บันทึกของเจ้าส้ม
บันทึกของเจ้าส้ม

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออ



ไม่ทราบนึกอย่างไรขึ้นมาค่ะ จู่ๆ ก็เกิดอยากอ่านการ์ตูนเกี่ยวกับแมวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ระหว่างนึกอยู่นานว่าจะอ่านเล่มไหนดี ภาพแมวสีส้มก็ผุดขึ้นมาในสมองเลยค่ะ แมวสีส้มตัวนี้ไม่ใช่การ์ฟิลด์อ้วนส้มนะคะ แต่เป็น "เจ้าส้ม" การ์ตูนที่ชวนให้ย้อนรำลึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวและความรักของคุณพ่อคุณแม่อย่างที่สุด

"บันทึกลับของเจ้าส้ม" หรือ Mikan Enikkki เป็นผลงานของ อ.มิวะ อาบิโกะที่เขียนเป็นเรื่องสั้นจบในตอนลงนิตยสาร Lala ตั้งแต่ปี 1988 (20 ปีที่แล้ว...เกิดกันหรือยังคะ) จำไม่ได้แล้วค่ะว่าพิมพ์ในไทยเมื่อไร แต่ที่ช่วงนั้นต้องเศรษฐกิจไม่ค่อยดีแน่ๆ เพราะเป็นช่วงที่จำได้ว่าไม่ค่อยมีเงินซื้อหนังสือการ์ตูนค่ะ ความที่อยากอ่านแต่ก็ต้องเก็บเงินไว้กินข้าวด้วยเลยจำใจเช่าเอา ผ่านมาเป็นสิบปีก็ยังตามหาเรื่องนี้อยู่และโชคดีที่พอนึกถึงแมวส้มขึ้นมาก็เปิดหาร้านขายการ์ตูนเก่าทางอินเตอร์เน็ต แล้วก็เจอในที่สุดค่ะ เสียดายได้มาแค่ 9 เล่ม ไม่ครบชุด 14 เล่ม

"เจ้าส้ม" (ภาษาญี่ปุ่นคือมิคัง แปลว่าส้ม) คือแมวขนสีน้ำตาลส้มสวยที่ตาม "โทมุ" เด็กหนุ่มใจดีมาที่บ้าน คงเพราะความผูกพันบางอย่างทำให้เจ้าส้มคลอเคลียโทมุไม่เลิก แถมยังเอาใจคุณแม่ของโทมุจนเธออยากรับเจ้าส้มไว้เลี้ยง ในที่สุดความขี้อ้อนก็ทำให้เจ้าส้มกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านคุซานางิจนได้

ทั้งที่ทุกอย่างน่าจะไปได้สวย แต่โทมุกลับสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในตัวเจ้าส้ม เช่น บางครั้งเขาได้ยินเสียงเหมือนเสียงหัวเราะแบบคน ไม่ใช่แบบแมว บางทีก็ได้ยินเสียงถอนหายใจเฮ้อ โทมุจึงแอบตามมาดูยามดึกและพบว่าเจ้าส้มเมายาดองอยู่ในครัว! เจ้าส้มเปิดโหลยาดองแล้วกรึ๊บสบายใจเลยค่ะ

ความลับก็แตกในที่สุด ทุกคนในบ้านคุซานางิจึงทราบว่าเจ้าส้มเป็นแมวที่พูดภาษาคนได้และเดินสองขาได้ แต่แทนที่จะตกใจกลัว ทุกคนกลับยิ่งรักและดูแลเจ้าส้มราวกับเป็นน้องชายของโทมุเลยทีเดียว

ตอนที่ซาบซึ้งที่สุดน่าจะเป็นกำเนิดของเจ้าส้มค่ะ เจ้าส้มเดิมเป็นลูกแมวที่ถูกทิ้ง "คุณปู่" ผู้อาศัยอยู่ปลายนาเพียงคนเดียวเก็บเจ้าส้มและพี่น้องไปเลี้ยงค่ะ คุณปู่ตั้งชื่อเจ้าส้มว่า "ทอม" (โทมุถ้าอ่านแบบญี่ปุ่น) ตามชื่แมวทอมแอนด์เจอร์รี่ ที่จริงคุณปู่ก็อยากยกเจ้าส้มให้คนอื่นเหมือนกัน แต่ความผูกพันทำให้ตัดสินใจไม่ยกให้ใคร เจ้าส้มเองรักคุณปู่มาก อยากจะตะโกนเรียกคุณปู่ให้ไปเล่นด้วยกันจนวันนั้นเองที่เจ้าส้มเริ่มรู้สึกว่าตัวเองออกเสียงได้เหมือนคนแถมยังถอนหายใจเสียงเหมือนคนอีกด้วย!

ครั้งแรกที่คุณปู่ได้ยินเจ้าส้มพูดได้ ไปเล่าให้ใครฟังก็มีแต่คนหาว่าบ้า หลังจากพยายามพิสูจน์หลายครั้งคุณปู่ก็เริ่มรู้ว่าหลานแมวของตัวเองไม่ควรให้ใครรู้ว่าพูดได้ ถ้าเป็นบ้านเราอาจโดนเอาไปโชว์ตัวตามงานวัด แต่ที่ญี่ปุ่นเขาอาจหาว่าเป็นแมวปิศาจแล้วฆ่าทิ้งเอา เจ้าส้มจึงรับปากว่าจะพูดต่อหน้าคุณปู่เท่านั้น

ในวันสุดท้าย คุณปู่ไม่สบายหนักจนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลและเสียชีวิตอย่างสงบ เจ้าส้มรอการกลับบ้านของคุณปู่แต่สิ่งที่ได้พบมีแต่ร่างที่ไร้วิญญาณ ความตกใจทำให้เผลอพูดออกไปจนชาวบ้านคิดว่าเจ้าส้มเป็นแมวปิศาจต้นเหตุให้คุณปู่ต้องตาย แม้จะเสียใจและอยากอยู่ใกล้คุณปู่เป็นครั้งสุดท้ายแต่เจ้าส้มก็ต้องจำใจหนีออกมาก่อนจะถูกจับไปทำแมวย่าง

เมื่อพบโทมุ ความคิดถึงคุณปู่ซึ่งเรียกตัวเองว่าโทมุเช่นกันทำให้เจ้าส้มเดินตามโทมุกลับบ้านและได้พบกับครอบครัวคุซานางิที่น่ารักในที่สุด ซาบซึ้งจริงๆ ค่ะ

บันทึกของเจ้าส้มโด่งดังมากจนถูกนำไปสร้างเป็นการ์ตูนฉายทางโทรทัศน์ในปี 1992 คือ 4 ปีหลังออกเล่มแรก ฉายต่อเนื่องกัน 30 ตอนแถมอีกหนึ่งตอนพิเศษและกลายมาเป็นการ์ตูนแมวที่อยู่ในใจหลายท่านอีกหนึ่งเรื่อง ดังถึงขนาดมีการแปลเป็นภาษาโปแลนด์,สเปน,อังกฤษ,และอารบิคเลยค่ะ

สิ่งที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ไม่ใช่แมวมหัศจรรย์พูดได้ แต่เป็นความรักของคนในครอบครัวซึ่งมีแมวเป็นสมาชิกด้วย แอบคิดถึง Stuart Little หนูน้อยที่อยู่ในครอบครัวลิตเติ้ลแล้วเทียบว่าเจ้าส้มเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกมาหรือเปล่า ปรากฏว่าเปล่าเลยค่ะ เจ้าส้มนำเสนอความรักในแบบสังคมตะวันออกได้อย่างงดงามและชวนให้ซาบซึ้งใจจริงๆ

ไม่แปลกใจที่ตอนนี้เจ้าส้มคือการ์ตูนอีกเรื่องที่หายากระดับเทพไปแล้วค่ะ อ่านแล้วรู้สึกอยากวิ่งเข้าไปกอดคุณพ่อคุณแม่และน้องชายจริงๆ สงสัยจะอินจัดค่ะ

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun03240251&day=2008-02-24§ionid=0120



Create Date : 21 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:00:26 น.
Counter : 1422 Pageviews.

1 comment
แอร์ฯสุดซ่าส์! นางฟ้าสุดแสบ
แอร์ฯสุดซ่าส์! นางฟ้าสุดแสบ

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



เมื่อสัปดาห์ก่อนได้ยินข่าวเรื่องสหภาพแรงงานของบริษัทสายการบินหนึ่งออกมาโวยว่าเพราะเหตุใดละครไทยเรื่อง "สงครามนางฟ้า" จึงนำเสนอภาพของวงการกัปตันและเหล่าลูกเรืออย่างเสื่อมเสียเช่นนั้น มีแต่ชิงรักหักสวาทตบตีกันอันนำมาแต่เรื่องเสื่อมเสียในทางชู้สาว แต่ก็ไม่ได้ติดตามข่าวนี้ค่ะ ครั้งแรกที่ฟังข่าวยังแปลกใจว่าหากเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความจริงมากๆ คนดูก็ต้องรู้สึกไม่ "อิน" แล้วสิ แต่เพราะเหตุใดคนดูจึงเชื่อตามละครและไม่ได้ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด ในระหว่างที่คนทำอาชีพนี้กลับร้อนวาบและออกมาแถลงการณ์รักษาสิทธิของตนเอง

คำตอบที่พอจะคิดได้คืออาชีพ "นางฟ้า" ในความเป็นจริงกับในความเข้าใจของคนทั่วไปต่างกันมากค่ะ คงมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมตามแบบที่ละครนำเสนอ แต่ภาพเหล่านั้นกลับติดตาคนทั่วไปเหลือเกิน

เช่นเดียวกับการ์ตูนเรื่อง แอร์ฯสุดซ่าส์! นางฟ้าสุดแสบ ที่นำเสนอภาพออกมาใกล้เคียงกับละคร เพียงแต่เป็นมุมมองจากสายตาของคนญี่ปุ่นเท่านั้นเอง

"แอร์สุดซ่าฯ" เล่าเรื่องของ ยามาดะ ซาเอะ อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหรือแอร์โฮสเตสที่คนทั่วไปเรียกว่า "แอร์ฯ" ค่ะ อาชีพนี้ในความคิดของคนญี่ปุ่นไม่ต่างจากคนไทยเท่าไร คือแอร์ต้องเป็นสาวสวยรูปร่างผอมบาง ใส่ใจในการบริการทุกอย่าง ยิ้มแย้มเสมอ และพวกเธอโชคดีที่ได้ขึ้นเครื่องบินซึ่งเป็นพาหนะราคาแพงบ่อยๆ เธอต้องแต่งตัวด้วยแฟชั่นนำสมัย ควงด้วยก็ไม่มีอายใคร มีเงินทองและเครื่องสำอางราคาแพงใช้ และทรงเสน่ห์ทั้งกับกัปตันเครื่องบินและเหล่าหนุ่มๆ ที่ฝันอยากใกล้ชิดนางฟ้าสักครั้ง

...แต่ซาเอะไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยค่ะ เธอตัดสินใจเป็นแอร์เพราะอยากเนื้อหอมในหมู่หนุ่มๆ แต่ในที่สุดเธอก็ยังไม่มีผู้ชายดีๆ มาสนใจเช่นเดิม

ซาเอะเป็นลูกจ้างชั่วคราวของสายการบิน ANL ซึ่งปรับตัวจากสายการบินหรูหรามาเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ ส่งผลให้ซาเอะรับเงินเป็นค่าจ้างรายชั่วโมง ขณะทำงานก็ต้องอยู่ในระเบียบไม่ต่างกับค่ายทหาร ยามอยู่บนเครื่องบินเธอต้องสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีตลอดเวลา ยิ้มแย้มและเต็มใจให้บริการเพื่อให้ลูกค้ามีความสุข แต่เบื้องหลังการถ่ายทำ ไม่ว่าใครอ้วกเลอะเทอะหรือทำแหวนตกลงในชักโครก เธอก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยให้หมด เป็นอาชีพที่ลำบากเหลือเกินค่ะ

ซาเอะมีเพื่อนแอร์ที่สนิทอีก 2 คนคือ เมงุมิ กับ ยูกะ เมงุมิเป็นสาวเท่ดูเป็นผู้ใหญ่ ชายหนุ่มที่เธอคบอยู่มีแฟนอยู่แล้ว (อ้าว) แต่เธอก็ยังสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ๆ กับเขา ส่วนยูกะเป็นสาวแอ๊บแบ๊วน่ารัก ความรักสวยรักงามขั้นสุดยอดทำให้เธอต้องนอนให้เพียงพอและแต่งหน้า 2 ชั่วโมงทุกวัน บินไปที่ไหนไม่ต้องเสียค่าที่พักเพราะหนุ่มๆ ที่นั่นจะจองห้องสวีทสุดหรูให้พักด้วยกันเสมอ (อ้าวๆๆๆ) ดูเหมือนชีวิตรักของสองสาวจะห่างไกลจากวัฒนธรรมไทยอยู่โขเลยค่ะ

การ์ตูนยังนำเสนอชีวิตรักกับหนุ่มๆ ที่โฉบเฉี่ยวอีกหลายครั้ง ซึ่งอ่านไปก็วิงเวียนไปและรู้สึกว่าไม่บ่อยนักที่ประเทศไทยจะนำเข้าการ์ตูนที่มีเนื้อหาหวาดเสียวและล่อแหลมต่อศีลธรรมเช่นนี้ (อาจจะเคยมีแต่ไม่เคยอ่าน) การ์ตูนคงไม่ได้ยกเมฆขึ้นมาทั้งหมดหรอกค่ะเพราะส่วนใหญ่เรื่องที่นำเสนอเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นภาพที่แท้จริงในสังคม และเชื่อว่าเมืองไทยก็คงมีภาพเหล่านี้เช่นกัน เพียงแต่คนไทยไปสะท้อนในละครหลังข่าวมากกว่า

ข้อดีอย่างหนึ่งของการ์ตูนเรื่องนี้คือแม้ซาเอะจะคร่ำครวญหาหนุ่มใจดีที่จะแต่งงานและให้เธอเป็นแม่บ้านคอยดูแลได้ แต่โชคดีที่เธอมีตาเลือกผู้ชายและรักศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิงอยู่มาก แม้เพื่อนๆ จะบอกว่าการเปลี่ยนคู่ควงหรือยอมเสียตัวให้ผู้ชายนิดๆ หน่อยๆ ไม่สึกหรอ แต่ซาเอะเชื่อมั่นว่าการมีเพศสัมพันธ์อย่างไร้ค่าทำให้ตัวเธอลดค่าลงไปมาก เธออาจได้เจอผู้ชายดีๆ แต่เธอจะไม่มีวันเจอสามีดีๆ เลย

เป็นการ์ตูนที่อ่านได้แต่ต้องจำกัดอายุและใช้วิจารณญาณเลยล่ะค่ะ เด็กที่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยอ่านแล้วอาจคิดว่าชีวิตที่ได้โปรยเสน่ห์และเปลี่ยนคู่ไม่ซ้ำหน้าคือชีวิตแอร์ฯ ที่ตื่นเต้นเร้าใจ แต่ถ้าอ่านอย่างละเอียดและมองโลกอย่างเป็นกลางแล้ว

อาชีพแอร์ฯ ไม่ได้เป็นอย่างนี้เสียหมดนะคะ และอาชีพอื่นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่มองข้ามศักดิ์ศรีความเป็นผู้หญิงของตัวเองเหมือนกัน

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun02100251&day=2008-02-10§ionid=0120



Create Date : 21 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:00:20 น.
Counter : 1026 Pageviews.

0 comment
A Wonder Boy ความมหัศจรรย์แห่งหัวใจ
A Wonder Boy ความมหัศจรรย์แห่งหัวใจ






เป็นเรื่องยากจริงๆ ค่ะถ้าเราจะเขียนการ์ตูนสักเรื่องโดยนำสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างความหวัง ความกล้า หรือความมุ่งมั่น มาเขียนบรรยายเป็นตัวอักษร การกลั่นความรู้สึกเหล่านี้เป็นคำพูดว่ายากแล้ว แต่หากต้องตกตะกอนให้กลายเป็นภาพวาดที่นำเสนอผ่านหนุ่มน้อยคนหนึ่ง บางทีเราแทบเดาไม่ออกเลยว่าหนุ่มน้อยคนนั้นจะมีหน้าตาอย่างไร

นี่คือความมหัศจรรย์ของ อ.ยามาชิตะ คาสึมิ ผู้วาด Wonder Boy ซึ่งแม้ผ่านมาถึงเล่ม 5 แล้วก็ยังเจ็บจี๊ดที่หัวใจทุกครั้งเมื่อได้อ่าน

Wonder Boy เป็นเรื่องสั้นจบในตอนที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงใดช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์โลกนี้ไม่ก็โลกอื่น โดยมีหนุ่มน้อยน่ารักผมสีบลอนด์สลวยเป็นผู้เชื่อมโยงเรื่องราวและนำมาซึ่งบทสรุปแสนกินใจ เรื่องราวสำคัญที่เคยเกิดขึ้นจริงในโลกหลายเหตุการณ์ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่ตามแนวคิดของ อ.ยามาชิตะ โดยเชื่อมโยงเข้ากับหนุ่มน้อยปริศนาผู้ชี้นำจนเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นและกลายเป็นหน้าหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ตลอดกาล ไม่มีใครพูดถึงหนุ่มน้อยคนนี้เพราะเมื่อเขาจากไป ก็จะนำพาความทรงจำทั้งหมดไปด้วย บุคคลสำคัญของโลกหลายคนจึงเคยพบเขามาแล้วทั้งนั้นเพียงแต่จำไม่ได้เท่านั้นเอง

ความสามารถในการผูกเรื่องราวได้อย่างน่าเชื่อและการดำเนินเรื่องนำไปสู่บทสรุปแสนละเมียดคือ "กึ๋น" ของ อ.ยามาชิตะเลยค่ะ

มีตอนหนึ่งที่หนุ่มน้อยไปพบกับสามีภรรยาวัย 80 ปี ในบ้านญี่ปุ่นเรียบง่ายที่สะพรั่งด้วยต้นซากุระโปรยกลีบชมพูหวานงดงาม ทั้งสองเป็นคู่วิวาห์เหาะที่หนีตามกันมาในวันแต่งงานของฝ่ายหญิง เธอวิ่งหนีมาทั้งชุดกิโมโนสีขาวโดยไม่สวมรองเท้าและตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่รัก แต่ในวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ รถโดยสารที่ทั้งสองขึ้นกลับประสบอุบัติเหตุ นั่นคือจุดจบของจุดเริ่มต้นที่ทั้งสองคนไม่ต้องการ

เวลาผ่านมา 60 ปี หนุ่มน้อยผมทองถามถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาซึ่งรูริโกะคุณป้าผู้เปี่ยมรอยยิ้มก็วิ่งไปหยิบอัลบั้มภาพถ่ายมาประกอบการเล่าอย่างภูมิใจ

แรกเริ่มหลังอุบัติเหตุ ทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ที่โตเกียว ในบ้านหลังเล็กที่ต้นซากุระเพิ่งออกดอกตูม ไม่นานนักลูกสาวคนแรกก็ถือกำเนิด แต่ชีวิตที่ยังลุ่มๆ ดอนๆ ทำให้ทั้งสองลำบากไปพอสมควร แต่กระนั้นรูริโกะก็ยังส่งรูปถ่ายลูกสาวไปให้คุณพ่อคุณแม่ที่ต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด 4 ปีต่อมา คุณแม่ของรูริโกะจึงยอมมาพบที่โตเกียว คุณพ่อยังโกรธเรื่องที่หนีตามกันมาแต่ก็ยอมยกโทษให้เมื่อได้หลานชายอีกไม่กี่ปีให้หลัง

หนุ่มน้อยมองดูทั้งสองระลึกความหลัง 60 ปีที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกันและอยู่เคียงข้างกันจนแก่เฒ่า เขาถามตรงๆ ว่าต้องการอยู่ด้วยกันต่อไปไหม อยู่ด้วยกันในบ้านใต้ต้นซากุระโดยไม่แก่เฒ่าตลอดกาล แต่คำตอบของทั้งสองคนคือ "มนุษย์ไม่เลือกความเป็นอมตะหรอก"

สิ้นสุดคำพูด ทั้งสองก็หายไปท่ามกลางกลีบซากุระโปรยปราย และภาพที่เห็นในหน้าสุดท้ายคือรถโดยสารประสบอุบัติเหตุตกเขาท่ามกลางกลีบซากุระ โดยมีร่างไร้วิญญาณของทั้งสองคนในวัย 20 ปีจากไปอย่างสงบที่นั่น

ไม่รู้ไปกระตุ้นต่อมอะไรในตัวค่ะ แต่อ่านตอนนี้ทีไรน้ำตาร่วงทุกที (อ่านมา 5 รอบแล้ว น้ำตาหยดทุกรอบ) สิ่งที่นำเสนอมาตลอดคือความปรารถนาในเสี้ยววินาทีสุดท้ายเมื่อรถโดยสารกำลังจะตกเขาและทั้งสองคนรู้ตัวว่ากำลังจะต้องตาย พวกเขาไม่ต้องการให้วันเริ่มต้นชีวิตกลายเป็นวันสุดท้ายที่ได้หายใจ และหนุ่มน้อยคนนั้นได้ขยายภาพฝันในเสี้ยววินาทีให้กลายเป็นความทรงจำ 60 ปีที่ไม่ได้มีแต่ความสุข แต่เป็นชีวิตของคู่รักธรรมดาที่เกิดมาเพื่อดูแลครอบครัวและตอบแทนคุณพ่อแม่

หันกลับมาถามตัวเองว่าถ้าต้องตายวันนี้จะมีสิ่งใดที่ติดค้างในใจบ้าง กลับไม่ใช่เรื่องงานที่ตะบี้ตะบันทำจนลืมนอน ไม่ใช่เงินทองหรือหนังสือการ์ตูนที่ยังอ่านค้างไม่จบ แต่เป็นใบหน้าของคนในครอบครัวทุกคนที่เรายังไม่ได้เริ่มต้นทดแทนบุญคุณเลยด้วยซ้ำ เพียงเท่านี้ก็เหมือนดอกซากุระตูมในใจค่อยๆ บานออกทีละน้อย

Wonder Boy เป็นการ์ตูนที่ทำให้มองเห็นความงามของหัวใจมนุษย์จริงๆ ค่ะ


คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน โดย วินิทรา นวลละออง

ที่มาหนังสือพิมพ์มติชน

//www.matichon.co.th/news/news_detail.php?id=17258&catid=47



Create Date : 21 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 16:59:34 น.
Counter : 1411 Pageviews.

0 comment
Saint Seiya The Lost Canvas เทรนด์ใหม่ของเหล่าเซนต์แห่งอาธีน่า
Saint Seiya The Lost Canvas เทรนด์ใหม่ของเหล่าเซนต์แห่งอาธีน่า

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



นอกจากดราก้อนบอลล์แล้ว การ์ตูนมหากาพย์ที่สร้างภาคต่อ ภาคคู่ขนาน และสารพัดของเล่นออกมาได้ยาวนานที่สุดคงไม่พ้น "เซนต์เซย่า" ค่ะ โดยส่วนตัวชอบเรื่องนี้มากมาตั้งแต่เด็ก สาเหตุหลักๆ ตามประสาเด็กผู้หญิงคือ "ตัวละครหน้าตาดี" ค่ะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป แฟนดั้งเดิมเริ่มอายุมากขึ้นและใช้สมองดูการ์ตูนมากขึ้น โครงเรื่องดั้งเดิมซึ่งมีเพียงนักรบชุดเกราะสู้กันเพื่อปกป้องเทพีอาธีน่าเริ่มถอยกลับไปสู่จุดเริ่มต้น และขยายความสัมพันธ์ของตัวละครแต่ละคนให้มีมิติและซับซ้อนยิ่งขึ้น ดราม่าตรึงใจจึงกลายเป็นจุดขายใหม่ของเซนต์เซย่าภาคหลังๆ ในระหว่างที่ยังคงฉากแอ๊คชั่นสุดงามและชุดเกราะอลังการไว้รับตลาดเด็กเช่นเดิม

The Lost Canvas คือเซนต์เซย่าภาคล่าสุดที่ตีพิมพ์ในประเทศไทยค่ะ (1 ปีหลังจากเริ่มตีพิมพ์ในญี่ปุ่น นับว่าเร็วพอดู) เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำนานการต่อสู้ระหว่างนักรบฝั่งอาธีน่ากับฮาเดสเป็นหลัก หนังสือการ์ตูนเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2006 ในประเทศญี่ปุ่น และสร้างกระแสฮือฮาอย่างแรงไปทั่วดินแดนที่เป็นเมืองขึ้นของเซนต์เซย่า (ฮ่องกง, อิตาลี, ฝรั่งเศส, บราซิล ฯลฯ) ทำให้หาข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษยากมากๆ ค่ะ ที่ได้นี่ก็แปลมาจากภาษาโปรตุเกส, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาอิตาลี และภาษาจีน

ในภาคนี้ตัวละครหลายตัวมีใบหน้าละม้ายคล้ายยุคแซงจูอารี่ 12 ปราสาท บุคลิกก็แสนจะเหมือน แต่ดูชื่อและอายุแล้วไม่ใช่ค่ะเพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคที่ผู้เฒ่าลิบร้า โดโค ยังหนุ่มแน่นอยู่ (ภาคของเซย่านั้นปู่อายุปาไปเป็นร้อยปีแล้ว)

"เทมมะ" เด็กหนุ่มเชื้อสายญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในเมืองทางยุโรปแห่งหนึ่ง เขาเป็นเด็กกำพร้าแต่ความที่มีพละกำลังแข็งแกร่งจึงพึ่งพาเรื่องชกต่อยได้เสมอ เทมมะมีเพื่อนสนิทแสนเรียบร้อยและรักการวาดภาพ "อาโรน" ความสะอาดบริสุทธิ์ของอาโรนทำให้เขากลายมาเป็นร่างจุติของจ้าวแห่งนรก "ฮาเดส" ต่อมาโดโคเห็นความสามารถของเทมมะจึงได้ทาบทามไปเป็นเซนต์ผู้ปกป้องอาธีน่า ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้พบว่าเด็กผู้หญิงที่เติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าแห่งเดียวกัน "ซาชา" ซึ่งมีผู้รับไปดูแลคือเทพีอาธีน่าในชาตินี้นั่นเอง

คำสาปของฮาเดสเริ่มหมุนตามเข็มนาฬิกาเมื่อภาพวาดของอาโรนทำให้สิ่งมีชีวิตในภาพต้องตาย ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ สัตว์ หรือแม้แต่คน สีสันงดงามเหลือเพียงสีเทาแห่งความตาย และในตอนที่สิ้นหวังกับความสามารถประหลาดของตัวเอง "แพนโดร่า" ก็ปรากฏกายขึ้น เชื้อเชิญให้อาโรนรับรู้ถึงสีสันที่แท้จริงของชีวิต สวรรค์ที่แท้จริงของเหล่าวิญญาณ และดินแดนที่ควรถือครองโลกมนุษย์นี้ นั่นคือดินแดนแห่งความตายนั่นเอง

บทบาทของอาโรนในฐานะฮาเดสผู้ปลดปล่อยดวงวิญญาณของมนุษย์ด้วยความตายจึงเริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการหันหน้าสู้กับเทมมะและซาชา

เนื้อเรื่องในภาค The Lost Canvas ยังคงประพันธ์โดย อ.คุรุมาดะ มาซามิ ผู้ประพันธ์ดั้งเดิมค่ะ แต่งานภาพมอบให้เทชิโรงิ ชิโอริ วาดแทน เข้าเทรนด์การ์ตูนไร้พรมแดนให้ผู้หญิงมาวาดการ์ตูนผู้ชายจริงๆ ค่ะ และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามคาด แฟนๆ ของเซนต์เซย่าส่วนใหญ่ชื่นชมภาค The Lost Canvas ในหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่เนื้อเรื่องซึ่งทุกบทวิจารณ์เห็นด้วยว่า "ดราม่า" อย่างยิ่ง เต็มไปด้วยความสัมพันธ์ลึกซึ้ง อารมณ์ของตัวละครมากมาย และหลายฉากที่เชื่อว่าอ่านแล้วต้องหลั่งน้ำตา (โดยเฉพาะการจากไปของบรรดาโกลด์เซนต์)

ในด้านงานภาพ แม้ลายเส้นจะเห็นได้ชัดว่าติดแนวการ์ตูนผู้หญิง แต่ความสมดุลของหน้าตาท่าทางที่ไม่ตุ้งติ้งเกินงาม กับชุดเกราะที่ใช้เทคนิคลงเงากับสกรีนโทนเบอร์เดียวกับภาคก่อนๆ ทำให้รู้สึกไม่ขัดเขินกับการอ่านภาคนี้เท่าใดนัก ออกจะชินตาและง่ายต่อการยอมรับด้วยค่ะ

โดยส่วนตัวตอนอ่าน Episode G ก็รู้สึกอึ้งทึ่งเสียวกับลุคใหม่ของเซนต์เซย่าพอสมควร แม้ฉากแอ๊คชั่นจะมันสุดขีดแต่ความแวววาวของเกราะก็ทำให้ต้องหยุดพักสายตาเป็นระยะ ในระหว่างที่อ่าน The Lost Canvas รู้สึก "ชอบมาก" เลยค่ะ อาจจะเป็นเพราะรอคอยดราม่าของเรื่องนี้มานานแล้ว อ่านแต่บรรดา fan fiction (นิยายที่บรรดาแฟนๆ แต่งเองเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการ์ตูนที่ชอบ) จนแทบจะเลิกหวังว่าจะได้เห็นภาคที่เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์จากเรื่องนี้ แต่ในที่สุด The Lost Canvas ก็ทำให้ฝันเป็นจริง

แนะนำให้อ่านเลยค่ะ ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นการประสานกันของการ์ตูนยุคโชเนนบูมกับยุคเพศไร้พรมแดนได้อย่างลงตัวแบบนี้ ต้องปรบมือให้ทีมผู้จัดทำจริงๆ ค่ะ

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun02050850&day=2007-08-05§ionid=0120



Create Date : 21 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 16:59:28 น.
Counter : 1490 Pageviews.

0 comment
คุโรซากิ บริษัทรับส่งศพ (ไม่) จำกัด
คุโรซากิ บริษัทรับส่งศพ (ไม่) จำกัด

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ "คุโรซากิ" นึกไปถึงละครญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่ว่าด้วยเด็กหนุ่มนักต้มตุ๋นระดับเซียนที่ช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ด้วยการหลอกนักต้มตุ๋นตัวจริงเพื่อเอาเงินมาคืนให้คนที่โดนหลอก สนุกพอประมาณค่ะแต่ถ้าเป็นการ์ตูนก็คิดว่าอยากลองซื้อมาอ่านดูเหมือนกัน แต่พอเดินไปซื้อที่แผง..อ้าว..ไม่ใช่คุโรซากิเดียวกันนี่นา กลายเป็นบริษัทรับส่งศพไปได้อย่างไร

"คุโรซากิ บริษัทรับส่งศพ (ไม่) จำกัด" คงเป็นการ์ตูนเล่มเดียวที่ยังเหลือในตลาดลิขสิทธิ์ตอนนี้ที่เรต NC-17 (เยาวชนอายุไม่เกิน 17 ปีไม่ควรอ่านเด็ดขาด) และไม่ได้ถูกจัดเรตสูงสุดนี้จากฉากซึ่งกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ แต่ถูกจัดด้วยเกณฑ์ความรุนแรงจากฉากบรรดาศพในเรื่องทั้งหลาย

"คาราซึ คุโร่" นักศึกษาปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยพุทธแห่งหนึ่งตกกระไดพลอยโจนไปร่วมกิจกรรมอาสาสมัครสวดศพร่วมกับตำรวจท้องถิ่น อธิบายเรื่องมหาวิทยาลัยของคาราซึสักนิดค่ะ เป็นที่ทราบดีว่าญี่ปุ่นนั้นแม้จะมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาของประชากรส่วนใหญ่ แต่ก็มีลัทธินิกายมากมายนับไม่ถ้วน วัดและศาลเจ้าหลายแห่งดำเนินกิจการคล้ายบริษัททำธุรกิจให้บริการกิจกรรมทางศาสนา ดังนั้นพระหลายนิกายจึงแต่งงานมีทายาทได้ และทายาทผู้สืบทอดกิจการวัดเหล่านั้นก็นิยมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยพุทธแห่งนี้

คาราซึเป็นหนึ่งในไม่กี่คนซึ่งไม่ได้เป็นทายาทวัด และเขาได้พบเพื่อนร่วมเป็นอาสาสมัครซึ่งทุกคนมีเหตุผลส่วนตัวในการเข้าเรียนที่นี่ แน่นอนว่าแต่ละคนประหลาดล้ำ

"ซาซากิ" หัวหน้าทีมมีงานอดิเรกถ่ายรูปศพไปเผยแพร่ทางอินเตอร์เนทหารายได้พิเศษ "นุมาตะ" เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการทำดาวซิ่ง หรือการค้นหาแหล่งน้ำหรือแหล่งแร่โดยการแขวนโลหะไว้ที่มือแล้วดูปฏิกิริยา แต่นุมาตะโชคร้ายเพราะสิ่งที่หาเจอไม่ยักเป็นสายแร่ แต่กลับเป็นศพ เขาจึงเหมาะกับกิจกรรมอาสาสมัครตามหาศพคนฆ่าตัวตายเพื่อมาสวดครั้งนี้อย่างมาก "มากิโนะ" สาวน้อยน่ารักซึ่งดูแล้วเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปร่วมกิจกรรมนี้เพราะเธอมีความสามารถในการตกแต่งศพ และงานนี้มีศพมากมายให้เธอได้ฝึกฝน "ยาตะ" สามารถติดต่อมนุษย์ต่างดาวได้โดยผ่านทางหุ่นมือ บางครั้งหุ่นมือก็พูดในสิ่งเหลือเชื่อออกมาโดยที่เขาอ้างว่าไม่ได้พูดเอง

ปริศนาศพแรกทำให้คาราซึยอมเผยความสามารถของตัวเองออกมาบ้าง นั่นคือเพียงแค่สัมผัสกับศพ เขาก็สามารถเป็นสื่อกลางให้ดวงวิญญาณของผู้ตายขอความช่วยเหลือหรือแจ้งข่าวสารบางอย่างให้ทราบได้ อ่านถึงตรงนี้จากที่คิดว่าอาจจะเป็นการ์ตูนสอดแทรกความรู้เรื่องบริษัทเก็บศพเห็นจะไม่ใช่เสียแล้วค่ะ นี่คือการ์ตูนลึกลับแฟนตาซีขนานแท้แน่นอน

คดีแรกที่ทีมได้ช่วยคือการตามหาหญิงคนรักของศพที่พบในป่า ในที่สุดพวกเขาก็เจอ แต่กลับพบฆาตกรโรคจิตผู้เป็นต้นเหตุของความแค้นดังกล่าว

อ่านไปถึงคดีที่ 2-4 ก็ยิ่งรู้สึกวิงเวียน แม้เนื้อเรื่องจะเห็นได้ชัดเจนว่ามาจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ แต่ความสามารถในการเล่าเรื่องให้เข้ากับความกลัวดั้งเดิมของมนุษย์ เชื่อมโยงจนเราอ่านแล้วรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องจริง และสิ้นสุดด้วยบทสรุปเหนือธรรมชาติ ทำให้เริ่มกลัวว่าเหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นจริงๆ ได้หรือไม่

ความสมจริงนี้ต้องยกให้ผู้ประพันธ์ "เอย์จิ โอทสึกะ" ผู้เคยฝากผลงานชวนขนลุกอย่าง MPD Psycho มาแล้วค่ะ ฉากปลูกดอกไม้บนสมองคนเป็นๆ กับสับแขนขาแล้วเอาตัวใส่กล่องอาหารทะเลส่งมาให้ยังจำได้ติดตาอยู่เลย พอรู้ว่าอ.เอย์จิแต่งก็รีบพลิกไปดูหน้าปกหาคำว่า "ไม่เหมาะกับเยาวชน" เลยค่ะ...ไม่ยักมี

"คุโรซากิ" อาจเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับการจัดการ์ตูน หลายคนตื่นตัวกับฉากโป๊เปลือยมากเกินไปโดยลืมนึกว่าแท้จริงความรุนแรงสำหรับเยาวชนไม่ได้มีแค่ฉากโป๊เพียงอย่างเดียว แม้การจำกัดอายุผู้ซื้อจะยังไม่สามารถนำมาปฏิบัติจริงได้ในประเทศไทย แต่การเซ็นเซอร์และติดป้ายเตือนที่ปกอาจเป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับประเทศซึ่งยังมีวัฒนธรรมดีงามและมีข้อจำกัดในการแสดงออกทางเพศอย่างประเทศไทยก็ได้

แต่สุดท้ายในระยะยาวสิ่งที่ดีที่สุดในการจำกัดเรตคือการ "สร้างจิตสำนึก" ค่ะ แม้ฟังดูเหมือนเรื่องเพ้อฝันที่เป็นไปไม่ได้แต่หากลองไปสัมผัสประเทศอื่น เราจะทราบเลยว่าสิ่งที่เด็กหลายคนกล่าวหา "ผู้ใหญ่หัวโบราณ" หรือ "แนวคิดล้าหลัง" เกี่ยวกับการสร้างจิตสำนึกนั้นคือสิ่งที่ทำให้เขายังได้อยู่ในสังคมที่มีจิตสำนึกดีอย่างประเทศไทย

ดังนั้นเริ่มต้นเริ่มต้นสร้างจิตสำนึกด้วยการรับผิดชอบตัวเองดีกว่าค่ะ สิ่งไหนที่เขาบอกว่าไม่ดีไม่เหมาะก็เชื่อบ้าง แต่ถ้าไม่เชื่อแล้วอยากลองให้เห็นจริง ถ้าไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียมากมายก็ลองดูได้ เพียงแต่ถ้าลองแล้วไม่ดีก็ขอให้กลับตัวได้ทันก่อนที่จะถลำลึกค่ะ

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun01190850&day=2007-08-19§ionid=0120



Create Date : 21 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 16:59:21 น.
Counter : 2392 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend