ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 
วันที่ 9 : หงสาวดีวันนี้

พฤหัสฯ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๖

วันนี้เป็นวันคริสต์มาสต์ แต่พม่ายังคงเป็นพม่า ไม่มีการฉลอง หรือตกแต่งสถานที่กันให้เอิกเกริกเหมือนพี่ไทยที่เทศกาลไหน ๆ เราก็มั่วนิ่มฉลองไปกับเค้าได้

เมื่อคืนก็อยู่บนรถตลอดคืน แวะจอดพักรถและกินข้าวราว ๆ 2 ทุ่มครึ่งแต่ไม่ได้กินเพราะคนเยอะ สั่งกาแฟมาแก้วเดียว 100 จ๊าต และแวะซื้อข้าวเกรียบ และนมขวดอีกนิดหน่อย อีก 800 จ๊าต จากนั้นก็ขึ้นรถมาหลับต่ออีกจนตี 2 ก็ถูกปลุกให้ลงมาเข้าห้องน้ำ (อ่านจากหนังสือซึ่งนักเขียนเป็นชาวพม่านั้นเค้าว่า บางทีเวลารถจอดเพื่อแวะให้เข้าห้องน้ำ เค้าจะตะโกนว่า “เอ้า !! ลงไปรักษาสุขภาพกันหน่อยเร้วว..” ฟังดูแล้วก็ตลก แต่ก็น่ารักดี)

เราเข้าเขตเมืองบาโกราว ๆ ซัก 7 โมงเช้าเห็นจะได้ เมืองบาโกนี้ตั้งอยู่ริมทางหลวงเลย ทำให้คึกคักจอแจพอสมควร ตัวเมืองบาโกอยู่ห่างจากย่างกุ้งราว ๆ 80 กม. การเดินทางไปมาสะดวกดี

ตำนานเมืองบาโก


ชื่อเมืองบาโก(Bago) นี้ในภาษาไทยเราอาจจะคุ้นเคยกับชื่อ "เมืองพะโค" มากกว่า หรือหายังไม่คุ้นก็ต้องบอกว่า บาโก หรือหนังสือฝรั่งบางเล่มเรียก เปกู(Pegu) นั้นหรือก็คือ"หงสาวดี"นั่นเอง สัญลักษณ์ที่สังเกตุเห็นได้ทันทีของเมืองบาโกนี้ก็คือรูปหงส์ 2 ตัว ตัวผู้และตัวเมีย โดยที่ตัวผู้ยืนอยู่ด้านล่างและมีหงส์ตัวเมียยืนอยู่บนหลังหงส์ตัวผู้อีกที สัญลักษณ์นี้หาใช่สร้างจากตำนานที่ชายพม่าที่กลัวภรรยาเป็นผู้คิดขึ้นมาไม่ แต่มันมีตำนานอยู่ว่า..

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าชายมอญจากเมืองตะโถงสองพระองค์บังเอิญผ่านมาบริเวณที่ตั้งของเมืองบาโกปัจจุบันนี้ ทรงทอดพระเนตรเห็นหงส์ตัวผู้ร่อนลงที่เกาะกลางน้ำ ซึ่งไอ้เกาะนี้ก็เล็กเหลือประมาณ แม้แต่หงส์ยังยืนได้ตัวเดียวเลย พอหงส์ตัวเมียซึ่งบินตามมาติด ๆ จะร่อนลงบ้างก็ไม่มีที่พอจะให้ยืน ก็เลยต้องร่อนลงไปยืนบนหลังตัวผู้ซะอย่างนั้นน่ะ เจ้าชายสองพระองค์นี้จึงทรงเห็นว่าเป็นนิมิตรอันดีที่จะสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ ก็จึงขยายผืนแผ่นดินบริเวณที่หงส์ร่อนลงนั้นออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็ใหญ่พอที่จะสร้างบ้านเมืองและเจดีย์ได้ ชื่อเมือง Hanthawady นั้นก็ได้มาจากรากศัพท์ภาษาบาลี-สันกฤต ว่า Hamsavati ที่แปลได้ว่าอาณาจักรของหงส์ ทุกวันนี้ก็ยังมีเรื่องโจ๊กที่เล่นกันเองขำกันเองในหมู่ผู้ชายพม่าว่า ใครจะกล้าแต่งงานกับสาวเมืองบาโกล่ะทีนี้ เพราะแต่งไปต้องโดนเมียข่มเหงแน่นอน ขนาดสัญลักษณ์เมือง หงส์ตัวผู้ยังถูกตัวเมียเหยียบจนหลังแอ่น!

พวกมอญสร้างนครหงสาวดีมาได้ 200 กว่าปีก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าโดยถูกพระเจ้าตะเบงชเวตี้นำทัพจากตองอูมาตีแตกจนได้ พระเจ้าบุเรงนองจึงโปรดให้สร้างหงสาวดีเป็นราชธานีในราว ๆ ปีพ.ศ.2109 แต่ไม่นานก็ย้ายราชธนีไปอังวะ ที่อังวะนี้เองพวกมอญเกิดแข็งข้อก็สามารถตีอังวะได้และเป็นเอกราชได้อยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่นานเท่าไหร่ ก็ถูกพระเจ้าอลองพญามาปราบที่เมืองหงสาวดีได้อีก จึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงอังวะจนกระทั่งมาถูกพวกอังกฤษยึดเอาตอนใต้ของพม่าได้

โรงแรมเอ็มเพอร์เร่อร์

ฉันตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนเช้าราว ๆ หกโมงกว่า นั่งตาปรือมองไปนอกรถ เห็นหมอกลงหนา หนามากจนคิดว่าน่าเอามาปั่นทำสายไหมท่าจะดี (ทำไมคิดแต่เรื่องของกินนะ) แต่พอพระอาทิตย์ขึ้นสูงหมอก็ค่อย ๆ จางไป เราลงจากรถที่ทางแยกเยื้อง ๆ กับโรงแรมเอ็มเพอร์เร่อร์ ลงมาก็ยังไม่รู้จะทำยังไงต่อ ก็ยืนดูสถานการณ์ซักพักแต่ก็มีคนมาขายห้องพักอยู่เรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถูกชักจูงไปนั่งในโรงแรมเอ็มเพอร์เร่อร์จนได้ โรงแรมก็เป็นลักษณะเหมือนตึกแถวทั่วไป ด้านล่างเปิดโล่ง ด้านบนดัดแปลงเป็นที่พักหลายห้อง สภาพรวมๆ ถือว่าสะอาดพอสมควร โดยเจ้าของโรงแรมเป็นชายพม่าวัยกลางคน ไว้ผมยาวรวบผมไว้เป็นหางม้า พูดภาษาอังกฤษได้คล่องจนไม่น่าไว้ใจ (เอ๊ะ ยังไง) ซ้ำยังช่วยให้ข้อมูลเสร็จสรรพ




"ไม่พักที่นี่หรือครับคืนนี้" เจ้าของโรงแรมถาม พลางเชื้อเชิญให้นั่งบนเก้าอี้พลาสติกสีขาวหม่น ฉันนั่งลงพลางกวาดตามองดูรอบ ๆ เห็นว่ามีหนังสือโลนลี่แพลนเน็ตฉบับเที่ยวพม่าเมื่อประมาณหลายปีมาแล้ว น่าเข้าขั้นหนังสือโบราณได้ เล่มบางนิดเดียวเท่านั้น ถัดไปบนผนัง มีรูปถ่ายของเจ้าของโรงแรมคนที่เรากำลังนั่งคุยอยู่ด้วยนี่แหละ ถ่ายกับฝรั่งคู่หนึ่ง รูปถัดมาเป็นรูปฝรั่งคู่เดิมแต่ถ่ายที่ไหนซักแห่งที่ไม่ใช่พม่า พร้อมรูปลูกสาวที่เกิดใหม่ เขียนมาด้วยว่าลูกเกิดในประเทศจีน คงจะเป็นเพื่อนกันกระมัง..

"ไม่ละครับ เรากำลังจะไปไจก์ถิโย กะว่าจะไปเลยแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาเที่ยวที่บาโกที่หลัง" เบิร์ตยังคงคุยอยู่กับชายคนเดิม
"อ๋อ ได้ๆๆ ว่าแต่...ซื้อตั๋วรถบัสไปคินปุนหรือยังล่ะ?" คินปุนเป็นชื่อหมู่บ้านซึ่งเป็นเหมือนแคมป์บริเวณ "ตั้งหลัก" ก่อนจะนั่งรถบรรทุก 6 ล้อต่อขึ้นไปยังตีนเขาที่ตั้งของไจก์ถิโย ไปๆมาๆกลายเป็นว่าจัดการขายตั๋วรถไปคินปุนให้เราเสร็จสรรพ คงบวกเปอร์เซ็นต์ไปแล้วเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งรอจนกว่ารถจะมา

"อ้อ ถ้าอยากขึ้นไปดูวิวด้านบนของโรงแรมก็เชิญตามสบายนะครับ เดี๋ยวให้เด็กพาขึ้นไป" เจ้าของโรงแรมเรียกเด็กหนุ่มที่ยืนเตร่อยู่หน้าโรงแรมให้เข้ามา แล้วก็พาเราขึ้นไปชั้นดาดฟ้า มองเห็นวิวของเมืองบาโกได้ไกล ๆ หมอกยังลงอยู่จาง ๆ พระอาทิตย์กำลังขึ้นอย่างช้า ๆ เหมือนกำลังบิดขี้เกียจ กำลังถ่ายรูปอยู่เพลิน ๆ ก็มีเสียงตะโกนมาว่ารถมาแล้วๆๆ เลยต้องรีบวิ่งลงมาจนเวียนหัว แต่ก็มาไม่ทัน เพราะรถไปซะแล้ว

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มาอีก" เจ้าของโรงแรมบอก อุเหม่ ก็รู้อยู่แล้วว่าวิ่งลงมาก็ไม่ทันหรอก ไม่รู้ตั้งกี่ชั้น เฮ้อ คราวนี้เลยไม่ไปไหนแล้ว นั่งรอมันอยู่ตรงนั้นแหละ พักเดียวรถก็มา เป็นรถแอร์ปรับอากาศสะดวกสบายแท้

แต่พอขึ้นไปได้ เจ้าของโรงแรมที่วิ่งตามมาส่งด้วยก็ตะโกนขึ้นมาว่า
"เค้าขอคิดค่าโหลดกระเป๋าหน่อยนะ!" อะไรวะ มีค่ากระเป๋าด้วย แม้แต่เครื่องบินเค้ายังไม่มีเลย ถ้าน้ำหนักไม่เกิน อะไรกันนี่ โกงกันอีกหรือไง แต่ก็ต้องจ่ายไปอีกจนได้ ฮึ่ม..

เดินทางสู่หมู่บ้านคินปุน

ผู้โดยสารคนอื่น ๆ บนรถนั้นก็วัยรุ่นกันทั้งนั้น แฟชั่นสาวๆ ที่นี่ออกจะใกล้เคียงกับที่เห็นในลาวอยู่พอสมควร คือนุ่งผ้าซิ่น แต่เสื้อแจ็คเก็ตขอเป็นยีนส์หน่อยละกัน เป็นที่นิยมมาก ไปไหนก็เห็นอีสาวแจ็คเก็ตยีนส์เต็มไปหมด ดูน่ารักดีไปอีกแบบ

โชเฟอร์เปิดเพลงดังสนั่น ทางก็เลี้ยวไปเลี้ยวมา ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนยังไงชอบกล แม้ว่าตอนเช้าจะกินขนมปังที่ตุนมาจากมัณฑะเลไปได้ก้อนเดียวก็เถอะ ยังไม่อยากเอาออกมาตอนนี้ เลยต้องควักยาดมออกมาสูด ปื้ด ปื้ด..เอ๊ะ เพลงนี้มันคุ้น ๆ หูชอบกล กลายเป็นว่า มันคือเพลง "พริกขี้หนู" ของป๋าเบิร์ด ธงไชยของเรานั่นเอง แต่แน่นอนเนื้อร้องเป็นภาษาพม่า ตามมาติดๆ ด้วย "โอเคนะคะ" ภาคภาษาพม่าอีกเช่นเคย แล้วย้อนยุคกันไปอีกหน่อยที่ "นินจา" ของคริสติน่า อากีล่าร์! แหม ใครว่า น้องทาทาเราโกอินเตอร์คนแรก นี่ดูซิ ไปตั้งแต่พริกขี้หนูแล้ว

นั่งเวียนหัวมาตลอด 3 ชั่วโมง รถก็เข้าเขตหมู่บ้านคินปุน ข้างทางร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ รถชะลอเข้าจอดที่ท่ารถที่เป็นลานดินโล่ง ๆ ขนาดใหญ่ มีรถบัส รถสองแถวจอดเรียงรายอยู่แล้วมากมาย เราตระเตรียมสัมภาระเตรียมลง
"มีที่พักรึยังเอ่ยยยย" เด็กหนุ่มร่างเล็กโผล่มาแบบบไม่บอกไม่กล่าว ยื่นนามบัตรที่พักให้เบิร์ต เบิร์ตก็รับนามบัตรมาดูแล้วทำเงียบ ๆ ไม่ได้ว่าอะไร
"มีตั้งแต่ 5 ดอลล่าร์ขึ้นไปนะคร๊าบ ลองแวะไปดูก่อนได้" เขายังคงโฆษณาที่พักต่อด้วยเสียงเล็ก ๆ แหบพร่า ฉันเพิ่งสังเกตุว่าหนุ่มคนนี้ไว้เล็บยาวเชียว ไว้ผมบ๊อบเป๋ข้างซะด้วย
เบิร์ตหันมามองหน้าเหมือนจะขอความเห็น..อีกแล้ว

"จะแวะไปดูก่อนก็ได้มั้ง" ฉันว่า เพราะไม่ได้วางแผนที่พักมาก่อนอยู่แล้ว กะว่ายังไงก็มาเดินหาเอา
"ตกลงเราพักที่คินปุนนะ ไม่ขึ้นไปพักที่ไจก์ถิโย?"
"อืมมมม พักที่นี่ก็ได้ ข้างบนนู่นยังไม่รู้เลยว่าเป็นยังไง ได้ข่าวมาว่าแพงกว่าที่คินปุนด้วย" ด้วยประการฉะนี้ เราเลยตกลงว่าจะไปดูห้องพักที่หนุ่มคนนี้มาเสนอ คือที่ Pann Myu Thu Inn

Pann Myu Thu Inn เกสต์เฮาส์
เราเดินตามหนุ่มคนนี้ไปตามทางเดินที่เป็นดินแดง ๆ ที่ถูกเกลี่ยไว้เป็นทางเดินหยาบ ๆ สองข้างทางรายรอบไปด้วยร้านรวงขายสินค้าจำพวกเสื้อผ้า ของที่ระลึก อาหาร ผลไม้เชื่อม ของกินเล่นต่าง ๆ แหม ได้อารมณ์งานวัดดีจังเลย ขาดก็แต่ยิงปืนกับชิงช้าสวรรค์เท่านั้นแหละ

เดินเข้ามาได้ซักร้อยเมตรก็เป็นซอยเล็ก ๆ เลี้ยวเข้าไปซ้ายมือ เราก็เดินตามเค้าไป ด้านในนั้นเป็นเกสต์เฮาส์ที่ปลูกต้นไม้ไว้ร่มรื่นพอสมควรทีเดียว มีชิงช้าตั้งอยู่หน้าบ้าน เจ้าของบ้านเป็นชายสูงวัยที่ยังดูกระฉับกระเฉง คุณลุงออกมาต้อนรับพร้อมให้เด็กพาไปดูห้อง เริ่มตั้งแต่ห้องแพงสุดไปถูกสุด แน่นอน ไม่ต้องคิดนาน เราเลือกห้องถูกสุดอยู่แล้ว (นี่ว่าถูกสุดแล้วนะ ยังคนละ $5 สองคนก็ $10) ส่วนห้องฝั่งตรงข้ามนั้น เห็นมีโคมไฟระย้าอยู่หน้าห้องแล้วคงไม่ต้องถามราคาให้เสียเวลาเปล่า ห้องที่เราเลือกนั้นก็ถือว่าดีถึงดีมากทีเดียว มีเตียง 2 เตียง นอนได้ถึง 3 คน มีกระทั่งตู้เย็นลายดอกไม้! แต่ห้องน้ำนี่ควรปรับปรุงหน่อย ส้วมเก่าเหลือคณา แต่ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่มีส้วมล่ะน่า..

พูดมอญได้เปล่า

ได้ห้องแล้วก็ออกมาจัดการเช็คอิน ลงรายละเอียดในสมุดเข้าพัก คุณลุงรับพาสสปอร์ตไปดูแล้วก็ถามว่า มาจากเมืองไทยเหรอ
"ค่ะ" ฉันตอบยิ้ม ๆ แล้วเบิร์ตก็เสริมขึ้นมาทันทีอย่างที่ฉันคาดไว้
"แต่จริง ๆ เค้าเป็นมอญนะครับ" โว้ยยยยย...พ่อคู้ณ...ไม่ต้องโฆษณามากนักก็ได้ แต่สายไปแล้ว ตอนนี้ทั้งลุง ทั้งเด็กยกกระเป๋าที่รู้แล้วว่าชื่อ เลเล ให้ความสนใจอย่างล้นหลาม
"จริงเหรอๆ แล้วยังพูดมอญได้มั้ย??"
"ไม่ได้ค่ะ" ฉันหัวเราะแหะๆ
"โออออ...." เค้าทำหน้าผิดหวัง "งั้นไหน ๆชี้ให้ดูหน่อยซิ ว่ามาจากตรงไหนของเมืองไทยเหรอ" คุณลุงชี้ไปที่แผนที่ประเทศเมียนมาร์ที่ติดอยู่บนฝาผนัง ฉันก็จิ้มไปเรื่อย ว่าย่ามาจาก นี่ นี่ ราชบุรี อยู่นี่ แล้วมาเรื่อย ๆ นี่ ๆ กรุงเทพฯ
"โอ..อ..อ...." คุณลุงไม่ว่ากระไรอีก นอกจากผงกหัวว่าเข้าใจ ยิ้ม ๆ แล้วตบบ่าฉันดังแปะๆ หันกลับมาอีกที ปรากฎว่ามีคนพม่าที่ทำงานอยู่ในนั้นมาแจมดูแผนที่ด้วยอีก 3- 4 คนไม่รู้โผล่มาจากไหนกัน

หลังจากสอบถามข้อมูลแล้วว่ามีรถบรรทุกขึ้นไปไจก์ถิโยอยู่ตลอดจนถึงราวๆ 1 ทุ่มตรง(คันสุดท้ายที่จะกลับลงมาคือ 1 ทุ่ม) มองนาฬิกาแล้วยังแค่บ่ายหน่อย ๆ พอมีเวลากินข้าวก่อนขึ้นไปด้านบน

"เออว่าแต่ข้างนอกนี่มีอะไรอร่อย ๆ กินข้างมั้ยละครับลุง" เบิร์ตถาม
"ไปกินที่ร้านลูกชายลุงก็ได้นะ เราเปิดร้านขายอาหารพม่าอยู่ ชื่อเดียวกับเกสต์เฮาส์นี่ล่ะ" โอ้ ไม่ม่ม่ม่ม่ อาหารพม่าอีกแล้วเหรอ แต่ตอนนี้ให้กินควายเป็น ๆ ก็เอา เพราะหิวจะตายอยู่แล้ว

เค้าขายอะไรกันน่ะที่คินปุน

เราก็เลยเดินออกมาด้านนอก โดยเดินย้อนกลับไปทางเก่าที่เราลงรถมา โผล่ออกมาจากหลืบเกสต์เฮาส์ได้ก็ต้องปะทะกับผู้คนที่ไหลตามกันมาอย่างเนืองแน่น หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูตื่นเต้นมีความสุขกันจริง ๆ ส่วนมากจะมากันเป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก รวมไปถึงญาติ ๆ อีกต่างหาก แต่ละคนหอบข้าวของพะรุงพะรัง ส่วนมากก็เป็นของที่เพิ่งช๊อปปิ้งที่นี่ทั้งนั้น ของที่ขายนอกจากของกิน ของใช้แล้วก็มีของเล่นนี่ล่ะที่ขายดี เห็นแล้วต้องอึ้ง เพราะเป็นของเล่นที่ทำจากไม้ไผ่ ประกอบขึ้นเป็นอาวุธหลากชนิด ตั้งแต่ปืนกระบอกเล็ก ๆ ไปจนถึงปืนบาซูก้า! เท่านั้นยังไม่พอ บนปืนยังพ่นสีแดงแช้ด ว่า USA! เห็นแล้วก็งงว่าเค้าซื้อให้เด็กเล่นจริงหรือเปล่าเนี่ย แต่ถามแล้วเค้าก็บอกว่า ก็ไม่มีอะไรหรอก เด็กมันชอบ...(ชักเป็นห่วงแทนพ่อแม่... ลองคิดดูซิ "วันนี้เอาอะไรดีลูก? เอาอาก้า หรือว่า M16 หรือว่าจะเอาบาซูก้านี่ละลู้กกก")





ผู้ใหญ่นั้นก็บ้าซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่กันอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่เป็นชั้นวางของอเนกประสงค์น้ำหนักเบา เลยซื้อกันใหญ่ เดินหิ้วกันกันให้ควั่ก อย่างผู้หญิงคนที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าเรานี่ก็อีกคนที่แบกชั้นวางของมือนึง ส่วนอีกมือนึงจูงลูกชายตัวเล็ก ๆ แล้วเธอก็ทำของตกดัง ปุ แต่ไม่ยักหันมาเก็บแฮะ สงสัยมองไม่เห็น อ้าว นั่นมันไม้เกาหลังนี่นา
"มะ มะ" ฉันหยิบไม้เกาหลังสุดคลาสสิคขึ้นมาจากพื้นแล้วตะโกนเรียกเธอ เธอหันมามองแบบงงๆ พอฉันยื่นของที่เธอทำหล่นให้ เธอจึงหัวเราะคิกคักแบบเขิน ๆ แบบ อุ๊ยตาย อ๊าย อายฮ่ะ ทำไม้เกาหลังหล่น แล้วพูดขอบคุณแล้วก็เดินไปหัวเราะไป แล้วเธอก็รีบเดินหายไปท่ามกลางคลื่นมนุษย์ที่มาแสวงบุญ

ร้านอาหารลูกชายลุงนี่ ฉันสั่งกับข้าวไป 2 อย่างกับข้าวที่ไม่ต้องสั่งเพราะเอามาเป็นกะละมังสเตนเลสคอยมาเติมให้ตลอด กินได้แค่ไหนกินไป แต่เบิร์ตสั่งซุปอีกแล้ว ส่วนราคาบนเมนูนั้น เนื่องจากเป็นเมนูภาษาอังกฤษเลยเดาไว้ก่อนเลยว่าเกินราคาปรกติแน่ ๆ ฉันนั่งรออาหารอยู่นานกว่าจะได้กิน ส่วนโต๊ะข้าง ๆ นี่มากันทั้งครอบครัว คนพม่านี่เวลากินข้าวถ้าโต๊ะไม่ใหญ่พอนี่สงสัยเครียดนะ จานเล็กจานน้อยเป็นสิบจานเลย ให้ตายเถอะ..ดูแล้วสนุกดีอยู่ไม่หยอก แต่ปัญหาคือไม่รู้อะไรเป็นอะไร เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี จะเอาช้อนไปวนอยู่ด้านบนว่าจะเลือกกินจานไหนดีก็จะดูน่าเกลียดไปหน่อย

เช็คบิลออกมาแล้วทั้งหมด 4000 จ๊าต โอ้ แพงจริงๆ ด้วย จริงแล้วสี่พันกว่านะ เลยบ่นไปว่า โห อุตส่าห์พักที่เกสต์เฮาส์แล้วไม่ลดให้เลยเหรอพี่ ใจร้ายจริง ๆ ฯลฯ แกคงรำคาญเลยต้องลดให้ ซึ่งถ้านับเป็นเงินไทย ลดไปให้ประมาณห้าบาท (ห้าบาท! โธ่..)

รถบรรทุก ประสบการณ์อึ้งทึ่งเสียว

อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาไปทรมานตัวเองกันแล้ว เราเดินไปทางท่ารถบัส พอเลยไปหน่อยเดียวก็จะมีทางแยกไปทางขวาคือเป็นทางที่จะขึ้นเขา เห็นมีป้ายใหญ่ ๆ อยู่ด้านหน้าว่าทางสำหรับขึ้นรถไปไจก์ถิโย เลี้ยวก็แล้วก็ต้องทึ่งอีกแล้ว เพราะมันเป็นรถบรรทุกสิบล้อที่เต็มไปด้วยผู้โดยสาร ที่อัดแน่นจนแทบปลิ้น ด้านข้างรถบบรทุกนั้นเค้าทำเป็นบันไดคอนกรีตอย่างดี แบบบันไดขึ้นเครื่องบินเล้ยยยย แต่ถึกกว่าเล็กน้อย มีผู้ชาย 2-3 คนคอยกำกับอยู่ด้านบน เอ้า ชิดในหน่อย เจ๊ไปนั่งแถวหน้า พี่ยืนเกาะที่ตรงกระจกหลังคนขับได้ไหม ฯลฯ ดู ๆ แล้ววุ่นวายพิกล

เราสองคนเลยเดินขึ้นไปแบบอึ้ง ๆ มอง ๆ ดูในรถ เออ มันก็เต็มแล้วนี่หว่า เลยเดินเลี่ยง ๆ ออกมากะว่าเดี๋ยวรถคันใหม่ก็แล้วกัน แต่ผู้ชายที่ยืนกำกับอยู่แกไม่ยอม แกยิ้ม ๆ แล้วหันมาบอกว่า ไปเล้ย ไปเล้ย ไปคันนี้แหละ ฉันมองตาปริบ ๆ เฮ้ย แล้วจะไปนั่งตรงไหนวะ มันไม่มีที่นั่งแล้วนี่ ที่นั่งอยู่นั่นก็แทบจะนั่งตักกันอยู่แล้ว เลยหันไปมองหน้าเบิร์ตว่า เอาไงดี เบิร์ตให้คำตอบที่ช่วยได้มาก คือ ไม่ตอบ!

คนในรถเริ่มขยับให้อีกนิด ส่วนมากพวกผู้หญิงจะนั่งอยู่กลางรถ ส่วนท้ายรถนี่เป็นขอบ ๆ กระบะด้านท้ายรถนั้นจะเป็นผู้ชาย (ถ้ามันเป็นรถกระบะน่ะจะไม่ลังเลเลย แต่นี่มันรถบรรทุกเนี่ยซิ ถ้าหล่นลงมาก็เก็บศพได้เลย) ถึงแม้ว่าทุกคนจะพยายามขยับให้มีที่ว่างให้เรานั่งแล้ว มันก็เป็นที่ว่างที่พอสำหรับสาวหุ่นแบบน้องๆนางแบบเท่านั้น หุ่นอย่างฉันคงไม่ไหว แต่จะรอคันหน้าเค้าก็บอกเดี๋ยวจะเย็นเกินไปแล้ว ก็เลยบอกให้เบิร์ตแทรกเข้าไปยืนเกาะที่ราวหลังห้องคนขับซึ่งดูจะสบายกว่านั่งขอบกระบะเป็นไหน ๆ แต่กว่าจะเข้าไปได้ก็ต้องข้ามผู้ชายหลายคน เป็นผู้หญิงไปก้าวข้าม ๆ เขาคงจะไม่ดี ส่วนฉันตัดสินใจปีนเข้าไปนั่งด้วยที่ขอบกระบะที่มีผู้ชายหน่วยกล้าตายนั่งอยู่แล้ว 5-6 คน คิดในใจว่าเป็นไงเป็นกันวะ ...แล้วก็ได้ที่นั่งตรงมุมกระบะพอดีเลยโดยนั่งหันหลังให้คนขับ แล้วต้องเอาตีนเกี่ยวตะแกรงที่ยืนออกมาข้างๆรถไว้อีกข้างนึงกะว่า เฮ้ย มันต้องไม่ตก มันต้องไม่ตก โห...ดีนะที่ไม่ใส่อีหนีบมา...เกือบไปแล้วเชียว

แล้วรถก็ออก ..ตอนแรกมันก็ไปช้า ๆ อยู่ ไอ้เราก็นึกว่าจะเป็นรถสองแถวแม้วตอนไปดอยอินทนนท์ที่ไปเรื่อย ๆ หวานเย็น ๆ ที่ไหนได้พี่แกขับแบบสิบล้อบนทางไฮเวย์เลย เฟี้ยววว.. ฟ้าววว.. เทโค้งทีนี่ ใจไม่อยู่กะเนื้อกะตัว เจ้าประคุณเอ๊ย ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่เนี่ย.. อยู่บ้านดี ๆ ไม่ชอบ

แดดเผาหน้าจนรู้สึกว่ามันชักจะสุกได้ที่ ต้องดึงเอาผ้าที่พันหัวเอาไว้มาปิดหน้า การที่จะเอามือไปดึงผ้ามาปิดหน้านี่ก็ต้องทำแบบใจถึง เพราะรถมันเหวี่ยงตลอดแล้ววิ่งเร็วด้วย ต้องปล่อยมือเดียว แล้วรีบๆดึงผ้ามาพัน หนัก ๆ เข้าก็ห่อไปเลยทั้งหัว ถ้าโพกต่อไปอีกหน่อยอาจรัดคอตายได้ จะโพกใหม่ก็ไม่ได้อีก ไม่กล้าปล่อยมือที่จับขอบกระบะรถอยู่ ปล่อยไปมือเดียวก็เสียวแล้ว พี่โชเฟอร์ยังคงเทโค้งท้าทายนรกอย่างสม่ำเสมอ จนมีรถอีกคันตามมาติด ๆ เลยขับตามกันไปแบบลุ้นระทึก ไม่รู้เป็นวัฒณธรรมร่วมของเอเชียหรือเปล่า ที่เวลามีรถอีกคนมาร่วมแจม ผู้โดยสารจะต้องกรี๊ดแบบ "มันมาแล้วๆๆ เย้ๆๆ" ทำให้คนขับยิ่งมันส์เข้าไปใหญ่ ฉันนั่งตากแดดจนหน้า เหน้อ จะไหม้ จะเกรียมนี่ไม่สนใจแล้ว ขออย่าให้หล่นลงไปเป็นพอ

บรรยากาศดี ดนตรีไพเราะ แต่..เพื่ออะไรเนี่ย

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รถก็ชลอความเร็วลง ฉันเหลียวหลังไปดูว่ามีอะไรกันหว่า ก็เห็นเป็นเพิงพักขนาดย่อม ๆ ที่ทำไว้ค่อนข้างจะถาวร ขนาดพอสำหรับจอดรถบรรทุกได้ซักสองสามคันพอดี รถเข้าไปจอดเทียบแล้วดับเครื่อง พักรถเหรอ? อ้าว พักทำไม แต่ก็ดีเหมือนกัน ได้พักหายใจหน่อย เฮ่อ....ว่าแล้วก็เปลี่ยนท่าซะหน่อยดีกว่า

ผ่านไปอีก 20 นาที เรายังคงอยู่ที่เดิม เริ่มมีดนตรีให้ฟังฟรี โดยเปิดผ่านลำโพงขนาดย่อม ๆ ที่ผูกติดไว้บนเสาไม้รอบ ๆ โรงพักรถ แหม บรรเลงเปียโนคลาสสิคซะด้วย ....ฉันอยากจะลงไปยืดเส้นยืดสาย แต่ดูๆแล้วถ้าลงไป จะขึ้นมายังไงยังนึกไม่ออก แถมถ้าลงไปแล้วขึ้นมาอาจจะไม่ได้ที่นั่งด้วย บางคนเริ่มกระโดดลงไปหาน้ำกินแล้วตอนนี้ หนุ่ม ๆ ก็ลงไปเอาน้ำดื่มมาบริการสาว ๆ ถึงบนรถ ผ่านไปอีก 20 นาที ...เสียงเปียโนยังดังอยู่ แต่เริ่มไม่เพราะแล้ว เพราะหงุดหงิด คนพม่าบางคนเริ่มประชดด้วยการทำท่าพรมนิ้วเล่นเปียโนให้มันบ้าไปเลย หันไปดูเบิร์ต ยังยืนบิดไปบิดมาอยู่ที่เดิม คงจะเซ็งเหมือนกันแหละ เฮ้ย จะบ้าเรอะ นี่มัน 40-50 นาทีเข้าไปแล้ว ร้อนก็ร้อน เมื่อยก็เมื่อย รออะไรของเค้าอยู่เนี่ยยยยยยย!

บรืนนนน.....

เสียงรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นลงมาจากด้านบนแล้วค่อย ๆ แล่นผ่านไปแบบอ้อยอิ่งจนน่าหมั่นไส้ แต่เท่านั้นแหละ รถบรรทุกคันที่ฉันนั่งมาก็ติดเครื่องดังสนั่น ทุกคนเฮ โธ้ ที่แท้ก็ต้องมารอรถให้ลงมาก่อนนี่เองเหรอ มันคงจะแล่นสวนทางกันไม่ได้ละมั้ง แต่เซ็งชะมัดเลย เสียเวลาไปเฉย ๆ ตั้งชั่วโมงเต็ม ๆ อ้าว แล้วอีหนูที่นั่งอยู่ด้านหลังฉันก็ดันเลื่อนตัวมานั่งสูงขึ้นอีก ทำเอาฉันนั่งที่เดิมไม่ได้แล้ว ต้องระเห็จไปนั่งในตะแกรงขนาดใหญ่ที่เค้าเอาไว้ใส่สัมภาระ! มันเป็นเหมือนตะกร้าขนาดยักษ์ที่วางไว้บนฝากระบะเปิดปิดที่ท้ายรถ แล้วเอาโซ่มาล่ามติดไว้กับตัวรถ มอง ๆ ดูแล้ว นี่ถ้าหล่นก็หล่นทั้งยวงนะเนี่ย...โอ่ย อยากร้องไห้จัง

ท่านั่งก็เลยเหมือนถูกใครจับฉันเอาก้นยัดลงไปในถังให้ตัวกับขาโผล่ออกมาเท่านั้น เมื่อยแทบบ้า!! เด็กหนุ่มอายุคงราว ๆ ซัก 17-18 ที่อยู่ในชุดหมีสีส้มใส่เครื่องประดับข้อมือที่เป็นหนังสีดำตอกหมุดมันแว้บ หันมาถามว่า "คุณโอเครึเปล่า?" ฉันก็บอกว่า โอเค (แต่จริงๆ น่ะตายด้านไปแล้ว) เค้าก็ยกนิ้วโป้งว่า เยี่ยม ๆ (อ๊ากกกซ์ !!! เมื่อไหร่จะถึงซักที!)

ถึงซะที แต่.....

ผ่านไปอีกราว ๆ 15 นาทีรถก็ถึงที่หมาย ฉันดีใจแทบบ้า กระเป๋าใครกระเป๋าใครไม่สนแล้ว ขออนุญาตเหยียบแล้วล่ะ ไม่งั้นลุกไม่ได้ (แต่ก็นั่งทับกระเป๋าชาวบ้านเค้ามาตลอดทางอยู่แล้ว ไม่รู้ทำอะไรเค้าพังไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้) บันไดไม้โยก ๆ เยก ๆ ถูกเอามาวางเทียบข้าง ๆ รถ ฉันเดินขาสั่นพั่บ ๆ ลงมายืนที่พื้นได้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เป็นไง?" เบิร์ตยืนเท้าสะเอวถาม ขาแอบสั่นเล็กน้อย
"โธ้...ก็จะเป็นไงซะอีกล่ะ?" ฉันย้อนกลับบ้าง ต่างคนต่างรู้ว่าคงไม่ต้องตอบหรอก เพราะสภาพนี่โทรมสุด ๆ นี่ยังต้องเดินขึ้นอีกครึ่งชั่วโมงนะ ยังไม่จบง่าย ๆ บอกแล้วว่าอยู่บ้านดี ๆ ไม่ชอบ ชอบทรมานดีนัก

ว่าแล้วอย่าเสียเวลา เริ่มเดินขึ้นกันเลยดีกว่า เพราะนี่ก็เริ่มจะเย็นแล้ว รถคันสุดท้ายที่จะนั่งกลับคินปุนได้คือ 1 ทุ่มตรง เลยถามเค้าไปว่าถ้ามาไม่ทันจะเป็นยังไง เค้าได้แต่ชอบยิ้ม ๆ ว่า

"ก็มาให้ทันแล้วกัน"

ให้ผมแบกมั้ยครับพี่

ทางเดินขึ้นเค้าทำไว้อย่างดี เดินไม่ยากอะไร แต่ "ชันมาก" เวลาเดินขึ้นนี่ต้องโน้มตัวไปด้านหน้าจนปวดหลัง คนพม่านี่บางคนเริ่มถอดรองเท้าตั้งแต่ตรงนี้แล้วนะ แต่ฉันคงไม่ไหวล่ะ ขอละกัน ไปถึงใกล้ๆแล้วค่อยถอด เราเดินไปหอบไป เหงื่อแตกซิ่กๆ แต่ขนาดคนแก่ ๆ เค้ายังเดินขึ้นไป เราก็ต้องขึ้นไปซีน่า

แต่ถ้าใครที่ขึ้นไม่ไหวจริง ๆ (หรือขี้เกียจแบบสุดยอด) ก็จะมีบริการ "แบก" ขึ้นด้วย คือเป็นเหมือนเสลี่ยงทำด้วยไม้ไผ่ขนาดเขื่อง 2 ข้าง ตรงกลางมัดติดเอาไว้กับเตียงผ้าใบชายหาด! นี่ก็เห็นแบกฝรั่งขึ้นไปแล้ว 2 คน สนนราคาไปส่งถึงด้านบนก็ 8000 จ๊าตขาดตัว สำหรับคนแบก 2 คนหน้า-หลัง ราคาอาจลดลงเรื่อย ๆ หากต้องเดินตามตื๊อนานหน่อย บางทีน่าโมโหนะ เพราะพอบอกว่าไม่ไป ๆ แล้วมานั่งเหนื่อย ๆ ให้เห็นนี่เค้าจะแบกเปลตามไปเรื่อย ๆ กะว่า "ยังไงมันต้องเสร็จตูแน่ ฮ่า ฮ่า ท่าทางแบบนี้ไปไม่รอด" แต่เดินขึ้นไปได้ซักพักเค้าก็หายไปเอง

สองข้างทางนี่จะมีร้านขายน้ำขายขนมอยู่ตลอด ไม่ต้องกลัวจะไม่มีที่ซื้อ ยิ่งสูงยิ่งมีของแปลก ๆ ขาย ทั้งอุ้งตีนหมี นกเงือก กระโหลกนู่น กระโหลกนี่ เห็นว่าคนซื้อไปทำยา เห็นแล้วก็น่าสงสารจริง ๆ สงสารสัตว์นะ ไม่ใช่สงสารคนขาย

น้ำอ้อยร้อยปี

หมดจากทางที่เป็นพื้นปูนแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มเป็นดิน เป็นขั้นบันไดหยาบ ๆ ขึ้นไปตลอดแนว แวะกินน้ำอ้อยซักหน่อยเพื่อเรียกพลังงาน เพราะตอนนี้ใกล้ตายเต็มทีแล้ว ลุงคนขายแกก็หยิบอ้อยมาใส่เครื่องอย่างชำนาญ แต่ไอ้แผ่นสังกะสีที่รองเวลาน้ำอ้อยมันไหลลงมานี่ซิ โอ้มายก้อด มันเก่ายิ่งกว่าฝาสังกะสีห้องน้ำซะอีก เห็นแล้วก็อึ้ง ไร้คำบรรยาย ยิ่งชามที่ลุงแกเอามารองน้ำอ้อยที่คั้นเสร็จแล้วด้วยแล้วนี่บอกตามตรงว่านาทีนี้ให้เอาน้ำมาใส่ชามที่ขุดพบที่สังคโลก หน้าตาคงออกมาไม่ต่างกันมากเท่าไหร่

"ใส่น้ำแข็งมั้ยล่ะ" ลุงแกถาม ฉันมองไปที่แก้วน้ำอ้อย แล้วก็ บอกไปอย่างใจกล้าว่า "ใส่" เพราะถึงยังไงๆ ตอนนี้น้ำแข็งมันคงไม่ได้ผิดหลักอนามัยไปกว่าสังกะสีร้อยปีสมัยพระเจ้าตะเบงชเวตี้ของลุงแกมากนัก ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเอาให้สุด ๆ ไปเลย คืนนี้ต้องแย่งส้วมกันหน่อยแล้ว

แล้วน้ำอ้อยในตำนานก็มาอยู่ในมือ ฉันเกี่ยงกันกับเบิร์ต หลังจากนั่งจ้องมันอยู่ 1 นาที
"เธอกินก่อนดิ" ฉันยื่นแก้วไปทางเบิร์ต
"ฮื้ยยยย...ไม่เป็นไร เลดี้เฟิร์สต์" เรื่องอย่างนี้ล่ะเอาตัวรอดได้เก่งนัก
"แหงะ.." ฉันมองแก้วอีกที แล้วเอาหลอดดูดปรื้ดเดียวครึ่งแก้ว แล้วเอามือจับ ๆ ตามตัว ...โอ ยังมีชีวิตอยู่...แต่จะว่าไปรสชาติใช้ได้นะ

โดนจับไต๋ได้

หลังจากเดิน ๆ หยุด ๆ มาได้ครึ่งชั่วโมงกว่า ก็เริ่มมีที่พักประปราย เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างจะดีทีเดียว บางทีก็เป็นของรัฐบาล มีคนเข้าพักพอสมควรเหมือนกัน (แต่ไม่แนะนำให้พัก ไม่อยากให้สนับสนุนกิจการของรัฐ) เราได้แต่เดินผ่านไป เพราะยังไงก็ไม่ค้างคืนที่นี่อยู่แล้ว แต่เนื่องจากความอยากรู้อยากเห็น ขอสำรวจราคาซักหน่อยเถอะ ก็เลยไปยืนดูหน้าตาที่พักอยู่แป๊บนึงกับป้ายอัตราค่าเข้าพักที่เค้าติดไว้ด้านหน้า อืม แพงเหมือนกันนะ จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่แพงกว่าที่เราพักด้านล่างที่คินปุน

ถัดไปอีกราว ๆ 50 เมตรจะเป็นด่านตรวจและชำระเงินค่าเข้าชมที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องจ่ายคนละ 7 ดอลล่าร์ ฉันก็ทำเหมือนปรกติคือเดินเข้าไปเฉย ๆ ทำหน้าเฉย ๆ เข้าไว้ก็ไม่เคยจะเห็นเค้าจับได้ แต่คราวนี้ซิ

"ยู ยู!" เรียกใคร(วะ) ค่อย ๆ เหลือบไปมอง
"ยูนั่นแหละ" เฮ่ย รู้ได้ไงไม่จริงน่าาา
"มาจ่ายค่าทิคเก็ตก่อนเลย เร้ว มานี่ๆ" เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบยืนกวักมือเรียกหย็อย ๆ

ฮือ ๆ โฮ ๆ ๆ ๆ

ปรากฎว่าเค้ารู้ก็เพราะไอ้เสร่อสองคนนี้มันไปยืนดูราคาที่พักอยู่เป็นนานสองนานนี่แหละ แถมวิจารณ์กันจนน้ำลายแตกฟองผิดวิสัยคนพม่ากับคนฝรั่งต่างชาติยิ่งนัก อย่าช้าเลย เรียกมันมาจ่ายค่าเข้าเดี๋ยวนี้
"โธ้ ติดอยู่กลางทางตั้งเป็นชั่วโมงๆ นี่ก็ 4 โมง 5 โมงเเย็นเข้าไปแล้ว เนี่ย เดี๋ยวก็ต้องกลับแล้ว ยังเก็บอีกหรอ..อ..อ."(ฉอดๆๆ) เบิร์ตบ่นกระปอดกระแปด เจ้าหน้าที่ไม่พูดอะไร ยิ้มเจื่อน ๆ สถานเดียว
"ลดหน่อยไม่ได้หรอออ นะ นะ" ยัง ยังไม่เลิกต่อ
"ไม่ได้ครับ" เจ้าหน้าที่ไม่เล่นด้วย 7 ดอลล่าร์อันแสนหวานเลยต้องลอยไปอยู่ในลิ้นชักอย่างสงบ ..สาธุ ฉันยังไม่วายเดินบ่นมาตลอดทาง

"เฮ้ นั่นไงๆๆๆ เห็นแล้ว" ฉันชี้นิ้วไปที่ก้อนหินสีทองที่เห็นอยู่ไม่ไกล
"บ้าาาา นั่นมันใช่ที่ไหนล่ะ ก้อนติ๋วเดียว" เบิร์ตหันมาหรี่ตามองแถมย่นหน้าใส่
"อ้าว เหรอ โธ้ มีหลายก้อนก็ไม่บอก" ก็มันมีหลายก้อนจริง ๆ นะ แต่มีทั้งแบบ เกือบเหมือน กับทำจำลองขึ้นมาให้มันเหมือน ขนาดนั่งรถผ่านตามวัดต่าง ๆ ยังมีทำจำลองไว้ในวัดด้วยซ้ำไป หลอกให้เราดีใจก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ

เราเดินมาถึงประตูทางเข้าที่ทำไว้ใหญ่โตสวยงามทีเดียว พอถึงตรงนี้ต้องถอดรองเท้าแล้ว ผู้คนยังหนาตา มีตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ แล้วแต่ละคนหอบอุปกรณ์เครื่องนอน เครื่องครัวกันมาเต็มอัตราศึก ส่วนใหญ่ก็หอบหิ้วกันมาทั้งครอบครัว พ้นจากประตูไปจะเป็นลานหินขัดมันกว้างขวางมากทีเดียว พื้นที่ริม ๆ ทางเดินนั้นส่วนใหญ่ถูกจับจองหมดแล้ว ด้วยหมอนมุ้ง เสื่อ หม้อ ไห จิปาถะ นี่กะจะมาอยู่ถาวรกันเลยหรือเปล่าเนี่ย ห้องน้ำจะอยู่รวมกันอีกฝากหนึ่ง ทีตรงนั้นล่ะไม่เห็นมีใครไปจอง

บางคนที่เซียนมาก ทำเป็นห้องเลย เอาไม้ไผ่สานบาง ๆ มากั้นเป็นผนังเตี้ย ๆ 3 ด้าน เอาผ้าคลุมทำหลังคาหน่อยนึง ได้ห้องแล้วหนึ่งห้อง อะเมซิ่ง...

คนพม่านี่เวลาไปเดินสายทำบุญนี่เค้าซีเรียสกันมากนะ เรียกว่าตั้งใจไปกันจริง ๆ เลย นอกจากไปไหว้พระแล้วก็ถือโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนไปในตัว เนื่องจากไม่มีทางเลือกมากนัก ไม่มีหรอก เสาร์ อาทิตย์ไปจองรีสอร์ทเล่นน้ำทะเล หรือบ่าย ๆ ไปเดินห้าง ส่วนมากการไปเที่ยวของเค้าก็คือการเดินสายนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ บางคนต้องเก็บออมไว้นานพอควรกว่าจะพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายไปการเดินทาง "ทัวร์ไหว้พระ" ได้




พระธาตุอินทร์แขวน

เดินมาตามลานหินขัดมาเรื่อย ๆ สุดสายตาจะเห็น ก้อนหินสีทองเจิดจ้า ขนาดมหึมา ตั้งตะหง่านอยู่แต่ไกล สีทองของก้อนหินตัดกับสีฟ้าอมส้มของท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังนั้นทำเอาฉันลืมคำพูดไปหมด ว่ากำลังคุยถึงเรื่องอะไรอยู่ เหมือนมีแรงดึงดูดให้คนเดินเข้าไปหาจริง ๆ

ไม่ไกลจากพระธาตุเท่าไหร่ จะเป็นห้องเล็ก ๆ แบ่งเป็นช่อง ๆ ขายทองคำเปลว จำนวนแล้วแต่จะซื้อ ตามกำลังศรัทธา ถ้าซื้อเยอะหน่อยจะได้เข็มกลัดรูปไจก์ถิโยด้วย! โอ้ แล้วเราก็ได้มา 1 อัน แฮ่ะ ๆ เป็นเข็มกลัดพลาสติก น้ำหนักเบาหวิว ไม่มีราคาค่างวดอะไรเท่าไหร่นัก แต่คนก็เก็บไว้เป็นศิริมงคล ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มาสักการะถึงที่นี่จริง ๆ ไม่ใช่ดูจากรูปถ่ายอีกต่อไปแล้ว

สำหรับผู้หญิงนั้น ก็อย่างเคย ตามธรรมเนียมพม่าคือห้ามเข้าไปปิดทองด้วยตนเองเด็ดขาด แต่ฝากให้ญาติ หรือเจ้าหน้าที่เข้าไปปิดทองที่ตนเองซื้อมาแล้วแทนได้ รอบ ๆ พระธาตุก็จะมีพื้นที่ไว้ให้จุดธูปเทียนตามสะดวก สองข้างซ้ายขวาของพระธาตุ ถูกทำเป็นบันไดอย่างดีนำไปสู่เบื้องล่างที่เราสามารถเดินดูก้อนหินสีทองมหัศจรรย์นี่ได้รอบทิศทีเดียว ด้านล่างนั้นถึงแม้พื้นที่จะไม่กว้างขวางเท่าไหร่แต่ก็มีคนไปนั่งกันเต็ม เพื่อนั่งแหงนหน้าดูความมหัศจรรย์ของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนคงมีคำถามเดียวกันว่า

"มันตั้งอยู่ได้ยังไงวะ"

เพราะผิวสัมผัสที่แตะกับพื้นนั้นมีน้อยเหลือเกิน ดูแล้วไม่น่าจะตั้งอยู่ได้เลย ประหลาดมาก..

เคยอ่านเจอว่าเมื่อก่อนนี้ก็เคยมีเหมือนกันแหละ คนที่คิดอยากจะเอาเจ้าหินก้อนนี้ลงมา เพราะตั้งแต่หมิ่นเหม่เหลือเกิน จะหล่นก็ไม่หล่น ดูแล้วคาใจ เลยเอาเชือกมามัดแล้วจัดแจงดึงกะว่าให้หล่นให้จบ ๆ เรื่องไป แต่หินนั้นก็ไม่เขยื้อน แถมบุคคลที่เกี่ยวข้องก็ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ร้าย ๆ กันทุกคน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครไปคิดเอาลงมาอีก แล้วทองที่ถูกนำไปปิดก็หนาขึ้นทุกวัน ๆ ผิวที่อยู่ในระยะที่คนจะเอื้อมไปปิดทองถึงนั้นก็หนานูนไปด้วยทองและทอง เกิดเป็นพื้นผิวตะปุ่มตะป่ำเหมือนกับทองบนองค์พระมหานุนีที่มัณฑะเลย์

ฉันส่งเบิร์ตไปปิดทองพิสูจน์กับเค้าด้วย เป็นภาพที่ดูประหลาดดีพิลึก ฝรั่งตัวขาว ๆ ท่ามกลางชายพม่านุ่งโสร่งเบียดเสียดกันเข้าไปปิดทอง เหยียดจนสุดแขนกันทีเดียว แต่ค่อย ๆ กระดึ๊บ ๆ เข้าไปจนเข้าไปใกล้ได้อีกหน่อย ฉันเองได้แต่สังเกตุการณ์อยู่ด้านนอก คิดในใจว่าถ้าอยู่ดี ๆ มันกลิ้งหล่นลงไปจะไปโทษใครดีนะ ในหลาย ๆ คนที่กำลังปิดทองกันอยู่โครม ๆ เนี่ย

กลิ่นควันธูปอบอวนอยู่ในอากาศ ควันเข้าตาจนแสบ กราบเสร็จแล้วเลยเลี่ยงออกมารอห่างจากตรงด้านหน้าอีกหน่อย เบิร์ตค่อย ๆ เดินตัวลีบออกมา
"เป็นไงๆ" ฉันถามด้วยความตื่นเต้น
"อ่าว จะให้ตอบว่าไงดีล่ะ ก็ปิดทองธรรมดา" เออ ก็จริงของมัน
"ว่าแต่ตอนเค้าทาให้เป็นสีทองนี่เค้าทำไงหว่า ไหนจะตรงยอดที่สร้างเพิ่มด้านบนอีก" ตรงด้านบนมียอดแหลม เหมือนยอดเจดีย์ สร้างเอียงเข้ามาฝั่งตรงข้าม เหมือนจะสร้างสมดุลย์ให้แน่ใจว่าไม่หล่นไปแน่
"เออ ไม่รู้ดิ"

เราเดินวนดูรอบ ๆ องค์พระธาตุ ไปนั่งแหงนหน้ามองจากด้านล่าง ยิ่งดูยิ่งแปลก นั่งได้พักเดียว เบิร์ตก็บอกว่า
"ไปเหอะ ไปด้านบนดีกว่า รู้ว่ามันไม่หล่น แต่นั่งตรงนี้ เสียวๆไงไม่รู้แฮะ เหอๆ"




บริเวณรอบ ๆ นั้นจะเห็นว่ามีหินก้อนอื่น ๆ อีก แต่รูปร่างแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากก็ถูกทาไว้ด้วยสีทองเหมือนกันหมด ต่างก็แต่ว่ามันไม่ได้ไปตั้งอยู่หมิ่นเหม่เหมือนพระธาตุอินทร์แขวน ก็เลยไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่ มีคนให้ความเห็นว่าบริเวณนี้นั้นเป็นเคยทะเลมาก่อน พอน้ำมันค่อยๆลดไปหินเลยตั้งอยู่ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด ก็ไม่รู้จริงหรือเปล่า

พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงแล้ว ยกนาฬิกาขึ้นดู อ๊ะจ๊ากกก เหลืออีกครึ่งชั่วโมงพอดี รถคันสุดท้ายจะออกแล้ว รีบเดินออกแทบไม่ทัน อดดูพระอาทิตย์ตกจนได้! ต้องรีบเดินจ้ำอ้าวกันจนขาแทบขวิด มิวายต้องแวะซื้อน้ำเปล่าก่อนอีก เบิร์ตหันมาโวยวายว่า ทำไมเจ๊ต้องมาซื้อตอนนี้ด้วยเดี๋ยวไม่ทันรถ
"เฮ้ย คนหิวน้ำนี่หว่า ปะโธ้ แล้วอย่ามาขอกินก็แล้วกัน"
จากนั้นเรียกว่าเดินคงไม่ได้ เพราะกึ่งวิ่ง กึ่งกลิ้งกันลงมา แถมทางยังชันอีก เข่าแทบพัง!

ตกรถจนได้!

ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเหลืออีก 5 นาทีเอง เลยแข่งกันวิ่งมาจนถึงด้านล่างจนได้ แล้วภาพที่เราเห็นก็คือ รถบรรทุกคันสุดท้ายที่บรรทุกผู้โดยสารเต็มคันรถเพิ่งออกไป ทำฝุ่นบนถนนกระจายคลุ้งใส่หน้าเป็นการเยาะเย้ยอีกต่างหาก อารมณ์ตอนนี้เหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ แล้วตกรถเมล์คันสุดท้ายตอนกลับบ้านเลย แต่อยู่กรุงเทพฯ แท็กซี่ยังมี ตอนนี้อยู่ที่ไหนละเนี่ย ไม่มีอะไรเลย มองไปรอบ ๆ มีแต่ร้านอาหาร ลานจอดรถ มีรถบรรทุกคันอื่น ๆ จอดอยู่บ้าง แต่หลังจากขึ้นไปนั่งอยู่ราว ๆ 10 นาที คนขับก็มาบอกว่าถ้าไม่มีผู้โดยสารคนอื่นเค้าก็จะไม่ลงไป เพราะฉะนั้นเราต้องเหมาทั้งคัน ถ้าจะลงไปคินปุน

"เท่าไหร่น่ะ" ฉันเริ่มเซ็ง ใจคอไม่ค่อยดี เพราะงบประมาณนั้นต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดจริงๆ ที่พม่านี่ไม่มีเอทีเอ็มให้กด บัตรเครดิตนั้นหรือลืมไปได้เลย มันคือพลาสติกไร้ค่าในนาทีนี้
"16,000 จ๊าต"
"16,000 จ๊าต!!" คิดแล้วตกราว ๆ 20 ดอลล่าร์ เพราะเท่ากับการจ่ายคนละ 400 จ๊าต จำนวนผู้โดยสาร 50 คน ก็เป็น 16,000 จ๊าต พอดี ตอนนี้ไม่มีผู้โดยสารคนอื่น เราจึงจะต้องจ่ายแทนจำนวนที่ว่างทั้งหมดถ้าอยากไป จริงๆแล้ว 20 ดอลล่าร์ฟังดูไม่ใช่เงินมากมาย ถ้าเป็นบางคนอาจจะยอมจ่ายไปแล้ว แต่สำหรับเรา 20 ดอลล่าร์นั้นหมายถึงค่าที่พักที่จ่ายได้ถึง 3 - 4 คืน หรือค่าอาหารอีกหลายมื้อ หรือค่าโดยสารไปไหนต่อไหนได้อีกหลายแห่ง นาทีนั้นจึงอยู่ในสภาวะเครียดแตก จากที่ทะเลาะกันอยู่เรื่องที่ฉันแวะซื้อน้ำ 5 วินาที ต้องหันหน้ามาปรึกษากันอีกครั้ง นี่ถ้ามาคนเดียวก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะตัดสินใจยังไง บรรยากาศรอบ ๆ ตอนนี้ก็มืดสนิท สนิทจริง ๆ อากาศเริ่มเย็น

"ตอนที่อยู่ด้านบนน่ะ..." เบิร์ตขมวดคิ้ว "ผมเห็นฝรั่งคู่หนึ่งกับลูกสาว มีไกด์ส่วนตัวมาด้วย คิดว่าคงจ้างรถยนต์ส่วนตัวขึ้นมา คิดว่าเห็นแว้บๆ เราคงจะพอขออาศัยลงไปด้วยได้ ถ้าหาเค้าเจอนะ"
"เหรอ ว่าแต่ถ้าป่านนี้เค้ายังไม่ลงมา แล้วเค้าจะลงมาเมื่อไหร่ เค้าอาจจะพักโรงแรมด้านบนนั้นก็ได้" บอกตรงๆ ว่าฉันเริ่มมองหาที่ที่จะนอนข้างถนนแล้วตอนนั้น
"เออ ก็จริง.." เบิร์ตเริ่มเครียด "แต่เราลองไปเดินดูที่ลานจอดรถดูก็ไม่เสียหาย" เราเลยลงจากรถบรรทุกคันนั้น มุ่งหน้าไปลานจอดรถที่เป็นลานดินกว้าง ๆ แต่ตอนนี้มืดสนิท เอาไฟฉายสาดไปทั่ว ๆ ก็ไม่เจออะไร นอกจากห้องที่กั้นขึ้นจากสังกะสีผุ ๆ ที่ตั้งอยู่ไกล ๆ กับหมาจรจัดที่นอนทอดอารมณ์อย่างไม่เดือดร้อนอยู่แถว ๆ นั้น
"ไม่มีใครแฮะ เอาไงดี" ฉันเริ่มหมดหวัง แล้วเริ่มคิดหาทางออกอื่น
"หรือว่าเราจะพักที่นี่?"
"ที่นี่?" เบิร์ตถามงงๆ
"เออ ที่นี่อ่ะดิ แต่ชั้นยังไม่เห็นที่พักเลยนะ"
"ที่นี่ไม่น่ามีนะ ถ้าจะพักบนนี้จริงๆก็คือต้องเดินกลับขึ้นไปที่ไจก์ถิโย ซึ่งตอนนี้ก็มืดตื๋อ แถมยังต้องเดินอีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง มองอะไรก็ไม่เห็นแล้วด้วย" เบิร์ตมองไปตามทางเดินขึ้นสู่ไจก์ถิโยซึ่งตอนนี้มองไม่ออกว่ามีทางเดินด้วย

เราสองคนเลยออกมายืนอึ้งกิมกี่อยู่ที่ลานจอดรถบรรทุกอีกครั้ง เบิร์ตก็ดีใจหาย ไม่โทษว่าเราเป็นคนที่ทำให้ช้าเพราะมัวแต่ไปยืนซื้อน้ำอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ไม่โทษอย่างเดียวนี่เล่นไม่พูดอะไรเลย ฉันเองทำอะไรไม่ถูก เพราะรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนต้องมาลำบากไปด้วย เลยต้องหาทางออกให้ได้ ฉันเริ่มเดินสำรวจรอบ ๆ ถามหาคนที่พูดภาษาอังกฤษที่พอจะสื่อสารกันรู้เรื่องนั้นก็เหนื่อยเหลือเกิน จนสายตาเหลือบไปเห็นห้องเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนกองอำนวยการอะไรซักอย่าง เพราะเห็นมีกล่องบริจาคตั้งอยู่หลายกล่อง แล้วด้านหลังเป็นกระดานที่มีตารางตัวเลขที่ดูเหมือนยอดบริจาคติดอยู่ด้วย เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถาม

"มีใครพูดภาษาอังกฤษได้บ้างมั้ยคะ" ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านใน ทำท่างง ๆ พลางโบกมือโบกไม้ ฉันเริ่มเหี่ยวอีกรอบ แต่พอฉันกำลังจะหันหลังกลับเค้าก็กวักมือบอกให้อยู่ก่อน แล้วเค้าก็ไปตามคนอื่น ๆ มาอีก 2 - 3 คน
"มีอะไรครับ" โอ้ พระเจ้า ในที่สุดก็มีคนพูดภาษาอังกฤษจนได้ ดีใจจนน้ำตาแทบไหล
"คือว่า จะกลับคินปุน แต่รถคันสุดท้ายมันออกไปแล้ว ไม่ทราบว่ามีทางอื่นหรือรถคันอื่นที่จะกลับลงไปข้างล่างที่คินปุนอีกมั้ยคะ หรือว่าแถว ๆ นี้มีที่พักมั้ยคะ แบบที่ไม่ต้องเดินกลับขึ้นไปด้านบน" ชายพม่า 3 - 4 คนเข้ามาช่วยกันฟังด้วยความสนใจ
"อ๋อ จะกลับคินปุนเหรอ เอ แต่รถมันไม่มีแล้วน่ะซิ..."
"ก็นั่นซิคะ.." ฉันจ๋อยอีกรอบ
"แต่ อืม ตามมา ๆ เดี๋ยวไปดูให้" ชายคนหนึ่งในนั้นเดินนำฉันออกไปที่ปากทางที่รถทุกคันจะต้องผ่านเพื่อลงไปคินปุน แล้วเค้าก็บอกให้ยืนรอก่อน เบิร์ตถามว่าเป็นไงบ้าง ฉันเองก็ยังไม่รู้ก็เลยต้องทำใจเย็นยืนรอเฉย ๆ เวลาผ่านไปราว 10 นาที รถบรรทุกที่ผ่านไปคันแล้วคันเล่าที่เราเฝ้าไปกระโดดเหย็ง ๆ ถามคนขับว่าไปคินปุนหรือเปล่า ทุกคนก็ส่ายหน้าลูกเดียว เพราะดูเหมือนเป็นรถบรรทุกคนงานที่ขึ้นมาทำงานด้านบนนี้มากกว่า

จนมาอีกคัน มีคนนั่งกันอยู่เต็มแล้ว ดูเหมือนเป็นรถคนงานเหมือนเดิม แต่ชายพม่าคนนั้นที่บอกให้ฉันเดิมตามมาตอนแรก เข้าไปคุยกับคนขับ 2 - 3 ประโยคแล้วหันมากวักมือเรียกเราสองคน ฉันแทบไม่เชื่อสายตา
"เอ้า ขึ้นเร็วๆๆ"
เค้าตะโกนเร่ง ฉันกับเบิร์ตจึงวิ่งกันฝุ่นตลบไปที่รถบรรทุก ซึ่งตอนนี้ไม่มีบันไดหรืออะไรให้ปีนทั้งนั้น ฉันไต่ขึ้นไปทางที่เหยียบฝั่งคนขับแล้วเอาขาเกี่ยวพาตัวเองขึ้นไปบนท้ายรถด้วยความว่องไวจนตัวเองยังงงว่าทำไปได้ยังไง และแม้ตอนนี้จะไม่มีที่นั่งแล้ว แต่ต้องยืนเกาะที่หลังกระจกติดที่นั่งคนขับ แต่ความรู้สึกโล่งอกนั้นช่วยได้มาก เราสองคนขอบคุณชายพม่าคนนั้นเป็นการใหญ่ เค้าก็ยิ้มให้พลางโบกมือว่า ไม่เป็นไร แล้วเดินจากไป

ฉันเอาผ้าขึ้นมาโพกหัวไม่ให้ผมปลิวเข้าหน้าเข้าตา รถก็ออกตัวไปช้า ๆ และเร่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ สองข้างทางตอนนี้มองเห็นแต่ต้นไม้หนาทึบเหมือนไปเที่ยวส่องสัตว์ตอนกลางคืน ลมที่ปะทะหน้ามาพร้อมอากาศเย็นจนหนาว ฉันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าจนคอตั้งบ่า ดาวบนฟ้านั้นเห็นได้ชัดเจนจนไม่น่าเชื่อ อยู่ในกรุงเทพฯ โอกาสที่จะเห็นดาวเป็นล้านแบบนี้มีน้อยกว่า0.5%..สองมือนั้นเกาะราวไว้แน่น สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด นึกถึงตอนที่ต้องกลับไปสูดมลพิษที่บ้านตัวเองแล้วก็ต้องรีบสูดเอาออกซิเจนที่นี่เข้าไปหลาย ๆ ปื้ด

อาหารเย็นแกล้มละครทีวี

ผ่านไปเกือบชั่วโมง แสงไฟสว่างไสวที่เห็นอยู่เบื้องหน้าไกล ๆ ทำให้เรารู้ว่าถึงที่หมายแล้ว ทุกคนขยับเตรียมสัมภาระเตรียมลง รถจอดสนิททุกคนจึงทยอยลงอย่างเงียบ ๆ เพราะคงจะเพลียกันทุกคน ยกนาฬิกาขึ้นดู ทุ่มกว่าแล้ว ได้เวลาต้องกินอะไรซักกันที เดินลากขากันมาจนถึงร้านอาหารหัวมุมถนน สาวหน้าแฉล้มก็ออกมาพร้อมเมนู พลางเชื้อเชิญให้เค้าไปนั่งในร้านของเธอก่อน เราจับจองที่นั่งในร้านแล้วสั่งอาหารง่าย ๆ อย่างข้าวผัดมากิน ที่ขาดไม่ได้คือ สตาร์โคล่า ตอนนี้ต้องการอย่างแรง เสียพลังงานไปเยอะ สาวเสิร์ฟรับออเดอร์แล้วผละไปยืนจ้องทีวีอยู่พักนึงก่อนจะหายไปหลังร้าน

เพิ่งสังเกตุว่ามีคนนั่งกันอยู่ในร้านเยอะพอสมควร ราวเกือบ 20 คนได้ ทุกคนมีความสนใจร่วมกันอย่างเดียวคือ "โทรทัศน์" ซึ่งตอนนี้กำลังออกอากาศละครเกาหลีอยู่ โดยที่ภาษานั้นไม่ได้พากย์เป็นภาษาพม่า แต่กลับเป็นภาษาเดิมคือเกาหลี แล้วมีซับไตเติ้บเป็นภาษาพม่าอยู่ด้านล่าง ส่วนใหญ่ที่นั่งดูอยู่ก็เป็นสาว ๆ ทั้งสาวน้อยสาวไม่น้อย แต่ก็มีชายชาวพม่านั่งแทรกอยู่บ้าง 3 - 4 คนดูกันอย่างตั้งอกตั้งใจมาก บางคนนั่งเอามือเท้าคาง บางคนทำธุระอื่นอยู่ก็ยืนค้างอยู่ท่านั้นขณะที่ตาจับจ้องทีวี ส่วนฉันนั้นชอบดูโฆษณาของพม่ามากกว่า เพราะดูแล้วน่ารักดี พระเอกโฆษณานั้นก็มีอยู่ไม่กี่คน ดูจนจำหน้าได้หมดแล้ว


ล้อมวงคุยกับคนพม่า

ข้าวผัดหมดแล้ว เช็คบิลเสร็จ ทั้งหมด 2400 จ๊าตสำหรับอาหารมื้อนี้ ก็เดินอย่างหมดแรงไปที่เกสต์เฮาส์ โผล่หน้าเข้าไป คนแรกที่เจอก็คือ เลเล ยืนยิ้มแฉ่งอยู่
"เฮลโล่วว เป็นไงมั่ง"
"เฮ้อ เหนื่อย..." ฉันทรุดตัวลงนั่งที่ชิงช้าหน้าบ้าน
"ฮ่าๆๆๆๆ" เลเลหัวเราะชอบใจ "พรุ่งนี้ไปอีกซี"
"โฮ่ย ไม่เอาแหล่ว" ระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่นั้นก็มีชายหนุ่มร่างท้วมคนนึงเดินออกมาจากบ้าน โดยที่นุ่งผ้าเช็ดตัว ไม่ใส่เสื้อ มีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอ ผมเปียกดูเหมือนว่าเพิ่งจะอาบน้ำมาหมาด ๆ เค้าหยุดคุยกับเลเล 3 - 4 ประโยค เลเลก็บุ้ยใบ้ทางฉัน ชายในผ้าเช็ดตัวจึงเลิกคิ้วหน้าแปลกใจเล็กน้อย
"คุณเป็นคนมอญเหรอ" เค้าถาม
"คุณย่าเป็นค่ะ"
"อ๋อออ" เค้าฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว
"ผมชื่อไทเกอร์"
"ไทเกอร์? ชื่อจริงอ่ะ?"
"ใคร ๆ ก็เรียกผมแบบนี้แหละ เท่มั้ยเล่า"
"ค่ะ เกอร์ก็เกอร์ค่ะ" ไทเกอร์นั่งลงคุยเป็นเรื่องเป็นราวในผ้าขนหนูนั่นแหละ รู้สึกแปลกตาเล็กน้อยเพราะธรรมดาจะเห็นแต่คนพม่านุ่งลงจี ไม่ค่อยเห็นนุ่งอย่างอื่น
"เมื่อก่อนผมเคยเป็นโกล์ฟุตบอลให้ทีมบอลพม่านะ" ฉันเลยตื่นเต้นว่าจริงเปล่าทีมชาติเลยมั้ย เค้าบอกว่าใช่ แต่ฉันไม่แน่ใจ เพราะการสื่อสารอาจทำให้เข้าใจกันคลาดเคลื่อน ไทเกอร์บอกว่าเล่นฟุตบอลอยู่พักใหญ่ แต่เงินที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนั้นน้อยเหลือเกิน(โอ้ ไม่ มีประเทศไหนสนใจการสนับสนุนกีฬาน้อยกว่าประเทศเราอีกหรือนี่ที่ต้องรอให้นักกีฬาไปได้เหรียญมาก่อนถึงจะเห็นหัว จากนั้นก็ลืมเลือนพวกเขาไปภายในเวลาอันรวดเร็วราวกับไม่เคยรู้จักกัน) เค้าบอกว่าเมืองไทยมีนักบอลเก่งๆ ส่วนตัวเค้านั้นชอบ "วัชรพงษ์ สมจิตร" มาก ฉันดูแล้วเค้าไม่ได้พูดเอาใจ เพราะหน้าตาท่าทางเค้าชื่นชมจริง ๆ

บอลไม่รุ่ง ไทเกอร์จึงออกมาแต่งเมียซะเลย หลังจากมีเมียแล้ว เมียก็เลี้ยงดีเป็นบ้า วัน ๆ เลยไม่ต้องทำอะไร กินเบียร์ ตอนนี้เลยพุงออกอย่างที่เห็น ฉันคุยไปเรื่อยเปื่อย ไทเกอร์ว่าเป็นเรื่องไม่ปรกติที่ผู้หญิงพม่าจะไปไหนมาไหนกับชายตะวันตก อย่างที่ฉันเที่ยวกับบั๊ดดี้ชาวเบลเยี่ยม ถ้าเป็นหญิงพม่าถือว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่ค่อยจะมีใครทำกัน เรียกว่าสังคมยังไม่เปิดใจรับเท่าไหร่ พูดไปมาพูดมาก็โยงถึงเรื่องอองซานซูจี ฉันว่าอองซานซูจีก็มีสามีเป็นชาวตะวันตกไม่ใช่เหรอ
"คุณรู้จักอองซานซูจีด้วยเหรอ?" ฉันบอกว่าแน่นอน ใครๆก็รู้จักเธอทั้งนั้นแหละ
"แหมดีใจจัง แต่คุณรู้ใช่มั้ยว่ารัฐบาลผมไม่ค่อยชอบเธอเท่าไหร่" ฉันพยักหน้าเข้าใจ ไทเกอร์พรั่งพรูความในใจออกมาเกี่ยวกับปัญหาภายในประเทศของตัวเอง แต่กล่าวแบบติดตลกไปเรื่อย ว่าแล้วก็ชูสองมือแหงนหน้าขึ้นฟ้าตะโกนออกไปว่า
"ประชาธิปไตยอยู่ที่ไหนโว้ยยยยย...!!" ยังไม่ทันสุดเสียง เลเลก็วิ่งหน้าตาเลิกลั่กเข้ามาเอามืออุดปากไทเกอร์ แถมพูดดุเบาๆว่าเดี๋ยวก็ได้เข้าไปนอนคุกกันหมดหรอกไอ้บ้า

ระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่ก็มีหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาแจมด้วย ถามไถ่ได้ความว่าเป็นนักศึกษามาจากยะไข่ เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่นั่น ภาษาอังกฤษของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา เข้าขั้นดีมาก สำเนียงออกจะอเมริกันเล็กน้อย ฉันลืมถามชื่อว่าชื่ออะไร แต่ก็สนุกดีที่มีคนมาคุยเยอะๆ คุยกันกำลังออกรส ปรากฎว่าไฟดับเสียเฉยๆ แล้วดับจริงๆ ทั้งแถบ มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด มีแต่แสงจันทร์จริงๆ ฟังดูโรแมนติก แต่ประทานโทษเถอะ ยุงจะหามเอา

"ฮ่าๆๆ เป็นไงละครับ มาตรฐานการไฟฟ้าประเทศผม" ไทเกอร์เหน็บแนมตามสไตล์ แล้วเดินไปดูเครื่องปั่นไฟ ซักพักไฟจึงมา

คุณลุงเจ้าของเกสต์เฮาส์เพิ่งกลับมาจากช้อปปิ้งสินค้าราคาถูก ประเภทของมือสองจากต่างประเทศที่เค้าไปได้มายังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน ของจำพวกหมวก กระเป๋า แว่นกันแดด ทำนองนั้น คุณลุงกลับมาพร้อมหมวกสีส้มแปร๊ด ชนิดคลุมทั้งหัวแล้วติดแป๊กใต้ค้าง ทำด้วยผ้าร่มบุนวม ดูแล้วเหมือนจะเอาไว้ใส่ไปปีนภูเขาหิมาลัย แต่คุณลุงออกจะกิ๊วก๊าวมากที่ได้มา มาถึงก็มาอวดให้ฉันดู ฉันพลิกไปพลิกมาบอกว่าไม่รู้ว่าใช้ยังไง คุณลุงจึงไม่รีรอเอาหมวกสวมหัวให้ฉันซะอย่างนั้นน่ะเป็นการสาธิต แล้วก็ชอบใจว่า แหม หมวกข้าที่มันเจ๋งจริงๆ ซื้อมา 250 จ๊าตเองนะเนี่ย

ฉันกับเบิร์ตขอตัวไปอาบน้ำ แล้วเดี๋ยวจะออกมาขอให้สอนภาษาพม่าให้ซักหน่อย ทำให้รู้ว่าคนพม่านั้นเรียกก๋วยเตี๋ยวว่า ข้าวซอย (ออกเสียงคล้าย ๆ ข้าวซวย) และเรียกข้าวว่า ทะเม เรายังเรียนนับเลขด้วยซึ่งเป็นประโยชน์มากในภายหลัง เพราะเอาไว้ถามราคา นับได้แค่ สิบ ยี่สิบ สามสิบ ..ร้อย สองร้อย พัน สองพัน สามพัน อะไรประมาณนี้ ก็ถามและต่อราคาได้แล้วโดยที่คนพม่าไม่รู้เลยว่าเราเป็นคนไทย บวกกับความ"เนียน" เวลาถามด้วย บางมีฟังไม่ออกแต่ต้องทำหน้าเฉยๆเอาไว้ แล้วก็ให้แบ๊งค์ใหญ่ไป รอเค้าทอนมา ครั้งหน้าค่อยจำไว้ว่าเท่าไหร่

อ้อ ก่อนหน้าที่เราจะขึ้นไปพระธาตุ เราจัดการถามเรื่องรถไปเมืองพะอันในวันพรุ่งนี้ไว้แล้วที่ท่ารถ เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะมีรถไปเมืองพะอันในเช้าวันรุ่งขึ้น การซื้อตั๋วรถไปไหนต่อไหน ถ้าเป็นไปได้ควรไปจัดการด้วยตัวเอง หรือหากมีพนักงานที่เกสต์เฮาส์ไปเป็นเพื่อนด้วย ก็จะช่วยได้มาก แต่เราควรไปกับเค้าอย่าปล่อยให้เค้าไปจัดการเอง ไม่ใช่เพราะเค้าจะหลอกหรืออะไร แต่บางทีสื่อสารกันไม่ดี เค้าอาจจะจองเวลาผิด หรือจองตั๋วไปอีกเมืองแทนที่จะเป็นเมืองที่เราจะไป ฯลฯ ทางที่ดี เราไปดูด้วยตัวเองดีกว่าจะได้ได้ตั๋วตรงที่เราต้องการ ไม่ผิดพลาด

เลเลนั้นช่วยได้เยอะ ทั้งไปสถานีรถด้วย และสอนภาษาพม่าแบบพื้นๆ ให้ เลเลอยู่ช่วยสอนด้วยความอดทนจนเกือบๆห้าทุ่ม จึงแยกย้ายกันไปนอน พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้ามืดเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองพะอัน




Create Date : 19 กรกฎาคม 2549
Last Update : 30 กันยายน 2549 12:14:20 น. 1 comments
Counter : 1374 Pageviews.

 
หัวเราะจนเมนต์ไม่ออกจ้ะผึ้ง


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 21 กรกฎาคม 2549 เวลา:21:16:51 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.