Group Blog
โพลล์สอบถาม...สนใจสั่งจอง"ทางสายหมอก"


สวัสดีค่ะ


ยังจำเรื่องทางสายหมอก กันได้ไหมคะ?


สืบเนื่องจากมีคนอ่านติดต่อขอซื้อทางสายหมอกเข้ามาเป็นระยะๆ แต่อุ๋ยไม่มีสต็อกเรื่องนี้อยู่เลย เลยมาทำประชาพิจารณ์สอบถามเพื่อนๆ ว่า ถ้าอุ๋ยรีปริ้นต์ทางสายหมอกในรูปเล่มสวยงาม ในต้นฉบับเดิมก่อนการเกลาฉากเลิฟซีนและเพิ่มบทพิเศษของคู่เอียน ทุกคนสนใจจะสั่งจองหรือไม่? ถ้าความสนใจและยอดจองเกินกว่า 500 คน อุ๋ยถึงจะจัดพิมพ์ เพื่อนๆ สนใจกันบ้างไหมคะ? รบกวนโหวตความสนใจตามความจริง ป.ล.ที่ตั้งวอลลุ่ม 500 คน ไม่ใช่ 100 หรือ 300 คน ก็เพื่อว่าราคาหนังสือ จะได้ไม่สูงนัก

รบกวนลงชื่อที่บล็อกเพจนี้ หรือแฟนเพจนี้ ค่ะ Kanittaya/Keetacha

ขอบคุณค่ะ
คณิตยา/คีตฌาณ์








Create Date : 24 มิถุนายน 2556
Last Update : 24 มิถุนายน 2556 21:27:36 น.
Counter : 965 Pageviews.

8 comment
ทางสายหมอก...บท 4
lozocatlozocat


พันไมล์ดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนเขา แต่เพราะเหนื่อยจากการเดินเขามาตลอดห้าชั่วโมงมันทำให้เธอไม่มีแรงผลักเขา ท้ายสุดจึงทำได้เพียงยืนเม้มริมฝีปากแน่น

เอียนไซ้จมูกและริมฝีปากทั่ววงหน้า ก่อนจะมาหยุดที่ริมฝีปากสีชมพูสดนิ่งนาน เขาหยุดสำรวจด้วยริมฝีบากนานจนพอใจแล้ว จึงผละเงยหน้า แววตาอ่อนเชื่อมเมื่อเอ่ยว่า

“เมล่า- -ผมรักคุณ”

พันไมล์ตกตะลึง กะพริบตาเรียกสติกลับคืนมาแล้วจึงเงยหน้า สบตาอีกฝ่ายด้วยสายตาว่างเปล่า “คุณพูดคำว่ารักออกมาง่ายๆ ได้ยังไงกันเอียน ในเมื่อคุณแทบไม่รู้จักฉันเลย”

“ความรักไม่ต้องการเวลา คุณไม่เคยได้ยินคำว่ารักแรกพบหรอกหรือ..เมล่า”

“ฉันเลิกอ่านนิยายรักหวานแหววตั้งแต่อายุสิบเจ็ดแล้ว” พันไมล์พูดเสียงเหยียด

“คุณพูดเหมือนฝังใจเจ็บกับความรัก? คุณเคยอกหักหรือเมล่า”

เอียนยกมือกอดอก ตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ อารมณ์ดีถึงขนาดเอื้อมมือไปเกลี่ยข้างแก้มหญิงสาวอย่างต้องการให้ความอบอุ่นแกมล้อเลียนอยู่ในที

พันไมล์รีบถดตัวหนี “มันเรื่องส่วนตัวของฉัน”

เอียนหัวเราะ “แสดงว่าคุณเคยอกหัก” เอียนตีขลุมคำตอบอีกฝ่ายหน้าตาเฉย แววตาจริงจังขึ้นเมื่อเอ่ยว่า “ใครนะผู้ชายโชคดีและโง่ในคราวเดียวกันคนนั้น เขาไม่รู้เลยหรือไงว่าปล่อยเพชรในมือ”

“ฉันยังไม่ได้พูดว่าเคยอกหัก” พันไมล์กัดฟันตอบ

เอียนหัวเราะ “งั้นรับรักผมเป็นคนแรกได้ไหม?”

พันไมล์ชะงัก “คุณมันช่างตีขลุม เจ้าเล่ห์และเจ้าชู้อย่างร้ายกาจเอียน ใครได้เป็นแฟน โชคร้ายไปสิบชาติแน่”

เอียนหัวเราะอย่างชอบใจ ไม่ได้โกรธกับคำพูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันของเธอนั่น ยังมองตามหลังด้วยรอยยิ้มเมื่อเจ้าตัวพูดจบก็หยิบเสื้อโคทยัดมือเขา ก่อนจะเดินข้ามลำธาร ตรงไปยังเบสแคมป์ Grahan ทันที

เอียนหัวเราะหึๆ

แล้วเราได้เห็นดีกันแน่ มายโซนียา<1>


เบสแคมป์ Grahan เป็นเบสแคมป์ที่ตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวขจี แวดล้อมด้วยป่าและไกลออกไปสุดสายตาคือเทือกเขาสูงตระหง่านปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ช่วงที่พันไมล์เดินไปถึงเบสแคมป์ พบว่าทุกคนนั่งจิบเครื่องดื่มร้อนๆ อยู่ก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่หรือหัวหน้าแคมป์เข้ามาสัมผัสมือทันทีที่เธอเดินเข้าไปใกล้ เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วแจกน้ำบุรานสีแดงเป็น welcome drink ตามมาด้วยไจ ขนมว่างและซุปมะเขือเทศร้อนๆ

ถึงเวลาหกโมงครึ่ง หัวหน้าแคมป์ก็เรียกทานข้าวเย็น แม้จะเป็นเวลาใกล้พลบค่ำทว่าบนเทือกเขาแห่งนี้ยังคงมีแสงอาทิตย์เจิดจ้า หลังทานอาหารเย็นทุกคนนำกล่องข้าวไปล้างยังลำธารด้านล่างแคมป์ซึ่งต้องเดินลงไปประมาณห้าสิบเมตร บนแคมป์สูง 7,700 ฟุตแห่งนี้ไม่มีอ่างล้างจานอย่างเบสแคมป์ Kasol ทุกคนจึงได้รับคำแนะนำจากหัวหน้าแคมป์ว่าให้ล้างจานด้วยดินดำแถบนั้น ซึ่งมีคุณสมบัติขจัดความมันได้ หลังช้อนดินดำมาถูๆ กล่องข้าว พันไมล์พบว่ามันสามารถขจัดความมันจากแกงดาลได้จริงๆ

ด้วยเหตุที่ลำธารเป็นแหล่งน้ำเพียงแหล่งเดียวของแคมป์ Grahan และอยู่ห่างกับตัวแคมป์ค่อนข้างมาก ห้องน้ำซึ่งสมาคมฯ สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ จึงไม่มีน้ำใช้ หากต้องการใช้น้ำก็ต้องแบกขึ้นมาจากลำธารซึ่งเป็นไปได้ยาก ฉะนั้นทุกคนจึงต้องใช้ทิชชูเปียก แล้วทุกคนก็ทยอยกันอาบน้ำ จากนั้นจึงทำกิจกรรมแคมป์ไฟเป็นลำดับสุดท้าย จนถึงเวลาสี่ทุ่มจึงแยกย้ายเข้านอน อากาศหนาวจัดเนื่องจากอุณหภูมิติดลบสิบกว่าองศา ทำให้ถุงนอนที่สมาคมฯ เตรียมไว้ให้ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ทุกคนรื้อเสื้อกันหนาวที่มีอยู่มาสวมเพิ่ม<2> หลายคนเริ่มบ่นปวดกล้ามเนื้อ พันไมล์จึงหยิบยาคลายกล้ามเนื้อที่เตรียมมาแจกจ่ายให้ทุกคน แล้วจึงจัดแจงนอนพาดขากับเป้เพื่อบรรเทาอาการบวมที่เกิดจากการเดินบนเขาสูง<3>

พันไมล์พยายามข่มตาหลับ แต่อากาศที่หนาวจัดทำให้เธอไม่อาจข่มตาหลับได้ ทั้งที่เหนื่อยและอ่อนเพลียจากการเดินเขามาตลอดทั้งวัน พลิกตัวกลับไปกลับมาใต้ถุงนอน จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเธอจึงหลับผล็อยได้ในที่สุด

แล้วนิทรารมณ์คืนนั้น เธอก็ฝันร้ายอีกครั้ง..


‘อะไรนะคะ’ พันไมล์ถามเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อราฆพพาเด็กชายวัยสามขวบมาแนะนำว่าเป็นน้องชายเธอในเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ราฆพและภัทราแต่งงานไปได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว

‘พ่อบอกว่านี่ภูไมล์- -น้องชายของลูก จะย้ายมาอยู่กับพวกเราตั้งแต่วันนี้’

‘ภูไมล์?’ พันไมล์ทวนคำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ตามองเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้ม วัยขนาดซนในอ้อมแขนภัทราแวบหนึ่งก่อนตวัดสายตากลับไปมองคุณราฆพ

‘นี่หมายความว่าพ่อมีลูกกับภัทราตั้งแต่สามปีที่แล้ว- -ตั้งแต่ยังไม่หย่ากับแม่ใช่ไหม’ พันไมล์ถามน้ำเสียงบึ้งตึง ใบหน้าติดจะบิดเบี้ยว

‘พ่อก็บอกแล้วว่าพ่อกับแม่แกระหองระแหงมานานแล้ว’

‘แล้วพ่อก็เลยเอาเป็นข้ออ้างไปเล่นชู้กับภัทราจนมีลูกนอกสมรสคนนี้ใช่ไหม’

‘เพียะ’ ราฆพตวัดฝ่ามือลงบนแก้มใสของเด็กสาวในทันทีที่เธอพูดจบ ภาพนั้นทำให้ภัทราหน้าเสียด้วยเธอร้องห้ามไม่ทัน ได้แต่อ้าปากค้าง

‘ภูไมล์ไม่ใช่ลูกนอกสมรสของฉัน แกเป็นลูกแท้ๆ ที่ฉันรับรองถูกต้องตามกฎหมาย’ ราฆพมองเด็กสาวด้วยแววตาร้อนแรง ด้วยนับวันลูกสาวเขาก้าวร้าวขึ้นทุกวัน ตั้งแต่เขาตบแต่งกับภัทราและพาเข้ามาอยู่ในบ้าน เด็กสาวก็ไม่เคยอ่อนข้อให้เขาหรือภัทราเลย

แววตาของราฆพทำให้พันไมล์หนาวยะเยือก ด้วยเป็นแววตาที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน!

พันไมล์กุมแก้ม ใบหน้าแดงก่ำ เธอเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อสะบัดหน้ากลับมามองราฆพ ‘จะแก้ตัวยังไงพ่อก็หนีความจริงไม่ได้หรอกว่าพ่อทำร้ายแม่ พ่อทำร้ายเราด้วยการเป็นชู้กับภัทรา’

‘แกไปเลยนะพันไมล์ ก่อนที่ฉันจะมุโทสะไปมากกว่านี้’ ราฆพกำหมัดแน่น อย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์

ภาพนั้นทำให้พันไมล์เหลือบมองกำปั้นข้างตัวของราฆพอย่างอัดอั้นตันใจ เงยหน้ากัดริมฝีปากก่อนจะตวัดสายตาไปมองภัทราด้วยแววตาร้อนแรงอาฆาตแค้น แล้วจึงวิ่งผละขึ้นบันได

‘ลูกไม่เข้าใจผม’ ราฆพเซไปทรุดนั่งบนโซฟายาว เมื่อเด็กสาววิ่งหายลับขึ้นบันไดไปแล้ว

ภัทรามองใบหน้าอ่อนระโหยของสามี อยากจะเอ่ยปากตำหนิเรื่องที่เขาตบหน้าพันไมล์แต่เมื่อเห็นแววตาเหมือนสำนึกผิดของเขา เธอก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจ

‘ปล่อยแกไปก่อนค่ะ วันนี้เรื่องมันยังใหม่ แกถึงยังทำใจไม่ได้ ให้เวลาแกอีกนิด ฉันเชื่อว่าแกจะเข้าใจคุณเข้าใจเรา’

‘แล้วเมื่อไหร่ล่ะคุณภัทร กว่าจะถึงวันนั้นผมมิต้องตายไปก่อนหรือ’ ราฆพพูดเสียงเครือๆ ‘ไม่รู้สิผมรู้สึกว่าระหว่างผมกับลูกนับวันจะมีแต่ห่างเหินกันไปเรื่อยๆ ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลยนะคุณภัทร ผมเลี้ยงแกมาตั้งแต่เล็ก รักแกไม่ต่างจากภูไมล์’

‘ฉันเชื่อค่ะว่าคุณรักแก ไม่ยังงั้นคุณจะตั้งชื่อลูกเรามีคำว่าไมล์ด้วยหรือคะ’ ภัทรายิ้มอย่างเย้าๆ

‘แต่คุณก็ตั้งชื่อลูกเรามีคำว่าภู’

‘แหม เหมือนกันที่ไหนละคะ นั่นน่ะลูกชายแท้ๆ ของภัทรนะคะ’

ทั้งคู่ยังคงปรับทุกข์และปลอบโยนกันไป ในขณะที่พันไมล์วิ่งขึ้นไปทุ่มตัวฟุบหน้าสะอื้นกับหมอน ร้องไห้จนพอใจแล้วจึงควานมือหาโทรศัพท์ไร้สายบนหัวเตียงโทรหาพาเมล่า ระหว่างที่กดหมายเลขโทรศัพท์ คำพูดของผู้เป็นแม่เธอก็แว่วเข้ามาในหูว่า

‘ฉันพยากรณ์ไว้เลยนะยัยไมล์ วันดีคืนดีพ่อแกจะเอาแม่ใหม่ เข้าบ้าน เผลอๆจะเอาลูกที่แอบไปหยอดทิ้งไว้มาอยู่ด้วยกับแก’

พันไมล์สะอื้นอย่างเจ็บปวด มือกดหมายเลขโทรศัพท์ผิดๆ ถูกๆ กระทั่งมีเสียงปลายสายตอบรับ สัญญาณโทรศัพท์

‘ฮัลโหล’

ชะงักเมื่อพบว่าเสียงปลายสายเป็นผู้ชาย พันไมล์กำกระบอกโทรศัพท์แน่น คำถามอื้ออึงวิ่งวนอยู่ในใจ แม่- -ซึ่งหย่าขาดกับพ่อได้ไม่ถึงสองเดือนมีผู้ชายอยู่ในบ้าน..และในเวลากลางค่ำกลางคืนด้วย

‘ฮัลโหล- -ฮัลโหล?’

เสียงปลายสายยังคงตามมา

‘...’

‘โครโทรมาน่ะคุณชล’

‘ไม่รู้สิ โทรมาไม่ยอมพูด ไม่ขึ้นชื่อด้วยว่าเป็นเบอร์ใคร’

‘ไหนขอพาดูเบอร์หน่อยสิคะ คงไม่ใช่แม่หนูอายลูกสาวคนโปรดของคุณโทรมากวนประสาทพาหรอกนะคะ’

พันไมล์รีบตัดสายทิ้งเมื่อได้ยินพาเมล่าพูดว่าขอดูหมายเลขโทรศัพท์ที่ขึ้นหน้าจอ วางโทรศัพท์บนแป้นแล้ว ก็ซบหน้าสะอื้นกับฝ่ามือ

พันไมล์หน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทิ้ม

พระเจ้า! แม่หย่าขาดกับพ่อไม่ถึงสองเดือน แต่มีผู้ชายคนใหม่เข้ามาอยู่ในบ้าน ขณะที่พ่อเธอแต่งงานใหม่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็พาลูกนอกสมรสวัยสามขวบมาแนะนำ

แสดงว่าคนทั้งคู่เล่นไม่ซื่อพอๆ กัน!

แล้วชู้ของแม่.. พันไมล์หนาวยะเยือกเมื่อนึกภาวนาว่าขออย่าให้คุณชลและแม่อายที่แม่เธอพูดถึงเป็นคุณชลธีและอาทิตยา- - สองพ่อลูกคู่นั้นเลย

ภาวนาว่าขอแค่ความบังเอิญที่มีชื่อไปพ้องกัน!

แล้ววงหน้าใสที่โผล่พ้นง่ามนิ้วมากระทบแสงไฟนั้น ซีดขาวจนน่าตกใจ แววตาคู่สวยสีน้ำตาลเข้ม แห้งผากอย่างน่าใจหาย

สะท้อนจิตใจที่กำลังแตกยับไม่มีชิ้นดี!


จากเบสแคมป์ Grahan ไปยังเบสแคมป์ Bara Thach เริ่มต้นในเวลาหกโมงเช้าด้วย bed tea หรือชาที่เจ้าหน้าที่นำมาเสิร์ฟถึงเต็นท์นอนเหมือนเช่นทุกเช้า ทุกคนส่งแก้วต่อๆ กันให้คนที่อยู่ริมหน้าสุดรับไจจากเจ้าหน้าที่ อากาศเย็นยะเยือกจนไม่มีใครนึกอยากลุกออกจากถุงนอน ทุกคนจึงจิบไจในถุงนอน อิดออดกันพักใหญ่แล้วจึงเดินกันไปล้างหน้าแปรงฟันยังคูน้ำซึ่งอยู่ห่างจากเต็นท์ไม่ถึงสิบเมตร ทางน้ำเล็กๆ กว้างไม่ถึงสองคืบข้างหน้า เจ้าหน้าที่ทำไว้สำหรับลำเลียงน้ำไว้ปรุงอาหาร ส่วนน้ำอาบไม่ต้องพูดถึง นอกจากไม่มีแล้วหรือถ้าใครคิดจะอาบกันจริงๆ ก็ต้องลงไปยังลำธารเบื้องล่าง แต่อากาศติดลบกว่าสิบองศาอย่างนี้ คงไม่มีใครคิดอุตริเอาตัวไปแช่ก้อนน้ำแข็งแน่ เพราะขนาดยืนเฉยๆ ฟันยังกระทบกันกึกๆ มีไอหมอกออกจากปากตลอดเวลา

ตอนที่พันไมล์เดินไปถึงนั้น เพื่อนคณะหลายคนกำลังยืนแปรงฟันอยู่ใกล้ๆ คูน้ำ ต่างเงยหน้าขึ้นมาทักทาย พันไมล์ยิ้มทักทายตอบ

“มอร์นิ่งครับ”

เอียนเงยหน้าขึ้นจากการรองน้ำใส่ขวดชงเกลือแร่ เอ่ยทักหญิงสาว เมื่อพันไมล์มาถึงคูน้ำแล้ว

“เอาแก้วมาสิครับ เดี๋ยวผมรองน้ำให้”

“ไม่เป็นไร คุณทำธุระของคุณให้เสร็จเถอะ”

“ของผมเสร็จแล้ว เหลือแต่ชงเกลือแร่ น่า..ยื่นแก้วมาให้ผมเถอะครับ” เอียนไม่ยอมแพ้ ยื่นมือไปรับตรงหน้าพันไมล์ หางตาพันไมล์เริ่มเห็นหนุ่มและสาวอินเดียหลายรายเมียงมองมาอย่างสนใจ ใครที่สนิทสนมกับเอียนหรือเธอมากหน่อย ก็กล้าขนาดส่งเสียงแซว ดีที่พวกเขาแซวเป็นภาษาฮินดูไม่อย่างนั้น เธอคงอับอายไปมากกว่านี้

ก็เอียนน่ะไม่ได้สงวนท่าทีเลยว่าคิดยังไงกับเธอ มีโอกาสเมื่อไหร่เป็นต้องแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง

ตัดสินใจตัดปัญหา ด้วยการยื่นแก้วไปรองน้ำ จะได้เสร็จธุระไวๆ ไม่ต้องยืนเป็นเป้าสายตาใครอีก..

เอียนยกมือกอดอกมองผู้หญิงดื้อ..ที่ตัวเองพึงใจยิ้มๆ เช้านี้พันไมล์รวบผมเป็นมวยหลวมๆ เหนือศีรษะ อวดวงหน้าเรียวบอบบางและลำคอระหง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่สวยหลุบต่ำ เห็นเพียงแพขนตายาวทาบทับ จมูกโด่งงามและริมฝีปากบางกระจับซึ่งเขารู้รสแล้วว่าหวานแค่ไหนนั้นกำลังเหยียดเป็นเส้นตรง

แล้วเขาก็ไล่สายตาต่ำยังเนินอกอวบอิ่ม เอวคอดกิ่วไปจนจดเรียวขายาวภายใต้ชุดเสื้อไหมพรมหนากางเกงยีนส์

“อยากรู้ไหมว่าเพื่อนๆ เขากำลังพูดว่าไงเมล่า” เอียนถามยิ้มๆ

“ฉันถามพวกเขาได้ถ้าอยากรู้ ไม่จำเป็นต้องถามคุณ” พันไมล์ตอบโดยไม่มองหน้าเขา

เอียนหัวเราะอย่างชอบใจ ตอแยต่อว่า

“แต่ผมอยากบอก” เอียนพูดหน้าตาเฉย “พวกเขาบอกว่าคุณสวย ไม่แปลกหรอกที่ผมจะชอบคุณ”

เปล่าหรอก..ที่จริงแล้วภาษาฮินดูที่พวกมันพูดนั้น พวกมันด่าเขาว่ากำลังรุกพันไมล์มากเกินไปจนทำให้เธอกลัวต่างหาก ฉะนั้น สิ้นคำเขาจึงมีเสียงโห่จากเพื่อนๆ คำรบใหญ่

พันไมล์หน้าแดงก่ำกับคำพูดของเอียน เดินถือแก้วน้ำเลี่ยงไปทางกลุ่มหญิงอินเดีย แต่พอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จไม่ถึงเสี้ยววินาทีเสียงเอียนก็ตามมาตอแยอีก

“เมื่อคืนนอนหลับหรือเปล่า อากาศหนาวมาก แถมยังปวดเมื่อยจากการเดินทั้งวัน เต็นท์ชายของผมนอนไม่หลับไปหลายคน”

พันไมล์ถอนหายใจ “เอายาคลายกล้ามเนื้อไหมล่ะ ฉันพกติดตัวมาเยอะเมื่อคืนก็แจกผู้หญิงไปหลายคน”

“ได้ก็ดีครับ คืนนี้จะได้แจกเพื่อนๆ ในเต็นท์”

พันไมล์พยักหน้า ออกเดินนำตรงไปยังเต็นท์หญิง ถึงเต็นท์มุดเข้าไปควานหาถุงยา แล้วคลานกลับออกมายื่นให้เขาซึ่งยืนรออยู่หน้าเต็นท์

“ผมน่ายกตำแหน่งหัวหน้ากรุ๊ปให้คุณ เพราะคุณเตรียมอุปกรณ์มาพร้อมเหลือเกิน” เอียนล้อยิ้มๆ

“ฉันบอกแล้วว่าฉันเทรกกิ้งบ่อย” พันไมล์ตอบปัดๆ “แต่ถึงจะเทรกบ่อย ไม่ใช่เหตุผลคุณจะมายกกรุ๊ปลีดเดอร์ให้ฉันง่ายๆ เพราะฉันมาที่นี่เพื่อมาหาความสงบกลับมาอยู่กับธรรมชาติ หลีกหนีผู้คนวุ่นวาย ไม่ใช่..”

“มาคอยดูแลหรือบริการใคร..” เอียนต่อคำพูดอีกฝ่ายยิ้มๆ เมื่อเห็นเจ้าตัวไม่ยอมพูดต่อ

พันไมล์ไม่ตอบ

ภาพนั้นทำให้เกิดเสียง “อืม..” เอียนครางแล้วลูบคางท่วงท่าใช้ความคิด “ผมถามอะไรอย่าง” ถามแล้วไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายคิดนาน “คุณกำลังหนีอะไรมาหรือเปล่าเมล่า”

“ทำไมฉันต้องหนี”

“ไม่รู้สิ อาจเป็นแฟนอเมริกันของคุณมั้ง”

“บ้า..ฉันยังไม่มีแฟน” พันไมล์ตอบอย่างฉุนๆ

เอียนลอบยิ้ม

“งั้นจะรับพิจารณาผมเป็นคนแรกได้ไหม”

“คุณนี่มันช่างลดเลี้ยวจริงๆ เลย”

เอียนหัวเราะ “ผมจะถือว่านั่นเป็นคำชมครับ” เอียนโค้งศีรษะอย่างล้อเลียนแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่องว่า “ว่าแต่คุณลาพักร้อนกี่วันครับ”

“เกี่ยวอะไรด้วย” พันไมล์ฉงน

“ตอบมาก่อนสิครับ”

พันไมล์เมินหน้าจากใบหน้าคมคาย เมื่อเห็นแววตาออดอ้อนของเขา- -แววตาที่เหมือนใครคนหนึ่ง..

“เกือบเดือนค่ะ”

“อืม..เวลาถมเถ งั้นสนใจเป็นพรีเซนเตอร์โครงการบ้านจัดสรรของผมไหมครับ” เอียนพยายามหาทางใกล้ชิดผู้หญิงที่ตัวเองพึงใจ

พันไมล์ส่ายหน้าโดยไม่เสียเวลาคิด “ฉันไม่ชอบงานนางแบบโฆษณาค่ะ อีกอย่างตั้งใจว่าเสร็จจากเทรกกิ้งแล้ว จะกลับอเมริกาทันที เพราะอยากกลับไปใช้วันหยุดที่เหลือกับยายค่ะ”

“จะไม่รับข้อเสนอผมไปพิจารณาหน่อยหรือครับ งานโฆษณารับรองใช้เวลาไม่ถึงเดือน”

พันไมล์ส่ายหน้า “อย่าพยายามให้เสียเวลาเลยค่ะ” พันไมล์พูดแล้วก้มมองนาฬิกาข้อมือ “จะแปดโมงแล้วฉันขอตัวแพ็คเป้นะคะ”


แปดโมงเช้าเจ้าหน้าที่เรียกให้ทานอาหารเช้าและแพ็คข้าวกล่องสำหรับมื้อเที่ยง ก่อนจะออกเดินทางสู่แคมป์ Bara Thach ต่อไป

แคมป์ Bara Thach อยู่ห่างจากแคมป์ Grahan ประมาณหกถึงเจ็ดกิโลเมตร สูงขึ้นไปประมาณ 1,200 ฟุตหรือราว 8,900 ฟุตจากระดับน้ำทะเล เท่ากับว่าจากนี้ทุกคนมีโอกาสเสี่ยงต่อสภาวะแพ้ความกดอากาศบนเทือกเขาสูง

เส้นทางเดินเป็นป่าดิบชื้น บางช่วงต้องปีนเขาแต่ไม่ชันเท่ากับเมื่อวาน ตลอดทางเดินเห็นกอดอก Rhododendron ดอกไม้ป่า ตลอดจนน้ำตกไหลเป็นทางสวยงาม เดินมาถึงน้ำตกจุดที่สอง ฝนเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เอียนจึงประกาศให้ทุกคนหยุดเดิน หลบใต้ต้นไม้ ทุกคนรื้อเสื้อกันฝนมาสวมแต่กว่าครึ่งชั่วโมงที่หยุดพัก ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เอียนจึงตัดสินใจสั่งให้ทุกคนเดินหน้าต่อ

ตลอดทางเดินฝนตกไม่ขาดสาย ทำให้มองทิวทัศน์รอบตัวได้ไม่ชัดเจนนัก ยิ่งกว่านั้นต้องระวังทาง เพราะพื้นดินลื่น มีโอกาสเสี่ยงล้มตกไหล่เขาตลอดเวลา ระหว่างทางจากแคมป์ Grahan ไปยัง Bara Thach จึงแทบไม่มีภาพถ่าย เพราะฝนตกหนักจนไม่มีใครมีกะจิตกะใจคว้ากล้องออกมาถ่ายรูป ทุกคนต่างพร้อมใจกันเร่งเท้าเพื่อไปให้ถึงแคมป์ที่พักให้เร็วที่สุด

ฝนมาหยุดตกเมื่อบ่ายสองโมงกว่าๆ ใกล้ถึงแคมป์ ช่วงที่ลากเท้าปีนขึ้นไปบริเวณแคมป์ Bara Thach<4> พบว่าหัวหน้าแคมป์ยืนต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ต่างยื่นมืออกมาสัมผัส และแจกไจเป็น welcome drink ทุกคนดื่มไจแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า นำเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้ามาตากบนก้อนหินหลังเต็นท์ อากาศหนาวจัดจนฟันกระทบกันกึกๆ มีไอหมอกออกจากปาก ไม่น่าประหลาดใจนักเพราะบนแคมป์แห่งนี้อุณหภูมิติดลบถึงสิบห้าองศา

พันไมล์เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาเดินดูทิวทัศน์นอกแคมป์ รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นภูเขาเขียวขจีและตามไหล่เขามีธารน้ำแข็งเกาะสวยงามมาก ท้องฟ้าหลังฝนตกปลอดโปร่งจนเห็นยอดเขาสูงลิบปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน เป็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดกาลหรือที่เรียกว่า snow line อยู่รอบตัวเธอ ส่วนเบื้องล่างเป็นธารน้ำแข็งขนาดค่อนข้างกว้าง ธารน้ำแข็งแข็งจนเกาะกลุ่มคล้ายหินปูนสีขาว ใครคนหนึ่งลองบิขึ้นมาชิม

“รสชาติเป็นไงบ้าง”

“รสชาติเหมือนทราย”

พันไมล์ชะงักเมื่อเห็นว่าผู้ชายที่หันกลับมาตอบคือเอียน อีกฝ่ายตอบแล้วยืดตัวตรง เดินกลับมาหาหญิงสาว

“อากาศหนาวทำไมไม่พันผ้าพันคอ” เอียนถามแล้วดึงผ้าพันคอของตัวเองออกมาพันให้พันไมล์

พันไมล์หน้าแดง “ขอบคุณค่ะ แต่คุณใช้เถอะ ฉันยังไม่หนาว” พันไมล์ทำท่าดึงผ้าพันคอคืนเขา แต่เอียนวางมือทาบลงมาก่อน

“ดื้อ!” เอียนดุเธอเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ แล้วฉวยมือข้างนั้นมาคลึงในอุ้งมือ “มือเย็นเฉียบยังจะว่าไม่หนาวอีก”

พันไมล์สะดุ้งวาบเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านจากตัวเขามาตัวเธอ รีบกระตุกมือหนี ภาพนั้นจึงทำให้เอียนนิ่วหน้า ทำเสียงน้อยใจ

“เป็นอะไรเมล่า ทำไมทำเหมือนรังเกียจสัมผัสผม”

“ปละ..เปล่าค่ะฉันแค่รู้สึกเพลียๆ ขอตัวก่อนนะคะ”

พันไมล์ขอตัวแล้วผละจากมาทันที ในใจยังสะดุ้งวาบเมื่อถามตัวเองว่าปฏิกิริยาทางร่างกายเมื่อครู่เกิดจากอะไร ในเมื่อเธอไม่เป็นอย่างนี้มานานแล้วนับตั้งแต่เลิกกับภูผา อันที่จริงเธอไม่เข้าใจตัวเองตั้งแต่เขาคว้าเธอไปจูบเมื่อเย็นวานแล้วว่าทำไมเธอไม่ต่อต้านเขา?

เอาล่ะ ..เธออาจยกเหตุผลความเหนื่อยอ่อนมาเป็นข้ออ้างบอกใครต่อใครได้ ถ้ามีใครบังเอิญผ่านมาเห็นเข้า แต่เธอไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่า นั่นเป็นเพียงข้ออ้าง ลึกๆ ในใจแล้วเธอไม่อยากต่อต้านเขาจริงจังต่างหาก

แต่ว่า..เพราะอะไร? พันไมล์ถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจนัก



‘มีเวลาไปหาอะไรดื่มกันไหม ผมมีเรื่องคุยกับคุณ’

พันไมล์นิ่วหน้าเมื่อเงยหน้ามาเห็นภูผายืนกอดอก พิงขอบประตูขวางทางออกจากคลาส ก่อนหน้านี้เธอโอ้เอ้จัดหนังสือเพื่อถ่วงเวลาให้ภูผาและอาทิตยาออกจากห้องไป จังหวะที่เห็นว่าทุกคนออกไปหมดแล้ว เธอจึงฉวยกระเป๋าจะเดินออกบ้าง แล้วจังหวะที่จะเดินถึงประตู ภูผาก็โผล่มายืนขวางประตูโดยที่เธอไม่ทันสังเกต

‘ไม่มีเวลาค่ะ ต้องรีบกลับบ้าน’ พันไมล์ตอบโดยไม่เสียเวลาคิด

‘ผมกวนเวลาคุณไม่นาน บอกคนรถคุณให้กลับไปก่อน แล้วผมจะไปส่งคุณเอง รับรองไม่นาน’ ภูผาพูดแล้วมองร่างผอมสูงด้วยแววตาเว้าวอน

พันไมล์ไม่สนใจ ทำเสียงขึ้นจมูก เอ่ยสะบัดๆว่า ‘คุณสัญญาแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับฉัน”

แววตาภูผาฉายแววเจ็บปวดวูบหนึ่งก่อนจางหาย ‘ผมจะไม่ยุ่งกับคุณแน่หนูพันไมล์ถ้าคุณไม่อยู่ในฐานะน้องสาวผม’

‘ตลก..ฉันก็ไม่ใช่น้องสาวคุณ เราก็แค่ลูกติดของอีกฝ่าย’ พันไมล์โต้ทันควัน

‘ผมก็ไม่อยากคิดว่าคุณเป็นน้องสาวหรอกนะหนูพันไมล์ ถ้าพ่อคุณไม่ยัดเยียด แต่นี่พ่อคุณยัดเยียดให้ผมเป็นผมถึงเลี่ยงไม่ได้’ ภูผาโต้กลับอย่างเผ็ดร้อน ครู่ต่อมาก็ถอนหายใจ ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง ‘หนูพันไมล์ถึงเราจะเป็นคนรักกันไม่ได้ แต่เราก็เป็นพี่เป็นน้องกันได้ไม่ใช่หรือ ที่ผมมาพูดเพราะผมเป็นห่วง.. ’

‘ไม่ต้องมาห่วงฉัน’ พันไมล์แหวก่อนที่เขาจะพูดจบ ‘ถ้าจะห่วงๆ แฟนคุณโน่น อายไปไหนแล้วล่ะทำไมไม่ไปดูแลเขา- -ไม่ไปตามเขาต้อยๆ เหมือนทุกวัน’

ภูผานิ่วหน้ากับน้ำเสียงกระแหนะกระแหนของพันไมล์ ‘นั่นคุณหึงผมหรือหนูพันไมล์’

พันไมล์หน้าแดง ‘ทำไมฉันต้องหึงคุณ ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ’

ภูผาไม่อยากบอกว่าเขาผ่านผู้หญิงมามากพอจะแยกแยะได้ว่าน้ำเสียง สีหน้าและท่าทางของผู้หญิงแบบไหน เข้าข่ายเป็นอย่างไร แต่เขาก็คร้านจะเถียงกับเธอ

ผู้หญิงปากแข็ง!

อันที่จริงเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมยังตามตื้อตามตอแยเด็กสาวอีกทั้งที่หล่อนไม่มีท่าทีจะสนใจเขาเลย อาจเพราะรัก- -เป็นรักครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายเลือกเองกระมัง ภูผานึกให้คำตอบตัวเอง

แต่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองอีกว่าทำไมถึงมารักชอบพอพันไมล์ ในเมื่ออาทิตยามีอะไรที่ ‘เหนือ’ พันไมล์ทุกอย่าง ไม่ว่าการแต่งตัวหรือรูปร่างหน้าตา อาทิตยาสวยเก๋ เปรี้ยว หุ่นสมส่วน ควงออกงานไม่ขายหน้า ขณะที่พันไมล์ค่อนข้างเชย แต่งตัวเฉิ่มและสูงเก้งก้างไม่สมส่วน

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรักเธอ

รักทั้งๆ ที่เป็นรักต้องห้าม!

รักทั้งๆ ที่เธอไม่มีอะไรเกินหน้าอาทิตยา

เพราะอะไร?

อาจเป็นเพราะเขาเจอผู้หญิงมามากหน้าหลายตาทั้งในผับและนอกผับ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นฝ่าย ‘รุก’ มากกว่ารับ แม้แต่อาทิตยาก็เป็นฝ่ายเสนอให้เขา ฉะนั้นเมื่อมาเจอผู้หญิงที่ถอยมากกว่ารุก และขี้อายมากกว่ากล้า เขาจึงนึกรักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รักอย่างที่รู้ว่าต้องการผูกพันไปชั่วชีวิต

แต่นับตั้งแต่เธอลั่นปากว่าไม่ได้คิดอะไรกับเขา เขาก็เกิดทิฐิ พยายามถอยห่างจากเธอให้มากที่สุด และเขาคงรักษาคำสัญญานั้นได้อีกนาน หากว่าแม่เขาไม่บอกว่าพันไมล์กำลังจะออกจากบ้านมาเช่าอพาร์ทเมนต์อยู่ตามลำพัง ราฆพและแม่เขาห้ามเธอแล้ว แต่เด็กสาวไม่ฟัง จึงวานให้เขามาช่วยพูดอีกที

อันที่จริงแม่เขาเล่ามากกว่านั้น เธอเล่าว่านับตั้งแต่แต่งงานกับราฆพและพาภูไมล์ลูกที่เกิดจากราฆพ ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานั้น พันไมล์มีพฤติกรรมต่อต้านมาโดยตลอด หนักสุดคือรายของภูไมล์ได้รับการกลั่นแกล้ง พันไมล์ทำให้เห็นๆ ว่าไม่ชอบหน้าด้วยการหยิกตีผลัก จนเกิดการปะทะกันบ่อยครั้งระหว่างพันไมล์และราฆพในช่วงหลัง จนพันไมล์ประกาศขอย้ายออกจากบ้าน

อันที่จริงเรื่องที่พันไมล์ไม่ยอมรับภูไมล์ จะโทษเธอทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะลำพังตัวเขาเอง เขายังยอมรับน้องต่างพ่อคนนี้ไม่ได้..

เพราะ..ภูไมล์ ทำให้เขาต้องเสียพ่อไปตลอดชีวิต

แล้วภูผาถอนใจ ยกมือลูบหน้าก่อนตัดสินใจพูดขึ้นว่า ‘เอาเถอะวันนี้ยังไม่เป็นก็ไม่เป็นไร’

พันไมล์คอแข็งกับคำพูดกำกวมของเขา

ชายหนุ่มเฉยกับท่าคอแข็งของอีกฝ่าย ‘ผมไม่ทะเลาะกับคุณหรอกนะหนูพันไมล์ ที่มาดักรอนี่เพราะเห็นแม่บอกว่าคุณจะย้ายออกจากบ้านไปอยู่อพาร์ทเมนต์ รู้หรือเปล่าออกไปอยู่คนเดียวมันอันตรายแค่ไหน คุณเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอย่างนั้น ไม่รู้หรอกว่ามันอันตรายและลำบากแค่ไหน’

‘คุณรู้หรือว่าจะลำบากแค่ไหน’ พันไมล์ย้อน

‘ผมเคยหนีออกจากบ้าน มาใช้ชีวิตข้างนอกตามลำพังแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดกลายเป็นเด็กจรจัดที่อดมื้อกินมื้อ’ แววตาภูผาปรากฏแววเจ็บปวด ‘เพราะงั้นผมไม่อยากให้คุณลิ้มรสความลำบากเหมือนกับผมหรอกนะหนูพันไมล์’

พันไมล์เมินหน้า ไม่ตอบเขา อันที่จริงเธอตั้งใจจะไม่แบมือขอเงินราฆพสักสตางค์แดงเดียวด้วยซ้ำ หลังย้ายออกมาเธอลั่นปากแล้วว่าจะไม่ขอเงินราฆพ

ช่าง..พันไมล์นึกอย่างทิฐิ เธอมีสองมือสองเท้า จะอดตายเพราะไม่มีปัญญาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองก็ให้มันรู้ไป

...........................................
1.Soniya(ภาษาฮินดู) หมายถึงที่รัก

2. มีเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ จากการเดินเขาที่น่าสนใจคือ ถ้าเสื้อผ้าที่เตรียมมาไม่เพียงพอจะลดความหนาวได้ ต้องทำให้อวัยวะที่เป็นจุดไวต่อความหนาวอบอุ่นให้ได้ก่อน นั่นคือ ใบหู ลำคอ หน้าอก และปลายเท้า

3.ปัญหาที่หลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับการเดินเขาคืออาการเท้าบวมซึ่งเกิดจากการเดินเป็นระยะเวลานานหรือเดินบนที่สูง วิธีการแก้ไขคือต้องนอนพาดเท้าให้สูงกว่าตำแหน่งศีรษะ เพื่อให้เลือดไหลลงจากปลายเท้า

4. Bara Thach: อย่าหาว่าผู้เขียนทะลึ่งเลยนะคะ เวลาที่เดินทางไปแต่ละแคมป์ จะเป็นคนสังเกตเรื่องการขับถ่าย ซึ่งแต่ละแคมป์จะผจญกับปัญหาหาสถานที่ขับถ่ายไม่เหมือนกัน อย่างแคมป์ Grahan เล่าแล้วว่ามีห้องหับปิดมิดชิดหน่อย แต่ไม่มีน้ำ ส่วนแคมป์ Bara Thach บริเวณแคมป์โล่งเกินกว่าจะหาที่กำบัง ฉะนั้นต้องไต่เขาลงไป แต่ลองนึกสภาพท่านั่งยองๆ ปล่อยทุกข์ตามไหล่เขานะคะว่าจะน่าสังเวชแค่ไหน จะนั่งท่าไหนไม่ให้ตกเขาหรือปฏิกูลกลิ้งมาเปรอะตัวเรา ครั้นจะนั่งท่าปกติคือหันหน้าออกจากเขาเมื่อชมทิวทัศน์รอบตัว ก็ต้องระวังระยะห่างจากก้นกับพื้นดิน ถ้าไม่เหย่งก้นสูงก็เสี่ยงต่อการที่ก้นระปฏิกูลอย่างยิ่ง แต่ถ้าเหย่งนานก็เมื่อยอีก แต่ครั้นจะนั่งหันหน้าเข้าหาเขา ซึ่งจะทำให้ระยะห่างระหว่างก้นกับพื้นดินมากขึ้นหน่อย แต่ก็เสี่ยงหงายหลังได้ แล้วถ้าวันไหนมามากล่ะ? ถ้าไม่คอยขยับไปเรื่อยๆ ปฏิกูลกองขึ้นมาชนก้นแน่

lozocatlozocat




Create Date : 03 มีนาคม 2556
Last Update : 3 มีนาคม 2556 0:03:25 น.
Counter : 1138 Pageviews.

1 comment
ทางสายหมอก...บท 3
lozocatlozocat


เสียงปรบมือดังกึกก้องห้องประชุมเมื่อการแสดงเดี่ยวไมโครโฟนของนักพูดสมญานาม ‘หมูบิน’ จบลง แม้นักพูดจะเดินลับเข้าหลังเวทีไปแล้ว แต่เสียงปรบมือยังคงดังกึกก้อง ทุกคืนวันอังคาร พุธ และเสาร์ ที่เจ้าตัวขึ้นเวที เสียงปรบมือจะดังกึกก้องอย่างนี้เสมอ เธอเป็นดาวดวงหนึ่งของเวทีนักพูดสมัครเล่นของชมรมนิสิตนักศึกษาแห่งนี้

ไม่มีใครรู้ว่านักพูดกว่ายี่สิบคนของชมรมเป็นใครเพราะต่างใส่หน้ากากแฟนตาซีและแต่งหน้าเข้มเพื่ออำพรางใบหน้าตามกฎกติกาของชมรม แต่ละคนมาจากต่างสถาบัน และมุกที่ใช้ก็นำมาจากพฤติกรรมหรือวิถีทางที่นิสิตนักศึกษาของสถาบันนั้นๆ ใช้

อย่างครั้งนี้มุกที่หมูบินนำมาใช้ เป็นมุกล้อเลียนพฤติกรรมของคู่รักหญิงชายคู่หนึ่งที่แอบไปพลอดรักกันในห้องสมุดชั้นใต้ดินเพราะคิดว่าไม่มีใครเห็น แต่สุดท้ายก็ถูกโจษจันไปทั่วมหาวิทยาลัย เนื้อหาง่ายๆ แต่ลีลาการพูดและท่าทางของเจ้าตัวนี่สิกินขาด จึงเรียกเสียงหัวเราะครื้นแครงจากห้องประชุม

‘วันนี้หมูบินเอาเรื่องในห้องสมุดใต้ดินมาล้อเลียนอีกแล้ว ฉันชักมั่นใจแล้วสิว่าหมูบินเป็นนักศึกษาสถาบันเรา เพราะมหาลัยอื่นฉันไม่เคยได้ข่าวว่ามีห้องสมุดใต้ดิน’ อาทิตยาเหลียวมาเอ่ยกับคนรักเบาๆ

อาทิตยาเป็นดาวคณะวารสารศาสตร์ฯ คบหาเป็นแฟนกับภูผามาได้เกือบสองปีแล้ว เธอรู้จักกับเขาในคืนที่คุณชลธี ผู้เป็นพ่อนำเขามาหลบฝนที่บ้านในคืนที่ฝกตกหนัก วันนั้นเสื้อผ้าเขาเปรอะเปื้อนสกปรกมอมแมม เนื้อตัวเปียกปอนจากฝน น้ำบางหยดยังหล่นตกลงพื้นพรม แต่อะไรไม่ร้ายเท่ากับหัวเหอใบหน้าปูดโปน คิ้วแตก ปากบวมเจ่อ พ่อเธออธิบายง่ายๆ ว่าตัวพ่อถูกคนร้ายดักซุ่มทำร้ายระหว่างทางที่กลับบ้าน แต่ได้ภูผามาช่วยไว้ แล้วพ่อเธอก็สั่งให้แม่เธอโทรเรียกแพทย์ประจำครอบครัวให้มารักษา

วันนั้นจำได้ว่าภูผายังผอมกะหร่อง เนื้อตัวมอมแมมราวเด็กจรจัด มาวันนี้ใบหน้าเขาดีขึ้น อาทิตยานึกแล้วมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของหนุ่มลูกครึ่งเจ้าของเรือนร่างบึกบึนข้างๆ อย่างเขม่นหน่อยๆ

เขาดีขึ้นจนเธอนึกหมั่นไส้เชียวล่ะ ด้วยรูปลักษณ์เขาตอนนี้ทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ทั้งโสดและแม่ม่ายติดเขาเกรียว จนทุกวันนี้เธอต้องไปเฝ้าเขาถึงผับ!

หลังจากภูผาช่วยชีวิตพ่อเขาคืนนั้น คุณชลธีก็จ้างเขาให้มาเป็นผู้คุ้มกัน อันที่จริงพ่อเธอมีมือปืนรับจ้างหลายคนแล้ว แต่เพราะถูกชะตาที่เขามีน้ำใจ จึงว่าจ้างเขาเพิ่มมาอีกคน ภูผาเข้ามาอยู่บ้านเธอได้พักหนึ่งซึ่งก็เหมือนกับมือปืนรับจ้างคนอื่นๆ ที่ได้รับอภิสิทธิ์ให้อยู่ในอาณาเขตบ้าน- -ในเรือนเล็กหลังคฤหาสน์ในฐานะของมือปืนคุ้มกัน ภูผาอยู่ในอาณาเขตบ้านเธอได้พักหนึ่ง ก็ย้ายไปอยู่คอนโดฯ ที่ใกล้ผับเพื่อคุมผับของครอบครัวเธอในฐานะบาร์เทนเดอร์อีกต่อหนึ่ง พ่อเธอให้เหตุผลที่ย้ายภูผาไปกินตำแหน่งบาร์เทนเดอร์ว่าเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไว้ใจได้ เนื่องจากเป็นคนซื่อสัตย์และหน่วยก้านดี

แต่แท้ที่จริงเธอรู้ว่าเป็นเหตุผลที่ยกมาบังหน้า..จริงๆ แล้วพ่อเธอต้องการแยกภูผาออกจากเธอต่างหาก เพราะพักหลังเธอแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชอบภูผา ชลธีและภรรยาไม่เห็นด้วยแต่วิสัยที่ตามใจกันมานานเพราะเป็นลูกสาวคนเดียว จึงไม่อาจขัดใจได้ ท้ายสุดจึงจำใจปล่อยให้เธอคบกับเขา คบกับเขาได้ไม่กี่เดือนเธอก็ขอร้องให้เขากลับมาเรียนต่อแต่เขาปฏิเสธ ไม่บอกเหตุผลด้วย อันที่จริงเขาไม่เคยบอกเหตุผลอะไรกับเธอสักอย่าง ไม่บอกแม้แต่ว่าทำไมถึงต้องดร็อปเอาท์จากมหาวิทยาลัย ทำไมต้องหนีออกจากบ้านมาใช้ชีวิตเร่ร่อนข้างนอก

เธอกล่อมเขาอยู่ครึ่งปีเขาจึงยอมกลับมาเรียนต่อ ตอนที่เขากลับมาเรียนต่อในปีหนึ่งปีเดียวกับเธอนั้น เพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกันกับเขาขึ้นปีสี่ไปกันหมดแล้ว เขาจึงกลายเป็นพี่ใหญ่ในคณะ ภูผาเข้ามาเรียนต่อได้ไม่นานก็ได้รับการโหวตจากเพื่อนๆ ให้เป็น ‘เดือน’ คู่กับเธอ เขาจึงเป็นที่รู้จักกว้างขวางของคณะทั้งจากเพื่อนรุ่นพี่และเพื่อนรุ่นน้องนับแต่นั้น

ยิ่งเมื่อเขาเข้าชมรมฟุตบอล- -เป็นนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัย เขาก็ยิ่งฮอต!

‘คุณว่าอะไรนะ’

‘ใจลอยไปถึงไหนคะเนี่ย ฉันว่าหมูบิน- -นักพูดที่ใส่ตุ้มเพชรข้างเดียวนั่นน่ะเป็นนักศึกษามหาลัยเดียวกับเรา เพราะเขาพูดถึงห้องสมุดใต้ดินซึ่งฉันไม่เคยได้ยินว่าที่อื่นมีด้วย’ อาทิตยาพูดแล้วบุ้ยปากไปบนเวทีซึ่งบัดนี้หมูบินเปลี่ยนชุดขึ้นมาเดี่ยวไมโครโฟนเป็นรอบที่สองซึ่งเป็นรอบสุดท้ายแล้ว พวกเธอซื้อตั๋วใกล้เวที- -ใกล้มากจนเห็นแสงวูบวาบจากประกายตุ้มหูเพชรอีกข้างของคนบนเวที

ภูผาเหลียวไปมองร่างสูงโปร่งบนเวทีอย่างอึ้งๆ ก่อนหน้านี้เขายังขบคิดไม่ตกว่าผู้ชายในห้องสมุดใต้ดินที่หมูบินพูดถึงเป็นใคร เพราะคำพูดและท่วงท่าล้อเลียนบางอย่างของหมูบินเหมือนจะคุ้นเคย และช่วงที่กำลังขบคิดไม่ตกอยู่นั่นเอง อาทิตยาก็พูดเรื่องตุ้มหูเพชรขึ้น

ภูผาพินิจคนบนเวทีอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น ร่างผอมสูงอยู่ในชุดตุ๊กตาหมี มีหน้ากากกากเพชรอยู่บนใบหน้า ส่วนติ่งหูข้างหนึ่งมีตุ้มหูเพชรส่องแสงเป็นประกายวูบวาบ

หรี่ตา มองร่างผอมสูงบนเวทีแทบไม่เชื่อสายตา!

พระเจ้า! อุทานแล้วหันขวับมามองแฟนสาว นึกดีใจที่อาทิตยายังไม่เฉลียวใจว่านักพูดบนเวทีคือพันไมล์ และผู้ชายที่หล่อนตั้งใจพูดหมายถึงเขา

‘อายกลับกันเถอะ’

อาทิตยาชะงัก ‘ทำไมอยู่ดีๆ ชวนกลับดื้อๆ ทอล์กโชว์ยังไม่จบเลย อุตส่าห์เข้าคิวซื้อตั๋วยาวเหยียดมาได้’

‘ผมเพิ่งนึกได้ว่าต้องเข้าผับกะทุ่มหนึ่ง บาร์เทนเดอร์หลายคนลากลับบ้านต่างจังหวัดคืนนี้’

อาทิตยาก้มมองนาฬิกาข้อมือ ‘งั้นภูไปส่งอายไม่ได้สิคะ เพราะจะทุ่มหนึ่งอยู่แล้ว’

‘ขอโทษทีอาย คุณกลับไปคนเดียวได้ไหม’

‘แต่อายไม่ได้เอารถมา’

‘เปล่า ผมหมายถึงเอารถผมขับกลับบ้าน ส่วนผมจะนั่งแท็กซี่กลับไปทำงาน’

‘เสียดายคืนนี้อายต้องไปงานเลี้ยงกับแม่ด้วย ไม่อย่างนั้นจะไปนั่งเป็นเพื่อนคุณจนผับเลิก’

‘ไม่เป็นไร- -งั้นเดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ’

‘นี่..ทำไมต้องรีบขนาดนั้น’ อาทิตยาพูดแล้วคว้าแขนเขาเมื่อเขาพูดจบทำท่าผละไปทันที ‘ถึงอายจะรีบไปงานเลี้ยง แต่ไม่รีบถึงขนาดไปส่งภูไม่ได้หรอกค่ะ ใจเย็นๆ ..เดี๋ยวอายไปส่งภูที่ผับเอง’

ภูผาไม่พูดอะไร เดินตามแฟนสาวไปลานจอดรถเงียบๆ อาทิตยาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็พาเขามาส่งยังผับใหญ่กลางกรุงแห่งหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของครอบครัวเธอ ระยะเวลาไม่กี่เดือนที่เขาเข้ามาคุมผับ สร้างรายได้ให้กับพ่อเธออย่างมาก ลูกค้าติดพัน เข้ามาเที่ยวทุกคืน

ก็แน่ล่ะ..หล่อเหลาอย่างภูผาย่อมทำให้สาวแก่แม่ม่ายติดพันเป็นธรรมดา!

งานคุมผับสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ภูผา จนเจ้าตัวสามารถผ่อนคอนโดฯ และรถหมดไปได้ภายในไม่กี่ปี!

ภูผาชะโงกตัวไปให้คนรักจุ๊บที่แก้มเบาๆ ทำอย่างทุกครั้งที่จะจากนั้น แล้วลงจากรถ มองจนรถสปอร์ตหายลับไปจากสายตาแล้ว จึงโบกรถแท็กซี่ ให้วิ่งกลับไปเส้นทางเดิมอีกครั้ง!

มาถึงหน้าหอประชุมทอล์กโชว์ ภูผาก็รีบจ่ายเงินให้แท็กซี่แล้ววิ่งตรงไปยังประตูหลังทันที เจอพันไมล์กำลังเดินออกจากหอประชุมพอดี

‘หมูบิน!’

พันไมล์ซึ่งกำลังเดินออกจากหอประชุมตรงไปยังลานจอดรถชะงัก หันขวับไปมองข้างหลังตามต้นเสียงแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือใคร

เหลือเชื่อ..ภูผา!

‘คุณยอมรับแล้วว่าคุณเป็นหมูบิน’

ภูผาพูดขณะค่อยๆ สาวเท้าตรงไปหาพันไมล์

‘ฉันพูดอะไรแล้วเหรอ’ พันไมล์ย้อนหน้าตาเฉย แก้มสุกปลั่งนึกขอบคุณแสงจันทร์ที่ช่วยอำพรางสีหน้าเธอ

น่าขัดใจตัวเองนักที่เขินได้ทุกทีที่เจอเขา เป็นอะไรที่แก้ไม่หายสักที!

ภูผายิ้มหน้าตาย มือล้วงกระเป๋า ตามองร่างบางตรงหน้าภายใต้แว่นหนาเตอะด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ‘ถ้าอย่างนั้น คุณมาฟังทอล์กโชว์?’

‘อ๋อ..แน่นอน’ พันไมล์ตอบรับเสียงสูง

ภูผาหัวเราะ ‘งั้นผมก็คงหลงเชื่อ ถ้าไม่เห็นเจ้าสิ่งนี้เสียก่อน’ ภูผาพูดแล้วล้วงตุ้มหูเพชรออกจากกระเป๋า ยื่นออกไปเทียบกับตุ้มหูอีกข้างข้างหูพันไมล์ ‘มันเข้ากับตุ้มหูของคุณ ว่าไหมหนูพันไมล์’

พันไมล์หน้าแดงก่ำ รีบตวัดมือไปแย่งคืนมาจากภูผา ทว่า..

‘อ๊ะๆ ตอนนี้มันเป็นกรรมสิทธิ์ของผม’ ภูผาพูดแล้วหย่อนตุ้มหูคืนลงกระเป๋าเสื้อ ปากยังวิจารณ์ว่า ‘ผมไม่อยากเชื่อ เด็กสาวเรียบร้อยอย่างคุณจะเป็นหมูบิน- -นักทอล์กโชว์ที่พูดเก่งของชมรม คุณทำอย่างนี้ได้ไงกันหนูพันไมล์ ภายนอกเป็นเด็กเรียบร้อยแต่ภายในแล้วช่างพูดช่างล้อเลียน ผมล่ะนึกทึ่งจริงๆ’

พันไมล์ไม่ตอบ แต่แบมือออกไปข้างหน้า ‘ฉันขอตุ้มหูคืน’

ภูผายกมือกอดอก ไม่สนใจคำร้องขอของอีกฝ่าย ‘รู้ไหมผมเก็บมันได้ไงหนูพันไมล์’ ภูผาพูดแล้วมองหน้าเด็กสาวยิ้มๆ กล่าวสืบไปว่า ‘ ผมเห็นเด็กขี้อายคนหนึ่งนั่งหลับในห้องสมุดชั้นใต้ดินแล้วอยู่ๆ ก็ลุกพรวดปัดตุ้มหูตกกับพื้น ในวันที่ผม อืม.. คุณใช้คำว่าอะไรนะเมื่อครู่หนูไมล์ แอบพลอดรักกับกิ๊กลับหลังแฟนใช่ไหม’ ภูผาถามย้ำ สีหน้าล้อเลียนอย่างเห็นได้ชัด ’อืม..นี่ถ้าผมบอกใครต่อใครจะมีใครเชื่อไหมว่าเด็กที่แสนขี้อาย- - เรียนเก่งนัมเบอร์วันของคณะเราจะเป็นหมูบิน- -ผู้หญิงที่ช่างล้อเลียนคนนี้’

พันไมล์หน้าม้าน จะโต้ว่าเธอไม่ใช่คนช่างล้อเลียน ก็หวั่นว่าจะเข้าตัวมากขึ้น จึงตัดสินใจปล่อยผ่าน

‘คุณจะคิดยังไงก็ช่าง ฉันไม่สนใจ เวลานี้ฉันขอตุ้มหูของฉันคืน’

ภูผายิ้มเจ้าเล่ห์ ‘ถ้าอยากได้คืน ไปนั่งดื่มอะไรกับผม ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ’

‘แต่ฉันไม่มี และไม่อยากไปดื่มอะไรกับคุณด้วย’

ภูผาขมวดคิ้วกับน้ำเสียงตัดรอนของอีกฝ่าย ‘คุณเป็นอะไรไปหนูพันไมล์ ทำไมหมู่นี้ทำเหมือนไม่อยากคุยกับผม แล้วก็คอยหลบหน้าผมตลอด ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นอย่างนี้’

‘ฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้ตลอด’ พันไมล์โต้กลับทันควัน

นับตั้งแต่เธอรู้ว่าภูผาเป็นลูกของภัทรา เธอก็พยายามปลีกตัวจากเขา ไม่พยายามไปเสนอหน้าให้เขาเห็นอีก

‘ไม่จริง เมื่อก่อนคุณไปดูผมซ้อมบอลทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้คุณไม่เคยไปเลย’

‘คุณสังเกตความเคลื่อนไหวของฉันด้วยหรือ’ พันไมล์ตวัดตามองเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

‘แน่นอน..จะให้ผมบอกไหมล่ะว่าเพราะอะไร’ ภูผาถามแล้วจ้องพันไมล์ตรงๆ อย่างท้าทาย

หญิงสาวจ้องตอบได้เพียงครู่เดียวก็เมินหลบ ‘มะ- -ไม่ต้อง’

‘คุณไม่กล้า หนูพันไมล์’ ภูผาปรามาส แล้วหัวเราะแต่เสียงหัวเราะเขาไม่สดใสนัก

‘แล้วแต่คุณจะคิด’

‘คุณกลัวอะไรหนูพันไมล์ ทีผม ผมยังไม่กลัว’

‘คุณมีอะไรให้กลัวกัน..ภูผา’

ภูผาหัวเราะ ‘อ้าว..ก็กลัวพ่อคุณไง พ่อคุณหวงลูกสาวยิ่งกว่าอะไร แล้วคุณล่ะหนูพันไมล์คุณกลัวอะไร’

‘ฉันไม่ได้กลัวอะไรทั้งนั้น’ พันไมล์โต้แล้วมองนาฬิกาข้อมือเชิงตัดบท ‘ฉันต้องขอตัว เพื่อนรออยู่’

‘คุณยังไปไหนไม่ได้หนูพันไมล์ ถ้าคุณไม่ยอมตอบผม คืนนี้ผมไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ แน่ ตอบผมมาหนูพันไมล์ ว่าทำไมคุณเปลี่ยนไป ทำไมเดี๋ยวนี้คอยแต่หลบหน้าผม ผมไปทำอะไรให้คุณเกลียดขี้หน้านัก’

‘คุณไม่ได้ทำอะไร แล้วฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย’

‘ถ้าไม่เปลี่ยน งั้นไปดื่มอะไรเป็นเพื่อนผม นะหนูพันไมล์ ผมรับรองไม่ดึกและจะไปส่งคุณถึงประตูบ้านอย่างปลอดภัยด้วย’ ประโยคท้ายออดอ้อน

พันไมล์ส่ายหน้ากับน้ำเสียงเหมือนมอดกัดไม้ของเขา

‘คุณเปลี่ยนไปจริงๆ นั่นแหละ’ ภูผาย้ำน้ำเสียงจริงจัง หยุดพินิจร่างบางตรงหน้าครู่หนึ่ง ‘ความสัมพันธ์เราก่อนหน้านี้ไปได้สวย แต่ทำไม..’ ภูผาพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกพันไมล์เบรกขึ้นว่า

‘ความสัมพันธ์เราไม่เคยไปได้สวย เราไม่เคยเป็นอะไรกันตั้งแต่ต้นและเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น’

‘โกหก! คุณก็รู้เท่าๆ กับผมว่าเราคิดกันยังไง หยุดโกหกตัวเอง ยอมรับเถอะน่าว่าใจเราตรงกัน’

พันไมล์หน้าซีด..เธอมาไกลเกินไปแล้ว เธออาจชอบเขาก็จริงแต่เธอไม่เคยคิดแย่งเขามาจากอาทิตยาหรือให้เขาชอบตอบเธอเลย

‘คุณเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วภูผา คุณพูดเองเออเองทุกอย่าง’

‘งั้นกล้าพูดไหมล่ะว่าคุณไม่ได้ชอบผม’ ภูผาสวนกลับทันควัน

‘ทำไมฉันจะไม่กล้า’ พันไมล์โต้เร็วปานกัน ‘ฉันไม่เคยชอบคุณ จนถึงเดี๋ยวนี้ฉันไม่เคยนึกชอบคุณแม้แต่นิดเดียว เข้าใจไว้ด้วย’

ภูผาชะงักไปชั่วครู่ใหญ่ก่อนพึมพำขึ้นว่า

‘ไม่จริง’

‘แล้วแต่คุณจะคิด’ พันไมล์โต้อย่างไม่ยี่หระ

‘งั้นผมก็คิดไปเองคนเดียว’ ภูผาพึมพำเสียงเบาหวิว ใบหน้าซีด ‘ผมหลงเข้าใจผิดคิดว่าใจเราตรงกัน อา..นี่ผมหลงละเมอไปคนเดียวหรือ’ ภูผาลูบหน้าน้ำเสียงราวคนละเมอ ล้วงมือหยิบตุ้มหูเพชรจากกระเป๋าเสื้อส่งคืนให้เด็กสาว

‘ผมขอโทษถ้าทำให้คุณรำคาญ แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่กวนคุณอีกแล้ว ผมให้สัญญา’

พันไมล์รับตุ้มหูจากมือเขา ตายังมองตามหลังร่างสูงที่เดินแกมวิ่งหายไปในความมืด แล้วน้ำตาค่อยๆ ไหลอาบแก้ม มือกำตุ้มหูเพชรในมือแน่น ขณะบอกตัวเองว่าเธอทำถูกแล้ว

‘ไล่เขาไปแล้ว มายืนร้องไห้ทำไม’

นิสิตาโผล่ออกมาจากความมืด เธอซุ่มดูเหตุการณ์มาพักหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้เธอทอล็กโชว์เสร็จก่อนเพื่อน จึงเดินไปรอที่ลานจอดรถ เห็นเพื่อนยังไม่เดินไป จึงเดินมาตาม มาถึงเห็นกำลังยืนทุ่มเถียงกับภูผา ด้วยความเป็นห่วงเธอจึงแอบซุ่มดูอยู่ข้างตึก อันที่จริงเธอก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าผู้ชายที่เพื่อนแอบชอบคือภูผาหนุ่มบาร์เทนเดอร์ผู้เป็นเพื่อนของตุลาแฟนหนุ่มเธอ

พันไมล์เป็นนักศึกษาต่างสถาบันกับเธอ เพิ่งมารู้จักกันก็ตอนที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาเป็นสมาชิกชมรมนักทอล์กโชว์ พันไมล์มีเหตุผลที่มาสมัครเป็นนักพูดต่างกับเธอ เธออยากเป็นนักพูดจึงมาสมัคร ส่วนพันไมล์- -เธอรู้ว่าเพื่อนไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทในมหาวิทยาลัยนัก จึงมาหากิจกรรมอะไรทำแก้เหงา

พันไมล์ไม่ตอบแต่โผเข้ากอดเพื่อน สะอึกสะอื้นจนตัวโยน

นิสิตายกมือลูบหลังเพื่อน เอ่ยปลอบประโลม ‘ถ้ารักเขามากขนาดนี้ ทำไมผลักไสเขาไปเล่า- -ไมล์เอ้ย’

‘ฉันไม่อยากทำผิดไปมากกว่านี้น่ะสิแค่แอบชอบคนที่มีแฟนอยู่แล้วก็แย่พอแล้ว ถ้าต้องแย่งเขามาอีก ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’

‘แต่คุณภูก็ใจตรงกับแกนี่ ยังจะกลัวอะไรอีก เขาเองก็ชอบแกนะไมล์’

‘แล้วเขาจะเอาอายไปไว้ที่ไหน’

‘ฉันเชื่อว่าเขาจะเลิกกับอาย แล้วมาคบกับแก’

พันไมล์ส่ายหน้าโดยไม่เสียเวลาคิด ‘ยังไงฉันก็ชอบเขาไม่ได้ ถึงเขาจะยอมเลิกกับอายเพื่อมาคบฉันจริง ฉันก็คงคบกับเขาไม่ได้’

‘ทำไมล่ะ’

‘เขาเป็นลูกภัทรา เขาเป็นลูกของผู้หญิงที่ฉันเกลียดมากที่สุดคนนั้นนะสิตา ฉันไม่สามารถรักเขาได้จริงๆ สู้ตัดไฟเสียแต่ต้นลมยังดีกว่าไปช้ำใจกันวันข้างหน้า’

‘เหลวไหลน่า ไม่ใช่ความผิดของคุณภูที่เกิดมาเป็นลูกว่าที่แม่เลี้ยงแกสักหน่อย แกไม่ควรไปตัดสินความรักด้วยเรื่องเพียงแค่นี้เข้าใจไหม ความสัมพันธ์แม่ลูกเป็นสิ่งที่ตัดกันไม่ได้ จะลบออกก็ไม่ได้ด้วย เพราะงั้นถ้าจะรักใครก็ควรยอมรับในความเป็นไปของเขา love me love my dog น่ะ เข้าใจไหม’

‘เพราะความสัมพันธ์แม่ลูกเป็นสิ่งที่ตัดกันไม่ได้น่ะสิ ฉันถึงต้องเลือกตัดใจเสียแต่วันนี้ เจ็บเสียแต่วันนี้ยังดีกว่าถลำลึกจนยากจะถอนตัวในวันข้างหน้า เพราะถ้าถึงวันนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะมีกำลังใจถอนตัวจากเขามาได้แค่ไหน ในเมื่อเวลานี้ฉันรักเขามากขนาดนี้แล้ว’


“เมล่าใจลอยอีกแล้ว”

พันไมล์สะดุ้งโหยงเมื่อมีมือเย็นๆ ของสิกขามาจับที่แขน ยกมือลูบหน้าอย่างพยายามเรียกสติกลับคืนมา วันนี้เธอใจลอยไปไกลเหลือเกิน นับตั้งแต่ไปทานอาหารกับเอียน เธอก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อ 8 ปีก่อน เห็นใบหน้าเอียนแล้ว ทำให้เธออดคิดถึงภูผาไม่ได้ เพราะท่วงท่า หน้าตา และนิสัยขี้เล่นของคนทั้งสองเหมือนกันเหลือเกิน แล้วพอกลับมาทำกิจกรรมแคมป์ไฟในคืนนี้ เธอก็ยังคงคิดถึงเขาอยู่นั่นเอง

นี่เธอยังไม่ลืมเขาใช่ไหม เวลาแปดปีที่ผ่านมามันไม่ได้ช่วยลบเขาไปจากความทรงจำใช่ไหม..

“เจ้าหน้าที่กำลังแจกไจ ส่งแก้วมาให้ฉันสิ” สิกขาบอกเหตุผลที่เจ้าตัวสะกิดแขนเพื่อน

พันไมล์ยื่นแก้วที่ถืออยู่ในมือให้เพื่อนแทนคำตอบ มองไปทางอีกฟากของแคมป์ไฟแล้วชะงักเมื่อเห็นว่าสายตาของเอียนวนเวียนมาที่เธออยู่ก่อนแล้ว!

พันไมล์เม้มริมฝีปาก ตาตกมองพื้น

อึดอัดเมื่อรู้สึกราวกับเป็นสายตาของภูผาที่จับจ้องมองมา หาใช่สายตาของเอียนไม่

อา..ทำไมเป็นแบบนี้!

เสียงเพลงฮินดูของนักร้องหญิงมาราตีที่เพื่อนชาวอินเดียร้องรอบวงยังคงดังกึกก้องทั่วขุนเขา ขณะที่พันไมล์คลึงแก้วไจในมือเพื่ออังความร้อน ไม่รับรู้ถึงเพลงฮินดูที่มีท่วงทำนองคล้ายเพลงสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า แคมป์ไฟ- -อันที่จริงจะเรียกว่าแคมป์ไฟก็คงไม่ถูกนัก เพราะถ้าเป็นแคมป์ไฟจริงๆ มันคงไม่ทำให้เธอหนาวสะท้านอยู่อย่างนี้ แต่นี่เป็นแคมป์หลอดไฟ (Camp Bulb) ท่ามกลางเวลากลางดึกสามทุ่มกว่าๆ ต่างหาก มันจึงทำให้เธอหนาวสะท้านอยู่อย่างนี้

ที่นี่ห้ามจุดไฟ ขณะเดียวกันถ้าอากาศไม่เป็นอุปสรรค เช่น ฝนตก ลูกเห็บตกหรือหิมะตก ทุกคนกลับถูกบังคับให้ออกมาทำกิจกรรมรอบแคมป์ไฟทั้งหมดแม้ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ทำก็เป็นการร้องเพลง ปรบมือให้จังหวะรอบวง

พันไมล์นึกภาวนาขอให้ถึงสี่ทุ่มเร็วๆ เพื่อเธอจะได้กลับเข้าเต็นท์พักผ่อน คืนนี้รู้สึกเพลียเหลือเกิน

พรุ่งนี้ยังต้องแพ็คเป้เพื่อออกเดินทางตั้งแต่เช้าอีก ซึ่งการพิชิตหิมาลัยกำลังจะเริ่มต้นแล้วในวันพรุ่งนี้


หมู่บ้าน Grahan อยู่ห่างจากหมู่บ้าน Kasol ราวเก้ากิโลเมตร อยู่บนระดับความสูง 7,700 ฟุตจากระดับน้ำทะเลหรือสูงกว่าหมู่บ้าน Kasol ประมาณ 2,500 ฟุตและกลุ่มพันไมล์จะต้องเดินทางไปให้ถึงเบสแคมป์ Grahan ก่อนเวลาสี่โมงเย็น กลุ่มเธอได้รับรหัสคณะว่า SP12 ซึ่งหมายถึง sar pass กลุ่มที่สิบสองที่เดินทางขึ้นซาพาสในปีนี้

เช้าตรู่ก่อนออกเดินทาง เจ้าหน้าที่เรียกทุกคนให้ไปทานข้าวเช้าและแพ็คอาหารกลางวันไปทานระหว่างทาง เช้านี้ไม่มีข้าวแต่มีจาปาตี และปูรี (1)ให้เลือก ส่วนกับข้าวมีดาล ปั๊กกอร่า (2) สำหรับขนมหวานมีกุหลาบจามุนและนมแพะใส่ซาหริ่ม พันไมล์เลือกทานจาปาตีกับดาลและปั๊กกอร่า ส่วนขนมหวานเธอเลือกนมแพะใส่ซาหริ่มเพราะเริ่มขยาดกับรสหวานของกุหลาบจามุน ส่วนอาหารมื้อเที่ยง เธอเลือกแพ็คปูรีกับปั๊กกอร่า เพราะสะดวกกับการแพ็คลงกล่องข้าว ไม่ทำให้หกเลอะระหว่างเดินทาง

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ให้แพ็คเป้และนำไปชั่งน้ำหนักตรงกลางลาน เจ้าหน้าที่อนุญาตให้แบกเป้น้ำหนักไม่เกินสิบกิโลกรัมขึ้นหิมาลัยเพราะระยะทางตลอดเก้าวันจากนี้ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่มีลูกหาบคอยช่วย

พันไมล์นำเป้ไปวางบนตาชั่งเมื่อถึงคิวของตัวเอง

“น้ำหนักสิบสองกิโลกรัมนะครับ เอาอะไรออกหน่อยดีไหม” เจ้าหน้าที่หันมาแนะนำกับพันไมล์ เมื่อเห็นว่ารูปร่างบอบบางน้ำหนักไม่น่าเกินสี่สิบเก้ากิโลกรัมของเธอ ไม่น่าจะแบกเป้น้ำหนักเกินสิบกิโลกรัมได้

“แต่ของทุกอย่างในเป้ ฉันคัดแล้วว่าสำคัญและจำเป็นจริงๆ” พันไมล์แย้งเสียงเรียบๆ

ในเป้เธอไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำผสมเกลือแร่สองขวด ซองเกลือแร่สองโหล กล่องข้าว ช็อกโกแลต กางเกง เสื้อกันฝนแบบบาง รวมถึงสเว็ตเตอร์เนื้อหนาและเสื้อผ้าอีกสองสามชิ้น นอกจากนี้ก็มีอุปกรณ์ปฐมพยายาลเบื้องต้นอื่นๆ ซึ่งเธอดูแล้วเป็นสิ่งจำเป็นทั้งนั้น แล้วก็มีกล้องถ่ายรูป ส่วนกล้องวีดิโอไม่ต้องพูดถึง ทางสมาคมฯ ไม่อนุญาตให้นำขึ้นไปอยู่แล้ว

“ก็เจ้าตัวยืนยันว่าช่วยเหลือตัวเองได้ก็ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ เดี๋ยวก็ออกเดินทางเลตกันพอดี ยังมีคนต่อคิวชั่งน้ำหนักเป้อีกหลายคนนะคะ ถ้ายังเถียงกันอย่างนี้ ไปถึงแคมป์ Grahan มืดค่ำกันพอดี”

สาวอินเดียรายหนึ่งเอ่ยขึ้น น้ำเสียงหงุดหงิด พันไมล์หันไปมอง เห็นว่าเป็นหญิงอินเดียที่พูดน้อยที่สุดในกลุ่ม ท่าทางไม่ค่อยญาติดีกับใคร พันไมล์ไหวไหล่ เหลียวกลับมามองเจ้าหน้าที่อย่างรอการตัดสินใจ

“ฉันยืนยันว่าดูแลตัวเองได้ค่ะ ไม่ให้เป็นภาระกับใครแน่ เคยเทรกกิ้งอย่างนี้ก็บ่อยครั้ง”

หนุ่มอินเดียรายเดิมถอนใจ “ก็ถ้าคุณยืนยันอย่างนั้น ก็เอาเถอะครับ แต่ที่ผมท้วงขึ้นไม่ใช่อะไรหรอกเป็นห่วงคุณ เพราะคุณผอมบางเหลือเกิน ถ้าท้วมกว่านี้อีกนิด ผมจะไม่ว่าเลยกับน้ำหนักเป้สิบสองกิโลกรัมอย่างนี้”

อา..ใช่เธอผอมแน่ถ้าเทียบกับสาวอินเดีย พันไมล์นึกอย่างขำๆ

“ขอบคุณค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้จริงๆ ไม่ยอมให้เป็นภาระเจ้าหน้าที่ให้หิ้วปีกกลับมาส่ง ทั้งที่ยังไม่ถึงซาพาสแน่ค่ะ” พันไมล์พูดแล้วหลิ่วตาให้อีกฝ่ายอย่างล้อเลียน แววตาแฝงแววขี้เล่น

เจ้าหน้าที่หนุ่มรายเดิมยิ้มตอบ ไม่ทันเอ่ยอะไร ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมจะดูแลคุณเมล่าเอง รับรองไม่มีปัญหา”

เอียนซึ่งมองเหตุการณ์ตรงหน้ามาครู่ใหญ่ เอ่ยรับรองขึ้น แววตาที่มองหญิงสาวฉายแววรักใคร่ไม่ปิดบัง

ภายหลังเสร็จสิ้นการชั่งน้ำหนักเป้ ก็เป็นการบรีฟกฎกติกาการเทรกกิ้งโดยสังเขป เจ้าหน้าที่สมาคมฯ ย้ำกติกาการเดินเขาอีกครั้งว่าห้ามทิ้งขยะ ห้ามเด็ดพืชพันธุ์ธัญญาหาร และห้ามส่งเสียงดังรบกวนสัตว์ป่า จากนั้นก็บรีฟต่อว่าระยะทางจากเบสแคมป์ Kasol ถึงเบสแคมป์ Grahan ใช้เวลาเดินทางร่วมห้าชั่วโมง ไม่มีคนนำทาง พวกเธอต้องหาทางไปกันเอง แต่ตลอดทางจะมีคำว่าฮีท(HEAT)พร้อมลูกศรตามต้นไม้หรือก้อนหินใหญ่เป็นสัญลักษณ์นำทาง เจ้าหน้าที่ย้ำว่าพวกเธอต้องไปให้ถึงแคมป์ Grahan ก่อนสี่โมงเย็นให้ได้ จากนั้นก็เป็นพิธีมอบธงให้กับหัวหน้าคณะคือเอียน ซึ่งพวกเธอเพิ่งเลือกเอียนเป็นหัวหน้าคณะเมื่อคืนวานที่ผ่านมา

ทำราวกับเป็นการมอบภารกิจอะไรสักอย่างให้พวกเธอ

แต่ที่จริงการเทรกกิ้งหิมาลัย ก็ไม่ต่างจากภารกิจนั่นเองเพราะภายหลังกลับลงมา จะมีพิธีมอบเกียรติบัตรในคืนสุดท้าย ณ เบสแคมป์ Kasol เกียรติบัตรที่ว่าออกโดยสมาคมบ้านเยาวชนแห่งประเทศอินเดียเพื่อให้การรับรองว่าผู้นั้นพิชิตหิมาลัยได้สำเร็จ

มีการทำพิธีส่งคณะเธอเล็กน้อย ซึ่งก็เหมือนกับคณะอื่นๆ ที่ออกเดินทางไปก่อนหน้านี้ คือมีการตั้งแถวปรบมือเป็นจังหวะ พร้อมตะโกนอวยพรให้กลุ่มที่ออกเดินทาง พิชิตหิมาลัยให้ได้ แต่ละวันจะมีคนหมุนเวียนเดินทางเข้าและออกแคมป์ Kasol อยู่อย่างนี้ทุกวันจนกว่าจะหมดฤดูเทรกกิ้งหิมาลัยซึ่งจัดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม เหตุผลที่สมาคมฯ เลือกช่วงนี้เพราะประเมินแล้วว่าเป็นช่วงที่ปลอดภัยจากพายุหิมะมากที่สุด

ออกเดินทางมาได้ราวสองร้อยเมตร แถวยาวตอนเดียวแยกเพศหญิงชาย ก็เริ่มแตกแถว กลายเป็นเดินเกาะกลุ่มพูดคุยกันตามอัธยาศัย พ้นจากหมู่บ้าน Kasol พันไมล์เริ่มเห็นว่ามีชาวบ้านพื้นเมืองคนหนึ่งแบกสินค้าเดินตามพวกเธอขึ้นไปด้วย เป็นชาวอินเดียที่อายุค่อนข้างมากแล้วแต่ยังคงแข็งแรง ด้วยสามารถหาบคอนสินค้าและอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างแข็งขัน ไม่ว่าจะเป็นเตาถ่าน น้ำ กาต้มน้ำ รางไข่สามสี่แถว แม็คกี้หรือมาม่าอินเดียแพ็คใหญ่ ไจ บิสกิต ช็อกโกแลต น้ำผลไม้ และขนมต่างๆ ที่สำคัญคือไม้เท้าที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง

เส้นทางเทรกกิ้งอื่นๆ อย่าง Har Ki Doon Trail ชาวบ้านจะขึ้นไปตั้งเพิงขายสินค้าตามเส้นทางที่เดินผ่าน กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ไปเทรกกิ้งจึงมักเรียกเพิงดังกล่าวว่า Family Mart เพราะเป็นการดำเนินกิจการที่เป็นลักษณะครอบครัวทั้งพ่อแม่ลูกช่วยเหลือกัน แต่สำหรับเส้นทาง Sar Pass พบว่าส่วนใหญ่มักเป็นชาวบ้านเพียง หนึ่งหรือสองคนเดินหาบเร่ตามนักเทรกกิ้ง แต่ละเบสแคมป์พ่อค้าก็จะเปลี่ยนหน้ากันไป กลุ่มนักท่องเที่ยวจึงมักเรียกขานกลุ่มนี้ว่า 7-11 เคลื่อนที่ เนื่องจากคอยตามไปเป็นเพื่อนยามหิวหรือยามเบื่อหน่ายอาหารอินเดีย อาหารที่นักท่องเที่ยวนิยมสั่งมากสุด คือ ไข่เจียวใส่เครื่องเทศ กาแฟ และไจร้อนๆ

“ไข่เจียวใส่เครื่องเทศไหมครับ ยี่สิบรูปีเอง” พ่อค้าหาบเร่ร้องถามขึ้นเมื่อพันไมล์เดินเข้าไปใกล้

พันไมล์ส่ายหน้า เธอเองก็อยากอุดหนุนลุงหาบเร่คนนี้ แต่หัวหน้าคณะยังไม่สั่งให้หยุดทานข้าวเที่ยง ไม่อยากให้เพื่อนร่วมคณะเขม่นเอาด้วยเพราะลำพังเอียนออกมารับหน้าแทนเรื่องน้ำหนักเป้เกินพิกัด เพื่อนผู้หญิงหลายคนก็เขม่นเอามากอยู่แล้ว

“ฉันขอไม้เท้าดีกว่าค่ะ ราคาเท่าไหร่คะ”

“ยี่สิบรูปีครับ” พ่อค้าหาบเร่วัยชราตอบแล้วดึงไม้เท้าที่แบกอยู่ด้านหลัง ส่งให้เธอ

“ขอบคุณค่ะ” พันไมล์ขอบคุณเบาๆ แล้วยื่นแบงค์รูปีให้ ทำท่าจะเอ่ยชวนคุยว่าบ้านอยู่แถวไหน เดินหาบเร่มากี่ปีแล้ว แต่ให้ต้องนึกเปลี่ยนใจเมื่อบัดนี้กลุ่มเพื่อนๆ ทั้งชายและหญิงเดินมาห้อมล้อมพ่อค้าเพื่อขอซื้อไม้เท้าตาม พันไมล์รีบถอยออกมาเมื่อพบว่าหนึ่งในนั้น มีเอียนร่วมอยู่ด้วย

เธออยากห่างจากเขา เพราะยิ่งใกล้เขา เธอยิ่งคิดถึงภูผา

เอียนเหมือนกระจกอีกด้านของภูผามากเกินไป!

เดินออกไปได้ระยะหนึ่ง เธอพบว่าพ้นเขต Kasol เข้าสู่เขต Grahan เธอได้รับคำบอกเล่าจากชาวบ้านละแวกนั้นว่าหมู่บ้าน Grahan เป็นหมู่บ้านสุดท้ายในเส้นทางซาพาสที่จะมีบ้านเรือนอาศัยอยู่ จากนี้จะไม่มีบ้านคนอาศัยอยู่อีกแล้ว เธอผ่านบ้านของคนชนบทประมาณสี่สิบถึงห้าสิบหลัง ผ่านโรงเรียน และวัด ได้เห็นวิถีชีวิตของคนละแวกนั้นว่าดำรงชีวิตด้วยการทำเกษตรและเลี้ยงจามรี ออกจากหมู่บ้านก็เป็นเขตป่าทึบ พบต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้งดอก Rhododendron(3) ดอกกล้วยไม้ป่า และดอกไม้ป่าต่างๆ ซึ่งพันไมล์ไม่รู้จัก ถามหญิงอินเดียร่วมคณะ บอกได้แค่ว่าเป็นดอกไม้ป่าเท่านั้น

พันไมล์หยุดถ่ายรูป ฟังเสียงนกร้อง รู้สึกว่ากลับสู่โลกส่วนตัวอีกครั้ง เสน่ห์ของการเทรกกิ้งอยู่ตรงนี้ ได้กลับมาอยู่กับธรรมชาติ หลีกหนีสังคมที่วุ่นวายสับสน พันไมล์รู้สึกสงบและเป็นสุขเมื่อไม่ต้องทำอะไรรีบเร่งแข่งกับเวลา และไม่ต้องรับรู้โลกภายนอกระยะหนึ่ง

“ทุกคนครับหยุดทานข้าวเที่ยงครับ”

เสียงเพื่อนๆ ร้องตะโกนบอกต่อๆ กันมา พันไมล์จึงเดินตามเสียงร้องของคนในคณะ เลียบไปทางแม่น้ำ จนสุดทางพบว่าเพื่อนหลายคนกำลังนั่งทานข้าวกล่องอยู่

พันไมล์ไม่ได้นั่งลงทานข้าวเหมือนเพื่อนๆ ในทันที แต่ยืนเอนหลังพิงเป้กับก้อนหินใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด(4) หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

เหนื่อยไม่ใช่เล่นกับการเดินเขาสองชั่วโมงเต็มโดยไม่ได้พัก เหงื่อออกได้เพียงครู่เดียว บัดนี้เมื่อมีลมพัดโกรกมา เธอก็รู้สึกหนาวจนต้องห้อไหล่ ยามเดินได้ออกเหงื่อ ร่างกายจึงไม่รู้สึกหนาวแต่พอหยุดเดินอย่างนี้ รู้ซึ้งถึงอากาศหนาวภายนอกเลยทีเดียว หยิบเทอร์โมมิเตอร์ในกระเป๋าเล็กด้านหน้ามาวัดอุณหภูมิ พบว่าอุณหภูมิเวลานี้อยู่ที่ระดับสององศา!

แล้วครู่ต่อมาพันไมล์ต้องกะพริบตา เมื่อมีเงาลางๆ มาหยุดยืนตรงหน้า

“ขอโทษที ฉันอยากขอน้ำเกลือแร่ ของฉันทำตกลำธาร”

เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง พบว่าเป็นหญิงอินเดียคนที่เอ่ยท้วงเธอเรื่องน้ำหนักเป้ พันไมล์มองไปทางกลุ่มเพื่อนของเจ้าหล่อน

“เพื่อนคนอื่นเขาจิบกันเกือบหมดแล้ว เหลือแต่ของเธอ ฉันเห็นยังเต็มทั้งสองขวด พอจะแบ่งให้ฉันสักขวดได้ไหม” อีกฝ่ายพูดเหมือนแปลสายตาพันไมล์ออก

พันไมล์ถอนหายใจแผ่วเบา อีกขวดของเธอก็เหลือเพียงครึ่งเดียว เพราะจิบมาตลอดทาง จะส่งให้เฉพาะเกลือแร่ที่เป็นซองก็ไม่ได้ด้วยเพราะแถวนี้ไม่มีน้ำสะอาดชง ตัดสินใจฉวยขวดน้ำเกลือแร่ที่เต็มขวดที่เหน็บอยู่ข้างเป้ส่งให้หล่อน

“เธอชื่ออะไร”

“เมล่า”

“ฉันชื่อมาราตี ขอบใจนะเมล่า”

พันไมล์มองตามหลังร่างท้วม เมื่อเจ้าหล่อนพูดจบก็เดินถือขวดน้ำเกลือแร่หายเข้าไปในกลุ่มเพื่อนทันที ละกลับมาไหวไหล่กับตัวเอง

การเดินทางอย่างนี้ บางทีสอนให้เธอรู้จักการข่มใจและเอาชนะใจตัวเอง!

“น้ำเกลือแร่ไหมครับ”

พันไมล์สะดุ้งเมื่อเอียนเดินมาหยุดพิงก้อนหินข้างเธอ ยื่นขวดเกลือแร่มาให้ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ไม่ค่ะ ของฉันยังมี”

“ของคุณเหลือแค่ครึ่งขวด เพราะให้มาราตีไปแล้ว รับของผมไปสิครับ” เอียนคะยั้นคะยอ

พันไมล์ไม่ตอบ ฉวยขวดน้ำเกลือแร่ที่เหน็บอยู่อีกด้านของเป้ขึ้นจิบแทนคำตอบ ลดขวดเอ่ยว่า “เดี๋ยวฉันขอตัวไปทานข้าวกับเพื่อนนะคะ” พันไมล์พูดแล้วเหลียวไปมองอินทราและสิกขาซึ่งกำลังเดินเคียงคู่เข้ามายังธารน้ำตก

“เดี๋ยวเมล่า” เอียนคว้าแขนอีกฝ่าย “ทำไมวันนี้คุณแปลกๆ ไป ทำเหมือนไม่อยากคุยกับผม”

“คุณคิดมากไปเอง” พันไมล์กล่าวน้ำเสียงหงุดหงิด

“ไม่” เอียนขมวดคิ้ว “ผมไม่ได้คิดมากไปเอง หรือคุณเหนื่อยเพราะแบกเป้หนัก งั้นผ่อนของในเป้มาให้ผมช่วยแบกดีไหม”

พันไมล์เม้มริมฝีปาก “ไม่ค่ะ ไปดูแลคนอื่นเถอะ ฉันดูแลตัวเองได้”

“แต่ผมเป็นหัวหน้าคณะ มีหน้าที่ดูแลทุกคน”

“ใช่..ทุกคน ไม่ใช่ฉัน..คนใดคนหนึ่ง” พันไมล์ย้ำเสียงหนัก

เอียนขมวดคิ้ว “คุณหงุดหงิดอะไรน่ะเมล่า ผมทำอะไรผิดหรือ”

พันไมล์ลูบหน้า เรียกสติกลับคืนมา รู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทกับอีกฝ่าย “ฉันขอโทษ บางทีฉันอาจเป็นแอลทิทูด(5) เลยทำให้พาลหงุดหงิดใส่คุณ”

“ไม่หรอก” เอียนมองพันไมล์อย่างไม่เชื่อ “จุดที่เรายืนอยู่ความสูงยังไม่ถึง 7,000 ฟุตด้วยซ้ำเพราะงั้นคุณเป็นโรคแอลทิทูดไม่ได้หรอก มีเหตุผลอื่นที่ทำให้คุณไม่อยากคุยกับผม อย่างนั้นใช่ไหมเมล่า”

“ไม่ค่ะ..ปล่อยแขนฉันเถอะ คนอื่นกำลังมองอยู่”

เอียนจ้องเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมปล่อยมือ มองตามหลังร่างบาง ที่เดินตัวปลิวไปยังกลุ่มอินทราทันทีที่ได้รับอิสระ

แล้วเจ้าตัวก็กระซิบเสียงแผ่วว่า ..วันหน้าผมจะไม่ปล่อยคุณแน่

ภายหลังทานข้าวเที่ยงเสร็จ เอียนก็ปล่อยให้ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัยที่น้ำตกครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงประกาศให้ทุกคนเดินทางต่อ ระหว่างทางจากน้ำตกไปยังแคมป์ Grahan เหลืออีกสองกิโลเมตร พันไมล์พบว่าเป็นทางที่ค่อนข้างลำบากและอันตรายมาก เนื่องจากต้องปีนเขาชัน ดีที่วันนี้ฝนไม่ตก ไม่อย่างนั้นพื้นดินจะชื้นแฉะและลื่นยิ่งกว่านี้

“ผมช่วย”

พันไมล์ชะงักเมื่อปีนจะไปถึงยอดเขา เอียนก็ส่งเสียงทุ้มพร้อมกับยื่นมือออกมาให้จับจากบนยอดเขา พันไมล์ลังเลชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจวางมือลงบนอุ้งมือหนาอย่างเสียไม่ได้ ในใจอดคิดไม่ได้ว่าเป็นการตัดสินใจผิดพลาดของตัวเองที่จงใจเดินรั้งท้ายคนสุดท้ายเพื่อหวังจะอยู่ห่างเขาให้มากที่สุด แต่กลายเป็นว่ากลับเปิดโอกาสให้เขาอยู่ตามลำพังกับเธอสองต่อสอง เมื่อบัดนี้ทุกคนเดินล่วงหน้าไปกันหมดแล้ว

เอียนกระชับมือนุ่มในอุ้งมือ ก่อนจะออกแรงดึงหญิงสาวขึ้นจากไหล่เขา

“พักก่อนนะเพื่อให้ร่างกายปรับกับความกดอากาศ บนนี้สูง 7,700 ฟุต ออกซิเจนเริ่มน้อยลง”

“เราอยู่ใกล้แคมป์แล้วนี่คะ รีบเดินไปสมทบกับคนอื่นๆ เถอะ”

“เดี๋ยวเมล่า” เอียนรั้งมืออีกฝ่ายไว้

“มีอะไรคะ”

พันไมล์ถามแล้วห้อไหล่โดยไม่รู้ตัว ยิ่งสูงยิ่งไม่มีต้นไม้ มีแต่ต้นหญ้าเตี้ยๆ ติดดิน ทำให้ลมพัดโกรก หนาวยิ่งขึ้น เอียนเห็นอย่างนั้นจึงถอดเสื้อโคทของตัวเองคลุมไหล่ให้หญิงสาว

“ฉันไม่เป็นไร” พันไมล์ผงะ รีบดึงเสื้อคืนให้เขา

“เมล่า” เอียนกดมือลงบนมือบาง ไม่อนุญาตให้หญิงสาวกระตุกเสื้อคืน “ยืนคุยกันตรงนี้สักครู่ได้ไหม หาโอกาสอยู่สองต่อสองกับคุณอย่างนี้ยากจัง” เอียนพูดแล้วยิ้มล้อเลียนใส่ตาหญิงสาวในประโยคท้าย

พันไมล์เม้มปาก ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนตัดใจยอมยืนพิงหินกลับดังเดิม “คุณมีอะไรจะคุยกับฉัน” พันไมล์ถามเรียบๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบขวดเกลือแร่ข้างเป้ขึ้นจิบ ตาเริ่มหลับพริ้มขณะบังคับลมหายใจที่หอบกระชั้นให้ช้าลง เสื้อยืดใต้เสื้อแจ็คเก็ตที่เคยชุ่มไปด้วยเหงื่อเวลานี้เริ่มแห้งสนิท และมีความหนาวเข้ามาแทนที่

“คุณบอกเจ้าหน้าที่ตอนชั่งน้ำหนักเป้ว่าคุณเทรกกิ้งอย่างนี้บ่อย” เอียนเริ่มขึ้นเบาๆ

พันไมล์พึมพำตอบรับเบาๆ ตายังคงหลับพริ้มอย่างเหนื่อยอ่อน

“แล้วคุณไม่ห่วงคนข้างหลังบ้างหรือ เทรกกิ้งอย่างนี้รู้อยู่ว่าอันตรายแค่ไหน” เอียนถาม ตายังมองแก้มและริมฝีปากสีชมพูสดของพันไมล์ซึ่งเกิดจากลมหนาว

คำถามของหนุ่มอินเดีย ทำให้สาวลูกครึ่งเหม่อคิดถึงราฆพและพาเมล่า แล้วครู่ต่อมาเธอก็ส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ฉันไม่มีคนข้างหลังให้ห่วง”

“คุณไม่มีพ่อแม่หรือเมล่า”

“ฉันอยู่กับยายมา 7-8 ปีแล้ว” พันไมล์ตอบแล้วลืมตา ถอดเสื้อโคทคืนอีกฝ่าย “จะสี่โมงเย็นแล้วฉันต้องขอตัวนะคะ”

“เดี๋ยวเมล่า”

เอียนไม่พูดเปล่า แต่กระตุกแขนอีกฝ่ายให้เซปะทะอ้อมแขน พันไมล์ไม่ทันระวังจึงตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาเต็มๆ ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้พันไมล์ตกใจนาน เขาก้มลงจูบริมฝีปากนุ่มจนเสื้อโคทหลุดร่วงผล็อยจากมือพันไมล์ โดยไม่รู้ตัว

พระเจ้า.. พันไมล์ตัวชาดิก ที่แย่ยิ่งกว่านั้นจูบของเอียนมันเตือนเธอให้นึกถึงจูบของภูผา!





(1)ปูรี(poori) เป็นแป้งทอด ลักษณะเป็นแผ่นกลมๆ คล้ายจาปาตีแต่ขนาดเล็กกว่า

(2) ปั๊กกอร่า(pakora) เป็นผักทอดชนิดต่างๆ เช่น มันทอด ถั่วทอด ผักขมทอด รสชาติคล้ายมันทอดบ้านเราแต่ปรุงด้วยเครื่องเทศ หอมอร่อย

(3)Rhododendron : กุหลาบพันปี มีดอกสีชมพูอ่อน พบได้บนที่สูง

(4) เป็นวิธีพักเหนื่อยอย่างถูกวิธีสำหรับนักเทรกกิ้ง เวลาเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย ห้ามนั่งหรือล้มตัวลงนอนในทันทีแต่ให้ยืนเอนหลังพิงเป้กับก้อนหินหรือต้นไม้ครู่หนึ่ง จิบเกลือแร่ เพื่อชดเชยน้ำในร่างกายที่เสียไป

(5) altitude sickness : คนที่เดินเขาในระดับความสูงตั้งแต่ 8,200 ฟุตขึ้นไป อาจเผชิญกับภาวะการแพ้ความกดอากาศบนเขาสูง (altitude sickness) หรือเรียกโรคนี้อย่างเป็นทางการว่าโรคแพ้ความกดอากาศเฉียบพลัน (Acute Mountain Sickness—AMS) เกิดจากการขึ้นสู่พื้นที่สูงเร็วกว่าที่ร่างกายจะปรับตัวได้ทัน อาการของโรคนี้คือ เริ่มแรกจะรู้สึกปวดหัว คลื่นไส้ เหนื่อย หมดความอยากอาหาร นอนไม่หลับ น้ำขังในร่างกายและร่างกายบวม จากนั้นอาการจะเริ่มแย่ลงจนถึงขั้นโคม่าหรือเกิดภาวะน้ำท่วมปอดนั่นคือจะเริ่มหายใจติดขัดและไอติดต่อกันเนื่องจากมีสิ่งขัดขวางในช่องอก ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการแพทย์เพื่อรองรับการปีนเขา แนะนำวิธีแก้ไขโรคนี้ว่าจะต้องเดินลงสู่ที่ต่ำทันทีหากหยุดพักในระดับความสูงเดิมแล้วอาการทรุดลง อย่างไรก็ตามนักเดินเขาสามารถลดโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแพ้ความกดอากาศได้โดยการดื่มของเหลวให้เพียงพอ เช่น ระดับความสูง 14,000 ฟุต จะต้องดื่มน้ำหรือของเหลวชดเชยไม่ต่ำกว่าสองถึงสามลิตรต่อวัน



lozocatlozocat




Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2556 0:55:23 น.
Counter : 862 Pageviews.

1 comment
ทางสายหมอก...บท 2

lozocatlozocat

พันไมล์ชะงัก ยกผ้าขนหนูขยี้ผมที่เพิ่งสระใหม่ๆ ค้าง เมื่อก้าวออกมาจากเต็นท์พบว่า ‘เอียน’ ยืนรออยู่หน้าเต็นท์อยู่ก่อนแล้ว ถอนหายใจแผ่วเบาขณะลอบมองใบหน้าคมสันแบบ ‘ผ่าเหล่า’ ของหนุ่มอินเดีย

เอียนเพิ่งอาบน้ำเสร็จเหมือนกับเธอ สังเกตได้จากกลิ่นโคโลนญ์อ่อนๆ หลังโกนหนวดโชยมาแตะจมูก เนื้อตัวเขาสะอาดสะอ้านอยู่ในชุดเสื้อไหมพรมคอวีกับกางเกงยีนส์ ภายหลังขะมุกขะมอมจากกิจกรรมฝึกใช้อุปกรณ์ไต่เขา โหนเชือกลงจากหน้าผาเมื่อช่วงเช้าแล้ว หัวหน้าแคมป์ก็ปล่อยให้พวกเธออาบน้ำ ทานข้าวเที่ยงและพักผ่อนตามอัธยาศัย

เจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ตรงหน้าเธอเป็นหนุ่มอินเดีย ผิวค่อนไปทางขาวเพราะไปเกิดและเติบใหญ่ในเมืองนอกหลายปี แม้ไม่ขาวจัดอย่างคนตะวันตกแต่ก็ถือว่าขาวกว่าคนอินเดียทั่วไปค่อนข้างมาก เธอจึงแอบค่อนขอดลับหลังเขาเสมอว่า ‘ผ่าเหล่า’

เอียนเป็นคนสูง อย่างน้อยก็ 180 เซนติเมตรเป็นอย่างต่ำ ขนาดเธอซึ่งจัดว่าสูงกว่ามาตรฐานคนเอเชีย เมื่อมายืนใกล้กับเขาอย่างนี้ สูงแค่ระดับใบหูเขาเท่านั้น เขามีรูปหน้าคมคาย ใบหน้าเหลี่ยมล้อมกรอบด้วยผมหยักศกสีดำ ตาคม จมูกโด่งตรง ริมฝีปากหนาแต่ได้รูป

คมเข้มละม้ายใครบางคน!

เธอรู้จักกับเอียนเมื่อสี่วันก่อนระหว่างเดินดูอนุสาวรีย์ทัชมาฮาล ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในวันที่อากาศร้อนจัดด้วยอุณหภูมิกว่าสี่สิบองศา กำลังเดินดูผนังหินอ่อนสีขาวนวลตามแบบสถาปัตยกรรมโมกุล-เปอร์เซีย พลางนึกศรัทธาความรักของพระเจ้าชาห์ จาฮานที่มีต่อพระชายาพระนางมุมตัส มาฮาล ด้วยพระองค์ทรงมุมานะกับการสร้างทัชมาฮาลเพื่อเป็นสุสานฝั่งพระศพพระชายาถึงยี่สิบสองปี โดยไม่เคยมีพระชายาองค์ใหม่ข้างกายเลย

เป็นความรักที่เต็มไปด้วยการทุ่มเทจนกระทั่งเจ้าชายออรังเซบ ผู้เป็นพระโอรส ไม่พอใจ ด้วยพระองค์ทรงใช้เงินทองเกือบหมดพระคลังมาสร้างทัชมาฮาล ผู้เป็นพระโอรสจึงปฏิวัติ จับพระเจ้าชาห์ จาฮานผู้เป็นพระบิดาเข้าคุกที่ป้อมอัคราฟอร์ดหรือป้อมแดง(1) กระทั่งสิ้นพระชนม์ในที่สุด

กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น เสียงทุ้มของเอียนก็ดังขึ้นทางข้างหลัง ชี้ชวนให้ดูหอคอยสี่ด้านซึ่งอยู่รอบทัชมาฮาล พันไมล์หันมามองเจ้าของเสียงแล้วต้องตัวชาวาบเมื่อเห็นว่าใบหน้าคมเข้มตรงนั้นละม้ายใครบางคน

‘ดูเสามินาเรทสิครับ เคยสงสัยไหมว่าทำไมมันเอนห่างออกจากทัชมาฮาล’

ครั้งนั้น จำได้ว่าเธอตวัดตาค้อนเขาเมื่อได้ยินคำถามที่ใช้น้ำเสียงสนิทสนมนั่น

แต่เออ..นั่นสิ ทำไมหอคอยถูกสร้างให้เอนห่างจากตัวทัชมาฮาล? แวะเวียนมาดูทัชมาฮาลก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยเอะใจ พันไมล์นึกแล้วเหลียวมองเสาทั้งสี่ด้านอย่างพินิจ

‘เพราะอะไร’ เธอถามน้ำเสียงเรื่อยๆ เหมือนไม่สนใจ ไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอเริ่มฮุบเหยื่อของเขา

‘เพราะช่างก่อสร้างคำนวณระยะที่กะว่าถ้าเกิดแผ่นดินไหว เสาทั้งสี่ต้นจะล้มออกห่าง ไม่ทำลายตัวทัชมาฮาล’ อีกฝ่ายตอบเสียงนุ่ม

‘ก็ถ้าคิดว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ไปสร้างเสามินาเรทให้เกะกะทำไม’ พันไมล์จำได้ว่าครั้งนั้นย้อนอย่างตีรวนเขาไปอย่างนั้น อันที่จริงเธอก็รวนเขาไปอย่างนั้น รู้ว่าเมื่อพันปีก่อนนั้น การสร้างหอคอยเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากไว้ตรวจตราแล้ว ยังทำให้ทัชมาฮาลงามสมบูรณ์แบบขึ้นด้วย

เอียนทำหน้าเก้อๆ ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีกับคำถามยียวนนั้น สุดท้ายก็เปร่งเสียงหัวเราะเก้อๆ เอ่ยเปลี่ยนเรื่องด้วยการชี้ชวนให้เข้าไปชมข้างใน

‘เข้าไปดูข้างในกันเถอะครับ ภายในโดม ช่างต้องขนหินอ่อนมาจากเมืองมัครานาในแคว้นราชสถานซึ่งถือว่าเป็นแหล่งหินอ่อนที่ดีที่สุดในอินเดีย ช่างนำมาสลักฉลุเป็นลวดลายเครือเถาทั้งรูปเรขาคณิต ดอกไม้ ใบไม้ แทรกด้วยหินสีและอัญมณีตรงกลาง สวยงามมาก ผมอยากให้คุณเข้าไปดูข้างใน’

ทัชมาฮาล เป็นอนุสาวรีย์ที่มีหอคอยล้อมรอบ เป็นอาคารที่ไม่มีหน้าต่าง หากแต่อาศัยการถ่ายทอดแสงสว่างจากภายนอกผ่านฉากหินอ่อนฉลุลวดลายสองชั้น ภายในตามเพดานและผนังประดับด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ แทรกด้วยทับทิมและนิล โดยห้องใต้ดินเป็นห้องเก็บพระศพของพระเจ้าชาห์ จาฮานและพระนางมุมตัส มาฮาล ผู้เป็นพระชายา

‘ไม่ค่ะ ฉันอยากเดินดูบรรยากาศแถวนี้มากกว่า เพิ่งเห็นว่าจากจุดนี้มองเห็นป้อมอัคราฟอร์ดไกลลิบๆ ด้วย’ พันไมล์พูดแล้วมองไปทางทิศตะวันตกของแม่น้ำยมุนา มุมปากกดลึกอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มยืนเท้าไม่ติดพื้น ต้องคอยโยกตัวไปมาเพื่อผ่อนน้ำหนักฝ่าเท้าซ้ายและขวาไม่ให้รับความร้อนจากพื้นหินอ่อนนานเกินไป

ก็บริเวณที่เธอยืนอยู่ อยู่นอกทัชมาฮาลและพื้นหินอ่อนใต้ฝ่าเท้าก็เก็บความร้อนได้อย่างดีนี่นะ!

กลางวันจะร้อนจัดเพราะรับแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาเต็มที่ และเวลานี้เธอเดาว่าหนุ่มอินเดียคงแทบเท้าสุกพองแล้วกระมัง ถึงได้เต้นเหยงๆ อย่างนั้น!

ปกติคนในพื้นที่จะเตรียมผ้ามารัดเท้าถ้าไม่อยากจ่ายเงินยี่สิบรูปีสำหรับค่าบริการร้องเท้าผ้า เพราะที่นี่ห้ามสวมรองเท้าเข้าชมก็เหมือนกับสถานที่สำคัญอื่นๆ แต่สำหรับเขาเธอเดาว่าเขาคงตั้งใจมาเช่าเอาที่นี่แต่เนื่องจากหมดเจ้าตัวจึงออกอาการเต้นเป็นเจ้าของอย่างนั้น

‘ได้ยินมาว่าหีบศพหินอ่อนที่อยู่ใต้หลังคาโดมใหญ่ไม่ใช่หีบศพของจริง’ พันไมล์หันมาชวนคุย ยิ้มเจ้าเล่ห์ยังเกลี่ยรอบเรียวปากเมื่อเห็นเขายังเต้นเหยงๆ

‘อ่า..ใช่ครับหีบศพของจริงจะวางอยู่ในอุโมงค์ชั้นใต้ดิน แต่ตรงตำแหน่งที่วางหีบศพข้างบนนั่นแหละครับ เหตุผลที่มีการออกแบบให้หีบศพข้างบนและข้างล่างอยู่ในตำแหน่งเดียวกันก็เพื่อกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเหยียบตรงที่บรรจุพระศพ’

‘ก็ถ้าไม่อยากให้คนเหยียบที่บรรจุพระศพ ทำไมไปสร้างให้มีช่องทางเดิน’

‘อ๊ะ..’ เอียนชะงัก ‘นั่นสิ ว่าแต่คุณ?’

‘เมล่าค่ะ’ พันไมล์บอกชื่อฝรั่งอย่างเสียไม่ได้

‘ครับคุณเมล่า ชื่อเพราะจัง ว่าแต่เคยมีคนบอกคุณไหมว่าคุณน่ะตีรวนเก่งอย่างร้ายกาจ’

‘เคยค่ะ คุณไงล่ะ’ หญิงสาวตอบด้วยสีหน้าไขสือ

เอียนชะงัก ก่อนจะหัวเราะชอบใจ แต่เท้าโยกสลับกันไปมาหนักขึ้น

พันไมล์คลี่ยิ้มจางๆ คิดว่าแกล้งเขาจนสาสมกับความผิดที่เข้ามาขัดบรรยากาศเงียบสงบแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า ‘คุณชื่ออะไรคะ’

‘เอียนครับ ผมเอียน ชาลิมาร์ ทำธุรกิจเกี่ยวกับบ้านจัดสรรซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว’ อีกฝ่ายบรรยายสรรพคุณเสร็จสรรพ

‘ค่ะเอียน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุยกับคุณสนุกทำให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้น แต่เห็นทีต้องขอตัวแล้วค่ะเพราะมีธุระ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ’ พันไมล์กล่าวแล้วยื่นมือออกไปให้สัมผัสตามธรรมเนียมตะวันตก แล้วพึมพำเอ่ยขอตัวแล้วจากมา เดินไปคืนรองเท้าผ้าให้เจ้าหน้าที่ ก่อนจะเดินตัวปลิวสะพายกล้องถ่ายรูปเลียบไปทางบ่อน้ำออกประตูใหญ่ จะถึงประตูหน้าชะงัก อดจะเหลียวกลับมามองข้างหลังไม่ได้

ภาพทัชมาฮาลขาวโพลนท่ามกลางแสงอาทิตย์ มีท้องฟ้าสีครามเป็นฉากหลัง ส่องให้โดมดูสว่างเจิดจ้าเกินจริงจนเธอต้องขยี้ตา อดจะคว้ากล้องถ่ายรูปขึ้นมากดชัตเตอร์อีกไม่ได้ พันไมล์กดชัตเตอร์หลายครั้ง กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง

‘ขึ้นไปบนเก้าอี้สิครับ ผมจะถ่ายให้’

เหลียวไปมองเห็นเป็นหนุ่มเอียนคนเดิม ก็ชะงัก

‘ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ค่อยชอบถ่ายตัวเอง’

‘แปลก ผู้หญิงสวยๆ ส่วนใหญ่ชอบให้ถ่ายรูป’

‘ฉันอาจอยู่ในข่ายยกเว้น’

‘ถ่ายเถอะครับ ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ตัวที่ใกล้ที่สุด แล้วทำท่าจีบนิ้ว’

เริ่มถึงบางอ้อว่าเขาต้องการให้เธอทำอะไร ที่นี่ก็เหมือนที่อิตาลี ที่นั่นคนชอบถ่ายรูปด้วยการทำนิ้วจิ้มหอเอนปิซ่า เหมือนกับออกแรงผลักด้วยนิ้วเดียวหอก็เอนอะไรเทือกนั้น ส่วนที่นี่คนชอบจีบนิ้ว จับยอดโดม เหมือนกับว่าโดมสูงแค่ปลายนิ้วเรา

พันไมล์ส่ายหน้า

‘ทำไมละครับ’ เอียนร้องอย่างผิดหวัง

‘ฉันถ่ายมาเยอะแล้ว ไม่ล่ะค่ะ’ พันไมล์ยอมบอกตรงๆ

‘อ้าว..นี่คุณไม่ได้มาทัชมาฮาลครั้งแรกหรอกหรือครับ ดู..ทำให้ผมปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม หลงคิดว่าคุณมาเป็นครั้งแรก’

พันไมล์ส่ายหน้าแทนคำตอบ

‘งั้นคุณมาทำอะไรที่นี่ บ่อยๆ ครับ’

ถามแปลก..ใจนึก แต่ปากตอบว่า ‘พักผ่อนค่ะ’

‘พักผ่อนที่อัครานี่นะครับ?’

‘ไม่เห็นแปลก อัคราเป็นเมืองหลวงเก่าของอินเดีย มีประวัติศาสตร์มากมาย อย่างน้อยก็มีทัชมาฮาล และพระราชวังอัคราฟอร์ด’

‘ก็ใช่..แต่ผมก็ยังอดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี’ อีกฝ่ายยังคงทำเสียงเหมือนไม่มั่นใจ

พันไมล์ยิ้มจางๆ ‘จริงๆ แล้วไม่ใช่เหตุผลพวกนั้นซักทีเดียวค่ะ’ พันไมล์ยอมรับ ‘ฉันมาที่นี่เพื่อมาเทรกกิ้งหิมาลัย เพียงแต่ยังเหลือวันว่างอีกเล็กน้อย เลยมาเดินแกร่วแถวนี้’

‘เทรกกิ้งหิมาลัย?’ เอียนถาม เหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง ตามองเจ้าของร่างบางตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างไม่มั่นใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้ายืนยัน เขาก็ถามว่า ‘เทรกกิ้งแถวไหนครับ’

‘ซาพาสค่ะ หุบเขาปาวาตี’

แล้วหลังจากนั้นรุ่งขึ้นอีกวันเธอก็เจอเขายังเบสแคมป์ Kasol แห่งนี้!


“เมล่า”

หญิงสาวสะดุ้งโหยง เมื่อมือเย็นของเอียนเอื้อมมาแตะที่แขน หญิงสาวพลิ้วแขนหลบอย่างคนถือตัว

“ใจลอยอีกแล้ว ทำไมนะเจอกันแต่ละครั้งคุณต้องใจลอย” สองสามวันที่อยู่ใกล้กัน ทำให้เขาสนิทจนกล้าหยอกล้อเธอมากขึ้น

“เปล่าค่ะ” เธอปฏิเสธพร้อมกับยกมือลูบหน้าอย่างพยายามเรียกสติ “แล้วนี่มายืนรออะไรหน้าเต็นท์ผู้หญิง”

“ผมเอาข้าวมาให้” เอียนบอกง่ายๆ แล้วส่งกล่องข้าวให้หญิงสาว “ผมไปต่อคิวมาให้” ยื่นแล้วก็มองหน้าหญิงสาว

เมล่าเป็นผู้หญิงสวยคมแต่ลึกลับ เขาเจอเธอครั้งแรกตอนไปเที่ยวอนุสาวรีย์ทัชมาฮาลกับเพื่อนฝรั่งเมื่อหลายวันก่อน เห็นเธอสวยสดใสในชุดเสื้อเชิ้ตกระโปรงฝ้ายท่ามกลางสาวอินเดียผิวดำซึ่งกำลังเมียงมองผนังหินอ่อนทัชมาฮาล แวบแรกที่เห็นเธอ มันเหมือนมีแม่เหล็กที่มองไม่เห็นดึงดูดให้เขาสาวเท้าไปหาเธอ มารู้สึกตัวก็พบว่าตัวเองยืนตรงหน้าเธอแล้ว

ตอนที่พินิจใกล้ๆ เขาพบว่าหล่อนมีผิวขาวอมชมพูอย่างผิวพรรณลูกผู้ดี สวยเข้ม รูปหน้ายาวรีล้อมกรอบด้วยผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งปลายงอน ริมฝีปากบางเป็นกระจับสีชมพูอ่อนๆ ดูออกว่าเป็นความงามสวยซึ้งอย่างธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งด้วยสารวิทยาศาสตร์ใดๆ

แล้วเอียนก็มองพันไมล์ตรงๆ

เวลานี้เธออยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ลูกฟูก ดูง่ายๆ สบายๆ ยีนส์ส่งให้ร่างที่บอบบางอยู่แล้ว ดูสูงโปร่งและอรชรมากยิ่งขึ้น เห็นสรีระหญิงสาวแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะพิสมัยกิจกรรมประเภทแบกเป้เดินเขา เพราะหุ่นเธอบอบบางน่าจะเหมาะกับกิจกรรมเดินแบบแคทวอล์กมากกว่า!

สองวันบน Kasol เขาพบว่าเมล่าเป็นผู้หญิงที่เข้ากับคนง่าย เป็นกันเองกับทุกคน แต่ไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับใครนัก เขาพยายามซักถามเรื่องส่วนตัวของเธอ แต่พบว่าเขารู้อะไรไม่มากไปกว่าวันแรกที่รู้จักกัน รู้ว่าเธอเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันที่ทำงานด้านขีดๆ เขียนๆ ให้กับนิตยสารอเมริกาฉบับหนึ่ง.. แค่นั้นจริงๆ ที่เขารู้

หญิงสาวมักเลี่ยงเวลาเขาถามเรื่องส่วนตัว ทำเหมือนมันเป็นเรื่องลึกลับ แต่อย่างไรก็เถอะเขายอมรับว่าเขารักผู้หญิงคนนี้- -เขาตกหลุมรักผู้หญิงที่เต็มไปด้วยปริศนาคนนี้นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าทีเดียว จนสามวันก่อนเขาไม่ลังเลเลยที่จะตอบปฏิเสธการเข้าร่วมประชุมกับหนุ่มโฆษณาจากเมืองไทย ที่เขาว่าจ้างมาทำจิงเกิ้ลโฆษณาบ้านจัดสรร- -โครงการที่เขาไปปลูกแถบจังหวัดภูเก็ต

แล้วปล่อยให้พ่อและแม่ รับหน้าเสื่อหนุ่มโฆษณาคนนั้นแทน ส่วนตัวเขาชิ่งมาหาเมล่าที่ Kasol แห่งนี้ หลังรู้ว่าเส้นทางเทรกกิ้งของเธอเริ่มต้นที่หมู่บ้านใด

พันไมล์มองกล่องข้าวในมือเขา ยังไม่รับในทันที เหลือบไปมองยังเต็นท์ครัวซึ่งนักท่องเที่ยวกำลังเข้าคิวรับอาหารอยู่หน้าเต็นท์มากมาย

“รับไปเถอะถ้าคุณไปต่อคิวตอนนี้ แถวยาวแน่” เอียนกล่าวอย่างรู้ใจขณะมองตามสายตาหญิงสาว

“แล้วคุณจะกินอะไร ถ้าเอามาให้ฉันอย่างนี้”

“เดี๋ยวผมไปต่อคิว รับมาใหม่” เอียนตอบอย่างง่ายๆ

“ไม่..ดีกว่า เดี๋ยวฉันจะลงไปในหมู่บ้าน Kasol อยู่แล้ว ตั้งใจไปหาซื้อของใช้อะไรเล็กๆ น้อยๆ เพราะงั้นเดี๋ยวไปหาอะไรกินแถวนั้นดีกว่า”

ตั้งใจไปหาซื้อทิชชูเปียกด้วยเพราะก่อนหน้านี้พยายามหาซื้อในตัวเมืองเดลีแต่ไม่เจอเลย ทิชชูเปียกเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแคมป์สูงๆ เนื่องจากบนนั้นไม่มีน้ำใช้ แม้แต่ห้องหับมิดชิดอย่างห้องน้ำก็ยังไม่มี อย่างดีก็ต้องปล่อยทุกข์เอาตามหลังต้นไม้

“จริงๆ แล้วคุณเบื่ออาหารอินเดียใช่ไหม” เอียนถาม ยิ้มอย่างรู้ทัน

“เปล่า เพิ่งจะกินไปได้ 3-4 มื้อจะเบื่ออะไร” ปากพูดแต่ตามองกล่องข้าวในมือเอียนอย่างขยาดๆ เหมือนกัน ด้วยอาหารมื้อเที่ยงวันนี้ ยังไม่ต่างจากวันวาน นั่นคือข้าว โรตี(2) ดาลหรือแกงถั่ว ส่วนขนมหวานเป็นกุหลาบจามุน(3)

“คุณไม่เบื่อแต่ผมเริ่มเบื่อ” เอียนพูดหน้าตาเฉย “ดีเหมือนกันผมก็อยากหาอะไรกินข้างนอกเปลี่ยนบรรยากาศเหมือนกัน เดี๋ยวผมไปด้วยนะครับ ขอเวลาไปเก็บกล่องข้าวแป๊บ”

เอียนพูดแล้วหายไปอ่างล้างจานข้างเต็นท์ทำครัว เทกับข้าวทิ้ง ล้างกล่องและวิ่งหายเข้าไปในเต็นท์ชาย พันไมล์มองตามหลังจนเขาหายเข้าเต็นท์ชายแล้ว ตัวเองจึงเดินเข้าไปตากผ้า คว้าผ้าพันคอและกระเป๋าสตางค์ออกมาจากเต็นท์

ที่นี่ไม่ห้ามการออกนอกแคมป์ก็จริง แต่มีกฎเคร่งครัดว่าต้องกลับเข้าแคมป์ก่อนหกโมงเย็น แล้วต่อมาไม่นานพันไมล์ก็เดินลงไปในหมู่บ้าน Kasol โดยมีร่างสูงของเอียนเดินเคียงข้าง

จะว่าไปหมู่บ้าน Kasol เป็นเมืองชนบทที่น่าอยู่ อากาศกำลังเย็นสบาย ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่เร่งรีบ แต่ที่น่าเสียดายเห็นจะมีคนพี้ยาค่อนข้างมาก ออกจากแคมป์ก็เจอคนพี้ยาตามบ้านเรือนหรือเกสต์เฮาส์ ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นฝรั่งหรือคนอิสราเอลที่มาเที่ยวเป็นส่วนใหญ่

หมู่บ้าน Kasol อยู่ห่างจากหมู่บ้าน Manikan ซึ่งเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่ขึ้นชื่อของอินเดียแค่ห้ากิโลเมตร ซึ่งตามโปรแกรมวันสุดท้ายที่ลงจากซาพาส พวกเธอจะได้ผ่านหมู่บ้าน Manikan ด้วย สำหรับหมู่บ้าน Kasol เป็นศูนย์กลางการผลิตและขายเครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นเพชร พลอยหรือเครื่องเงิน

เมื่อวานตอนที่เธอลงมาสำรวจหมู่บ้าน พบว่าสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านเครื่องประดับ ซึ่งขายในราคาที่ถูกมาก ราคาที่ติดป้ายยังสามารถต่อได้อีก แต่จะต่อได้เท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับวาทะของผู้นั้น นอกจากนี้มีร้านขายอุปกรณ์ปีนเขาทุกชนิด มีร้านซักแห้งราคาย่อมเยา ร้านขายของชำ แล้วพันไมล์ก็เดินเข้าไปซื้อทิชชูเปียกในร้านขายของชำแห่งหนึ่ง จากนั้นก็แวะเข้าร้าน Bhoj Café เพื่อทานอาหารอิสราเอลกับเอียน


‘คุณไมล์แต่งตัวเสร็จยังคะ คุณท่านให้จีขึ้นมาตามค่ะ’

‘ยังแต่งไม่เสร็จ จีไม่เห็นหรือ’

จีรดาเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องนอนแล้วถอนหายใจ เมื่อเห็นเด็กสาวในชุดเบบี้ดอลล์ยังคงสางผมอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่มีทีท่าขยับลุกจากเก้าอี้ทั้งที่เลยเวลาทานข้าวเที่ยงกับแขกคุณราฆพมาเกือบสิบนาทีแล้ว

เจ้าของวงหน้าใสภายใต้แว่นตาหนาเตอะยังคงสางผม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้!

จีรดาค้อนด้านหลังเด็กสาวไปขวับหนึ่ง ก่อนเดินเข้ามาหยุดข้างหลัง อาศัยที่สนิทสนมกันมานานเพราะเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ฉวยหวีไปจากมืออีกฝ่าย

‘มาค่ะจีสางผมให้ ขืนให้คุณไมล์สาง พรุ่งนี้ก็ยังไม่เสร็จ’ ค่อนขอดอย่างไม่จริงจังนักแล้วยิ้มอย่างสงสารด้วยรู้สาเหตุที่เด็กสาว ‘เก’ เป็นอย่างดี

คุณพาเมล่าหย่ากับคุณราฆพและย้ายออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปกว่าสองเดือนแล้ว บัดนี้คุณราฆพมีแฟนใหม่และกำลังพามาทานข้าวมื้อเที่ยงที่คฤหาสน์เพื่อแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน

พี่เลี้ยงของคฤหาสน์สางผมให้เด็กสาวไปพักใหญ่จนผมนุ่มสลวย จึงเอ่ยขึ้นว่า ‘ผมเรียบจนขึ้นเงาแล้วค่ะคุณพันไมล์’ จีรดาพูดแล้วมองเด็กสาวในกระจก ภาพที่สะท้อนกลับมาเป็นเด็กสาวลูกครึ่ง แววตาค่อนข้างหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัด

‘ขอบใจจ๊ะจี’ พันไมล์พึมพำแผ่วเบา แล้วขยับลุกจากเก้าอี้

‘ผัดหน้าอีกหน่อยไหมคะ หน้าคุณไมล์ซีดเหลือเกิน’

‘ไม่ค่ะ ไมล์ขอตัวนะคะ’ พันไมล์เอ่ยแล้วสาวเท้าออกจากห้องนอน เดินลงบันไดไปชั้นล่าง เลี้ยวตรงหัวมุมก่อนจะถึงห้องอาหาร แล้วเธอต้องชะงักกึกตัวแข็งทื่อเมื่อชนเข้ากับแผงอกกว้างของชายร่างสูงเข้าอย่างจัง

‘ขอโทษครับ’ อีกฝ่ายเอ่ยขอโทษ แล้วรีบคว้าหมับเข้าที่แขน ก่อนที่พันไมล์จะล้มหน้าคะมำ

พันไมล์ชะงัก หน้าร้อนวูบเมื่อเห็นหน้าผู้ชายที่โผล่พ้นหัวมุมชัดๆ เขาคือหนุ่มลูกครึ่งไทย-บราซิล..นักฟุตบอลคนนั้น! หน้าที่ซีดขาวจึงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ตาเหลือบมองแขนที่เขายังจับอยู่อย่างสะเทิ้นอาย

‘ฉะ..ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ปล่อยได้แล้วค่ะ’ พันไมล์พูดแล้วพลิ้วแขนหลบการเกาะกุมของเขา

เจ้าของร่างสูงมองตามสายตาเด็กสาว ยิ้มขำปนเอ็นดูจุดบนเรียวปากเมื่อเห็นหล่อนเงอะงะด้วยความประหม่า ‘ขอโทษครับ’ ชายหนุ่มเอ่ยแผ่วเบา แล้วกล่าวต่อว่า ‘ผมกำลังมองหาห้องน้ำ ไม่รู้ไปทางไหน’

‘ตรงไป แล้วเลี้ยวขวาค่ะ’ แก้มร้อนผ่าวเมื่อสัมผัสได้ว่าเขากำลังยิ้มขันเธอ

‘ขอบคุณครับ’

พึมพำไม่เป็นไรเบาๆ แล้ว ตามองร่างสูงที่กำลังจะหายลับหัวมุมอย่างเขินๆ แก้มยังเป็นสีแดงระเรื่อกับสายตาขบขันของเขา แล้วครู่ต่อมาพันไมล์เหมือนจะนึกอะไรได้ คิ้วเข้มจึงขมวดมุ่นเมื่อเกิดคำถามว่าเขามาทำอะไรที่บ้านเธอ คิดอย่างไรก็หาสาเหตุไม่ได้ จึงถอนใจตัดความสนใจ หันกลับไปมองห้องอาหาร สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วจึงเดินตรงเข้าไป

เธอพบว่าผู้หญิงที่ได้ยินชื่อมาตลอดหนึ่งเดือนจากปากผู้เป็นพ่อเป็นหญิงสาวที่สวยสะพรั่ง คุณภัทรา สาวใหญ่สวยอ่อนหวานผู้เป็นแฟนใหม่ของพ่อเธอนั้น อยู่ในชุดแซกผ้าไหมตัดเย็บอย่างประณีต ผมดัดเป็นลอนปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง ตาคมดำ จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง

แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า อายุจะเลยเลขสี่ !

แต่จะอย่างไรเธอก็ยังรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรกับพ่อเธออยู่ดี!

แววตาที่บ่งบอกความเป็นอริจึงตวัดผ่านคุณภัทราไปแวบหนึ่งก่อนจะเลยไปสบตาคุณราฆพ โชคร้ายผู้หญิงคนนั้นรับสัญญาณที่เธอส่งไปได้ คุณภัทราตัวแข็งทื่อ มองเด็กสาวแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง พันไมล์มองตอบไม่ยอมหลบอย่างถือดี !

‘อ้าว..ไมล์ยืนอยู่ทำไมลูกเข้ามานั่งสิ แล้วนี่ทำไมมาช้า ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอไม่ดีรู้ไหม’

พันไมล์เมินหน้าไปมองคุณราฆพ ก้าวไปทรุดนั่งข้างประมุขของบ้านซึ่งอยู่ตรงข้ามสาวใหญ่

‘ไม่เป็นไรค่ะคุณฆพ ภัทรเองก็เพิ่งมา’ ภัทราตอบแล้วปรายตาไปมองเด็กสาวเงียบๆ พยายามครุ่นคิดถึงนิสัยใจคอของผู้ที่จะมาเป็นลูกเลี้ยงของเธอในอนาคต

รับรู้มานานแล้วว่าพันไมล์เป็นเด็กเก็บกดเพราะไม่ได้รับความอบอุ่นจากคุณพาเมล่า แต่ไม่คิดว่าจะเก็บกดจนถึงขั้นก้าวร้าวอย่างนี้

‘ไมล์ รู้จักแฟนพ่อ- -คุณภัทรา ต่อไปเธอจะมาเป็นนายหญิงของบ้านนี้’

พันไมล์ชะงัก ก่อนจะเม้มเรียวปากแน่นในเสี้ยววินาทีต่อมา

คุณราฆพขมวดคิ้ว ‘ยกมือไหว้คุณภัทราด้วยสิลูก’

พันไมล์หน้าตึง ยังไม่ยอมยกมือพนมง่ายๆ

‘ไม่เป็นไรค่ะ ภัทรไม่ถือ’ คุณภัทรารีบตอบแล้วมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างประเมิน เด็กสาวเป็นเด็กหัวแข็งพอสมควร แม้ดูภายนอกจะนิ่งๆ แต่เนื้อแท้เธอเชื่อว่าร้ายไม่ใช่เล่น ก็ขนาดเพิ่งเจอหน้ากันยังกล้ามองด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว.. นี่ถ้าเธอต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เห็นทีต้องผจญกับความร้ายกาจของพันไมล์ไม่ใช่น้อย ก็ดูแววตาน้ำตาลเข้มจนเกือบดำคู่นั้นสิ ประกาศเป็นศัตรูชัดแจ้ง!

แล้วภัทราก็หัวเราะเสียงฝืดๆ ‘คุณฆพนี่เข้มงวดกับลูกไม่ใช่เล่นนะคะ หนูไมล์น่ารักออกอย่างนี้ อย่าไปกดดันแกนักเลยค่ะ’

‘กล้าดียังไงถึงกล้ามาวิจารณ์ฉันวิจารณ์การเลี้ยงดูของครอบครัวฉัน คนในครอบครัวฉันก็ไม่ใช่’

คุณภัทราหน้าซีดก่อนจะแดงก่ำด้วยอารมณ์คุกรุ่น เหลียวไปมองคุณราฆพเงียบๆ ดูว่าเขาจะจัดการอย่างไรกับลูกสาว แต่ทว่าคุณราฆพเพียงแต่มองพันไมล์เท่านั้น อันที่จริงต้องพูดว่าตกตะลึงจะถูกต้องกว่าเพราะบัดนี้คุณราฆพอ้าปากค้าง ตาเบิ่งโตมองไปทางพันไมล์อย่างคาดไม่ถึง จะออกปากตำหนิแต่ให้มีเสียงกระแอมหน้าประตูดังขึ้นก่อน

‘ฮะแอ้ม’ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อคอโปโลกับกางเกงสแลคส่งเสียงกระแอมก่อนจะเดินตรงเข้ามาในห้องอาหารอย่างไม่รอเสียงอนุญาต เขาเดินเข้ามาทันได้ยินประโยคสุดท้ายของพันไมล์เข้าพอดี ปรายตาไปมองเด็กสาวอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะเหลือบไปมองผู้เป็นแม่อย่างเห็นใจวูบหนึ่งก่อนเลือนหาย

แม่เขาเป็นหญิงแกร่งคนหนึ่งแต่คงจะต้องออกแรงงัดพอสมควรหากจะมาต่อกรกับเด็กสาวคนนี้ เพราะเขาดูแล้วพันไมล์ไม่ใช่คนยอมคน แล้วดูจากการปะทะคารมกันเมื่อครู่ ปากคอเราะร้ายไม่เบา ดูภายนอกเป็นเด็กหงิมๆ บทจะเอาเรื่องขึ้นมา เขาเชื่อว่าจะร้ายไม่ใช่เล่น

หากแม่เขาหาญกล้าย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ เห็นทีต้องผจญกับความร้ายกาจของพันไมล์ ภูผานึกแล้วหัวเราะหึๆ ในใจ แม้ในใจจะนึกห่วงใย แต่อีกใจอดนึกสะใจไม่ได้!

ก็แม่เขารนหาที่เอง!

ก่อนหน้านี้ภูผาได้รับคำเชิญจากคุณราฆพผ่านคุณภัทราให้มาทานข้าวที่คฤหาสน์หลังนี้มานานแล้ว แต่เขาก็ผัดวันเรื่อยมา จนมาถึงวันนี้ที่คุณภัทราไม่ยอมรับคำปฏิเสธอีกต่อไป เธอทั้งขู่และอ้อนวอนให้เขามาทานข้าวกับคุณราฆพวันนี้ให้ได้

‘ผมคงมาทันพิธีแนะนำตัว’ ภูผาพูดแทรกบรรยากาศขึ้น

‘ภู!’ ภัทราอุทานอย่างยินดี ‘เข้ามาสิลูก’ กล่าวอย่างยินดีเมื่อเหลียวไปเห็นลูกชายกำลังเดินจากประตูห้องอาหารตรงมา ก่อนหน้านี้เขามารถคนละคันกับเธอ มาช้ากว่านัดเกือบสิบนาทีและเมื่อมาถึงก็ขอเข้าห้องน้ำทางด้านพันไมล์ยังคงมองเขาอย่างนิ่งอึ้ง นึกไม่ถึงว่าชายที่ตัวเองแอบพึงใจมีสายสัมพันธ์แนบสนิทกับคุณภัทรา

ประตูอยู่ใกล้กับพันไมล์มากกว่า เขาจึงเดินไปทางเด็กสาว หยุดอยู่ด้านหลังเธอ ตามองไปทางคุณราฆพเมื่อเอ่ยว่า ‘คุณใช่ไหมว่าที่สามีใหม่ของแม่’ แววตาเขาท้าทายเมื่อสบตาคุณราฆพ ริมฝีปากหนาแต่ได้รูปกดลึกก่อนกล่าวอย่างท้าทายว่า ‘หวัดดีครับพ่อเลี้ยงคนใหม่’

คุณภัทราชะงัก หน้าเผือดสี ขณะที่คุณราฆพหน้าซีดก่อนแดงก่ำ มีเพียงพันไมล์ที่มองภูผาอย่างทึ่งแกมนับถือ.. นับถือกับนิสัยห่ามๆ ของเขา ด้านคุณภัทรายังพูดไม่ออก ตายังจับสังเกตลูกชายเงียบๆ ซึ่งกำลังยื่นมือออกไปให้คุณราฆพสัมผัสตามวัฒนธรรมตะวันตก

ประมุขของบ้านบดสันกรามแน่นกับประโยคห่ามๆ ของลูกชายภัทรา มองเมินข้อมือที่อีกฝ่ายยื่นมาให้จับขึ้นสบตาอีกฝ่ายแทน

ลูกที่เกิดจากอีริค- -เพื่อนร่วมธุรกิจเขามีนิสัยห่ามๆ ไม่ต่างหากผู้เป็นพ่อมันจริงๆ แต่อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับ.. ราฆพนึกอย่างไม่ชอบใจนัก เมื่อจำต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าหล่อเหลาด้วยผมหยักศกสีดำ ตาคมสีเหล็ก จมูกโด่ง ริมฝีปากหนาได้รูป

แล้วราฆพก็นึกต่อว่าภูผาเป็นคนกร่างและพูดจาโผงผางพอสมควร ซึ่งนั่นเขาไม่ชอบใจนัก ปรายตาไปทางพันไมล์ จำต้องเอ่ยแนะนำอย่างเสียไม่ได้ว่า ‘ไมล์รู้จักพี่เขา นี่ภูผาลูกติดคุณภัทร เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับลูก น่าจะชั้นปีเดียวกันแต่แก่วัยกว่าใช่ไหม..เพราะดร็อปเอ้าท์ไปกว่า 3 ปี’

พันไมล์หน้าซีดโดยไม่รู้สาเหตุ ขณะที่ภูผาเพียงแต่บดกรามแน่นกับน้ำเสียงที่ ‘กด’ อยู่ในทีนั้นเขาพยายามเรียกอารมณ์ร่าเริงให้กลับคืนมา เมื่อหันไปทางเด็กสาว เอ่ยเสียงล้อเลียนขึ้นว่า

‘ยินดีที่ได้รู้จักหนูพันไมล์ครับ’ ภูผากล่าวด้วยน้ำเสียงยานคาง

พันไมล์ชะงัก ตัวแข็งก่อนจะหน้าแดงก่ำจดใบหูเมื่อภูผาไม่พูดเปล่า แต่ก้าวมาสวมกอดเธอ ลดศีรษะมาจุ๊บที่แก้มเธอวูบก่อนจะคลายอ้อมแขนกลับไปยืนที่เดิมอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วภายในเสี้ยววินาทีจนพันไมล์เองก็ตั้งตัวไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็ถอยห่างไปยืนมองเธออย่างอมยิ้มอยู่ก่อนแล้ว พันไมล์เงอะงะทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายได้ก้มหน้างุด เอ่ยอุบอิบทักทายเขาออกไป

ภาพที่ภูผาสวมกอดและจูบทักทายพันไมล์นั้น ทำให้ราฆพชะงักมองอย่างคอแข็งหน้าแดงก่ำอย่างกรุ่นโกรธเพราะเจ้าหนุ่มไม่ได้แค่เอาแก้มแนบแก้มแต่ลดศีรษะจูบแก้มลูกสาวเขาเลยทีเดียว

หมอนี่ไม่ใช่แค่ห่ามแล้ว แต่ยังกวนโทสะอย่างวายร้าย รู้สึกไม่กินเส้นกับเจ้านี่ตั้งแต่แรกเห็นหน้า

‘นายไม่ควรใช้วัฒนธรรมตะวันตกกับลูกสาวฉัน’ สรรพนามเปลี่ยนมาเป็นนายฉันอย่างห่างเหินเย็นชา

ภูผาเลิกคิ้ว ซึ่งเป็นท่าที่อีกฝ่ายมองว่ายียวน ‘เหรอครับ แต่หนูพันไมล์ก็เป็นลูกครึ่งเหมือนผม’ กล่าวแล้วก็เอื้อมมือไปเกี่ยวผมนุ่มสลวยของพันไมล์มาพันเล่นในมือ พันไมล์รีบถดตัวหนีไปยืนข้างราฆพอย่างตกใจ สีหน้าแดงสลับซีดอย่างอับอายปนขัดเขิน!

เจ้าเด็กเมื่อวานซืนกำลังท้าทายเขา!

‘ถึงลูกฉันจะเป็นลูกครึ่งแต่ฉันไม่เคยเลี้ยงแกแบบฝรั่ง แกเป็นไทยแท้ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เพราะงั้นอย่าได้มาคิดแตะอั๋งหรือใช้นิสัยห่ามๆ กับลูกสาวฉันอีกเด็ดขาด’

ภูผาไม่ได้ตกใจกับน้ำเสียงดุดันของคุณราฆพ ยังคงยิ้มเย็นอย่างยียวน ‘เหรอครับ แต่เราก็สนิทกันเกินกว่าจะทักทายกันอย่างคนห่างเหินใช่ไหมหนูพันไมล์ บอกพ่อคุณไปสิหนูไมล์ว่าเราเห็นหน้ากันบ่อยครั้งเพราะเรียนคลาสเดียวกันหลายวิชา’

‘จริงหรือลูก’ ราฆพหันขวับไปถามลูกสาว

‘เราเรียนคณะเดียวกันค่ะ’ พันไมล์ก้มหน้าตอบอุบอิบแล้วยืนแอบหลังราฆพ ภาพนั้นทำให้ภูผามองอย่างเอ็นดูมากขึ้น แววตาอ่อนแสงลงโดยไม่รู้ตัว และคุณราฆพก็เหลียวมาเห็นเข้าพอดี เขาจึงตัวชาวาบ นึกประหวั่นพรั่นพรึงใจ ด้วยวิสัยที่อาบน้ำร้อนมาก่อน จึงแปลสายตาคู่นั้นได้ไม่ยาก!

เจ้านั่นกำลังพึงพอใจลูกสาวเขา! อา..เขานึกหวั่นใจแทนลูกสาว ด้วยดูลูกกะตากรุ้มกริ่มอย่างนั้น ไม่ต้องสงสัยเลย เป็นแววตาของผู้ชายเจ้าชู้ชัดๆ

ราฆพตัดสินใจ..ตัดไฟแต่ต้นลม!

‘ดี! ในเมื่อเรียนคณะเดียวกัน นายก็ควรดูแลลูกสาวฉันในฐานะน้องสาว เพราะฉันกับคุณภัทรกำลังจะแต่งงานกันเพราะงั้นต่อไปนายต้องรับยายไมล์ในฐานะน้องสาวนาย!’

คุณราฆพเน้นเสียงหนักตรงคำว่าน้องสาวอย่างจงใจ

‘ดีจัง อยู่ดีๆ ผมก็ได้น้องสาวตัวโตขนาดนี้ โดยไม่ต้องเลี้ยง’ ภูผากล่าวอย่างอารมณ์ดี แล้วหันไปยักคิ้วให้พันไมล์อย่างล้อเลียน ไม่อนาทรกับคำเหมือนจะปรามอยู่ในทีนั้น เห็นใบหน้าเยาว์วัยก้มงุดอย่างเขินอายมากขึ้น เขาก็ยิ้มอย่างเอ็นดู แววตาฉายความรู้สึกภายในอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นเดินไปทรุดนั่งข้างภัทรา เห็นหน้าซีดไม่พูดไม่จา เขาก็นึกเห็นใจวูบหนึ่ง

แม่เขาคงนึกอยากตำหนิเขาแต่ด้วยวิสัยที่ห่างเหินกันมานาน จึงไม่กล้าเอ่ยปากตำหนิ ภูผานึกแล้วยิ้มอย่างเหยียดๆ

ก็แน่ล่ะตัวเองทำผิดเอาไว้มากนี่..ขืนมาตำหนิเขาสิเขาจะย้อนเข้าให้

........................................

(1) อัคราฟอร์ด(4)หรือพระราชวังป้อมแดง (Agra Ford) สร้างขึ้นริมฝั่งแม่น้ำยมุนา เป็นพระราชวังที่สวยงามและมีความยิ่งใหญ่ ใช้เวลาก่อสร้างถึงสามรัชสมัย ภายในมีตำหนักต่างๆ มัสยิดส่วนพระองค์ บาซาร์หรือตลาด สวนดอกไม้ น้ำพุ นอกจากนี้มีหอคอยมุขแปดเหลี่ยมที่เรียกว่า Musamman Burj ซึ่งเป็นห้องที่ตกแต่งสวยงาม ฝังทองคำและอัญมณี ซึ่งเป็นห้องที่พระเจ้าชาห์จาฮันใช้ทอดพระเนตรทัชมาฮาลที่ฝั่งพระศพพระชายา จวบจนพระองค์สิ้นพระชนม์

(2)โรตีหรือจาปาตี(Roti,Chapati) คือแป้งแผ่นทอดหรือจี่จนสุก กรรมวิธีคือทอดบนกระทะน้ำมันอ่อนๆ จากนั้นนำไปกับแปะกับเตาดินเผาเพื่ออังความร้อนจนแผ่นโรตีพองสุก

(3)กุหลาบจามุน(Gulab Jamun) เป็นขนมหวานมีลักษณะเหมือนทองหยอดแต่เป็นสีดำคล้ำ หอมหวานกว่า



lozocatlozocat




Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2556 5:04:17 น.
Counter : 927 Pageviews.

4 comment
ทางสายหมอก...บท 1
lozocatlozocat

ลมหนาวจากภายนอกพัดเข้ามาในระเบียงคอนโดมิเนียมหรู ใจกลางเมืองหลวงอเมริกา ทำให้นิตยสารชื่อดังของอเมริกาฉบับหนึ่งหล่นจากชั้นวางหนังสือลงไปเอียงกะเท่เร่บนพื้นพรม ปกหน้าของนิตยสารฉบับนั้นเป็นภาพคฤหาสน์ทรงยุโรป แต่สีกระดาษค่อนข้างเหลืองเพราะเก่าเก็บมาหลายปีแต่ยังคงอยู่ในสภาพดีเพราะผู้เป็นเจ้าของเก็บอย่างทะนุถนอม ริมบนด้านขวาเป็นพื้นนูนไฮไลท์เป็นภาษาอังกฤษว่าสัมภาษณ์ไลฟ์สไตล์นักโฆษณาหนุ่มไทย เจ้าของฉายาผู้ล่ารางวัลตัวยง

วินาทีถัดมาลมหนาวพัดกระหน่ำเข้ามาอีกระลอกทำให้นิตยสารปักษ์นั้นพลิกหน้าไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่กึ่งกลางเล่ม ด้านบนสุดโปรยหัวว่า ‘ลักกี้อินเกม ลักกี้อินเลิฟ’ ถัดมาเป็นภาพชายหนุ่มผิวเข้ม ถ่ายครึ่งตัวในชุดสูท ชูถ้วยรางวัล ‘โฆษณาดีเด่นระดับนานาชาติ’

บทสัมภาษณ์บรรยายว่าเจ้าของใบหน้าคมคาย ความสูงร้อยแปดสิบสามเซนติเมตรผู้นี้คือหนุ่มลูกครึ่งไทย-บราซิล อายุยี่สิบแปดปี ผู้คว้าโล่รางวัลโฆษณาดีเด่นระดับนานาชาติติดต่อกันเป็นปีที่สอง เส้นทางล่ารางวัลของหนุ่มคมคายผู้นี้คุ้นเคยผู้คนในแวดวงโฆษณาดีด้วยคร่ำหวอดมานาน แต่ชีวิตครอบครัวนั้นยากนักจะมีใครล่วงรู้ว่าเขาแต่งงานแล้ว นิตยสารจึงได้สัมภาษณ์เขาในโอกาสที่เดินทางมารับรางวัลที่อเมริกาในทุกแง่มุมดังนี้

‘ไม่มีใครรู้ว่าคุณแต่งงานแล้ว?’

‘ผมไม่เคยปิดบังเรื่องส่วนตัว แต่งงานมาได้ปีกว่าแล้ว’

‘ทราบมาว่าภรรยาเป็นนางแบบ?’

‘ครับ เธอเป็นนางแบบแคทวอล์คชาวไทย’

‘เธอคงสวยมาก? ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถมัดใจคุณได้’

‘ยอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก’

‘รู้จักได้ไงครับ? แล้วประทับใจเธอที่ตรงไหนถึงได้แต่งงานด้วย’

‘เธอเป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยครับ เรารู้จักกันมา 6-7 ปีแล้ว ผมประทับใจตรงที่เธอเป็นคนรักเดียวใจเดียว เสมอต้นเสมอปลายและดูแลเอาใจใส่ดี จึงได้ตกลงใจแต่งงานด้วย ทุกวันนี้ยอมรับว่ามีความสุขกับชีวิตครอบครัวมาก เธอเป็นเหมือนแสงสว่างของชีวิต เวลาทำงานเหนื่อยๆ กลับมาบ้านเจอเธอคอยดูแลเอาใจใส่ ผมรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เวลานี้รอแค่ว่าเมื่อไหร่เธอจะใจอ่อนยอมให้ทายาทกับผมสักที’


“ไม่!”

พันไมล์ตะโกนก้อง ร่างทั้งร่างสะดุ้งเยือก ผุดลุกนั่ง ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ยกมือเสยผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อที่หล่นปรกหน้าให้กลับที่เดิม มองไปรอบเต็นท์ แสงจากดวงจันทร์ลอดเข้ามาในเต็นท์ส่องให้เห็นเพื่อนหญิงชาวอินเดีย 7 คนยังคงหลับใหลอยู่ใต้ผ้าห่ม

ขอบคุณพระเจ้าที่แค่ฝันร้าย.. พันไมล์กระซิบแผ่วเบา แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาว นึกดีใจว่าเสียงตะโกนของเธอไม่ทำลายนิทรารมณ์ของเพื่อนๆ

เพราะเอียนทีเดียว ทำให้เธอกลับมาฝันถึงเขา.. พันไมล์นึกอย่างไม่ชอบใจนัก พานนึกโทษหนุ่มอินเดียเพื่อนร่วมคณะผู้นั้นที่เป็นต้นเหตุให้เธอไพล่ไปคิดถึงเขา ก็หน้าเขาเหมือนกับหนุ่มลูกครึ่งไทย-บราซิลผู้นั้นราวกับแกะจนทำให้เธอเก็บมาฝัน

และเป็นฝันร้าย..ที่เธอไม่ได้นึกถึงมาหลายปีแล้ว

พันไมล์ หรือชื่อฝรั่ง ‘เมล่า มิทเทลโฮลเซอร์’ เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกัน วัย 26 ปี เธอเป็นคอลัมนิสต์ของนิตยสารสารคดีกึ่งท่องเที่ยวชื่อดังแห่งหนึ่งของอเมริกา ชอบใช้วันหยุดพักร้อนกับการแบกเป้เดินขึ้นเขาซึ่งเป็นกิจกรรมที่เธอทำบ่อยในเวลาที่มีเวลาว่างหรือวันหยุดยาวๆ

เธอชื่นชอบกิจกรรมประเภทนี้นับตั้งแต่ก้าวไปเป็นพนักงานเต็มขั้นของนิตยสารสารคดีแห่งนี้เมื่อ 3 ปีก่อน แล้วบก.มอบหมายให้ไปทำสารคดีเดินเขาที่ The Valley of Flowers-Hemkund บนเทือกเขาหิมาลัย ฝั่งประเทศอินเดีย แล้วรู้สึกติดใจ จนทำให้มีช่วงวันหยุดใดยาวๆ อดจะมาใช้ที่นี่ไม่ได้

Hemkund เป็นชื่อในภาษาฮินดู หมายถึงทะเลสาบหิมะ สถานที่แห่งนี้มีจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายที่ด้วยกัน นอกจากจะมีทะเลสาบน้ำแข็งบนความสูง 13,654 ฟุตแล้ว ยังมีหุบเขาดอกไม้ บนความสูง 12,035-13,035 ฟุต จัดเป็นหุบเขาดอกไม้ที่แวดล้อมไปด้วยเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า Ghoradhungi ถัดจากหุบเขาดอกไม้ก็เป็นลำธาร บางเวลาจะเห็นดอกไม้ลอยมาตามน้ำ คนฮินดูจึงเรียกลำธารแห่งนี้ว่า the Pushpawati stream ซึ่งหมายถึงดอกไม้ในภาษาฮินดู นอกจากนี้ยังมีวัด Shri Badri Vishal สถานที่สักการะของชาวฮินดูอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว

สำหรับปีนี้พันไมล์เลือกมาเดินเขาที่ Sar Pass ซึ่งภาษาฮินดูหมายถึงหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ซาพาสตั้งอยู่บนหุบเขาปาวาตีบนเทือกเขาหิมาลัย(1) ฝั่งรัฐ Himachal Pradesh ประเทศอินเดีย จุดสูงสุดของ Sar Pass สูงถึง 13,800 ฟุต ถือว่าสูงกว่าดอยอินทนนท์เกือบเท่าตัวเพราะสูงเพียง 8,361 ฟุตเท่านั้น

เส้นทางเดินเขาซาพาสหรือ The Sar Pass Trail จัดโดยสมาคมบ้านเยาวชนแห่งประเทศอินเดีย ซึ่งปีนี้จัดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม เส้นทางนี้จะใช้เวลาเดินทางถึง 11 วัน นอกจากนี้ก็จะมีเส้นทาง Malana Kiksa Yankar Pass Trail ใช้เวลาเดินทาง 11 วัน และเส้นทาง Har Ki Doon Trail ใช้เวลาเดินทาง 14 วัน (2)

พันไมล์จ่ายเงินเพียง 1,900 รูปี(3) ก็สามารถเข้าร่วมโครงการเดินเขาเส้นทางซาพาสกับสมาคมบ้านเยาวชนฯ ได้ โดยทางเจ้าภาพจะจัดเบสแคมป์ในทุกระดับความสูงที่สูงเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 500-1,000 ฟุตเพื่อให้ร่างกายหยุดพักเพื่อปรับกับสภาวะความกดอากาศ แต่ละเบสแคมป์จะมีเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้มาเป็นอาสาสมัครคอยดูแลความเรียบร้อยและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเต็นท์นอนและข้าวปลาอาหาร แคมป์ไหนที่หนาวจัด จะมีถุงนอนเตรียมไว้ให้ด้วย เต็นท์นอนจะแยกหญิงชายคนละฟาก และแต่ละเบสแคมป์จะเปลี่ยนชื่อไปตามชื่อหมู่บ้านละแวกนั้น

เส้นทางซาพาส มีจุดเริ่มต้นที่หมู่บ้าน Kasol ก่อนจะมาถึง Base Camp Kasol ซึ่งตั้งอยู่บนความสูง 5,200 ฟุตนั้น จะต้องนั่งรถจากเมืองเดลีมายังเมือง Kullu หนึ่งคืนเต็มๆ จากนั้นจึงเดินแบกเป้ขึ้นหมู่บ้าน Kasol เพื่อมายังแคมป์


พันไมล์เหลียวมองนาฬิกาปลุกข้างหมอนที่เธอนำติดตัวมาจากอเมริกา พบว่าเป็นเวลาตีสี่แล้ว จัดการผลักผ้าห่มออกจากตัวเมื่อรู้สึกว่าต่อให้ฝืนตาหลับอย่างไรก็ไม่เป็นผล หญิงสาวพับผ้าห่มวางบนหมอน ฉวยผ้าขนหนู เสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำออกจากเป้ ถือเข้าห้องน้ำ แม้อากาศจะหนาวเหน็บด้วยอุณหภูมิ 7-8 องศา แต่เธอจำเป็นต้องอาบน้ำ ด้วยต้องซักชุดชั้นใน เพราะ 9 วันบนเทือกเขาหิมาลัยจากนี้เธอจะไม่มีโอกาสได้ซักอีกเลย

ออกจากเต็นท์แล้วต้องห้อไหล่เมื่อลมหนาวกรูมาปะทะผิวกายจนสั่นไหว แสงสลัวจากดวงจันทร์ผสมกับแสงไฟจากหลอดนีนอนที่เปิดตามจุดสำคัญๆ ของแคมป์ ส่องให้เห็นเต็นท์หลังใหญ่นับสิบหลังกระจายอยู่ทั่ว โดยแบ่งแยกเต็นท์ชายหญิงให้นอนคนละฟาก

น้ำในอ่างเก็บน้ำเย็นจัดราวกับมีใครเอาก้อนน้ำแข็งมาทิ้งไว้ พันไมล์แข็งใจตักน้ำราดตัว ขนลุกซู่เพราะเย็นจนชา รีบทำความสะอาดร่างกายแล้วซักชุดชั้นใน ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วสาวเท้าออกมาทันที ระหว่างทางที่เดินกลับไปยังเต็นท์ พบว่าไฟนีนอนถูกดับลงและแทนที่ด้วยแสงจากดวงอาทิตย์ยามเช้า ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นบ้าง จากหางตาเธอเห็นเจ้าหน้าที่ชาวอินเดียเดินถือกา Bed Tea แจกจ่ายไปตามเต็นท์

“ไจ(4) ครับ..ไจครับ” เสียงชายสูงวัยใบหน้าใจดีร้องบอกคณะเดินเขาในแต่ละเต็นท์ แต่ละคนลุกพรึบพรับถือแก้วโผล่ศีรษะออกมานอกเต็นท์คอยรับไจ พันไมล์เดินเข้าไปในเต็นท์ตัวเอง เห็นเพื่อนยังขดตัวใต้ผ้าห่มแต่มือถือแก้ว ก็เปิดยิ้มขำ

“ไม่หนาวหรือเมล่า อาบน้ำแต่เช้า” อินทราเพื่อนชาวอินเดียเปิดเปลือกตาขึ้นมอง แล้วหลับตาต่อ

“นอนไม่หลับ ก็เลยไปซักผ้า”

“นับถือจริงๆ เมล่า หนาวขนาดนี้ยังตื่นมาซัก” สิกขาเพื่อนชาวอินเดียอีกคนเสริมขึ้น

“ไจร้อนๆ ครับ” เสียงชายอินเดียเดินมาถึงหน้าเต็นท์ ทำให้พวกเธอหยุดสนทนากันแค่นั้น ต่างยื่นแก้วของตัวเองไปรับไจ ควันพวยพุ่งออกจากกา สะท้อนว่าร้อนจัด

“มิส” ชายอินเดียเอ่ยขึ้นโดยไม่เจาะจงว่าพูดกับใคร “อย่าทำผิดกฎนะครับ เมื่อวานฝรั่งถูกไล่ไปทีแล้วหลังถูกจับได้ว่าลอบสูบบุหรี่”

แล้วชายอินเดียก็ท่องกฎของที่นี่จนพันไมล์จำได้จนขึ้นใจแล้ว เทือกเขาหิมาลัยเป็นที่สักการะของพวกเขา เปรียบเหมือนแดนสวรรค์ของพระเจ้า เพราะฉะนั้นห้ามก่อกองไฟ ห้ามเหยียบพืชพรรณธัญญาหาร ห้ามเด็ดพืช ห้ามดื่มแอลกอฮอล์เสพของมึนเมาทุกชนิด ห้ามหญิงเข้าเต็นท์ชาย ชายเข้าเต็นท์หญิง ห้ามสวมกางเกงขาสั้น และอื่นๆ

พันไมล์มองตามหลังชายอินเดีย ด้วยหลังจากรินไจและท่องกฎให้พวกเธอฟังแล้ว เขาก็เดินจากไปยังเต็นท์อื่นๆ เธอละกลับมามองแก้วอลูมิเนียมของตัวเองด้วยอาการเหม่อลอย ไจส่งกลิ่นหอมกรุ่นแต่เจ้าตัวกลับไม่มีทีท่าจะยกขึ้นจิบ ด้วยเวลานี้ใจล่องลอยไปไกลแสนไกล..ยังคนในเมืองไทย

กว่าจะรู้ตัวว่าคิดอะไรอยู่...ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว!


ภาพหนุ่มลูกครึ่งไทย-บราซิลใบหน้าคมคายผิวสีแทน เจ้าของความสูงกว่า 180 เซนติเมตร กำลังเล่นฟุตบอลอยู่กลางสนามหญ้าหน้าตึกวารสารศาสตร์ฯ ทำให้เด็กสาวชะงัก เจ้าตัวถักเปียสองข้าง สวมแว่นตาหนาเตอะ กระโปรงยาวกรอมเท้าดูไม่ต่างกับตุ๊กตาที่ถูกจับสวมด้วยเสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัว

พันไมล์หรือฉายาที่เหล่าผองเพื่อนนักศึกษาชายหญิงตั้งฉายาให้ลับหลัง ‘คุณหนูไฮโซเฉิ่มเบอะ’ อยู่ในวัยสิบเจ็ดปี เดินไปหยุดยืนใต้ต้นยูงทอง เพ่งมองตรงไปยังกลางสนามหญ้าอย่างสนใจ เดิมทีเจ้าตัวคิดจะเดินไปอ่านหนังสือยังห้องสมุดชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่คนไร้เพื่อนอย่างหล่อนมักทำยามว่าง แต่ภาพที่ ‘เดือนคณะ’ กลับมาซ้อมฟุตบอลบ่ายวันนี้ทำให้เธอเขม้นตามองอย่างสนใจ

ด้วยเขาห่างหายจากการซ้อมฟุตบอลไปหลายวันแล้ว เนื่องจากไม่สบาย.. สาวหลายคนพูดกันปากต่อปากมาว่าอย่างนั้น

พันไมล์เฝ้ามองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่รู้เบื่อ มองได้พักใหญ่ๆ ก็ต้องชะงักตัวแข็งทื่อ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสนามหญ้ากำลังหยุดเตะบอล และหันมาจ้องมองเธอเป็นตาเดียวกัน ใบหน้าเด็กสาวร้อนซู่รีบก้มหน้งุด เดินไปยังห้องสมุดชั้นใต้ดิน คงปล่อยให้พวกหนุ่มๆ จับกลุ่มพูดถึงตัวเองโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว เข้ามาในตึกได้เธอก็หยิบหนังสือกฎหมายระหว่างประเทศบนชั้นสอง ถือติดมือลงไปยังชั้นล่างด้วย ชั้นนี้นักศึกษาไม่ค่อยมาใช้บริการนักด้วยเหตุที่อยู่ชั้นล่างสุดจึงทำให้อากาศค่อนข้างอับชื้น ถ่ายเทน้อย

เด็กสาวอ่านหนังสือเตรียมสอบได้ครู่หนึ่งก็เริ่มรู้สึกง่วง เผลอผล็อยหลับไปไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็พบว่ามุมชั้นวางหนังสือไม่ห่างจากจุดที่เธอฟุบหลับอยู่ มีหญิงชายคู่หนึ่งกำลังยืนพลอดรักกันอยู่

อันที่จริงไม่ใช่แค่พลอดรักเท่านั้น หากแต่เป็นการกอดจูบกันต่างหาก!

พระเจ้า.. พันไมล์อุทานแล้วรีบยกมืออุดปากเมื่อพบว่าผู้ชายที่กำลังยืนก้มหน้าไซ้ซอกคอเด็กสาวอยู่นั้นคือหนุ่มลูกครึ่งไทย-บราซิลผู้ที่เธอแอบปลื้ม ส่วนผู้หญิงในอ้อมกอดเขาเป็นรุ่นน้องของคณะคนหนึ่ง เธอจำได้ดีว่าเจ้าหล่อนคลั่งไคล้เขาอย่างหนัก แต่ยังไงก็เถอะไม่ใช่ลูกสาวนายธนาคารผู้เป็นแฟนเขาอยู่ดี!

ภาพเบื้องหน้าทำให้พันไมล์ใจกระตุกวูบด้วยความรู้สึกผิดหวังคละเคล้ากับความละอายและอดสูแทนพวกเขา ขยับลุกจากเก้าอี้เงอะงะจนมือฟาดไปโดนหนังสือบนโต๊ะ ทำให้สองหนุ่มสาวหันมามอง พันไมล์รีบก้มหน้าเก็บหนังสือสอดเข้าอ้อมแขน ก่อนจะก้มงุดเดินผ่านคนทั้งคู่โดยทำทีมองไม่เห็น ไม่รู้สักนิดว่าลับหลังเธอมีสายตาคมกริบคู่หนึ่งมองตามมา เจ้าของดวงตาคมกริบสีเหล็กมองตามหลังเด็กสาวด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองแสงแพรวพราวเป็นประกายวูบวาบบนโต๊ะที่เจ้าตัวเพิ่งลุกจากไปอย่างประหลาดใจ

เพิ่งเห็นว่าเด็กสาวขี้อายคนนั้นลืมตุ้มหูเพชรข้างหนึ่งทิ้งไว้!

พันไมล์ออกมาจากมหาวิทยาลัย ก็เดินตรงไปยังลานจอดรถประตูหน้าซึ่งได้รับอภิสิทธิ์ให้นำรถมาจอดหน้าหอประชุมได้เป็นกรณีพิเศษเนื่องจากพ่อเธอบริจาคเงินให้กับมหาวิทยาลัยปีละค่อนข้างมาก ไปถึงเจอพี่เลี้ยงยืนรออยู่ข้างรถอยู่ก่อนแล้ว เธอไม่กล้าให้คนรถมาจอดรับหน้าตึก เพราะอายเพื่อนๆ ที่โตขนาดนี้แล้วยังต้องมีพี่เลี้ยงคอยตามรับตามส่ง ครั้งหนึ่งเคยให้คนขับมารับหน้าตึก เพื่อนๆ เห็นคนรถพร้อมพี่เลี้ยงมารอรับ ก็เก็บมาล้อว่าเป็น ‘คุณหนูลูกแหง่’ ตั้งแต่นั้นเธอเข็ดไม่กล้าให้คนรับมารับหน้าตึกอีกเลย เคยปฏิเสธกับพ่อแม่ว่าเธอโตพอจะดูแลตัวเองได้แล้วเพราะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ไม่น่าจะต้องให้พี่เลี้ยงคอยตามรับตามส่งเหมือนสมัยประถม-มัธยมอีก แต่พ่อแม่เธอไม่ยอม อ้างว่าเธอยังไม่โตพอจะไปมาไหนตามลำพังได้ ปกติพ่อแม่เธอไม่เคยมีความเห็นลงรอยกันสักเรื่อง แต่น่าแปลกกับเรื่องนี้กลับเห็นตรงกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

‘คุณไมล์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าตาเซียวๆ’ จีรดาพี่เลี้ยงวัย 26 ปีเอ่ยปากถามขึ้น เมื่อก้าวขึ้นนั่งเคียงข้างคนขับและตามองกระจกหลังแล้วเห็นคุณหนูคนเดียวของบ้าน ‘วงศ์วานิช’ หน้าตาซีดเซียว

พันไมล์ส่ายหน้าจนผมเปียไหว ตายังคงมองทิวทัศน์ข้างทาง ขณะปากตอบว่า ‘เปล่าค่ะ’

จีรดาถอนหายใจ มองเด็กสาวนั่งเหม่อมองทิวทัศน์ข้างทางอย่างอ่อนใจ ภาพเด็กสาวนั่งหงอยเหงาคุ้นตาเธอมาตั้งแต่เข้ามาทำงานที่บ้านวงศ์วานิชใหม่ๆ ซึ่งนั่นหมายถึงเมื่อสิบปีก่อน ยามคุณราฆพออกไปทำงานนอกบ้านและคุณพาเมล่าไปงานมูลนิธิเด็กด้อยโอกาสหรือออกงานสังคม เด็กหญิงพันไมล์มักนั่งจับเจ่ากอดตุ๊กตาอยู่มุมใดมุมหนึ่งของคฤหาสน์คอยผู้เป็นพ่อแม่เสมอๆ จนบางครั้งนั่งหลับในท่ากอดเข่านั้นจนเธอต้องอุ้มพาเข้านอนอยู่บ่อยๆ

ทันทีที่รถเบนซ์วิ่งผ่านสนามหญ้ามาจอดหน้าคฤหาสน์สีขาวสูงสามชั้น พันไมล์ก็ผลักประตูรถโดยไม่รอให้พี่เลี้ยงเดินมาเปิดให้เช่นทุกครั้ง คว้ากระเป๋าสะพายและหนังสือเดินลิ่วๆ ขึ้นตึก ถึงประตูคฤหาสน์ก็ชะงักเมื่อพบว่าคุณอุษาผู้เป็นหัวหน้าคนรับใช้ยืนขวางอยู่

‘คุณหนูเข้าทางหลังบ้านเถอะค่ะ’

ทำท่าจะอ้าปากถามว่าทำไม แต่คำถามนั้นก็ต้องกลืนลงคอเมื่อได้ยินเสียงเอ็ดตะโรของหญิงชายคู่หนึ่ง และเสียงนั้นดูจะดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นการทุ่มเถียงตะโกนใส่หน้ากันในที่สุด พันไมล์เม้มริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง

‘พ่อกับแม่ทะเลาะกันอีกแล้วหรือ’

‘ค่ะ’

‘คราวนี้เรื่องอะไร’

‘คุณผู้หญิงเพิ่งกลับมาบ้านค่ะ’

พันไมล์มองนาฬิกาข้อมือโดยไม่รู้ตัว เข็มบนหน้าปัดบอกเวลา 19.00 น. แสดงว่าแม่หายไปหนึ่งคืนกับหนึ่งวันเต็มๆ เด็กสาวเงยหน้ายิ้มอ่อนเพลียให้คุณอุษา แล้วเดินหลบเข้าประตูหลังบ้านเงียบๆ

ไปถึงห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสามเด็กสาวก็ทุ่มตัวลงนอนคว่ำหน้ากับฟูกที่นอน ทั้งที่ยังสวมชุดนักศึกษาอยู่อย่างนั้น น้ำตาซึมปลอกหมอนโดยไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะร้องไห้ไปทำไม ในเมื่อเธอเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันมาตั้งแต่เล็กจนโต จนเป็นภาพชินตาไปแล้ว โชคดีอยู่บ้างก็ตรงที่ทั้งคู่ยังไม่ถึงขั้นตบตีกันเท่านั้น

‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’

เสียงเคาะประตูทำให้พันไมล์รีบปาดน้ำตา เอื้อมมือหยิบแว่นตาเหนือหัวเตียงมาสวม ก่อนจะขยับลุกจากเตียง เดินไปเปิดประตู

‘คุณไมล์..นั่นร้องไห้หรือคะ’ จีรดาถามอย่างตกใจเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยหลังแว่นตาหนา รื้นไปด้วยหยาดน้ำตา

‘เปล่าสักหน่อย’ พันไมล์ปฏิเสธเสียงอู้อี้

‘ยังจะมีปฏิเสธจีอีก’ จีรดาถอนหายใจเสียงดัง ‘แล้วนั่นตุ้มหูข้างขวาหายไปไหนคะ’

พันไมล์ยกมือแตะติ่งหู ‘ไม่รู้ค่ะ สงสัยหายบนที่นอน’

‘มาค่ะเดี๋ยวจีหาให้ คุณผู้หญิงเพิ่งให้เครื่องเพชรชุดนี้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อวานไม่ใช่หรือคะ หายไปล่ะเสียดายแย่ ตุ้มหูเพชรคู่นี้ราคาหลายตังค์ด้วย’

เธอเพิ่งจะอายุครบ 17 ปีเมื่อวาน ด้วยความที่ผู้เป็นพ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดูเธอ จึงส่งตัวเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาลเอกชนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เมื่อจบมัธยมตอนปลายสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอจึงมีอายุน้อยกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันถึง 2-3 ปี

‘ไม่เป็นไรจี เดี๋ยวไมล์หาเอง ว่าแต่จีขึ้นมามีอะไร’ พันไมล์กล่าวแล้วดึงแขนกลมกลึงของอีกฝ่ายให้ลุกห่างออกมาจากเตียง

‘เอางั้นหรือคะ?’ เมื่อเจ้าของผมเปียพยักหน้า ผู้เป็นทั้งพี่เลี้ยงและคนใช้ก็พยักหน้าอย่างจำยอม ‘เอางั้นก็ได้ค่ะ แต่รีบหาให้เจอนะคะคุณผู้หญิงทราบว่าคุณไมล์ทำหายล่ะยุ่งแน่’

‘จ๊ะ เดี๋ยวไมล์หาเอง ว่าแต่จีขึ้นมามีอะไร’

พี่เลี้ยงสาวถอนหายใจ ‘คุณท่านเรียกไปพบค่ะ ทั้งคุณท่านและคุณพาเมล่ามีเรื่องคุยกับคุณไมล์ รออยู่ห้องสีมุกอยู่ค่ะ แต่คุณไมล์ล้างหน้าล้างตาก่อนดีไหมคะ ใบหน้าเปรอะน้ำตาเหลือเกิน’

พันไมล์มองจนพี่เลี้ยงเดินจากไปแล้ว เธอจึงเดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ล้างหน้าล้างตา ผัดหน้าด้วยแป้งฝุ่นเล็กน้อยแล้วจึงซอยเท้าถี่ลงบันไดไป ถึงชั้นล่างเธอก็เลี้ยวเข้าห้องรับแขกของครอบครัว

‘มาแล้วหรือแม่ไมล์ กว่าจะเยื้องยุรยาตรมาได้ นานเป็นชั่วโมง’

พาเมล่า หญิงอเมริกันวัย 37 ปีถากถางขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวคนเดียวเดินเข้ามาหยุดกึ่งกลางห้องรับแขก เจ้าของร่างผอมสูงเก้งก้างราวกับนกกระยางนั้นอยู่ในชุดเฉิ่มเชย อันที่จริงเจ้าหล่อนไม่ได้สวมชุดเฉิ่มเชยเลย ตรงกันข้ามมันถูกตัดและออกแบบอย่างประณีตโดยห้องเสื้อหรูในปารีสด้วยซ้ำ.. แต่น่าแปลกเมื่อมาอยู่บนเรือนร่างผอมๆ ของพันไมล์ มันกลับเสริมบุคลิกเฉิ่มเชยให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น พาเมล่านึกแล้วมองสำรวจบุตรสาวตรงหน้าเงียบๆ อาจเป็นเพราะลูกสาวเธอมักทำตัวเปิ่นๆ ด้วยกระมัง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าแว่นตาหนา ผมหน้าม้าด้านหน้า ด้านหลังถักเป็นเปียสองข้างหรือบางคราวก็เกล้าเป็นมวยเหนือศีรษะ มันจึงทำให้ดูเฉิ่มเชยแทนที่จะดูหรูหราสง่างามอย่างนางแบบในแคทตาล็อก

‘ไมล์อาบน้ำอยู่น่ะค่ะตอนจีไปเรียก’ พันไมล์แก้ตัวอุบอิบ แล้วทรุดนั่งข้างราฆพ

‘อย่าไปว่าลูกเลย เราก็รอแกไม่นานไม่ใช่หรือ’ ราฆพกล่าวอ่อนๆ แล้วสายตาก็หันไปมองลูกสาวอย่างปรานี แววตาชายวัย 40 ปีปรากฏแววสงสารอย่างที่พันไมล์ไม่เข้าใจวูบหนึ่งก่อนจางหาย แล้วชายกลางคนก็หันไปทางภรรยา เอ่ยว่า ‘จะพูดเองหรือจะให้ผมเป็นคนพูด’

‘คุณพูดเองสิคะ เป็นคน ‘อยาก’ ไม่ใช่หรือ’ พาเมล่าเน้นเสียงตรงคำว่าอยากอย่างไม่เกรงใจแล้วสะบัดหน้าพรึด ราฆพนิ่วหน้ากับเสียงกระแทกกระทั้นแบบตีรวนนั้น เมินหน้าจากภรรยา หันไปทางลูกสาวมองด้วยแววตาอ่อนโยนเมื่อเอ่ยว่า ‘ไมล์ พ่อกับแม่ตัดสินใจจะหย่ากันแล้ว’

เสียงที่พูดอ่อนโยนเหมือนบอกเล่าเก้าสิบเรื่องทั่วไป แต่มีผลให้อีกฝ่ายเงียบกริบ..ราวกับช็อกชั่วครู่ใหญ่

‘ไมล์ยังฟังพ่ออยู่หรือเปล่า’

‘...’

ยังมีแต่ความเงียบจากบุตรสาว ราฆพจึงนิ่วหน้า มองร่างบอบบางซึ่งดูจะแข็งเป็นศิลาไปแล้วอย่างห่วงใย เอื้อมมือไปแตะแขนขาวนวลเมื่อเอ่ยว่า ‘หนูไมล์ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก’

‘ปละ- -เปล่าค่ะ ไมล์ไม่ได้เป็นอะไร’ พันไมล์พูดเสียงแหบระโหยแล้วยกมือลูบหน้า พยายามเรียกสติกลับคืนมา รู้ว่าจะต้องมีวันนี้เข้าสักวันแต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วขนาดตั้งตัวไม่ติดขนาดนี้ แล้วพันไมล์ก็ได้ยินตัวเองถามเหมือนคนละเมอออกไปว่า ‘พ่อกับแม่ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมคะ’

‘ดีแล้วล่ะลูกเพราะเราเข้ากันไม่ได้จริงๆ เราลองปรับตัวเข้าหากันแล้วแต่ไม่สำเร็จจริงๆ’

‘ไม่ใช่เข้ากันไม่ได้แต่เพราะคุณอยากมีเมียใหม่มากกว่า คุณมันคนมักมาก’

‘ผมไม่ใช่คนมักมาก ไม่เคยคิดอยากมีใหม่ แต่เพราะคุณ! จะให้ผมแฉไหมว่าคุณเป็นคนยังไงคุณพา’

‘ฉันมันเป็นยังไง’ พาเมล่าถามแทบจะเป็นเสียงกรี๊ด

‘อ๋อ..ก็ไม่ยังไงหรอก ก็แค่ไม่ดูแลลูกผัว ชอบเที่ยวตะลอนๆ ตอนกลางคืน แถมยังเป็นผู้หญิงที่..อืม จะให้ผมพูดยังไงดีถึงจะสาสมกับพฤติกรรมของคุณ..คุณพา กับคนภายนอกคุณอ้างว่าออกงานกลางคืนเพื่อไปช่วยมูลนิธินั่นมูลนิธินี่ แต่ที่จริงแล้วคุณออกไปหาความสุขนอกบ้านกับผู้ชายไม่เลือกหน้าต่างหากล่ะ’

‘กรี๊ด’ พาเมล่าลากเสียงกรี๊ดยาว ‘คุณปรักปรำฉัน รู้ได้ยังไงว่าฉันเป็นอย่างนี้ อย่ามาใส่ร้ายกันหน่อยเลย’

‘จะต้องให้เอาหลักฐานมายืนยันไหมล่ะ บางทีถ้าขอรูปมาจากสมชาย คุณอาจยอมรับความจริงได้มากกว่านี้’ ราฆพพูดเสียงหมิ่นๆ

สมชายคือนักสืบเพื่อนของราฆพ พาเมล่าสะดุ้ง ตวาดแว้ดว่า ‘ นี่คุณลอบสืบฉันหรือ กล้าดียังไงถึงจ้างนักสืบไปลอบสืบเรื่องของฉัน’

‘ถ้าไม่จ้างนักสืบสะกดรอยตามคุณ ผมจะรู้หรือว่าเบื้องหลังคุณฟอนเฟะแค่ไหน นานแค่ไหนแล้วที่คุณสวมเขาให้ผม คุณมันผู้หญิงมากชู้คุณพา อย่าคิดนะว่าผมไม่รู้ว่าคุณไปทำตัวระยำตำบอนที่ไหนไว้บ้าง’

‘กรี๊ด’ พาเมล่าส่งเสียงกรี๊ดยาวอีกระลอกในขณะที่พันไมล์ตะโกนขึ้นว่า ‘พอๆ เถอะค่ะ’ แต่ดูเหมือนเสียงเธอจะสู้เสียงผู้เป็นแม่ไม่ได้

พาเมล่ากรี๊ดแล้วบริภาษต่อว่า ‘คุณมันผู้ชายชั่ว ฉันจะด่าคุณยังไงดีถึงจะสาสม คุณมัน..’ พาเมล่ากลืนคำด่าสาดเสียเทเสียต่อไปลงคอ เมื่อหูเริ่มได้ยินเสียงกรี๊ดของเด็กสาว หันขวับมาจ้องอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

นั่นลูกสาวที่ขี้อายของเธอกรี๊ดหรือนั่น?

‘พอแล้วค่ะ ไมล์ไม่ห้ามแล้ว’ พันไมล์กรี๊ดแล้วตะโกนขึ้น ‘ถ้าอยากหย่าก็หย่ากันไปเถอะ อย่ามาแฉเรื่องเน่าๆ ของแต่ละฝ่ายให้ไมล์ฟังเลย’ พันไมล์พูดแล้วถอนสะอื้น

ใช่..การที่พวกเขาหย่ากัน บางทีมันอาจทำให้อะไรๆ ดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้

‘ขอบใจลูกที่หนูเข้าใจพ่อ ที่ผ่านมาพ่อพยายามปรับความเข้าใจกับแม่หนูแล้ว แต่ไม่สำเร็จจริงๆ’

เขาเคยคิดจะหย่ากับพาเมล่าตั้งแต่พันไมล์ยังเล็กๆ แต่แพทย์ประจำตัวของครอบครัวแนะนำว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากพันไมล์ยังเล็กจึงอาจจะปรับสภาพจิตใจไม่ได้และจะกลายเป็นปมด้อยตอนโตได้ พวกเขาจึงชะลอการหย่าตลอดมา แต่ดูเหมือนคำแนะนำของนพ.คิมหันต์จะไม่ช่วยอะไรเลย เมื่อสภาพจิตใจพันไมล์ย่ำแย่หนักขึ้นเนื่องจากพวกเขาทะเลาะกันรุนแรงและถี่ขึ้นทุกขึ้น ประกอบกับต้องขยายธุรกิจครอบครัวจึงไม่มีเวลาดูแลบุตรสาว ฉะนั้นเมื่อโตขึ้นเด็กสาวจึงกลายเป็นเด็กหงอยเหงาเก็บกด สุดท้ายนายแพทย์ประจำครอบครัวก็แนะนำให้พาพันไมล์ไปรักษาโรคซึมเศร้า

‘พยายามด้วยการหันหลังให้น่ะสิ ฉันพยากรณ์ไว้เลยนะยัยไมล์ วันดีคืนดีพ่อแกจะเอาแม่ใหม่เข้าบ้าน เผลอๆ อาจเอาลูกที่แอบหยอดทิ้งไว้นอกบ้านมายกย่องอุ้มชูด้วยซ้ำ ไม่เชื่อก็รอดูน้ำหน้าพ่อแก พันไมล์’


“เมล่า เมล่า”

พันไมค์สะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่ออินทราเอื้อมมือมาเขย่าแขนพร้อมกับเรียกชื่อ

“คิดอะไรอยู่ ฉันเรียกหลายครั้งแล้วแต่เธอก็ไม่ได้ยิน” อินทราถามแล้วมองใบหน้าเลือดผสมไทย-อเมริกันของเมล่า- -เมล่า มิทเทลโฮลเซอร์ เป็นสาวรูปร่างสูงโปร่ง อายุราว 25-26 ปี รูปหน้ายาวรีรูปไข่ล้อมกรอบด้วยผมยาวเหยียดตรงสีน้ำตาลเข้มแผ่สยายเต็มหลัง คิ้วดกหนา ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งปลายเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากบางเป็นกระจับสีชมพูระเรื่อ เมล่าเป็นสาวคมตามสไตล์สาวเอเชียแต่ผิวขาวนวลอมชมพูอย่างสาวตะวันตก ดูแล้วเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างตะวันออกและตะวันตกจริงๆ

“เปล่านี่ มีอะไรหรือ” พันไมล์ถามกลับเสียงอ่อยๆ

“หัวหน้าแคมป์เป่านกหวีเรียกไปรวมตัวกลางลานแล้ว”

พันไมล์ชะงัก เธอก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือพบว่าเป็นเวลา 6 โมงเช้าซึ่งเป็นเวลาต้องไปออกกำลังกายแล้ว อา..นี่เธอเหม่อลอยเกือบครึ่งชั่วโมงเลยหรือ เหลียวไปมองรอบตัวพบว่าทุกคนออกไปจากเต็นท์หมดแล้ว คงเหลือแต่เธอและอินทราเท่านั้น

“รีบออกไปนะเมล่าเดี๋ยวจะไม่ทันคณะ”

พันไมล์พยักหน้าแทนคำตอบ ยกแก้วไจในมือซึ่งเริ่มเย็นชืด ขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

ไจตอนร้อนๆ ก็อร่อยดีอยู่หรอก แต่พอเย็นชืดหวานชะมัด!

พันไมล์ออกมาจากเต็นท์ เจอคณะ ‘SP12’ ทั้งหญิงและชายยืนเรียงแถวอยู่กลางลาน เสียงหัวหน้าแคมป์ในชุดกางเกงวอร์ม พูดภาษาอังกฤษเสียงดังฟังชัดว่าเช้านี้จะมีการออกกำลังกายข้างลำธารเป็นเวลาหนึ่ง ชั่วโมงจากนั้นจะพาไปเข้าโปรแกรม Rock Climbing และ River Crossing เพื่อเรียนรู้วิธีใช้อุปกรณ์ไต่เขา โหนเชือกลงจากหน้าผาความสูงหกเมตร รวมถึงอุปกรณ์ข้ามแม่น้ำ ซึ่งถือเป็นการวอร์มร่างกายก่อนจะออกไปเผชิญกับการเดินขึ้นเทือกเขาหิมาลัยจริง

ที่เบสแคมป์ Kasol เจ้าหน้าที่จัดให้นักท่องเที่ยวอยู่ที่นี่เป็นเวลาสองวัน เพื่อปฐมนิเทศและทำกิจกรรมปรับร่างกาย เช้าวันแรกออกกำลังกายข้างลำธาร เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงจากนั้นพาไปเดินขึ้นภูเขาลูกเตี้ยๆ สองชั่วโมง ส่วนวันที่สองพาไปออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมง และพาไปเข้าโปรแกรม Rock Climbing และ River Crossing เป็นลำดับต่อไป

……………………………..

1.ข้อมูลจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี : เทือกเขาหิมาลัยมาจากภาษาสันสกฤต หมายถึง ที่อยู่ของหิมะ กินอาณาเขต 5 ประเทศ คือ ปากีสถาน อินเดีย จีน ภูฐาน และเนปาล

2.ข้อมูลล่าสุดจากสมาคมบ้านเยาวชนแห่งประเทศอินเดีย (ปี 2549)

3. รูปี เท่ากับ 0.96 บาท (ปี 2549)

4. ไจ คือชาอินเดียผสมน้ำขิงและนมแพะหรือครีมเทียม สีคล้ายโอวัลตินแต่อ่อนและหอมหวานมันกว่า





lozocatlozocat




Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2556
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2556 0:36:38 น.
Counter : 1698 Pageviews.

5 comment
1  2  

คณิตยา
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]









รู้จักคณิตยา/คีตฌาณ์

ก้าวสู่โลกแห่งการขีดเขียนในปี 2549 มีผลงานเป็นรูปเล่มกับสนพ.ในเครือสถาพรบุ๊คส์ทั้งหมด 11 เล่ม ไล่ตั้งแต่ รหัสทรชน ทางสายหมอก กุหลาบในเปลวไฟ ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ อริ...ที่รัก บอดี้การ์ด รักเพียงฝัน ตามรักข้ามเวลา ไฟรัก บันทึกแห่งรัก(the Book of Love) มิราเบลล์...ตราบคีตาบรรเลง เป็น 1 ในนิยายชุดแด่เธอที่รัก สาปรัก และใต้ปีกรัก

รหัสทรชน เป็นละครทางช่อง 3 เมื่อปี 2554 แสดงโดย เคน และชมพู่ สร้างโดยค่ายยูม่า และ ไฟรัก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปแปลเป็นภาษาเวียดนาม วางแผงเดือนสิงหาคม 2556



พูดคุย ทักทาย แลกเปลี่ยนความเห็น และติดตามความเคลื่อนไหวได้ทาง fb โดยกดไลค์เป็นแฟนเพจได้ทาง https://www.facebook.com/keetacha?ref=hl ขอบคุณค่ะ

---------------


ตอนนี้อุ๋ยทยอยนำนิยายที่หมดลิขสิทธิ์กับพิมพ์คำไปวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book บนเว็บ ebooks และเว็บ Mebmarket ค่ะ

ใต้ปีกรัก...ราคาอีบุ๊ก 179 บาท

บันทึกแห่งรัก...ราคาอีบุ๊ก 255 บาท จากราคาปก 310

ไฟรัก...ราคาอีบุ๊ก 279 บาท จากราคาปก 350 บาท

กุหลาบในเปลวไฟ...ราคาอีบุ๊ก 230 บาท



รหัสทรชน ราคาอีบุ๊ก 200 บาท จากราคา 300 บาท 673 หน้า





ทางสายหมอก ราคาอีบุ๊ก 265 บาท จากราคา 280 บาท 690 หน้า



ฝากรัก...ผ่านซีบ็อกซ์ ราคาอีบุ๊ก 125 บาท จากราคา 180 บาท 360 หน้า



รวมเรื่องสั้น...ฉบับวัยหวาน ราคาอีบุ๊ก 45 บาท จากปก 55 บาท



อริ...ที่รัก ราคาอีุบุ๊ก 195 จากปก 240 บาท



หวานใจ...บอดีการ์ด...ราคาอีบุ๊ก 145 บาท จากปก 180 บาท



รักเพียงฝัน...ราคาอีบุ๊ก 225 จากปก 250 บาท



ตามรักข้ามเวลา...ราคาอีบุ๊ก 240 จากปก 270 บาท





















New Comments