ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 
วันที่ 3 - เมืองพุกาม

วันที่ 3 : ศุกร์ 19 ธันวาคม 2546
เมืองพุกาม


10 ดอลล่าร์นะจ๊ะ


ประมาณตี 5 ก็ต้องตื่นแล้ว เพราะเข้าเขตบะกันหรือพุกามแล้ว นั่นหมายถึงชาวต่างชาติต้องจ่ายคนละ 10 ดอลล่าร์เป็นค่า "บำรุง"สถานที่ บนรถก็มีฝรั่ง 1 ญี่ปุ่น 3 ไทย 1 ทุกคนถูกปลุกให้ลงมาที่ออฟฟิศขายตั๋ว ยกเว้นฉันคนเดียวที่แม้จะอุตส่าห์เดินตามลงไปยืนเสนอหน้าถึงด้านล่างยังไม่มีใครสนใจอีกตามเคย

"อ้าว ลงมาทำไมล่ะ" เบิร์ตถามหน้าตาเฉย
"เอ๊ะ ก็ชั้นไม่ใช่คนพม่านี่"
"หน้าเหมือนจะตาย ไม่เป็นไรหรอก"
"เฮ้ยเอาจริงดิ จ่ายดีไม่จ่ายดีเนี่ยตั้ง 10 ดอลล่าร์ให้รัฐบาลเชียวนะ" ใจจริงก็ไม่อยากจ่ายหรอกนะน่ะ
"เธอก็ไม่ต้องจ่าย? หรือเอาไง"
"ไม่รู้อะ เค้าจะเช็คหรือเปล่า?"
"อ่านจากเวบเค้าว่าไม่มีใครเช็คตั๋วนะ แต่ที่เกสต์เฮาส์อาจจะเช็ค"
"งั้นก็จ่ายๆไปเหอะ มันเลี่ยงไม่ได้หนิ เดี๋ยวเค้าจับได้เสียชื่อคนไทยหมด หาข้ออ้างไม่ได้ซะด้วย เอ๊ะหรือจะอ้างว่าตอนเข้ามาเค้าไม่ได้ปลุกดีหว่า? วะ อย่าเลยๆ จ่ายก็จ่าย เฮ้อ"

ฉันเลยเดินคอตกเข้าไปในออฟฟิศซึ่งเป็นห้องเล็ก ๆ คล้ายป้อมตำรวจตามสี่แยก มีญี่ปุ่น 3 คนยืนอยู่แล้ว 1 ในนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่พูดไม่หยุดตั้งแต่เริ่มเดินทางยกเว้นก็ตอนหลับเท่านั้น ดูแล้วก็ตลกดี ตอนนี้ก็บ่นอีกแล้ว แถมบ่นเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยก็ไม่รู้จะมีใครเข้าใจมั้ย แต่ได้ยินคำว่า "รัฐบาลๆ" คงจะเซ็งเหมือนกันที่ต้องจ่ายให้รัฐบาลตั้งเยอะ แล้ววัน ๆ นึงไม่รู้มากันกี่คนน่ะนักท่องเที่ยว แถมยังกรุ๊ปทัวร์อีก คิดดูว่าวันนึงรัฐบาลมีรายได้เท่าไหร่แค่เก็บค่าเข้าที่พุกามที่เดียว

"คนไทยหรือครับ" เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นมาจากสมุดขายตั๋ว ส่วนญี่ปุ่นยังบ่นอยู่
"ค่ะ"
"ขอพาสสปอร์ตด้วยครับ และ 10 ดอลล่าร์ครับ" จำต้องยื่นให้ไปด้วยความเสียดาย เงินค่าเข้าชมนี้จ่ายครั้งเดียว จะอยู่วันเดียวหรือมากกว่า 1 วันก็จ่ายครั้งเดียว ตราบใดยังไม่ออกนอกเมืองพุกาม

สถานีรถบัสที่พุกาม

รถบัสแล่นมาจอดสถานีเล็ก ๆ ของพุกามซึ่งเป็นอาคารแถวชั้นเดียว แบ่งเป็นห้อง ๆ ราว 5-7 ห้องสำหรับขายตั๋วโดยสาร ที่ลานจอดรถซึ่งเกลี่ยดินให้เรียบเป็นอันใช้ได้ มีรถบัสจอดอยู่บ้างแล้ว ตอนนี้ก็ยังเช้ามืดอยู่ คนเริ่มทยอยลงจากรถ ตามคาดพอคุณเบิร์ตลงจากรถปุ๊บคนก็รุมปั๊บ
"รถม้ามั้ยๆ"
"มีที่พักหรือยังครับ นี่ๆดูโบรชัวร์ก่อนได้นะ"
"สามล้อมั้ย"
ส่วนฉันเดินไปที่ห้องสัมภาระ เหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นหลังดังแอ้ก จนเดินกลับมาที่เบิร์ตแล้วก็ยังไม่มีคนสนใจ หน้าตาบ้าน ๆ นี่มันก็ดีอย่างนี้นี่เอง

"ไปที่ไหนดี" ฉันตะโกนถามเบิร์ตผ่านวงล้อมของสามล้อและคนขับรถม้า
"ไม่เอาแถวตลาดดีกว่าเนอะ วุ่นวาย หนวกหู เอาแถว ๆ นี้ก็แล้วกัน"
"ไกลมั้ย"
"ไม่ไกลหรอก เดินประมาณ 10 นาที มีอยู่ถนนนึงมีที่พักเยอะเหมือนกัน เดี๋ยวขอดูแผนที่แป๊บนึง" ฉันก็เลยเดินร่อนไปร่อนมาเหยียดแข้งเหยียดขาซักหน่อย


รูป : ม้าชื่อมูมูกับเจ้าของชื่อโจโจ

"ฮัลโหล" ชายพม่าอายุราวๆ 20ต้น ๆ หันมาคุยด้วย "มาจากไหนครับ" กะว่าจะตอบว่าอุรุกวัย แต่ไม่อยากแกล้งคนตั้งแต่เช้าก็เลยตอบไปตามตรงว่ามาจากเมืองไทย
"อ๋อออ กรุงเทพเหรอครับ" เค้ายิ้มให้อย่างเป็นมิตร
"ค่ะเคยไปมั้ย"
"ไม่เคยหรอก แล้วคุณล่ะมาเมียนมาร์กี่ครั้งแล้ว"
"ฉันก็ไม่เคยมาที่นี่เหมือนกันน่ะมาครั้งแรก" นี่เห็นไม่มีพิษมีภัยนะ ไม่งั้นไม่บอกซะให้ยากหรอกว่ามาครั้งแรก
"จะพักที่ไหนเหรอ ถ้าไม่ไกลคุณเดินไปก็ได้นะ บอกเพื่อนคุณด้วยล่ะว่าเดินไปดีกว่า ไม่ต้องนั่งรถม้าหรืออะไรหรอก"
"เอ ทำไมละคะ"
"หว่านพืชก็ต้องหวังผลกันทั้งนั้นแหละครับ พวกที่บอกว่าบริการส่งโรงแรมฟรีน่ะเค้าก็อยากให้คุณเหมารถม้าเค้าทัวร์ชมเมืองพุกามทั้งวัน"
"อ๋อ ค่ะ เดี๋ยวจะคุยกับเพื่อนดูก่อน" เบิร์ตกวักมือเรียกพอดี เลยขอบคุณหนุ่มพม่าคนนั้น เค้าก็ยิ้มตอบแล้วเดินจากไป

โรงแรมยาคินตาและคนขับรถม้า

แล้วเราก็นั่งรถม้ามาจนได้ เพราะคนขับเสนอไปส่งให้ฟรีที่โรงแรมสร้างใหม่ชื่อ "ยาคินตา" แปลว่าทำเลดี อะไรทำนองนั้น ซึ่งไม่ไกลจากสถานีรถบัสมากนัก อยู่ในระยะที่เดินได้ ราคาห้องพักเตียงเดี่ยว 2 เตียง คืนละ 10 ดอลล่าร์ หาญ 2 ก็คนละ 5 ดอลล่าร์ก็โอเค ห้องสะอาดมากแม้แต่ห้องน้ำก็มีกระทั่งอ่างอาบน้ำ! ยังอยู่ในงบประมาณคือจะไม่พักที่ที่แพงกว่าคนละ 6 ดอลล่าร์เด็ดขาดที่นี่นับว่าโอเคมาก
"10 ดอลล่าร์นี่รวมอาหารเช้าด้วยใช่มั้ยครับ" เบิร์ตถามรีเซปชั่นที่พาเราขึ้นมาดูห้อง
"ใช่ครับๆ รวมทั้งอาหารเช้าวันนี้ด้วย เดี๋ยวจะพาไปดูดาดฟ้าที่ทานอาหารนะครับ" โอ เยี่ยม

ตกลงเรื่องห้องเสร็จ ฉันก็จัดแจงวางเป้ไว้มุมห้อง ถอดรองเท้าเปลี่ยนเป็นอีหนีบ หันไปยังเจอพ่อคนขับรถม้ากับหนุ่มรีเซปชั่นร่างเล็กยังยืนอยู่ในห้อง
"อ้าวว่ายังไงคะ"
"คือเค้าอยากรู้ว่าคุณ 2 คนอยากจะเหมารถม้าทัวร์พุกามหรือเปล่าน่ะครับ" รีเซปชั่นช่วยบอก
"เอ ยังไม่ทราบเลยครับ อาจจะเช่าจักรยานก็ได้ แต่ต้องดูก่อนครับ" เบิร์ตตอบ หันมามองหน้าฉันเหมือนจะขอความเห็น
"ไม่รู้ ๆ ขอคิดดูก่อนเพิ่งมาถึงจะให้ตกลงจ้างเดี๋ยวนี้เลยเรอะ" ฉันพูดเบาๆ

"ถ้าเหมารถม้าพร้อมคนขับด้วยก็วันละ 6000 จ๊าตครับ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกดินเลย ก็จะพาดูทั่วเลยครับเพราะเค้าจะรู้จักสถานที่ดี" เอ รีเซปชั่นไม่อยากจ่ายค่านายหน้าให้คนขับรถม้าหรือยังไงหว่าถึงช่วยขายกันจังเลยแฮะ
"ใช่ๆ ผมจะพาดูทั่วเลย บางทีถ้าประตูล็อคผมรู้จักคนให้ช่วยเปิดประตูให้ได้ด้วยนะ" นี๊..เป็นไงล่ะ มีเส้นซะด้วย แต่เราสองคนยังอึ้งอยู่ ขอเวลาคิดก่อนจะได้ไหมละน้องเอ๊ย เพิ่งลงมาจากรถบัส ยังไม่ทันได้เกาหัวเลยด้วยซ้ำ

"อืม ถ้าไม่ตกลงจ้างเค้าก็ไม่เป็นไรนะครับเค้าจะได้ไปหาลูกค้าอื่นต่อ" รีเซปชั่นคนเดิมบอก
"อ๋อค่ะ งั้นคงยังจะไม่จ้างล่ะค่ะขอโทษที" แต่หนุ่มรถม้าไม่ไปง่าย ๆ พูดอะไรต่อมิอะไรอีกเพียบ แต่บอกตามตรงว่าภาษาอังกฤษเค้าฟังยากถึงยากมาก นี่เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่อยากจ้าง เราไม่ได้ต้องการคนที่ภาษาอังกฤษเริ่ด แต่ขอให้ฟังออกว่าเค้าพูดว่าอะไรก็พอแล้ว นี่คิดดูว่ายังไม่ได้ออกไปไหนเลยก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องซะแล้ว และหนุ่มรถม้าก็ยอมแพ้ แต่ยังทิ้งท้ายไว้อีกหน่อย
"ถ้าเปลี่ยนใจผมก็จะอยู่แถว ๆ หน้าสถานีรถบัสแหละนะ" จ้า ๆ..

อาหารเช้ามื้อแรกที่พุกาม


ทำธุระเรียบร้อยก็ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดาดฟ้าโรงแรม (โรงแรมมีประมาณ 4 ชั้น ไม่สูงมาก) แต่ดาดฟ้าเค้าจัดไว้อย่างน่ารัก คือมีหลังคาเปิดโล่ง มีร่มปักอยู่ในโอ่งดินเผาขนาดย่อม ปลูกต้นไม้ไว้ตามมุม ดูแล้วสบายตาสบายใจดี ราว ๆ 7 โมงถึงจะเสิร์ฟอาหารเช้า ซึ่งก็เหมือนมาตรฐานทั่วไป คือไข่ 1 ฟอง กาแฟหรือชา มาการีน แยม และน้ำส้ม แต่เซ็งชะมัดเลยที่นี่เค้าไม่ใส่ซอสอะไรทั้งสิ้น ไอ้ซอสมะเขือเทศที่ฉันชอบก็เลยลืมไปได้เลย มีแต่เกลือกับพริกไทย

ม้าชื่อมูมู


และไม่น่าเชื่อว่ากินเสร็จ ก็นอนอีกแล้ว ทั้ง ๆ ที่บนรถก็หลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอด ตื่นมาอีกทีก็เกือบบ่ายเข้าไปแล้ว ได้เวลาย้ายก้นออกไปดูโลกภายนอกบ้าง ออกมาหน้าโรงแรมก็เป็นถนนยาว สองข้างทางถ้าไม่ใช่ร้านขายของที่ระลึกก็เป็นร้านอาหาร มีทั้งที่เป็นที่นิยมของคนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น และร้านที่เจาะจงนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ร้านขายของก็มีตั้งแต่เสื้อยืด ย่าม ภาพวาด เครื่องเขินซึ่งที่นี่มีชื่อมาก (ก็ได้รับการถ่ายทอดความรู้มาตั้งแต่สมัยที่กวาดต้อนช่างฝีมือชาวไทยไปเมืองพุกามตั้งแต่ครั้งเราเสียกรุงนั่นแหละ)

รูป : อลังการมั้ยล่ะ เจดีย์ที่พุกาม

เดินเตร่ไปเตร่มาก็มีชายวัยประมาณ 40 ต้นๆ ร่างเล็กเดินตีคู่มาติดๆ
"ฮัลโหล สบายดีมั้ย"
"สบายดีครับ" เบิร์ตตอบไปตามมารยาท
"สนใจนั่งรถม้าชมเมืองพุกามมั้ย" เราสองคนก็ได้แต่ยิ้ม ๆ
"นี่ ม้าของผมชื่อมูมู" เค้าหัวเราะแบบอารมณ์ดีชี้ไปที่เจ้ามาสีน้ำตาลที่ยืนสะบัดหางอยู่ไกล ๆ "ผมพาดูได้ทุกที่นะครับ" น้าแกไม่เคยหยุดยิ้มเลย
"แล้วคิดราคายังไงละครับ" เบิร์ตถาม
"7 พันจ๊าตน่ะ ทั้งวันเลยนะจนถึงพระอาทิตย์ตกดิน"
"แหม แพงจัง คนเมื่อเช้าเค้าเสนอ 6พันเองนะลุง" ลุงแกไม่ว่าอะไรได้แต่หัวเราะ "ไม่แพงหรอกจริง ๆ นะ ทั้งวันเลยนะ นี่ จะพาไปดูทั่วเลย แล้วเดี๋ยวนี้เค้าไม่ให้ปีนขึ้นด้านบนแล้วนะ มีบางวัดเท่านั้นที่ปีนขึ้นไปดูได้ เดี๋ยวผมจะพาไปเอง"

เบิร์ตเลยหันมาถามความเห็นว่าเอาไงดี
"แต่อย่างน้อยภาษาอังกฤษเค้าก็ฟังง่ายกว่าคนเมื่อเช้านะ" ฉันออกความเห็น
"เออก็จริง"
"งั้นลองจ้างครึ่งวันวันนี้ก่อนดีมั้ย"
"เอางั้นก็ได้" เลยตกลงกับลุงแกว่าวันนี้ครึ่งวันก่อนก็แล้วกัน แต่เดี๋ยวขอไปทานข้าวกลางวันก่อน
"ได้ๆ ไม่ต้องรีบก็ได้นะ โนพร็อบเบล็ม"
เราก็เลยเดินไปหาของใส่ท้องอีกแล้ว ส่วนลุงแกก็เดินกลับไปเอารถม้าและเจ้ามูมูซึ่งกำลังจ้องจะกินใบมะม่วงแถวนั้นอยู่ อาหารกลางวันไม่พ้นบะหมี่ผัดอีกแล้ว เพราะมันทั้งถูกทั้งกินง่ายและไม่ต้องรอนาน มื้อนี้ 2 คนจ่ายไป 1500 จ๊าต

เริ่มต้นรถม้าทัวร์พุกาม

รูป : อีกมุมหนึ่งของเจดีย์

เราปีนขึ้นไปบนรถม้าที่ออกจะใกล้เคียงกับเกวียนซะมากกว่าแต่เปลี่ยนจากเอาวัวควายลากมาเป็นม้าแทน ที่นั่งนี้เป็นไม้ทั้งคันเดิมๆก็ไม่มีอะไรบุหรอกแต่พอเริ่มให้บริการนักท่องเที่ยวก็มาการเอาเบาะนุ่มๆมาวางเป็นที่นั่งและพนักพิง ส่วนหลังคานั้นพับเก็บได้เหมือนหลังคาสามล้อถีบ ต้องนั่งข้างหน้าข้างๆคนขับคนนึง และนั่งข้างหลังคนนึงแบบหันหลังชนกันก็ได้ หรือจะนอนก็ได้ตามสบาย ปล่อยให้มามันวิ่งกุบกับ ๆไปเรื่อย ๆ เออมันก็เพลินดีไปอีกแบบ
"ว่าแต่...เอ่อ..ชื่ออะไรคะ"
"ผมชื่อโจโจ" คุณน้าตอบ ยิ้มเห็นฟันแดงด้วยน้ำหมาก ต่อไปนี้จะเรียกเค้าว่าน้าโจโจก็แล้วกัน

รูป : อีกมุมของเจดีย์

บรรยากาศรอบ ๆ นี่น่าพิศวงอีกแล้ว เพราะมันคือทะเลทรายดี ๆ นี่เอง ต้นไม้ตระกูลตะบองเพชรนี่ขึ้นกันแน่นเป็นกอใหญ่ มีบ่อย ๆ ที่ทางสำหรับรถจักรยานหรือรถม้า สองข้างทางนั้นมีแต่ตะบองเพชรไม่ค่อยมีต้นไม้อื่น พื้นดินก็เป็นดินทรายแห้งแล้ง แดดร้อนเปรี้ยง แต่ม้ามูมูยังดูสบายอารมณ์อยู่
"แถวนี้ปลูกอะไรไม่ค่อยได้หรอก" น้าโจโจว่า พลางชี้ไปที่ต้นงาที่ชาวบ้านปลูกไว้เป็นบริเวณกว้างพอสมควร "ก็เลยต้องปลูกงา เพราะปลูกข้าวไม่ได้ มันแล้ง"

น้าพาเราเข้าวัดนู้นออกวัดนี้ไม่รู้กี่วัดต่อกี่วัน สงสารมูมูมันเหมือนกันนะเนี่ย พอพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินน้าโจโจก็พาเราไปที่วัดที่ยังอนุญาตให้คนปีนขึ้นไปด้านบนได้ บันไดทั้งสูงทั้งชัน ไม่กล้าหันหลังกลับมามองเลย ต้องปีนๆๆขึ้นไปก่อน เบิร์ตนั้นไวปานลิง ปีนขึ้นไปก่อน แล้วไปยืนร้อง "ว้าววว" ฉันเพิ่งจะปีนขึ้นมาถึง

"ค่อย ๆ นะ เอาละ ทีนี้หันหลังกลับไปดูนะ" เบิร์ตพูดด้วยความตื่นเต้น ฉันหาที่ยืนเหมาะ ๆ ได้แล้วจึงหันหลังกลับไปดู แล้วก็ต้องอึ้งกับภาพที่เห็น เจดีย์นับพัน ๆ องค์ เหมือนมีใครมาจับวางตรงนู้นนิด ตรงนี้หน่อย เห็นเป็นองค์เล็ก ๆ คล้ายเมืองจำลองต่างก็แต่ว่านี่คือของจริง เจดีย์จริง โบราณจริง ถึงแม้บางได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวความรุนแรงระดับ 6.5 ริคเตอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1975 ต้องบูรณะกันเป็นการใหญ่ แต่หลักฐานความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรพุกามในอดีตก็ยังคงอยู่ ต้องนับถือฝีมือคนเมื่อหลายร้อยปีก่อนสร้างเอาไว้ด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นภาพที่น่าทึ่งมากจริง ๆ ถึงจะถ่ายรูปมาก็ไม่เหมือนความรู้สึกที่ได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นเอง มันขนลุก..

รูป : เบิร์ตกับน้าโจโจ

แล้วช่วงพระอาทิตย์ตกดินนี่ก็ถือว่าเป็นไฮไลท์อีกอย่างของการมาเยือนพุกาม พอพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ นักท่องเที่ยวก็จะเริ่มทยอยกันปีนขึ้นไปรอชมพระอาทิตย์ตกดินบนเจดีย์ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ไม่กี่เจดีย์ที่ยังอนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวได้ คิดว่าอีกไม่นานคงจะไม่อนุญาตให้ขึ้นไปสูง ๆ อีก เห็นทางรัฐบาลให้สร้างหอคอย "สำหรับดูวิว" โดยเฉพาะ เห็นไกล ๆ ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง พอเสร็จแล้วคงดูประหลาดพิลึกเพราะดูเหมือนสิ่งแปลกปลอมสมัยใหม่ท่ามกลางมหานทีเจดีย์แห่งนี้ คงจะทำลายทัศนียภาพไปมากเมื่อสร้างเสร็จ (แค่สร้างไม่เสร็จก็ทำลายไปมากแล้วเหมือนกันแหละ ดูเจดีย์อยู่ดี ๆ หันไปเจอหอคอยอัปลักษณ์ตั้งโด่เด่มาจากไหนไม่รู้)

ทางขึ้นไปด้านบนของเจดีย์นั้น ส่วนมากจะต้องเดินขึ้นทางช่องบันไดที่อยู่ภายในซึ่งค่อนข้างแคบและมืด เพราะฉะนั้นควรจะนำไฟฉายติดเป้ไว้ด้วย เผื่อต้องใช้งานก็จะได้หยิบฉวยมาใช้ได้ทันใจ

ฝรั่ง 1 ตัว

พระอาทิตย์ตกที่นี่นับได้ว่าน่าประทับใจมาก ดูเหมือนพระอาทิตย์ดวงกลมโตค่อย ๆ หย่อนตัวเองลงแม่น้ำอิระวดีอย่างขี้เกียจ ๆ เหมือนจะบ่นว่า
"เฮ้อ หมดไปอีกหนึ่งวัน"
ฝรั่งบางคู่อินจัดในบรรยากาศ ถึงกับไปยืนสวีทหวานแหววจูบกันบนเจดีย์ คนเมืองพุทธอย่างเราเห็นแล้วก็อดไม่ได้ต้องกระแอมดัง ๆ ให้ได้อายกันบ้าง (แต่ดูฝรั่งจะไม่สนใจ) มิน่าล่ะ อ่านจากหนังสือเก่าเล่มหนึ่ง(ขออภัยที่จำชื่อหนังสือไม่ได้) ที่ร้านหนังสือเก่าชื่อ บะกันบุ๊คช๊อป ที่ย่างกุ้ง ก็ไม่รู้ว่าทุกวันนี้เค้ายังมีความเชื่อนี้อยู่หรือเปล่า เพราะหนังสือที่อ่านนั้นเป็นหนังสือที่มีอายุค่อนข้างเกือบจะโบราณแล้ว เป็นฉบับถ่ายเอกสารเพราะต้นฉบับนั้นเก่ามาก เค้าว่าคนพม่าเนี่ยมีความเชื่อว่าคนต่างชาติที่ไม่มีบุญวาสนาได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนานั้นน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับใช้สรรพนามที่ใช้เรียกสัตว์ (เหมือนกันคำว่า "ตัว" ในภาษาไทย) เช่น ฝรั่ง 1 ตัวอะไรทำนองนั้น ฝรั่งอย่างเบิร์ตอ่านเจอถึงกับอึ้งปนขำว่า แหม เล่นมาเรียกกันแบบนี้ก็แย่น่ะซี แต่กับฝรั่งคู่นั้นที่ไปดูดดื่มกับบนเจดีย์แบบไม่รู้จักกาลเทศะ เรียกว่า 2 ตัวจะได้ไหมนะ

รูป : อีกรูปกับยามโพล้เพล้ แสงสวยมากๆ ต้องไปดูเอง

ชมหุ่นกระบอก


ที่พุกามจะมีโชว์การแสดงหุ่นกระบอก อันเป็นศิลปะซึ่งเป็นมรดกตกทอดเก่าแก่อย่างหนึ่งของพม่า ซึ่งปัจจุบันหาดูได้ยาก จะจัดขึ้นเนื่องในโอกาสพิเศษเท่านั้น เช่น แสดงต้อนรับแขกสำคัญของรัฐบาล ซึ่งนักท่องเที่ยวธรรมดา ๆ อย่างเราก็หาชมได้จากร้านอาหารใหญ่ ๆ ที่เน้นลูกค้าต่างชาติ ที่พุกามนี้ก็มีอยู่ 2 ร้านด้วยกัน ร้านแรกคือร้าน "นันดา" ซึ่งจัดตกแต่งร้านอย่างหรูหราอลังการ เอาเป็นว่าพนักงานต้อนรับใส่ชุดออกงานกันเต็มยศเลย ส่วนร้านที่สองอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมยาคินตามากนัก ตั้งอยู่บนถนนเดียวกัน ร้านนี้จะเป็นแบบเปิดโล่ง เล่นกันใต้แสงดาวกันไปเลย ส่วนค่าชมนั้นไม่ต้องเสียเพิ่ม แค่เข้าไปสั่งอาหารเครื่องดื่มก็พอ

ไหน ๆ ก็มาทั้งทีแล้ว จะไม่ชมหุ่นกระบอกก็กระไรอยู่
"ดูเหอะนะ มาถึงนี่แล้วน่ะ" ฉันลงทุนอ้อนวอนแกมขู่เข็ญ
"โห ดูร้านเด่ะ ยังกับวัง จะหมดตัวมั้ยเนี่ย"
ต้องกล่อมคุณชายเบิร์ตเธออยู่นานพอสมควรว่าเธอจะยอมเข้าไปแต่โดยดี

ทางร้านจัดเวทีขนาดย่อม ๆ ไว้ 2 เวที เวทีหนึ่งอยู่ด้านใน แต่อีกเวทีหนึ่งอยู่ถัดออกมาทางหน้าร้านและเป็นบริเวณเปิดโล่งไม่มีหลังคา แต่คืนนี้เค้าแสดงที่เวทีด้านใน ตอนที่เราเข้าไปนั้นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่นั่งกันอยู่แล้วที่โต๊ะหน้าสุดติดขอบเวทีเลย ทุกคนดูจะไฮโซกันไปซะหมด แต่งตัวเหมือนผู้ดีกำลังจะออกไปท่องซาฟารียังไงยังงั้น ไม่มีซักคนที่สวมรองเท้าแตะ ไม่เหมือนเราเลย แถมวันนี้ยังเดินเท้าเปล่าเป็นส่วนใหญ่อีกด้วย

ซักพักเมนูก็มา พร้อมกับของว่างคือข้าวเกรียบเหมือนเคย แต่ข้าวเกรียบแต่ละร้านนี่ก็ต่างกันไป บางร้านก็ไม่อร่อยแต่จะบ่นไปทำไมในเมื่อมันฟรีนี่นา แถมที่นี่หมดแล้วเติมให้ตลอดอีกต่างหาก แขกคนอื่นเริ่มทยอยเข้ามา เรายังโชคดีที่ได้ที่นั่งที่ใกล้เวที จริง ๆ จะนั่งใกล้นั่งไกลก็ไม่สำคัญ ยังไงก็ดีกว่าไม่มีที่จะนั่ง เพราะแขกที่มาตอนการแสดงเริ่มไปได้ซักพักนั้นที่นั่งไม่มีแล้ว ต้องยืนรอ

คณะหุ่นกระบอกเตรียมการแสดงมาหลายชุดเหมือนกัน มีทั้งตัวละครที่เป็นคนและสัตว์ เป็นม้าก็มี ลิงก็มี ประกอบดนตรีพื้นเมือง ก่อนการแสดงแต่ละชุดมีคำบรรยายสั้น ๆ เป็นภาษาอังกฤษแต่ฟังยังไงก็ไม่ออกเพราะเสียงมันอู้อี้เต็มทน เลยได้แต่นั่งดูหุ่นกระบอกประกอบเพลงไป บอกตามตรงว่าตัวหุ่นนั้นสวยงามดี แต่ลีลาท่าทางนั้นออกจะดูแข็ง ๆ กระชากกระชั้นยังไงบอกไม่ถูก คือกระโดดไปกระโดดมา ไอ้ตอนที่มีสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องนี่ค่อยสนุกหน่อย ม้าตีลังกาเงี้ย ลิงม้วนตัวเงี้ย นับถือ นับถือ

เช็คบิลค่าอาหารออกมาแล้วประมาณ 5000 จ๊าต ไม่ถึงกับแพงแต่ก็ไม่ถูก(แต่ถูกกว่าค่ารถม้า) แต่อาหารเค้าอร่อยดี เป็นพวกไก่ทอดน้ำผึ้ง แกงเผ็ด ๆ และอีกอย่างคือห้องน้ำสะอาดม้ากกกก..และทำซะอย่างสวยจนแทบไม่กล้าใช้ ตามทางเดินก็อุตส่าห์เอาเทียนมาเรียงจุดไฟให้สว่างเป็นจุด ๆ คลาสสิคเป็นที่สุด (ส่วนค่าคลาสสิคนั้นก็รวมอยู่ในบิลค่าอาหารนั่นแล้วไง)

พอการแสดงจบ ผู้เชิดหุ่นและศิษย์ก็ออกมาขอบคุณผู้ชมที่ปรบมือให้กันเกรียวกราว ทุกคนแต่งกายแบบเป็นทางการคือนุ่งโสร่งหรือ "ลงจี" อย่างประณีต..สวมเสื้อนอกของผู้ชายหรือ "ไต้ปุ่ง" และผ้าโพกหัวที่ภาษาพม่าเรียกว่า "คองบอง" ดังที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ในหนังในละครถ้ามีผ้าโพกหัวละก็ใช่เลยพม่าแน่นอน

ออกมาด้านหน้าร้านก็จะเป็นร้านขายหุ่นกระบอกด้วย มีหลายแบบหลายขนาดให้เลือก ซึ่งตัวใหญ่สุดที่แขวนโชว์อยู่ในร้านนั้นขนาดเท่าคนจริง! เลยลองไปยืนดูใกล้ ๆ ด้วยความสนอกสนใจ พอหันซ้ายหันขวาไม่เห็นใครในร้าน หันไปมองหน้าหุ่นอีกที ขนมันก็เริ่มลุกเกรียวอีกแล้ว เพราะเหมือนคนจริงๆ ถูกแขวนไว้ แล้วหน้าขาว ๆ ส่งยิ้มให้ เหวอออออออ!! ว่าแล้วก็วิ่งจู๊ดออกไปนอกร้าน ดีกว่าอยู่คนเดียวโด่เด่

รูป : พระอาทิตย์ตกดินที่พุกาม

ทะเลดาวที่พุกาม

แขกเริ่มทยอยออกจากร้านเพื่อกลับที่พัก ส่วนมากจะมีรถเก๋งมารอรับหรือไม่ก็รถม้า ส่วนเราสองคนซำเหมาสุด ๆ เดินกลับโรงแรม ไม่ใช่ว่าใกล้นะน่ะ แต่ก็อยู่ในระยะที่เดินได้ และอากาศก็กำลังเย็นสบายก็เลยเดินไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร ถึงรอบ ๆ จะมืดหมดแล้วแต่ก็ไม่รู้สึกว่าน่ากลัวอะไร กลัวอย่างเดียวคือกลัวคนจะขี่จักรยานมาเสยมากกว่าเพราะมืดแทบมองไม่เห็น พอแสงไฟไม่มีแสงดาวก็เลยแจ่ม แหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้านี่ต้องร้องอู้หู ฟ้ามันกว้างจริง ๆ แล้วก็เต็มไปด้วยดาว และ ดาว และดาว

"เดี๋ยวกลับไปนอนดูดาวที่ดาดฟ้าโรงแรมต่อดีกว่าแฮะ" เบิร์ตว่า
"เอ้อ ดีเหมือนกัน" ฉันเห็นดีด้วย ขณะเดินผ่านหน้าทางเข้าชเวซิกอง กำลังจะเลี้ยวเข้าถนนกลับโรงแรม ก็มีใครคนหนึ่งตะโกนทักมาไกล ๆ เลยหันไปดู

"หวัดดี จำผมได้ไหม" ใคร..วะ...
"เอ่อ ไม่ได้หรอกใครเหรอ?" ฉันงง
"ผมขับรถม้าไปส่งคุณ 2 คนที่โรงแรมไง"
"อ๋ออออออออ..อ.อ.!" เราร้องขึ้นมาพร้อมกัน "ว่าไงยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ" ฉันถาม
"ยังหรอก ว่าแต่คุณสองคนว่าไงเรื่องพรุ่งนี้ ไปเที่ยวหรือเปล่า เหมารถม้าผมหรือเปล่า?" เจอคำถามนี้ไปเลยต้องอึ้ง เพราะเราเพิ่งตกลงกับโจโจว่าให้มารับพรุ่งนี้เช้าที่โรงแรมเพื่อพาเที่ยวต่ออีกครึ่งวันที่เหลือ เลยต้องโกหกไปว่า ยังไม่รู้เลยมั่งล่ะ ขี้เกียจตื่นมั่งล่ะ
"ผมนะ อุตส่าห์ไปส่งคุณที่โรงแรมฟรี ๆ เพราะอยากให้คุณเหมารถม้าผมทั้งวันนะเนี่ย" แหม แล้วมันได้เปอร์เซ็นต์จากโรงแรมมั้ยล่ะพ่อหนุ่ม

กลับถึงโรงแรมปุ๊บ แย่งกันใช้ห้องน้ำกันชุลมุน
"ชั้นก่อนๆๆๆ"
"ไม่ ๆ ๆ ผมก่อนซิ เธอใช้ห้องน้ำนาน"
"เธอแหละใช้นาน แถมเหม็นด้วย" ฉันก็ไปมันข้าง ๆคู ๆ ซะงั้นแหละ ขี้ใครไม่เหม็นบ้างละวุ้ย
"โห หยาบคายๆ วันนี้อาบน้ำเฉย ๆ เฟ้ย"
"ง่า...ก็ได้"
พอลงไปนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างได้ ฮู้ยยย ปวดเมื่อยไปหมด เสร็จจากอาบน้ำแล้ว ก็คลานขึ้นเตียงใครเตียงมัน บันทึกใครบันทึกมัน แรงก็ไม่ค่อยจะเหลือแล้ว เขียน ๆ อยู่ก็หลับคาสมุดบันทึกกันไปเลย เพลียจริง ๆ

อ้าว แล้วไหนบอกจะดูดาว เด่อเอ๊ย..



Create Date : 19 กรกฎาคม 2549
Last Update : 23 กรกฎาคม 2549 13:54:53 น. 1 comments
Counter : 1213 Pageviews.

 
ก็ได้ดูดาวบนเพดานห้องไงจ๊ะ น้องผึ้งสุดสวยของเจ๊
เออ บรรยายซะเกิดกิเลสจริงเชียว


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:11:14:40 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.