับซินแส แต่แม่กานพลูกลับอ่านหนังสือไม่ออก ถูกคุณๆ ใช้งานงกๆ แถมยังถูกกลั่นแกล้งสารพัด จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็หลายหน”

“ทำไมไม่มีใครคิดช่วย หรือไม่ก็แจ้งตำรวจละคะ”

“โปลิศ(1) น่ะหรือคะ โธ่แม่รำเพย...” ชไบนางยังติดปากคำว่าโปลิศเหมือนกับคนเฒ่าคนแก่สมัยนั้น แม้คำว่าตำรวจจะเริ่มใช้กันแล้วในสมัยรัชกาลที่ ๕ “ใครๆ ก็รู้ว่าคุณพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวแต่เพียงในสายตาคนนอก แต่ความจริงเกรงใจคุณอุ่นเรือนเสียยิ่งกว่ากระไร คุณอุ่นเรือนคุมลูกเลี้ยงและบ่าวๆ ได้หมด ฉะนั้นไม่มีใครกล้าหือท่านหรอกนะ” ถอนหายใจก่อนพูดต่อ “แต่ก็นั่นแหละ หนนี้คุณพ่อก็ใจร้ายเกินไป”

“อย่างไรหรือคะ?”

“เห็นบ่าวพูดกันว่าที่แป้นผลักตกน้ำ ก็เพราะเป็นคำสั่งของคุณพ่อ แต่ก็น่าจะจริงนะ คุณพ่อเกลียดแม่กานพลู หาว่าเป็นลูกชู้ทุกคำ ฉะนั้นเรื่องนี้คงเกี่ยวพันกับคุณพ่อไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

“ท่านจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้เลยหรือ ทำไมไม่ถามให้รู้ความจริง บางทีท่านอาจไม่รู้เรื่องก็ได้”

“ถ้าไม่รู้ก็ดีไป แต่หนูตัวไหนล่ะจะกล้าเอากระพรวนไปผูกคอแมว”

รำเพยอึ้ง ชไบนางเปรียบเปรยว่าการเอ่ยปากถามหลวงพิภพเดโช ไม่ต่างจากการรนหาเรื่อง

“ประเดี๋ยวแม่รำเพยเจอคุณพ่อ ก็คงได้รู้เองว่าท่านเป็นคนเยี่ยงไร บางทีแม่รำเพยอาจอยากถามด้วยปากของตัวเอง” ชไบนางแสร้งพูด แล้วขยิบตาอย่างคนขี้เล่น

“โธ่...แม่ชไบนางเล่นบรรยายสรรพคุณมาซะขนาดนี้ใครล่ะจะอยากเข้าใกล้ ยิ่งรู้ว่าท่านใจคอโหดเหี้ยม ดิฉันก็ไม่มั่นใจว่าอยากจะเจอท่านมั้ย”

“ไม่เจอไม่ได้ดอกแม่รำเพย อย่างไรก็เป็นหน้าที่ของแม่รำเพยที่จะต้องไปเจียนหมากพลู มวนบุหรี่ให้คุณพ่อ หาไม่แล้วคุณอุ่นเรือนจะมาต่อว่าได้”

รำเพยเลยต้องยิ้มเจื่อนๆ ทำใจดีสู้เสือ ไม่ทันตอบอะไรมากกว่านั้นเมื่อมีเสียงบอกกล่าวขึ้นที่ประตู

“พี่กานพลู คุณพ่อให้มาตาม”

รำเพยเหลียวไปมอง เด็กที่กำลังร้องบอกธุระอายุประมาณ ๑๐ ขวบ มีผมจุกยาวกลางศีรษะ หน้าตาจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตา

คนโบราณเชื่อว่า บริเวณกระหม่อมของเด็กบอบบาง จึงต้องเกล้าผมจุกไว้กลางกระหม่อม เพื่อป้องกันอันตราย ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือโรคภัยต่าง ๆ ออกจากตัวเด็ก รวมถึงเพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย โดยมักเริ่มไว้จุกเมื่อมีอายุได้ ๔-๕ ปี และเมื่อมีอายุได้ราว ๑๑-๑๓ ปี ก็จะโกนจุก และไว้ผมตามปกติตามสมัยนิยม

ชไบนางถามว่า “รู้หรือเปล่าเรื่องอะไร”

“คุณพ่อไม่ได้บอกค่ะ” แม่หนูน้อยตอบสั้นๆ แล้ววิ่งผละไป

ชไบนางหันมาบอกว่า “แม่หนูคนนี้ชื่ออังกอบ เป็นลูกสาวของแม่กิ่งพิกุล”

รำเพยพยักหน้า “หน้าตาน่ารักมาก แต่งตัว ไว้จุกเหมือนตุ๊กตาชาววัง”

คนฟังยิ้ม “เดี๋ยวพออายุ ๑๑ ขวบก็โกนจุกแล้วล่ะ เอาล่ะ...แม่รำเพยรีบไปหาคุณพ่อเถอะ ประเดี๋ยวท่านจะรอนาน”

“ดิฉันต้องไปบอกย่าแก้วก่อนไหมคะ ว่าหลวงพิภพฯ เรียกหา เดี๋ยวย่าแก้วจะรอเพราะท่านให้ดิฉันไปช่วยงานครัวค่ะ”

“ไม่ต้องหรอก ขึ้นไปหาคุณพ่อเลยเถอะ เดี๋ยวทางย่าแก้ว ฉันจะบอกให้เอง” แล้วชไบนางก็บอกทางเดินตรงไปยังห้องนั่งเล่นที่หลวงพิภพเดโชพักผ่อนอยู่



“หวัดดีจ้าแม่กานพลู”

รำเพยสะดุ้งสุดตัวเมื่อเดินเลี้ยวมุมตึก จู่ๆ ก็มีวงแขนหนากระตุกเอวเพื่อคว้าตัวไปกอด ปฏิกิริยาเป็นไปอย่างอัตโนมัติ รำเพยหมุนตัวจับอีกฝ่ายทุ่ม เกิดเสียงพลั่กพร้อมเสียงร้องโอดครวญตามมา

“ขอโทษค่ะ ดิฉันตกใจ” รำเพยรีบขอโทษขอโพยเมื่อเห็นอีกฝ่ายลงไปนอนจุก

“แม่กานพลูเล่นอะไรนี่ กระดูกกระเดี้ยวหักหมดแล้ว”

“คุณเข้าถึงตัวดิฉันก่อน ดิฉันตกใจก็เลย...”

“ตกใจก็เลยจับผมทุ่มนี่นะ” ฝ่ายนั้นสวนกลับมาทันควัน

รำเพยยิ้มเจื่อนๆ ไม่ทันตอบ ก็มีเสียงดังขึ้นราวฟ้าผ่าทางด้านหลัง

“เป็นอะไรนายพี ทำไมลงไปนอนเอ้งเม้งแบบนั้น”

รำเพยเหลียวขวับไปมอง เจ้าของเสียงทรงพลังอยู่ในวัย ๒๐ ตอนปลาย นุ่งโจงและคาดผ้าแถบลายพื้น หน้าตาสะสวยแต่แววตาดุ รำเพยเห็นแล้วรู้สึกหวาดหวั่นแปลกๆ

ฝ่ายที่ล้มอยู่ตอบว่า “มะไม่มีอะไรจ้ะแม่ ผมลื่นล้ม”

“ไม่เป็นอะไรก็รีบลุกขึ้นได้แล้ว บ่าวมาเห็นเข้าจะน่าเกลียด” ตอบแล้ว ตวัดสายตาไปทางรำเพย “หล่อนไม่ได้เป็นอะไรรึ เห็นแป้นบอกฉันว่าหล่อนตกน้ำ”

ยามนั้นรำเพยยังนึกไม่ออกว่าคนที่ทักเป็นใคร เธอจึงตอบกลับไปอย่างสุภาพว่า “ค่ะตกน้ำ แต่ปลอดภัยดี”

“ดวงแข็งว่างั้นเถอะ” ตอบแล้วมองอย่างหมิ่นๆ “รีบเข้าไปหาคุณพ่อ เสร็จแล้วจะได้ไปช่วยย่าแก้วเตรียมสำรับ ค่ำนี้กัปตันอองเดรจะอยู่ทานมื้อค่ำด้วย”

“ค่ะ” รำเพยตอบอย่างนอบน้อม เธอเดินห่างออกมาเล็กน้อย ได้เสียงพูดคุยทางด้านหลัง

“นี่นายพี แม่บอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าไปทำก้อร้อก้อติกกับแม่กานพลู”

“ผมเปล่า”

“ยังจะเปล่าอีก แม่เห็นนะว่าพีจะคว้าแม่นั่นมากอด แม่สั่งห้ามเลยนะ...จะเอาบ่าวคนไหนมาทำนางบำเรอ แม่ไม่ว่า แต่ห้ามเป็นแม่กานพลูเด็ดขาด”

“ทำไมล่ะจ๊ะแม่ ผมรักแม่กานพลูแม่ก็รู้”

แล้วคนเป็นแม่จะตอบอย่างไร รำเพยก็ไม่ได้ยินอีกเพราะเธอเดินจากมาไกลแล้ว รำเพยผ่อนลมหายใจ รู้เลยว่ากานพลูอยู่ในบ้านนี้อย่างไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย และนั่นหมายความว่าเธอเองก็ต้องระมัดระวังให้จงหนักด้วย



“เข้ามาสิกานพลู”

หลวงพิภพเดโชกล่าวขึ้นเมื่อเห็นรำเพยด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ประตูราวกับล้าละลัง ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเข้ามาดีหรือไม่ดี เมื่อได้ยินคำอนุญาตฝ่ายนั้นก็คลานเข่ามาทรุดนั่งตรงหน้า

“ขึ้นมานั่งที่เก้าอี้สิ” หลวงพิภพเดโชเอ่ยอนุญาต

“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันนั่งแบบนี้ก็สบายดีแล้ว”

รำเพยบอกไม่ถูกว่าเพราะอะไรทำให้เธอพินอบพิเทาหลวงพิภพเดโชเป็นพิเศษ อาจเพราะลักษณะอย่างเจ้าขุนมูลนายที่เห็นออกชัดเลยทำให้เธอไม่กล้าตีเสมอ เธอไม่กล้าแม้กระทั่งเงยหน้าสบตาด้วยซ้ำ จึงได้แต่มองปลายเท้าของผู้ปกครอง ขณะที่หลวงพิภพเดโชยังคงจ้องรำเพยไม่คลาดสายตา ไม่ต่างจากอองเดรที่จับตามองไม่ขาดระยะ อองเดรสังเกตเห็นว่าหญิงสาวตัดผมสั้นเรียบร้อยแล้ว ยิ่งทำให้ดูไม่ต่างจากกานพลู รำเพยอยู่ในชุดแต่งกายรัดกุมในชุดผ้าโจง คาดผ้าแถบและห่มสไบ กิริยาของหญิงสาวยามคลานเข่ามานั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าหลวงพิภพเดโชนั้น ดูนุ่มนวลเนิบช้าอย่างน่าชื่นชม เธอเพิ่งหลุดมาในยุคของเขาไม่นาน แต่กลับทำตัวได้อย่างกลืมกลืน

“ผมบอกคุณหลวงแล้วกานพลูไม่ได้เป็นอะไร” อองเดรเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

หลวงพิภพเดโชพยักหน้ารับรู้ “ก็เห็นใครๆ บอกว่ากานพลูไม่โผล่ ผมก็คิดว่าจมน้ำไปแล้ว

รำเพยค่อยๆ เงยหน้ามอง “คุณหลวง” เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ปราศจากความรู้สึกนั้น หลวงพิภพเดโชนั่งอยู่บนโซฟาไม้แกะสลักลวดลายจีน เขาอยู่ในวัย ๓๐ ปลายๆ นุ่งโจงสีเขียวใบตอง เสื้อแขนกระบอกยาวจดศอกสีขนนกพิราบ มีใบหน้าหล่อเหลาคมสันแต่ดูดุดัน อาจเพราะไว้หนวดเครา ปากแดงเพราะกินหมาก มือขวาคืบบุหรี่ยาวลักษณะคล้ายซิการ์ของคิวบา มีกลิ่นหอมของใบตองแห้งและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ แล้วเสี้ยววินาทีต่อมารำเพยก็ต้องชะงักตัวแข็งทื่อ นึกออกแล้วว่าเป็นกลิ่นเดียวกับที่เธอได้กลิ่นตอนที่กำลังเดินชมพิพิธภัณฑ์บ้านเจ้าสัวกิมแห่งนี้ และเป็นกลิ่นเดียวกับที่เธอได้กลิ่นมาตลอดช่วงเกือบ ๒ เดือนที่ผ่านมา!!

ยามนั้นรำเพยยังขบคิดไม่ตกว่ากลิ่นนี้จะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ที่เธอหลุดมาในโลกอดีตนี้หรือไม่อย่างไร แต่ที่แน่ๆ เธอเชื่อว่าฟ้าเบื้องบนคงมีเหตุผลอะไรบางประการถึงได้ส่งเธอมายังที่นี่!!

“เธอตกน้ำ แต่ผมช่วยไว้ได้ทัน” อองเดรตอบ

รำเพยเงยหน้ามองอองเดรซึ่งนั่งบนเก้าอี้ไม้ติดกับหลวงพิภพเดโช เขาเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าแห้งเรียบร้อยแล้ว โดยนุ่งโจง สวมเสื้อแขนกระบอกเหมือนผู้เป็นเจ้าของบ้าน เดาว่าหลวงพิภพเดโชคงสละชุดให้เขาเปลี่ยน

“เจ้าตกน้ำตกท่าได้อย่างไร” หลวงพิภพเดโชหันมาถามเธอ

“ดิฉันไม่แน่ใจ อารามตกใจเลยจำเหตุการณ์อะไรไม่กระจ่างนัก แต่เห็นใครๆ บอกว่ามีคนอยากให้ดิฉันตาย”

“อะไรนะ?” หลวงพิภพเดโชย้อนถามเสียงสูง

“ก็ดิฉันเป็นลูกชู้ ใครหลายคนเลยอาจไม่ปลื้ม”

“นี่กานพลู เจ้าท้าทายข้ารึ”

“ดิฉันเปล่าท้าทาย แต่พูดไปตามเนื้อผ้า เห็นใครๆ ชอบย้ำว่าดิฉันเป็นลูกชู้”

หลวงพิภพเดโชชี้นิ้วมาที่เธอ ปากคอสั่น “เจ้าหมายความว่ากระไร พูดออกมาให้ชัด”

อองเดรรีบแทรกขึ้นก่อนที่รำเพยจะทันได้ตอบ “แม่กานพลูคงช็อกจากการตกน้ำ อย่าถือสาเธอเลยครับ ผมว่าปล่อยให้เธอไปพักผ่อนดีกว่า”

“กัปตันก็ได้ยินอยู่ว่ากานพลูพูดจาเลอะเลือนแค่ไหน”

“เธออาจเพลียแล้วก็ยังช็อก” อองเดรพยายามไกล่เกลี่ย คาดไม่ถึงเหมือนกันว่ารำเพยจะกล้าโพล่งออกมาตรงๆ แบบนั้น

“ดิฉันเปล่าช็อกหรือพูดจาเลอะเลือน อีกอย่างดิฉันสบายดี อยากมาช่วยเจียนหมากเจียนพลูให้คุณพ่อมากกว่า” รำเพยพูดด้วยจังหวะเนิบช้าแต่ชัดถ้อยชัดคำ น่าแปลกที่ยามนั้นเธอไม่ได้รู้สึกกลัวหลวงพิภพเดโชอีกต่อไป ใจมีแต่อยากทำความรู้จักให้มากขึ้น เธออยากรู้เหมือนกันว่าทำไมหลวงพิภพเดโชถึงใจคออำมหิตสั่งฆ่าได้แม้กระทั่งลูกสาวของตัวเอง แรกๆ เธอเชื่อตามคำเล่าของมัคคุเทศก์ แต่พอมาได้ยินคำพูดคำจาของหลวงพิภพเดโช เธอเริ่มเอนเอียงไปทางคำบอกเล่าของผู้คนในยุคนี้โดยไม่รู้ตัว

หลวงพิภพเดโชขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดคำจาที่ฉะฉาน ด้วยว่าแต่ไหนแต่ไรมาลูกชู้คนนี้จะเข้าลักษณะกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าตอบหรือมองหน้าเขาตรงๆ แต่คราวนี้เธอกลับสู้หน้าเขา แถมยังไม่มีท่าทีกลัวเกรง แล้วหลวงพิภพเดโชก็ชะงัก เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ากานพลูมีใบหน้าสะสวยยิ่งนัก ดูจะสวยยิ่งกว่าอบเชยด้วยซ้ำ

อืม...ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงไม่ประจักษ์ความจริงข้อนี้?

--------------------------------

(1) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๐๓-๒๔๗๕ มีการปฏิรูปการปกครองขนานใหญ่ทุกๆ ด้าน ตามแบบอย่างอารยประเทศตะวันตก เริ่มปรากฏหลักฐานว่า ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๐๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ครุฑ) เป็นแม่กอง รับผิดชอบกองโปลิศ (กรมกองตระเวน) ขึ้นครั้งแรก โดยจ้างชาวพม่า อินเดีย สิงคโปร์ เริ่มทำงานครั้งแรกที่ย่านตลาดพาหุรัด ในพระนคร







Create Date : 14 ตุลาคม 2558
Last Update : 14 ตุลาคม 2558 23:15:24 น.
Counter : 1034 Pageviews.

7 comments
  
ห่างหายไปนานมาก...จนเกือบจะลืม...ขอบคุณมากที่มาอัพให้ได้อ่านต่อค่ะ
รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ
โดย: ดอกฝิ่น IP: 119.63.78.248 วันที่: 15 ตุลาคม 2558 เวลา:15:14:10 น.
  
สู้ๆๆ นะนู๋รำเพย
โดย: sakeena IP: 125.24.215.94 วันที่: 15 ตุลาคม 2558 เวลา:16:19:35 น.
  
คุณหลวงกับคุณอุ่นเรือนอายุน้อยจังสามสิบกว่ากับยี่สิบกว่า
โดย: mimny วันที่: 20 ตุลาคม 2558 เวลา:19:36:06 น.
  
เคยอ่านเจอเหมือนกันค่ะว่าสมัยก่อนคนนิยมใส่สีตามวันค่ะ "สีโศก" คนรุ่นใหม่น่าจะไม่รู้จักแล้วนะคะ ได้มีโอกาสอ่านฟื้นความจำคนรุ่นเก่าแล้วรู้สึกดีค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ
โดย: พี่สุ...จ้า IP: 171.96.185.113 วันที่: 5 พฤศจิกายน 2558 เวลา:21:22:45 น.
  
ไม่อัพแล้วหรา
โดย: sakeena IP: 125.25.184.83 วันที่: 22 มีนาคม 2559 เวลา:15:50:28 น.
  
อัพค่าาาา แอบสุ่มปั่นงานโปรอยู่ค่า รออีกแป๊บน้าค่าคุณ sakeena คนสวย จุ๊บๆๆขอบคุณที่ยังคิดถึงกันค่า
โดย: คณิตยา วันที่: 24 มีนาคม 2559 เวลา:17:54:19 น.
  
ดีจ้า มาทักทายนะจ้ะ sinota ซิโนต้า Ulthera สลายไขมัน SculpSure เซลลูไลท์ ฝ้า กระ Derma Light เลเซอร์กำจัดขน กำจัดขนถาวร รูขุมขนกว้าง ทองคำ ไฮยาลูโรนิค Hyaluronic คีเลชั่น Chelation Hifu Pore Hair Removal Laser freckle dark spot cellulite SculpSure Ultherapy กำจัดไขมัน adenaa ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ สักคิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: สมาชิกหมายเลข 4061181 วันที่: 25 สิงหาคม 2560 เวลา:16:52:04 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments