Kobato by CLAMP รอยยิ้มกึ่งสำเร็จรูป
Kobato by CLAMP รอยยิ้มกึ่งสำเร็จรูป

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



ชื่อ CLAMP กลายเป็นใบรับประกันไปแล้วค่ะว่าผลงานการ์ตูนที่ได้รับการออกแบบหรือสร้าง สรรค์ขึ้นโดยกลุ่มนักเขียนหญิง 4 คนที่รวมตัวกันในนาม CLAMP จะเป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและบอกถึงความเป็นตัวพวกเธอเอง นั่นคือพล็อตเรื่องมีเอกลักษณ์ แนวคิดอิงปรัชญา และทุกเรื่องสามารถยำรวมไว้ในจักรวาลแคลมป์ที่ให้ตัวละครจากต่างเรื่องเดิน สวนไปมาในช่องเดียวกันอย่างไม่เคอะเขิน ผลงานของพวกเธอจึงพะยี่ห้อ "by CLAMP" ได้อย่างน่าภูมิใจค่ะ

"โคบาโตะ" คือการ์ตูนอีกเรื่องที่ออกมาพักใหญ่ๆ แล้วของแคลมป์ มีผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษให้อ่านฟรีทางอินเตอร์เน็ตมากมายก็ยังไม่เห็นสำนัก พิมพ์ในไทยซื้อลิขสิทธิ์ไปเสียทีค่ะ จนกระทั่งมีสำนักพิมพ์ไพเรท (ไม่มีลิขสิทธิ์) ขอแซงพิมพ์ก่อนเลยต้องซื้อมาลองอ่านซักเล่ม แบบว่าอ่านเป็นภาษาอังกฤษก็ได้แต่ไม่อบอุ่นใจเท่าอ่านเวอร์ชั่นภาษาไทยค่ะ

โค บาโตะคือสาวน้อยลึกลับที่เปิดเรื่องมาเราก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหนกัน แน่ แต่ภารกิจสำคัญของเธอคือช่วยเยียวยาบาดแผลในใจของผู้คนเพื่อรวบรวมหัวใจที่ มีทุกข์ใส่ขวดให้เต็ม สำเร็จเมื่อไรเธอจะได้ไปยังสถานที่ที่เธอต้องการ

เวที นี้มีพี่เลี้ยงเป็นตุ๊กตาสุนัขพันธุ์เดียวกับสนูปี้ที่ดุ โหด และเข้มงวดกับโคบาโตะมากค่ะ เขาชื่อคุณอิโอเรียวกิซึ่งมีหน้าที่ให้คะแนนสำหรับภารกิจต่างๆ ที่โคบาโตะทำ สิบตอนแรกเหมือนเป็นการปูเรื่องไปเรื่อยๆ โดยไม่เห็นจุดหมายชัดเจน คือแม่หนูโคบาโตะก็ปฏิบัติภารกิจช่วยคนตามประสาเธอไปเรื่อยๆ แล้วลงท้ายด้วยการโดนตุ๊กตาคุณอิโอเรียวกิดุเอาน่ะค่ะ จะรู้สึกตื่นเต้นก็ตรงชุดของโคบาโตะที่หลากหลายและน่ารักจนอยากลองใส่ดูบ้าง มีปมนิดๆ หน่อยๆ ถูกวางโปรยไว้เหมือนตะปูเรือใบ เหยียบแล้วยางไม่แตก แต่เหยียบเยอะๆ เข้าก็ชักน่าสนใจจนต้องหยุดมองว่าแคลมป์กำลังจะนำเสนออะไรให้เรากันแน่

จน จบเล่มหนึ่ง อืม...ก็รู้สึกว่าเริ่มมีมิติลึกล้ำมากขึ้น ปมถูกผูกไว้เป็นระยะอย่างแยบยล แต่...มันเหมือนไม่ใช่จุดเด่นของเรื่องนี้ค่ะ!!!

มีบางอย่างใน "โคบาโตะ" ที่แม้จะเรียบง่าย ลื่นไหล เนิบนาบหรืออาจเรียกด้วยภาษาชาวบ้านว่า "งั้นๆ" กลับทำให้รู้สึกว่าเปิดอ่านอีกกี่รอบก็สดชื่นค่ะ นั่งพลิกแล้วคิดอยู่หลายรอบมากจึงได้ข้อสรุปว่าเป็นเพราะ "รอยยิ้ม" ของโคบาโตะนี่เอง

สิ่งที่ชอบที่สุดของการ์ตูนเรื่องนี้และคิดว่าทำ ให้ดอกไม้เล็กๆ บานในหัวใจคือรอยยิ้มและความน่ารักของโคบาโตะนี่ล่ะค่ะ แม้เธอต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการ "ทำความดี" แต่เธอกลับแทบไม่ต้องใช้ความพยายามในการ "มองโลกในแง่ดี" เลย โคบาโตะไปทำงานพิเศษที่ร้านเค้กและได้ค่าจ้างเป็นขนมเค้กที่เธอต้องการ ใบหน้าและแววตาดีใจชวนให้ยิ้มตามจนแก้มป่องเลยค่ะ แต่พอเธอถือเค้กกลับบ้านก็เจอคุณแม่ที่สัญญาว่าจะซื้อเค้กให้ลูกชายแต่ซื้อ ไม่ทัน โคบาโตะจึงยกเค้กให้และมองดูหิมะด้วยรอยยิ้มเสียแทน อ่านแล้วก็ยิ้มตามจนแก้มป่องเริ่มปริ แม้ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นดังคาดหรือผิดหวัง โคบาโตะก็รู้จักเลือกมองสิ่งที่ทำให้จิตใจผ่อนคลายมากกว่าจะเก็บมาคิดแล้ว ปวดหัวไม่เป็นเรื่อง

ดังนั้น จะอ่านโคบาโตะให้สนุกคงต้องอ่านโดยไม่คาดหวังถึงพล็อตอันซับซ้อนเสียก่อนนะ คะ เล่มหลังๆ อาจมีแต่ไม่ใช่ในเล่มแรกแน่ๆ เพียงแต่อ่านแล้วสนุกไปกับรอยยิ้มของโคบาโตะ มองโลกอย่างที่โคบาโตะมอง ยิ้มเมื่อโคบาโตะยิ้ม ก็จะรู้สึกว่าซื้อมาคุ้มเงินแล้วค่ะ

สรุปว่า เป็นการ์ตูนขายรอยยิ้ม เหมือนเป็นรอยยิ้มกึ่งสำเร็จรูปบรรจุหนังสือการ์ตูนที่อ่านแล้วจะอยากยิ้ม ตามแล้วก็คิดในใจว่า "น่ารักจัง"

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun03270751&day=2008-07-27§ionid=0120



Create Date : 27 กรกฎาคม 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:03:05 น.
Counter : 1272 Pageviews.

0 comment
ครอบครัว5+โฮ่ง
ครอบครัว5+โฮ่ง

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



ไม่ บ่อยนักที่เราจะเห็นการ์ตูนเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่เป็นสัตว์เลี้ยงจริงๆ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่มีชีวิตจิตใจอย่างการ์ฟิลด์ซึ่งเป็นการนำเสนอมุมมองของ มนุษย์ผ่านสัตว์เลี้ยงค่ะ โดยส่วนตัวไม่ได้เลี้ยงสัตว์แบบชาวบ้านอย่างสุนัข แมว หรือนก แต่เลี้ยงเต่า กินง่าย เลี้ยงง่าย และน่ารักด้วยค่ะ

แม้จะเคยเห็น หลายคนเลี้ยงสุนัขแล้วดูแลเป็นอย่างดี แต่ประสบการณ์ไม่ดีที่เห็นคนเลี้ยงสุนัขก็มีมากเสียจนขยาด ตั้งแต่คนแถวบ้านจูงสุนัขมาแล้วให้ถ่ายตรงพื้นที่สาธารณะข้างบ้านเรา หรือเลี้ยงไม่ไหวก็แอบเอามาปล่อยทั้งที่ปลอกคอยังติดอยู่ ดูแล้วก็รู้สึกโกรธว่าทำไมเขาเลี้ยงแล้วไม่ตั้งใจดูแลดีๆ ปล่อยให้สัตว์เลี้ยงของตัวเองเป็นภาระให้คนอื่น

บ่นๆ เรื่องเจ้าของไม่รับผิดชอบสักนิด แต่ที่จริงคนที่รักและดูแลสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกแท้ๆ ก็มีมากเหมือนกัน (เชื่อว่ามากกว่าเจ้าของที่เลี้ยงทิ้งเลี้ยงขว้าง) โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งจะทิ้งขว้าง ปล่อยให้สร้างความเดือดร้อนหรือเลี้ยงไม่ไหวก็ปล่อยวัดแบบคนไทยไม่ได้ มาแอบดูเขาเลี้ยงสุนัขในการ์ตูนเรื่องนี้ดีกว่าค่ะ

"5 + โฮ่ง = 6" คือการ์ตูนสัตว์เลี้ยงที่อ่านแล้วเกิดอาการ "เข้าถึง" อย่างประหลาด ตัวเอกของเรื่องนี้คือลูกสุนัขชื่อ "โรคุ" (แปลว่า 6) เพราะเป็นสมาชิกลำดับที่หกของครอบครัว โรคุถูกนำมาทิ้งไว้หน้าบ้านของครอบครัวคาวาระซึกะซึ่งทำธุรกิจขายหินประดับ ห้าคนในบ้านประกอบด้วยคุณตาแสนดุและคุณยายใจดี คุณพ่อเขยแต่งเข้าบ้านท่าทางไม่แข็งแรง แต่ก็ยังช่วยดูแลกิจการขายหินกับคุณแม่ลูกสาวของบ้านนี้ ลูกสาวคนเดียวซึ่งเป็นคนพบโรคุชื่อโคโตมิค่ะ

โคโตมิยังเป็นเด็กประถม และอยากได้ลูกสุนัขมากๆ เพราะเธอเคยเห็นสุนัขของเพื่อนทั้งเชื่องและน่ารัก แต่เสียดายที่คุณตาไม่เห็นด้วย ถึงอย่างนั้นสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวก็ยังเอ็นดูโรคุอยู่มาก ปัญหาสำคัญคือโรคุ "มองแทบไม่เห็น" เนื่องจากมีปัญหาที่เรติน่าแต่กำเนิด ดังนั้น ความหวังของโคโตมิที่จะพาโรคุออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน โยนลูกบอลแล้วให้วิ่งไปเก็บจึงไม่มีทางเป็นไปได้

สัตวแพทย์ที่ตรวจโร คุก็ทราบถึงความคาดหวังของเด็กๆ ได้ดี เขาเสนอทางช่วยให้โรคุไปสบายโดยไม่เป็นภาระให้คนอื่นๆ พูดง่ายๆ คือ ฉีดยาให้เสียชีวิตนะค่ะ แต่สุดท้ายคุณพ่อก็ตัดสินใจเลี้ยงโรคุไว้ เพราะเขาไม่คิดว่าโรคุเป็นสัตว์เลี้ยงของเล่นเอาไว้ดูน่ารักเพลินๆ แต่โรคุเป็นสมาชิกคนที่ 6 ของบ้านที่ควรได้รับการเอาใจใส่เหมือนเป็นลูกคนหนึ่ง ซาบซึ้งค่ะ แต่นี่แค่การเริ่มต้นของอุปสรรคอีกเป็นกระบุง

การมองไม่เห็นของโรคุ ส่งผลให้โคโตมิจังเรียกเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมเดิน อึฉี่ก็ไม่เป็นที่เพราะไม่รู้ว่าห้องน้ำอยู่ไหน เดินชนข้าวของทั่วบ้านจนต้องเอาฟองน้ำบุขาโต๊ะเก้าอี้ไว้ทั่ว แถมไม่ระวังให้ดีก็เดินตกพื้นต่างระดับจนเจ็บตัว ขึ้นบันไดก็ไม่ได้เพราะกะระยะไม่ถูก ยิ่งอ่านยิ่งเศร้าแทนค่ะ แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของโรคุแต่ก็รู้สึกสงสารทุกคนในบ้านคาวาระซึกะขึ้น มาจับใจ เพราะต้องคอยห่วงคอยระวังทุกฝีก้าวของโรคุจนแทบไม่ได้ทำอย่างอื่น

แต่ โรคุเป็นสุนัขฉลาด เพียงไม่นานหลังพยายามฝึกฝนก็สามารถจำกลิ่นคนในบ้านได้ จำสถานที่ตั้งของเฟอร์นิเจอร์ได้และไม่เดินชนอีก ที่สำคัญคือโรคุเองไม่เคยยอมแพ้และกลัวจนนอนอยู่เฉยๆ มันยังคงวิ่งและยอมเจ็บตัวทดลองหลายสิ่งหลายอย่างตามประสาสุนัขและเรียนรู้ ให้มากที่สุด ผลคือทุกคนในบ้านยิ่งรักและผูกพันกับโรคุมากขึ้นค่ะ ไม่จำเป็นต้องวิ่งเล่นเก็บบอลเหมือนสุนัขทั่วๆ ไป และไม่จำเป็นต้องเป็นสุนัขชั้นเลิศที่เก่งกาจทุกอย่าง แต่แค่โรคุเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้านก็เพียงพอที่จะได้รับความรักแล้วค่ะ

อ่าน จบแล้ววิ่งไปดูเจ้า "แสบแสบ" เต่าญี่ปุ่นที่บ้านเลยค่ะ เลี้ยงไว้ตั้งแต่ตัวเท่าเหรียญสิบจนตอนนี้ใหญ่เท่าฝ่ามือแล้ว ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก ถึงเวลาอาหารทีไรก็จะยืดคอแล้วพยายามปีนกะละมังทักทายทุกทีค่ะ ว่างเมื่อไรเป็นได้ปีนหินขึ้นมานอนอาบแดด แม้จะคุยกันไม่รู้เรื่องหรือเอามากอดไม่ได้ (เดี๋ยวเปียก) แต่สัตว์เลี้ยงก็ทำให้หัวใจรู้สึกอ่อนโยนและผ่อนคลายมากจริงๆ

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงสุนัขแล้วอยากให้ลูกๆ รักและดูแลสัตว์เลี้ยงบ้าง การ์ตูนเรื่องนี้น่าจะช่วยได้ดีเลยค่ะ

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun03200751&day=2008-07-20§ionid=0120



Create Date : 20 กรกฎาคม 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:02:59 น.
Counter : 1515 Pageviews.

0 comment
ซัมโปะ จอมคนแห่งขุนเขา


คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง

กิจกรรม "ปีนเขา" เป็นกิจกรรมที่พูดถึงทีไรก็รู้สึกทึ่งในความสามารถของมนุษย์ทุกครั้งค่ะ จากสายตาของมนุษย์ที่เดินขึ้นบันไดชั้นเดียวก็หายใจไม่ทันอย่างตัวเองแล้ว ปีนเขานั้นยากพอๆ กับให้ไปดวงจันทร์เลยทีเดียว เพราะนอกจากจะหายใจไม่ทันจนแทบขาดใจ กลับมาบ้านยังตะคริวกินขาแถมปวดจนเดินไม่ได้ไปอีกหลายวัน

แต่บางคน กลับชอบกิจกรรมขึ้นที่สูงอย่างนี้มากค่ะ "ซัมโปะ" พระเอกของเรื่องนี้คืออีกหนึ่งคนที่หลงใหลภูเขาและกินนอนอยู่บนนั้นเสมือน ทิวเขาเป็นบ้านและท้องผ้าเป็นผ้าห่ม

"ซัมโปะ" เป็นอาสาสมัครกู้ภัยบนภูเขาที่ปีนเขามาแล้วหลายประเทศ เขาได้รับการขอร้องจากหน่วยกู้ภัยของสถานีตำรวจของจังหวัดนางาโนะบ่อยๆ เนื่องจากหลายครั้งนักปีนเขาก็กลับลงมาช้ากว่ากำหนดและทางหน่วยกู้ภัยก็มี ข้อจำกัดเรื่องดินฟ้าอากาศหลายอย่างจึงไม่สามารถบุกขึ้นเขาไปช่วยได้ทุกราย ซัมโปะซึ่งแทบจะกินนอนอยู่บนภูเขาจึงเป็นหน่วยกู้ภัยที่พึ่งพาได้เสมอ

ตอน ที่ชอบที่สุดคือ "สายฟ้า" ค่ะ อ่านแล้วซึ้งจนแทบอยากไปฝึกปีนเขาเลยทีเดียว เรื่องของเรื่องคือ "ชีนะ คุมิ" สาวน้อยสังกัดหน่วยกู้ภัยของสถานีตำรวจนางาโนะกำลังฝึกปีนหน้าผาแนวดิ่งโดย มีซัมโปะเป็นผู้ฝึกสอนให้ หน้าผาแนวดิ่งที่ว่าก็ฝาบ้านดีๆ นี่เองค่ะ ถ้าไม่ใช่คนแข็งแรง ใจกล้า และมือเหนียวเทียบเท่าจิ้งจก รับรองว่าปีนไม่ได้แน่นนอน

ชีนะปีนไปได้ระยะหนึ่งจนถึงเวลา 11 โมงซึ่งฟ้ายังสดใส ซัมโปะกลับบอกว่าได้เวลารีบลงเขาแล้ว แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มที่ปีนขึ้นไปก่อนประสบ อุบัติเหตุ ทำให้คนหนึ่งเสียชีวิตเพราะตกลงมาศีรษะกระแทกหินและห้อยต่องแต่งอยู่กับ เชือกเซฟ สาเหตุที่ต้องรีบลงเพราะจะมีเมฆฝนลอยมาในช่วงบ่าย แต่ซัมโปะก็อยากช่วยคนที่รอดชีวิตอีกคนหนึ่ง อยากพาศพผู้เสียชีวิตลงไปด้วย แต่ก็ติดที่ต้องคอยดูแลชีนะซึ่งขาดประสบการณ์ เป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยค่ะ

ในที่สุดซัมโปะก็เลือกทำทุกอย่างตามที่แฟนการ์ตูนเฝ้ารอ

ลอง นั่งคิดดูว่าเพราะอะไรอ่านถึงตรงนี้แล้วประทับใจในตัวซัมโปะมากๆ จังเลย ไม่ใช่เพราะเขาเป็นฮีโร่บ้าบิ่นอยากช่วยก็ช่วยนะคะ แต่เพราะเขาได้ศึกษาดินฟ้าอากาศและภูมิประเทศพร้อมกับเตรียมตัวมาอย่างดี ประเมินความสามารถของตนเองและความสามารถของคนอื่นว่าพอทำได้แล้วจึงตัดสินใจ ไม่ได้พร่ำเพรื่อช่วย นี่คือสิ่งที่น่าประทับใจค่ะ

ในที่สุดซัมโปะก็ เก็บร่างของผู้เสียชีวิตได้ เขาปีนขึ้นไปแจ้งข่าวที่น่าเสียใจกับนักปีนเขาอีกคนที่นั่งซ่อนตัวเตรียมหลบ ฝนอยู่ในรอยแยกของหน้าผาและให้ชีนะรีบปีนตามขึ้นมา แต่แหม...นั่งปลอดภัยอยู่ในรอยแยกแล้วใครจะยอมออกมา ในที่สุดซัมโปะก็ตัดสินใจบอกความจริงว่าสายฟ้าบนภูเขาสูงไม่ใช่สายฟ้าที่เรา เห็นบนพื้นราบ เพราะมันไม่ได้พุ่งลงพื้น แต่พุ่งแนวขวางไปชนหน้าผาได้ด้วยค่ะ (น่ากลัวมาก อ่านแล้วอินเลยค่ะ) ที่สำคัญคือสายฟ้าชอบวิ่งผ่านรอยแยกเป็นพิเศษ ดังนั้นรอยแยกจึงกลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุดยามที่ฝนตกอย่างไม่ต้องสงสัย

เท่า นั้นยังไม่พอ สายฟ้าวิ่งผ่านเชือกได้ด้วย หากทุกคนมีเชือกเซฟเชื่อมกันหมดแล้ว แม้โดนผ่าคนเดียวที่เหลือก็จะกลายเป็นไก่ย่างไปด้วย การหลบสายฟ้าจึงทำด้วยความหวาดเสียวสุดขีด คือยืนบนชะง่อนผาที่มีความกว้างแค่รองเท้าคู่เดียว หันหน้าพิงหน้าผาและรอจนกระทั่งเมฆฝนผ่านไป...เฮ้อ...น่ากลัว แม้ซัมโปะจะกลัวจนตัวสั่น แต่ในฐานะผู้มีประสบการณ์ เขาตั้งสติและวางแผนเพื่อความปลอดภัยของทุกคนเป็นอย่างดี ผลลัพธ์ก็คือทุกคนรอดตาย

"ซัมโปะ จอมคนแห่งขุนเขา" ไม่ใช่เรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจให้อยากปีนขึ้นไปเอาชนะขุนเขาเท่านั้น การเตรียมตัวอย่างดี ศึกษาอันตรายทุกอย่างก่อนลงมือทำโดยไม่ประมาท และตั้งสติทุกวินาทีที่เหยียบย่างเข้าไปในดินแดนที่ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่า มนุษย์คือสิ่งสำคัญที่เรื่องนี้มอบให้ รู้สึกว่าสิ่งท้าทายในโลกก็ไม่ได้น่ากลัวหากเราเตรียมการไว้ให้พร้อมนะคะ

เห็น ทีต้องเจอกันหน่อยแล้วนะภูเขา บ้าเห่อถึงขนาดไปซื้อรองเท้าสำหรับลุยพื้นที่ขรุขระมาแล้วค่ะ แต่...ปีนเขาจริงๆ ทั้งที่เดินขึ้นบันไดยังเหนื่อยก็เหมือนฆ่าตัวตาย เอาเป็นว่าขอฝึกเดินขึ้นห้องทำงานชั้น 7 ก่อนแล้วกัน แล้วค่อยเจอกันนะภูเขา!

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun03130751&day=2008-07-13§ionid=0120



Create Date : 13 กรกฎาคม 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:02:38 น.
Counter : 1503 Pageviews.

0 comment
ยุทธการจุดตะวัน รักชาติไม่ใช่เรื่องไกลตัว


คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง




โดย ส่วนตัวคิดว่ายากเหลือเกินค่ะที่ใครสักคนจะบอกว่าตัวเอง "เป็นคนรักชาติ" และกล่าวหาว่าอีกคนหนึ่ง "บ่อนทำลายชาติ" นั่นก็เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนและเป็นสัตว์สังคม การดำรงอยู่ของคนๆ หนึ่งอาจหมายถึงความอยู่รอดของคนในครอบครัวอีกหลายคน ดังนั้นการจะตีตราว่าใครสักคนรักชาติหรือไม่จึงยากเหลือเกินค่ะ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรวัดดี

ประเทศญี่ปุ่นน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของ ชนชาติที่ได้ชื่อว่า "รักชาติ" มากที่สุดในยุคหนึ่ง ซึ่งถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ช่วงเวลานั้นก็ผ่านมานานเหลือเกินค่ะ แม้ชาวญี่ปุ่นในปัจจุบันจะมีความเป็นชาตินิยมอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทางหรือเอกสารต่างๆ ที่ใช้ในประเทศล้วนเป็นภาษาญี่ปุ่น ยากที่จะหาภาษาอังกฤษในประเทศนี้ค่ะ วัฒนธรรมการกินหรือการแต่งกายก็ล้วนบ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่นซึ่งเด็กรุ่น ใหม่หลายคนก็ภาคภูมิใจในความเป็นญี่ปุ่นของตัวเอง แต่สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่การ "รักชาติ" ค่ะ เป็นเพียง "ชาตินิยม" หรือการมองว่าตนมีวัฒนธรรมที่ดีงามกว่าชนชาติอื่นเท่านั้นเอง แต่...ก็ไม่ใช่คนญี่ปุ่นทุกคนหรอกนะคะ

ที่ต้องเกริ่นพื้นฐานความคิด ของคนญี่ปุ่นที่สื่อผ่านการ์ตูนในปัจจุบันเสียก่อนเพื่อจะได้เล่าถึงการ์ตูน ที่ออกจะสวนกระแสขาลงของความรักชาติเรื่องนี้ค่ะ "คาวางุจิ ไคจิ" ผู้เขียนการ์ตูนเรื่อง "ยุทธการจุดตะวัน" เป็นนักเขียนการ์ตูนญี่ปุ่นเพียงไม่กี่คนที่ถ่ายทอดความ "รักชาติ" ได้มากพอๆ กับความเป็น "ชาตินิยม" เลยค่ะ เป็นที่ทราบดีว่าวัยรุ่นญี่ปุ่นยุคนี้เกิดในช่วงเวลาแห่งความสุขสบาย ไม่ต้องใช้ชีวิตยากลำบากเหมือนรุ่นปู่ย่าที่อดอยากหลังสงคราม ดังนั้นความ "รักชาติ" จึงจืดจางไปพร้อมๆ กับความสบายที่เพียงปลายนิ้วก็สั่งการได้ทุกอย่าง อ่านการ์ตูนแล้วรู้สึกได้ว่าคาวางุจิ ไคจิไม่ค่อยจะชอบแนวคิดเหลาะแหละแบบนี้เสียเท่าไร

"ยุทธการจุดตะวัน" กล่าวถึงประเทศญี่ปุ่นหลังเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ซึ่งไม่เคยมีใครคาดคิดมา ก่อน นั่นคือการระเบิดของภูเขาไฟฟูจิ ส่งผลให้แผ่นดินแยกและญี่ปุ่นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ภัยพิบัติครั้งนี้ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตไปมากมาย พื้นที่บางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลจนกระทั่งประชากรจำนวนมากต้องลี้ภัยไปอาศัยอยู่ ในค่ายผู้อพยพตามประเทศต่างๆ ในโลก กลายเป็นว่าชาวญี่ปุ่นที่เคยสุขสบายกลับเป็นประชากรชั้นสองในประเทศอื่นเสีย แทน แม้จะเกินความจริงไปไกลแต่เชื่อว่าคนญี่ปุ่นที่เคยชินกับความสบายมาอ่านแล้ว คงกลัวและเจ็บจี๊ดกันบ้างล่ะค่ะ

เหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดในครั้งนั้น ทำให้ "ริว เคนอิจิโร่" เด็กชายวัยประถมที่เกิดในตระกูลนักการเมืองต้องสูญเสียคุณพ่อและคุณแม่ เขาพลัดหลงจากบ้านพักตากอากาศและต้องเผชิญหน้ากับความลำบากเพียงคนเดียว คุณสมบัติของเคนอิจิโร่ที่โดดเด่นเหนือเด็กประถมทั่วไปอย่างชัดเจนคือ "ความเสียสละ" เขาช่วยชีวิตลูกหมาและไม่ยอมทิ้งจนโดนไล่ลงจากรถบรรทุกผู้ประสบภัย เมื่อได้พบชายหนุ่มที่กำลังจะขนของไปช่วยผู้ประสบภัยคนอื่น เคนอิจิโร่ก็ขอร่วมทางไปด้วยแต่กลับขอร้องให้ทิ้งข้าวของทุกอย่างที่บรรทุก บนเรือลงน้ำให้หมดเพื่อช่วยผู้ประสบภัยอีกหลายคนที่กำลังจะจมน้ำ จนสุดท้ายเขาก็ตกน้ำไปเสียเอง นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนพบเคนอิจิโร่

อ. คาวางุจิสร้างเคนอิจิโร่ออกมาเพื่อเสียดสีการดำเนินชีวิตของชาวญี่ปุ่นใน ปัจจุบันอย่างชัดเจนค่ะ เคนอิจิโร่คือตัวแทนของแนวคิด "แม้แต่เด็กประถมยังเสียสละมากกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก" เพื่อให้นักอ่านวัยผู้ใหญ่รู้สึกหน้าชาและย้อนกลับมามองตัวเองบ้างว่าทุก วันนี้เรา "รักชาติ" ได้เท่ากับที่เคนอิจิโร่แสดงออกในการ์ตูนหรือยัง

จริง อยู่ว่าเหตุการณ์ในการ์ตูนคงไม่เกิดขึ้นจริงหรอกค่ะ ถึงเกิดขึ้นจริงๆ ต่อให้ประเทศยากลำบากแต่เขาก็ยังเหลือคนเก่งๆ ที่มีค่าอีกตั้งเยอะ ซึ่งนั่นสิ่งที่ อ.คาวางุจิต้องการสะท้อนให้เห็นใน "ยุทธการจุดตะวัน" เลยค่ะ ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับญี่ปุ่นไม่ใช่การเสียดินแดนหรือทรัพยากร แต่เป็นการสูญเสีย "คน" หรือจิตวิญญาณรักชาติของความเป็นคนญี่ปุ่นนั่นเอง

งวด นี้มาเสียเครียด แต่อ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วชวนให้ย้อนกลับมามองประเทศไทยบ้างว่าเกิดอะไร ขึ้นกับประเทศเรากันแน่ ราวกับทุกคนพยายามปกป้องสิ่งที่เป็นเปลือกนอกของประเทศโดยลืมไปว่า "ความเป็นคนไทย" นี่ล่ะค่ะคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เหมือนดังที่ในหลวงของเราต้องการให้คนในชาติสามัคคีกันเพราะอย่างไรเสียก็ เป็น "คนไทยด้วยกัน"...ชอบคำนี้จังค่ะ

สรุปว่าอ่านเรื่องนี้แล้วอารมณ์ "รักชาติ" เข้าสิงจริงๆ

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun02060751&day=2008-07-06§ionid=0120



Create Date : 06 กรกฎาคม 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:02:30 น.
Counter : 1698 Pageviews.

0 comment
Stormy Night การ์ตูนเด็กที่เหมาะกับคนช่างคิด
Stormy Night การ์ตูนเด็กที่เหมาะกับคนช่างคิด

คอลัมน์ มหัศจรรย์การ์ตูน

โดย วินิทรา นวลละออง



สิ่งแรกที่สะดุดตากับกล่อง DVD ของการ์ตูนเรื่องนี้คือ "เขียนชื่อผิดนี่นา" จาก Stormy Night ซึ่งแปลว่าคืนพายุกระหน่ำ กลายเป็น Stromy Night เสียแทน ซึ่งก็ไม่ใช่จุดที่จะมาเอาผิดอะไรหรอกค่ะ เพราะจะเขียนผิดหรือถูกก็จะลองซื้อไปชมอยู่ดี เนื่องจากอ่านเจอบทวิจารณ์จากต่างประเทศที่น่าสนใจว่าภาพยนตร์การ์ตูนสำหรับเด็กวัยอนุบาลถึงประถมเรื่องนี้ สามารถตีความ "เรื่องเพศที่ซ่อนเร้น" ได้อย่างลึกซึ้งในสายตานักวิจารณ์บางคน

Stormy Night หรือชื่อญี่ปุ่น Arashi no Toru Ni สร้างขึ้นโดยได้รับเค้าโครงจากนิทานสำหรับเด็กซึ่งออกมาเป็นซีรีส์ 7 เล่ม ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 1997-2005 ฉบับหนังการ์ตูนลงจอฉายครั้งแรกเมื่อ 10 ธันวาคมปี 2005 และติดอันดับท็อป 10 ของบ็อกซ์ออฟฟิศในญี่ปุ่นกว่าเดือนทีเดียว เพียงแค่เดือนแรกก็มียอดผู้ชมสูงถึงหนึ่งล้านสองแสนคน ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ปกตินักสำหรับภาพยนตร์การ์ตูนจากนิทานเด็ก และในเดือนมกราคมปี 2006 Stormy Night ก็ได้ฉายใน 26 ประเทศทั่วโลก

เล่าเรื่องสักนิดค่ะ Stormy Night คือเรื่องของแพะหนุ่ม "เมย์" และหมาป่า "กาบุ" วันหนึ่งในคืนพายุกระหน่ำจนฟ้ามืดมิด ฝนตกหนักทำให้ทั้งสองตัวต้องหนีเข้ามาหลบฝนในบ้านร้างมืดสนิท ทั้งสองคุยกันถูกคอโดยไม่รู้เลยว่าต่างฝ่ายต่างก็เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ จนเมื่อพายุเริ่มสงบ เมย์และกาบุสัญญากันว่าวันพรุ่งนี้แดดดีจะนัดไปกินข้าวกลางวันบนยอดเขาด้วยกัน

แล้วความจริงก็ปรากฏเมื่อกาบุเห็นว่าเมย์ที่เขารู้สึกถูกใจกลายเป็นแพะ นี่เขานัดอาหารของตัวเองเพื่อไปกินอาหารด้วยกันหรอกเหรอ!! โชคดีที่กาบุไม่ใช่หมาป่าใจร้ายเหมือนตัวอื่นค่ะ เขาคิดว่ามิตรภาพงดงามกว่าการเข่นฆ่าด้วยสัญชาตญาณ เขาจึงตัดสินใจเป็นเพื่อนกับเมย์ทั้งที่ต้องอดใจไม่ให้เผลองับเนื้อแพะของโปรดอยู่หลายครา

แต่เหตุการณ์ทุกอย่างก็พลิกผันเมื่อฝูงหมาป่าและแพะรู้ว่าสองตัวนี้คบหาศัตรูและอาหารเป็นเพื่อน เมย์และกาบุถูกสั่งให้ทรยศและใช้ประโยชน์จากความเป็นเพื่อน ไม่อย่างนั้นก็ต้องโดนลงโทษ แล้วทั้งสองจะทำอย่างไรดีล่ะ เด็กๆ ช่วยลุ้นต่อได้นะคะ

ยอมรับในความสวยงามของฉากจริงๆ ค่ะ Stormy Night ใช้เทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟิคสองมิติสำหรับฉากหลังให้ดูเหมือนเด็กๆ กำลังเปิดหน้าหนังสือนิทานแล้วมีประตูกระดาษเปิดได้ ไม่ก็กังหันลมกระดาษหมุนๆ แต่ฉากสามมิติที่ต้องการความตื่นเต้นเช่นฉากหมาป่าต่อสู้ก็ทำได้สวยอย่างน่าทึ่ง สีจัดจ้านและใช้เทคนิคสีน้ำกลมกลืนจนแทบจะหยุดภาพเป็นงานศิลปะดีๆ ได้หลายฉากเลย

เนื้อเรื่องเป็นการนำเสนอเพื่อเด็กวัยตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปจริงๆ ค่ะ เหล่าสัตว์ในเรื่องมีบุคลิกและความคิดเหมือนคน ซึ่งทำให้เด็กวัยอนุบาลรู้สึกเพลิดเพลินและกระตุ้นจินตนาการ แต่ความขัดแย้งระหว่างธรรมชาติกับความรู้สึกยิ่งสนับสนุนให้เด็กประถมเรียนรู้ที่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นไปพร้อมๆ กับระงับความต้องการของตัวเอง เด็กวัยมัธยมต้นน่าจะตื่นตาตื่นใจกับไคลแมกซ์ 2-3 ช่วงที่ตื่นเต้น ส่วนมัธยมปลายก็ซาบซึ้งเมื่อเห็นความรักที่เพื่อนมีให้กัน ยอมรับซึ่งกันและกันและเกิดมิตรภาพแท้จริงที่วัยรุ่นใฝ่หา

ฮู่วววว....ใส่แว่นของเด็กแต่ละวัยมาดูแล้วคิดยิ่งรู้สึกนับถือผู้สร้างค่ะ แต่สิ่งที่ทำให้นักวิจารณ์หลายคนบอกว่ามี "เรื่องเพศที่ซ่อนเร้น" อยู่ ทบทวนเนื้อเรื่องดูแล้วก็ต้องหัวเราะอย่างอารมณ์ดีค่ะว่านักวิจารณ์เขาก็คิดกันได้นะ ลองหยิบแว่นของหนังโรมานซ์ร่วมสมัยมาใส่ดู Stormy Night กลับกลายเป็นการ์ตูนที่นำเสนอการค้นหาตนเอง แสวงหาสังคมใหม่ที่ให้การยอมรับ ต่อสู้กับความขัดแย้งระหว่างมิตรภาพกับความรักที่ผิดธรรมชาติ ฯลฯ...นี่คือพล็อตของหนังรักร่วมเพศระดับรางวัลหลายเรื่องเลยค่ะ ใครคิดว่าดู Broke Back Mountain แล้วซาบซึ้ง ดูเรื่องนี้แล้วจะตกใจค่ะว่าทำไมมัน "ใช่เลย"

ยังยืนยันว่า Stormy Night คือการ์ตูนสำหรับเด็กค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะไปเจอประเด็นเพศอะไรนั่นเพราะมันไม่มีค่ะ เป็นสิ่งที่นักวิจารณ์ช่างคิดบางคนตีความกันไปเองเพื่อหาเหตุผลมาสรรเสริญความลึกซึ้งของเนื้อหา แท้ที่จริงเมย์กับกาบุคือตัวอย่างที่ดีสำหรับการเรียนรู้มิตรภาพที่ยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง

ถ้าอยากให้เด็กๆ เรียนรู้ความเสียสละและจริงใจต่อเพื่อน Stormy Night คืออีกทางเลือกที่น่าสนนะคะ

//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01sun03080651&day=2008-06-08§ionid=0120



Create Date : 22 มิถุนายน 2551
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 17:01:34 น.
Counter : 1323 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend