ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 

วันที่ 5 - ถนนสู่เมืองมัณฑะเลย์

อาทิตย์ 21 ธันวาคม 2546
ถนนสู่เมืองมัณฑะเลย์ เราตื่นแต่เช้าเพื่อเช็คเอาท์ รีเซ็ปชั่นที่โรงแรมก็ยังงงว่าได้ตั๋วรถไป มัณฑะเลย์ แล้วเหรอ ? ( ก็ตัวเองเป็นคนบอกเองว่าตั๋วหมด ตอนนี้คงไม่รู้จะทำหน้ายังไง) เก็บกระเป๋าเรียบร้อย

จ่ายค่าโรงแรมแล้วก็เดินแบบกระเป๋ามุ่งหน้าไปท่ารถ

“ อ้าว นั่นมันคู่สวีทชาวฝรั่งเศสนี่”

เบิร์ตชี้ไปที่ฝรั่งคู่หนึ่งที่แม้แต่เสื้อก็ยังใส่แบบเดียวกัน สีแดงเหมือนกัน อีกเช่นเคย กางเกงก็ยังเป็นแบบเดียวกัน สีเดียวกันอีกด้วย ! ฉันทึ่งในความสวีทเกินหน้าเกินตาแบบไม่สนใครของคู่นี้จริงๆ

ไปถึงท่ารถ ก็มีชาวบ้านชาวช่องเค้ามานั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว เราก็เอาตั๋วไปยื่นเพื่อยืนยันที่นั่ง เสร็จแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรได้แต่ลุก ๆ นั่ง ๆ หรือไม่ก็นั่งให้คนอื่นมองแล้วซุบซิบกันว่า เอ๊ะ ยัยนี่มันเป็นพม่าหรือเปล่าวะ แถมยังไม่มีที่ว่างพอให้ฉันนั่งเท่าไหร่ ก็เล่นจับจองกันหมดแล้ว (ขนาดยังไม่ทันขึ้นรถนะ) ฉันเลยต้องลี้ไปนั่งข้างถังขยะ !

เมื่อวานดีที่ไม่ตัดสินใจ เอาที่นั่งเสริม เพราะเพิ่งจะเห็นตอนนี้เองว่าที่นั่งเสริมก็คือ เก้าอี้พลาสติกแบบที่เรานั่งตามร้านก๋วยเตี๋ยวทั่ว ๆ ไป วางซ้อนกันอยู่หลายตัว ซักพักก็มีหมาวิ่งมาฉี่รถขาเก้าอี้ ! ฉันเห็นแล้วก็ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ พลางนึกในใจว่า

“ ใครเอามือไปจับขาเก้าอี้ตรงนั้นละแกเอ๊ยยย... ”

ถูกต้อน (เอ๊ะ ฟังดูเหมือนหมูยังไงก็ไม่รู้นะ) ขึ้นไปนั่งบนรถแล้วก็ต้องพบว่า เข่าชนกับเบาะด้านหน้าพอดิบ พอดี กระดิกกระเดี้ยแทบไม่ได้ นึกในใจว่า “ ซวยแล้วตู” แต่ผีถึงป่าช้าแล้ว ยังไงก็ต้องเลยตามเลย รถบัสนี่ถือว่าไม่เล็กนัก (ใหญ่กว่ามินิบัสบ้านเรา) แต่ก็ไม่ใหญ่ หนุ่มพม่าเริ่มปีนกันโสร่งปลิวขึ้นไปนั่งบนหลังคากันให้เพียบแล้ว (ส่วนมากจะเห็นพระด้วยนะ ที่นี่เค้าไม่ถือ) ผู้หญิงนั้นห้ามปีนขึ้นไปเชียว เพราะเค้าถือเป็นเป็นความซวยของผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านล่าง ที่ต้องมานั่งใต้ผ้าถุง


รูป : ระหว่างทาง เดะๆ แถว RCA บ้านเรา เห็นบุหรี่ผู้หญิงพม่าแล้วต้องอาย เพราะจะสูบทั้งทีมันต้องใหญ่แบบนี้สิฟระ!

รถค่อย ๆ กระดืบออกไปช้า ๆ เหลียวไปมองมาภายในรถ ปรากฎว่า ที่นั่งเสริมที่ตั้งอยู่ตรงกลางบริเวณทางเดินนั้นเต็มแล้ว ! แต่เบาะนิ่มแถวใน ๆ ยังว่างอยู่อีกเกือบครึ่งคันรถ ทำไมหว่า.... มาเข้าใจที่หลังว่า เค้ามารับคนเพิ่มที่ตลาด (ถ้าเดินก็ประมาณ 10 – 15 นาที จากท่ารถบัส ซึ่งอยู่บริเวณหมู่บ้านยองอู) ถึงตรงนี้คนก็อัดแน่นจนแทบปลิ้นอยู่แล้ว ถัดมาอีกไม่กี่เมตร ก็มีฝรั่งขึ้นมาอีก 2 คน ต้องนั่งเก้าอี้เสริมน่ะซี น่าสงสารมากหน้าตางี้ดูไม่ค่อยจะแฮปปี้เท่าไหร่ (ก็แน่ล่ะ เห็นเก้าอี้ก็เมื่อยแล้ว) แต่ก็ต้องจำทนนั่งไป แล้วรถบัสสาย มัณฑะเล - ยองอู - ตองจี ก็เริ่มการเดินทางออกจากเมืองพุกามแล้วนะเคอะ ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านเก็บชายโสร่งให้ดี ปิ๊งป่อง..

แต่คนขับรถที่ต้องคอยดูผู้โดยสารที่ยืนรอรถอยู่ข้างทางและจอดให้ทุกคนขึ้น ไม่ว่าจะอัดปลิ้นแค่ไหน ไทย - พม่า ก็ยังรื่นเริงอยู่ (ในขณะนั้น) มีอยู่จุดหนึ่งออกมาจากตลาดได้แค่ไม่กี่นาที นี่เลย มายืนรอรถกันทั้งครอบครัว แถมชะลง ชะลอม กระเป๋า เป้ ย่าม ลังกระดาษบรรจุข้าวของ เพียบปรี่ กว่าครอบครัวนี้จะขึ้นรถได้ ก็กินเวลาไปเกือบ 10 นาทีแน่ะ ยังไม่นับเวลาที่ต้องร่ำลากันอีก คนขับก็ใจเย๊น ใจเย็นนะ... ฉันเริ่มเห็นความเหมือนในความต่างของคนไทยกับพม่า คือไม่ว่าจะเดินทางทุลักทุเลแค่ไหน ส่วนใหญ่ก็ยังฮาเฮกันได้อยู่ ไม่มีใครจะออกอาการหัวเสียที่ต้องรอคนอื่น ๆ แต่อย่างใด ถ้าคนที่ขึ้นมาใหม่มีของเยอะผู้โดยสารคนอื่น ๆ ก็จะลงไปช่วยกันขนอีกต่างหาก เป็นสเน่ห์ที่เห็นได้ไม่บ่อยนักในเหล่าประเทศที่เรียกว่าเจริญแล้วทางวัตถุ

อย่างที่เกริ่นไว้ว่าที่พุกามนั้น ค่อนข้างจะแห้งแล้ง แต่ระหว่างทางจากพุกาม ไป มัณฑะเลย์ นี่ซิแห้งแล้งหนักเข้าไปอีก เรียกว่าหากคิดจะชมวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถแล้วล่ะก็ แทบไม่มีอะไรให้ดู


รูป : วิวข้างทางระหว่างทางไปมัณฑะเลย์

นอกจากผืนดินสีน้ำตาลที่ดูทั้งร้อนทั้งแห้ง ถนนราวกับจะพาดผ่านผืนดินที่ไม่เคยมีใครอยู่อาศัย แต่เราก็ต้องคิดผิด เพราะเมื่อเดินทางกันมาได้ราว 3 ชั่วโมงเศษ รถก็จอดให้ลงไป

ทานข้าวทานปลากันซักหน่อย ร้านอาหารหลังคามุงจากพอให้คนซัก 30-40 คนพักหลบร้อนได้ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเนินเขาที่เป็นดินทรายเวิ้งว้างสุดลูกลูกตา (ที่ดูเหมือนจะไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่นั่นแหละ) รอบ ๆ นั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากเรือนมุงหลังคาทำขึ้นง่าย ๆ และห้องน้ำยกพื้นสูง ที่ถัดออกไปอีกราว ๆ 10 – 20 เมตร แล้ว ร้านนี้มันมายังไงเนี่ย

คนพม่านั้น ลงจากรถกันได้ ก็ไม่รีรอให้เสียเวลา ข้าวปลาอาหารมาวางตรงหน้าภายใน 1 นาที ราวกับว่ามองตาก็รู้ใจ พยักหน้าสองทีก็รู้แล้วว่าจะกินอะไร เป็นอาหารพม่าแบบง่าย ๆ เหมือนเดิม คือ ข้าว ผักจิ้มต่าง ๆ กับ กับข้าวอีก 2 – 3 อย่าง บางคนก็ทำใส่ปิ่นโตกันมาเอง ฉันมองไปรอบ ๆ ไม่รู้จะถามใครดี หันไปดูฝรั่ง 2 คน ก็ไม่ยอมกินข้าวแต่กลับไปนั่งกินขนมห่อ (ขนมหลอกเด็กน่ะ) อยู่ที่เพิงขายขนม บุหรี่ น้ำอัดลม ที่อยู่หน้าส้วม ! นั่งอยู่นานจนเรียกเจ๊เจ้าของร้านซึ่งใส่ทองเส้นโตเท่าหนวดกุ้งมังกรมาได้สำเร็จ มาถึงก็คุยกันไม่รู้เรื่องอีก เลยต้องอาศัยเอามือชี้ ๆ ไปตามโต๊ะเพื่อนบ้าน ขอลอกรายการหน่อยเถอะนะ ซักพักอาหารก็มาเป็นอะไรคล้าย ๆ น้ำแกงใส่ข้าวโพด สีเขียวตุ่น ๆ ผักดอง


รูป : รับแชมพูไปคล้องคอเล่นซักแผงมั้ยคะ

กับอะไรต่อมิอะไรที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ากินอะไรเข้าไปบ้างแล้ว แต่ดีกว่าจะต้องไปนั่งท้องกิ่วบนรถอีกหลายชั่วโมง แล้วจริง ๆ รสชาติก็ไม่เลวหันไปคุยเป็นภาษาไทยกับเบิร์ตซักพัก ก็มีเสียงมาจากหนุ่มน้อยในเสื้อแจ็คเก็ตลายพรางทหาร ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเรามาได้พักใหญ่แล้ว

" มาจากกรุงเทพฯ หรือครับ" เขาพูดเป็นภาษาไทยค่อนข้างชัดเจน
" อ้าว...ใช่ค่ะ เป็นคนไทยเหรอคะ เมื้อกี้เห็นพูดภาษาพม่า"
" เป็นไทยใหญ่น่ะครับ"
" อ๋อ แล้วมาทำอะไรคะเนี่ย เห็นมีเพื่อนเยอะแยะ"
" มาเรียน ภาษาอังกฤษน่ะ"

ฉันได้แต่คิดในใจ...เรียนภาษาอังกฤษที่เมืองเมียกถิลา ที่พม่าเนี่ยนะ... หรือเราเข้าใจอะไรผิด หรือน้องเค้าจะมาสอนภาษาอังกฤษล่ะมั้ง (ตอนแรกเค้าพูดภาษาอังกฤษก่อน ก็เลยนึกว่าเป็นนักศึกษาพม่าซะอีก) เราคุยกันเรื่อยเปื่อยซักพัก น้องเค้าก็ขอตัวไปร่วมวงกับเพื่อน

“ ไปเข้าส้วมดีกว่า” ว่าแล้วฉันก็ตรงไปที่ส้วม คนโล่งแล้วตอนนี้

ส้วมก็เหมือนที่อื่น ๆ ตามเมืองเล็ก ๆ หรือ ตามรายทางตลอดที่เดินทางในพม่า คือ ยกพื้นสูงประมาณระดับเข่า , มีร่องตรงกลาง ต่อท่อ PVC ลงดิน จบ... อ้าว เฮ้ย แล้วนั่นมันลูกกะตาใครละน่ะ ด้านนอกน่ะ ดีที่เสร็จธุระแล้วนะเนี่ย เปิดประตูออกมาก็เจอผู้หญิงวัยกลางคน 2 – 3 คน แต่งตัวดีแบบสาวพม่าผู้มีอันจะกินกำลังพยายามเปิดประตูห้องน้ำที่ฉันใช้อยู่ แทนที่ฉันจะกรี๊ด เธอกลับกรี๊ดซะเอง
“ โอ๊ว ไอแอมซอรี่ ๆ แฮ่ะๆๆ” เธอหัวเราะเขิน ๆ ทำเอาฉันขำไปด้วย

ข้าวมื้อนั้น เราแบ่งกันกินอย่างเมามันและมูมมาม (ท่ามกลางสายตาคนพม่าที่มองอย่างเวทนา คิดว่าไอ้ฝรั่ง กับคนไทยคู่นี้ มันคงไม่มีเงินซื้อข้าว 2 จาน เลยต้องแบ่งกันกินอย่างน่าสงสาร) สั่งเด็กมาเก็บตังค์ ทั้งหมด 800 จ๊าต

กลับขึ้นมาบนรถได้ก็หามุมที่จะนอนหลับให้นานที่สุด เพราะสุดแสนจะทรมานกับเบาะที่นั่งแคบ ทั้งคนที่แน่นแทบทะลัก เข้าที่เข้าทางแล้วก็รอรถออกอย่างเดียว แต่รอหลายนาทีแล้วก็ไม่ออกซักที คนเริ่มพึมพัม

ปรากฎว่าหลายๆคนลงไปยืนมุงเจ้าหนุ่มไทยใหญ่คนที่ฉันเพิ่งคุยด้วยตอนกินข้าว ซึ่งจากนั้นเขาก็ผละไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนหนุ่มนั่งคอตก ก้มลงมองสะดือตัวเองเล่นซะยังงั้น อกหักหรือเปล่าวะไอ้น้องคนนี้ หรือว่าไม่สบาย มีเพื่อนคนนึงของเค้านั่นแหละ เอามือไปจับที่บ่าแล้วเขย่า น้องแกก็หงายผลึ่ง ลงไปนอนยิ้มเผล่ !

จริง ๆ แล้วเป็นเหตุผลเบสิคมาก ๆ... คือ เมา ตะกี้ยังเห็นดี ๆ อยู่เลย เลยจบลงที่เพื่อน ๆ ต้องแบกเจ้าหนุ่มขึ้นมานอนยิ้มต่อบนรถอย่างทุลักทุเล เหตุการณ์ทั้งหมดได้รับความสนใจจากคนบนรถอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่มีใครบ่นเรื่องรถออกช้า เพราะมีอะไรแบบนี้ดูก็สนุกไปอีกแบบ เป็นความบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ


รูป : บนรถไปมัณฑะเลย์

มัณฑะเลย์ ถึงจนได้

พอถึงเมืองเมียกถิลาที่ตาลุงคนขายตั๋วบอกว่า

“ โอ๊ย คนลงเย๊อออ...อ...ะ.ะ.. ! กว่าค่อนรถเลย ไม่ต้องห่วง !”
ก็พิสูจน์แล้วว่าเชื่อไม่ได้จริง ๆ เพราะมีคนลงเยอะก็จริง แต่ก็ไม่ถึงครึ่งของที่นั่งมาบนรถ แถมยังรับผู้โดยสารใหม่ขึ้นมาอีกเพียบ สรุปแล้วคือไม่ได้มีความแตกต่างเลย แต่ฝรั่ง 2 คนนั่นก็ไวเป็นลิง พอคนที่นั่งเบาะหน้าสุดลุกออกไป เจ้า 2 คนนี่ก็กระโดดแผล็ว เข้าไปจับจองที่นั่งอย่างว่องไว แบบคนพม่ายังอาย

เมียกถิลา นั้นเป็นเมืองเล็ก ๆ มีแม่น้ำไหลผ่าน ที่น่ารักคือ ทางฝั่งซ้ายมือตอนที่ฉันมองออกไปดูบ้านช่องในเมือง ก็เห็นว่า มีคลองขุดเล็ก ๆ
( จริง ๆ ไม่ใหญ่ขนาดเรียกคลองได้ เอาเป็นว่าเหมือนร่องน้ำมากกว่า)เป็นแนวยาวผ่านหน้าบ้านทุกหลัง ดังนั้น เค้าจึงทำสะพานไม้เล็ก ๆ ไว้ข้ามเจ้าร่องน้ำนี่ ทำให้เห็นสะพานจิ๋ว ๆ นี่ค่อนข้างเยอะ บางมุมก็มีศาลาไม้ มานั่งเล่นกันอีกต่างหากดูน่ารักจุ๋มจิ๋ม


รูป : โฆษณาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยี่ห้อ.. อ่านไม่ออก

พระอาทิตย์กำลังตกแล้ว เรายังคงนั่งเมื่อยอยู่ในรถมินิบัส รถผ่านหมู่บ้านที่มีถนนอย่างดีตัดผ่าน ไอ้เราก็นึกว่าถึงแล้ว เพราะเห็นป้ายอะไร มัณฑะเลย์ ๆ อยู่แว๊บ ๆ เลยลุกขึ้นมานั่งแบบเตรียมตัวลงเต็มที่ แต่ที่ไหนได้ต้องนั่งไปอีกนานโกฏปี จนค่ำนู่นแน่ะ รถถึงได้เข้าเขตเมืองมัณฑะเลย์ซักที แต่ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา อ้าว นี่มัน 6 โมงครึ่งเองนี่ แต่มืดยังกับ 3 ทุ่ม

ระหว่างทางมา แวะลงมากินข้าวครั้งหนึ่ง กับลงมาตรวจพาสสปอร์ตหนึ่งครั้งที่ป้อมท่ามกลางทะเลทรายที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากป้อมเล็ก ๆ กับเพิงขายขนม แดดร้อนจนแทบทอดไข่บนถนนได้ นอกนั้นก็ไม่ได้ลงจากรถเลย เพราะฉะนั้น พอลงจากรถมาได้ ขาก็แทบพับเพราะไม่ได้ขยับซะนานฉันลงมาเอากระเป๋าเป้ขึ้นหลังได้ เบิร์ตก็ถูกรุมล้อมด้วยบรรดาแท๊กซี่ทั้งหลาย จนแทบมองไม่เห็นตัว ที่แน่ ๆ คือยังไม่รู้เลยว่า จะไปไหนดี ดูนาฬิกา ที่พักก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ ตอนนั้นเวลา 6 โมงกว่าเกือบจะทุ่มแล้ว แท๊กซี่เสนอโรงแรม “ NYLON” ( ชื่อไม่น่าเป็นโรงแรมเล้ย) เราเคยผ่าน ๆ ตาชื่อโรงแรมนี้มาบ้างใน เวบ Passplanet ถือว่าใช้ได้ และห้องราคาไม่แพงนัก (6 – 8 ดอลล่าร์) สำหรับห้องราคาประหยัด จึงตกลงขึ้นรถกระบะ (ที่เค้าเอามาทำเป็นแท๊กซี่) แต่กว่าจะออกรถได้ก็ต่อราคาอยู่นาน เพราะเค้าเรียกถึงคนละ 1000 จ๊าต พอดีมีคนเยอรมันมาสมทบด้วยอีก 2 คน เลยถือว่าแชร์กัน ลดลงไป 500 จ๊าต (ก็ยังดีวะ) สรุปว่าไปส่งถึงหน้าโรงแรม 2 คน จ่ายไป 1500 จ๊าต

“ เดี๋ยวผมลงไปดูห้องให้นะ ว่ามีห้องว่างไหม พวกคุณรอที่นี่แหละ” คนขับหันมาบอก แล้วเดินขึ้นบันไดเข้าไปในโรงแรม ปล่อยให้เรานั่งมองหน้ากันตาปริบ ๆ
“ เฮ้ย เดี๋ยวผมเข้าไปดูด้วยดีกว่า ตุกติกอะไรหรือเปล่าวะ” เบิร์ตเดินตามเข้าไปติด ๆ ฉันร้องขอไปด้วยคน แต่เบิร์ตหันมาตะโกนว่า
“ เธออยู่เฝ้ากระเป๋าเซ่ะ !” ฉันเลยต้องหดตัวเข้ามานั่งให้ยุงตอมอยู่ในรถเหมือนเดิมกับเด็กรถชาวพม่าอีก 2 คน รถคันนึงมีตั้ง 3 คน คือคนขับ กับเด็กรถอีก 2 อะไรจะขนาดนั้น ทำงานเป็นทีม แล้วเบิร์ตก็ออกมาพร้อมกับคำตอบ

“ 6 ดอลล่าร์ต่อคืน ห้องน้ำในตัว มีแอร์ด้วย”
“ จริงดิ ไม่เลวนะ”
“ อือ แต่ว่าอยู่ชั้นบนสุดเลยเนี่ยซิ” ฉันเงยหน้าขึ้นไปดู อู้หู... สูงประมาณ 7 – 8 ชั้นได้มั้ง
“ แล้วห้องก็เล็กมากด้วยแหละ” ฉันลังเลว่าจะเอาดีไม่เอาดี

แต่นี่ก็มืดแล้ว จะไปหาโรงแรมอื่นเวลานี้คงจะลำบากเหมือนกัน เลยตกลงเอากระเป๋าลงจากรถ เช็คอินเรียบร้อย ส่วนห้องนั้นเล็กจริง ๆ เตียง 1 เตียง ก็เต็มห้องแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นมัสยิดอยู่ใกล้แค่เอื้อม ก็รู้แล้วว่าตอนเช้ามืดจะต้องเจอกับอะไร ยิ่งเห็นลำโพงขนาดโคตรใหญ่ รอบทิศทางแล้วยิ่งต้องทำใจ แต่เราเป็นคนนอนง่านตื่นยากอยู่แล้วคงไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยจากหน้าต่างห้องนอน เราก็สามารถเห็นพระอาทิตย์ตกดินได้ชัดมาก ๆ ห้องน้ำนั้นก็ใช้ได้ เสียแต่ว่า “ หนาว” ! ตอนเช้า ๆ เข้าไปต้องใส่รองเท้าเข้าไปด้วยเลย เพราะพื้นมันเย็น เนื่องจากมีช่องเปิดไว้ หรือจะเรียกให้ถูกต้องบอกว่ามีช่องทุบไว้จะใกล้เคียงกว่า เพราะเป็นกำแพงที่ถูกทุบออกเป็นช่องเท่าบานหน้าต่างเล็กๆไว้ให้แสงเข้า เรียกว่า อาบน้ำไปชมเมืองมัณฑะเลย์ไป โอ...หรูหราอะไรอย่างนี้ ชมวิวผ่านช่องกำแพงแตกๆ แต่มองออกไปเช้า ๆ จากห้องน้ำนี่ เมืองดูบรรยากาศดีจริงๆ นะ ไม่ได้ประชด

ทั้งห้องมีโต๊ะพับราคาถูกหนึ่งตัว กับที่แขวนผ้าหนึ่งราว ที่พอขยับมันหน่อยเดียว ราวก็หล่นลงมาดัง “ แคร๊ง” ลั่นห้อง เอ่อ...เอาวะ ที่พักตกแล้วคนละ 120 บาท จะเอาอะไรมาก



มื้อแรกในเมืองมัณฑะเลย์


หิวจนไส้แทบขาด เลยออกมาหาร้านอาหารกัน เท่า ๆ ที่เคยอ่านข้อมูลมาจากบนเว็บ เห็นว่ามีร้านชื่อ MANN ( ฉันแอบเรียกว่าร้านพี่มั่น) อยู่หัวมุมนี่เอง ส่วนตรงข้ามเป็นร้านไอศครีมชื่อเดียวกับโรงแรมที่เราพัก คือชื่อ ไอศครีม NYLON ( ฟังชื่อแล้วไม่นึกอยากกิน ไอศครีมอะไรวะชื่อ ไนล่อน)

ร้านพี่มั่นนั้น คนเยอะสุด ๆ ทั้งพม่า ทั้งฝรั่ง บรรยากาศเหมือนโรงเตี๊ยมในหนังจีนกำลังภายใน เพียงแต่ไม่มีเสี่ยวเอ้อ แล้วคนที่มากินก็ไม่ได้เป็นจอมยุทธมากินเหล้าเคล้านารี แต่เป็นหนุ่มนุ่งโสร่งและกินหมากแทน โต๊ะเต็มทุกโต๊ะ แต่เก้าอี้ยังพอมีว่าง ฉันจึงเดินไปโต๊ะกลางร้าน ขอเค้านั่งด้วย ชายพม่าที่กำลังสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์ ก็รีบเชื้อเชิญให้นั่งโต๊ะเดียวกันที่ยังมีเก้าอี้ว่างอยู่ สามสี่ตัว แต่เค้าก็ทำหน้างง ๆ ตอนฉันถามเป็นภาษาอังกฤษ เพราะเขาคงคิดว่าฉันเป็นคนพม่าอีกนั่นแหละ เด็กเอาเมนูมาให้เลือกรายการอาหาร เลยสั่งไก่ผัดเปรี้ยวหวานไป 1 จาน กับข้าวสวย และขาดไม่ได้ คือ Star Cola อะฮ้า ! เบิร์ตนั้นสั่งไทยซุปอีกแล้ว กินมาหลายชาม ยังบอกไม่ได้เลยว่ามันไทยยังไง... (เหมือนลอดช่องสิงคโปร์น่ะ ไปถามคนสิงคโปร์เขาไม่รู้จักหรอก เพราะมันตั้งชื่อตามโรงหนัง “ สิงคโปร์” ในบ้านเรา หาใช่มาจากสิงคโปร์ไม่ และคงเป็นเหตุผลเดียวกับ อินเดียไม่มีกล้วยแขก ...และไทยซุปในพม่า ที่คนไทยไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต)


รูป : ร้าน Mann ร้านอร่อยราคาประหยัดในเมืองมัณฑะเลย์

“ คุณมาจากไหนกันครับ” ชายพม่าวัยกลางคนที่นั่งตรงข้ามเราชวนคุย
“ ผมมาจากเบลเยี่ยม ส่วนคนนี้ประเทศไทย”
“ อ๊อ..อ..อ.. เพิ่งมาถึงกันล่ะซิครับเนี่ย”
“ ครับ หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
“ ว่าแต่ พรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนกันหรือครับ”
“ เอ่อ...” เบิร์ตหันมามองหน้าอย่างของความเห็น ไม่เลย ไม่ต้องมามอง ไม่เคยมีแผนอะไรเลย อย่านะ อย่าถามๆ
“ ยังไม่ได้ตกลงวางแผนอะไรเลยครับ ว่าจะลองดูคืนนี้ว่าพรุ่งนี้จะไปไหน”
" อ๋อ... ว่าแต่นะครับ ผมช่วยคุณได้นะ” โอ มุขนี้มาอีกแล้ว พระเจ้า...
“ ผมมีริกชอว์(สามล้อถีบ) อยู่ จอดอยู่หน้าโรงแรมนี่แหละ แล้วผมพาเที่ยวได้ ธรรมดาเที่ยวดูทั่ว ๆ ในมัณฑะเลย์ คุณต้องจ่ายค่าตั๋วนู่นนี่เต็มไปหมดใช่ม้า... แต่ผมทำให้คุณซื้อตั๋วได้ถูกกว่าครึ่งหนึ่งเลยนะ !”

ฉันมองหน้าเขาแล้วยิ้ม ๆ “ ทำยังไงเหรอคะ”
เขาก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ยักคิ้วแล้วบอกว่า “ ความลับ ๆ”

แล้วก็ขอตัวไปก่อนเพราะเขากินข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็เลยนั่งมองรอบ ๆ ร้านไป กินข้าวไป รสชาติอาหารที่นี่ถือว่าอร่อยทีเดียว ที่สำคัญราคาไม่แพง (ตกจานละ 700 – 800 จ๊าตเอง ในขณะที่ร้านอาหารทั่วไป ราคาที่ขายนักท่องเที่ยวจะอยู่ประมาณ 1,000 – 1,500 จ๊าต ขึ้นไปต่อจานอย่างที่บอก)

ฝรั่งเริ่มเยอะแล้ว ส่วนมากมากันเป็นกลุ่ม ผู้หญิงผมบลอนด์คนนึงแต่งตัวเหมือนจะไปล่าสัตว์ในป่าอเมซอน เป็นชุดซาฟารีสีกากีเข้าชุดกัน (ดีนะไม่เอาหมวกกะโล่ มาด้วย) กางเกงนี่สั้นไปถึงไหน ๆ นั่งเอานิ้วม้วนผมเล่น เวลาเธอเดินก็ต้องให้แน่ใจว่าเป็นจุดสนใจคนทั้งร้านหรือยัง ถ้ามีเก้าอี้ขวางทาง แทนที่เธอจะยกเก้าอี้หลบไปข้างนึง ก็เปล่า.. แต่กลับยกขาสูง ๆ แว้บบบบบ..ข้ามเก้าอี้ไปซะยังงั้น แล้วไปนั่งเอานิ้วเล่นผมต่อที่โต๊ะ


“ โอ้ เวรของกรรม เธอดูเหมือน......เลยเนอะ มีเล่นผมด้วยนะ กางเกงนี่ไม่รู้จะสั้นไปไหน แย่ว่ะ” เบิร์ตพูดลอย ๆ ฉันได้แต่หัวเราะ แสดงว่าเราไม่ได้อคติ คิดไปคนเดียวนา หรือไม่ก็แสดงว่าเราปากหมาทั้งคู่

มีฝรั่งอีก 2 คน มานั่งโต๊ะเดียวกับเรา พยายามเรียกบ๋อยแต่บ๋อยมองไม่เห็น พอดีเมนูยังวางอยู่บนโต๊ะ เลยหยิบมาดูไปพลาง ๆ ซักพักก็หันมาถามฉัน
“ คุณรู้หรือเปล่าว่า ผมจะกินอะไรดีน่ะ ?” อ้าว..
“ ไม่รู้ซิ แต่ฉันเพิ่งกินไก่เปรี้ยวหวานไปน่ะ อร่อยดีนะ”
“ โอเค งั้นผมขอลอกหน่อยละกัน อิอิ”

สนใจจ้างสามล้อ โปรดอีเมล์มานะครับ

เราสั่งเช็คบิล ทั้งหมด 2200 จ๊าต อิ่มจนท้องแทบแตก กำลังจะลุกออกจากร้าน ชายพม่าคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับนามบัตร
“ นี่นามบัตรผม ชื่อ มยูมยู” ( เวลาออกเสียงจะฟังเหมือน มยิวมยิว หรือ มิวมิว มากกว่า) ฉันรับนามบัตรมาก้มลงอ่าน ข้อความเขียนเป็นภาษาอังกฤษแปลออกมาได้ดังนี้

MYU MYU
คนขับริกชอว์
วิน ริกชอว์ หัวมุมถนนที่ 25 ตัดกับถนนที่ 83
หน้าโรงแรมไนลอน
มัณฑะเลย์ เมียนมาร์

แถมมีอีเมล์แอดเดรสด้วย ! ลองคิดดูซิ ถ้ามอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าปากซอยบ้านเรามีนามบัตร คงจะออกมาประมาณนี้
" สมศักดิ์(ชื่อเล่น อ๊อด แม่เรียกน้องอ๊อด เมียเรียกพี่อ๊อดเพื่อนเรียกเชี่ยอ๊อด)
คนขี่มอ ' ไซค์รับจ้าง
ประจำอยู่วินมอ ' ไซค์หน้าเซเว่น วัดดาวฯ
กรุงเทพฯ ประเทศไทย.. ชะเอิงเอย
อีเมล์ : สมศักดิ์ ณ เซเว่น @ วินมอไซค์ ดอต คอม"

มันจะฮามั้ยล่ะ! นามบัตรอะไรช่าง local ได้ขนาดนี้
เรา 2 คนอึ้ง ๆ แต่ก็รับไว้
“ ผมไปล่ะนะ ถ้ามีอะไรเรียกใช้ เจอกันที่วิน” พอมัวมัวลับหลังไปแล้ว เบิร์ตหันมามองหน้าฉันขำ ๆ
“ คนขับสามล้อแต่ใช้อีเมล์รับงานนี่นะ?”
“ ทำไมมันผิดเหรอ” ฉันเองจริง ๆ ก็เห็นด้วยว่ามันแปลก แต่แกล้งพูดประชด
“ บ้า.. ใครจะไปจ้างสามล้อผ่านอีเมล์วะ อุ๊ย.. วันนี้ต้องจ้างสามล้อ ต้องอีเมล์ไปบอกเค้าซะหน่อย” ยังไม่เลิกกระแนะกระแหน
" เผลอๆอาจจะมีจองคิวผ่านระบบออนไลน์" ฉันเสริม
" ชำระเงินผ่านเครดิตการ์ดได้"
" หรือมีบัตรสะสมแต้ม ทุก ๆ 500 เมตรได้ 1 พอยท์"
" พอๆๆ ไปกันใหญ่แล้ว วู้!"

แลกเงินสยอง

เราเดินกลับโรงแรม ระหว่างทางมีลุงขี่จักรยานตีคู่มา ถามว่าจะแลกเงินหรือเปล่า

“ ให้เท่าไหร่ลุง” เบิร์ตถามกลับไป แต่ยังไม่หยุดเดิน ลุงแกก็ขี่จักรยานตามมาไม่ลดละ
“840” เบิร์ตหันมามองหน้าแล้วบอกว่า เออ ไม่เลวนะ
“ ไม่ใช่ 860 เหรอลุง ?”
“ แบ๊งค์ใหญ่เปล่าล่ะ ถ้าแบ๊งค์ร้อยก็อาจจะได้” โห… แบ๊งค์ 100 เลยเหรอ มากไป มากไป
“ แบ๊งค์ 50 ดอลล่าร์น่ะ” ฉันบอก

“ งั้นก็ได้ที่ดอลล่าร์ละ 840” ยังไงเราก็ต้องแลกเงินอยู่แล้ว เพราะเงินจ๊าตเหลือน้อยเต็มที เพราะเราแลกทีละไม่มาก ครั้งละไม่เกิน 20 – 50 ดอลล่าร์เราจึงเดินตามลุงแกไปที่ตรอกมืด ๆ ที่มีรถเบนซ์ใหม่เอี่ยมจอดอยู่หน้าบ้าน ตัวบ้านนั้นเป็นตึกแถวสูง 5 ชั้น ลุงแกตะโกนคุยกับเจ้าของบ้านที่อยู่ชั้น 3 บอกว่าเดี๋ยวจะลงไปแล้ว รอแป๊บนึง

“ นี่ลุง ทำไมรวยจังอ่ะ บ้านเนี้ย” ฉันหันไปถาม
“ เค้าไปทำงานซาอุฯ มาน่ะ”

“ อ้อ… เหรอ” ไม่ใช่เพราะแลกเงินดอลล่าร์นักท่องเที่ยวเหรอ ฮึ ฮึ… รอนานโคตร กว่าจะได้แลกเงิน ลุงให้เราเดินเข้าไปในบ้านซึ่งชั้นล่างเป็นบันไดทางขึ้นแคบ ๆ เหมือนตามตึกแถวที่เราเห็นย่านวงเวียน 22 แถวเยาวราช คนที่ลงมาไม่ใช่ชายเจ้าของบ้าน แต่เป็นภรรยาและญาติอีกสี่คน ! ทั้งหมดยืนอยู่บนบันได มีนักท่องเที่ยวหน้าตาโง่ ๆ ของคนยืนอยู่ด้านล่าง อะไรกัน กะอีแค่แลกเงิน 50 ดอลล่าร์ ต้องแห่กันลงมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยแลกเงินเสร็จรีบกลับ ไม่อยู่ต่อให้สยอง ต้องรีบเผ่น ลุงแกยังอุตส่าห์งัดเอาโบรชัวร์ขายของออกมาให้ดูอีก

“ นี่ ๆ .. มีทั้งของเก่า ทับทิม อัญมณี ฯลฯ”
“ ลุง .. หนูมี 50 ดอลล่าร์เองเนี่ย คงซื้อของแพง ๆ พวกนั้นไม่ได้หรอก”
“ แวะไปดูหน่อยน่า นะ นะ”
“ เดี๋ยวอีเมล์ไปบอกนะลุง” เรากลับมาถึงโรงแรมกว่าจะหอบสังขาร ขึ้นมาชั้นบนสุดได้ ก็แทบตายอยู่กลางทาง
ป.ล. วันนี้ทั้งวันใช้เงินไปไม่ถึง 10 ดอลล่าร์เลยนะนี่






 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2549 14:27:23 น.
Counter : 1203 Pageviews.  

วันที่ 4 - เมืองพุกามอีกซักวัน - เสียค่าโง่กับอาหารข้างทางเพราะไม่ถามราคาก่อน

วันที่สี่ : เสาร์ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๔๖
เมืองพุกามอีกซักวัน

นัดให้น้าโจโจแกมารับตอนบ่าย เพราะขี้เกียจตื่นเช้า ขึ้นไปทานอาหารเช้ายังขึ้นไปแบบขี้เกียจ ๆ มีแขกของโรงแรมนั่งกันอยู่แล้วหลายคน เห็นรีเซปชั่นกำลังคุยกับนักท่องเที่ยวฝรั่งเศสคู่นึง หน้าตาคุ้น ๆ มองดูดี ๆ อ้าว นี่มันไอ้คู่ที่ไปยืนจูบกันบนเจดีย์เมื่อวานนี่หว่า (แอบ)ฟังได้ความว่าคิดว่าจะไป เขา"โบปา" (เขาโบปา ชาวพม่าเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของเหล่า"ผีนัต" ซึ่งชาวพม่าเคารพนับถือว่าเป็นผีที่คุ้มครองปกปักรักษา) ซึ่งต้องนั่งรถจ้างออกไปอีกหลายกิโลค่ารถประมาณ 20 ดอลล่าร์ ดังนั้นหากไปคนเดียวหรือสองคนไม่คุ้ม ต้องหาคนมาแชร์ รีเซฟชั่นก็เลยเข้าทางเลย
"อรุณสวัสดิ์ครับ"
"ค่ะ สบายดีเหรอคะ" ฉันตอบไปตามมารยาท
"ดีครับ เอ ว่าแต่ ยังจะไปเขาโบปา กันอยู่หรือเปล่าครับ"
"ไม่ล่ะค่ะ"
"อ้าว เห็นเมื่อวานบอกว่าสนใจอยากไปไม่ใช่เหรอครับ"
"อืม เปลี่ยนใจแล้วล่ะค่ะไม่ไปดีกว่า" จะให้ไปกับฝรั่งเศสคู่นี้เหรอ ลืมไปได้เลย ไม่รู้มันจะไปจอดรถจูบกันอีกกี่รอบ ขนาดเสื้อ-กางเกง ยังใส่แบบเดียว สีเดียวกันเลย เห็นแล้วสยอง จะว่าไปแล้ว อาจจะเป็นฉันเองที่โรคจิต เกิดไม่ชอบเค้าขึ้นมาซะเฉยๆซะงั้น ก็ตั้งแต่สองคนนี่ไปยืนจูบดูดดื่มบนเจดีย์ ซึ่งด้านล่างมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ฉันก็ไม่รู้จะทำใจให้รับได้อย่างไร

ตั๋วรถบัสไปมัณฑะเลย์

พอทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนดูทีวี (3ช่อง 1 ในนั้นเป็นภาษาพม่าฟังไม่ออก) และอ่านหนังสือซึ่งก็ไม่ได้เอาอะไรไปนอกจากไกด์บุ๊คเล่มเดียวก็อ่านมันเข้าไป ตั้งแต่เรื่องนายพลเนวิน ไปกระทั่งอองซานซูจี พอสาย ๆ หน่อยเบิร์ตก็ลงไปถามที่เคาท์เตอร์โรงแรมว่าตั๋วรถบัสไปมัณฑะเลย์ ที่ฝากซื้อตกลงเป็นยังไงบ้าง
"โอ เสียใจด้วยจริงๆนะครับตั๋วเต็มหมดเลย"
"อาไรน๊าาา" เราสองคนถึงกับงง "จะหมดได้ไงกั๊นนน"
"พอดีมีกลุ่มนักเรียนเค้าจะไปทัศนศึกษากันน่ะครับ รถก็เลย..."
รถบัสไปมัณฑะเลย์นี้มีออกจากบากันเที่ยวตี 4 (รอบนี้ต้องไปขึ้นที่ตลาดซึ่งอยู่ห่างออกไปจากโรงแรมที่เราพักราว ๆ 15 นาทีเดิน) และเที่ยว 7 โมงเช้าและ 9 โมงเช้า

"ผมคิดว่าคุณสองคนคงต้องรอไปวันถัดไปแล้วล่ะ" เบิร์ตกับฉันมองหน้ากันทำตาปริบ ๆ ..ไม่เป็นไร มันต้องมีทางอื่นซิน่า

เราเลยเดินไปที่ท่ารถด้วยตัวเอง สอบถามจากลุงเฉื่อย ขอเรียกแบบนี้ก็แล้วกัน แต่ลุงแก chill มากจริง ๆ กว่าจะเช็คตั๋วให้ กว่าจะใช้เวลาคิด อู๊ยย...ลุง คิดเสร็จแล้วส่งรถม้าไปบอกด้วยแล้วกัน
"ไป....มัณฑะเลย์.....(แล้วเว้นไป 10 วินาที).....ใช่มะ.." ลุงเฉื่อยมองลอดแว่นตาออกมา
"ครับ"
"กี่โมงนะ"
" 7 โมงมีมั้ยครับ" ลุงแกคิดอีกแล้ว...
"อ่อ..." ตายังอยู่ที่กระดาษแผนผังที่นั่งของรถบัส ผ่านไปร่วมนาที ขยับแว่นแล้วขยับแว่นอีก
"ว่าไงครับลุง"
"มี.." ลุงสลับขาที่นั่งไขว้ห้าง จากขาซ้ายเป็นขาขวาอย่างใจเย็น
"ฮ้า ตกลงยังมีหรือครับ"
"มี ๆ แต่เป็นที่นั่งเสริม 2 ที่นะ" เบร่...ที่นั่งเสริมเหรอ...
"แต่คนส่วนมากก็ไม่นั่งกันไปถึงมัณฑะเลย์หรอก พอถึง เมียกถิลา ก็ลงกันเยอะแล้ว" เมียกถิลาคือเมืองเล็ก ๆ มีแม่น้ำไหลผ่าน แต่ข้อดีของเมืองนี้ เช็คจากแผนที่อันมีรายละเอียดอยู่น้อยนิดแล้ว ก็คืออยู่บนทางหลวงซึ่งก็หมายความว่าจะมีรถบัสใหญ่ ๆ ที่มุ่งหน้าไปมัณฑะเลย์วิ่งผ่าน เราอาจจะลองจับรถจากที่นั่นต่อไปมัณฑะเลย์ก็ได้ โดยไม่ต้องมานั่งทรมานในมินิบัสตลอดวัน

สถานีขนส่งที่พุกาม

เราเลยต้องขอนอกรอบออกมาปรึกษากันเองก่อน
"หรือจะไปเรือดีว้า.." เบิร์ตเริ่มหาออปชั่นอื่น
"แพงอ่ะดิ"
"เออซิ 17 ดอลล่าร์แน่ะ ใช้เวลา 9 ชั่วโมง ถ้านั่งรถก็ 7 ชั่วโมงแถมถูกกว่าตั้งเยอะ"
"รถไฟล่ะ"
"รัฐบาลเป็นเจ้าของน่ะซิ"
"ว้า งั้นไม่ไป"
"เรือล่ะ?"
"เย้ยยยย ถามไปแล้วไง"
"อ้าวเหรอ"

คิดกันอยู่นานเลยตกลงเอาตั๋วเที่ยว 9 โมงเช้า ซึ่งยังมีที่นั่งอยู่ ตั๋วราคา 3000 จ๊าต (จะไปแค่เมืองเมียกถิลาก็ราคาเท่ากันคือ 3000 จ๊าต) แต่นั่นหมายถึงเราจะถึงมัณฑะเลย์เอาก็ตอนพลบค่ำ ซึ่งค่อนข้างจะลำบากในการหาที่พักแน่ ๆ แต่ก็ต้องเสี่ยงดูเพราะไม่มีทางเลือก ไม่อยากนั่งเรือ ไม่อยากได้ที่นั่งเสริม ก็ต้องยอมไปตายดาบหน้าแหละ มองดูจากแผนผังที่นั่งยังมีที่ว่างอีกเยอะแยะเลย แต่ลุงแกบอกว่า "จองแล้ว" ก็เลยได้เบาะที่สองจากด้านหน้า

หมดปัญหาเรื่องตั๋วรถ ก็ค่อยยังชั่ว พรุ่งนี้จะเป็นยังไงต้องคอยดู

รถบัสจากพุกามไปมัณฑะเลย์

"เอ๊ะ แล้วทำไมโรงแรมบอกว่าตั๋วหมดล่ะ" ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้
"สงสัยกะขายห้องพักอีกคืนแหงๆ"
"ไม่รู้ซิ"
ถ่านไฟฉายเจ้าปัญหา


กล้องไม่มีแบตเตอรี่แล้ว ดีนะที่ใช้ถ่าน AA ได้ (แต่ต้องเป็นอัลคาไลน์ของแท้เท่านั้นนะ ไม่งั้นกล้องไม่ทำงาน ทำไมมันไฮโซแบบนี้) หน้าทางเข้าเจดีย์ชเวซิกองจะมีร้านน้ำชา ร้านขายของเบ็ดเตล็ดอะไรพวกนี้ ด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยวจึงมีถ่านไฟฉายไฮโซขาย ฉันไปยืนเล็งอยู่ เห็นมีแบบแพคเดียว (2 ก้อน) ราคา 1000 จ๊าต กับอีกอันคือ 3 แพ็ค (6 ก้อน) เขียนว่า ซื้อ 2 แถม 1 แล้วไอ้ตรงแพ็คที่แถมก็เขียนมาตัวเบ้อเร่อว่าฟรี เพราะฉะนั้นราคามันควรต้องใกล้เคียงกับ 2 แพ็คใช่มั้ย
"แล้วแพ็คนี้เท่าไหร่คะ" คนขายซึ่งเป็นเด็กสาวรุ่น ๆ หันไปปรึกษากับสาวอีกคนอยู่พักใหญ่
"2800"
"อะไรรรร.. นี่ แพ็คเดียว 1000 จ๊าต นี่ 2 แพ็คฟรี 1 แพ็คก็ต้อง 2000 จ๊าตซิ"
"ไม่ใช่ๆ 2800 จ๊าต"
"อ๊า ก็นี่เค้าเขียนว่าแพ็คนี้ฟรีเนี่ย ตรงเนี้ยดูซิ สีแดงๆเนี่ย"
"2800"
"งั้นเอาแพ็คเล็กมาละกันน้อง" ไม่รู้เรางง หรือเค้างง เบิร์ตหาว่าเรางกไม่เข้าเรื่อง อ๊าว ...ก็ของมันฟรีมาตั้งแต่โรงงาน พอมาขายจะเอาราคาเกือบเท่าราคาปรกติของ 3 แพ็คได้ไงกัน ไม่ยอมๆ
"ก็ แพ็คเดียว 1000 จ๊าต" เบิร์ตเริ่มเล็คเชอร์วิชาตรรกศาสตร์ " 2แพ๊คเท่าหร่ายยยยย"
"2000 ไง" ฉันตอบแบบหรี่ตามองข้างหนึ่งแบบ มันจะเอาอะไรกะชั้นอีกล่ะ
"อ้าว 2 แพ็ค 2000 งั้น 3 แพ็คเท่าหร่ายยยยย"
"เฮ้ย แต่บนแพ็คมันพิมพ์มาจากโรงงานนะเว้ย ว่า 2 แพ็ค ฟรี 1 แพ็คอ้ะ!"
"เออๆ สงสัยเจ๊คงไม่มีวันเข้าใจแน่" ก็แน่ล่ะซิ ฉันก็ยังไม่เข้าใจมาถึงทุกวันนี้

เปลวแดด รถม้า เจดีย์ นี่แหละพุกาม


ตอนบ่ายน้าโจโจก็มาตรงเวลาเป๊ะ ๆ ส่วนเจ้าม้ามูมูนั้นยืนรออยู่ห่าง ๆ น้าแกยิ้มฟันดำมาแต่ไกล
"พร้อมกันหรือยังครับ"
"ค่ะ ว่าแต่มูมูมันกำลังอร่อยมั้งนั่น" ฉันพยักเพยิดให้ดูเจ้าม้ามูมูที่กำลังยืนเคี้ยวใบมะม่วงอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ใต้ต้นมะม่วงเตี้ย ๆ
"มูมู พอแล้ว" น้าโจโจหันไปดึงสายบังเหียนเบา ๆ มูมูไม่ว่าอะไร ได้แต่ทำเสียงฟึ่ดๆ แล้วผละออกจากต้นมะม่วงแบบอาลัยอาวรณ์ แต่ก็ไม่วายเอี้ยวตัวไปงับใบมะม่วงอีก

ขออีกซักใบเถอะน่า....

"เมื่อวานมันเหนื่อยน่ะ ตอนเช้าก็เลยปล่อยให้มันพักเฉย ๆ" ก็ว่ายังงั้นแหละ เพราะสังเกตุอยู่เหมือนกันว่าม้านี่บางทีน้ำลายฟ่อดเลยเหมือนกันนะมันจะไม่หิวน้ำบ้างเลยเหรอ

วันนี้แดดร้อนเหมือนเคย งานหนักอีกแล้วมูมูเอ๊ย แต่มีนักท่องเที่ยวมาจ้างให้ลากรถดีกว่าต้องไปยืนหาใบมะม่วงกินเองทุกวันนะ

ที่นี่มีเด็ก ๆ เยอะพอสมควร ช่วงเช้า ๆ จะเห็นขี่จักรยานหรือเดินไปโรงเรียนกันเป็นแถว ทุกคนนุ่งลงจีสีเขียวเข้มกับเสื้อขาว เวลาเห็นฝรั่งก็จะตะโกน "เฮลโล่ๆ" ทักตลอด

"น้ามีครอบครัวหรือยังคะ" ฉันซึ่งนั่งเฉย ๆ ระหว่างทางไม่รู้จะทำอะไรก็ชวนแกคุยไปเรื่อย ๆ
"มีแล้ว มีลูกตั้ง 5 คนแน่ะ"
"5คน!"
"ฮ่าๆๆ เยอะมั้ย"
"เยอะซิ! ว่าแต่คนโตอายุเท่าไหร่แล้ว.."
"ก็ 16..17 แล้วล่ะ"
"ผู้ชายกี่คนผู้หญิงกี่คนเหรอคะ"
"ผู้ชาย 3 ผู้หญิง 2 น่ะ แต่พอแล้วล่ะ 5 คนนี่ก็แย่แล้ว เลี้ยงจะไม่ไหวแล้ว ฮ่ะๆๆ"

น้าโจพาเราเที่ยวเข้าวัดนู้น ออกวัดนี้เป็นว่าเล่น ท่ามกลางแดดที่ยังไม่เลิกร้อนง่าย ๆ เรายังสามารถมองเห็นกำแพงเมืองเก่าได้ถึงทุกวันนี้ ตามตำนานเค้าว่า เมื่อสมัยก่อนนู้นนนน พุกามเคยมีกษัตริย์ปกครองมาถึง 55 พระองค์ (ตำราบางเล่มก็บอก 41 พระองค์ เลยไม่รู้จะเชื่อใครดี) ในระยะเวลาพันกว่าปี แต่ก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมา แต่ตำนานของเมืองพุกามที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อ้างอิงได้ คือ พระเจ้าอนุรุทธมหาราชทรงตีเมืองสะเทิมซึ่งเป็นเมืองมอญได้ประมาณปี พ.ศ. 1600 ราษฎร ช่างฝีมือ ภิกษุสงฆ์จึงล้วนถูกกวาดต้อนมาจากเมืองสะเทิม ชาวเมืองพุกามจึงได้รับการถ่ายทอดความรู้อย่างมากพระสงฆ์และคัมภีร์ทางศาสนาที่ก็ถูกนำมาจากเมืองสะเทิมด้วย ในระบะเวลาไม่ถึง 200 ปี เมืองพุกามจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเมืองพุกามมาตกอยู่ในอำนาจของพวกมองโกลในราว ๆ ปี พ.ศ. 1830 แต่ร่องรอยศิลปอารยธรรมก็หลงเหลือมาถึงทุกวันนี้

ทำไมพุกามถึงมีเจดีย์มากมายขนาดนี้?


ความเชื่อของชาวพม่านั้น การสร้างเจดีย์เป็นการสร้างผลบุญยิ่งใหญ่ แต่ต้อง "สร้าง" เท่านั้นนะ ถ้ามีเจดีย์ที่พี่หม่องคนอื่นสร้างไว้อยู่แล้ว แล้วไปช่วยทำนุบำรุงซ่อมแซมปฎิสังขรณ์นี่เค้าว่าไม่ค่อยได้บุญเท่าไหร่ ก็เลยสร้างกันเพิ่มเติมมาด้วยเรื่อย จนในที่สุดก็มีเป็นพัน ๆ องค์ สมชื่อ มหานทีแห่งเจดีย์จริง


วิวเมืองพุกามจากมุมสูง

ปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนโบราณสถานในเมืองพุกามไว้ไม่ต่ำกว่า 2000 แห่ง ซึ่งก็มีทั้งเจดีย์ก่ออิฐทรงระฆัง เจดีย์ทรงลังกา วิหารประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งบางแห่งก็เลียนแบบมาจากพุทธคยาในประเทศอินเดีย บางอันก็เป็นแบบมอญ มีอักขระมอญจารึกอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ก็เลือนลางเต็มที ส่วนที่เป็นพม่าจริงๆ ก็มี "วิหารหติโลมินโล" (Htilominlo) และ "วิหารสัพพัญญู" (Thatbyinyu) ที่โล่งและค่อนข้างสว่าง ต่างกับแบบมอญที่มักจะเป็นกำแพงทึบสองชั้น โดยเปิดให้แสงผ่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย ทำให้อากาศภายในเย็นอย่างน่าประหลาดใจ และที่ไม่ให้แสงเข้ามากนัก คิดว่าคงเป็นการป้องกันไม่ให้แสงเข้ามาทำลายจิตรกรรมฝาผนังให้ชำรุดทรุดโทรมก่อนเวลาด้วย

ตอนเราเราเที่ยวชมวัดอยู่ก็มีเด็กผู้หญิงมาขอแลกเงิน 25 ดอลล่าร์เป็นแบ๊งค์พันบาท ฉันบอกว่าไม่มีจริง ๆ ไม่ได้เอาเงินไทยติดตัวมา เธอก็ลดให้อีกพยายามจะให้ฉันแลกให้ได้ แต่ไม่มีจริง ๆ อ่ะ ให้ทำไง ถึงมีก็คงไม่กล้าให้แลกด้วยแหละ จริงหรือปลอมก็ไม่รู้..อ้อ ที่พุกามมีมะพร้าวสด ๆ ขายด้วยนะ มีเกือบทุกวัด มีตั้งแต่ 200-300 จ๊าต แต่ไปถามที่วัดนึง แม่ค้าเธอจะขายตั้ง 500 จ๊าตแน่ะ ค้ากำไรเกินควรไปหรือเปล่านี่

มหาเจดีย์ชเวซิกอง

นอกจากนี้แล้วที่พลาดไม่ไปไม่ได้ก็คือ "มหาเจดีย์ชเวซิกอง" เจดีย์มอญที่เป็น 1 ใน 5 สภานที่ที่ได้รับการเคารพบูชาสูงสุดในพม่า ปัจจุบันมีคนเดินทางมาสักการะจากทั่วทุกสารทิศเลยทีเดียว และแน่นอน เป็นสีทองอร่ามทั้งองค์เห็นมาแต่ไกล บริเวณรอบ ๆ ก็สวยงามอลังการอย่างยิ่ง ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ภายในบริเวณเจดีย์นี้ยังมีป้าย เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับปาฎิหารย์หรือเรื่องน่าพิศวงของ มหาเจดีย์ชเวซิกอง แห่งนี้อยู่หลายอย่าง เท่าที่จำได้คือ ทองคำเปลวที่ชาวบ้านนำไปปิดบนเจดีย์ หากหลุดปลิวลงมาจะไม่เคยปลิวออกไปนอกรั้วที่ล้อมรอบองค์เจดีย์เลย แล้วข้างในวัดนี้จะมีกลองตั้งอยู่มุม ๆ ของวัด ถ้าตีกลองที่มุมใดมุมหนึ่ง จะไม่เคยได้ยินดังไปถึงอีกมุมเลย ฯลฯ มีอีกประมาณ 7-8 ข้อ ที่คนพม่าก็บอกว่าเค้าว่ากันมาแบบนี้ หากอยากรู้ต้องลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง

เจดีย์ชเวซิกอง เจดีย์ ที่เป็นต้นแบบของเจดีย์แบบมอญอีกหลาย ๆ เจดีย์

เมื่อก่อนนี้ที่ชาวพม่าจะมานับถือศาสนาพุทธ ก็มีการนับถือผีนัต แต่ละตนก็มีอิทธิฤทธิ๋แตกต่างกันไป แต่รูปผีนัตยังมีมาอยู่ถึงปัจจุบันนี้ คนพม่าเวลาไหว้พระที่บ้าน ส่วนมากก็จะบูชาผีนัตไปด้วย แต่ก็คงเหมือนที่เรามีศาลพระภูมิละมั้ง ใครจะบูชาผีนัตตนไหนก็บูชากันไป

ที่เจดีย์ชเวซิกองนี้ยังเป็นที่เดียวในพม่า ที่มีรูปผีนัตครบ 37 รูป ต้องเดินเข้าไปหลังวัดหน่อย ฉันก็มองหาอยู่เป็นนาน อยู่ไหนนะนี่ เดินจนจะเข้ากุฏิหลวงพี่อยู่แล้ว เดี๋ยวพระท่านจะแตกตื่นเอา ปรากฎว่าวิหารผีนัตนั้นเป็นอาคารปูนเล็ก ๆ ง่าย ๆ ถ้าคนเข้าไปข้างในพร้อมกันซัก 20 คนก็เต็มแล้ว ด้านหน้ามีป้ายเขียนว่า 37 Nats ด้านในก็มีรูปสลักทำจากไม้จำนาน 37 รูป แต่ถ้าไม่รู้ว่าใครเป็นใครก็ไม่อินเท่าไหร่ บางรูปก็ผุพังไปมากแล้วด้วย มีขนาดเล็กใหญ่ หลายไซส์มาก บางรูปก็สูงเกือบเท่าคนจริง บางรูปก็เล็กๆขนาดพระพุทธรูปบูชาทั่วไป แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรอลังการนะ แต่ไหน ๆ เข้าไปแล้วก็แวะไปดูซักหน่อย

และมีอีกมากมายหลายแห่ง ที่ถ้าจะให้การเที่ยวพุกามให้สนุก แนะนำให้หาหนังสือที่เกี่ยวกับเมืองพุกามโดยตรงมาอ่านประกอบการท่องเที่ยวด้วย จะได้อรรถรสมากขึ้นหลายเท่าตัว ส่วนในเล่มนี้คงจะไม่ขอเน้นตรงนี้มาก เพราะตัวเองก็ไม่ค่อยสันทัดตรงนี้เท่าไหร่ เดี๋ยวเล่าผิดเล่าถูกไปจะซวยเอาได้ ขอเน้นเฉพาะรายละเอียดในการเที่ยวด้วยตัวเองทั่ว ๆ ไปก็แล้วกันนะ

โมฮิงก่าข้างวัด บะหมี่ผัด

เราออกจากวัดมาก็มองหาอะไรกิน เห็นร้านข้างทางหน้าตาเหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวเรือบ้านเรา ไม่ได้ตกแต่งอะไร พื้นก็เป็นดินเกลี่ยให้เรียบ โต๊ะเก้าอี้พลาสติก โลโซแต่เก๋ แล้วลูกค้าที่นั่งอยู่แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นคนพม่า ก็เลยคิดว่าคงไม่แพง ไม่เหมือนร้านนักท่องเที่ยวร้านอื่นก็เลยแวะกินที่นี่แหละ เราสั่งก๋วยเตี๋ยวแบบรัญฉานมากินกันคนละชาม เค้าก็ให้น้ำแกงมาซดด้วย 1 ถ้วย แถมเครื่องเคียงที่หน้าตาเหมือนกุนเชียง แต่เล็กเท้านิ้วก้อยเห็นจะได้ น้ำชาก็มีให้ในกาบนโต๊ะ อร่อยมากกกกกก ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ เป็นครั้งแรกที่กินอาหารพม่าแล้วพบว่ามันอร่อยจริง ๆ มันหอม รสชาติกำลังดีด้วย แต่แทบจะสำลักตอนคิดเงินนี่แหละ เพราะคิดเราถึง 1800 จ๊าต เล่นเอาเราสะอึก ฉันก็ถามเจ้าของร้านที่เป็นผู้หญิงวัย 20 ปลาย ๆ ว่าทำไมแพงขนาดนี้ คนอื่นกินกันชามละ 200-300 จ๊าตเอง ทำไมเรากิน 2 ชามปาเข้าไปตั้ง 1800! เธอไม่ตอบว่าอะไร ได้แต่หัวเราะแฮ่ะ ๆ เราเลยต้องเสียค่าโง่ไป โทษฐานที่กินเข้าไปแล้วโดยไม่ถามราคาก่อน แต่ก็ดีนะ ที่มันอร่อย ไม่งั้นคงแค้นกว่านี้ จากนี้ไปได้บทเรียนว่าจะกินอะไรไม่ว่ามันจะดูว่าไม่แพงแค่ไหน ต้องถามราคาก่อนทุกครั้ง

โมฮิงก่า โคตรอร่อย แต่ต้องเสียค่าโง่เพราะดันไม่ยอมถามราคาก่อน

ตอนค่ำเราไปกินแพนเค้กที่ร้านตรงข้ามโรงแรม กะว่ากินเล่น ๆ แต่ได้แพนเค้กมาชิ้นเท่าฝาโอ่ง แถมยังให้ข้าวเกรียบมากินเล่นฟรีด้วย นี่ยังแค่ 600 จ๊าตเอง แม้แต่ร้านที่ขายนักท่องเที่ยวแบบนี้ แต่ละร้านราคาก็ต่างกันมาก ให้สังเกตุที่ราคาข้าวผัด ราคาเบสิค ๆ จะอยู่ที่ประมาณ 1000-1500 จ๊าต (จานใหญ่มากกินได้ 2 คนเลย) หรือไม่ก็ลองดูที่บะหมี่ผัดหรือที่เค้าเรียกว่า โชเมง ผัดธรรมดาใส่ไข่จะอยู่ที่ประมาณ 600 จ๊าต ราคานี้ปรกติมาก ๆ แต่บางร้านอัพราคาไปถึงจานละ 2000 จ๊าต จะดูว่าร้านไหนแพง ดูที่ราคาบะหมี่ผัดโชเมงช่วยท่านได้ เพราะเป็นเมนูที่ถูกที่สุดของร้านเกือบทุกร้าน

ตะวันตกดินที่พุกาม

พอพลบค่ำนักท่องเที่ยวก็จะพากันขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดิน (ตกแม่น้ำมากกว่า) บนเจดีย์กัน มีไม่กี่เจดีย์ที่ยังให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปได้ นอกนั้นจะปิดห้ามขึ้นเกือบหมด เนื่องจากความปลอดภัยด้วยประการหนึ่ง และเป็นการป้องกันความชำรุดเสียหายที่จะเกิดกับเจดีย์ถ้ามีคนแห่กันขึ้นไปมากเกินไป แต่ที่น่าเศร้าใจคือเมื่อไหร่ที่ "หอดูวิว" ของรัฐบาลเสร็จ เวลามองไปรอบ ๆ เห็นเจดีย์สวย ๆ แล้วมีไอ้หอบ้า ๆ นี่โผล่ขึ้นมา มันคงน่าทุเรศพิลึก ทุก ๆ วันประมาณ 5-6 โมงเย็น นักท่องเที่ยวก็จะไปจับจองที่บนเจดีย์ รอดูพระอาทิตย์ตกกันอย่างใจจดใจจ่อ แต่พระอาทิตย์หายลับขอบฟ้าไปปุ๊บ ทุกคนก็ลุกกันพรึบพรับยังกะตอนหนังเลิก แหม่ กำลังเพลิน ตกใจหมดเลย




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 23 กรกฎาคม 2549 14:14:52 น.
Counter : 1151 Pageviews.  

วันที่ 3 - เมืองพุกาม

วันที่ 3 : ศุกร์ 19 ธันวาคม 2546
เมืองพุกาม


10 ดอลล่าร์นะจ๊ะ


ประมาณตี 5 ก็ต้องตื่นแล้ว เพราะเข้าเขตบะกันหรือพุกามแล้ว นั่นหมายถึงชาวต่างชาติต้องจ่ายคนละ 10 ดอลล่าร์เป็นค่า "บำรุง"สถานที่ บนรถก็มีฝรั่ง 1 ญี่ปุ่น 3 ไทย 1 ทุกคนถูกปลุกให้ลงมาที่ออฟฟิศขายตั๋ว ยกเว้นฉันคนเดียวที่แม้จะอุตส่าห์เดินตามลงไปยืนเสนอหน้าถึงด้านล่างยังไม่มีใครสนใจอีกตามเคย

"อ้าว ลงมาทำไมล่ะ" เบิร์ตถามหน้าตาเฉย
"เอ๊ะ ก็ชั้นไม่ใช่คนพม่านี่"
"หน้าเหมือนจะตาย ไม่เป็นไรหรอก"
"เฮ้ยเอาจริงดิ จ่ายดีไม่จ่ายดีเนี่ยตั้ง 10 ดอลล่าร์ให้รัฐบาลเชียวนะ" ใจจริงก็ไม่อยากจ่ายหรอกนะน่ะ
"เธอก็ไม่ต้องจ่าย? หรือเอาไง"
"ไม่รู้อะ เค้าจะเช็คหรือเปล่า?"
"อ่านจากเวบเค้าว่าไม่มีใครเช็คตั๋วนะ แต่ที่เกสต์เฮาส์อาจจะเช็ค"
"งั้นก็จ่ายๆไปเหอะ มันเลี่ยงไม่ได้หนิ เดี๋ยวเค้าจับได้เสียชื่อคนไทยหมด หาข้ออ้างไม่ได้ซะด้วย เอ๊ะหรือจะอ้างว่าตอนเข้ามาเค้าไม่ได้ปลุกดีหว่า? วะ อย่าเลยๆ จ่ายก็จ่าย เฮ้อ"

ฉันเลยเดินคอตกเข้าไปในออฟฟิศซึ่งเป็นห้องเล็ก ๆ คล้ายป้อมตำรวจตามสี่แยก มีญี่ปุ่น 3 คนยืนอยู่แล้ว 1 ในนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่พูดไม่หยุดตั้งแต่เริ่มเดินทางยกเว้นก็ตอนหลับเท่านั้น ดูแล้วก็ตลกดี ตอนนี้ก็บ่นอีกแล้ว แถมบ่นเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยก็ไม่รู้จะมีใครเข้าใจมั้ย แต่ได้ยินคำว่า "รัฐบาลๆ" คงจะเซ็งเหมือนกันที่ต้องจ่ายให้รัฐบาลตั้งเยอะ แล้ววัน ๆ นึงไม่รู้มากันกี่คนน่ะนักท่องเที่ยว แถมยังกรุ๊ปทัวร์อีก คิดดูว่าวันนึงรัฐบาลมีรายได้เท่าไหร่แค่เก็บค่าเข้าที่พุกามที่เดียว

"คนไทยหรือครับ" เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดขายตั๋ว ส่วนญี่ปุ่นยังบ่นอยู่
"ค่ะ"
"ขอพาสสปอร์ตด้วยครับ และ 10 ดอลล่าร์ครับ" จำต้องยื่นให้ไปด้วยความเสียดาย เงินค่าเข้าชมนี้จ่ายครั้งเดียว จะอยู่วันเดียวหรือมากกว่า 1 วันก็จ่ายครั้งเดียว ตราบใดยังไม่ออกนอกเมืองพุกาม

สถานีรถบัสที่พุกาม

รถบัสแล่นมาจอดสถานีเล็ก ๆ ของพุกามซึ่งเป็นอาคารแถวชั้นเดียว แบ่งเป็นห้อง ๆ ราว 5-7 ห้องสำหรับขายตั๋วโดยสาร ที่ลานจอดรถซึ่งเกลี่ยดินให้เรียบเป็นอันใช้ได้ มีรถบัสจอดอยู่บ้างแล้ว ตอนนี้ก็ยังเช้ามืดอยู่ คนเริ่มทยอยลงจากรถ ตามคาดพอคุณเบิร์ตลงจากรถปุ๊บคนก็รุมปั๊บ
"รถม้ามั้ยๆ"
"มีที่พักหรือยังครับ นี่ๆดูโบรชัวร์ก่อนได้นะ"
"สามล้อมั้ย"
ส่วนฉันเดินไปที่ห้องสัมภาระ เหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นหลังดังแอ้ก จนเดินกลับมาที่เบิร์ตแล้วก็ยังไม่มีคนสนใจ หน้าตาบ้าน ๆ นี่มันก็ดีอย่างนี้นี่เอง

"ไปที่ไหนดี" ฉันตะโกนถามเบิร์ตผ่านวงล้อมของสามล้อและคนขับรถม้า
"ไม่เอาแถวตลาดดีกว่าเนอะ วุ่นวาย หนวกหู เอาแถว ๆ นี้ก็แล้วกัน"
"ไกลมั้ย"
"ไม่ไกลหรอก เดินประมาณ 10 นาที มีอยู่ถนนนึงมีที่พักเยอะเหมือนกัน เดี๋ยวขอดูแผนที่แป๊บนึง" ฉันก็เลยเดินร่อนไปร่อนมาเหยียดแข้งเหยียดขาซักหน่อย


รูป : ม้าชื่อมูมูกับเจ้าของชื่อโจโจ

"ฮัลโหล" ชายพม่าอายุราวๆ 20ต้น ๆ หันมาคุยด้วย "มาจากไหนครับ" กะว่าจะตอบว่าอุรุกวัย แต่ไม่อยากแกล้งคนตั้งแต่เช้าก็เลยตอบไปตามตรงว่ามาจากเมืองไทย
"อ๋อออ กรุงเทพเหรอครับ" เค้ายิ้มให้อย่างเป็นมิตร
"ค่ะเคยไปมั้ย"
"ไม่เคยหรอก แล้วคุณล่ะมาเมียนมาร์กี่ครั้งแล้ว"
"ฉันก็ไม่เคยมาที่นี่เหมือนกันน่ะมาครั้งแรก" นี่เห็นไม่มีพิษมีภัยนะ ไม่งั้นไม่บอกซะให้ยากหรอกว่ามาครั้งแรก
"จะพักที่ไหนเหรอ ถ้าไม่ไกลคุณเดินไปก็ได้นะ บอกเพื่อนคุณด้วยล่ะว่าเดินไปดีกว่า ไม่ต้องนั่งรถม้าหรืออะไรหรอก"
"เอ ทำไมละคะ"
"หว่านพืชก็ต้องหวังผลกันทั้งนั้นแหละครับ พวกที่บอกว่าบริการส่งโรงแรมฟรีน่ะเค้าก็อยากให้คุณเหมารถม้าเค้าทัวร์ชมเมืองพุกามทั้งวัน"
"อ๋อ ค่ะ เดี๋ยวจะคุยกับเพื่อนดูก่อน" เบิร์ตกวักมือเรียกพอดี เลยขอบคุณหนุ่มพม่าคนนั้น เค้าก็ยิ้มตอบแล้วเดินจากไป

โรงแรมยาคินตาและคนขับรถม้า

แล้วเราก็นั่งรถม้ามาจนได้ เพราะคนขับเสนอไปส่งให้ฟรีที่โรงแรมสร้างใหม่ชื่อ "ยาคินตา" แปลว่าทำเลดี อะไรทำนองนั้น ซึ่งไม่ไกลจากสถานีรถบัสมากนัก อยู่ในระยะที่เดินได้ ราคาห้องพักเตียงเดี่ยว 2 เตียง คืนละ 10 ดอลล่าร์ หาญ 2 ก็คนละ 5 ดอลล่าร์ก็โอเค ห้องสะอาดมากแม้แต่ห้องน้ำก็มีกระทั่งอ่างอาบน้ำ! ยังอยู่ในงบประมาณคือจะไม่พักที่ที่แพงกว่าคนละ 6 ดอลล่าร์เด็ดขาดที่นี่นับว่าโอเคมาก
"10 ดอลล่าร์นี่รวมอาหารเช้าด้วยใช่มั้ยครับ" เบิร์ตถามรีเซปชั่นที่พาเราขึ้นมาดูห้อง
"ใช่ครับๆ รวมทั้งอาหารเช้าวันนี้ด้วย เดี๋ยวจะพาไปดูดาดฟ้าที่ทานอาหารนะครับ" โอ เยี่ยม

ตกลงเรื่องห้องเสร็จ ฉันก็จัดแจงวางเป้ไว้มุมห้อง ถอดรองเท้าเปลี่ยนเป็นอีหนีบ หันไปยังเจอพ่อคนขับรถม้ากับหนุ่มรีเซปชั่นร่างเล็กยังยืนอยู่ในห้อง
"อ้าวว่ายังไงคะ"
"คือเค้าอยากรู้ว่าคุณ 2 คนอยากจะเหมารถม้าทัวร์พุกามหรือเปล่าน่ะครับ" รีเซปชั่นช่วยบอก
"เอ ยังไม่ทราบเลยครับ อาจจะเช่าจักรยานก็ได้ แต่ต้องดูก่อนครับ" เบิร์ตตอบ หันมามองหน้าฉันเหมือนจะขอความเห็น
"ไม่รู้ ๆ ขอคิดดูก่อนเพิ่งมาถึงจะให้ตกลงจ้างเดี๋ยวนี้เลยเรอะ" ฉันพูดเบาๆ

"ถ้าเหมารถม้าพร้อมคนขับด้วยก็วันละ 6000 จ๊าตครับ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกดินเลย ก็จะพาดูทั่วเลยครับเพราะเค้าจะรู้จักสถานที่ดี" เอ รีเซปชั่นไม่อยากจ่ายค่านายหน้าให้คนขับรถม้าหรือยังไงหว่าถึงช่วยขายกันจังเลยแฮะ
"ใช่ๆ ผมจะพาดูทั่วเลย บางทีถ้าประตูล็อคผมรู้จักคนให้ช่วยเปิดประตูให้ได้ด้วยนะ" นี๊..เป็นไงล่ะ มีเส้นซะด้วย แต่เราสองคนยังอึ้งอยู่ ขอเวลาคิดก่อนจะได้ไหมละน้องเอ๊ย เพิ่งลงมาจากรถบัส ยังไม่ทันได้เกาหัวเลยด้วยซ้ำ

"อืม ถ้าไม่ตกลงจ้างเค้าก็ไม่เป็นไรนะครับเค้าจะได้ไปหาลูกค้าอื่นต่อ" รีเซปชั่นคนเดิมบอก
"อ๋อค่ะ งั้นคงยังจะไม่จ้างล่ะค่ะขอโทษที" แต่หนุ่มรถม้าไม่ไปง่าย ๆ พูดอะไรต่อมิอะไรอีกเพียบ แต่บอกตามตรงว่าภาษาอังกฤษเค้าฟังยากถึงยากมาก นี่เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่อยากจ้าง เราไม่ได้ต้องการคนที่ภาษาอังกฤษเริ่ด แต่ขอให้ฟังออกว่าเค้าพูดว่าอะไรก็พอแล้ว นี่คิดดูว่ายังไม่ได้ออกไปไหนเลยก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องซะแล้ว และหนุ่มรถม้าก็ยอมแพ้ แต่ยังทิ้งท้ายไว้อีกหน่อย
"ถ้าเปลี่ยนใจผมก็จะอยู่แถว ๆ หน้าสถานีรถบัสแหละนะ" จ้า ๆ..

อาหารเช้ามื้อแรกที่พุกาม


ทำธุระเรียบร้อยก็ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดาดฟ้าโรงแรม (โรงแรมมีประมาณ 4 ชั้น ไม่สูงมาก) แต่ดาดฟ้าเค้าจัดไว้อย่างน่ารัก คือมีหลังคาเปิดโล่ง มีร่มปักอยู่ในโอ่งดินเผาขนาดย่อม ปลูกต้นไม้ไว้ตามมุม ดูแล้วสบายตาสบายใจดี ราว ๆ 7 โมงถึงจะเสิร์ฟอาหารเช้า ซึ่งก็เหมือนมาตรฐานทั่วไป คือไข่ 1 ฟอง กาแฟหรือชา มาการีน แยม และน้ำส้ม แต่เซ็งชะมัดเลยที่นี่เค้าไม่ใส่ซอสอะไรทั้งสิ้น ไอ้ซอสมะเขือเทศที่ฉันชอบก็เลยลืมไปได้เลย มีแต่เกลือกับพริกไทย

ม้าชื่อมูมู


และไม่น่าเชื่อว่ากินเสร็จ ก็นอนอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่บนรถก็หลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอด ตื่นมาอีกทีก็เกือบบ่ายเข้าไปแล้ว ได้เวลาย้ายก้นออกไปดูโลกภายนอกบ้าง ออกมาหน้าโรงแรมก็เป็นถนนยาว สองข้างทางถ้าไม่ใช่ร้านขายของที่ระลึกก็เป็นร้านอาหาร มีทั้งที่เป็นที่นิยมของคนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น และร้านที่เจาะจงนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ร้านขายของก็มีตั้งแต่เสื้อยืด ย่าม ภาพวาด เครื่องเขินซึ่งที่นี่มีชื่อมาก (ก็ได้รับการถ่ายทอดความรู้มาตั้งแต่สมัยที่กวาดต้อนช่างฝีมือชาวไทยไปเมืองพุกามตั้งแต่ครั้งเราเสียกรุงนั่นแหละ)

รูป : อลังการมั้ยล่ะ เจดีย์ที่พุกาม

เดินเตร่ไปเตร่มาก็มีชายวัยประมาณ 40 ต้นๆ ร่างเล็กเดินตีคู่มาติดๆ
"ฮัลโหล สบายดีมั้ย"
"สบายดีครับ" เบิร์ตตอบไปตามมารยาท
"สนใจนั่งรถม้าชมเมืองพุกามมั้ย" เราสองคนก็ได้แต่ยิ้ม ๆ
"นี่ ม้าของผมชื่อมูมู" เค้าหัวเราะแบบอารมณ์ดีชี้ไปที่เจ้ามาสีน้ำตาลที่ยืนสะบัดหางอยู่ไกล ๆ "ผมพาดูได้ทุกที่นะครับ" น้าแกไม่เคยหยุดยิ้มเลย
"แล้วคิดราคายังไงละครับ" เบิร์ตถาม
"7 พันจ๊าตน่ะ ทั้งวันเลยนะจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน"
"แหม แพงจัง คนเมื่อเช้าเค้าเสนอ 6พันเองนะลุง" ลุงแกไม่ว่าอะไรได้แต่หัวเราะ "ไม่แพงหรอกจริง ๆ นะ ทั้งวันเลยนะ นี่ จะพาไปดูทั่วเลย แล้วเดี๋ยวนี้เค้าไม่ให้ปีนขึ้นด้านบนแล้วนะ มีบางวัดเท่านั้นที่ปีนขึ้นไปดูได้ เดี๋ยวผมจะพาไปเอง"

เบิร์ตเลยหันมาถามความเห็นว่าเอาไงดี
"แต่อย่างน้อยภาษาอังกฤษเค้าก็ฟังง่ายกว่าคนเมื่อเช้านะ" ฉันออกความเห็น
"เออก็จริง"
"งั้นลองจ้างครึ่งวันวันนี้ก่อนดีมั้ย"
"เอางั้นก็ได้" เลยตกลงกับลุงแกว่าวันนี้ครึ่งวันก่อนก็แล้วกัน แต่เดี๋ยวขอไปทานข้าวกลางวันก่อน
"ได้ๆ ไม่ต้องรีบก็ได้นะ โนพร็อบเบล็ม"
เราก็เลยเดินไปหาของใส่ท้องอีกแล้ว ส่วนลุงแกก็เดินกลับไปเอารถม้าและเจ้ามูมูซึ่งกำลังจ้องจะกินใบมะม่วงแถวนั้นอยู่ อาหารกลางวันไม่พ้นบะหมี่ผัดอีกแล้ว เพราะมันทั้งถูกทั้งกินง่ายและไม่ต้องรอนาน มื้อนี้ 2 คนจ่ายไป 1500 จ๊าต

เริ่มต้นรถม้าทัวร์พุกาม

รูป : อีกมุมหนึ่งของเจดีย์

เราปีนขึ้นไปบนรถม้าที่ออกจะใกล้เคียงกับเกวียนซะมากกว่าแต่เปลี่ยนจากเอาวัวควายลากมาเป็นม้าแทน ที่นั่งนี้เป็นไม้ทั้งคันเดิมๆก็ไม่มีอะไรบุหรอกแต่พอเริ่มให้บริการนักท่องเที่ยวก็มาการเอาเบาะนุ่มๆมาวางเป็นที่นั่งและพนักพิง ส่วนหลังคานั้นพับเก็บได้เหมือนหลังคาสามล้อถีบ ต้องนั่งข้างหน้าข้างๆคนขับคนนึง และนั่งข้างหลังคนนึงแบบหันหลังชนกันก็ได้ หรือจะนอนก็ได้ตามสบาย ปล่อยให้มามันวิ่งกุบกับ ๆไปเรื่อย ๆ เออมันก็เพลินดีไปอีกแบบ
"ว่าแต่...เอ่อ..ชื่ออะไรคะ"
"ผมชื่อโจโจ" คุณน้าตอบ ยิ้มเห็นฟันแดงด้วยน้ำหมาก ต่อไปนี้จะเรียกเค้าว่าน้าโจโจก็แล้วกัน

รูป : อีกมุมของเจดีย์

บรรยากาศรอบ ๆ นี่น่าพิศวงอีกแล้ว เพราะมันคือทะเลทรายดี ๆ นี่เอง ต้นไม้ตระกูลตะบองเพชรนี่ขึ้นกันแน่นเป็นกอใหญ่ มีบ่อย ๆ ที่ทางสำหรับรถจักรยานหรือรถม้า สองข้างทางนั้นมีแต่ตะบองเพชรไม่ค่อยมีต้นไม้อื่น พื้นดินก็เป็นดินทรายแห้งแล้ง แดดร้อนเปรี้ยง แต่ม้ามูมูยังดูสบายอารมณ์อยู่
"แถวนี้ปลูกอะไรไม่ค่อยได้หรอก" น้าโจโจว่า พลางชี้ไปที่ต้นงาที่ชาวบ้านปลูกไว้เป็นบริเวณกว้างพอสมควร "ก็เลยต้องปลูกงา เพราะปลูกข้าวไม่ได้ มันแล้ง"

น้าพาเราเข้าวัดนู้นออกวัดนี้ไม่รู้กี่วัดต่อกี่วัน สงสารมูมูมันเหมือนกันนะเนี่ย พอพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินน้าโจโจก็พาเราไปที่วัดที่ยังอนุญาตให้คนปีนขึ้นไปด้านบนได้ บันไดทั้งสูงทั้งชัน ไม่กล้าหันหลังกลับมามองเลย ต้องปีนๆๆขึ้นไปก่อน เบิร์ตนั้นไวปานลิง ปีนขึ้นไปก่อน แล้วไปยืนร้อง "ว้าววว" ฉันเพิ่งจะปีนขึ้นมาถึง

"ค่อย ๆ นะ เอาละ ทีนี้หันหลังกลับไปดูนะ" เบิร์ตพูดด้วยความตื่นเต้น ฉันหาที่ยืนเหมาะ ๆ ได้แล้วจึงหันหลังกลับไปดู แล้วก็ต้องอึ้งกับภาพที่เห็น เจดีย์นับพัน ๆ องค์ เหมือนมีใครมาจับวางตรงนู้นนิด ตรงนี้หน่อย เห็นเป็นองค์เล็ก ๆ คล้ายเมืองจำลองต่างก็แต่ว่านี่คือของจริง เจดีย์จริง โบราณจริง ถึงแม้บางได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวความรุนแรงระดับ 6.5 ริคเตอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1975 ต้องบูรณะกันเป็นการใหญ่ แต่หลักฐานความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรพุกามในอดีตก็ยังคงอยู่ ต้องนับถือฝีมือคนเมื่อหลายร้อยปีก่อนสร้างเอาไว้ด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นภาพที่น่าทึ่งมากจริง ๆ ถึงจะถ่ายรูปมาก็ไม่เหมือนความรู้สึกที่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นเอง มันขนลุก..

รูป : เบิร์ตกับน้าโจโจ

แล้วช่วงพระอาทิตย์ตกดินนี่ก็ถือว่าเป็นไฮไลท์อีกอย่างของการมาเยือนพุกาม พอพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ นักท่องเที่ยวก็จะเริ่มทยอยกันปีนขึ้นไปรอชมพระอาทิตย์ตกดินบนเจดีย์ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ไม่กี่เจดีย์ที่ยังอนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวได้ คิดว่าอีกไม่นานคงจะไม่อนุญาตให้ขึ้นไปสูง ๆ อีก เห็นทางรัฐบาลให้สร้างหอคอย "สำหรับดูวิว" โดยเฉพาะ เห็นไกล ๆ ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง พอเสร็จแล้วคงดูประหลาดพิลึกเพราะดูเหมือนสิ่งแปลกปลอมสมัยใหม่ท่ามกลางมหานทีเจดีย์แห่งนี้ คงจะทำลายทัศนียภาพไปมากเมื่อสร้างเสร็จ (แค่สร้างไม่เสร็จก็ทำลายไปมากแล้วเหมือนกันแหละ ดูเจดีย์อยู่ดี ๆ หันไปเจอหอคอยอัปลักษณ์ตั้งโด่เด่มาจากไหนไม่รู้)

ทางขึ้นไปด้านบนของเจดีย์นั้น ส่วนมากจะต้องเดินขึ้นทางช่องบันไดที่อยู่ภายในซึ่งค่อนข้างแคบและมืด เพราะฉะนั้นควรจะนำไฟฉายติดเป้ไว้ด้วย เผื่อต้องใช้งานก็จะได้หยิบฉวยมาใช้ได้ทันใจ

ฝรั่ง 1 ตัว

พระอาทิตย์ตกที่นี่นับได้ว่าน่าประทับใจมาก ดูเหมือนพระอาทิตย์ดวงกลมโตค่อย ๆ หย่อนตัวเองลงแม่น้ำอิระวดีอย่างขี้เกียจ ๆ เหมือนจะบ่นว่า
"เฮ้อ หมดไปอีกหนึ่งวัน"
ฝรั่งบางคู่อินจัดในบรรยากาศ ถึงกับไปยืนสวีทหวานแหววจูบกันบนเจดีย์ คนเมืองพุทธอย่างเราเห็นแล้วก็อดไม่ได้ต้องกระแอมดัง ๆ ให้ได้อายกันบ้าง (แต่ดูฝรั่งจะไม่สนใจ) มิน่าล่ะ อ่านจากหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง(ขออภัยที่จำชื่อหนังสือไม่ได้) ที่ร้านหนังสือเก่าชื่อ บะกันบุ๊คช๊อป ที่ย่างกุ้ง ก็ไม่รู้ว่าทุกวันนี้เค้ายังมีความเชื่อนี้อยู่หรือเปล่า เพราะหนังสือที่อ่านนั้นเป็นหนังสือที่มีอายุค่อนข้างเกือบจะโบราณแล้ว เป็นฉบับถ่ายเอกสารเพราะต้นฉบับนั้นเก่ามาก เค้าว่าคนพม่าเนี่ยมีความเชื่อว่าคนต่างชาติที่ไม่มีบุญวาสนาได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนานั้นน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับใช้สรรพนามที่ใช้เรียกสัตว์ (เหมือนกันคำว่า "ตัว" ในภาษาไทย) เช่น ฝรั่ง 1 ตัวอะไรทำนองนั้น ฝรั่งอย่างเบิร์ตอ่านเจอถึงกับอึ้งปนขำว่า แหม เล่นมาเรียกกันแบบนี้ก็แย่น่ะซี แต่กับฝรั่งคู่นั้นที่ไปดูดดื่มกับบนเจดีย์แบบไม่รู้จักกาลเทศะ เรียกว่า 2 ตัวจะได้ไหมนะ

รูป : อีกรูปกับยามโพล้เพล้ แสงสวยมากๆ ต้องไปดูเอง

ชมหุ่นกระบอก


ที่พุกามจะมีโชว์การแสดงหุ่นกระบอก อันเป็นศิลปะซึ่งเป็นมรดกตกทอดเก่าแก่อย่างหนึ่งของพม่า ซึ่งปัจจุบันหาดูได้ยาก จะจัดขึ้นเนื่องในโอกาสพิเศษเท่านั้น เช่น แสดงต้อนรับแขกสำคัญของรัฐบาล ซึ่งนักท่องเที่ยวธรรมดา ๆ อย่างเราก็หาชมได้จากร้านอาหารใหญ่ ๆ ที่เน้นลูกค้าต่างชาติ ที่พุกามนี้ก็มีอยู่ 2 ร้านด้วยกัน ร้านแรกคือร้าน "นันดา" ซึ่งจัดตกแต่งร้านอย่างหรูหราอลังการ เอาเป็นว่าพนักงานต้อนรับใส่ชุดออกงานกันเต็มยศเลย ส่วนร้านที่สองอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมยาคินตามากนัก ตั้งอยู่บนถนนเดียวกัน ร้านนี้จะเป็นแบบเปิดโล่ง เล่นกันใต้แสงดาวกันไปเลย ส่วนค่าชมนั้นไม่ต้องเสียเพิ่ม แค่เข้าไปสั่งอาหารเครื่องดื่มก็พอ

ไหน ๆ ก็มาทั้งทีแล้ว จะไม่ชมหุ่นกระบอกก็กระไรอยู่
"ดูเหอะนะ มาถึงนี่แล้วน่ะ" ฉันลงทุนอ้อนวอนแกมขู่เข็ญ
"โห ดูร้านเด่ะ ยังกับวัง จะหมดตัวมั้ยเนี่ย"
ต้องกล่อมคุณชายเบิร์ตเธออยู่นานพอสมควรว่าเธอจะยอมเข้าไปแต่โดยดี

ทางร้านจัดเวทีขนาดย่อม ๆ ไว้ 2 เวที เวทีหนึ่งอยู่ด้านใน แต่อีกเวทีหนึ่งอยู่ถัดออกมาทางหน้าร้านและเป็นบริเวณเปิดโล่งไม่มีหลังคา แต่คืนนี้เค้าแสดงที่เวทีด้านใน ตอนที่เราเข้าไปนั้นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่นั่งกันอยู่แล้วที่โต๊ะหน้าสุดติดขอบเวทีเลย ทุกคนดูจะไฮโซกันไปซะหมด แต่งตัวเหมือนผู้ดีกำลังจะออกไปท่องซาฟารียังไงยังงั้น ไม่มีซักคนที่สวมรองเท้าแตะ ไม่เหมือนเราเลย แถมวันนี้ยังเดินเท้าเปล่าเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย

ซักพักเมนูก็มา พร้อมกับของว่างคือข้าวเกรียบเหมือนเคย แต่ข้าวเกรียบแต่ละร้านนี่ก็ต่างกันไป บางร้านก็ไม่อร่อยแต่จะบ่นไปทำไมในเมื่อมันฟรีนี่นา แถมที่นี่หมดแล้วเติมให้ตลอดอีกต่างหาก แขกคนอื่นเริ่มทยอยเข้ามา เรายังโชคดีที่ได้ที่นั่งที่ใกล้เวที จริง ๆ จะนั่งใกล้นั่งไกลก็ไม่สำคัญ ยังไงก็ดีกว่าไม่มีที่จะนั่ง เพราะแขกที่มาตอนการแสดงเริ่มไปได้ซักพักนั้นที่นั่งไม่มีแล้ว ต้องยืนรอ

คณะหุ่นกระบอกเตรียมการแสดงมาหลายชุดเหมือนกัน มีทั้งตัวละครที่เป็นคนและสัตว์ เป็นม้าก็มี ลิงก็มี ประกอบดนตรีพื้นเมือง ก่อนการแสดงแต่ละชุดมีคำบรรยายสั้น ๆ เป็นภาษาอังกฤษแต่ฟังยังไงก็ไม่ออกเพราะเสียงมันอู้อี้เต็มทน เลยได้แต่นั่งดูหุ่นกระบอกประกอบเพลงไป บอกตามตรงว่าตัวหุ่นนั้นสวยงามดี แต่ลีลาท่าทางนั้นออกจะดูแข็ง ๆ กระชากกระชั้นยังไงบอกไม่ถูก คือกระโดดไปกระโดดมา ไอ้ตอนที่มีสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องนี่ค่อยสนุกหน่อย ม้าตีลังกาเงี้ย ลิงม้วนตัวเงี้ย นับถือ นับถือ

เช็คบิลค่าอาหารออกมาแล้วประมาณ 5000 จ๊าต ไม่ถึงกับแพงแต่ก็ไม่ถูก(แต่ถูกกว่าค่ารถม้า) แต่อาหารเค้าอร่อยดี เป็นพวกไก่ทอดน้ำผึ้ง แกงเผ็ด ๆ และอีกอย่างคือห้องน้ำสะอาดม้ากกกก..และทำซะอย่างสวยจนแทบไม่กล้าใช้ ตามทางเดินก็อุตส่าห์เอาเทียนมาเรียงจุดไฟให้สว่างเป็นจุด ๆ คลาสสิคเป็นที่สุด (ส่วนค่าคลาสสิคนั้นก็รวมอยู่ในบิลค่าอาหารนั่นแล้วไง)

พอการแสดงจบ ผู้เชิดหุ่นและศิษย์ก็ออกมาขอบคุณผู้ชมที่ปรบมือให้กันเกรียวกราว ทุกคนแต่งกายแบบเป็นทางการคือนุ่งโสร่งหรือ "ลงจี" อย่างประณีต..สวมเสื้อนอกของผู้ชายหรือ "ไต้ปุ่ง" และผ้าโพกหัวที่ภาษาพม่าเรียกว่า "คองบอง" ดังที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ในหนังในละครถ้ามีผ้าโพกหัวละก็ใช่เลยพม่าแน่นอน

ออกมาด้านหน้าร้านก็จะเป็นร้านขายหุ่นกระบอกด้วย มีหลายแบบหลายขนาดให้เลือก ซึ่งตัวใหญ่สุดที่แขวนโชว์อยู่ในร้านนั้นขนาดเท่าคนจริง! เลยลองไปยืนดูใกล้ ๆ ด้วยความสนอกสนใจ พอหันซ้ายหันขวาไม่เห็นใครในร้าน หันไปมองหน้าหุ่นอีกที ขนมันก็เริ่มลุกเกรียวอีกแล้ว เพราะเหมือนคนจริงๆ ถูกแขวนไว้ แล้วหน้าขาว ๆ ส่งยิ้มให้ เหวอออออออ!! ว่าแล้วก็วิ่งจู๊ดออกไปนอกร้าน ดีกว่าอยู่คนเดียวโด่เด่

รูป : พระอาทิตย์ตกดินที่พุกาม

ทะเลดาวที่พุกาม

แขกเริ่มทยอยออกจากร้านเพื่อกลับที่พัก ส่วนมากจะมีรถเก๋งมารอรับหรือไม่ก็รถม้า ส่วนเราสองคนซำเหมาสุด ๆ เดินกลับโรงแรม ไม่ใช่ว่าใกล้นะน่ะ แต่ก็อยู่ในระยะที่เดินได้ และอากาศก็กำลังเย็นสบายก็เลยเดินไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร ถึงรอบ ๆ จะมืดหมดแล้วแต่ก็ไม่รู้สึกว่าน่ากลัวอะไร กลัวอย่างเดียวคือกลัวคนจะขี่จักรยานมาเสยมากกว่าเพราะมืดแทบมองไม่เห็น พอแสงไฟไม่มีแสงดาวก็เลยแจ่ม แหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้านี่ต้องร้องอู้หู ฟ้ามันกว้างจริง ๆ แล้วก็เต็มไปด้วยดาว และ ดาว และดาว

"เดี๋ยวกลับไปนอนดูดาวที่ดาดฟ้าโรงแรมต่อดีกว่าแฮะ" เบิร์ตว่า
"เอ้อ ดีเหมือนกัน" ฉันเห็นดีด้วย ขณะเดินผ่านหน้าทางเข้าชเวซิกอง กำลังจะเลี้ยวเข้าถนนกลับโรงแรม ก็มีใครคนหนึ่งตะโกนทักมาไกล ๆ เลยหันไปดู

"หวัดดี จำผมได้ไหม" ใคร..วะ...
"เอ่อ ไม่ได้หรอกใครเหรอ?" ฉันงง
"ผมขับรถม้าไปส่งคุณ 2 คนที่โรงแรมไง"
"อ๋ออออออออ..อ.อ.!" เราร้องขึ้นมาพร้อมกัน "ว่าไงยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ" ฉันถาม
"ยังหรอก ว่าแต่คุณสองคนว่าไงเรื่องพรุ่งนี้ ไปเที่ยวหรือเปล่า เหมารถม้าผมหรือเปล่า?" เจอคำถามนี้ไปเลยต้องอึ้ง เพราะเราเพิ่งตกลงกับโจโจว่าให้มารับพรุ่งนี้เช้าที่โรงแรมเพื่อพาเที่ยวต่ออีกครึ่งวันที่เหลือ เลยต้องโกหกไปว่า ยังไม่รู้เลยมั่งล่ะ ขี้เกียจตื่นมั่งล่ะ
"ผมนะ อุตส่าห์ไปส่งคุณที่โรงแรมฟรี ๆ เพราะอยากให้คุณเหมารถม้าผมทั้งวันนะเนี่ย" แหม แล้วมันได้เปอร์เซ็นต์จากโรงแรมมั้ยล่ะพ่อหนุ่ม

กลับถึงโรงแรมปุ๊บ แย่งกันใช้ห้องน้ำกันชุลมุน
"ชั้นก่อนๆๆๆ"
"ไม่ ๆ ๆ ผมก่อนซิ เธอใช้ห้องน้ำนาน"
"เธอแหละใช้นาน แถมเหม็นด้วย" ฉันก็ไปมันข้าง ๆคู ๆ ซะงั้นแหละ ขี้ใครไม่เหม็นบ้างละวุ้ย
"โห หยาบคายๆ วันนี้อาบน้ำเฉย ๆ เฟ้ย"
"ง่า...ก็ได้"
พอลงไปนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างได้ ฮู้ยยย ปวดเมื่อยไปหมด เสร็จจากอาบน้ำแล้ว ก็คลานขึ้นเตียงใครเตียงมัน บันทึกใครบันทึกมัน แรงก็ไม่ค่อยจะเหลือแล้ว เขียน ๆ อยู่ก็หลับคาสมุดบันทึกกันไปเลย เพลียจริง ๆ

อ้าว แล้วไหนบอกจะดูดาว เด่อเอ๊ย..




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 23 กรกฎาคม 2549 13:54:53 น.
Counter : 1214 Pageviews.  

วันที่ 2 - จากย่างกุ้ง มุ่งหน้า พุกาม

วันที่ 2 : พฤหัส 18 ธันวาคม 2546

จากย่างกุ้ง มุ่งหน้า พุกาม

เมื่อคืนนอนแทบไม่ได้เลย ยุงแห่มาจากไหนกันก็ไม่รู้เยอะแยะ ต้องตื่นมากางมุ้งกลางดึก กว่าจะหลับได้โดนยุงจิ้มไปหลายจึ้ก ส่วนเบิร์ต นอนเตียงตัวเองสบายถึงเช้า เพราะพกมุ้งมาด้วย! ตอนเช้าต้องเดินขึ้นไปที่ห้องอาหารรวมที่ชั้นบน ราคาที่พัก คนละ 3 ดอลล่าร์นี้รวมอาหารเช้าด้วย ก็เป็นแบบเบสิคคือขนมปังปิ้ง ไข่ 1 ฟอง จะไข่ดาว ไข่เจียวอะไรก็ว่ากันไป บอกเด็กให้ไปทำให้ กาแฟ หรือชา 1 ถ้วย ถ้าเป็นกาแฟส่วนมากจะเป็นกาแฟซองแบบทรีอินวัน เติมน้ำร้อนเอาอย่างเดียว บางที่อาจจะมีน้ำส้มให้อีก 1 แก้ว ขนมปังที่นี่ต้องเดินไปปิ้งเอง เค้าตั้งเครื่องปิ้งขนมปังไว้มุมห้อง เนยไม่มี มีแต่มาการีน แยมสตอเบอร์รี่ในกระปุกที่เก่าจนแทบไม่กล้ากิน(แต่ก็กิน!) มีแขกพักที่นี่พอสมควร แต่ไม่ถึงกับแน่น

ยังเดินเล่นเย็นใจอยู่ย่างกุ้ง

ยังมีเวลาช่วงเช้าอีก เพราะรถออกบ่าย ๆ ก็เลยออกไปเดินตุหรัดตุเหร่ดูผู้คนข้างนอก ถนนที่ย่างกุ้งนี้สนุกดี คนขวักไขว่ตลอด ร้านขายล็อตเตอรี่ก็มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ ที่นี่เค้าทำเป็นร้านกันเลยมาขายเป็นแผงล็อตเตอรี่นี่ไม่มี เดินทะลุออกมาแถว ๆ ถนนสแตรนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมสแตรนด์ซึ่งแพงมหาแพง คืนละเป็นร้อย ๆ ดอลล่าร์ ขอไปเดินเฉียด ๆ ดูหน่อยเถอะ ว่ามันจะดีเด่อะไรขนาดนั้น ดูข้างนอกก็งั้น ๆ น่ะ ก็ไม่รู้ใครนะจ่ายแพงขนาดนี้เพื่อพักโรงแรมแค่คืนเดียว ซึ่งก็คงมีแหละไม่งั้นโรงแรมเจ๊งไปนานแล้ว

ถัดจากโรงแรมสแตรนด์มาก็เป็นทางรถไฟซึ่งไม่รู้ยังใช้งานอยู่หรือเปล่า ข้ามทางรถไฟไปก็เป็นท่าเรือ ไปด้อม ๆ มอง ๆ ดูท่าเรือซักหน่อย ซักพักก็มีเด็กมาตื๊อขายโปสการ์ดให้เบิร์ต เป็นเด็กผู้หญิงตัวนิดเดียว ขาย 25 ใบ 1000 จ๊าต แต่โปสการ์ดที่นี่คุณภาพค่อนข้างต่ำคือตัดมาไม่ดี ตัวหนังสือหาย ขอบภาพแหว่ง ฯลฯ แถมส่งไปรษณีย์มาเมืองไทยเป็นสิบ ๆ ใบ จนฉันกลับมาเมืองไทยได้ 2 เดือนแล้วยังไม่ถึงซักใบเดียว แต่ก็มีคนเตือนแล้วว่าส่งไปรษณีย์ที่พม่านี้ต้องระวังหน่อย เพราะคนชอบแอบหยิบไปดึงสแตมป์ออกไปขายต่อก่อนที่โปสการ์ดเราจะได้ออกจากตู้ไปถึงมือเจ้าหน้าที่เสียอีก (ยังสงสัยว่าหยิบได้ไง เรารึก็หย่อนลงตู้ซึ่งก็ลึกโขอยู่) เสียดายโปสการ์ดชะมัดเลย รู้งี้หอบกลับมาเองดีกว่าไม่ส่งมันหรอกไปรษณง ไปรษณีย์

รูป : ตึกสวยๆในย่างกุ้ง

ไทยซุป?

เดินออกมาจากท่าเรือ ละแวกนั้นจะมีอาคารแบบที่สร้างในสมัยอาณานิคมให้เห็นเยอะพอสมควร หรือที่เค้าเรียกกันว่า โคโลเนียลสไตล์นั่นแหละ ยิ่งเก่าก็ยิ่งสวย และยิ่งถูกทอดทิ้งให้น่าเสียดาย

รูป : อาคารสไตล์โคโลเนียลย่านถนนสแตรนด์

เดินออกไปทางถนนเมอร์ชานท์ (Merchant Street) ก็เที่ยงพอดี แวะทานอาหารกลางวันที่ร้าน การ์เด้น (การ์เด้นอีกแล้ว ตั้งแต่มานี่เห็นเยอะมาก หลายการ์เด้นมาก แต่ไม่มีซักที่ ที่มีสวนจริง ๆ) ฉันสั่งบะหมี่ผ้ด(อีกแล้ว) 550 จ๊าต และในเมนูมี "ไทยซุป" ชามละ 1100 จ๊าต ไอ้เราก็งงซิ แล้วมันซุปอะไรละวุ้ย เบิร์ตเลยสั่งมากินซะ ปรากฎว่ารสชาติออกไปทางต้มยำ แต่ผสมน้ำเข้าไปอีก 8 เท่า แถมยังใส่ไข่เหมือนที่เราใส่ในสุกี้อีกด้วย ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือซุปอะไร เอาเป็นว่าที่นั่นเค้าเรียกซุปไทยก็แล้วกัน ทำเอาคนไทยอย่างฉันงง ๆ ไปเหมือนกันว่าแล้วตกลงสูตรมันมาจากไหนกันแน่เนี่ย คราวหน้าไปกินสุกี้ พอน้ำในหม้อเหลือ ก็ใส่น้ำจิ้มสุกี๊(ของเด็ก)ลงไปหน่อย ใส่ไข่ไปฟอง กวนๆๆๆ แล้วเอาเส้นอะไรก็ได้ใส่ลงไป นั่นแหละ ท่านจะได้ ไทยซุป เวอร์ชั่นย่างกุ้ง มาหนึ่งชาม

รูป : หมี่ผัดเฉาหมิ่น ดัชนีชี้วัดความถูก-แพงของอาหารแต่ละร้าน


หาเรื่องเที่ยวต่อ

ก็กะว่าจะเดินเล่นต่ออีกซักหน่อยหรือไม่ก็ไป "ตลาดโบกโฉกอองซาน" ซึ่งประมาณว่าเป็นจตุจักรของย่างกุ้ง ยืนรอรถเมล์อยู่ซักพักก็ไม่มาซักที ป้ายรถเมล์ที่นี่ก็แปลก คือบางทีก็มีป้าย บางทีก็ไม่มี (เอ๊ะ จะว่าไปบ้านเราก็เป็นแบบนี้นะ) อาศัยว่าดูเอาว่าคนเค้ายืนกันเยอะ ๆ ตรงไหนก็ไปยืนกะเค้ามั่ง ตามพ่อหนุ่มนักศึกษาที่ยืนอยู่แถว ๆ นั้นว่าไปโบกโฉกอองซานไปสายอะไรได้มั่ง เค้าก็อึ้ง ๆ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไป คันนี้ก็ไป คันนั้นก็ไป ฉันเลยงงไปอีกรอบ แล้วไปคันไหนวะ ตัดสินใจไปแท็กซี่ดีกว่า เค้าเรียกราคา 800 (ถามมาจากร้านอาหารเค้าบอกประมาณ 700) ฉันก็ต่อแล้วต่ออีกเค้าก็ไม่ยอม ก็เลยไม่ไป มาคิดดูอีกที ไอ้ 100 จั๊ตนี่ก็ 5 บาทเองไม่รู้จะงกอะไรนักหนา น่าโมโหตัวเอง แต่ด้วยความที่คนขับดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไหร่ ไม่รู้ใครโดนเหยียบเท้ามาหรือเปล่า เลยปล่อยพี่แกให้นั่งอยู่ในรถเปล่า ๆ ของแกต่อไป เดินเอาก็ได้วะ

เดินผ่านเกมเซ็นเตอร์ เสียงตู๊ดๆ ต๊อดๆ จากตู้เกมดังมาจากข้างใน มีคนขายบัตรอยู่หน้าร้านก็ไม่รู้ว่าซื้อบัตรครั้งเดียวเที่ยวฟรีทั้งครอบครัวหรือยังไง เพราะพม่าเค้าไม่มีเหรียญใช้ ไอ้ครั้นจะตั้งโต๊ะแลกเหรียญก็ไม่มีเหรียญจะให้แลก เสียดายที่ไม่มีเวลาเข้าไปลองเล่น ก็เลยซื้อนมกล่อง เมดอินไทยแลนด์ 2800 จ๊าต มากล่องนึง (แพงแฮะ ทีแท็กซี่ 700 จั๊ตดันงกไม่ยอมจ่าย เจ๊นี่... ) แล้วเดินต่อ ซักพักก็มีเด็กผู้ชายรุ่น ๆ หน่อย วิ่งหอบแฮ่ก ๆ มาแต่ไกล

"คุณลืมเงินทอนครับ" เค้ายื่นเงินทอนให้หลายร้อยจ๊าตอยู่เหมือนกัน โห อุตส่าห์วิ่งมาตั้งไกล เป็นคนดีของสังคมจริง ๆ น่าพากลับไปแคส ลูกผู้ชายตัวจริงที่เมืองไทย

เดินกลับที่พัก แวะซื้อของใช้จำเป็นที่ร้านห้องแถว สองห้องติดกันชื่อ "เชอร์รี่มาร์ต" พวกสบู่แชมพูอะไรนี่มาจากเมืองไทยเกือบทั้งนั้น เบิร์ตเรียกให้ไปดูน้ำยาย้อมผม พบว่ามีหลากสีสันจริง ๆ มีกระทั่งสีเขียว สีฟ้า เห็นแล้วก็คิดว่า "คนที่นี่...ใครจะย้อมวะสีนี้" แค่หน้าคนที่ตัดผมทรงแปลก ๆ แบบแฟชั่นยังแทบไม่มีเลย ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไว้ผมยาวแล้วรวบผมกัน นอกจากอยากจะโดนหมาไล่เห่าหอนจริงๆ ก็คงไม่มีใครกล้าทำสีผมแบบนั้นแน่ๆ เดินซื้อของใช้จำเป็นเสร็จแล้วรีบขึ้นไปแพ็คกระเป๋าเตรียมตัวไปบะกัน หรือ เมืองพุกาม

สถานีหมอชิต ณ ย่างกุ้ง

ไม่นึกว่ามันจะอยู่ไกลขนาดนี้ เรียกแท็กซี่ไปสถานีค่าโดยสารตกราว ๆ 2-3ดอลล่าร์ นั่งไปโน้นนนนนน ครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงเลยให้ตายเถอะ นั่งจนหลับ แล้วแท็กซี่ที่นี่ไม่มีแอร์น่ะ แต่ไม่ร้อน เค้าก็เปิดหน้าต่างให้ลมมันโกรก ๆ ไอ้เราก็หลับเลยน่ะซิ ตื่นอีกที นึกว่ามาถึงอินเดียแล้ว แต่ในที่สุดก็ถึงท่ารถจนได้ คนขับส่งพวกเราลงที่หน้าที่ขายตั๋วพอดี แล้วชี้บอกว่าคันนี้แหละ ไปพุกาม

ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ซักพัก เด็กหนุ่มที่ทำหน้าที่ขายตั๋วหันมาเห็นก็ยิ้มให้
"ขอใบจองตั๋วด้วยครับ ไปบะกันใช่มั้ย" เบิร์ตเลยยื่นใบเสร็จที่เราจ่ายเงินให้เอเย่นต์ไปแล้วให้เค้าไป
"โอเค กระเป๋าเอาใส่ห้องสัมภาระข้างล่างได้เลย โอ๊ะ ขอติดเลขก่อนแป๊บนึง" พลางเขียนเลขขยุกขยิกลงกระดาษสีชมพูที่เจาะรูร้อยหนังสติ๊กไว้ติดกับกระเป๋า แล้วหันมาติดที่กระเป๋าฉันด้วย

"มาจากไหนหรอครับ?"
"ประเทศไทยค่ะ"
"อ๋อ ว้าว ซาวหวัดดี"
"พูดไทยได้เหรอ" ฉันแกล้งแหย่ เค้าก็ได้แต่หัวเราะแฮ่ะ ๆ

เรียบร้อยจากการ "เช็คอิน" รถบัส ยังมีเวลาอีกราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็เดินดูรอบ ๆ มันไม่เหมือนสถานีขนส่งเลยน่ะ มันเหมือนหมู่บ้านการรถไฟหรืออะไรซักอย่าง เป็นอาคารไม้สองชั้นแถวยาว ๆ ยังดูใหม่ แบ่งเป็นห้อง ๆ แต่ละห้องก็แบ่งกันไปแต่ละบริษัททัวร์หรือแบ่งตามจุดหมายปลายทางที่จะไป รอบ ๆ ก็จะมีร้านขายขนมนมเนย หนังสืออ่านเล่นไม่ต่างอะไรกับบ้านเรา ยาดม ยาอม ยาหม่องนี่มีทั้งนั้น ฉันเองกำลังอยากได้ยาดมอยู่ กะว่าจะซื้อยาหม่องอยู่เหมือนกันน่ะ เพราะเห็นคนไทยเรียกพม่า ว่า หม่องๆ จะดูว่ายาหม่องของพี่หม่องนี้จะดีไหม พอดีก็มีคนเดินมาขายยาดม เลยเลือกมาอันนึง ยี่ห้อ "ทองใหญ่" (ทองใหญ่! พิมพ์ภาษาไทยด้วย อยากรู้ว่ายี่ห้อนี่ที่เมืองไทยมีขายมั้ยเนี่ย คิดได้ไงยี่ห้อ ทองใหญ่.. นี่ถ้ามีแบรนด์ที่สองออกมาอาจชื่อ ทองกวาว หรือ ทองย้อย) อันละ 400 จ๊าต แพงนะนั่นน่ะ แถมคนขายจะขายแว่นตากันแดดให้อีกต่างหาก แหม พี่ดีไซน์ที่พี่ขายนี่หนูไม่กล้าใส่เลย สุดสวิงเหลือเกิน อายตัวเอง เดี๋ยวเค้าจะนึกว่าออกมาจากหนังอินทรีทอง


รูป : สถานีขนส่งของย่างกุ้ง

บอร์ดดิ้งไทม์

รถจะออกเวลา 3 โมงเย็น ช้านิดหน่อย คนก็เริ่มทยอยขึ้นไปนั่งบนรถกันบ้างแล้ว ฉันกับเบิร์ตก็เลยเดินตามขึ้นไปบ้าง นั่งมองคนผ่านกระจกรถนี่มันก็เพลินดีไปอีกแบบ มีคนเดินเร่ขายของกันหลายคน บางคนก็มาขายถั่วต้มที่ออกจะดูแห้งๆกรอบๆ ไม่เหมือนบ้านเรา(เผลอๆคงไม่ได้ต้ม) แตงโมฝานเป็นชิ้น ๆ บางคนก็ขายหนังสือพิมพ์ พอเห็นเบิร์ตนั่งอยู่บนรถก็เดินมาที่หน้าต่างเอาหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษออกมาขายด้วยการเอาแขนข้างหนึ่งชูหนังสือพิมพ์ขึ้นมาที่ระดับหน้าต่างรถบัส
"เอ้ออออ ดีๆ ชูไว้อย่างนั้นแหละ ผมจะได้อ่าน คริๆๆ" เบิร์ตพูดกับตัวเอง เพราะข้างนอกเค้าไม่ได้ยินหรอก เพราะกระจกมันหนา แล้วเค้าก็ชูอยู่นานมากจริง ๆ นะ ความพยายามเป็นเลิศ
"กว่ารถจะออกก็คงอ่านจบพอดีเลย" เบิร์ตยิ้ม ๆ ในที่สุดหนุ่มขายหนังสือพิมพ์ก็ยอมแพ้ คงจะเซ็งที่ไม่ซื้อแถมบยังกวนติวอีก เห็นเดินทำปากขมุบขมิบให้พรเสียยกใหญ่

ลุงคนนี้ซิเด็ดกว่า ไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินดุ่มๆ มาก็เอาของเล่นที่เป่าแล้วกระดาษที่ม้วนอยู่มันจะยืดออกมาน่ะ แบบที่เค้าเป่าเล่นกันในงานปาร์ตี้ ออกมาเป่า
"ปรี๊ๆๆๆ~~!" โอ๊ว มันสูงมากเลยน่าซื้อมาเล่นซักอัน แต่ลุงแกเป่าแล้วไม่รอลูกค้าเลย เป่าเสร็จข้าไปก่อนล่ะโว้ย แว๊บ ..อยากได้ตามหาลุงเอาเองนะ ฮึ่ ๆๆๆๆ

มุ่งหน้าสู่พุกาม

คนขับพาเราออกจากสถานีขนส่งราว ๆ บ่าย 3 โมง 15 นาที และขับช้า ๆ มาตามถนนสายเล็ก ๆ อีกราว ๆ 30 นาทีก็ถึงถนนสายหลักที่จะไปพุกาม (อะไรกันเพิ่งถึงถนนใหญ่เหรอเนี่ย! โอ้ มายก้อด แล้วเมื่อไหร่จะถึงพุกาม) ตอนออกรถก็เปิดแอร์อยู่ดี ๆ ซักพักก็ปิดแอร์ซะแล้ว ถึงจะร้อนแต่บ่นไปก็เท่านั้น เสียพลังงานโดยใช่เหตุ เหงื่อเริ่มหยดแหมะ แหมะ

พี่คนขับแกขับช้าแต่มั่นคง รักษาระดับความเร็ว(น้อย)ไว้อย่างดีเยี่ยม นี่ขืนไปขับรถสองแถวที่มัณฑะเลย์ หากินไม่ได้แน่ เพราะที่นั่นคนขับรถมินิบัสบ้านเรายังต้องชิดซ้ายเพราะสองแถวมัณฑะเลย์ขับท้านรกกว่าร้อยเท่า ฉันนั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ตามเคย เพราะไม่มีอะไรจะทำ การนอนเป็นสิ่งที่ทำง่ายดีสุดและไม่ต้องทรมานกับเวลาอันแสนยาวนาน เราคนไทย นอนได้ทุกที่อยู่แล้วไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม ถ้ามีแข่งนอนวิบาก พี่ไทยคงได้เหรียญทอง

รถเราแล่นมาเรื่อย ๆ ตลอดสองข้างทางร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ มีหมู่บ้านสร้างกันอย่างเรียบง่ายไม่ต่างจากแถบชนบทของบ้านเรา บางครั้งจะเห็นอาคารเก่าแบบยุคอาณานิคม โดยมากมักจะมีเลขบอกปีที่สร้างติดไว้ที่หน้าจั่วทั้งเลขอารบิคและพม่า บอกให้รู้ว่าได้ผ่านกาลเวลามานานแค่ไหน แล้วรถก็เลี้ยวขวาเข้าไปจอดลานดิน ฉันมองซ้ายมองขวาว่ามันคืออะไร พักเข้าส้วมหรือเปล่า .. แต่มันคือปั๊มน้ำมันขนาดมินิ ตรงขอบกระบะอิฐที่ก่อไว้สำหรับปลูกต้นไม้ มีสาว ๆ ทาแก้มนวลด้วยตะนะคานั่งคุยกันอยู่อย่างออกรถ หนึ่งในนั้นเป็นสาวหน้าตาออกไปทางแขกและผิวก็คล้ำออกไปทางอินเดียซะมาก แต่เธอก็แต่งตัวแบบสาวพม่าทั่วไป ไว้ผมยาวถักเปียทาแก้มด้วยตะนะคาเหมือนคนอื่น ๆ บนตักมีถาดใส่สินค้าพวก ส้ม แตงโม ขนมขบเคี้ยว

ฉันกำลังนั่งคิดอะไรอยู่เพลิน ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกดังมาจากทางด้านหน้ารถ พร้อมเด็กหนุ่ม 3 คนขึ้นมาแจกขนมให้ทุกคน พลางโฆษณาสินค้าแบบน็อนสต็อป เซลส์ขายประกันยังไม่พูดมากและตั้งใจขนาดนี้ นับถือจริง ๆ แล้วฉันก็เข้าใจว่าเค้าขึ้นมาขายขนมน่ะแหล่ะ อย่างแรกเป็นผลไม้แห้งคล้ายฟักเชื่อม ว้าน หวาน หยึย ...อย่างที่สองเป็นท๊อฟฟี่ถั่วขนาดพอดีคำในถุงพลาสติกใบเล็กห่อด้วยกระดาษสีขาวอีกชั้น รสชาติคล้ายขนมตุ้บตั้บ เออ อันนี้อร่อยดี หันไปถามเบิร์ตว่ากินอ่ะเปล่า จะลองซื้อมากินเล่นซักถุง เบิร์ตซึ่งกำลังเคี้ยวท๊อฟฟี่แก้มตุ่ยก็เห็นดีเห็นงามด้วย พอคนขายซึ่งตะโกนโฆษณาสรรพคุณสินค้าไม่ได้หยุด ตั้งแต่ก้าวขึ้นมาบนรถ เดินผ่านมาก็เลยเรียก ฉันก็ชี้ ๆ ไปที่ถุงท๊อฟฟี่ ทำท่าว่า "เอาถุงนึง"
"@#$@%!??"
"อะไรนะ เท่าไหร่คะ" ยังพยายามส่งภาษาอังกฤษอยู่
"$^&#*!"
"ไม่รู้เรื่องแฮะ เอามาเห๊อะ นั่นแหละ ๆ ถุงนั้นแหละ" หนุ่มคนขายยังชวนคุยเป็นภาษาพม่าไม่ได้หยุดหย่อนก็เลยปล่อยเลยตามเลย หัวเราะเหะหะ เออออห่อหมกไป ได้ขนมมา 4 ห่อใหญ่ ! ฉันกลับมาอ่านบนถุงมันคือ very special peanuts อ้าว แล้วตกลงมันเท่าไหร่ละวุ้ย ให้แบ๊งค์พันจ๊าตไปก็แล้วกัน แล้วหนุ่มก็หายไปพักใหญ่ นี่รถก็ออกมาจากปั๊มน้ำมันตั้งไกลแล้วนะเนี่ย แล้วหนุ่ม ๆ 3 คนนี่จะไปกับรถด้วยเลยเหรอ เอ๊ะนี่ก็นานแล้ว เงินทอนยังไม่มา สงสัยจะโดนโกงซะแล้วซิเนี่ย

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป แล้วเจ้าหนุ่มก็กลับมาพร้อมเงินทอน 700 จ๊าต ..นึกว่าจะโดนโกงซะแล้ว ที่ไหนได้ แบ๊งค์มันใหญ่เกินไป อ้าว แล้ว 4 ถุงนี่ 300 จ๊าตเองเหรอน้อง โห พี่กินอีก 5 วันยังไม่หมดเลยมั้งเนี่ย แล้วเลิกชวนคุยเป็นภาษาพม่าได้แล้ว ถั่วนั่นโคตรอร่อยเลยให้ตายเถอะ ถ้าพม่ามี OTOP ถั่วนั่นต้องได้ 5 ดาวแน่นอน

โลกพระจันทร์หรืออะไรกันเนี่ย

หลังจากปั๊มน้ำมัน รถก็ไม่ได้แวะพักที่ไหนอีกจนฟ้ามืดสนิท ทุกคนก็เริ่มหลับอย่างสบายอารมณ์ แต่หนาว ! ก็อากาศข้างนอกพอตกกลางคืนมันก็เย็นอยู่แล้ว คนขับยังเพิ่งนึกออกว่า "อุ๊ย ประทานโทษลืมเปิดแอร์เมื่อกลางวัน เปิดให้ตอนนี้ก็แล้วกันนะ" ว่าแล้วแกก็เปิดแอร์แรงสุดฤทธิ์สุดเดช เสียงแอร์จากช่องแอร์ดังฟู่ๆๆ ผ่านไปได้ไม่กี่นาที ทุกคนเลยต้องเอาเสื้อผ้า ผ้าขนหนูอะไรก็ตามที่ติดตัวมาด้วยออกมาห่มแล้วนอนม้วนตัวกันอยู่ในเบาะราวกันหนอนอ้วน ทีตอนกลางวันร้อนจะตายไม่เปิด ตอนนี้ข้างนอกหนาวจะบ้า ดันเปิดแอร์อีก ไม่เข้าใจพี่เค้าจริงๆ

นอนอ้วนกลมอยู่นาน ลืมตาขึ้นมาอีกทีเพราะความหนาว อยากจะตะโกนว่า "พี่ ปิดแอร์เถ๊อะ! ได้โปรด!" แต่พอมองไปข้างหน้าผ่านกระจกใสหน้ารถก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น คือ ดินสีน้ำตาลซีด ๆ ที่สองข้างทางที่สูงเกือบ ๆ เท่ารถเห็นจะได้ เรียงตัวเป็นคลื่นราวกับคลื่นทะเล ดูไปคล้ายๆพื้นผิวโลกพระจันทร์ โดยมีแค่แสงไฟจากรถเราสาดไปกระทบกับเจ้าคลื่นพวกนี้ ดูน่าพิศวงงงงวย ทางสายเล็ก ๆ ที่ไม่อาจเรียกว่าถนนได้ ลัดเลาะไปตามคลื่นดินที่รถเรากำลังวิ่งผ่าน ฉันต้องปลุกเบิร์ตให้ขึ้นมาดูภาพความอัศจรรย์พันลึกราวกับกำลังท่องกาแล็คซี่ฟรีกับองค์การนาซ่า
เบิร์ตงัวเงียลืมตาขึ้นมา ขยี้ๆ ตาแล้วถามว่าอะไรเหรอ ฉันเลยชี้ออกไปข้างหน้า มองผ่านกระจกหน้ารถออกไป

"โอ้ พระพุทธเจ้า..นี่มันอะไรน่ะ" เบิร์ตอึ้งไปอีกคน "ผมกำลังฝันไปหรือเปล่าเนี่ย"
"เปล่า.. ว่าแต่..มันคืออะไรน่ะ"
"ก็ถนนน่ะแหละ ผมว่านะ แต่เค้าคงไม่ได้ปรับระดับดินสองข้างน่ะ" เรียกว่าปรับตรงกลางให้เรียบเป็นใช้ได้ สองข้างเป็นยังไงก็ปล่อยให้เป็นยังงั้นแหละ มันก็เลยออกมาอย่างที่เห็น อยากถ่ายรูปมาให้ดูแต่ไฟมันสลัวเหลือเกิน แบบนี้ต้องไปสัมผัสเอง

ราว ๆ ตี 2 กว่า ๆ เห็นจะได้ ก็ถูกปลุกอีกแล้ว ให้ลงมาเข้าห้องน้ำ ทุกคนเดินตามกันลงไปอย่างว่านอนสอนง่าย ลงไปได้ก็เจอลมหนาวปะทะเข้าหน้าอย่างจัง
"อูยยยหนาวว้อย" ฉันบ่นออกมาดัง ๆ เป็นภาษาไทย ไม่มีใครสนใจ ฉันเลยเดินตามผู้หญิงคนอื่น ๆ ไปทางห้องน้ำซึ่งแยกออกไปทางด้านขวา ห้องน้ำก็ทำอย่างง่าย ๆ เป็นห้องเตี้ย ๆ เล็ก ๆ ยกพื้นสูงประมาณระดับเข่า ส่วนส้วมก็ไม่ต้องราดน้ำกันให้เสียเวลาเพราะไม่มีให้ราด มันเป็นเป็นท่อพีวีซีเฉย ๆ ต่อตรงจากส้วมไปลงดินเลย (ก็ยังดีนะเนี่ย เคยเจอแบบขุดดินกันลงไปเฉย ๆ ตรง ๆ เลยแถมมีคนท้องเสียใช้มาก่อนเราอีกด้วย เล่นเอาติดตาตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้) มีถังใส่น้ำและกระบอกทำจากขวดพลาสติกตัดครึ่งวางให้มุมห้องน้ำ แถมพอเดินออกมาหน้าห้องน้ำก็เจอศาลพระภูมิกันจัง ๆเลย เล่นเอาไหว้แทบไม่ทัน ตอนเข้าไปไม่ได้สังเกตุหรอกเพราะมันง่วง

ส่วนอีกฝาก เป็นซุ้มขนาดย่อมซึ่งบริการชา กาแฟ และอาหารจานด่วนแบบพม่าให้กับผู้โดยสาร มีโต๊ะเก้าอี้จัดชุดไว้หลายโต๊ะ โดยมากคนไม่ค่อยนั่งโต๊ะกันเท่าไหร่ นั่งยองๆ กันซะมาก โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุหน่อยก็จะนั่งยอง ๆ เหมือนกัน และมีผ้าขนหนูห่มกันถ้วนหน้า ฉันเองต้องฝากให้เบิร์ตไปรื้อเสื้อกันหนาวจากในเป้มาเพิ่มเพราะแค่ผ้าพันคอมันเอาไม่อยู่ซะแล้ว เบิร์ตกลับมาพร้อมเสื้อกันหนาวหนาตึ้บ ฉันสวมเสร็จก็นั่งทอดหุ่ย
"อ่าาา ค่อยยังชั่ว"
"ดูใส่เข้าซิ จะไปพิชิตยอดเอเวอร์เรสต์หรือไง" ฝรั่งอะไร ปากจัด สงสัยชาติที่แล้วเป็นสาวประเภทสอง
"มันหนาวนี่ยะ!!" เบิร์ตยังมาขยับผ้าพันคอฉันให้ม้วนหลายตลบกว่าเดิม แล้วขำอย่างสะใจ
"ฮ่าๆๆ วู้ย หนาวอะไรจะขนาดนี้ ตลกจริงๆ"

หลังจากแวะพักเข้าห้องน้ำ และ ดื่มชาร้อนๆ (ถ้าต้องการ) ราวๆ 20 นาที ทุกคนก็ถูกเรียกให้ขึ้นรถอีกครั้ง ทีนี้ล่ะหลับยาว




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 23 กรกฎาคม 2549 13:36:15 น.
Counter : 1447 Pageviews.  

แอร์เอเชียบินย่างกุ้งแล้ว! เอาบันทึกการเดินทางแบกเป้พม่า 17 วันมาให้อ่านละกัน หุๆ

ไม่ได้ออนไลน์บนเว็บแล้ว เลยเอามาลงที่นี่ เผื่อใครกำลังคิดจะไปเที่ยวพม่า

(อินเดียสงสัยอีกนานกว่าจะเสร็จ ตามเคย ตุ๊ยๆๆ)


คืนวันที่ 16 ธันวาคม ฉันยังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่ออฟฟิศเพื่อปั่นงานให้เสร็จ มาเสร็จเอาแบบจวนเจียนตี 4 จากนั้นก็เรียกแท็กซี่ไปโรงแรมเพื่อนเลย เพราะกะว่ายังไงคงไม่นอนแล้ว ถ้านอนแล้วอาจจะไม่ยอมตื่นได้ แต่ไปๆ มาๆก็หลับคาเก้าอี้ นอนแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ต้องไปสนามบินแล้ว

แล้วไปทำไมพม่า?

บอกตามตรงว่าครั้งนี้ไปเพราะเพื่อนชาวเบลเยี่ยมที่ชื่อเบิร์ตชวนไป (ชื่อเค้าจริง ๆ แล้วออกเสียงประหลาดมาก คล้ายๆ เบ๊ร์ด และรัวลิ้นตรง ร.เรือด้วย เพราะเป็นภาษาดัชท์ เวลาอ่านจะอ่านไม่เหมือนภาษาอังกฤษ แต่เพื่อความสะดวกขอเรียกว่าเบิร์ตก็แล้วกัน) เพื่อนคนนี้เป็นหนึ่งในเพื่อนที่สนิทมากที่สุด ตอนไปเนปาลก็ไปกับเพื่อนคนนี้ ชอบเที่ยวด้วยเพราะเห็นแบบนี้ ไม่เคยบ่นซักแอะ นอนไหนก็ได้ ส้วมไม่มีน้ำก็ไม่บ่น อาหารไม่อร่อยก็กิน ฉันบ่นก็ไม่ว่า ชวนทำอะไรบ้า ๆ ก็เอา เรียกว่าเป็นคนที่ "อะไรก็ได้" จริง ๆ แล้วก็ใจเย็นมาก บางครั้งยังคิดว่าชีวิตนี้เบิร์ตเคยบ่นอะไรบ้างไหม นอกจากบ่นว่าข้าวเหนียวมะม่วงที่ซื้อมาบางครั้งมะม่วงไม่หวาน หรือบ่นว่ามะเขือที่ซื้อมาใส่แกงเขียวหวานที่เบลเยี่ยมทำไมถึงแพงนัก กินแกงเขียวหวานทีแทบหมดตัว ฯลฯ นอกจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้เบิร์ตไม่ค่อยจะใส่ใจบ่นมากนัก ชาติก่อนคงทำเวรทำกรรมต่อกันไว้มาก ชาตินี้เลยต้องมาเที่ยวด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า

ไอ้เรารึก็เฉย ๆ กับการไปเที่ยวพม่า เพราะเห็นทัวร์เค้าไปกันโครม ๆ ทัวร์ไหว้พระ ทัวร์วัด เดิน ๆ แล้วกลับ ดูเหมือนไม่มีอะไร ฉันจึงผลัดแล้วผลัดอีก หลอกล่อให้เพื่อนไปรอบอินโดจีนบ้างล่ะ ชักชวนให้ไปเขมรบ้างล่ะ แต่ที่ ๆ เอ่ยมาทั้งหมด เบิร์ตไปมาหมดแล้ว (ไม่เว้นแม้แต่รถไฟสายทรานไซบีเรีย) เบิร์ตชวนไปพม่ามาหลายครั้งหลายคราว ฉันให้เหตุผลไปแบบน้ำขุ่น ๆ ว่าพม่าใกล้แค่นี้ ไม่เห็นมีอะไรเล้ยยยย ไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เมื่อไปถึงแล้วต้องพบว่าที่ตัวเองคิดทั้งหมดนั้นผิดหมดเลย

ได้ตั๋วเครื่องบินมาปั๊บ วีซ่ามาปุ๊บก็ไปโลดเลย ข้อมงข้อมูลอะไรก็ไม่ได้เตรียมไป มีแค่ไกด์บุ๊คเล่มเดียว ก็ไปเลย

บันทึกการเดินทางสู่พม่า
วันที่หนึ่ง : พุธ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๖

กรุงเทพฯ สู่ ย่างกุ้ง

มาถึงสนามบินแล้วยังงง ๆ เอ๊ะ ชั้นมาได้ยังไง ชั้นจะไปไหนนะเนี่ย เช็คอินได้ก็โซซัดโซเซเข้าไปรอที่หน้า gate ไม่ลืมโทรศัพท์ไปบอกป๊ะป๋าก่อนว่าจะขึ้นเครื่องแล้วนา ส่วนคู่หูนั้นหายไปเป็นนานสองนาน สามนานสี่นานเลยมากกว่า ฉันยืนกินน้ำรอจนจะหมดขวดอยู่แล้ว เฮ้ย มันบอร์ดดิ้งไทม์แล้วนา แล้วฝรั่งหน้าตาคุ้น ๆ ก็เดินมาช้า ๆ คงนึกว่าเดินเลี้ยงควายอยู่แถวชนบทของเบลเยี่ยมบ้านเกิด ท่าทางสบายอารมณ์อย่างน่าหมั่นไส้

"เอ้ย ไปไหนมา(วะ!)" ไอ้เราคงทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้สุดฤทธิ์ ฮือๆ นอนก็ไม่ได้นอน
"อ้าว ก็ไปเข้าส้วมซิ" เบิร์ตตอบหน้าตาเฉย เออ ไปขี้ก็บอกเถอะ..

กว่าจะขึ้นเครื่องเรียบร้อยก็พักใหญ่ แถมต้องเซอร์ไพรส์กับที่นั่งที่แคบเท่าเพลี้ยดิ้นตาย เออ ก็รู้น่าาา..ว่าตัวไม่เล็กแต่ขอโทษเถอะ ฝรั่งตัวใหญ่ ๆ นี่กว่าจะเบียดตัวลงไปได้ก็บ่นอุบ เพราะที่นั่งนี้แคบเหลือประมาณ
"เอ๊ะ นี่ที่นั่งมันเล็กหรือตูดชั้นใหญ่วะ เฮะๆๆ" ฉันเริ่มบ่นตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทาง
"เออนั่นซิ วู้! แคบมากเลย" เบิร์ตก็เข้ากันกับฉันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
"บ้า... สงสัยอันนี้เก้าอี้เด็ก"
"หรือเก้าอี้เสริม?" ฯลฯ

ดีที่พนักงานต้อนรับยังยิ้มแย้มแจ่มใสดี อาหารเช้าเสิร์ฟหลังจากเครื่องออกไปได้ซักพัก เป็นอะไรที่คล้ายขนมนิ่ม ๆ อบแล้ว ใส่ชีส
"อร่อยมะ" ฉันหันไปถามแบบไร้อารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
"เหมือนกำลังกินพลาสติก.." หันไปมองหน้าเบิร์ต กำลังเคี้ยวขนมเหมือนควายตอนกำลังเคี้ยวเอื้อง

สนามบินมิงกลาดง

หลับ ๆ ตื่น ๆ มาได้ซักพักก็ร่อนลงที่สนามบิน "มิงกะลาดง" ที่ย่างกุ้ง อากาศกำลังดี ไม่ร้อนไม่หนาว สนามบินเค้าก็กะทัดรัดดี ผู้โดยสารทยอยลงจากเครื่อง เดินลงมาก็มีรถบัสติดภาษาญี่ปุ่นพร้อยไปทั้งคันเพราะเป็นรถให้เปล่ามาจากญี่ปุ่น มาจอดรอรับผู้โดยสารอยู่แล้ว ทำเอางงว่า เอ รถบัสในสนามบินนี่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศจะไม่ลงทุนซื้อกันบ้างเลยเหรอพี่



เข้ามาในอาคารก็ตรวจพาสสปอร์ต ดูวีซ่า กันก่อนเลยเราก็เดินๆไหลๆตามคนอื่นเค้าไป เจอคุณลุงหน้าตาเหมือนทะเลาะกับเมียมาหมาด ๆ เป็นคนตรวจวีซ่า
"มาจากประเทศไทยหรือ" คุณลุงถามเป็นภาษาอังกฤษ เหลือบตาขึ้นมาจากพาสสปอร์ต มองลอดผ่านแว่น
"ค่ะ..." (อูย.. จะโดนกินมั้ยเนี่ย)
"โอ๊วว สวัสดีค๊าาา..." อ้าว งงซิ นึกว่าจะโหด เล่นมาสวัสดีค๊า กันงี้เลย หัวใจจะวายเอานะเนี่ย
"แฮ่ะๆ สวัสดีค่ะ มิงกะลาบา มิงกะลาบา" คุณลุงหัวเราะชอบใจที่ฉันสวัสดีเป็นภาษาพม่ากลับไป ไอ้เราเองก็ภูมิใจแทบตาย พูดได้ตั้ง 1 คำ

แล้วก็ต้องมาเข้าแถวต่ออีก ก็ยังไม่เข้าใจว่ามาต่อทำไมเนี่ย จนไปเข้าห้องน้ำกลับมาแล้ว แถวก็ยังไม่สั้นลง ยืนรอ ร๊อ รอ มีทีวีอยู่แถว ๆ นั้นเป็นคาราโอเกะเพลงฮิต ทำนองสากล เนื้อร้องพม่า เออเว้ย ....พอใกล้ ๆ คิว ฉันก็ยื่นๆพาสสปอร์ตให้เค้าไป ผ่านขั้นตอนเรียบร้อยก็ออกมายืนหน้าบานอย่างภาคภูมิใจ

ไอแอมอะแท๊กซี่ไดรเวอร์

หลุดออกมาได้ก็ถามอัตราแลกเงินที่เคาท์เตอร์ก่อนเลย เค้าบอกว่าประมาณดอลล่าร์ละ 450 จ๊าต อยากจะขำเป็นภาษามอญ เล่นกันแบบนี้เลยนะ เพราะเรทตอนนั้น(ปลายปี 2546) จริง ๆ อยู่ประมาณ 800-890 จ๊าตต่อ 1 ดอลล่าร์ เราก็เลยไม่แลก ออกมาจากอาคารปุ๊บแท็กซี่ก็เข้ามาล้อมปั๊บ ไม่ได้ล้อมเรานะ ไปล้อมเบิร์ตด้วยความซวยที่เกิดเป็นฝรั่งเป็นที่สังเกตุง่าย ไอ้เราน่ะ ยืนแบกกระเป๋าเป็นไอ้บ้าอยู่ถัดมาอีกหลายเมตรไม่มีใครสนใจ คงนึกว่าเป็นพม่าพลัดถิ่นกลับมาเยี่ยมบ้าน พอถามเป็นภาษาอังกฤษไป คนจะหันมามองด้วยความอึ้งทุกครั้งว่า "มันอำหรือเปล่าวะ" หน้าตาก็ออกจะพม้า พม่า

"ไอแอมอะแท็กซี่ไดรเวอร์!" พ้นประตูออกมาก็เจอเลย รุมกันมา 3 - 4 คน
"ไปสุเลพญาเท่าไหร่ครับ?" เบิร์ตถาม
"3 ดอลล่าร์" คนขับแท๊กซี่ตอบ ยิ้มกว้างเกือบถึงรูหู ฟันแดงไปด้วยน้ำหมาก
"หู๊วว.. 2 ดอลฯ ก็พอ"
"โอ้ว ไม่ได้ๆ ไกลม้ากกก"
"อาไร้ ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก 3 ดอลล่าร์แพงไปนะ ที่เคาท์เตอร์ด้านในเค้าก็เสนอ 3 ดอลล่าร์เหมือนกันเลย นึกว่าออกมาข้างนอกจะถูกกว่าซะอีกนะเนี่ย"
"โอ ไม่ได้ครับ มิสเตอร์ นี่ ๆ ดูแผนที่ซิ ไกลจริง ๆ นะ ไม่โกหก" พูดไปพลางกางแผนที่เหี่ยว ๆ ให้ดูไปด้วย

พูดจบก็หันมาทางเราที่ยืนเป็นหัวหลักหัวตออยู่นาน
"เฮลโล่ มาจากเมืองไทยหรือครับ นี่ จริง ๆ นะ เทียบกับประเทศคุณ 1 ดอลล่าร์ประเทศผมเนี่ยมันเยอะนะ ลดไม่ได้จริงๆ" ทำคิ้วตก
"อ่ะนะ ประเทศหนูก็เยอะเหมือนกันแหละพี่ 1 ดอลล่าร์ตั้ง 40 กว่าบาท กินข้าวได้ตั้งมื้อนึง"
"ฮ่าๆๆ แหมๆๆ เยอะแยะอาไรกัน เหอะนะ 3 ดอลล์ไม่แพงหรอก" 2 คน ไทย ฝรั่งพยายามอยู่นานเพื่อไอ้ 1 ดอลล่าร์อันมีค่า แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ก็เลยยอมจ่าย 3 ดอลล่าร์ไป ซึ่งราคานี้ก็ถือว่ามาตรฐาน (ก็อยากได้ต่ำกว่ามาตรฐานนี่ ก็เงินมันมีน้อยน่ะ)

นั่งกินลมชมวิวไปเรื่อย ๆ ต้นไม้เค้าร่มครึ้มดี ต้นไม้สองข้างทางนี่ต้นใหญ่ ๆ รถที่นี่ขับทางขวา ซึ่งเพิ่งเปลี่ยนเมื่อประมาณปี 2513 จากที่เคยขับทางซ้ายอยู่ดี ๆ นายพลเนวินก็สั่งเปลี่ยนซะยังงั้นแหละเพราะหมอดูแนะ ทำให้อะไร ๆ มันแปลกอยู่ซักหน่อย เช่นรถบัสที่รับต่อมาจากประเทศอื่นเช่น ญี่ปุ่น พวงมาลัยจะอยู่ขวาเหมือนประเทศที่ขับรถชิดซ้ายทั่วไป พอเอามาขับที่นี่จะลำบากแค่ไหนคิดดู มองดูทางก็มองได้ไม่ค่อยถนัด สำหรับผู้โดยสารยิ่งซวยใหญ่ เพราะประตูอยู่ด้านซ้าย พอรถจอดดันชิดขวา พอประตูเปิดก็ต้องลงกลางถนนเลยน่ะซี นัยว่า "หากถึงคราวซวยก็ช่วยไม่ได้" ลงไปเสี่ยงตายกันเอาเอง เอ๊ะ ฟังเหมือนประเทศเพื่อนบ้านของพม่าบางประเทศเลยแฮะ ประเทศที่มีป้ายแต่รถเมล์ไปค่อยจอดให้ตรงแต่ไปจอดกลางถนนให้ผู้โดยสารลงมาเสี่ยงตายกันอย่างตื่นเต้น

>

"คุณมาจากเมืองไทยเหรอ" คนขับชวนคุย ฉันมัวแต่มองวิวข้างนอก
"หะ? อ๋อ ค่ะ ๆ" สาว ๆ ที่ย่างกุ้งก็ขับรถเก๋งกันเหมือนกันนะ ท่าทางเป็นสาวสมัยใหม่
"อ๋อ เป็นคนไทย" คนขับพยักหน้าหงึก ๆ
"นี่ๆแต่จริง ๆเค้าเป็นมอญนะ" เบิร์ตโผล่หน้าออกมาให้ข้อมูลจากเบาะหลัง สงสัยชาติที่แล้วเป็นซ้อเจ็ด
"จริงหรอ?" คนขับหันมามองหน้าฉันอย่างแปลกใจ
"เอ่อ นิดเดียวๆ คุณย่าเป็นคนมอญน่ะค่ะ"
"โอ๊ จริงเหรอ เอออนั่นซิถึงว่าหน้าเหมือนคนที่นี่ม๊าก มาก" แหมพี่ประเทศติดกันแค่นี้เอง ขนาดไปเนปาลเค้ายังบอกเหมือนคนเนปาลเลย สงสัยหน้าอย่างฉันนี่ไปแถบนี้ได้หมด ยกเว้นประเทศที่เค้าขาวใสหมวยกิ๊กกันนี่หมดสิทธิ์

"เมืองไทยดีนะ คุณชอบดูฟุตบอลหรือเปล่า ฟุตบอลไทยเก่งมากเลย"
"ก็นาน ๆ ดูทีนะ..ถ้าแมตช์ใหญ่ ๆ ก็ดู"
"นี่ก็เพิ่งชนะซีเกมส์มานี่นา เก่งๆๆ ผมชอบทีมฟุตบอลไทยมากๆ"

ไอ้เราก็นึกว่าเค้าจะเกลียดทีมฟุตบอลเราซะอีกเห็นเป็นคู่รักคู่แค้นกันมานานพอ ๆ กับตะกร้อ หรือไม่รู้ว่าเค้าพูดเพื่อเอาใจกันแน่(ระแวง ๆ) ที่พม่านี่คนนิยมเล่นตะกร้อกันมาก จะเห็นอยู่บ่อย ๆ ถ้ามีที่ว่างพอเค้าก็ตั้งวงเตะตะกร้อกัน ฉันเหลือบไปเห็นสองสาวเสื้อขาวนุ่งผ้าซิ่นสีแดงแช้ด มีป้ายชื่อโลหะสีทองติดที่หน้าอกเสื้อสีขาว ดูเหมือนยูนิฟอร์ม พวกเธอกำลังเดินคุยกันอย่างออกรส

"อ๋อ นั่นเครื่องแบบนางพยาบาล" คนขับแท๊กซี่เห็นฉันทำท่าอยากรู้
"ส่วนนู่น ถ้าผ้านุ่งสีเขียวแก่ ก็เป็นเครื่องแบบนักเรียน"
"อ๋อออออ" อืมๆ น่าสนใจดี น่ารักดีด้วย เป็นเอกลักษณ์

คนขับพารถลัดเลาะไปย่านไชน่าทาวน์ที่ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้นะว่านั่นน่ะ ไชน่าทาวน์ เพราะไม่ได้อลังการล้านเจ็ดเหมือนเยาวราชบ้านเรา ก็เป็นแหล่งชุมชนธรรมดานี่แหละ แต่ชาวจีนอยู่เยอะกว่าตรงอื่นเท่านั้นเอง ซึ่งไกลจากสุเลพญาที่เป็นศูนย์กลางของรถบัสแห่งหนึ่งของย่างกุ้ง อยู่พอสมควร แล้วมาจอดที่อาคารที่ดูเหมือนแฟลตแห่งหนึ่งให้เราลงไปดูห้องพัก เราก็เดินลงไปดู ๆ ยังงั้นแหละ ห้องละ 12 ดอลล่าร์ แม่เจ้า ไกลก็ไกล แพงก็แพง ห้องก็งั้น ๆ ดูแล้วไม่สมราคาเลย เลยขอบคุณแล้วเดินลงมาบอกว่า ไม่เอาล่ะพี่ ขอไปที่สุเลพญาดีกว่า

การฺ์เด้นเกสต์เฮาส์และชายผู้มากับประโยค"เชนจ์มันนี่ๆ"

ขับมาอีกราว ๆ 10 นาทีก็ถึงสุเลพญา คนขับส่งพวกเราลงปั๊บก็ไม่รอแล้ว ขอค่าโดยสารเลยก็แล้วกัน ก็จ่ายไป 3 ดอลล่าร์ ตอนนี้ยังไม่มีเงินจ๊าตติดตัวเลย



ที่พักที่เราเลือกพักคือ "การ์เดน เกสต์เฮาส์" อยู่ติดกันกับสุเลพญา เลย ข้ามสะพานลอยมาก็ถึง ห้องกว้างมาก มี 3 เตียง ห้องน้ำรวม ต้องเดินไปสุดทางเดินจึงจะถึงห้องน้ำ แค่คืนละ 6 ดอลล่าร์ ตกคนละ 3 ดอลล่าร์นับว่าไม่เลว แต่ต้องเดินขึ้นสูงหน่อยประมาณ 3- 4 ชั้น แต่ละห้องจะไม่เหมือนกัน เพราะเค้าตัดแปลงจากตึกแถวมาเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว บางห้องอาจจะมีสติกเกอร์ติดเอาฮาว่า "ห้องท่านนายพล"

ทำธุระเสร็จ เปลี่ยนชุดมาเป็นผ้านุ่งกะปลอมตัวเป็นคนพม่าอ้วน(ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก อาจเป็นของแปลก) รองเท้าต้องเป็นอีหนีบ แล้วก็ออกไปเดินชมนครย่างกุ้งกันหน่อยดีกว่า เรื่องเงินไม่ต้องห่วง ไม่ต้องไปหาที่แลกเค้าจะมาหาคุณเอง ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็ลองถามที่เกสต์เฮาส์ได้ทุกที่

"ฮัลโหล เชนจ์มันนี่ๆ? แลกเงินมั้ย" เห็นมั้ย มาแล้วหนึ่งคน เป็นชาววัยราว ๆ 35 ปี ผิวน้ำตาลเข้ม ผอมสูง แก้มตอบ ฟันสีแดงเพราะน้ำหมาก โผล่ออกมาจากซอกตึก
"เรทเท่าไหร่น่ะ" เบิร์ตถาม
"ก็ 870 จ๊าต ต่อหนึ่งดอลล่าร์ แบ๊งค์ใหญ่มั้ย" ถ้าแบงค์ใหญ่ๆอย่าง 20..50 ดอลล่าร์จะได้ราคามากกว่าอาจมากถึง 890 จ๊าต ถ้าใบละ 1-2ดอลล่าร์อาจจะได้ 850-860จ๊าตต่อดอลล่าร์
ต่อรองกันเรียบร้อยก็ต้องเค้าไปนับเงินกันตามซอกหลืบ เหมือนกำลังค้ายายังไงไม่รู้ แลกไป 50 ดอลฯ ได้เงินจ๊าตมาปึกใหญ่ แบ๊งค์ใหญ่สุดคือแบ๊งค์ 1000 จ๊าตมีค่าประมาณ 50 บาท

"มาจากไทยแลนด์หรอ?"
"ค่ะ"
"สวัสดีครับ" เขายิ้มกว้าง ทักกลับมาเป็นภาษาไทย
"อ้าว สวัสดีค่ะ" รู้สึกว่าคำว่าสวัสดีนี่จะเป็นที่รู้จักดีพอสมควร
"พูดไทยได้เหรอ?"
"หา?"
"อ้าว สบายดีมั้ย" ฉันยังพยายามต่อ
"โอ้ เย่ๆๆ สวัสดีครับ"

.........

สุเลพญา สาวไม่ทอนเงิน และ รถบัสสู่พุกาม

เรียบร้อยแล้วเราก็ต้องไปดูด้านในของสุเลพญากันก่อน (บ้างก็เรียกว่า ย่าน"สุเหล่") เป็นเจดีย์สีทองอร่ามเห็นแต่ไกล ถนนหลายสายมุ่งหน้ามาที่สุเลพญาแห่งนี้ ฉันถอดรองเท้ามาถือไว้ แล้วเดินเข้าไปเฉย ๆ ก็ไม่มีใครสังเกตุ จริง ๆ แล้วที่สุเลพญานั้นไม่เสียค่าเข้า แต่ถ้าเค้าเห็นว่าเป็นฝรั่งเค้าจะเรียกเลย
"ยู ยู ฝากรองเท้า" ฝรั่งก็นึกว่าต้องฝากน่ะซี
"2 ดอลล่าร์ ค่าฝากรองเท้า"
"อ้าว ต้องจ่ายด้วยเหรอ" เบิร์ตให้เป็นเงินจ๊าตไป ให้ไปแล้วทำมึน ทอนไม่ครบ
"นี่ ๆ เงินทอนยังไม่ครบ" เบิร์ตสะกิด สาวพม่าก็ควานหาเงินทอนมาโปะ
"ก็ยังไม่ครบอยู่ดีอ่ะครับ" ฝรั่งไม่ยอมง่าย ๆ สาวก็ทำเป็นเปิดลิ้นชักนู้น ปิดลิ้นชักนี้ เปิดกล่องนี้ ปิดกล่องนั้น จนฝรั่งเซ็ง เออ ไม่เอาก็ได้วะ ส่วนฉันนั้นยืนสังเกตุการณ์อยู่ไกล ๆ กลมกลืนไปกับคนพม่า เรื่องกลืนนี่ไม่รู้แต่เรื่องกลมนี่ กลมแน่นอน

เดินชมรอบ ๆ สุเลพญาจนหนำใจ แสบตาไปด้วย ทอง ๆ ๆ เรือหงส์ลำน้อยเอาไว้ใส่ทองแล้วชักขึ้นไปบนยอดเจดีย์ให้เจ้าหน้าที่เอาทองไปโปะเจดีย์ เรือเองก็ยังเป็นสีทอง

เสร็จจากสุเลพญาก็ได้เวลาจองตั๋วไปบะกัน (พุกาม) เราจะไม่อยู่ย่างกุ้งนานเพราะยังไงขากลับก็ต้องมาที่นี่อยู่ดี ยังมีเวลาอีกหลายวัน ต้องเผื่อไว้หากการเดินทางมีปัญหา ตกรถ ติดแหง็กอยู่ที่ไหนจะได้พอมีเวลาหายใจ ตั๋วรถบัสเราซื้อผ่านเอเย่นต์ที่หน้าร้านเป็นร้านขายของจิปาถะ ตั้งอยู่บนถนนด้านหลังของศาลาว่าการย่างกุ้ง หรือ city hall มีแค่ป้ายขนาดย่อม ๆ เท่านั้นเขียนว่า express bus tickets เราก็ถามหาตั๋วรถแอร์ไปบะกัน ราคาก็คนละ 6000 จ๊าต (เอา 5 คูณแล้วตัดศูนย์ออก ก็คนละราวๆ 300 บาท)

คนขายเป็นหญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดี แก้มทาด้วยตะนะคา ขาวเป็นวงๆ
"#$%^*&??@??" เธอหันมาพูดกันฉันหน้ายิ้ม ๆ
"อะไรนะคะ?" ฉันงงแตก ตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ "ไม่ใช่คนพม่าค่ะ แฮ่ะๆ ไทยแลนด์ค่ะ"
"อ๊าว.." เธอหัวเราะร่วน หันไปเมาธ์กับลุงอีก 2 คนที่นั่งกินลมชมวิวอยู่หน้าร้านชี้โบ๊ชี้เบ๊ ถึงจะฟังไม่ออกแต่เดาเอาจากท่าทางก็เดาได้ ลุงหันมาบอกว่าป้าเค้านึกว่าฉันเป็นคนพม่าเต็มที่ ตลกดีที่เห็นหน้าเหมือนแถมแต่งตัวยังเหมือนอีก แต่กลับไม่พูดภาษาพม่า แหม่ ...

ไปชิมอาหารที่ย่างกุ้งกันหน่อย

ได้ตั๋วรถแล้วก็ต้องหาของใส่ท้องกันหน่อย เดินลัดเลาะมาตามถนนมองหาร้านอาหาร ตลอดริมทางเท้านี่จะมีแผงลอยเต็มหมด จะเรียกว่าแผงคงไม่ถูกนัก เพราะนั่งขายกันบนพื้นเลย เอาผ้าปูนิดนึงแผงเผิงไม่ต้อง ไม่ลอยด้วย เห็นเค้าขายซาโมซ่า กำลังทอดอยู่ในกะทะร้อน ๆ ดูน่ากินเลยหยิบมา 3 ชิ้น 200 จ๊าต กัดลงไปแล้ว เฮ่อ ไม่อร่อยวุ้ย มันแห้งไปหน่อย แต่กะทะสำหรับทอดซาโมซ่านี่น่ารักดี คือจะเป็นโครงไม้ 2 ชั้น สูงประมาณเอว ชั้นล่างสำหรับวางกะทะใบเล็ก ๆ เท่าชามก๋วยเตี๋ยว ส่วนด้านบนเป็นเหมือนตะกร้าก้นกลม ๆ ไว้วางขนมที่ทอดเสร็จแล้ว น้ำมันก็จะสะเด็ดแล้วลงไปที่กะทะด้านล่าง



ถนนที่ย่างกุ้งนี่เดินง่าย เพราะเป็นบล็อคสี่เหลี่ยมหมด ไม่มีถนนคดเคี้ยว ซอยวกวน เหมือนกรุงเทพฯ แล้วก็เจอร้านขายก๋วยเตี๋ยวฉาน ชื่อร้าน "999" ตื่นเต้น ๆ จะได้กินอาหารพม่า พอนั่งปุ๊บ ของทานเล่นก็มาวางปั๊บ เป็นแป้งทอดคล้าย ๆ เต้าหู้ทอด กับน้ำจิ้มเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ให้นั่งกินเล่นไปก่อน

ได้เมนูมาก็สั่งน้ำก่อนเลย น้ำอัดลมแบรนด์นอกที่นี่ค่อนข้างแพงเพราะต้องนำเข้า ฉันเลยสั่ง"สตาร์โคล่า"ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ผลิตในพม่าแทน ฮ๊า อร่อยชื่นใจ รสชาตินั้นก็ไม่ต่างจากแบรนด์ดัง ส่วนเมนูนั้นตัดสินใจไม่ได้ ฉันเลยสั่งอะไรก็อย่างนึงจิ้ม ๆ เอาจากเมนู ตอนเค้าเอามาเสิร์ฟกลายเป็นเกี๊ยวห่อไส้หมูไปซะฉิบ ไอ้ที่หวังว่าจะได้กินก๋วยเตี๋ยวเลยแห้วไป จำต้องหยิบแทะไปให้หมดด้วยความเสียดาย นั่งดูเบิร์ตซดก๋วยเตี๋ยวโฮกๆด้วยความอิจฉา นี่แหละชอบสั่งอะไรไม่ถามก่อน มื้อนี้ก๋วยเตี๋ยวชามละ 4000 จ๊าต ก็ราว ๆ 20 บาท โคล่าขวดละ 100 จ๊าต

ร้านข้างทาง วัฒนธรรมนั่งยอง ๆ และนั่งเตี้ย ๆ

ข้างทางนอกจากจะมีของร้อยแปดพันประการเช่น หูซาวด์เบาท์ โปสเตอร์ดารา ลงจี (โสร่งพม่า) หนังสือเก่า เสื้อผ้า ไฟฉาย ซีดีหนัง ฯลฯ แล้วก็ยังมีของทั้งแบบกินเล่นและกินจริงเรียงรายตลอดทาง เบิร์ตหยุดที่ร้านแบกะดินขายแผ่นโปสเตอร์สอนหนังสือแบบ ก.ไก่-ฮ.นกฮูก แต่เป็นอักษรพม่า น่ารักดี จ่ายเงินซื้อไป 100 จ๊าต

ที่นิยมกันมากคือร้านน้ำชา คนจะมานั่งซดชา กาแฟ แทะขนมคุยกันทั้งวันถือเป็นกิจกรรมบันเทิงอย่างหนึ่งของคนพม่า ชา กาแฟเค้าเข้มข้นหวานมันดี ถูกใจร้านไหนก็นั่งได้เลย

เก้าอี้จะเป็นแบบเก้าอี้ที่เราเอาไว้นั่งซักผ้า แต่มีพนักพิงด้วยเหมือนเก้าอี้เด็ก โต๊ะก็เตี้ย ๆ คือโต๊ะใหญ่เก้าอี้สูงคนที่นี่นั่งไม่สบาย (เราก็ว่าเก้าอี้เตี๊ย ๆ สบายกว่านะ) บางที่เก้าอี้เตี้ยแล้วคนนั่งยังขึ้นไปนั่งยอง ๆ อีกต่างหาก อันนี้เป็นวัฒนธรรมเอเชียที่ฝรั่งอึ้งทึ่งเสียวมาก เพราะฝรั่งบางคนนั่งไม่ได้ ถ้านั่งยอง ๆ แล้วส้นเท้าไม่สามารถติดพื้นได้ต้องนั่งแบบโหย่ง ๆ บนปลายเท้า ส้นเท้าติดพื้นเมื่อไหร่นี่หงายเก๋งเลย แล้วคิดดูว่าหากฝรั่งต้องนั่งส้วมแบบนั่งยอง ๆ นาน ๆ เนี่ย โห น่าอนาถมาก เวบบอร์ดบางแห่งฝรั่งถึงกับตั้งกระทู้กันเลยว่า เฮ๊ะ ไอ้ส้วมแบบนี้นี่มันใช้ยังไงนะแก ต้องถอดกางเกงออกไปแขวนที่อื่นก่อนหรือเปล่า หรือเอาแค่ถอดลงมากองเฉย ๆ เฮ้ย แล้วถ้าท้องเสียล่ะ ฯลฯ ฉันอ่านแล้วอึ้ง มันซีเรียสกันขนาดนั้น

ไป ๆ มา ๆ ไหงกลายเป็นเรื่องส้วมไปได้ กลับมาที่ร้านน้ำชากันต่อ ทุกร้านเค้าจะมีขนมใส่ถาดเล็กๆ หรือใส่จานไว้ให้เลือกทาน ส่วนมากก็เป็นเบเกอรี่ ขนมเปี๊ยะ ฯลฯ เรานั่งปั๊บก็มาเลย แล้วเราก็เลือกขนมเอาจากในถาด สั่งเก็บตังค์ปุ๊บก็จ่ายเท่าที่เรากินไป นับเป็นชิ้น ๆ ไป พอเราไป เค้าก็จะเอาขนมมาเติมในถาดเพื่อรอลูกค้ารายต่อไป ร้านน้ำชาที่นี่เปิดกันตั้งแต่เช้าไปยันดึก คนก็นั่งกันตลอดเหมือนกัน อยากรู้ว่าร้านไหนดีต้องลองถามกันดูเอาเอง หรือจะเลือกเองก็แล้วแต่ชอบใจ

ของกินเล่นและกินจริง
นอกจากร้านน้ำชาแล้วก็ยังมีร้านอื่น ๆ ที่ตั้งกันเหมือนร้านขายขนมจีนบ้านเรา ของเค้าแปลออกมาเป็นชื่อเรียกกันเล่น ๆ ว่า "นิ้วคลุก" คือเป็นเส้นลักษณะเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นโซบะ หรือหมี่ขาวก็แล้วแต่เลือก คนขายก็เอามือนี่แหละคลุกกับน้ำปรุงรสสีขมิ้น เหตุนี้เองจึงเรียกว่านิ้วคลุก ร้านแบบนี้สังเกตุง่าย จะมีเส้นหมี่เหลืองและขาว อยู่ในชามใหญ่ ผักซอย และแผ่นแป้งกรอบใส่เม็ดข้าวโพดใส่ถุงไว้เป็นอ๊อปชั่น อารมณ์เดียวกับแคบหมูร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเมืองไทย และโดยมากจะให้น้ำซุปแยกมาอีกชามด้วย

มีคล้ายกันอีกอย่างก็คือ "โมฮิงก่า" ลักษณะจะเป็นเส้นแป้งข้าวเจ้าใส่น้ำซุป หรือน้ำแกงที่มีเนื้อปลาผสม และปรุงรสด้วยเครื่องปรุงเหมือนกัน อารมณ์คล้ายๆ กินขนมจีนหน้าสวนจตุจักร คนนิยมทานกันมากเพราะเร็วและถูกชามละไม่กี่ร้อยจ๊าต แต่ทุกอย่างจะปรุงมาให้เสร็จแล้ว เพราะฉะนั้นจะไม่มีเครื่องปรุงวางเต็มโต๊ะแบบบ้านเรา เศร้าชะมัด แต่รสชาติของเค้าถือว่าปรุงมากลมกล่อมแล้ว



พม่านี่ก็มีข้าวซอยด้วยนะ แถมยังเรียกคล้าย ๆ กันอีกด้วย คือ "เข้าซแว" เคยถามคนพม่าว่าแปลว่าอะไรเค้าก็บอก แปลว่าก๋วยเตี๋ยว (?) แต่มาเห็นเอง มันก็ข้าวซอยน่ะแหละ แต่ของเข้าใส่ไข่ต้มด้วย

ร้านของกินเล่นอื่น ๆ ที่เห็นมากก็มีน้ำอ้อยสด คั้นกันเห็น ๆ แทบทุกร้านจะห้อยกระพรวนไว้ที่ล้อที่เค้าใช้คั้นอ้อย เวลาล้อหมุนเสียงก็จะดังกรุ๊งกริ๊ง ๆ ได้ยินไปไกล น้ำอ้อยสดนี่ตกแก้วละ 100 จ๊าต แต่เลือกร้านสะอาด ๆ หน่อยนะ บางร้านแผ่นที่ใช้รองน้ำอ้อยให้ไหลมาลงชามนี่ไม่รู้ใช้มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าบุเรงนองหรือเปล่า เก่าม้ากกก... บางร้านเค้าจะใส่มะนาวฝานลงไปด้วยให้รสหอมมะนาวหน่อย ๆ

ถัดมาก็เป็นร้านของว่าง มีทั้งเลือดหมูต้มแล้วหั่นบาง ๆ เสียบไม้ ไข่นกกระทา มะละกอหั่นพอดีคำแบ่งไว้เป็นกอง ๆ คนซื้อก็ยืนจิ้มกินจากถาดตรงนั้นเลย จ่ายเงินปุ๊บก็จ้วงมะละกอกันเลย น้ำผลไม้รวม (รู้สึกมันจะรวมกันมากไปนิด คือไม่รู้อะไรรวมกับอะไร เลยไม่กล้ากิน) ลอดช่องน้ำเชื่อมใส่แก้ว เต้าหู้แผ่นทอดเสียบไม้ แล้วก็เมี่ยง ที่ดูๆไปก็คล้ายเมี่ยงคำของเราน่ะแหละ แต่คนพม่าเค้าเรียก ลาพะโต แต่เค้าใช้ใบชาที่หมักมาแล้วมาห่อเมี่ยง ไม่ได้ใช้ใบพลูหรือใบทองหลางเหมือนบ้านเรา ดู ๆ ไป ไทย พม่าก็มีเรื่องที่เหมือนกันอย่างคือ มีวัฒนธรรม "กินเล่น ๆ" เหมือน ๆ กัน คือมันไม่หิวหรอก แต่อยากกินเล่น ๆ มีอะไรมั้ย

แม้แต่แผงที่พอเพียงที่สุดคือ ชั้นไม่ขายอย่างอื่นนอกจากน้ำเปล่า อันนี้ชอบมาก อุปกรณ์คือถังอลูมีเนียม 1 ใบ ลวดขนาดหนาพอสมควรผูกเข้ากับถัง ให้สูงขึ้นมาจากถังซัก 2-3 คืบ ที่ปลายลวดก็ทำเป็นบ่วงเอาผ้าทำเป็นที่กรองบุรอบ ๆ เท่านี้ก็จะได้ถุงไว้วางน้ำแข็งก้อนใหญ่ ไม่มีลูกค้าก็เอาน้ำราดก้อนน้ำแข็งไป น้ำในถังจะได้เย็น เวลาลูกค้ามาก็ตักเอาน้ำจากในถัง ราดน้ำแข็งด้านบน โดยอีกมือหนึ่งถือแถ้วรอไว้ด้านล่างถุงน้ำแข็ง เท่านี้ก็ได้น้ำเย็นชื่นใจ 1 แก้ว บางร้านก็ขายขนมแล้วบริการน้ำให้ฟรีอีกต่างหาก

นมัสการมหาเจดีย์ชเวดากอง

เดินชมแผงลอยจนเมื่อยแล้วก็ไปชเวดากองกันเลยดีกว่า ขึ้นรถที่สุเลพญาค่ารถคนละ 10 จ๊าต (10 จ๊าตเนี่ยนะ ถูกที่สุดในโลกหรือยังเนี่ย) ไปลงแถว ๆ ชเวดากองแล้วเดินเอาหน่อย มีรถหลายสายที่ผ่าน แล้วแต่จะผ่านทางทิศไหน ชเวดากองนี้ดูใหญ่โตมาก ถึงจะเล็กกว่าเจดีย์ที่บาโก(หงสาวดี) แต่ด้วยเพราะตั้งอยู่บนเนินที่สูงกว่าเลยดูใหญ่ ด้านในนั้นสวยมากจริง ๆ ส่วนค่าเข้าชมนั้นก็อยู่ที่คนละ 5 ดอลล่าร์ (ใครจะแอบมั่วเดินมึนๆเข้าไป เค้าก็ไม่รู้หรอก) ความสะดวกสบายนั้นไม่ต้องห่วงเพราะมีทั้งลิฟต์แก้วและบันไดเลื่อนบริการกันเต็มที่ ยามค่ำคืนไฟจะสว่างสวยทำให้เจดีย์ที่เป็นสีทองทั้งองค์ยิ่งถูกขับให้เด่นขึ้นมาอีก ที่นี่เปิดให้คนเข้าไปนมัสการเจดีย์กันได้ถึง 3 ทุ่ม สำหรับนักท่องเที่ยวนั้นก็นิยมไปดูพระอาทิตย์ตกกันมาก

รอบ ๆ เจดีย์นั้นก็จะมีซุ้มพระพุทธรูป ต่ำลงมาจะเป็นรูปสัตว์มงคลตามวันเกิด คือ วันจันทร์ เสือ,อังคาร สิงโต,พุธกลางวัน ช้างมีงา,พุธกลางคืนช้างไม่มีงา,พฤหัสฯ หนูใหญ่,ศุกร์ หนูเล็ก,เสาร์ พญานาคและวันอาทิตย์คือครุฑ วิธีการสักการะคือตั้งจิตอฐิษฐาน ถวายดอกไม้ธูปเทียน ฉัตรเงินฉัตรทองตามสะดวก ซึ่งเค้าจะมีจัดเป็นชุดไว้ ราคาชุดละประมาณ 200 จั๊ต เสร็จแล้วตักน้ำราดลงบนพระพุทธรูปจำนวนขันก็เท่ากับจำนวนวันเกิด (อายุมากหน่อยก็นับขันละ 10 ปีก็ได้) และทำเหมือนกันทำรูปสัตว์มงคล จะบริจาคเงินลงกล่องอีกก็ไม่ว่า เท่านี้เป็นอันเสร็จพิธี


ยามค่ำคืนของย่างกุ้ง

เดินออกมาจากชเวดากองแล้วก็งงว่าจะไปทางไหนดี มืดแล้วด้วยซิ เลยเดินไปเลยเรื่อย ๆ จนถึงป้ายรถเมล์ กะว่ารถเมล์ไหนมาก็ขึ้นแหละวะ พอรถมาก็ไม่มีเวลาถามนาน สงสัยคงอยู่ในสายเลือดกระเป๋ารถเมล์ทุกคนเป็นแน่ ทุกชาติด้วยหรือเปล่าไม่รู้ หรือเฉพาะประเทศแถบๆ บ้านเราก็ไม่ทราบได้
"เร้วๆๆๆ ขึ้นเล้ำยๆๆๆ" กระเป๋าส่งเสียงเรียกมาจากบนรถ
"ไปตลาดป่าว มาเก๊ต มาเก๊ต" ฉันตะโกนถามกลับไป กระเป๋าใช้เวลาคิดอยู่เสี้ยววินาที (จริงๆ!!)แล้วตะโกนกลับมาว่า
"ไปๆๆๆๆๆ!"

ก็ไม่รู้ไว้ใจได้หรือเปล่าบางทีรถน่ะไม่ไปหรอก แต่เสียเวลาบอก ก็บอกว่าไปหมดนั่นแหละ พอเค้าบอกให้ลงได้ก็ลง อยู่ส่วนไหนของย่างกุ้งก็ไม่รู้เนี่ย ต้องเปิดแผนที่ห่วย ๆ ในไกด์บุ๊ค ดู(มีอยู่เล่มเดียวนั่นแหละ ข้อมูลมักผิดอยู่บ่อยๆ แผนที่ก็ผิดสัดผิดส่วนอยู่เสมอ ไอ้ที่คิดว่าไม่ไกลดูจากแผนที่ พอเดินจริงแล้วโคตรไกล บางทีดูเออมันอยู่ติดกับสะพาน แต่จริงๆแล้วเลยสะพานไปอีกนานเลยก็มี แต่มีอยู่เล่มเดียวต้องทำใจ)

แต่เอาเถอะ ยังไงเราก็เดินกลับมาย่านสุเลพญาได้ก็แล้วกัน ต้องขอบคุณผังเมืองย่างกุ้งที่เป็นบล็อค ทำให้ดูง่าย และ เดินง่าย ร้านค้า ร้านอาหารริมทาง ร้านน้ำชายังแน่นไปด้วยผู้คนที่ยังนั่งคุยจิบกาแฟและคุยกันไม่เลิกรา สำหรับมื้อค่ำนี้เราเลือกกินที่ร้าน "โอกินาว่า" ถัดจากเกสต์เฮาส์ที่เราพัก ฉันเปิดดูเมนูมีรูปประกอบแพรวพราวมาก และแน่นอน ราคานักท่องเที่ยว สตาร์โคล่าขวดละ 200 จ๊าต บะหมี่ผัดจานละ 700 จ๊าต ซึ่งราคานี้ปรกติสำหรับนักท่องเที่ยวถึงจะไปกินที่ร้านที่คนพม่าก็เข้ากันปรกติ แต่ราคาที่ขายนักท่องเที่ยวมักจะสูงกว่าเสมอ รสชาติพอใช้ได้ ไม่ขี้เหร่

อิ่มท้องแล้วก็เดินกลับที่พัก เจอพี่มืดคนที่แลกเงินอีกแล้ว พอเห็นเราก็ตะโกน "สวัสดีครับ!" อีกแล้ว เลยตะโกนถามกลับไปเป็นภาษาไทยว่า "กินข้าวยังเพ่!"
"เย่ๆๆ สวัสดีครับ" เท่จริง ๆ คนอะไร




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 23 กรกฎาคม 2549 13:36:42 น.
Counter : 1558 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.