ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 
มิงกะลาบาปีใหม่

วันพฤหัสฯที่ ๑ มกราคม ๒๔๔๗

ถ้าเป็นเมืองไทยเราก็อาจจะได้เห็นทุกบ้านติด Happy New Year กันให้เกร่อ หรือไม่ก็ได้ฟังเพลง "สวัสดีปีใหม่" กันจนเบื่อกันไปข้าง แต่เช้าวันแรกของปีที่ย่างกุ้ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการประดับตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ ยกเว้นตามถนนเล็กๆที่เราอาจจะได้เห็นฝีมือศิลปินสมัครเล่น ละเลงชอล์คสีสันสดใสบนถนน เขียนว่า Happy New Year บนพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ

เราขอเปลี่ยนห้องจากห้องหรู (เราก็ว่าหรูของเราอ่ะนะ) ไปห้องที่บ้านๆ กว่านั้นหน่อย แถมยิ่งสูงเข้าไปอีก คืออยู่บนดาดฟ้า ฟังดูตลกๆ แต่ฉันชอบมาก เพราะมีพื้นที่โล่ง เหมือนดาดฟ้าตึกแถว เค้าเอากระถางต้นไม้มาวาง แล้วก็มีโต๊ะพับเก้าอี้พับแบบกันเองๆ ไว้ให้แขกนั่งพักผ่อน บางคนก็ขึ้นมาสูบบุหรี่ นั่งคุยกันกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่นี่

ห้องใหม่ที่เราได้วันนี้ชื่อห้อง Pearl หรือ "มุก" (ห้องอื่นๆก็ชื่อเก๋ไม่แพ้กัน เช่น ห้องหยก ห้องทับทิม ห้องเพชร ฯลฯ) ไม่มีห้องน้ำในตัว แต่ห้องกว้างมากกกก เตียงสองเตียงนี่ห่างกันจนแทบต้องโทรเลขคุยกัน เราเลยมีพื้นที่ให้วางกระเป๋า สัมภาระอะไรให้รกห้องเต็มไปหมด ส่วนห้องน้ำก็อยู่ด้านล่างของห้อง เดินลงบันไดไปหน่อยก็ถึงแล้ว แต่ข้อเสียคือดันมีเครื่องปั่นไฟทำงานดังหึ่งๆ เป็นระยะ แต่โดยรวมแล้วชอบมาก ห้องนี้ ลมเย็นดี ห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเราเป็นห้องพักของคนที่ทำงานในโรงแรม หน้าห้องเห็นมีรองเท้าถอดวางอยู่ 7-8 คู่ได้

หนทางกว่าจะถึงที่หมาย

วันนี้เราตั้งใจจะไปเที่ยว เยเลพญา (Yelepaya) ที่เป็นเจดีย์กลางน้ำอยู่ที่ โจ๊กตัน (Kyuaktan) ซึ่งอยู่ออกจากตัวเมืองย่างกุ้งไปหน่อย กะว่านั่ง เอ๊ย ยืนโหนรถเมล์ไปพอเมื่อยก็ถึง แต่ยังไม่รู้จะไปยังไงเลยลงไปถามที่เคาท์เตอร์โรงแรม พนักงานก็ออกจะเป็นห่วง
"คุณจะไปเยเลพญากันเหรอครับ"
"ค่า ว่าแต่ไปขึ้นรถที่ไหน ลงที่ไหนคะ จะไปต่อรถถูกค่ะ"
"แหม แต่ว่าผมว่ามันไปยากนา ขนาดผมเองยังลงไม่ค่อยจะถูกเลย"
"จริงง่ะ"
"ฮื้อ จริงๆ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ลองดู"
"ผมก็ไม่มั่นใจ เดี๋ยวถามป้าให้นะครับ" แล้วเค้าก็หายไปพักหนึ่ง กลับมาพร้อมกับคำตอบ
"นี่นะครับ ไปขึ้นรถเมล์ที่ถนน 28 สาย 217 ครับ ไปลงที่ ตันลโย" ฉันก็จดไปด้วย เค้าก็อธิบายทางต่อ แต่มาสะดุดตรงที่คำว่า "ตันลโย" นี่แหละ เพราะจำได้ว่าเคยอ่านในหนังสือฝรั่งเขียนว่า ตันลยิน (Thanlyin) ฉันมาถามเบิร์ตทีหลัง เบิร์ตก็บอกว่าได้ยินว่า ตัยลโยเหมือนกัน เอาวะ ตันลโย ก็ ตันลโย ... จริงแล้ว Thanlyin นี้ คนไทยอาจจะคุ้นกับอีกชื่อก็คือ "สิเรียม" นั่นเอง
"ต่อนะครับ"
"ค่ะ ค่ะ ขึ้นรถเมล์สาย 217 แล้วไงต่อคะ"
"ค่ารถ คนละ 30 จ๊าตนะครับ นั่งรถไปประมาณ 40 นาทีนะครับ แล้วไปลงที่ตลาด สังเกตุด้านขวาจุดที่มีรถกะป๊อสีฟ้าๆ จอดเยอะๆน่ะครับ ซ้ายมือจะเป็นตลาดขายเสื้อผ้าของใช้อะไรพวกนี้ ลงตรงนั้นแหละครับ"

ฟังดูไม่ยาก แต่หาจุดลงเนี่ยซิ จะรอดมั้ยเนี่ย แต่เราก็จดๆๆ ขอบคุณเค้าแล้วก็ไปท่ารถเมล์เลย

คนแน่นเหมือนทุกที แต่พอออกนอกตัวเมืองไปหน่อยก็เห็นต้นไม้เขียว ลมเย็นสบาย แต่เมื่อยแขนโคตรๆ รถปุเลงไปนานพอดู ก็มาจอดที่ที่นึง เราสองคนมองหน้ากันก็รู้ว่า ต่างคนต่างอยากถามว่า
"ใช่ป่าววะ!?" แต่ไม่มีใครอยากเสียฟอร์มถามก่อน
"เอ...รถ กะป๊อ สีฟ้า.." ฉันมองไปทางขวา "นั่นไง เฮ้ย มีนะรถกะป๊อสีฟ้า"
"อืมมมม" เบิร์ตยังไม่มั่นใจ ฉันเลยมองไปทางซ้าย
"เฮ้ย ซ้ายเป็นตลาด ใช่แหละๆๆ"

เบิร์ตมันก็ได้แต่ อืมๆๆ อยู่ได้ กลัวลงไปแล้วถ้าผิดที่จะไม่มีรถไปต่อละมั้งท่า แต่พอรถจะออกจริงๆน่ะแหละ เบิร์ตถึงได้กระโดดแผล็วไปที่บันไดรถ
"เฮ้ย ลงๆๆๆ ! ลงเหอะ ลงเหอะ" เด่อ..ทำเป็นนิ่ง นึกว่ารู้ทาง

เราลงมาได้ก็ไม่ยักกะมีชาวบ้านมาสนใจเราเล้ยยยย บางครั้งมันดีตรงที่หน้าเหมือนคนท้องถิ่น แต่บางครั้งเพราะหน้าตากลมกลืนกันนี่แหละ ไปถามทางอะไรใครเค้าเป็นภาษาอังกฤษ เค้าก็จะมองหน้าประมาณว่า "ไรเนี่ย อำกันหรือเปล่า ฮึ"

จะถามใครก็สงสัยจะออกเสียงไม่ถูก ฉันเลยค้นๆเอาข้อมูลที่ก็อปปี้มา มีชื่อสถานที่ คือ Kyuaktan เป็นภาษาพม่าอยู่ด้วย แล้วก็ลอกด้วยลายมือลงกระดาษ ลองไปถามอีกที คราวนี้ไม่ได้พูดอะไร เล่นภาษาใบ้ก่อนเลย แล้วยื่นกระดาษให้ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ทำท่าแบบ "อ๋อ รู้ละๆๆ โจ๊กตัน" แล้วก็ชี้ไปทางตลาด ก็เพิ่งรู้ว่า Kyuaktan นั่นออกเสียงว่า โจ๊กตัน หาใช่ กวั๊กธัน อย่างที่เราเสร่อถามเค้าไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว มิน่าล่ะมันไปไม่ถึงซักที

คนที่โรงแรมบอกทางถูกแล้ว แต่ไม่ยักบอกว่าต้องต่อรถไปอีก เราต้องเดินทะลุตลาดไปเจอถนนอีกฝั่ง แล้วไงล่ะทีนี้ ไปโผล่หมู่บ้านอะไรก็ไม่รู้เว้ยเฮ้ย กำลังยืนงงๆกันอยู่ก็มีเสียงสวรรค์มาโปรด
"เยิ้วววๆๆ" หันไปก็เจอเจ้าของเสียงเป็นคุณตา เดินเอามือแกว่งถังพลาสติกเปล่าๆมาด้วย (ไม่รู้เอาไปทำไรเหมือนกัน)
"จะไปไหนกันเหรอ" คุณตาถามเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงเหมือนเพิ่งจบมาจากเคมบริดจ์ ทำเอาเราเหวอ
"จะไปโจ๊กตันครับ" เบิร์ตบอกพร้อมยื่นกระดาษให้ดู
"อ๋อๆๆ จะไปเยเลพญากันใช่มั้ย"
"อ้าาา ใช่ครับๆ"
"มาๆๆ เดี๋ยวเดินไปด้วยกัน จะไปทางนั้นพอดี เดี๋ยวบอกทางขึ้นรถให้นะ" โอ้โห ซึ้งมาก คุณตาใจดีสุดๆ
"ว่าแต่ทำไมคุณตาพูดอังกฤษเก๊งเก่งละคะ เมื่อกี๊ถามเด็กๆไม่มีใครพูดเลย แต่ยังดีนะคะที่เค้าช่วยบอกทางให้มาจนถึงตรงนี้"
"อ๋อ คนแก่ๆที่นี่พูดได้ทั้งนั้นแหละ แต่เด็กๆเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ซิ เค้าไม่ค่อยพูดกันนะ" สงสัยจะเป็นอิทธิพลจากอาณานิคมอังกฤษละมั้ง

พอเดินมาถึงแยก คุณตาก็ชี้ให้เลี้ยวซ้ายไปหอนาฬิกา รถจะมาทางนั้นแหละ ต่อรถไปเยเลพญาที่นั่นอีกคนละ 20 จ๊าต เรายืนรอกันซักพักก็มีรถมินิบัสวิ่งปุเลงๆมา แล้วก็มีกระเป๋ารถเมล์ ห้อยโหนมาข้างรถจนโสร่งปลิว ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า "โจ๊กตันๆๆๆ!" เราเลยได้ขึ้นรถมาได้ด้วยความโล่งอก (ไปหนึ่งเปลาะ)

คนพม่า 120 คนต่างชาติ 1500

รถวิ่งแบบหวานเย็นฝุ่นคลุ้งมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาสุดสายที่ตลาด ไปไหนต่อไม่ได้แล้ว เพราะข้างหน้าต่อจากนี้ก็เป็นแม่น้ำแล้ว เจดีย์คงอยู่แถว ๆ นี้แหละ เราเดินลงจากรถแล้วเลี้ยวขวาไปตามตลาด เห็นร้านรวงและผู้คนมากมาย บางคณะก็ถึงกับเหมารถบัสมา เห็นบางคันเป็นคณะมาจากเมืองไทยด้วย เพราะเห็นป้ายชื่อบริษัททัวร์เป็นภาษาไทย ยืนอยู่ซักพักก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยู่ หนองมน! ถ้าเปลี่ยนร้านขายข้าวแกงเป็นร้านขายข้าวหลามล่ะก็ใช่เลย แต่ร้านค้าจะไปอัดแน่นกันอยู่ตรงท่าน้ำที่จะข้ามไปเจดีย์ ส่วนทางด้านตลาดก็เล็กหน่อย มีร้านโชว์ห่วยอยู่ประปราย

เยเลพญา ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเกาะกลางน้ำ ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง เราไปชะโงกดูราคาค่าข้ามเรือแล้วก็อึ้งอีกแล้ว วันนี้ไม่รู้อึ้งไปกี่รอบแล้วนะเนี่ย เพราะค่าข้ามเรือสำหรับคนพม่า แบบข้ามไป-ข้ามกลับอยู่ที่คนละประมาณ 120 จ๊าต แต่สำหรับคนต่างชาติอยู่ที่คนละ 1500 จ๊าต! อะไรจะต่างกันขนาดนั้น พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง หันไปดูเบิร์ต ก็เห็นกำลังทำตาปริบ ๆ
"สงสัย.. คงจะไม่ข้ามไปดูดีกว่าว่ะ ฝรั่งเซ็ง"
"อ้าว แล้วชั้นล่ะ"
"เธอก็ข้ามไปดิ่ หน้าเหมือนอยู่แล้วด้วย"
"เฮ้ย ไม่เอา เดี๋ยวพอข้ามกลับมาหากันไม่เจอ ก็ยุ่งอะดิ"
"ทำไมจะไม่เจอก็เดินอยู่แถว ๆ นี้แหละ"
"โห พอเลยๆ ขนาดในสนามบินดอนเมืองยังหาเธอไม่เจอ ชอบเดินเรื่อยเปื่อย"
"อะไรว้า มาถึงนี่จะไม่ข้ามไปดูเหรอ"
"ก็มันแพงอ้ะ"
"แพงไรก๊านนน ก็ปลอมตัวเข้าไปซิ"
"แต่...ฯลฯ" ระหว่างกำลังเถียง ๆ กันอยู่ พนักงานขายตั๋วเรือข้ามฟากก็เห็นพอดี เลยถามเป็นภาษาอังกฤษว่า อ่าว พวกยูสองคนน่ะ ไปมั้ย มาเร้วๆๆ ซวยเลย โดนจับได้ตั้งกะยังไม่ได้ปลอมตัว อดเลย จะให้จ่ายตั้ง 1500 จ๊าตเนี่ยนะ ไม่ไหวมั้ง ดูเอาจากฝั่งนี้ก็ได้ ฮึ!


เยเลพญา

เราเดินไปนั่งทอดหุ่ยอยู่ที่ศาลาริมน้ำ อากาศร้อนๆแบบนี้ ได้นั่งในศาลาริมน้ำ ลมเย็น ๆ ก็สบายใจดี

ย่านนี้ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าค้าขายระหว่างพม่ากับต่างชาติ เช่น ดัชท์ ฝรั่งเศส อังกฤษ ราวๆ ช่วงศตวรรษที่ 15 ซึ่งตอนนั้นยังมีพวกมอญตั้งถิ่นฐานเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของพม่าอยู่แถว ๆ นี้ด้วย การค้าขายที่นี่คึกคักเรื่อยมาจนกระทั่งเมืองถูกทำลายลงราว ๆ ปี ค.ศ. 1756 โดยกษัตริย์อลองพญา

ทุกวันนี้ เจดีย์สีทองอร่ามก็ยังอยู่ โดยสร้างขึ้นเกาะเล็ก ๆ มีต้นมะพร้าวโด่เด่อยู่สามต้น ดูไปก็น่ารักดีเหมือนเกาะในการ์ตูนมุขติดเกาะในขายหัวเราะ ส่วนชื่อ "เยเลพญา" ภาษาพม่าก็แปลออกมาตรงตัวว่า "เจดีย์ที่อยู่กลางน้ำ" ด้านในประกอบไปด้วยอาคารรับรองนักแสวงบุญ สำนักสงฆ์ ฯลฯ กิจกรรมที่นิยมทำกันคือให้อาหารปลาดุกซึ่งมีอยู่ชุมมาก คนก็โปรยขนมปัง เศษอาหารให้ บางครอบครัวก็มาไหว้พระ แล้วถือโอกาสพาเด็ก ๆ มาให้อาหารปลากันเป็นที่สนุกสนาน

ศึกชิงช็อคโกแลต

นั่งชื่นชมเจดีย์ไปได้ซักพักก็เริ่มมีเด็กผู้ชายคนนึงมานั่งด้วย พูดอะไรก็ไม่พูด มานั่งยิ้มไปยิ้มมาอยู่อย่างนั้น ฉันชวนคุย แต่เด็กก็ดูจะไม่พูดภาษาอังกฤษ ฉันอยากจะหาเรื่องเล่นด้วย เลยพยายามหาดูว่ามีขนมอะไรเหลือบ้างหรือเปล่า ควานไปก็เจอแท่งชอคโกแลตที่ซื้อตุนไว้แต่ลืมกิน เลยยื่นให้ไป เด็กน้อยยิ้มหน้าบ้านเป็นกระด้ง แล้วก็วิ่ง ลัล ล้า ลัล ลา หายไป ยังไม่ทันไรก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอีก 4-5 คนวิ่งมาหาฉันอีก ถึงจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่พอรวมกับท่าทางชี้มือชี้ไม้ไปที่เด็กผู้ชายคนแรกที่กำลังแทะช็อคโกแลตอย่างเมามัน แล้วชี้กลับมาที่ตัวเองกับเพื่อนๆ พอเข้าใจได้บ้าง ว่า "ทำไมให้คนเดียว แล้วพวกเราล่ะ!" ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะมีแท่งเดียว เลยทำท่าบอกว่าให้ไปแบ่งกันซิ มีแท่งเดียว ...เท่านั้นแหละ! เจ้าลิงพวกนี้วิ่งปรู๊ดไปที่เด็กคนแรกตะโกนกันเสียงดังลั่น ส่วนไอ้เด็กคนนั้นมันวิ่งหนีไปเฉยเลย! ทำให้เด็กอีก 5 คนวิ่งตามเป็นพรวน! เราจะขำก็ขำ จะรู้สึกผิดก็รู้สึกผิด เพราะเหมือนไปทำให้เด็กมันตีกันซะงั้นน่ะ เราเลยหนีไปหาข้าวกลางวันกินดีกว่า

เดินเลือกดูร้านแถว ๆ นั้นแหละ แต่ดู ๆ ไปแล้ว ไม่ค่อยมีอะไรน่ากินเท่าไหร่ เลยไปนั่งที่ร้านขายเครื่องดื่มร้านนึง ที่โต๊ะไม้ตัวยาวในร้านมีคนพม่านั่งอยู่แล้วประมาณ 8-9 คนเห็นจะได้ สงสัยมาด้วยกัน กำลังคุยกันอย่างออกรส ซักพักสาวเจ้าของร้านก็เดินยิ้มแป้นออกมา ทักฉันเป็นภาษาพม่าก่อนเลย ตามด้วยประโยคยาวเป็นรถไฟ คงจะเป็นรายการอาหารแนะนำหรืออะไรซักอย่าง

"เอ่อ อ่า ขอสตาร์โคล่าขวดนึง" ฉันสั่งเป็นภาษาอังกฤษแบบกระมิดกระเมี้ยน
"ฮ๊า!" สาวเจ้าของร้านทำหน้าเหมือนเปิดฝาโออิชิเจอเงินล้าน
"เฮ้ย!" ทำเอาฉันตกใจไปด้วย ว่าทำไรผิดวะ
"ไม่ใช่คนพม่าเหรอคะ" ตอนนี้เธอเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษกลับมา
"คนไทยค่ะ" เท่านั้นแหละ เธอก็หันไปเรียกคนทั้งโต๊ะ ส่งภาษาพม่าด้วยท่าทางตื่นเต้น แต่พูดว่าอะไรไม่รู้ฟังไม่ออก ตอนนี้คนทั้งโต๊ะเกือบสิบคน หันมามองฉันเป็นตาเดียว แล้วก็ยิ้ม ๆ เฮ้ย อะไรเนี่ย เล่นเอาฉันทำหน้าไม่ถูก มือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางที่ไหน

"มาคนเดียวเหรอ" เธอถามต่อ
"มากับเพื่อน นี่ไงๆ" ฉันชี้ไปที่เบิร์ตที่ตอนนี้ก็งงพอ ๆ กัน
"อ๋อๆ แหม นึกว่าคนพม่าซะอีก" นะ.. จนทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยเธอเรียกคนทั้งโต๊ะให้มาดูเราทำไมกันเนี่ย! งงโคตร

โดนล้วงกระเป๋าที่ชเวดากอง

บอกตรง ๆ ว่าตอนที่มา ยังไม่รู้เลยว่าตอนกลับจะกลับยังไง (ลืมถาม!) แต่ถ้าไม่รู้จะขึ้นรถตรงไหน หรือ กลับยังไง ให้ไปตลาด เพราะเป็นศูนย์รวมทุกอย่าง รถเมล์ รถบัส สองแถว เรือ ฯลฯ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ยังไง้ ยังไงก็ต้องมาแวะ หรือจอดที่ตลาดแน่ๆ เราก็เลยได้นั่งอัดแน่นมาในรถกระบะที่ดัดแปลงมาเป็นสองแถวกลับมาที่ตลาดสิเรียมที่เราลงมาต่อรถตอนแรก โดยมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งหลับซบไหล่มาตลอดทาง (ใครก็ไม่รู้) ก็ยังดีที่น้ำลายไม่ไหลย้อยมาลงด้วย ค่ารถมาลงที่ตลาดสองคนก็ 50 จ๊าต ทั้งๆที่จริงๆแล้วควรจะเป็นแค่คนละ 20 จ๊าต แต่คนเก็บตังค์ทำมึน ไม่ทอนซะงั้น ขี้เกียจจะทวง

ไหน ๆ ก็ต้องเดินผ่านตลาดแล้ว ก็เลยแวะเดินดูของซักหน่อย แวะซื้อผ้านุ่งที่ร้านนึง คนขายน่ารักมาก ๆ เลย เสียงหวานจ๋อย เธอเสนอขายผ้าชิ้นสวยให้ราคาที่ไม่แพงมาก ฉันต่อจนได้ที่ราคา 3500 จ๊าต แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ตกลงขอจ่ายเป็นดอลล่าร์ก็แล้วกัน ก็เลยได้มาในราคา 4 ดอลล่าร์ ถูกอกถูกใจ

ระหว่างที่รอรถกลับย่างกุ้ง ก็แวะร้านน้ำชาซะเลย เพราะตั้งแต่มาจนจะกลับอยู่แล้ว ยังไม่ได้นั่งกินน้ำชา กาแฟ เหมือนคนพม่าเค้าเลย ร้านนี้ดูคนไม่แน่นมาก แถมเปิดโล่ง 3 ด้าน ลมโชยดี ก็เลยนั่งแวะดื่มกาแฟกันคนละแก้ว กาแฟใส่นมข้นหนาที่ก้นแก้ว เหมือนกาแฟร้านอาโกบ้านเรา ส่วนขนมก็เลือกเอาบนโต๊ะตามอรรธยาศัย เราก็เลยเลือกกันคนละชิ้น กาแฟนั้นแก้วละ 350 จ๊าต

นั่งรอรถไม่นานก็มีมินิบัสมาจอด สายอะไรจำไม่ได้ แต่ได้ยินกระเป๋าตะโกนว่า "สุเล!สุเล!!" ก็เลยโดดขึ้นไปเลย เพราะเป็นอันรู้กันว่ารถคันนี้ไป สุเลพญา ถ้าไม่แน่ใจ ให้ถามอีกทีก็ได้ เรามาลงรถที่แถว ๆ ธนาคารอินวะ แล้วเดินกลับไปที่เกสต์เฮาส์เพื่อพักผ่อนอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวซะหน่อยก่อน แล้วตกลงกันว่าไหน ๆ ก็ขึ้นปีใหม่ ไปไหว้พระที่ชเวดากองอีกซักรอบดีกว่า เป็นสิริมงคล

พอไปถึงชเวดากองแล้ว ตอนแรกเจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้เบิร์ตเข้า (ก็หน้าออกจะโคตรฝรั่งขนาดนั้น) จะให้จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม ต้องอธิบายว่า ขอเข้าไปไหว้พระหน่อยก็แล้วกัน ซื้อดอกไม้มาแล้วเนี่ย จนเจ้าหน้าที่ใจอ่อน "อ่ะ ก็ได้ๆ ให้ 10 นาทีนะ ไหว้เสร็จแล้วออกมาล่ะ" ก็เลยได้เข้าไปจนได้

ขณะฉันกำลังควานหากระเป๋าเพื่อจะบริจาคเงินลงตู้ กระเป๋าผ้าใส่เงินที่เพิ่งแลกมาสด ๆ ร้อน ๆ ก่อนหน้านี้ หายไปทั้งใบ! ฉันพยายามหาทุกซอกทุกมุมของกระเป๋าสะพาย ก็ไม่เจอ เลยพยายามนึกว่าเราเอาไปทำหล่นที่ไหนหรือเปล่านะ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะไม่ได้ไปลุก ๆ นั่ง ๆ ที่ไหนเลย จนมานึกขึ้นได้ว่าตอนกำลังจะเดินขึ้นเจดีย์ จะมีกลุ่มเด็กที่พยายามมาตื๊อขายดอกไม้ธูปเทียน แม้แต่ถุงพลาสติกสำหรับใส่รองเท้าเพื่อหิ้วเข้าไปในเจดีย์

เด็ก ๆ มารุมล้อมเยอะมาก แต่ละคนตัวกระเปี๊ยก ไม่น่าเกิน 10 ขวบ ไม่รวมพวกผู้หญิงที่มาตื๊อขายดอกไม้
"เท่าไหร่เหรอดอกไม้" ฉันถามผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้น
"100 จ๊าต" แล้วพยายามยัดเยียดดอกไม้ให้ 3 ช่อ แล้วเธอทำไงรู้มั้ย เธอชี้มาที่แบ๊งค์ 500 จ๊าตในกระเป๋าเงินที่ฉันถืออยู่ ฉันเลยตกใจเล็กน้อยว่ามาชะโงกดูเงินกันแบบนี้เลยเหรอ เลยรีบบอกปัดไปว่า ไม่เอา ๆ จะซื้อแค่ 2 ช่อพอแล้ว แล้วให้แบ๊งค์ 500 ไป ในที่สุดก็ได้ทอนมา 300 จ๊าต จะซื้อธูปเทียนก็อีกเล่มละ 100 จ๊าต! โห สุด ๆ แล้วเราก็เก็บกระเป๋าลงกระเป๋าสะพาย เด็กก็รุมจนเราต้องรีบแหวกหนีออกมา ขนาดว่าแค่ไม่ถึง 3 นาทีเท่านั้น มารู้ทีหลัง กระเป๋าเงินเราหายไปทั้งใบเลย!

เงินน่ะก็เสียดายอยู่ แต่ว่าเสียความรู้สึกมากกว่า ในวัดในวาแท้ ๆ เฮ้อ.. ดีที่กระเป๋านั้นฉันไม่ได้เก็บเอกสารสำคัญอะไรไว้ เพราะเป็นกระเป๋าเงินที่ฉันใช้เก็บเฉพาะเงินที่ดูแล้วว่าพอใช้ในแต่ละวัน ส่วนเงินทั้งหมดที่เป็นดอลล่าร์ กับ พาสสปอร์ต เอกสารสำคัญ จะแยกเก็บไว้ในกระเป๋าคาดเอวแล้วเอาเสื้อปิดไว้อย่างดี แต่วันนั้นดันซวยที่ยังไม่ทันจะได้เอาเงินจ๊าตที่เพิ่งแลกมา แยกใส่กระเป๋าคาดเอว ก็เลยโดนล้วงไป หมื่นจ๊าต! ถ้าคิดเป็นเงินไทยแล้วก็ไม่มากมายอะไร 500-600 บาท แต่สำหรับที่พม่า หมื่นจ๊าตไม่ใช่น้อย เสียดายกระเป๋าด้วย อุตส่าห์ซื้อมาจากหลวงพระบาง แงๆๆๆ

แต่เสียแล้วก็เสียไป ถือว่าฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน..ไหว้พระไปก็ทำใจไป ยังไงก็ตั้งใจมาทำบุญไม่อยากคิดอะไรมาก ปวดหัว ..เดี๋ยวทำบุญไม่ขึ้นอีก เฮ้อ

ออกจากชเวดากองก็เลยต้องมาแลกเงินใหม่ ฉันก็แลกกับคนเดิมนั่นแหละ วิธีแปลก ๆ หน่อยคือไปยืน ๆ อยู่หน้าโรงแรมที่เดิมที่เคยแลกน่ะแหละ ได้ผล เพราะซักพักลุงคนเดิมก็โผล่มา แล้วก็แปลกอีกแล้วเพราะเราไปแลกเงินกันที่เคาน์เตอร์ Car Rent สงสัยจะเป็นธุรกิจเสริม อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ ฉันเลยเล่าให้เค้าฟังเรื่องที่โดนล้วงกระเป๋า ลุงก็หันไปเล่าให้คนอีก 2-3 คนที่นั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์ฟังด้วย ทุกคนก็ทำหน้าตกใจปนเห็นใจ ลุงเลยตบบ่า แปะ ๆ แล้วก็บอกว่า "คราวหน้าก็ระวังตัวให้ดีล่ะ ซวยจริง ๆ เลย" ไม่รู้เป็นการให้กำลังใจหรือเปล่าเนี่ย

ยังไม่ได้กินอะไรเลยวันนี้ เลยไปกินอาหารเกาหลีชื่อร้าน KOMY อยู่แถว ๆ City Hall น่ะแหละ ร้านตกแต่งแปลก ๆ ดี มีน้ำตกจำลองในร้านด้วย แต่น้ำไหลออกมาเป็นฟอง ๆ ไม่เป็นสายน้ำอย่างที่ควรจะเป็น แถมกาแฟที่สั่งมาก็ไม่ละลายอีก เซ็งจิต มื้อนี้จ่ายไป 4000 จ๊าต

ส่วนมื้อเย็นไปกินพิซซ่าแถวๆ ตลาดโบกโฉกอองซาน หรือ ตลาดสก๊อต เพราะเบื่ออาหารพม่ามาก ไม่ไหวแล้ว! ไปถึงร้านก็เห็นมีแต่ลูกค้าเป็นฝรั่ง แต่พิซซ่าเค้าอร่อยนะ จะบอกให้ แล้วหน้าร้านมีตู้เอทีเอ็มด้วย ไม่รู้ใช้งานได้จริงหรือเปล่า เพราะตั้งแต่มาเที่ยวนี่ เป็นครั้งแรกที่เห็นตู้ เอทีเอ็ม นะเนี่ย อิ่มแล้วก็เลยไปเดินเล่นตลาดโบกโฉกอองซาน ก็ไม่มีอะไรน่าซื้อหรอก แต่ไปเดินเล่น เพลิน ๆ ดี ส่วนมากจะมีขายผ้าพิมพ์ลายสวย ๆ สาว ๆ ชอบซื้อไปตัดชุดใส่ บางร้านมีชายหนุ่มเอาผ้ามาพันตัว แต่งหน้าทาปากเหมือนพระเอกลิเก ขึ้นไปยืนเต้นกระแด่ว ๆ อยู่บนเก้าอี้เป็นที่เฮฮา เรียกลูกค้าได้ประมาณนึง






Create Date : 19 กรกฎาคม 2549
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 20:37:00 น. 0 comments
Counter : 850 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.