ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 
วันที่ 11 : ล่องแม่น้ำสาละวิน

เสาร์ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๖

เรือจะออกราวๆ 7 โมงครึ่ง แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าวันนี้จะมีเรือหรือเปล่า เลยต้องตื่นขึ้นเก็บกระเป๋าตั้งแต่ 6 โมงเช้า ตื่นมาพร้อมๆ กับเสียงตามลำโพงจากสุเหร่า (สงสัยจะถูกโฉลกกับสุเหร่า ที่มัณฑะเลย์ก็ได้ที่พักติดๆกับสุเหร่าเหมือนกัน) กลั้นใจอาบน้ำที่เย็นจับขั้วปอดแล้วก็เช็คเอาท์เดินดิ่งออกจากเกสต์เฮาส์ไปยังท่าเรือที่เราไปเดินสำรวจมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน

เห็นคนยืน ๆ เดิน ๆ อยู่ตามท่าเรือบ้างแล้ว แต่ยังไม่เห็นเรือ พอเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย เรือที่ถูกตลิ่งบังอยู่ จึงค่อยๆ โผล่ให้เห็น โอ้แม่เจ้า! เรือนี่ท่านขุดได้แต่ใดมา มันเก่ามาก ที่พูดนี่ไม่ได้บ่นนะ แต่ทึ่งมากจริงๆ เรือแบบนี้สงสัยหาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว เป็นเรือลำใหญ่โต 2 ชั้น ชั้นล่างเต็มๆไปด้วยกองกระสอบบรรจุสินค้าต่าง ๆ ทั้งของกินของใช้ และยังมีคนแบกกระสอบไปกองสุมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดมาแบบชั้นธุรกิจทั้งนั้น คือมาขายของบ้าง นำสินค้าไปส่งบ้าง บางคนก็นั่งข้างกระสอบนั่นแหละ ชั้นล่างคนนั่งกันแน่นพอดู แต่อย่าคิดว่ามีเก้าอี้หรืออะไรนะ เป็นการนั่งแบบบุฟเฟ่ต์ ใครอยากนั่งตรงไหนเชิญตามสบาย เช่นเดียวกับชั้นสองที่เปิดโล่ง เป็นพื้นกระดานเลี่ยนเตียน และมีเสื่อกลางเก่ากลางใหม่ กางอยู่บ้าง

เราซื้อตั๋วในราคาคนละ 2 ดอลล่าร์ แต่ถ้าคุณเป็นคนพม่าแล้วล่ะก็ จะเหลือคนละ 300 จ๊าตเท่านั้น ซื้อตั๋วเสร็จแล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง เห็นเสื่อว่างอยู่หลายผืน แต่ไม่ยักมีใครนั่ง คนพม่าส่วนใหญ่ที่มาเป็นครอบครัว พากันไปนั่งนอกเสื่อกันเกือบหมด ทำเอาฉันกล้า ๆ กลัว ๆ ว่าเสื่อนี่มันลงอาถรรพ์หรือยังไงถึงไม่มีใครนั่ง แต่เราก็จับจองเสื่อไปเต็ม ๆ หนึ่งผืน ด้วยพื้นที่โอ่โถง ยังคิดว่าจะเอาควายเข้ามาเลี้ยงอีกซัก 2-3 ตัวก็ยังได้

พระอาทิตย์กำลังขึ้น อากาศกำลังเย็นสบายดี หมอกลงอีกต่างหาก เห็นภูเขาอยู่ไกล ๆ ลูกนึง คิดลามกไปว่าทำไมรูปร่างมันช่างเหมือนนมได้ขนาดนี้ นี่เกาะนมสาวที่เมืองไทยอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อซะละมั้ง ตอนเช้าเราไม่ได้กินอะไรกันมาเลย เพราะเช้าเกินไปที่จะหาร้านที่เปิดขายอาหารเช้าขนาดนั้นได้ เลยต้องท้องกิ่วรอไปก่อน ฉันวางกระเป๋าไว้ ฝากให้เบิร์ตช่วยดู แล้วก็พาตัวเองเดินลงไปสำรวจเรือชั้นล่าง เพราะตอนเดินขึ้นมา เห็นมีแม่ค้ามาเร่ขายโมฮิงก่า กะว่าจะกินรองท้องซักหน่อย แต่พอลงไปก็พบกับกลุ่มชายพม่านับสิบกำลังรุมกินโมฮิงก่ากันเป็นทีมเวิร์คราวกับจะส่งไปโอลิมปิคโมฮิงก่าโลกครั้งหน้า ฉันเลยถอดใจ ว่าเราจะเอาอะไรไปสู้กะเค้าวะเนี่ย แม้แต่เรื่องจะกินโมฮิงก่ายังปอดแหก เลยต้องเดิน(พยายาม)ทำตัวลีบกลับไปนั่งที่ชั้นสองเหมือนเดิม แล้วจะนั่งทีก็ทำยังกะเข้าบ้านเลย คือถอดรองเท้าถุงเท้าจะเรียบร้อย ด้วยความเคยชิน หันไปมองคนพม่าข้างๆ เค้าก็ทำเหมือนกัน เลยรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว

ฉันเดินไปกดชัตเตอร์มุมละทีสองที แล้วก็ไม่มีอะไรให้ถ่ายอีก แต่จริง ๆ คือ ถ่ายมายังไงก็ไม่เหมือนที่เห็นด้วยตาตัวเอง บรรยากาศมันบอกไม่ถูก มันเย็น ๆ เรื่อย ๆ งง ๆ เหวอ ๆ แต่รวม ๆ แล้วสบายใจ คือไม่ต้องคิดอะไร นั่งดูหมอกลอยๆ ไปเรื่อย ๆ ทำตาปรือๆ แล้วรำพึงกับตัวเองอย่างโรแมนติก..ว่า..
"หิวววข้าวววววว..."

คนลงเรือครบหมด สินค้าถูกลำเลียงลงในเรือเรียบร้อย เรือก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากท่าอย่างอ้อยอิ่งเหมือนไม่ค่อยอยากจะไป วิวรอบข้างเป็นภูเขาเป็นฉากหลัง มีแม่น้ำสาละวินเป็นนางเอก แล้วก็มีเรือลำเล็ก ๆ ของคนหาปลาเป็นตัวประกอบ (พระเอกยังหาไม่ได้) บรรยากาศเหมือนไม่ใช่ของจริง เพราะมันดูลอย ๆ และก็แปลกที่ไม่มีใครคุยกันเลย ทุกคนนั่งกันเงียบ ๆ บางคนนั่งหลับ บางคนนั่งแทะแตงโม บางคนอาจจะอยากร้องคาราโอเกะแต่ไม่มีให้บริการ เลยต้องนั่งไปเงียบ ๆ ไป

เดินทางอย่างมีระดับ เช่าเสื่อกับเราซิคะ

วิวสวยมากจริงๆ ไม่ใช่สวยแบบวิวที่เราเห็นในโปสการ์ดสีสันจัดจ้าน แต่มันเป็นสีเทา ๆ แซมสีส้มอ่อนๆ ของท้องฟ้าที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ทำให้ได้ส่วนผสมที่ออกมาแปลกแบบลงตัวมาก ๆ เรือแล่นไปตามแม่น้ำสาละวิน ฝ่าหมอกจาง ๆ ไปแบบไม่รีบร้อน นาน ๆ จะเจอเรือหาปลาซักลำ จากที่นั่งพิงกระเป๋าอยู่ ตอนนี้ฉันเริ่มลงไปนอนกลิ้งเกลือกกับพื้นแบบไม่เกรงใจใคร ราวกับนอนอยู่ห้องรับแขกที่บ้าน เรือเริ่มเร่งความเร็วขึ้นมานิดหน่อย ลมพัดเย็นสบาย จากที่เย็นกำลังดี ตอนนี้เริ่มหนาว ต้องไปควานหาผ้าในเป้ออกมาห่ม



พอเคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับ ฝันเห็นเลขพม่ากะเอาไปซื้อหวยอยู่รอมร่อ ก็มีมือมาสะกิดยิก ๆ จากข้างหลัง เบิร์ตนั่นเอง
"เอ่ย ปลุกทำไมเนี่ย กำลังสบาย"
"เค้ามาตรวจตั๋ว..เจ๊" ฉันเลยต้องลุกขึ้นมาหยิบตั๋วในกระเป๋าส่งให้นายตรวจที่มาให้เครื่องแบบเป็นทางการมากๆ คือนุ่งโสร่ง พอตรวจตั๋วเสร็จ เค้าก็พูดอะไรเป็นภาษาพม่า ฟังไม่ออก เค้าเลยพยายามสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษแบบพอเข้าใจได้ว่า เอามาอีก 100 จ๊าตซะดีๆ อย่าให้พี่หม่องต้องเสียเวลา
"100 จ๊าต? ค่าอะไรเหรอ?" ฉันเกาหัวแกรก.. มองหน้าเค้างงๆ
"ค่าเนี่ย ค่าเนี่ย" หนุ่มพม่าคนเดิมยิ้มโชว์ฟันดำ มือชี้ไปที่เสื่อที่เรานั่งอยู่
"เฮ้ หลอก..กัน..เล่นหรือเปล่า" (โปรดร้องเป็นเพลง หากใครเกิดทันตอนนูโวกำลังดัง)
"จริง ๆ เนี่ย เค้าก็จ่ายกันทั้งนั้นแหละ" เค้าพยายามอธิบาย พลางทำหน้าเซ็งว่า แค่ 100 จ๊าตเอง คิดอะไรมาก ฉันเลยควักตังค์จ่ายไป 100 จ๊าตด้วยความงงงวยปนขำ ว่ามิน่าล่ะ คนพม่าส่วนมากถึงไม่ยอมนั่งบนเสื่อเพราะเหตุนี้เอง เพราะค่าโดยสารแค่ 300 จ๊าต หากจะต้องมาจ่ายค่าเสื่ออีก 100 จ๊าตก็ออกจะดูไม่ค่อยฉลาดเท่าที่ควร

บางแสนมีห่วงยางให้เช่าฉันท์ใด สาละวินก็มีเสื่อให้เช่าฉันท์นั้น

"เสื่อเก่าขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าะต้องจ่ายเงินด้วย" ฉันพึมพำ
"บ้า เธอไม่รู้อะไร บิสิเนสคลาสนะเนี่ย"
"เมืองไทยมีอันดามันปริ๊นเซส อันนี้ต้องเป็นสาละวินปริ๊นเซส นี่เผลอที่คาสิโนชั้นล่างด้วยนะเนี่ย"
"อาจจะสะสมไมล์ได้" ว่าเข้าไปนั่น ก่อนที่จะเพ้อเจ้อมากไปกว่านี้ ฉันชิงล้มตัวลงไปนอนต่อ ตื่นมาอีกทีด้วยความหิว และเรือก็จอดแวะที่หมู่บ้านหนึ่ง ที่มีซุ้มประตูทำด้วยปูนไว้อย่างถาวร ทาด้วยสีทอง ประดับรูปหงส์สีทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ชาติมอญ อีก 3 ตัว ประตูนี้ถูกสร้างอยู่ท่าเรือเล็กๆ อ่านได้ใจความว่าหมู่บ้านนี่ชื่อ Htone Aing (สงสัย H จะไม่ออกเสียงอีกเช่นเคย เหมือน พะอัน) อีกชื่อนึงในวงเล็บว่า Mitoeauna และมีคำจารึกด้านล่างเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ใจความว่า ครั้งหนึ่งที่แห่งนี้หมู่บ้านแห่งนี้เมืองนี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของชาติมอญในอดีต เขียนได้ชาตินิยมสุดๆ แต่อย่างที่รู้กันว่าชาติมอญเป็นอดีตไปนานแล้ว

แตงโม๊ แตงโม

เรือจอดที่นี่เพื่อขนถ่ายสินค้า เอาสินค้าลงบ้าง มีเอาขึ้นมาใหม่บ้าง แล้วคนส่วนใหญ่ก็ลงที่นี่ เห็นลงไปต่อเรือลำเล็กกัน แม่ค้าทั้งหลายบนฝั่งจึงถือโอกาสนี้เดินลุยน้ำลงมาขายของกันถึงข้างเรือ โดยเอาถาดใส่ของเทินไว้บนหัว ฉันเดินลงไปชั้นล่างไปโผล่หน้าดูว่ามีอะไรกินบ้าง เพราะหิวมากจนตอนนี้เริ่มเวียนหัวและคลื่นไส้เพราะอาการโคลงๆเคลงๆในเรือ มองไปไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ จนไปเห็นแตงโมเนื้อแดงท่าทางน่าอร่อยเข้า จึงอุดหนุนมา 1 ซีกในราคาซีกละ 50 จ๊าต ได้แตงโมแล้ว ชีวิตนี้มีความสุขแล้ว ฉันเดินกลับขึ้นไปชั้นสองพร้อมแทะแตงโมไปด้วยอย่างสบายอารมณ์



ขนถ่ายสินค้ากันเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันต่อ ฉันเองไม่มีอะไรที่สนใจจะทำเท่ากับการนอนอีกแล้ว กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน สุขีจริงๆ พอสายเข้าหน่อยแดดเริ่มเผาตูด จึงต้องเลิกนอน ลุกขึ้นมานั่งหลบแดดแทน แถมแดดยังสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับ แต่ถ้ามองโดยไม่มีแว่นกันแดดแล้วก็นรกดี ๆ นี่เอง เลยต้องนั่งตาหยีอยู่นาน

เรือหาปลาเริ่มเยอะขึ้น แล้วก็เยอะขึ้น ๆ ๆ ๆ จนมองไปทางไหนก็เห็นแต่เรือลำจิ๋ว ๆ หาปลาอยู่เต็มไปหมด นี่ถ้ามางงๆ อาจจะคิดว่านี่มันแม่น้ำหรือทะเลกันแน่ กว้างไปหรือเปล่า มองไปข้างหน้าเห็นตึกรามบ้านช่องอยู่ลิบ ๆ เป็นหลังคาที่เรียงเป็นแถวยาวอย่างเป็นระเบียบเหมือนหลังคาโรงงานหรือหลังคาสวนจตุจักร ถึงแล้ว.. เมาะละแหม่ง

เมืองเมาะละแหม่ง

คนพม่าเรียกเมาะละแหม่งว่า มอลัมไยน์ (Mawlamyaing หรือ Mawlamyine แล้วแต่จะสะกด) แต่พอออกเสียงเร็วๆ ก็เป็น"เมาะละแมง"เหมือนกัน หาใช่ลำไยหรือลิ้นจี่แต่อย่างใด เมืองเมาะละแหม่งนี้เป็นตอนใต้ ๆ ของพม่าแล้ว เมื่อก่อนเคยเป็นเมืองหลวงของพม่าใต้ หรือ British Burma สมัยที่อังกฤษปกครองพม่าตอนใต้อยู่ ระหว่างปี ค.ศ. 1827-1852 สภาพทั่ว ๆ ไป ฝรั่งเรียกบรรยากาศแบบนี้ว่า ทรอปิคอล ฟังดูหรูซะ.. นึกถึงบรรยากาศแบบฮาวายอะไรยังงั้นเลย แต่จะว่าไปก็พอเทียบกันได้อยู่ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นมะพร้าวเหมือนกัน เมืองเมาะละแหม่งนี้เป็นเมืองท่าสำคัญของพม่า เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศ แต่ไม่รู้ทำไมดูเงียบดีจังปัจจุบันมีประชากรราว ๆ 3 แสนคน กว่า 70% มีเชื้อสายมอญ

พอเรือเทียบท่า ก็ไม่มีใครรอใคร ฉันคว้าเป้ได้ก็เดินออกจากเรือก่อนที่เค้าจะเริ่มขนถ่ายสินค้ากัน บนเรือฉันเห็นนักท่องเที่ยวอีก 2 คนเป็นผู้ชายชาวเยอรมัน ซึ่งไวกว่าเรา พอออกจากเรือมาได้ก็เดินลิ่ว ๆ ไปเหมือนกลัวโรงแรมจะไม่รออย่างนั้นแหละ เห็นเดินไปทางเดียวกับเราก็เลยค่อนข้างแน่ใจว่าคงไปพักที่เดียวกับที่เรากำลังไป เพราะที่นี่ไม่มีที่พักให้เลือกมากเท่าไหร่ คือจำนวนพอ ๆ กับที่พะอัน คือน้อยมาก

เราเดินจากท่าเรือ เลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่เกสต์เฮาส์ ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง จนฉันต้องบ่นแล้วบ่นอีกว่า ไกลเปล่าว๊าาา.. ร้อน.. เหนื่อย โอ๊ย ..ฯลฯ สารพัดจะบ่น แต่ก่อนจะบ่นจบก็เห็นป้ายอยู่ไม่ไกลเขียนว่าเกสต์เฮาส์ Breeze ด้านหน้าเป็นอาคารทำด้วยไม้ทาสีฟ้าแจ่ม ชั้นล่างเป็นห้องรับแขกเปิดโล่ง มีโต๊ะสำหรับแขกมาเช็คอินตั้งอยู่ถัดเข้าไปอีกหน่อย และมีบันไดขึ้นชั้นสองต่อไปยังระเบียงหน้าห้องพัก ลักษณะที่ถ้าออกมายืนที่ระเบียงทางเดินชั้นสองคุณจะสามารถโผล่หน้าคุยกับคนที่นั่งดูทีวีในห้องรับแขกได้

เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ แจ้งราคาห้องให้ทราบเสร็จสรรพ ปรากฎว่าห้องด้านหน้าไม่ว่าจะชั้นล่างหรือชั้นบน จะอยู่ที่ประมาณ $12 ขึ้นไป แต่ถ้าเดินเข้าไปอีกหน่อย จะไปถึงส่วนที่เค้ากั้นเป็นห้องเล็ก ๆ ไว้เป็นเคบินในเรือ ราคา $8 ต่อ 1 ห้อง ตอนแรกก็กะว่าจะเอาห้องด้านหน้าแต่ไม่มี ที่มีก็แพงเกินไป เราจึงเลือกห้องราคา $8 ด้านใน เป็นห้องที่ประหลาดพิสดารที่สุดเท่าที่ฉันเคยพักคือไม่มีหน้าต่างเลย อย่างที่บอกคือเหมือนเคบินในเรือจริงๆ เป็นห้องพัดลม ไม่มีห้องน้ำ(ใช้ห้องน้ำรวมด้านนอก) มีเตียงเล็กให้สองเตียงซ้ายขวา ระหว่างเตียงสองเตียงนั้นเป็นโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้

ฉันนั่งงงๆอยู่ในห้องซักพัก เอาของวางในห้องเสร็จก็ออกไปเช็คอิน เจ้าของบ้านถามว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ปรากฎว่าเค้าพูดภาษาไทยได้คล่องมาก เพราะเคยไปทำงานอยู่ที่สงขลา 3 ปี พูดฟังภาษาไทยได้สบาย ฉันเลยได้เพื่อนคุย เค้าได้กุญแจห้องพักมาพร้อมกับ "กุญแจห้องน้ำ"

"ทำไมห้องน้ำต้องมีกุญแจด้วยล่ะ?" ฉันถามด้วยความงง
"อ๋อ คนงานชอบเข้าไปใช้น่ะซิ ห้องน้ำคนงานจะอยู่แยกกัน" ฉันเห็นตั้งแต่ตอนเดินไปห้องแล้วว่าเราต้องเดินผ่านส่วนกลางซึ่งเหมือนห้องน้ำของโรงเรียน คือมีห้องน้ำหลาย ๆ ห้องติดกันอยู่ฝั่งซ้ายมือ หน้าห้องน้ำเป็นอ่างล่างมือ แยกไว้เป็นสัดส่วน
"ห้องน้ำสำหรับแขกอยู่ด้านขวานะ ใช้เสร็จแล้วก็ล็อกกุญแจไว้เหมือนเดิม" เจ้าของบ้านบอกเป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่งเล็กน้อยแต่ก็ถือว่าชัดมากสำหรับคนพม่า แล้วบอกต่อว่า
"ดูทีวีที่ห้องรับแขกได้นะ วิทยุก็มี แต่วิทยุไทยดีกว่า วิทยุพม่า...ไม่ค่อยดี" เค้าพูดยิ้มๆ

เรากะว่าจะไปดูพิพิธภัณฑ์มอญที่นี่ซักหน่อย กางแผนที่แล้วเดินไปเลย ปรากฎว่าดันปิดซะนี่ เลยได้แต่ชะโงกดูจากนอกรั้ว เห็นคนแถวนั้นบอกว่าเมื่อก่อนปิดวันเสาร์ ตอนนี้เปลี่ยนมาปิดวันอาทิตย์แทนแล้ว แต่คนที่เกสต์เฮาส์บอกว่าปิดวันจันทร์เลยไม่รู้ใครถูกกันแน่ แต่ที่แน่ๆ วันนี้ ปิด


อยู่เมาะละแหม่ง.. ห้ามป่วย

ฉันเคยอ่านผ่าน ๆ ตาเกี่ยวกับเมืองเมาะละแหม่ง เกี่ยวกับความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาล ฝรั่งดันเขียนว่า "สุขภาพและการรักษาพยาบาล : ห้ามป่วยที่นี่เด็ดขาด" แต่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม แต่พูดถึงขั้นนี้เป็นอันว่ารู้กัน จริง ๆ แล้วเมาะละแหม่งไม่ใช่เมืองกันดารแต่อย่างใด บ้านช่องก็ดูทันสมัยระดับหนึ่ง มีร้านขายเฟอร์นิเจอร์ราคาถูก มีตลาดใหญ่ มีพิพิธภัณฑ์ แถมยังมีเกาะเป็นของตัวเองชื่อ "เกาะแชมพู" เกาะที่เจ้าของบ้านถามเราว่าอยากไปเที่ยวหรือเปล่า ฉันสงสัยว่าทำไมชื่อเกาะแชมพู เค้าก็บอกไม่รู้เหมือนกัน
"หรือว่าทำแชมพูขาย?" ฉันปล่อยมุขควายออกไป ทำเอาคนพม่าเซ็ง
"ไม่นะ ทุกวันนี้เค้าทำโรงงานหนังสติ๊กกัน"
"หนังสติ๊กวงๆเนี่ยเหรอ?"
เค้ามองหาหนังสติ๊กวงสีแดงสีเขียวบนโต๊ะ แล้วก็หยิบมายืดเล่น
"เนี่ย หนังสติ๊กแบบนี้แหละ" ว่าแล้วก็บอกว่าถ้าจะไปเค้าจัดการทัวร์ให้ได้ ไปรับไปส่งเรียบร้อย ฉันมานั่งคิดดู ไปดูโรงงานทำหนังสติ๊ก มันจะสนุกตรงไหนกัน แถมกลับไปบอกใครๆว่า ไปพม่าไปดูโรงงานทำหนังสติ๊กมา คนเค้าก็จะสมเพชว่ามันไปทั้งที ดันไปดูหนังสติ๊กซะได้ ฉันเลยตัดสินใจว่าไม่ไปจะดีกว่า แถมยังรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่ พอเรากินข้าวกลางวันที่ร้านแถว ๆ นั้นเสร็จฉันเลยกลับไปพักที่ห้อง ส่วนเบิร์ตแยกตัวไปเดินดูตลาดแถว ๆ นั้น ฉันนอนพลิกไปพลิกมาอยู่นานด้วยอาการพะอืดพะอมมาตั้งแต่เมื่อเช้า จนที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องไปโอ้กอ้ากในห้องน้ำ สมเพชตัวเองจริง ๆ นึกถึงที่เคยอ่านในเว็บมาว่า "ห้ามป่วยที่นี่เด็ดขาด" แล้วก็สยอง ฉันวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำหลายรอบจนไม่มีอะไรเหลือในท้องแล้ว ออกมานั่งหมดแรงอยู่ที่ห้องรับแขก ซึ่งคนอื่น ๆ นั่งดู "คนเหล็กภาค 2" มีซับไตเติ้ลภาษาไทยกันอยู่

"เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ" เจ้าของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกเห็นท่าทางเหมือนผีตายซากของฉันแล้วก็ทำหน้ากังวล ไม่รู้เป็นห่วงหรือกลัวฉันจะมาตายเป็นผีเผ้าเกสต์เฮาส์ซะก็ไม่รู้
"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ" ฉันเล่าอาการให้ฟัง
"แย่เลย กินยาหรือยัง" แถมยังอาสาไปหายาให้ ฉันบอกขอบคุณแล้วขอแค่น้ำเปล่าผสมเกลือกับน้ำตาลเล็กน้อยก็พอ เบิร์ตกลับมาจากข้างนอก พอรู้ว่าฉันป่วย ก็ทำหน้าเศร้า คิ้วตก

"เฮ้ย ยังไม่ตายโว้ย ไม่ต้องเศร้าขนาดนั้น" ฉันยังทำเป็นปากดีได้อยู่

กลับไปนอนหมดสภาพอยู่อีกนาน ตื่นมาอีกทีก็เย็น ๆ สรุปวันนี้ไม่ได้มีอะไรย่อยในกระเพาะเลย แต่จำเป็นจะต้องกินข้าวเย็น เราจึงออกไปหาอะไรใส่ท้อง คราวนี้เบิร์ตเป็นคนเอ่ยปากก่อน
"อาหารพม่าอีกแล้วเหรอ โอ้ไม่"
"อือ เฮ่อ ไม่กินได้มั้ย" คือไม่ใช่ว่ามันเลวร้ายมากขนาดนั้นนะ แต่ด้วยความที่อาหารที่ขายนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ รสชาติมันจืดชืด คนไทยอย่างเรากินได้ไม่กี่มื้อก็เริ่มเอียน จนพาลไม่อยากจะกินข้าวขึ้นมา

ซอยข้าง ๆ เกสต์เฮาส์ เป็นซอยเล็กๆ ทางเดินเป็นดินสีส้มๆ ทะลุซอยนี้ไปก็เป็นร้านขายของชำได้ ร้านนี้ถือว่าหรูพอตัว เมื่อเทียบกับร้านโชห่วยอื่น ๆ คือเป็นกึ่งๆ มินิมาร์ทเล็ก ๆ แต่ไม่มีประตู คือเป็นตึกแถวเปิดประตูโล่ง มีตู้แช่เครื่องดื่มอย่างดี ส่วนใหญ่ก็เอาเข้ามาจากเมืองไทยทั้งนั้น ราคาก็พอ ๆ กับที่เมืองไทย ฉันกว้านซื้อแต่ขนมขบเคี้ยวกับพวกเบเกอรี่สำหรับกินพรุ่งนี้เช้า

วันนั้นโชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลย ตั้งแต่ป่วย กินอะไรไม่ค่อยได้ แต่ตกกลางคืนยังมีนักท่องเที่ยวสามีภรรยาเป็นฝรั่งคู่หนึ่งอายุน่าจะราวๆ 40 ปลายๆ มาพักห้องติดกัน ตั้งแต่พวกเขามาถึง ก็เริ่มคุยกันเสียงดัง อันนี้ยังพอรับได้ แต่พอฉันเข้านอนและหลับไปได้ซักพัก ห้องข้าง ๆ ห้องนั้น ก็มาพร้อมกับเสียงกรนดังเท่าเครื่องบินทิ้งระเบิดสมัยสงครามโลก ดังจนฉันคิดว่า มันดังพอที่จะปลุกทุกคนในเกสต์เฮาส์นี้ได้สบาย ฉันสะดุ้งเฮือกขึ้นมาหลายครั้ง กว่าจะได้นอนจริง ๆ ก็ปาเข้าไปเกือบเช้า หันไปดูเพื่อน ปรากฎว่าหมอนั่นน่ะ ใส่ที่อุดหูสีส้มแปร๊ด หลับไปรู้ไม่ชี้ไปตั้งนานแล้ว




Create Date : 19 กรกฎาคม 2549
Last Update : 30 กันยายน 2549 12:32:24 น. 2 comments
Counter : 975 Pageviews.

 
เขียนตั้งแต่ปี 46 ปีนี้ 50 เห็น last updated 49...
มาเจิมให้คนแรกเลยละกันนะ

เพราะ..ชอบสำนวนการเขียนมั๊กมัก...อ่านไปหัวเราะ น้ำหูน้ำตาไหล..

ชอบเที่ยวสไตล์เดียวกันอีกต่างหาก...โอเคเลย...
ชื่ออะไรหรอ..เป็นเพื่อนกันก็ได้ ค่อนข้างเหมือนๆ กันนะยะ
Add ไว้แล้วเด้อคะเด้อ


โดย: นอ กอ นกส์ (Sophisticated ) วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:21:53:23 น.  

 
มิน่าชาวพม่าถึงไม่นั่ง
วันหลังเราไปเราก็จะจำไว้ค่ะ
555


โดย: ซูชิกับเปาน้อย วันที่: 21 มิถุนายน 2552 เวลา:11:30:50 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.