ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 

Paris โอ้ละหนอ | Day 1

9ไปปารีสคราวนี้ เหมือนหาเหาใส่หัว ไปถึงแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทำไมให้เสียเงินเล่น นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเมย์มันต้องมาทรานสิทที่ปารีสล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้เหยียบย่างไปอีก เพราะไปครั้งแรกก็เฉย ๆ กับมันมากกกกกกกก แล้วก็งงมากที่ทำไมคนถึงได้ชอบปารีสกันจังวะ เราไม่รู้สึกอะไรเลยกับเมือง ๆ นี้ (ภาษาฝรั่งเรียก overrated ) กะว่าไปครั้งนี้อาจจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยนะ สงสัยต้องไปศึกษาประวัติปารีสมาให้ดีกว่านี้ จะได้อิน ไม่งั้นมันก็เหมือนอยู่เบลเยี่ยมอ่ะ ชิน ๆ บอกไม่ถูก

หรือปารีสมันอาจจะไม่เหมาะกะตรูจริง ๆ (-_-")

วันศุกร์ ออกจากที่ทำงานไวหน่อย สี่โมงก็ถึงสถานีบรัสเซลส์ใต้ ชิว ๆ สิว ๆ ไปเรื่ีอย ๆ เกิือบห้าโมงเย็นก็วิ่งแถ่ด ๆ ๆ ๆ ไปขึ้น Thalys ซึ่งก็สะดวกสบายดีนะ ปรินท์ตั๋วที่มีบาร์โค้ดมาจากอีเมล์ที่เค้าส่งมายืนยันเมื่อเราซื้อตั๋วออนไลน์ พอถึงวันเดินทางก็หนีบเอาอันนี้ไปขึ้นรถไฟได้เลย ไม่ต้องมาเช็คอง เช็คอินอะไรให้วุ่นวายอีก

DSCF5878

รูป : เคาท์เตอร์ Thalys ก่อนขึ้นไปบนชานชลา


ตอนขึ้นไปก็อย่างเสร่อ เพราะมองไม่เห็นว่าตรงไหนมันคือเลข carriage หรือตู้รถวะคะ? เพิ่งจะมาเห็นว่ามันเป็นดิจิตอลหมดแล้ว เราก็ randomly นั่งที่ชาวบ้านเค้าจนเค้ามาแล้วไม่มีที่นั่ง เลยเพิ่งรู้ว่ากรูนี่แหละ เสร่อมาผิดตู้ ก็ต้องย้ายกันไป
การซื้อตั๋วรถไฟ Thalys
• ไปที่ //www.thalys.com แล้วทำตามขั้นตอนการจองตั๋วได้เลย ง่ายมาก ๆ
• book เสร็จ จ่ายเงินเสร็จ รออีเมล์จากทาง Thalys จะส่งมาว่า "Confirmation of Thalys Ticketless reservation" แสดงว่าจองแล้วเรียบร้อย

• บน Ticketless (ซื้อตั๋วแบบไร้ตั๋ว หรือปรินท์เอง) ที่เค้าส่งมาให้ทางเมล์ จะมีรายละเอียดการเดินทางทั้งหมด - วันที่เดินทาง, ออกกี่โมง, ถึงกี่โมง, รถหมายเลขอะไร, ตู้ที่เท่าไหร่ที่นั่งหมายเลขอะไร, ชั้น 1 หรือ ชั้น 2.

Fare Category หรือประเภทค่าโดยสารซึ่งที่ใช้บ่อย ๆ ก็จะมี SMOOVE ที่จะถูกที่สุด (ห้ามเลื่อน, ห้ามแคนเซิล, ซื้อล่วงหน้าได้ก่อนเดินทาง 15 วัน, มีชั้นสองเท่านั้น) และ Optiway ที่จะแพงขึ้นมาหน่อย (เลื่อนหรือเปลี่ยนวันเดินทางได้, มีชั้นหนึ่งและชั้นสอง, ซื้อก่อนเดินทางวันเดียวก็ได้, ถ้าตกรถไฟ แบบว่าไปไม่ทัน หรือจะคืนตั๋ว ก็จะได้เงินคืน 50% แต่ต้องไปขอเงินคืนภายในหนึ่ง ชม หลังรถไฟออกไปแล้วนะ) รายละเอียดไปดูได้ที่ //www.thalys.com/be/en/new-fares

ดูง่าย ๆว่าขาไป (จากบรัสเซลส์ ไป ปารีส) ปาเข้าไป 68 ยูโร เพราเป็น Optiway แต่ขากลับเป็น Smoove แค่ 29 ยูโร

thalysticketless

seating : เลขที่นั่ง ตู้ที่ 8 เลขที่นั่งที่ 44 เย่!!


หนึ่งชั่วโมงสามสิบนาทีผ่านไป ทำไมรถหยุดวะเนี่ย จริง ๆ ต้องถึงปารีสตั้งแต่หกโมงหน่อย ๆ แล้ว นี่ปาเข้าไปจะทุ่ม รถจอดติดแหง็กมี เสียงประกาศมาตามสายเป็นระยะว่ารถเกิดขัดข้องเล็กน้อย และยังไม่ทราบว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่​(เวร) เวลาประกาศก็ดีนะ สี่ภาษาเลย ฝรั่งเศสก่อน ตามด้วย ดัชท์ เยอรมัน และ อังกฤษ เว่อร์มาก!

ซักพักเค้าก็ประกาศว่าคงจะใช้เวลาแก้ไขประมาณ 15 นาที ต้องขออภัยอย่างสูง (ขออภัยประมาณอย่างน้อย 4 ครั้ง)

ถึงแล้วก๊าบบบบบบ Gare du nord (การ์ ดู นอร์) หรือสถานีปารีสเหนือ หน้าตาเหมือนหัวลำโพง! (เคยใช้เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำ Bourne Identity ด้วยอ่ะ)
DSCF5879
สถานี Gare du nord เป็นสถานีที่จอแจที่สุดอันดับสามของโลก รองจาก สถานีชินจูกุ และ สถานีอิเคะบุกุโระ ในโตเกียว สถานีถูกออกแบบและสร้างโดยสถาปนิก Jacques Hittorff ในปี คศ 1861 แน่ะ (ตรงกับปี พศ 2404)

ลอง search ดูก็ได้พบว่าปี คศ 1861 นี้ เป็นปีที่รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้คณะราชทูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับฝรั่งเศสพอดี และเป็นปีที่ที่อิตาลีประกาศตั้งกรุงโรม เป็นเมืองหลวง และเป็นปีที่วรรณคดีนิราศลอนดอนออกจำหน่ายครั้งแรก อีกตะหาก เก่าแก่น้าาาาา (ข้อมูล : guru.sanook.com)

DSCF5881

รูป : ชาวปารีส รอรถไฟกลับบ้าน แออัดยัดทะนาน

มาถึงก็เดินไปชั้นลอย (นึกภาพชั้นลอยของหัวลำโพง เหมือนกันเด๊ะ!) น้องเมย์รออยู่แล้ว ไม่ได้เจอกันนานมากกกก เย้ๆๆๆ

DSCF5884

เมย์อยู่ระหว่างทรานซิท เพิ่งกลับมาจากไปทำงานให้สถานฑูตอเมริกาในประเทศมาลีในแอฟริกา (ป้าด!) ก็เลยมาแวะปารีสสามคืนเพื่อรอเครื่องกลับเมืองไทย (หวานนนนนน)

หิวมากอ่ะ ดีนะ น้องมันซื้อขนมอะไรไม่รู้​(รสชาติเหมือนซาลาเปาทอดที่ขายคู่กะปาท่องโก๋บ้านเรา)มากินรองท้อง (ซัดของน้องมันซะหมดเลย เป็นพี่ที่ดีมาก)

ไปหาเมโทรไปโรงแรมก่อนดีว่า

คราวก่อนที่มาปารีส ฉันซื้อ carte orange ที่เป็นแบบเหมาจ่าย ใช้กี่ครั้งก็ได้ภายใน 3 วันหรือหนึ่งอาทิตย์นี่แหละ นานละ จำไม่ค่อยได้ มาคราวนี้ carte orange มันเปลี่ยนเป็น Navigo แล้ว มีแบบ Navigo week และ Navigo month ที่ฮาคือไม่ว่าคุณจะมาถึงวันไหน มันก็เริ่มนับจากวันจันทร์! จะมาถึงศุกร์แล้วนับไปศุกร์ก็ไม่ได้นะ เซ็งเป็ด

เลยซื้อตั๋วธรรมดาแทน ถ้าซื้อที่ละสิบในจะถูกกว่า , 10 ใบ 11.40 ยูโร (ตกใบละ 1.16 ยูโร) แต่ถ้าซื้อทีละใบ จะใบละ 1.60 ยูโร แต่มาวันหลัง ๆ ฉันก็ซื้อแบบครั้งละใบเหมือนกัน เพราะจะกลับแล้ว จะซื้อสิบใบก็จะฮาเกินไป

การซื้อก็ซื้อได้ที่ตู้ขายอัตโนมัติ บางตู้ก็รับทั้งเหรียญทั้งแบงค์ และ บัตรเครดิต บางตู้ก็รับแต่เหรียญ แล้วแต่อารมณ์

parismetrotix

รูป : ซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียว ถ้าจะซื้อสิบใบก็เลือก Acheter de tickets, coupons เหมือนกัน แต่พอเลือกแล้วแทนที่จะเลือกอันแรก ก็เลืิอกอันที่สองแทน (Carnet 10 tickets) แล้วกดปุ่มเขียว จ่ายตังค์ รอตั๋ว เสร็จ! จะได้ตั๋ว t+ tickets มาหวาน ๆ ซื้อตั๋วมาแล้วก็ใช้เวลาเดินทางต่อรถไปสายไหนก็ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ตราบใดที่ยังไม่ได้สอดตั๋วออก (แต่ส่วนมากมันไม่ต้องให้สอดตั๋วออกนะ ผลักประตูออกไปได้เฉย ๆ เลย) เอาเป็นว่าตั๋วถ้าใช้แล้ว เอาไปสอดจะใช้อีกมันก็ไม่ให้ผ่านละกัน

t+ tickets นี่ใช้ได้ทั้งกับ RER และ รถเมล์ด้วยนะ

ตอนอยู่นั่นก็เห็นบางคนไม่ค่อยจ่ายค่าตั๋ว บางทีประตูมันเจ๊ง ๆ ก็แบบมั่วเดินเข้าไปเลย เกรียนมาก อย่าได้ทำ

more at : //parisbytrain.com/paris-metro-ticket-machine/

Metro Paris ติดอันดับเมโทร งง นรก ที่สุดในโลก ดีนะที่เรา download iPhone App "Metro Paris" มา เฮ้ยมันเก๋มาก มันคำนวณเส้นทางให้หมดเลยว่าจะไปสถานีจากไหนไปไหน ลงสถานีไหนดี จะเลือกเอาแบบเปลี่ยนสถานีน้อยที่สุดหรือระยะทางสั้นที่สุด (แต่เปลี่ยนมากสถานีกว่า) หรือว่าจะเอาแบบใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ฯลฯ

ที่เก๋สุดยอด (แต่บังเอิญไม่ได้ roaming internet เลยไม่ได้มีปัญญาใช้) คือมันหาเมโทรที่ใกล้ที่สุดให้เราแถมให้ info อื่น ๆ อีก (เช่น สายไหนเมโทรเจ๊ง, เกิดอุบัติเหตุ, ซ่อมแซม หยุดวิ่งชั่วคราว อัพเดทกันแบบ real time) หรือแม้กระทั่งเอาไปยืนจ่อ ณ สถานที่ท่องเที่ยวมันก็จะ display ข้อมูลให้อีกต่างหาก

ไปดูเองดีกว่ากับ app นี้สุดยออวววว์ดดดดด


แต่ถึงกระนั้น ก็ยังหลงอยู่ดี 5555 เฮ้ย ยังไม่ชิน ๆ ๆ ตามป้ายยังไม่ค่อยถูก ผ่านไปวันสองวันค่อยดีขึ้น

กว่าจะถึงโรงแรมก็สองทุ่มหน่อย ๆ แล้ว หิวมากกกก ไอ้สลัดมักกะโรนีที่ซื้อมาจากสถานีบรัสเซลส์ ก็ยังไม่ได้แกะ เลยเอามาแบ่งกะไอ้เมย์กินรองท้องไปก่อน รอคุณทรายเครื่องลง สามทุ่ม จะได้ไปกินพร้อมกัน

DSCF5887

รูป : ห้องค่อนข้างเล็ก แต่ก็โอเค สิ่งอำนวยความสะดวกครบ มาทริปนี้หรูนะฮะ เพราะเพื่อนจองโรงแรมได้ลดเกืิอบ 60% เพราะมันทำงานโรงแรมเครือเดียวกัน แถมมีของขวัญเป็นชอคโกแลตหนึ่งกล่องจากผู้จัดการโรงแรมด้วย เว่อร์มาก

โรงแรม : //www.folkestone-paris-hotel.com/

เกือบจะสี่ทุ่ม มันยังไม่มาซักที เฮ่ย ไม่รอแล้วนะ หิวมาก ไปกินละ เลยวิ่งไปฝากเมสเสจกับรีเซ็ปชั่น (ที่ดูจะ งง ๆ หน้ากระเดียดไปทางอัลจีเรียน หรืออียิปต์แบบผู้ดี ๆ ปารีสคนอัลจีเรียน, โมรอคโค และคนดำเยอะมากกกกกก ไม่รู้จะมากกว่าคนฝรั่งเศสผิวขาวด้วยซ้ำมั้ง แต่เห็นเค้าก็กลมกลืนกันดีนะ)

ฉันบอกเค้าว่าเดี๋ยววัชรามาแล้วช่วยบอกเธอให้โทรหาชั้นด้วยนะคะ เค้าก็ชี้ไปที่ไอ้เมย์แล้วถามว่าอ้่าว แล้วคนนี้ไม่ใช่วัชรา เหรอ ฉันก็บอกเปล่า เค้ามาเยี่ยมเฉย ๆ เดี๋ยวเค้ากลับ
"เอ แต่ห้องมันนอนได้สองคนนะครับ"
"เหอ? ค่ะ ทราบค่ะ"
"แล้วนี่จะมีใครมาอีกเหรอครับ??"
"เปล่าค่ะ(โว้ย!) ไอ้คนเนี้ย มาเยี่ยมเฉย ๆ แต่วัชราที่เป็นคนพักเนี่ย ยังมาไม่ถึง"
"อ๋อครับ เอ่อ ครับ งงครับ"
"ไม่ต้องงงค่ะคุณน้อง เอาเป็นว่าเดี๋ยววัชรามาแล้วก็ฝากข้อความให้ด้วยนะคะ"
"ครับผม"
"แถวนี้มีร้านอาหารอะไรแนะนำมั่งมั้ยคะ กินที่ไหนดีค่ะ หิว"
"ก็ เอ่อ เดินออกไป เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาก็ได้ครับ มีหลายร้าน"

ไม่ได้ช่วยกรูเลย..เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาก็ได้...


ลมก็แร้ง แรง แต่ไม่หนาวนะ คงจะประมาณ 14-15 c ได้ เดินวน ๆ ไป วน ๆ มา เฮ้ย กินไรดีอ่ะ ไม่รู้จะกินไรอ่ะ สรุปมาจบที่ถนนหน้าโรงแรมเหมือนเดิม เลือกร้านที่คนเยอะ ๆ หน่อย (อยากช่วยร้านตรงข้ามที่ไม่มีคนเหมือนกัน แต่แบ่บ.. นะ ปลอดภัยไว้ก่อน)

ร้านตกแต่งหรูดูดีมาก ๆ แต่ไม่ได้หรูเกินไป (พอให้เขินเมื่อเดินเข้า) พนักงานพูดภาษาอังกฤษพอได้อยู่ (รอดตัวไปกรู) เมนูมีให้เลือกเป็นอย่าง ๆ หรือจะเลือกเป็น menu set ก็ได้ เมนูเซ็ทราคา 60-65 ยูโร (เฮือก ผีมาถึงหลุมแล้วนี่นะ) ตอนแรกเมย์จะกินปลาอะไรซักอย่าง แต่มันหมด เลยเปลี่ยนมาเป็นเนื้อลูกแกะแทน ส่วนฉันก็เสี่ยงสั่ง อี half-cooked tuna (ปลาทูน่าสุกครึ่งเดียว??) มากิน

อาหารเรียกน้ำย่อยก็เป็นหน่อไม้ฝรั่งขาวในซอสครีม ดูดีโพด ๆ มีผักเสียบมาพอเป็นพิธี

DSCF5922

หน่อไม้ฝรั่งครีมซอสDSCF5922-3

half-cooked tuna อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกก

DSCF5922-3b

สุกครึ่ีงเดียวจริงๆ

DSCF5922-2

เนื้อลูกแกะ ซอสอะไรซักอย่างเว่อร์ๆ กับวอเตอร์เครสส์ + มันฝรั่ง

DSCF5922-4

ของหวานมันคือ คัสตาร์ดแฟลมเบ้!! ไฟลุกมาเลย มีกลิ่นเหล้าหน่อย ๆ หวานครีม ๆ เนื้อเนียนมาก ๆ

DSCF5922-5

ไอติมวานิลลา + เครป (งั้นๆ แหละ 555 จะมาเว่อร์สู้ แฟลมเบ้ ของชั้นได้ไง)DSCF5919

วัชรา!! มาถึงจนได้!! ชั้นละโทรจนมือหงิก หร่อนก็ไม่รับสาย นึกว่าเครื่องพาไปลงอัฟกานิสถานแล้ว!


DSCF5918

แล้วนี่ไปเอาคนขับรถมาด้วยเหรอ? เย้ยยย ไม่ใช่!! มันคือคุณ ราชิต เพื่อนเจ๊เค้านี่เอง ราชิตมีเชื้อสายโมรอคคัน แต่เกิดและโตที่ปารีส (เสร็จ! ให้เป็นไกด์เลย​!)


กว่าสองคนจะมาก็ห้าทุ่มแล้ว ร้านเค้าบอกว่า It's too late to order food นะ แต่สั่งเครื่องดื่มได้ แต่ละคนก็นะ ฝรั่งเศ้ส ฝรั่งเศส แทนที่จะดื่มไวน์กัน ประทานโทด สั่ง โค้ก !! (ราชิตเป็นมุสลิม ไม่ดื่มแอลกอฮอล์) เลยออกไปหาซูชิรอบดึกกินแทน

ได้ข่าวว่าคุณราชิตต้องขึ้นรถไฟรอบเที่ยงคืนยี่สิบกลับบ้าน แต่วัชราก็พาเค้าไปกินซะจนเค้าตกรถไฟ ซวยเลยเมิง ต้องหาที่นั่ง เพราะจะให้มานั่ง ๆ นอน ๆ ที่ห้องก็น่าเกลียดอยู่

สรุปว่าไปจนลงที่ Bastille (บาสตีย์ ออกเสียง บาส-ตี ด้วยนะ ไม่ใช่ บาสติลล์ - แปลว่า ป้อมปราการ, ที่มั่น- ทำเอาคนปารีสงงมาแล้วกับการอ่านภาษาฝรั่งเศสให้เป็นภาษาอังกฤษของข้าพเจ้า )

Bastille มีประวัติโชกโชนมาก เป็นจุดเริ่มของการปฎิวัติฝรั่งเศส (คศ 1789)

เมื่อก่อน Bastille เป็นคุก คุมขังนักโทษทางการเมือง ที่ส่วนมากถูกนำไปขังเพราะความเห็นไม่ตรงกับชนชั้นปกครอง หรือขุนนาง หรือ ราชวงศ์ ประเทศฝรั่งเศสในสมัยนั้นยังปกครองด้วยราชวงศ์ เป็นระบอบกษัตริย์ ขุนน้ำขุนนางเป็นใหญ่ ในขณะที่ประชากรส่วนมากเป็นชนชั้นแรงงาน กรรมาชีพ ชาวนา ฯลฯ ที่อยู่อย่างแร้นแค้น สังคมมีความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างมาก ผู้คนเลยเรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐ

กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเลยร่วมกันลงนามสัญญาว่าจะร่วมมือกันจนกว่าจะร่างรัฐธรรมนูญได้สำเร็จ (ซึ่งแน่นอน พวกขุนนาง ไม่ชอบอยู่แล้ว เพราะตนเองนั้นแน่นอนว่าต้องหมดอำนาจลง)

11 กรกฎาคม 1789 - กลุ่มหัวรุนแรงในปารีสระดมชาวปารีสที่ส่วนใหญ่เป็นกรรมกร จับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลเพราะทนความอดอยากไม่ไหว

และในที่สุด วันที่ 14 กรกฎาคม คศ 1789 ชาวปารีสได้ร่วมกันเดินขบวนไปยังคุก Bastille เพื่อทำการโจมตีและปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองให้เป็นอิสระ หลุดพ้นจากการปกครองระบบราชาธิปไตย ชาวปารีสทำการปฎิวัติิเปลี่ยนระบอบการปกครองสำเร็จ ด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของประชาชน

คศ 1789 ยังเป็นปีที่ สหรัฐอเมริกาประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ โดยมี จอร์จ วอชิงตัน รับตำแหน่ง ปธน.คนแรกของอเมริกาด้วย นับเป็นปีที่ happening มาก ๆ ปีหนึ่งในประวัติศาสตร์นะเนี่ย (ช่วงนั้นคิดว่าไทยยังวุ่นวายอยู่กับการรบกับพม่า)

ต่อมาจากนั้นอีกสี่ปี พระนาง มารี อองตัวแนตต์ ถูกประหารชีวิต (ตรงกับปีที่ไทยเสียเมือง มะริด ทวาย และ ตะนาวศรี ให้แก่พม่าพอดี ปี พศ 2336)

bastille

bastille2

วันที่ 14 กรกฎาคม กลายมาเป็นวันชาติฝรั่งเศส ในวันนี้ชาวฝรั่งเศสจะร่วมกันรำลึกถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในวันนั้น

ปัจจุบันนี้ ประเทศฝรั่งเศส หรือ สาธารณรัฐฝรั่งเศส (République Française) ปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมือง

DSCF6349

บริเวณที่เคยเป็นคุก ตอนนี้กลายมาเป็นโรงละครโมเดิร์นทีเดียว

DSCF6347




Bastille ณ วันนี้

วันนี้เรานั่งดื่มเบียร์ Desperado (คนที่นั่นดันเรียกสั้น ๆ ว่า เดสเป) รสชาติทะแม่ง ๆ, ราชิตดื่มกาแฟ, วัชราก็ซัดตั้งแต่ไวน์ ไปยันน้ำชา (ซึ่งโดนค่อนแคะว่านี่มันฝรั่งเศสนะ ไม่ใช่อังกฤษ จะมานั่งจิบชา ม้นจะไปอร่อยอะไร้!) ไปยันโน่น... ตีห้า!!!

ซักตีห้ากว่าเพื่อนราชิตที่เป็น bouncer ในไนท์คลับก็แวะมาเซย์ฮัลโหลหน่อยนึง (คนอะไรตัวใหญ่มาก!!) แล้วพาพวกเราไปส่งโรงแรม และพาเพื่อนกลับบ้าน 555 สงสารราชิตมาก วันนี้ he คงไม่ได้ไปทำงาน (จะเอาแรงที่ไหนไปทำ)

เช้าวันต่อมา อาหารเช้าไฮโซเป็นอันไม่ได้กิน เพราะว่าจะตื่นก็โน่น เที่ยง!




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2552 20:56:20 น.
Counter : 1783 Pageviews.  

+ A lot of ขี้วัวที่ พาราณสี

นรกมีจริง

ไปมาสองครั้งแล้วพาราณสีเนี่ย ไปถึงครั้งแรก บอกได้เลย ว่าโคตร ๆ ๆ ๆ จะเกลียดเมืองนี้เลย วุ่นวายมาก!! คนก็ชอบเดินตามมาขายของ ตื๊อแบบว่าถ้าตบะไม่แตก ไม่ไล่ ไม่ไป มีอะไรมั้ย (พร้อมสั่นหัวยึกยัก) ขี้วัวเป็นพรืด ชนิดปูพรม.. เดินยังไงให้ไม่เหยียบขี้วัวที่พาราณสี ยากกว่าซื้อหวยปีละครั้งแล้วเอาให้ถูกรางวัลที่หนึ่งอีกมั้ง

แต่อยู่ ๆ ไป พอเริ่มรู้จักคนบ้าง เริ่มจะชินกับความอลหม่านของเมืองนี้แล้ว ก็จะเริ่มรู้สึกดีกับมันมากขึ้น อะไรที่เคยกวนใจ ก็พอจะมองเป็นตลกไปได้ เริ่มจะนั่งจิบชาข้างถนน เริ่มจะชอบชีวิตแบบวุ่นวายแต่มีสีสันของที่นี่ ชอบเสียจนต้องกลับไปอีกเป็นครั้งที่สอง และคาดว่าจะมีครั้งต่อ ๆ ไปอีก



อินเดียในตำนาน

ฉันกับเอก เพื่อนที่สุดแสนจะเกลียดอินเดียเข้าไส้ มาถึงพาราณสีด้วยรถไฟ หลังจากที่ดื่มด่ำกำซาบ แถปุยหิมะ กันอย่างน่าหมั่นไส้ที่สิกขิมมาหมาด ๆ ไม่นับที่ไปติดอยู่ที่ สถานีรถไฟ New Jalpaiguri อีก 2 คืน เพราะรถไฟขบวนที่เราต้องการนั้นเต็มหมด ลำพังเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตการณ์ "จองตั๋วรถไฟ" มาอย่างสะบักสะบอมก็ต้องมาผจญต่อกับเหล่า "นักตื๊อ" ที่พาราณสีอีก

แม้กระทั่งในไกด์บุ๊คยังเขียนบรรยายไว้ซะน่าเที่ยวว่า "พวกเหล่านักตื๊อพวกนี้ จะจ้องมองหานักท่องเที่ยว ราวกับสิงโตที่รอคอยขย้ำเหยื่อที่ไม่มีทางสู้" (-_-") แหม่ ฟังดูแล้วใจชื้นยังไงชอบกล



ก็เหมือนเมืองไทยล่ะนะ พวกตุ๊ก ๆ แท๊กซี่ (กรณีที่พาราณสีจะเป็นริกชอว์ หรือ สามล้อถีบ, ถ้าตุ๊กๆ ที่นี่จะเรียกว่า ออโต้ริกชอว์) จะคอยหาเหยื่อแถว ๆสถานีรถไฟ หรือสถานีรถบัส พอเห็นนักท่องเที่ยวแบกเป้รุงรัง แบบ ใหม่สดจากเตาเลย แบบนี้เพิ่งเคยมาแน่ จะกรูกันเข้ามาแบบไม่เกรงใจเทพเจ้าองค์ไหนเลย

แล้วไอ้เราก็ดันไปลงที่สถานี มุฆัลเซราย (Mughal Sarai) ซึ่งอยู่ห่างจากพาราณสีประมาณ 10 กิโลเมตร ที่เราต้องมาลงที่นี่เพราะตั๋วไปพาราณสีหาไม่ได้เลย เต็มหมดทุกเที่ยว มาลงที่นี่แทนก็ได้(วะ) แล้วต่อออโต้ริกชอว์ที่เราโทรให้ทางเกสต์เฮาส์ส่งมารับที่สถานี เพื่อต่อไปยังพาราณสี ไอ้เวลาที่รถไฟมาถึงก็ดีมาก ประมาณตีสาม! แล้วออโต้ริกชอว์ก็ไม่ยอมมารับด้วยจนกว่าจะเช้า เราต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่แถว ๆ ม้านั่งที่สถานีนั่นแหละ

ข้าง ๆ ม้านั่งมีตู้ขายกาแฟอัติโนมัติ แบบรุ่นล่าสุด ดูดีไฮโซ เหมือนตามออฟฟิศในกรุงเทพฯ แต่ถ้วยไม่ได้เป็นถ้วยกระดาษนะ เป็นถ้วยดินเผา! แปลกดี เครื่องทันสมัย แต่ถ้วยยังเดิม ๆ อยู่ กินเสร็จแล้วก็เขวี้ยงให้แตก เพราะคนอินเดียยังถือเรื่องวรรณะกันอยู่ (บางคนมาก บางคนน้อย) ไม่กินถ้วยซ้ำกับใคร กินถ้วยไหนก็ถ้วยนั้น กินเสร็จแล้วทำลายทิ้งเลย ถ้าเป็นตามร้านอาหารที่มีแก้วน้ำสเตนเลสให้ คนอิินเดียส่วนมากจะไม่มีการเอาปากแตะแก้วเลย แต่จะยกแก้วขึ้นสูง ๆ แล้วเทน้ำแบบ กรอก ใส่ปาก อันนี้รวมไปถึงขวดน้ำด้วย แม้กระทั่งเพื่อนกันก็ตาม ถ้าเราเอาปากแตะปากขวดไปแล้ว เขาจะไม่กิน หรือบางคนถ้าสนิทกันจริงๆ ก็กินได้ แต่เค้าก็ยังกินแบบ "เท" น้ำเข้าปากอยู่ดี

ริกชอว์นรกส่งมาเกิด

เด็กที่เกสต์เฮาส์ชื่ออโศก เอาออโต้ริกชอว์มารับถึงหน้าสถานี เขาเอาโบรชัวร์ของเกสต์เฮาส์ Ganga Fuji ที่เราจองไว้ติดมาด้วย พร้อมชื่อฉันที่เขียนไว้บนโบรชัวร์ ว่าไม่ได้มั่ว แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะขนาดว่ามีคนมารับถึงที่แล้ว พวกเหล่าริกชอว์แขกจอมตื๊อก็ยังมารุมล้อม คือ "ล้อม"จริงๆ เราติดแหง็กอยู่ตรงกลาง ไอ้เราก็แหวกเอากระเป๋าไปใส่รถได้แล้ว ยังมาพูดหว่านล้อมไม่ให้เราไป ฉันพยายามไม่ใส่ใจ แต่มันกวนตีนเหลือเกิน

"อีนี่นายจะไปหนาย ไปริกชอว์ม้าย"
"จองเกสต์เฮาส์ไว้แล้วมีคนมารับแล้ว"
"ไอ้เนี่ยเหร๊อ" (ชี้ไปที่เด็กที่มารับ)
"ใช่ มีปัญหาเรอะ"
"โอ๊ย ไปกันฉานดีกว่า"
"จะบ้าเหรอก็เค้ามารับแล้ว ไม่ไปๆๆ"​ แล้วไอ้แขกมหาประลัยนั่นมันก็ไปเจรจากับเด็กของเกสต์เฮาส์ ซึ่งกำลังทำหน้าหวานอมขมกลืนอยู่ข้าง ๆ คนขับรถด้านหน้า จะบอกให้ออกรถก็กลัวโดนตีน เพราะพวกมาเฟียริกชอว์ได้ล้อมท่านไว้หมดแล้ว

ฉันปล่อยให้แขกได้เจรจากันไป นานเกือบสิบนาที รถก็ยังไม่ออก

"นี่อีกนานป่าว? ไปเหอะ" ไอ้แขกริกชอว์นั่นยังพล่ามกับอโศกไม่เลิก ส่วนอโศกก็ทำหน้าไม่ถูก ฉ้นเลยเดินลงไปคุยกับอาบังนั่นตัวต่อตัวไปเลย เบื่อที่สุดถึงที่สุดแล้ว
"ทำไมบัง ทำไมมีปัญหาอะไรหรอ ก็บอกแล้วว่าไม่ไป ไม่ไป จะเอาอะไรอีก"
"ยูเงียบปากไปเลย"
"อ๊าวววว พูดงี้เดี๋ยวเอาขี้วัวป้ายหน้าเลย ก็ชั้นจ่ายเงินให้เค้ามารับ ชั้นมีสิทธิ์สั่งให้เค้าออกรถ"
"แต่ว่าเขา (ชี้ไปที่อโศก) เป็นคนอินเดีย ยู่ไม่ช่ายคนอินเดียนี่!"
????? ฉันได้แต่อึ้ง แล้วมันเกี่ยวตรงไหน (วะ)
"แล้วทำไม เกี่ยวอะไรกับเป็นคนประเทศอะไร ยูจะบ้าเหรอ"
"เพราะคนอินเดียต้องคุยกับคนอินเดียด้วยกันซี๊!"
"ทำไม จะได้โกงง่าย ๆ หน่อยใช่มั้ย นี่ บอกเลยนะ ปล่อยให้เราไปได้แล้ว แล้วเลิกไปยุ่งกับอโศกซะที"
"ทำไม ทำไม ยูจะทำไม"
"เอ๊า แล้วยูล่ะจะทำไม ใหญ่นักเหรอ เอ๊อ ชั้นไม่ไปก็ได้" ฉันหันไปเอากระเป๋าออกจากรถ
"ไป จะไปนักใช่มั้ย ไปหาตำรวจด้วยกันเลย มา"

เท่านั้นแหละ แขกก็แขกเหอะวะ เงียบไปทันที

คนอินเดียไม่ค่อยชอบตำรวจ ไม่ใช่ว่าเกรงกลัว แต่กลัวเสียเงิน (ฮา) ฟังดูเหมือนประเทศไหนก็ไม่รู้เนอะ มันอยู่ที่ว่าใครจะยัดเงินตำรวจได้มากกว่ากัน ใครยัดมากกว่า ฝ่ายนั้นชนะ ระบบเน่าพอกับประเทศแถว ๆ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศหนึ่ง แต่นี่คือเรื่องจริง

การ์ปูร์

เราพักที่เกสต์เฮาส์ Ganga - Fuji เจ้าของเป็นหนุ่มใหญ่ ท่าทางไว้ตัว แต่ถามอะไรก็ให้ข้อมูลดี ไม่หวง เขาชื่อราช แต่คนอื่นมักเรียกเค้าด้วยนามสกุลว่า การ์ปูร์ เพราะเป็นตระกูลมีชื่อ ค่อนข้างไฮโซของพาราณสี การ์ปูร์เคยแต่งงานกับผู้หญิงญี่ปุ่น และย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นเกือบสิบปี จนพูดภาษาญี่ปุ่นได้คล่องราวกับเจ้าของภาษา ทำให้เกสต์เฮาส์นี้มีคนญี่ปุ่นมาพักค่อนข้างมาก แต่การ์ปูร์เทคแคร์ทุกคนอย่างดี แถมออกจะไม่ค่อยชอบคนญี่ปุ่นอยู่หน่อย ๆ ด้วยซ้ำ (อ้าว) การ์ปูร์บอกว่า อยู่ไป 9 ปี ปีแรก ๆ ก็มีความสุขดี แต่อยู่ไปนาน ๆ เริ่มไม่ชินวัฒนธรรมต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง ปัจจุบันการ์ปูร์หย่ากับภรรยาแล้ว มีลูกชายวัย 8 ขวบด้วยกันหนึ่งคน เป็นเด็กผิวขาวแบบญี่ปุ่น แต่ตาโตเหมือนแขก เออก็เป็นส่วนผสมที่เข้าท่าดี (แต่ไอ้เจ้าเด็กคนนี้มันเลี้ยงยากมากเลยนะ อาหารอินเดียก็ไม่กิน นอนห้องไม่มีแอร์ก็ไม่ได้ แถมดูพ่อจะภูมิใจซะอีก ไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง)

วัวศักดิ์สิทธิ์

ฉันใช้เวลา 2-3 วันก็เริ่มที่จะปรับตัวได้ แต่ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่า วัวตัวไหน ดูท่าว่าจะขวิดหรือไม่ขวิด! เพราะบางตัวดูใจดี มีเมตตา หน้าเซื่อง ๆ แต่พอเดินเฉียดไปหน่อย ก็เอาเขา (โชคดีที่มันกุด) ขวิด ๆ แบบทีเล่นทีจริง (แต่ตูเสียวนะ) ฉันไม่เคยไว้ใจวัวที่อินเดียได้ซักตัว แม้แต่เพื่อนชาวอินเดียที่เป็นชาวพาราณสีโดยกำเนิด จะพยายามชวนเชื่อเท่าไหร่ว่า "วัวน่ารักออก ดูซิ แววตาอินโนเซนท์" ฉันก็ไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะฝังใจ ที่โดนขวิดแบบหวุดหวิดมาแล้วสองครั้งสองครา ในขณะที่เพื่อนชาวอินเดีย เดินผ่านวัวไปแบบตัวปลิว (บางครั้งมีแวะตบหัววัวแบบเอ็นดูอีกต่างหาก)
สงสัยชาติหน้าอาจจะต้องเกิดเป็นฮินดู วัวถึงจะรัก



เค้าว่าวัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นพาหนะของพระศิวะ (หรืออีกชื่อคือพระอิศวร แต่คนอินเดียจะเรียก Shiva) ยิ่งที่พาราณสี ซึ่งเป็นเมืองของพระศิวะ ด้วยแล้ว คนยิ่งไม่ไปยุ่งกะวัวให้วัวต้องรำคาญใจเลย แถว ๆ วงเวียนกลางสี่แยกแถว ๆ Dasaswamedh (ทาสอัศวเมธ) Ghat (ฆาต หรือเชิงตะกอนนั่นแหละ) หรือ Main Ghat เป็นสี่แยกที่จอแจที่สุดแห่งหนึ่งของพาราณสี เป็นวงเวียนที่ติดกับตลาด ติดร้านอาหาร ติดแผงลอย และเป็นฆาตที่นักท่องเที่ยวมามากที่สุด คิดดูว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหน

แต่ถึงจะวุ่นวายจอแจ ทั้งรถราผู้คนเป็นหมื่นเป็นแสนสัญจรผ่านไปมา กลางวงเวียนนี้ จะมีวัวมานอนเป็นประจำ แล้วไม่ได้มาแบบไม่ได้ตั้งใจด้วยนะ คือมันตั้งใจมานอนที่นี่เลย เพราะทุกวันจะเป็นตัวเดิม ๆ คนแถวนั้นจำได้หมด วันไหนไม่มาอาจจะถึงขึ้นคิดถึงกันเลยทีเดียว

แต่ไม่ใช่ว่าวัวทุกตัวจะน่ารักสงบเสงี่ยมเสมอไป วัวจะมีสองประเภทที่ไอ้พวกตัวที่ขาว ๆ เจี๋ยมเจี้ยม นี่เค้าก็เรียกกันตามปรกติว่า Cow และพวกตัวดำ ๆ มีหนอก คนอินเดียเค้าจะเรียกว่า Bull (จริง ๆ มันก็ไม่ใช่กระทิงหรอกนะมันก็คือวัวนี่แหละ แต่เป็นพวกพันธุ์บราห์มัน หรือพวกอินดูบราซิล ตัวใหญ่บะเล่ง) แล้วไอ้พวกตัวดำ ๆ นี่แหละ ดุนัก พยากรณ์อารมณ์ไม่ค่อยจะได้ คนอินเดียเองยังหวาด ๆ เวลาเจอที่ไหนต้องหลบให้มันเดินไปก่อน

แล้วพาราณสีก็เป็นเมืองที่เป็นเหมือนเขาวงกต แต่ละซอยนี่แต่คนเดินสวนกันได้ก็บุญแล้ว แถมบางทีเจอวัวเดินผ่านมา ต้องหลบขึ้นบนร้านข้างทางกันเป็นแถบ ๆ แถมบางตัวก็ชอบนอนขวางหน้าร้านหรือทางเข้าโรงแรม บางตัวชอบแวะร้านขายส่าหรี (ไม่รู้ทำไม เห็นหลายครั้งแล้ว โผล่มาแต่ตูด แต่หัวเข้าไปอยู่ในร้าน)

แต่คนอินเดียรุ่นใหม่ ๆ ไม่ค่อยเคร่งเรื่องวัวนี้เท่าไหร่นัก ฉันเคยถามเพื่อนคนอินเดีย ซึ่งเป็นคนเมืองใหญ่อย่างมุมไบ (บอมเบย์) ว่ากินเนื้อวัวด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่ามันศักดิ์สิทธิ์เหรอ เจ้าหล่อนตอบหน้าตาเฉย "ศักดิ์สิทธิ์ก็ดีดิ กินซะเลย ฮ่าๆๆๆๆ"

จะรีบไปตาย??


คนไทยคุ้นกับชื่อพาราณสีมานาน เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเราก็ร่ำเรียนกันมาว่า พาราณสีคือเมืองที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาเป็นครั้งแรก แก่่พระปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (ปัจจุบันเรียกว่า เมืองสารนาถ ใช้เวลาเดินทางแค่ครึ่งชั่วโมงจากพาราณสี) บางที่ก็ยังเห็นใช้ชื่อ "กาสี" อยู่ ซึ่งเดิมนั้น กาสี เป็นชื่อแคว้น (กาสี แปลว่า แสงสว่าง) ต่อมาเมื่อสมัยอยู่ภายใต้อาณานิคมก็เป็นชื่อ เบนาเรส (Benares) จนในที่สุดก็เปลียนกลับมาเป็นพาราณสี (หรือ วาราณสี Varansi ตามสำเนียงอินเดีย)

ทุกวันนี้คนไทยจำนวนมากยังคงเดินทางมาแสวงบุญที่นี่ ถ้าได้ลงไปที่แม่น้ำคงคา (หรือคนอินเดียเรียก Ganges - แกงกี หรือ Ganga - กังกา, Ganges คือเวอร์ชั่นที่รับมาจากฝรั่ง แต่แบบเดิม ๆ คือ Ganga แต่แบบไหนก็ได้ แล้วแต่คนจะเรียก ) จะเห็นทัวร์กรุ๊ปจากเมืองไทยกันอยู่บ่อย ๆ หลายคณะมักจะมีพระสงฆ์มาด้วย ได้ฟังการนำทัวร์ผสมธรรมมะเพลินดีไปอีกแบบ



สำหรับคนไทยคือที่ที่มาแสวงบุญ สำหรับคนอินเดียคือที่ที่มาล้างบาปและที่ที่เดินทางมาตาย

บางคนรู้ตัวว่าใกล้ตาย ก็จะให้ลุกหลานพามา "รอ" ที่นี่เลย เอาให้แน่ใจว่าตัวเองได้มาตายที่พาราณสี เพื่อจะได้ไปสู่ภพชาติที่ดีกว่าและบาปจะได้รับการชำระเสียแต่ชาตินี้ บางคนไม่ทันได้รอ ตายเสียก่อน อาจจะสั่งเสียลูกหลานไว้ ให้มาเผาหรือลอยน้ำที่นี่

พาราณสีมี "ฆาต" อยู่ริมแม่น้ำจำนวนมากมาย ฆาต หรีอเชิงตะกอนนี้ไม่ได้มีไว้เผาศพเสียทุกฆาต ฆาตส่วนใหญ่จะเป็นลานกว้าง สำหรับทำพิธีทางศาสนาทั่ว ๆ ไป เช่น ทำบุญ อาบน้ำล้างบาปช่วงเช้า แม้กระทั่งมานั่งสมาธิ สวดมนต์ แต่ฆาตที่ไว้เผาศพนั้นจะแยกตัวออกไป จะเรียกฆาตที่ใช้ทำพิธีศพนี้ว่า Burning Ghat หรือฆาตสำหรับพิธีฌาปณกิจ ซึ่งห้ามถ่ายรูปโดยเด็ดขาด

รอบ ๆ Burning Ghat นี้จะมี "สถานที่รอ" เป็นห้องเล็ก ๆ บางทีก็ใช้เป็นที่หลบแดดนั่งพักของญาติ ๆ ที่นำศพมาทำพิธี แต่บางครั้งก็เป็นสถาณที่ที่คนแก่ ๆ มานั่งนอนรอความตายอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่..

ศพจะถูกแห่มาตามถนน และไม่มีใครสนใจ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญยิ่งกว่าคนไทยกินข้าว ขบวนศพปะปนอยู่กับขบวนสามล้อ วัว พ่อค้า แม่ค้า ที่หลั่งไหลกันมาตามถนนแคบ ๆ ของพาราณสี

ถ้าตะโกนด่าใครลอย ๆ ว่า"เฮ้ยจะรีบไปตายหรือไงวะ!!?"ที่พาราณสี
อาจจะได้คำตอบว่า "เออ ขอโทษนะ เดี๋ยวไม่ทัน"
:-)

การเผาศพก็ต้องใช้ไม้ ขนาดตายแล้วยังมีแบ่งชั้นวรรณะ คนที่มีเงินหน่อยอาจจะเลือกไม้กฤษณาที่หอมเนื้อดี ที่คนจน ๆ หน่อยก็เลือกเอาไม้อะไรก็ได้ ขอให้ถูก ๆ ไว้ก่อน ให้ได้เผาก็พอแล้ว การเผาก็ทำกันกลางแจ้ง ไม่มีโลง มีแต่ศพที่ห่อผ้าหลากสีสัน มีพวงมาลัยและดอกไม้โปรยไว้ แล้วก็เผากันเลย คนที่นี่เผาศพกันทุกวันวันละหลาย ๆ ศพ บางศพแขนขาเด้งขึ้นมา เรียกเสียงกรี๊ดวี๊ดว้ายของคนขวัญอ่อนได้ทุกครั้ง แต่สำหรับคนที่มีหน้าที่เผาศพ แค่เอาไม้เขี่ย ๆ แล้วก็หันไปนั่งจิบชาต่อ ไปนั่งดูบ่อย ๆ ก็ปลง ความตายและชีวิตแตกต่างกันก็แค่ลมหายใจเดียว หายใจเข้าได้หายใจไม่ออกก็ตายแล้ว ตายไปก็เหลือแค่กระดูกกองนึง แค่นี้แหละ

ราช

ฉันไปนั่งดูเขาเผาศพและไปนั่งเล่นแถวแม่น้ำคงคาเป็นประจำ จนคุ้นเคยกับเด็กขายโปสการ์ดแถวนั้น มีคนนึงตัวเล็กนิดเดียวชื่อ พินตู เอาโปสการ์ดมาขายทุกวัน ฉันก็อุดหนุนไปบ้าง หลัง ๆ เริ่มมาถี่ ฉันเลยบอกว่าซื้อหลายใบแล้วไง พินตูเลยมีของเล่นมาใหม่ เป็นผงสีผสมกากเพชร วาดเป็นลวดลายบนมือได้

"นี่ นี่ ผมเรียนเองเลยนะ ลองดูมั้ย"
"แล้วมันจะติดนานไหมล่ะ"
"ก็นานนนน"
"นาน พรุ่งนี้พินตูก็ไม่ได้มาขายอีกน่ะซิ​?"
"พรุ่งนี้ก็เลือกลายใหม่ซิ"
"แล้วจะลดราคาให้หรือเปล่าล่ะ"
"ลดไม่ได้หรอก สีแพง"
"ฮ่าๆๆ"
"นะ นะ ลองหน่อยนะ"
"อ่ะก็ได้" ฉันยื่นมือขวาให้พินตู พินตูเปิดกล่องกระดาษที่มีขวดผงสีอยู่ 5-6 ขวดออกมา แล้วก็เริ่มละเลงสี ดูไม่ค่อยจะเข้าท่า แต่ออกมาแล้วก็สวยดี
"เก่งนี่ เรียนเองเหรอ"
"ใช่แล้ว ผมชอบเรียนอะไรใหม่ ๆ ทุกวัน นี่ ๆ ๆลองอันนี้ด้วยมั้ย มีเฮนน่าด้วยนะ"
"วันนี้ทำอันนี้ไปแล้วไง"
"ก็อีกข้างนึงไง"
"ขายเก่งจริงว่ะตัวแค่นี้" พินตูยิ้มปากกว้างถึงรูหู



"พินตู! อย่าไปกวนพี่เค้ามากนักเลยวะเอ็งนี่" ฉันหันไปตามเสียง เจ้าของเสียงเป็นผู้ชายอินเดีย อายุราว ๆ ซักยี่สิบปลาย ๆ ผมเผ้าเปียกเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ พินตูพูดกลับไปเป็นภาษาฮินดี แล้วทั้งคู่ก็โต้ตอบกันเป็นภาษาฮินดีอยู่นาน แต่ดูเหมือนจะแหย่กันเล่นมากกว่า เพราะโวยวายกันไปขำกันไป

ฉันให้เงินพินตูไปยี่สิบรูปี
"แต๊งกิ้ว!!" แล้วกฺ็วิ่งแจ้นไปหานักท่องเที่ยวคนอื่นต่อ
"มันน่ารำคาญหน่อยนะ เด็กแถวนี้" ชายแปลกหน้าคนเดิม ขึ้นมานั่งที่บันไดขั้นเดียวกับฉันพลางเช็ดผมไปด้วย ฉันไม่ตอบอะไร
"มาจากประเทศไหนเหรอคุณ?" ฉันก็ยังไม่ตอบอะไร นั่งเขียนไดอารี่ไปเงียบ ๆ ไอ้นี่ท่าจะบ้า มาชวนคุย โจรป่าววะ
"กลัวผมเหรอไง" เขาพูดกลั้วหัวเราะ
"เปล่า แต่แม่ไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า" (มุขโคตรโบราณเลยกรู)
"ผมแปลกหน้าเหรอ ไม่มั้ง คุณต่างหากที่แปลกหน้า ผมเกิดที่นี่ โตที่นี่นะ คุณไม่ได้มาจากที่นี่ซักหน่อย"

คนอะไร กวนทีนนนนนนนนนนน (-*-)

"เอ่า มาจากประเทศอะไรล่ะตกลง"
"ไทย"
"อ๋อ ไทยแลนด์ ว่าแล้วเชียว"
"ทำไม รู้ได้ไง"
"ก็เดาเอา เพราะหน้าก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นแน่นอน จีนก็ไม่น่าจะใช่ เกาหลียิ่งไม่น่าใช่ เพราะคุณดำเกินไป"

เออ เออ.. ตูมันดำ..

"มาทำไรแถวนี้ล่ะ" ชักไม่อยากจะคุยกะมันแล้วนะเนี่ย แต่รอถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก ต้องนั่งต่อไป
"มาทำนามั้ง ไม่เห็นเหรอ มานั่งเล่น"
"อ่าว ก็นึกว่ามาตาย"
"เอ๊า..."
"อะล้อเล่น นี่ คุณกลัวผมจริง ๆ ใช่ปะเนี่ย เป็นไร ทำไม หน้าผมมันน่ากลัวมากหรอ"
"ที่เมืองไทยเค้าบอกว่าไม่ให้ไว้ใจแขก"
"ฮ่าๆๆๆๆ"
"ทำไมขำอะไร"
"ก็ไม่ต้องไว้ใจซิ คนอินเดียยังไว้ใจคนอินเดียด้วยกันไม่ได้เลยคู้ณ"

ฉันไม่พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาเขียนไดอารี่ต่อ
"เขียนไรอะ" (ชะโงกหน้ามาดู)

บ๊ะ ไอ้บ้านี่ นอกจากกวนทีนแล้วยังสอดรู้สอดเห็นอีกด้วย

ฉันหยุดเขียน ยื่นไดอารี่ให้ดู เขาหยิบไปดูซักแป๊บนึง แล้วส่งคืน
"อ่านไม่ออก"
ก็แหงล่ะ ภาษาไทยนี่หว่า จะไปอ่านออกได้ไง เขาลุกขึ้นยืน ปัดตูดกางเกงปั้บ ๆ แล้วก็หันหลังจะเดินกลับไปข้างบนฝั่ง

"ไปละนะ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมชื่อ ราช นะ"
"อือ"
"ถ้าเย็น ๆ ยังอยู่อาจจะได้เจอกันอีก ผมทำงานอยู่ที่เกสต์เฮาส์แถวนี้แหละ"

ว่าแล้ว ราชก็เดินจากไป ความสงบสุขก็ได้กลับมาเยือนอีกครั้ง เวลาวางกระดาษ ไม่ว่าจะเป็นสมุดโน้ต หรือ อะไรก็ตามต้องระวัง ไม่ใช่แค่ว่ามันจะปลิวอย่างเดียว แต่ระวังแพะมากิน!

ประชากรแพะที่นี่ มีมากไม่น้อยกว่าประชากรวัว และเดินเล่นได้อย่างอิสระตามใจฉันมาก ๆ และกินทุกอย่างที่ขวางหน้า กระดาษนี่ชอบมากเป็นพิเศษเลย เผลอเป็นไม่ได้

ปูจา - บูชาไฟ


ตอนเย็น ๆ พระอาทิตย์ตก สวยมาก ๆ แต่พอพระอาทิตย์จากไปแล้ว ยุงจะเข้ามาแทนที่ทันที ฉันรีบถ่าย ๆ ๆ รูปแล้วก็แจ้นกลับที่ Main Ghat ซึ่งเค้ามีพิธีปูจา (Puja หรือ ภาษาไทยคือ บูชา) ช่วงค่ำกันอยู่ คนจะมานั่งกันที่แม่น้ำแล้วทำพิธีบูชาไฟ โดยคนทำพิธีเป็นพราหมณ์หลายคน แต่ละคนคงต้องมีกำลังแขนเป็นเยี่ยม เพราะต้องทั้งเหวี่ยง ทั้งถือภาชนะทองเหลืองชิ้นไม่ใช่เล็ก ๆ แถมยังมีไฟลุกอยู่อีก ร้อนก็ร้อน หนักก็หนัก นานก็นาน นับถือในความพยายามจริง ๆ



พิธีนี้ทำกันทุกวัน มีการสวดมนต์ สั่นกระดิ่ง ทำกันหน้าแม่น้ำที่ main ghat นี่แหละ (ghat อื่นก็มีแต่ไม่ใหญ่เท่า) มีเคริื่องขยายเสียงดังไกลไปหลายกิโล ทั้งคนอินเดียทั้งนักท่องเที่ยว และแน่นอน รวมไปถึงวัว แห่มารวมพิธีกันแน่นทุกวัน แต่อย่าลืมเอายากันยุงไปทาด้วยล่ะ



ยังมีต่ออีกสำหรับพาราณสี ไว้แวะมาอ่านอีกนะก๊ะ




 

Create Date : 24 มีนาคม 2551    
Last Update : 24 มีนาคม 2551 15:21:07 น.
Counter : 1162 Pageviews.  

วันนี้ ณ เวียนนา

mozart.jpg

บันทึกคราวที่แล้วยังไม่ทันจะเสร็จเลย ขอข้าม shot มาเวียนนาก่อน เพราะตอนนี้ยังพิมพ์สดอยู่ที่นี่ สด สดจริง ๆ ไหม่ได้โม๊!

แอร์โฮสเตสในชุดสีแดงแจ๊ด ตั้งแต่หัวจรดเท้า เข็นรถบริการหนังสือพิมพ์มาตามทางเดิน บนเครื่องบินของสายการบินออสเตรียนแอร์ไลน์

"รับหนังสือพิมพ์มั้ยคะ" แอร์สาวสวยผมสีทอง ยิ้มละไมอย่างที่ถูกเทรนมาอย่างดี
"มีหนังสือภาษาอังกฤษมั้ยคะ" ฉันมองหาหนังสือที่น่าอ่านฆ่าเวลาบนเครื่อง น้องแอร์เหลือบไปดูที่รถเข็น แล้วก็ยิ้มเจื่อน ๆ บอกว่ามีแต่ วอลล์สตรีทเจอร์แนล ที่เป็นภาษาอังกฤษ นอกนั้นเป็นภาษาเยอรมันหมด เอาวะ วอลล์สตรีท ก็ วอลล์สตรีท

นั่งทนอ่านไปได้ 3 นาที แทบปิดไม่ทัน หนังสือพิมพ์อะไรช่างซีเรียส และน่าเบื่อปานนี้หว่า

นั่งไปหาวไปจนน้ำตาเล็ด จากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ใช้เวลาบินหนึ่งชั่วโมง ยี่สิบนาที ทำให้มีเวลาเสิร์ฟอาหารจำกัด อาหารที่เสิร์ฟเลยเป็น snack ถาดเล็ก ๆ (ลาซานญ่าผักโขมอบชีส) ขนมปังคนละก้อน (น้องแอร์เดินถือตะกร้าขนมปังมาให้หยิบกันเองเลยนะ อุ่นๆ) กับเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว

Austrian Airline food

ในที่สุด พี่กัปปิตัน ก็พาเรามาถึงสนามบิน Flughafen Wien ของกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ตอนนี้เกือบบ่ายสองพอดี

เนื่องจากเป็นทริปธุรกิจ(ของชาวบ้านเขา) เราได้แต่อาศัยมาเที่ยวด้วย บริษัทคุณเบิร์ตจ่ายค่าที่พักให้ สบายไป เราได้ห้องพักที่ โรงแรมวิลเฮล์มสฮอฟ เกิดมาไม่เคยพักโรงแรมหรูขนาดนี้ ให้ตายเถอะโดเรม่อน ! จริงๆห้องที่จองไว้เป็นห้องธรรมดา แต่ด้วยความจำเป็น โรงแรมได้ให้ห้องของเรากับแขกคนอื่นไปแล้ว ห้องธรรมดาเต็มหมด เราเลยได้ห้องใหญ่กว่าที่จองไว้แทน แบบนี้ไม่บ่นอยู่แล้ว อิอิ

สนนราคาห้องพัก (ซูพีเรีย) ที่นี่คือคืนละ 150 ยูโร!! (โอ มายพระพุทธเจ้า เงินขนาดนั้น ฉันอยู่ได้ประมาณสองอาทิตย์ที่ยุโรป) แต่ไม่ได้จ่ายเอง ก็โอเคอะนะ

โรงแรมนี้อยู่ใกล้ พราเตอร์ (Prater) ที่ก็คือสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเวียนนามาช้านาน เมื่อก่อนเคยเป็นที่สำหรับล่าสัตว์สำหรับพวกเชื้อพระวงศ์ด้วย แม้แต่โมสาร์ทก็ยังมาชอบนั่งเล่น ชิว ชิว ที่นี่

ช่วงเทศกาลใหญ่ ๆ อย่างอีสเตอร์ หรือ คริสต์มาสต์ ชาวเวียนนากว่าครึ่งของทั้งเมืองก็ว่าได้ มักจะมารวมตัวกันที่นี่ คงจะเหมือนที่คนไทยชอบไปลานเซ็นทรัลเวิร์ลด์พลาซ่า ไม่รู้ทำไม

นอกจากจะเป็นสวนสาธารณะแล้ว พราเตอร์ ยังเป็นสวนสนุกกลางแจ้ง มีเครื่องเล่นมากกว่า 200 ชนิด ตั้งแต่สิว ๆ เช่น รถบั๊มบ์ ม้าหมุน บ้านผีสิง ไปจนถึงเครื่องเล่นอลังการอย่างโรลเลอร์โคสเตอร์ สุดยอดซูเปอร์เกลียวตีลังกาพันแปดร้อยสี่สิบเอ็ดรอบ (มั่ว มั่ว) มีสํญลักษณ์ที่เห็นได้แต่ไกลคือ ไอ้เจ้าชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ อายุเก่าแก่อยู่คู่เวียนนามาตั้งแต่ปี คศ 1879 ที่ดูยังไงก็เหมือนล้อจักรยานยักษ์ ที่มีตู้คอนเทนเนอร์สีแดงแขวนไว้รอบ ๆ ฉันไม่ได้ขึ้นกะเขาหรอก เพราะไม่ชอบความสูง เหอๆๆๆๆ แต่ถ้าจะขึ้นก็ซื้อตั๋วได้ในราคา 9 ยูโร ต่อหนึ่งรอบ ส่วนเครื่องเล่นอื่น ๆส่วนมากค่าตั๋วจะอยู่ประมาณ 3-4 ยูโร

เรานั่งรถไฟใต้ดิน หรือ U-Bahn สาย U1 จาก สถานี Praterstern ไปที่สถานี Stephanplatz ที่เป็นที่ตั้งของโบสถ์เป็นที่รู้จักโด่งดังที่สุดของเวียนนา คือ Stephansdom ที่นี่เป็นที่ที่โมสาร์ทเข้าพิธีแต่งงาน และ สุดท้าย ก็เป็นที่ทำพิธีศพของเขาด้วย...

Stephansdom ถูกสร้างขึ้นในปี คศ 1147 สร้างไป ต่อเติมไป ไป ๆ มา ๆ ก็ปาเข้าไปหลายร้อยปี ! การบูรณะต่อเติมครั้งใหญ่คือช่วงปี คศ 1511 การสร้างโบสถ์ที่มีรายละเอียดอลังการ มักกินเวลามากและค่าใช้จ่ายก็แพงมากด้วย และด้วยรายละเอียดในที่อัดแน่นอยู่ในทุกอณูของโบสถ์แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่จนถึงทุกวันนี้ Stephansdom ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ จุดเด่นของ Stephansdom คือหลังคา ที่มีลวดลายสีสันสดใส เขาบอกมาว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากลายพรมซาราเซ็นของอาหรับ
Stephansdom, Vienna

การมาเยือนเวียนนา แทบทุกคนต้องไปเยือน Stephansdom แห่งนี้ การเข้าชมนั้นเข้าฟรี แต่เข้าได้เฉพาะบริเวณที่กั้นไว้สำหรับนักท่องเที่ยว ถ้าจะเดินชมด้านใน พร้อมไกด์ ก็มีบริการที่ด้านในของโบสถ์ นอกจากจะเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว Stephansdom ยังคงเป็นแหล่งพึ่งพิงทางใจ ของชาวคริสเตียนในเวียนนาเหมือนวัดพระแก้วของเรา ฉะนั้นเวลาเข้าไปเยี่ยมชมก็ควรสำรวมนิดนึง

เมื่อวานยังไม่ได้เข้าไปทัวร์กะเค้า เลยได้แต่เดินดูด้านใน ถ้ามีเวลา (และมีตังค์) จะพาไปดูด้านในแบบเจาะลึกซักรอบ

ลานด้านหน้า Stephansdom นั้นโล่งกว้าง เหมาะแก่การเตะตะกร้อเป็นอย่างยิ่ง แต่ตะกร้อคงยังไปไม่ถึงออสเตรีย เลยไม่เห็นใครเล่น :-P แต่บริเวณนี้ก็ยังมีกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่คาเฟ่รอบ ๆ ที่มีโต๊ะเรียงราย เหมาะแก่การนั่งจิบกาแฟ มองดูผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา เนื่องจากเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยว เลยทำให้ลานนี้ดึงดูดนักแสดงข้างถนนทั้งหลาย มาแสดงเปิดหมวกกันอีกด้วย มีตั้งแต่การแสดงแบบเบสิค เช่น การทาหน้าทาตาด้วยสีขาว หรือทอง แล้วยืนแข็งทื่อเป็นหุ่นให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป หุ่นบางตัวแต่งตัวเป็นโมสาร์ท (หนีบไวโอลินมาเองด้วยนะเฮ้ย) บางตัวก็เป็นสฟิงส์ (ไม่ค่อยจะเกี่ยวกะออสเตรียเท่าไหร่มั้ง)

Street Performer

แต่ละคนยืนได้นิ่งบ้างไม่นิ่งบ้าง แต่ลองไปทำแบบนี้หน้าวัดพระแก้วดิ คงต้องหามส่งโรงพยาบาลศิริราชกันตั้งแต่ยืนได้แต่ 10 นาทีแล้ว เพราะเป็นลมแดดซะก่อน :-P

หากเดินเตร็ดเตร่รอบ ๆ สเตฟานส์ดอม อย่าเดินเหม่อ อาจถูกม้าเหยียบได้ เพราะบริเวณนี้รถม้าที่มีไว้สำหรับให้บริการนักท่องเที่ยว วิ่งกันให้ครึ่ก (นี่มันก๊อปเมืองลำปางมาเห็น ๆ เลยนี่หว่า) รถม้าที่นี่เรียกว่า Fiaker ค่าขึ้นไปนั่งเล่นชมเมือง 20 นาที ประมาณ 40 ยูโร บวกทิปอีกนิดหน่อย แล้วแต่ความพอใจ

นอกจากจะอุดมไปด้วยรถม้าแล้ว ท่านจะได้เดินกระทบไหล่กับโมสาร์ท (รับรองว่าได้กระทบมากกว่าสี่คน แถว ๆ นั้น) คือเค้ามาโปรโมทตั๋วคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิค ซึ่งซื้อกับเค้าที่นี่ หรือไปซื้อที่ที่แสดงเลย ก็ราคาเท่ากัน

Fiaker

เวียนนาไม่เป็นสองรองใครเรื่องดนตรีคลาสสิค ออสเตรียเป็นบ้านเกิดของนักประพันธ์ระดับโลกมากมาย เช่น โมสาร์ท, บราห์ม, ชูเบิร์ต, โยฮันสเตราส์ ฯลฯ ทำให้การเข้าไปนั่ง (หรือยืน) ฟังและชมดนตรีคลาสสิคดี ๆ ที่เวียนนาเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้สำหรับคนทุกระดับ ไม่ใช่ว่าจัดเฉพาะเป็นการกุศล เพื่อให้คุณหญิงคุณนายใส่เครื่องเพชรมาโชว์กันในงานกะลาดินเนอร์ ที่มีดนตรีคลาสสิคแกล้มนิด ๆ หน่อย ๆ เหมือนบางประเทศ (เอ๊ะ ประเทศไหนฟระ ? คิดไม่ออก)

ตั๋วคอนเสิร์ตที่นี่มีตั้งแต่ราคาไม่ถึง 3 ยูโร ซึ่งเป็นตั๋วยืน ไปจนถึงราคาหลายร้อยยูโร แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนได้รับเหมือนกันคือ การได้ฟังดนตรีคลาสสิคระดับโลก ได้สัมผัสโอเปร่าแท้ ๆ ที่เล่นกันสด ๆ แต่ก็เนี้ยบมากราวกับออกมาจากเครื่องเล่นซีดี ! นักร้องโอเปร่าไม่มีการใช้ไมค์ แต่ร้องดันสด ๆ และผู้ชมหลายพันคนในคอนเสิร์ตฮอล์ก็สามารถได้ยินทั่วถึง ไม่รู้เขาทำได้ยังไง

การซื้อตั๋วยืน ไปซื้อได้หนึ่งชั่วโมงก่อนเปิดม่าน ส่วนมากที่จัดแสดงจะมีออฟฟิศขายตั๋วอยู่ด้านหน้า (หรือด้านข้างอาคาร) การเข้าไปยืนนั้นก็ไม่ใช่ว่า เข้าไปยืนเบียด ๆ กัน ชะเง้อกันอย่างกับคอนเสิร์ตงานแฟตแต่อย่างใด แต่บริเวณ "ยืน" นั้นถูกจัดไว้อย่างเป็นสัดส่วน และเป็นขั้นบันได ลดหลั่นกันไป ทำให้ทุกคนได้เห็นการแสดงชัด ๆ กันทุกคน ไม่ว่าราคาตั๋วของคุณจะ 3 ยูโร หรือ ร้อยยูโร

Ltittle Mozart
นี่คือข้อดีของเวียนนา ที่คนทุกระดับสามารถเข้าถึงดนตรีคลาสสิคได้แบบไม่ยากเย็น หลังจบคอนเสิร์ต เราจะได้เห็นกลุ่มผู้ชมทยอยออกจากฮอลล์ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม บางกลุ่มแต่งตัวไฮโซ ชุดเดรสสีดำเรียบหรู แต่ก็เดินปะปนกันแบบไม่ขัดเขินกับนักเรียนดนตรี ที่มาในชุด รองเท้าผ้าใบ กางเกงยีนส์ เสื้อยืด..

ถึงมีงบการเงินจำกัด เวียนนาไม่เคยใจร้ายกับคนรักดนตรีคลาสสิค

เรามีโอกาศได้เข้าไปชมคอนเสิร์ต State Opera House and Musikverein. Mozart and Strauss music ที่จัดที่โอเปร่าเฮาส์ของเวียนนา ซึ่งราคาตั๋วมีตั้งแต่ 39 - 72 ยูโร (และ 220 ยูโร สำหรับตั๋ว V.I.P) และอย่างที่บอกไว้ข้างบน เวียนนาไม่เคยทำให้คนงบน้อยต้องผิดหวัง เราซื้อตั๋วยืนมาสองใบในราคาใบละ 19 ยูโร ซึ่งถือว่าไม่แพงสำหรับการแสดงที่ค่อนข้างใหญ่

คอนเสิร์ตใช้เวลาแสดง 2 ชั่วโมง ... 2 ชั่วโมงกับเพลงที่ประพันธ์โดยอัจฉริยะด้านดนตรีอย่างโมสาร์ท โอเปร่าที่เราคุ้นหูกันดี ถูกทยอยนำมาแสดงชนิดที่ว่าดูกันคุ้มไปเลย และแน่นอนว่าปิดท้ายด้วย บลูดานูป ของสเตราส์

Vienna Opera house

คืนนี้อากาศไม่เย็น เราเดินกันสบาย ๆ ในเสื้อยืด กางเกงยีนส์ แวะกินซูชิราคาประหยัด (ถาดละ 5 - 7 ยูโร) ที่สถานีรถไฟใต้ดินติดกับโอเปร่าเฮาส์ ที่ฮาคือติด ๆ กันกับร้านซูชิ มีบริการห้องน้ำสาธารณะ Opera Toilet ! มันก็คือห้องน้ำธรรมดานี่แหละ ที่เวลาจะเข้าไปใช้ต้องหยอดเหรียญแล้วดันที่กั้นเข้าไปด้านใน ห้องน้ำสาธารณะปรกติ ค่าใช้จะประมาณ 30 เซ็นต์ แต่นี่มันคือ Opera Toilet ! ที่คุณสามารถทำธุระไปด้วย และฟังโมสาร์ทขับกล่อมไปด้วยพลาง ๆ อาาาาา .... คุณได้มาถึงเวียนนาแล้วจริง ๆ แม้แต่ส้วม ยังมีดนตรีคลาสสิค !

แต่ประทานโทษนะ ห้องนึง เปิดเข้าไป .. ใครไม่รู้ เข้าส้วม (หนักด้วยอะดิ) แล้วไม่กดน้ำ แบบนี้ต่อให้โมสาร์ทก็ โมสาร์ท เหอะ ขุดเอาโอเปร่าไหนมาก็เอาไม่อยู่ อ้วกแทบพุ่ง

ปล. รูปจะมาตามเร็ว ๆ นี้หนิ ตอนนี้ยังไม่ได้ export จ้ะ ขอตัวออกไปกินข้าวกลางวันก่อน แล้วจะพาเที่ยวเวียนนาต่อจ้า




 

Create Date : 29 สิงหาคม 2550    
Last Update : 29 สิงหาคม 2550 5:30:07 น.
Counter : 2558 Pageviews.  

ขับรถเที่ยว Belgium - Germany - Denmark ตอนที่ 2

Road Trip 3 ประเทศ ตอนที่สอง
HAMBURG
Was hamburger invented here?



เราขับรถมาได้ครึ่งของอุโมงค์ เห็นแสงสว่างจ้ารอเราอยู่ข้างหน้า ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองฮัมบูร์ก เยอรมนีซะที ขับรถกันหลังขดหลังแข็งมาหลายชั่วโมง

เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดทางว่า ตกลงเราควรจะออกเสียง Hamburg ว่าอย่างไรดี ภาษาอังกฤษนี่เป็นภาษาที่ใช้ไม่ค่อยจะได้เอาซะเลย เมื่อมาถึงการอ่านออกเสียงภาษาที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เพราะมันดันไม่มีกฎตายตัว ตัว u ในบางคำออกเสียง อู แต่ในบางคำออกเสียง อัง (เช่น Bun อ่านว่า บัน แต่ทำไม Bus อ่านว่า บัส? ทำไมไม่อ่านว่า บุส? แต่ Bush อ่านว่า Bush ทำไมไม่อ่าน บัช?) เป็นที่น่าเหนื่อยหน่ายเป็นอย่างยิ่ง

แต่ภาษาดัชท์ และเยอรมันดีอย่าง นอกจากแกรมม่าที่สามารถทำให้เราผมหงอกได้ภายในสามวันเจ็ดวันแล้ว อย่างแล้ว U มันก็เป็น เสียง อู เสมอ.. A ก็เป็นเสียง อะ เสมอ หลายคนอ่านจะเริ่มหงุดหงิด คิดในใจว่า ตกลงเจ๊จะบอกได้หรือยังว่า สรุปแล้ว Hamburg มันอ่านออกเสียงอย่างไรกันแน่เล่า เอ๊อ!

ไม่รู้จะเอาสระอะไรมาผสมกันดี แต่ออกเสียงกึ่งๆ กันระหว่าง อู กับ​ โอ คล้ายๆ ฮัมโบว์ก แต่ที่แน่ ๆ ไม่ออกเสียงว่า ฮัมเบิร์ก ชัวร์ และไม่ใช่ แฮมเบิร์กด้วย จะห่อปาก เผยอปากเผื่อออกเสียงอย่างไรนั้น เนื่องจากอิฉันไม่ได้จบปริญญาทางทางภาษาดอยช์ จึงขอข้ามไป ก่อนจะออกทะเลนอกเรื่องไปมากกว่านี้ เอาง่าย ๆ ในที่นี้จะขอใช้ฮัมบูร์กก็แล้วกัน (เอาตัวรอดไปได้อย่างหน้าด้าน ๆ แบบนี้แหละ หุๆๆๆ)

ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ว่า แฮมเบอร์เก้อร์ (Hamburger) ชิ้นแรกของโลก ได้ถูกทำขึ้นที่เมือง Hamburg นี้หรือไม่ แต่ชาวเมือง Hamburg เอง ก็เรียกว่าชาว ฮัมเบอร์เก้อร์ (กร๊าก ขอโทษที่ต้องแอบฮา ก็มันตลกหนิ) แต่ฝรั่งมังค่าเขาก็ว่ากันว่า เจ้าขนมปัง มีไส้เป็น(เอ้อ..เศษ)เนื้อ อยู่ตรงกลาง ได้ถูกตั้งชื่อขึ้นตามชื่อเมือง Hamburg นี้จริง ๆ นะเอ้า

อีกสื่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มเข้าเขตเมือง ก็คือท่าเรือขนาดใหญ่ของฮัมบูร์ก ก็เพราะเมืองนี้เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุด แห่งหนึ่งของเยอรมนีและยุโรป เมื่อปี คศ 1241 ฮัมบูร์กได้เข้าเป็นสมาชิกของ ฮันซีติก ลีก ซึ่งครอบคลุมกิจการเทรดดิ้งของยุโรปตอนเหนือแบบแทบจะผูกขาด ทำให้เมืองนี้ดึงดูดธุรกิจการค้าการลงทุนมากมาย จนได้ฉายาว่าเป็น ประตูสู่โลก หรือ The Gate to The World ซึ่งก็เป็นที่มาของตราสัญลักษณ์ของเมืองที่เป็นรูป ประตู มียอดปราสาทสามยอด ที่ก็ยังใช้มาถึงปัจจุบันนี้และมีให้เห็นทั่วไปในเมืองฮัมบูร์ก

Lucky Friend No.1 : Fabian

การขับรถข้ามประเทศกันเป็นว่าเล่นในประเทศสมาชิก EU นี้ เป็นเรื่องปรกติธรรมดายิ่งกว่าการอาบน้ำแปรงฟันเสียอีก ทำให้ประชาชนผู้มีรถขับได้เอ็นจอยฮอลิเดย์กันเป็นอย่างมาก เพราะหยุดสุดสัปดาห์ที ก็ขับรถข้ามประเทศกันเล่น ๆ ซะที ยิ่งหน้าร้อนแล้ว ไฮเวย์ของยุโรปเต็มไปด้วย เหล่า "รถบ้าน" มีข้างในตกแต่งหรูหรา มีห้องครัวห้องน้ำเสร็จสรรพ ที่เหลือก็แค่เอามันห้อยท้ายรถ แล้วก็ลากไปจอดที่แคมป์ไซต์ที่ไหนก็ได้ในยุโรป อาจจะมีจักรยานเท่าจำนวนคนในครอบครัวห้อยติดไปด้วย จอด "บ้าน" เสร็จก็พากันออกไปขี่จักรยานรอบ ๆ เด็ก ๆ อาจจะไปเล่นน้ำในทะเลสาป คุณลุง คุณพ่อก็อาจจะไปตกปลา ป้า ๆ แม่ ๆ ก็ไปตั้งวงเล่นไพ่นกกระจอก (เฮ่ย นั่นมันเมืองไทยแล้ว!555) เรียกว่า มองไปทางในก็เห็นแต่ไอ้เจ้ารถบ้านและจักรยานละลานตาไปหมด

แต่เนื่องจากเราไม่มีรถบ้านกะชาวบ้านเค้า ก็เลยริเริ่มโครงบ้าน "บ้านเพื่อน ก็เหมือนนอนบ้านเรา" แทน หลักการก็มีง่าย ๆ คือ อีเมล์ไปหาเพื่อนผู้โชคดี ว่าใครจะได้แจ็คพอค ถูกมัดมือชกให้เราไปนอนบ้านก่อนคนอื่น

ผู้โชคดีคนแรกคือ น้องฟาเบียง :-D
ฉันรู้จักฟาเบียง (หรือชื่อเล่นที่คุณครูสอนภาษาไทยของฟาเบียง ตั้งให้ว่า "น้องฟา") เมื่อปีที่ผ่านมาเมื่อน้องฟามาเที่ยวเมืองไทย น้องฟารักเมืองไทยมาก ขนาดว่าเลือกเรียนเอกภาษาไทยในมหาวิทยาลัยที่ฮัมบูร์ก มาเมืองไทยก็พยายามใช้ภาษาไทย อ่านเขียนภาษาไทย แต่ไม่ยักกะมีแฟนคนไทย แฟนน้องฟาเป็นสาวเยอรมันผมบลอนด์ที่ตอนน้องฟามาเมืองไทยครั้งนั้น เธอไม่ได้มาด้วยเพราะติดเรียนอยู่ที่บาวาเรีย


ฉันกับน้องฟามีความสนใจเหมือนกันอยู่สองสามอย่าง คือ เรื่องการถ่ายถาพ เรื่องท่องเที่ยว และเรื่องกิน ! 555 แต่พระเจ้ามักไม่ค่อยเป็นธรรม ฟาเบียงกินมากเท่าวัวทั้งฝูงจะสามารถกินได้ แต่ยังตัวก็ยังเท่าถั่วงอกเหมือนเดิม ในขณะที่ฉันก็โตเอา โตเอา (รอบเอวน่ะนะ)

ตอนแรกก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปเจอน้องฟาที่ฮัมบูร์กแต่อย่างใด แต่ดู ๆ แล้ว มันขับรถไปทางนั้นได้ถ้าเราจะไปเดนมาร์ก น้องฟาก็เลยถูกหวย ได้เราไปนอนที่บ้านเป็นคนแรก ฮาาาา

ฉันส่งอีเมล์นัดหมายเรียบร้อย ได้ที่อยู่มาเรียบร้อย ลอง search หาจาก //maps.google.com (Google Maps ฉลาดจัดมาก หาอะไรก็เจอ เจ๊ไม่อยากจะเชื่อเลย) จัดที่อยู่ใส่เจ้าอุปกรณ์ที่แสนจะมีคุณอนันต์ ​(แต่บางกรณีก็โง่มหันต์) อย่างไอ้เจ้า GPS ให้มันนำทางเราไปสู่เยอรมนี และสู่บ้านน้องฟาเบียงได้ในที่สุด

Greek Restaurant

ตอนนี้เรายืนกันอยู่หน้าอพาร์ทเมนต์ฟาเบียง เดินไปเช็คดูป้ายชื่อหน้าประตู นามสกุลน้องฟาเบียงแน่นอน ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ฟาเบียงล่ะอยู่ไหน ไม่มีใครรู้ โทรไปก็ไม่ยักกะมีคนรับสาย เลยเขียนโน้ตทิ้งไว้ที่หน้าประตู แล้วออกไปเดินเล่นรอบ ๆ

แถวนั้นร่มรื่นดี มีต้นไม้สองข้างทางแทบทุกที่ และอากาศเย็นกำลังดี แต่ตอนนี้ชักจะหิวแล้วอะดิ เราเลยเดินหาร้านอาหารกัน ซึ่งมันก็ไม่ค่อยจะมีอะไรเปิดเท่าไหร่แถวนั้น มีแต่คาเฟ่แบบที่ลุง ๆ เค้าไปนั่งทอดหุ่ยกัน คุณเบิร์ตก็ไม่ค่อยจะอยากรับประทานซักเท่าไหร่

เดินวนไปวนมาแถวนั้น เห็นไอ้เจ้าพื้นคอนกรีตยกสูงประมาณซักสองคืบเห็นจะได้ และล้อมด้วยรั้วเหล็กตาห่าง ๆ ทำให้เราสงสัยว่า เค้าจะไปไว้ทำไมกันเนี่ย ตะไคร่ขึ้นเต็มไปหมด หรือว่าจะทำไว้ให้คนมาปิ้งบาร์บีคิวเล่น? ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมันอยู่ริมถนนเลย และเห็นหลายอันแล้ว หันไปถามคุณเบิร์ตว่ามันคืออะไร เพราะภาษาดัชท์ กับเยอรมัน นั้นใกล้ ๆ กัน พอจะอ่านออก
"ไม่รู้อ่ะ"
โอ้ ขอบคุณมาก (-_-") ช่างมีประโยชน์จริงๆ
"เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน เฮ้ย มันมีบันไดทางลงด้วยฟร่ะ!!" เออจริงด้วย เหมือนห้องใต้ดิน
คุณเบิร์ตยื่นจมูกเข้าไปอ่านป้ายที่ติดไว้ข้างใน
"เอ้ยยยยยย มันคือหลุมหลบภัย!!"
"เจงงงงเด้ โห อยากดูข้างใน"
"บ้า เค้าไม่ให้เข้าแล้ว เนี่ยล็อกไว้ แต่ถึงไม่ล็อก พี่ก็ไม่ลงหรอกนะ สยอง" (ลืมบอกไป คุณเบิร์ตชอบแทนตัวเองว่า "พี่" สงสัยชาติที่แล้วคงเป็นคนไทย ดีเหมือนกัน จะได้คล้องกับน้องฟา เหอๆ)


แต่ดูแล้วมันก็สยองจริงๆ มืด ๆ เย็น ๆ มีเสียงน้ำหยดดังดิ๋ง ๆ แถมไม่รู้ว่า สมัยสงครามนั้น หลุมหลบภัยพวกนี้ ทำหน้าที่ของมันได้ดีแค่ไหน มีอะไรเคยเกิดขึ้นข้างในบ้างก็ไม่รู้



วนเวียนกลับมาที่เดิม มีร้านอาหารกรีกเปิดอยู่หัวมุมถนน เนื่องจากเราสองคน หิวมากขนาดที่ว่าแทบจะกินควายไบซันได้ทั้งตัว ก็เลยตัดสินใจเข้าไปนั่งรอในร้านและสั่งอาหารมากินล่วงหน้าไปก่อน ฉันสั่ง Schnitzel มากินเหมือนประชด เพราะมันเป็นอาหารที่โค๊ตรรรจะเยอรมันเลย ไม่ได้กรีกตามร้านเลยซักนิด และตามด้วยเบียร์สัญชาติฮัมบูร์กคือ Astra ที่มีโลโก้น่ารักจุ๋มจิ๋ม รูปหัวใจและสมอเรือ


ฟาเบียงก็ยังไม่กลับ เอ๊ะ หรือมันจะหนีเอาตัวรอดไปก่อนเรามาฟระ? รอนาน ชักกระวนกระวาย ดีที่เราหนีบน้องแอ๊ปเปิ้ลมาด้วย เลยแงะขึ้นมาเช็คอีเมล์เก่าอีกที ว่าเบอร์ถูกหรือเปล่านี่ ที่แท้ เบอร์ที่เราเพียรโทรไปนั้นเป็นเบอร์บ้าน ดีนะ ที่มันให้เบอร์มือถือมาในอีเมล์ด้วย เลยโทรไปเบอร์มือถือแทน คราวนี้ฟาเบียงรับสายหลังจากที่สัญญาณดังเพียงสองตู๊ด (หลายตู๊ดไม่ไหวนะ สยิว อิอิ)

"เฮ่ย ถึงแล้วเรอะ!!"
"ถึงแล้ว ๆ หิวแล้วด้วยอ่ะ เมื่อไหร่กลับบ้านเนี่ยยยยย"
"เสร็จงานแล้วล่ะ อีก 15 นาทีเจอกันนะ อยู่ที่ไหนน่ะ"
"ร้านอาหารกรีกตรงหัวมุมบ้านหนูน่ะแหละ"
"อ๋ออออ เออโอเค กำลังไป"


แล้วฟาเบียงก็ได้พิสูจน์ว่า อย่าได้ทำเรื่องเวลาเป็นเรื่องเล่น ๆ กับคนเยอรมัน เพราะฟาเบียงก็มาถึงภายใน 15 นาทีเป๊ะจริง ๆ เหอๆๆๆ ผมยังม้วนเป็นหมูหยอง น่ารักน่าชังเหมือนเดิม ! ฉันแนะนำให้ฟาเบียงกับเบิร์ตรู้จักกัน สั่งเบียร์มาเพิ่ม

"นี่ บ้านผมอยู่ครงนี้ยังไม่เคยเข้าเลยนะร้านนี้เนี่ย ขนาดว่าเดินผ่านทุกวันเนี่ย"
"อ่าวนี่ไง ได้เข้ามาแล้วไง ฮ่าๆๆๆ"
"อือจริง คือปรกติร้านนี้จะมีแต่พวกขาประจำ ลุงๆป้าๆ บางทีนั่งกินอยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมาวอลท์กันซะงั้นน่ะ มีบ่อย ๆด้วย"


ยังไม่ทันขาดคำ คุณลุงกับคุณป้าโต๊ะข้างหลังก็ลุกเดินมาเต้นจังหวะสโลว์จริง ๆ แปลกดี แต่ก็น่ารักไปอีกแบบ



Check-in ห้องครัว

ฟาเบียงช่วยเราถือสัมภาระที่ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเป้หนึ่งใบ ถุงนอน และ แลปท็อป ขึ้นมาที่อพาร์ทเมนต์ ฟาเบียงแชร์อพาร์ทเมนต์ขนาดสองห้องนอนนี้กับเพื่อนจากมหาวิทยาลัยอีกคน ซึ่งตอนนี้ยังไม่กลับ

"ข้างนอกมันอาจจะดูซกมกหน่อยนะ แต่ข้างในค่อนข้างโอเคเลยล่ะ"

ฟาเบียงออกตัวไว้ก่อน เมื่อพาเราเดินผ่านทางเดินระหว่างร้านตัดผมและออฟฟิศ ประตูทางเข้าอพาร์ตเมนต์นั้นอยู่ด้านหลังของอาคาร ที่ค่อนข้างชื้นและเย็น ทำให้เป็นที่ชื่นชอบและกลายศูนย์ปาร์ตี้สังสรรค์ย่อม ๆ ของเหล่าหอยทากน้อยใหญ่

ห้องของฟาเบียงที่ชั้นสี่ ขนาดกะทัดรัดพอดีสำหรับคนอยู่ 2-3 คน ห้องน้ำค่อนข้างเล็ก ความลึกแค่พอดีอ่างอาบน้ำ, ส้วม และ ตู้ลิ้นชักหนึ่งตู้ ราวตากผ้าแบบพับเก็บได้ บนผนังห้องน้ำ เต็มไปด้วย โปสเตอร์รูปภาพผัก ผลไม้ มีภาษาไทยและภาษาอังกฤษกำกับ แบบที่เราใช้เรียนภาษาอังกฤษกันตอนเด็ก ๆ น่ะนะ แต่ฟาเบียงเอาไว้เรียนภาษาไทย กลางห้องน้ำมีผ้าเช็ดตัวที่พับซ้อนกันไว้เป็นตั้ง ๆ ชวนให้สงสัยว่า หนุ่มๆ อยู่กันแค่สองคน แต่มีผ้าเช็ดตัวสะอาดเรี่ยม หลากสีสันตั้งเรียงกันมากกว่า 10 ผืนนี่นะ หรือว่าซื้อมาตอน sale หรือไงก็ไม่รู้ แปลกดี

ส่วนห้องนอนมีสองห้อง ห้องของฟาเบียงอยู่ด้านหลังติดกับสวน และห้องรูมเมทติดกับห้องครัว ซึ่งห้องนอนนี้กว้างขวางดีทั้งสองห้อง และห้องสุดท้ายคือห้องครัว ซึ่งเป็นที่ที่เราจะนอนนี่แหละ

ใช่แล้ว เราจะนอนในห้องครัว ฮ่าๆๆๆ

ในครัวมีโซฟาอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งปรกติก็เอาไว้นั่งกินข้าวกันนี่แหละ แต่เมื่อกางออกมาแล้วสามารถใช้เป็นเตียงนอนได้ พอตกกลางคืนเราก็แค่ย้ายโต๊ะไปชิดอีกมุมนึง กางโซฟาออกมาแล้วก็หลับสบายยยย เ

เป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกัน ที่นอนในครัว เหอๆๆ สนุกดี

Let's drink!


หลังจากอาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อยแล้ว รูมเมทของฟาเบียงก็กลับมาพอดี ทักทายกันตามมารยาท แล้วก็เตรียมตัวออกไปข้างนอกกัน ฉันยังมีอีกนัดที่ต้องไปเจอ คือ "อธิก" เพื่อนชาวอินเดียจากมุมไบ (บอมเบย์) ที่เจอกันเมื่อตอนที่ฉันไปเที่ยวอินเดียเมื่อปลายปี 49 ที่ผ่านมา ตอนที่อยู่มุมไบ อธิกขับรถพาไปนั่นไปนี่ตลอด แถมเลี้ยงข้าวอีกต่างหาก อะไรจะดีปานนั้น

อธิกมาเที่ยวยุโรปช่วงเดียวกับฉันพอดี แถมเป็นคนไม่มีแผนล่วงหน้า อธิกเลยตกลงว่าจะมาร่วมทริปกับเราด้วย โดยมาเจอกันที่ฮัมบูร์ก แล้วจะขับรถต่อเข้าไปเดนมาร์ก และแชร์ค่าน้ำมันกัน

อธิกใช้เวลาเที่ยวเล่นอยู่ใน ริกา เมืองหลวงของประเทศลัตเวียอยู่ประมาณ 3 อาทิตย์เห็นจะได้ ก็ข้ามมาเบอร์ลิน และ ก็มาถึงฮัมบูร์ก ส่ง sms หากันไม่ต่ำกว่า 5-6 รอบกว่าจะหากันเจอ ในที่สุดก็มาเจอกันที่ย่าน โชเดอร์บลาด ที่เป็นแหล่งแฮงค์เอาท์ยอดนิยมอีกแห่งของฮัมบูร์ก เพราะอาหารไม่แพง เป็นร้านพวกปลาทอดกับมันฝรั่ง เบอร์เกอร์ กาบับ ฯลฯ ตั้งเรียงรายกันตลอดถนน และตั้งโต๊ะกันข้างทาง ได้บรรยากาศกันเองมากๆ และคนก็เยอะมาก ๆ ยิ่งกว่ารถเมล์กรุงเทพฯ ตอนหกโมงเย็นอีก นั่งทีนี่หลังติดกับคนที่นั่งโต๊ะข้างหลังเลย เพื่อนของน้องฟาเบียงผู้ที่มีชื่อแปลกว่า "ริโอ" มาแจมด้วย ริโอมาจากเบอร์ลิน แต่กำลังเรียนวิศวกรรมอากาศยานอยู่ที่ฮัมบูร์ก ในอนาคต น้องริโอนี่แหละ จะเป็นหนึ่งในทีมออกแบบเครื่องบินที่เรานั่ง ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ โอ้ว เท่ ป่าววว



ง่วงแล้ว ขอไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้มีบาร์บีคิว ฝนก็จะตก แถมยังต้องเป็นผู้ใช้แรงงาน นั่งเสียบบาร์บีคิวอีก กรำ.. ไว้จะมาพาเที่ยวฮัมบูร์กต่อจ้ะ




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2550    
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 17:29:07 น.
Counter : 1365 Pageviews.  

ขับรถเที่ยว Belgium - Germany - Denmark ตอนที่ 1

กลับมาจากอภิมหาอมตะ Road Trip แล้วค่ะ เราขับรถกันจากเบลเยี่ยมไปเดนมาร์ก!! ดูในแผนที่มันก็ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ไปจริง โอ้ มายพระพุทธเจ้า เข้าเนเธอร์แลนด์ปั๊บก็หลงปุ๊บเลย ตื่นมาอีกที (อ้าว เค้าเลยรู้เลยว่านั่งหลับมาตลอดทาง) อยู่ที่ไหนวะเนี่ย พยายามหารถตัวเองบน GPS ก็ยังงง ๆ

เนเธอร์แลนด์ ขับผ่าน ขับผ่าน

ไอ้เจ้า GPS นี่หนา ช่างมีประโยชน์มากมายหลายคณานับ แค่เอาตัวรับสัญญาณมาติดไว้ในรถ ก็สามารถหาตำแหน่งที่เราอยู่ได้ จากนั้นก็แค่ใส่จุดหมายปลายทาง เพื่อความแม่นยำ เราใช้ Google Map หาตำแหน่งจากที่อยู่ก่อน ไม่น่าเชื่อ แค่ใส่ที่อยู่ ชื่อถนน เมือง ประเทศ กูเกิ้ลแมป สามารถค้นหาตำแหน่งได้ภายในเวลาเสี้ยววินาที ค้นได้กระทั่งเลขที่บ้าน!

แต่เจ้า GPS นี่มันก็หาได้ฉลาดไปซะทุกอย่าง มันก็มีรั่ว ๆ อยู่บ้าง คือเมื่อไปถึงชายแดน แผนที่มันจะตัดขาดอยู่แค่นั้น เป็นปัญหาน่ารำคาญ เปรียบเหมือนดูบอลอยู่แล้วนักเตะกำลังเล็งจะยิงประตูแล้วไฟดับ ! เป็นสาเหตุให้เรามางมตำแหน่งในเนเธอร์แลนด์กันใหม่ เมื่อข้ามพ้นเขตเบลเยี่ยมมาได้หลายกิโลเข้าไปแล้ว

"รู้ไหม ทำไมถึงรู้ว่าอยู่ เนเธอร์แลนด์" พลขับที่พาหลงยังมีอารมณ์เล่นทายปัญหา
"ไม่รู้อ่ะ ทำไม มีกังหันลมเหรอ"
"บ้า เห็นกังหันกี่อันแล้ว"
"ไม่เห็นซักอัน"
"เอ้อ !!"
"งั้นทำไม"
"เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ที่นี่ตัวสูงเหมือนเสาไฟ ผมทอง และมีหนวด และทุกคนมี รถบ้าน เป็นดัชท์แน่นอน ฮ่าๆๆๆ"
ตลกตายล่ะ

คาราวานรถบ้าน

รถบ้าน หรือ "คาราวาน" นี้ พบเห็นได้ทั่วไปบนไฮเวย์ของยุโรปในหน้าร้อน ทุกครอบครัวดูเหมือนจะมีรถหนึ่งคัน ลากคาราวานหนี่งคัน ห้อยจักรยานมาด้วยอย่างน้อยสองคัน (หรือสาม สี่คันถ้ามีปัญญาขน) ภายในคาราวาน จะมีเตียงนอน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มากน้อยแล้วแต่ฐานันดรและความหนาของเงินยูโนในกระเป๋า มีเครื่องครัว ที่ล้างจาน เคาน์เตอร์ ตู้เย็น ฯลฯ ไม่แปลกใจเลยที่บางคนอาศัยอยู่ในคาราวาน หรือรถบ้านแบบนี้กันจริง ๆ จัง ๆ แบบไม่สนใจจะซื้อบ้านช่องเป็นหลักเป็นแหล่ง โดยเฉพาะพวกฟลาวเวอร์พาวเวอร์ฮิปปี้บุปผาชนทั้งหลายในยุคก่อนนู้น แบบว่ามีห้องเดียว เปลี่ยนโลเคชั่นได้ แค่ขับไปจอดที่อื่น !

แต่มาในยุคนี้ ยุคที่ทุกถนนมี สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า มิเตอร์หยอดเหรียญค่าจอดรถ และ ยุคที่การมีรถซักคัน นั้นไม่พอ ยังต้องเช่าโรงรถสำหรับจอดรถอีกด้วย (เผลอ ๆ แพงกว่าเช่าบ้าน) สงสัยว่าเค้าเอาไปจอดกันที่ไหนวะเนี่ย

ในขณะที่คนอื่นขับรถพ่วงรถบ้าน หรือคาราวานคันเท่ารถถังดูน่าเกรงขาม ฮอนด้าแจ๊ซของเราปุเลง ๆ ถึงชายแดน เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี กะเค้าเหมือนกัน เราแวะกินเฟรนช์ฟรายส์ (คนเบลเยี่ยมเรียก ฟริทท์ คนดัชท์เรียก ปาตั๊ด !!) สังหรณ์ใจว่าจะเป็น ฟริทท์คอตต์ (แปลเห่ย ๆ ประมาณว่า กระต๊อบเฟรนช์ฟรายส์) สุดท้ายก่อนเข้าเยอรมนี



ดอยช์ลันด์!! ยินดีต้อนรับสู่เยอรมนี

ปาดคราบมายองเนส และเฟรนช์ฟรายส์ แล้วก็ขึ้นรถต่อ แล้วฟริทท์คอตต์นั้นก็เป็นฟริทท์คอตต์สุดท้ายจริง ๆ เพราะเพิ่งเห็นว่า มันอยู่บนชายแดนเกือบจะพอดิบพอดี จะเรียกว่าชายแดนก็ยังแปลก ๆ เพราะมันไม่มีอะไรกั้นเลย มีป้ายเล็ก ๆ ขนาดอาจจะเล็กกว่าก้นของข้าพเจ้า สี่เหลี่ยมจตุรัส สีน้ำเงินเข้ม มีดาวล้อมรอบสัญลักษณ์ของสหภาพยุโรป มีอักษรชื่อประเทศบอกให้รู้ว่า ขณะนี้เอ็งได้ข้ามเข้ามาสู่เยอรมนีแล้ว (ไม่รู้ตัวล่ะซิ)

เข้าเยอรมนีได้ก็เซิร์ชหาคลื่นวิทยุ เพื่อที่จะฟังดีเจชาวเยอรมันพูดมากเป็นต่อยหอย ไม่รู้พูดอะไรกันเยอะแยะแทบทุกสถานี คุณเบิร์ตเริ่มทำสำเนียงล้อเลียนตามไปด้วยอย่างสนุกสนาน

ตอนนี้จุดหมายเราอยู่ที่ ฮัมบูร์ก (Hamburg) ไปแบบไม่ค่อยรู้อะไรหรอก รู้แต่มีเพื่อนที่นั่น แล้วก็เป็นเมืองที่ไม่เคยไป ก็ถือโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนและเที่ยวเตร็ดเตร่ไปในคราวเดียวกัน

ตลอดทางสังเกตได้ว่าคนเยอรมันขับรถเร็วมาก เร็วจนแบบ โฮ๊ จะรีบไปไหนกันเหรอครับเฮีย แต่ละคนไม่ว่า ผู้หญิง ผู้ชาย จะแก่ จะหนุ่ม เหยียบเฉียด ๆ สองร้อย น้องแจ๊ซของเราไปแบบชิว ๆ ที่ร้อยถึงร้อยยี่สิบก็พอ เจียมเนื้อเจียมตัว แวะปั๊มเข้าห้องน้ำยืดแข้งยืดขาบ้าง ไม่รีบร้อน

ปั๊มน้ำมันเป็นแหล่งชุมนุมอย่างดีของผู้คนที่สัญจรไปมาบนไฮเวย์ มีร้านอาหาร ร้านค้า ห้องน้ำ ซึ่งส่วนมากจะต้องหยอดเหรียญ 50 เซนต์ (ประมาณ 20 บาท) เพื่อผ่านเข้าไปใช้ได้ เมื่อหยอดเหรียญเข้าเครื่องไปแล้ว จะได้ voucher มูลค่าเท่ากันออกมา เอาไปใช้แทนเงินสดได้ที่ร้านค้าภายในปั๊ม (จะมีป้ายติดไว้ที่แคชเชียร์ว่า Redeem your voucher here) แต่ปั๊มที่เล็กกว่าบางที่ อาจจะมีคุณลุง คุณป้า ยืนถือจานยิ้มเผล่อยู่หน้าห้องน้ำเพื่อรับ "ทิป" ก่อนเข้าจะเข้าไปทำธุระ ซึ่งจะไม่ให้ก็ได้ (มั้ง) แต่เห็นให้กันทุกคน 20, 30 เซนต์ บ้าง 50 เซนต์บ้าง บางคนก็ให้ถึง 1 ยูโร (โอ๊ว เข้าส้วมที 40 กว่าบาท)

เอาโต้บาห์น

ไฮเวย์ หรือ ในเยอรมนีเรียกว่า เอาโต้บาห์น นี่มันน่าเบื่อเหมือนกันทุกที่ในโลกหรือเปล่าไม่รู้ หรือเป็นเพราะฉันเป็นคนเบื่อง่ายไปเอง ถนนเมื่อผ่านเมืองเล็ก ๆ มันก็แปลกกตาดี แต่พอเข้าทางหลวงปั๊บ หลับปุ๊บ ถนนมันช่างยาวไกล และตรงแหน่ว มีให้ขับซิกแซกหลบรถบรรทุกบ้างแก้ง่วง แต่นั้นเป็นปัญหาของคนขับ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน เหอๆๆๆ จะมีการแก้เซ็งได้บ้าง ก็ตรงที่นั่งดูทะเบียนรถแต่ละคนว่ามาจากไหนกัน นอกจาก D - Deutschland (เยอรมนี) NL เนเธอร์แลนด์ (มากับรถคาราวาน อิอิ) ก็พอจะเห็นประปรายคือ PL โปแลนด์, TR ตุรกี (สองประเทศนี้มักจะเป็นรถบรรทุกสินค้า) DK เดนมาร์ก และที่เห็นแนวๆหน่อย ก็คงเป็น LT ลิธัวเนีย ที่เห็นแค่ 2 คันตลอดทาง

ว่ากันว่าสมัยสงครามนั้น คนที่คุณก็รู้ว่าใคร เริ่มจะให้สร้างเส้นทางเอาโต้บาห์น ตัดผ่านหลายพื้นที่ในเยอรมนีนั้น ต้องให้แน่ใจว่าได้ผ่านพื้นที่ที่สวยงามอลังการ เพื่อให้ประชาชนได้ภูมิใจในแผ่นดินอันสวยงามยิ่งใหญ่แห่งนี้ ซึ่งมันก็สวยจริง แต่ก็น่าเบื่อเมื่อต้องนั่งดูมันเป็นเวลาสี่ห้าชั่วโมง

พอก่อนเนอะ รูปจะตามมา เวรี่ซูน พรุ่งนี้ค่ำ ๆ จะมาต่อจ้ะ




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2550    
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 17:28:19 น.
Counter : 2080 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.