|
วันที่ 5 - ถนนสู่เมืองมัณฑะเลย์
อาทิตย์ 21 ธันวาคม 2546 ถนนสู่เมืองมัณฑะเลย์ เราตื่นแต่เช้าเพื่อเช็คเอาท์ รีเซ็ปชั่นที่โรงแรมก็ยังงงว่าได้ตั๋วรถไป มัณฑะเลย์ แล้วเหรอ ? ( ก็ตัวเองเป็นคนบอกเองว่าตั๋วหมด ตอนนี้คงไม่รู้จะทำหน้ายังไง) เก็บกระเป๋าเรียบร้อย
จ่ายค่าโรงแรมแล้วก็เดินแบบกระเป๋ามุ่งหน้าไปท่ารถ
“ อ้าว นั่นมันคู่สวีทชาวฝรั่งเศสนี่”
เบิร์ตชี้ไปที่ฝรั่งคู่หนึ่งที่แม้แต่เสื้อก็ยังใส่แบบเดียวกัน สีแดงเหมือนกัน อีกเช่นเคย กางเกงก็ยังเป็นแบบเดียวกัน สีเดียวกันอีกด้วย ! ฉันทึ่งในความสวีทเกินหน้าเกินตาแบบไม่สนใครของคู่นี้จริงๆ
ไปถึงท่ารถ ก็มีชาวบ้านชาวช่องเค้ามานั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว เราก็เอาตั๋วไปยื่นเพื่อยืนยันที่นั่ง เสร็จแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรได้แต่ลุก ๆ นั่ง ๆ หรือไม่ก็นั่งให้คนอื่นมองแล้วซุบซิบกันว่า เอ๊ะ ยัยนี่มันเป็นพม่าหรือเปล่าวะ แถมยังไม่มีที่ว่างพอให้ฉันนั่งเท่าไหร่ ก็เล่นจับจองกันหมดแล้ว (ขนาดยังไม่ทันขึ้นรถนะ) ฉันเลยต้องลี้ไปนั่งข้างถังขยะ !
เมื่อวานดีที่ไม่ตัดสินใจ เอาที่นั่งเสริม เพราะเพิ่งจะเห็นตอนนี้เองว่าที่นั่งเสริมก็คือ เก้าอี้พลาสติกแบบที่เรานั่งตามร้านก๋วยเตี๋ยวทั่ว ๆ ไป วางซ้อนกันอยู่หลายตัว ซักพักก็มีหมาวิ่งมาฉี่รถขาเก้าอี้ ! ฉันเห็นแล้วก็ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ พลางนึกในใจว่า
“ ใครเอามือไปจับขาเก้าอี้ตรงนั้นละแกเอ๊ยยย... ”
ถูกต้อน (เอ๊ะ ฟังดูเหมือนหมูยังไงก็ไม่รู้นะ) ขึ้นไปนั่งบนรถแล้วก็ต้องพบว่า เข่าชนกับเบาะด้านหน้าพอดิบ พอดี กระดิกกระเดี้ยแทบไม่ได้ นึกในใจว่า “ ซวยแล้วตู” แต่ผีถึงป่าช้าแล้ว ยังไงก็ต้องเลยตามเลย รถบัสนี่ถือว่าไม่เล็กนัก (ใหญ่กว่ามินิบัสบ้านเรา) แต่ก็ไม่ใหญ่ หนุ่มพม่าเริ่มปีนกันโสร่งปลิวขึ้นไปนั่งบนหลังคากันให้เพียบแล้ว (ส่วนมากจะเห็นพระด้วยนะ ที่นี่เค้าไม่ถือ) ผู้หญิงนั้นห้ามปีนขึ้นไปเชียว เพราะเค้าถือเป็นเป็นความซวยของผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านล่าง ที่ต้องมานั่งใต้ผ้าถุง
รูป : ระหว่างทาง เดะๆ แถว RCA บ้านเรา เห็นบุหรี่ผู้หญิงพม่าแล้วต้องอาย เพราะจะสูบทั้งทีมันต้องใหญ่แบบนี้สิฟระ!
รถค่อย ๆ กระดืบออกไปช้า ๆ เหลียวไปมองมาภายในรถ ปรากฎว่า ที่นั่งเสริมที่ตั้งอยู่ตรงกลางบริเวณทางเดินนั้นเต็มแล้ว ! แต่เบาะนิ่มแถวใน ๆ ยังว่างอยู่อีกเกือบครึ่งคันรถ ทำไมหว่า.... มาเข้าใจที่หลังว่า เค้ามารับคนเพิ่มที่ตลาด (ถ้าเดินก็ประมาณ 10 – 15 นาที จากท่ารถบัส ซึ่งอยู่บริเวณหมู่บ้านยองอู) ถึงตรงนี้คนก็อัดแน่นจนแทบปลิ้นอยู่แล้ว ถัดมาอีกไม่กี่เมตร ก็มีฝรั่งขึ้นมาอีก 2 คน ต้องนั่งเก้าอี้เสริมน่ะซี น่าสงสารมากหน้าตางี้ดูไม่ค่อยจะแฮปปี้เท่าไหร่ (ก็แน่ล่ะ เห็นเก้าอี้ก็เมื่อยแล้ว) แต่ก็ต้องจำทนนั่งไป แล้วรถบัสสาย มัณฑะเล - ยองอู - ตองจี ก็เริ่มการเดินทางออกจากเมืองพุกามแล้วนะเคอะ ขอให้ผู้โดยสารทุกท่านเก็บชายโสร่งให้ดี ปิ๊งป่อง..
แต่คนขับรถที่ต้องคอยดูผู้โดยสารที่ยืนรอรถอยู่ข้างทางและจอดให้ทุกคนขึ้น ไม่ว่าจะอัดปลิ้นแค่ไหน ไทย - พม่า ก็ยังรื่นเริงอยู่ (ในขณะนั้น) มีอยู่จุดหนึ่งออกมาจากตลาดได้แค่ไม่กี่นาที นี่เลย มายืนรอรถกันทั้งครอบครัว แถมชะลง ชะลอม กระเป๋า เป้ ย่าม ลังกระดาษบรรจุข้าวของ เพียบปรี่ กว่าครอบครัวนี้จะขึ้นรถได้ ก็กินเวลาไปเกือบ 10 นาทีแน่ะ ยังไม่นับเวลาที่ต้องร่ำลากันอีก คนขับก็ใจเย๊น ใจเย็นนะ... ฉันเริ่มเห็นความเหมือนในความต่างของคนไทยกับพม่า คือไม่ว่าจะเดินทางทุลักทุเลแค่ไหน ส่วนใหญ่ก็ยังฮาเฮกันได้อยู่ ไม่มีใครจะออกอาการหัวเสียที่ต้องรอคนอื่น ๆ แต่อย่างใด ถ้าคนที่ขึ้นมาใหม่มีของเยอะผู้โดยสารคนอื่น ๆ ก็จะลงไปช่วยกันขนอีกต่างหาก เป็นสเน่ห์ที่เห็นได้ไม่บ่อยนักในเหล่าประเทศที่เรียกว่าเจริญแล้วทางวัตถุ
อย่างที่เกริ่นไว้ว่าที่พุกามนั้น ค่อนข้างจะแห้งแล้ง แต่ระหว่างทางจากพุกาม ไป มัณฑะเลย์ นี่ซิแห้งแล้งหนักเข้าไปอีก เรียกว่าหากคิดจะชมวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างรถแล้วล่ะก็ แทบไม่มีอะไรให้ดู
รูป : วิวข้างทางระหว่างทางไปมัณฑะเลย์
นอกจากผืนดินสีน้ำตาลที่ดูทั้งร้อนทั้งแห้ง ถนนราวกับจะพาดผ่านผืนดินที่ไม่เคยมีใครอยู่อาศัย แต่เราก็ต้องคิดผิด เพราะเมื่อเดินทางกันมาได้ราว 3 ชั่วโมงเศษ รถก็จอดให้ลงไป
ทานข้าวทานปลากันซักหน่อย ร้านอาหารหลังคามุงจากพอให้คนซัก 30-40 คนพักหลบร้อนได้ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเนินเขาที่เป็นดินทรายเวิ้งว้างสุดลูกลูกตา (ที่ดูเหมือนจะไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่นั่นแหละ) รอบ ๆ นั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากเรือนมุงหลังคาทำขึ้นง่าย ๆ และห้องน้ำยกพื้นสูง ที่ถัดออกไปอีกราว ๆ 10 – 20 เมตร แล้ว ร้านนี้มันมายังไงเนี่ย
คนพม่านั้น ลงจากรถกันได้ ก็ไม่รีรอให้เสียเวลา ข้าวปลาอาหารมาวางตรงหน้าภายใน 1 นาที ราวกับว่ามองตาก็รู้ใจ พยักหน้าสองทีก็รู้แล้วว่าจะกินอะไร เป็นอาหารพม่าแบบง่าย ๆ เหมือนเดิม คือ ข้าว ผักจิ้มต่าง ๆ กับ กับข้าวอีก 2 – 3 อย่าง บางคนก็ทำใส่ปิ่นโตกันมาเอง ฉันมองไปรอบ ๆ ไม่รู้จะถามใครดี หันไปดูฝรั่ง 2 คน ก็ไม่ยอมกินข้าวแต่กลับไปนั่งกินขนมห่อ (ขนมหลอกเด็กน่ะ) อยู่ที่เพิงขายขนม บุหรี่ น้ำอัดลม ที่อยู่หน้าส้วม ! นั่งอยู่นานจนเรียกเจ๊เจ้าของร้านซึ่งใส่ทองเส้นโตเท่าหนวดกุ้งมังกรมาได้สำเร็จ มาถึงก็คุยกันไม่รู้เรื่องอีก เลยต้องอาศัยเอามือชี้ ๆ ไปตามโต๊ะเพื่อนบ้าน ขอลอกรายการหน่อยเถอะนะ ซักพักอาหารก็มาเป็นอะไรคล้าย ๆ น้ำแกงใส่ข้าวโพด สีเขียวตุ่น ๆ ผักดอง
รูป : รับแชมพูไปคล้องคอเล่นซักแผงมั้ยคะ
กับอะไรต่อมิอะไรที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ากินอะไรเข้าไปบ้างแล้ว แต่ดีกว่าจะต้องไปนั่งท้องกิ่วบนรถอีกหลายชั่วโมง แล้วจริง ๆ รสชาติก็ไม่เลวหันไปคุยเป็นภาษาไทยกับเบิร์ตซักพัก ก็มีเสียงมาจากหนุ่มน้อยในเสื้อแจ็คเก็ตลายพรางทหาร ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเรามาได้พักใหญ่แล้ว
" มาจากกรุงเทพฯ หรือครับ" เขาพูดเป็นภาษาไทยค่อนข้างชัดเจน " อ้าว...ใช่ค่ะ เป็นคนไทยเหรอคะ เมื้อกี้เห็นพูดภาษาพม่า" " เป็นไทยใหญ่น่ะครับ" " อ๋อ แล้วมาทำอะไรคะเนี่ย เห็นมีเพื่อนเยอะแยะ" " มาเรียน ภาษาอังกฤษน่ะ"
ฉันได้แต่คิดในใจ...เรียนภาษาอังกฤษที่เมืองเมียกถิลา ที่พม่าเนี่ยนะ... หรือเราเข้าใจอะไรผิด หรือน้องเค้าจะมาสอนภาษาอังกฤษล่ะมั้ง (ตอนแรกเค้าพูดภาษาอังกฤษก่อน ก็เลยนึกว่าเป็นนักศึกษาพม่าซะอีก) เราคุยกันเรื่อยเปื่อยซักพัก น้องเค้าก็ขอตัวไปร่วมวงกับเพื่อน
“ ไปเข้าส้วมดีกว่า” ว่าแล้วฉันก็ตรงไปที่ส้วม คนโล่งแล้วตอนนี้
ส้วมก็เหมือนที่อื่น ๆ ตามเมืองเล็ก ๆ หรือ ตามรายทางตลอดที่เดินทางในพม่า คือ ยกพื้นสูงประมาณระดับเข่า , มีร่องตรงกลาง ต่อท่อ PVC ลงดิน จบ... อ้าว เฮ้ย แล้วนั่นมันลูกกะตาใครละน่ะ ด้านนอกน่ะ ดีที่เสร็จธุระแล้วนะเนี่ย เปิดประตูออกมาก็เจอผู้หญิงวัยกลางคน 2 – 3 คน แต่งตัวดีแบบสาวพม่าผู้มีอันจะกินกำลังพยายามเปิดประตูห้องน้ำที่ฉันใช้อยู่ แทนที่ฉันจะกรี๊ด เธอกลับกรี๊ดซะเอง “ โอ๊ว ไอแอมซอรี่ ๆ แฮ่ะๆๆ” เธอหัวเราะเขิน ๆ ทำเอาฉันขำไปด้วย
ข้าวมื้อนั้น เราแบ่งกันกินอย่างเมามันและมูมมาม (ท่ามกลางสายตาคนพม่าที่มองอย่างเวทนา คิดว่าไอ้ฝรั่ง กับคนไทยคู่นี้ มันคงไม่มีเงินซื้อข้าว 2 จาน เลยต้องแบ่งกันกินอย่างน่าสงสาร) สั่งเด็กมาเก็บตังค์ ทั้งหมด 800 จ๊าต
กลับขึ้นมาบนรถได้ก็หามุมที่จะนอนหลับให้นานที่สุด เพราะสุดแสนจะทรมานกับเบาะที่นั่งแคบ ทั้งคนที่แน่นแทบทะลัก เข้าที่เข้าทางแล้วก็รอรถออกอย่างเดียว แต่รอหลายนาทีแล้วก็ไม่ออกซักที คนเริ่มพึมพัม
ปรากฎว่าหลายๆคนลงไปยืนมุงเจ้าหนุ่มไทยใหญ่คนที่ฉันเพิ่งคุยด้วยตอนกินข้าว ซึ่งจากนั้นเขาก็ผละไปนั่งกับกลุ่มเพื่อนหนุ่มนั่งคอตก ก้มลงมองสะดือตัวเองเล่นซะยังงั้น อกหักหรือเปล่าวะไอ้น้องคนนี้ หรือว่าไม่สบาย มีเพื่อนคนนึงของเค้านั่นแหละ เอามือไปจับที่บ่าแล้วเขย่า น้องแกก็หงายผลึ่ง ลงไปนอนยิ้มเผล่ !
จริง ๆ แล้วเป็นเหตุผลเบสิคมาก ๆ... คือ เมา ตะกี้ยังเห็นดี ๆ อยู่เลย เลยจบลงที่เพื่อน ๆ ต้องแบกเจ้าหนุ่มขึ้นมานอนยิ้มต่อบนรถอย่างทุลักทุเล เหตุการณ์ทั้งหมดได้รับความสนใจจากคนบนรถอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่มีใครบ่นเรื่องรถออกช้า เพราะมีอะไรแบบนี้ดูก็สนุกไปอีกแบบ เป็นความบันเทิงเล็ก ๆ น้อย ๆ
รูป : บนรถไปมัณฑะเลย์
มัณฑะเลย์ ถึงจนได้
พอถึงเมืองเมียกถิลาที่ตาลุงคนขายตั๋วบอกว่า
“ โอ๊ย คนลงเย๊อออ...อ...ะ.ะ.. ! กว่าค่อนรถเลย ไม่ต้องห่วง !” ก็พิสูจน์แล้วว่าเชื่อไม่ได้จริง ๆ เพราะมีคนลงเยอะก็จริง แต่ก็ไม่ถึงครึ่งของที่นั่งมาบนรถ แถมยังรับผู้โดยสารใหม่ขึ้นมาอีกเพียบ สรุปแล้วคือไม่ได้มีความแตกต่างเลย แต่ฝรั่ง 2 คนนั่นก็ไวเป็นลิง พอคนที่นั่งเบาะหน้าสุดลุกออกไป เจ้า 2 คนนี่ก็กระโดดแผล็ว เข้าไปจับจองที่นั่งอย่างว่องไว แบบคนพม่ายังอาย
เมียกถิลา นั้นเป็นเมืองเล็ก ๆ มีแม่น้ำไหลผ่าน ที่น่ารักคือ ทางฝั่งซ้ายมือตอนที่ฉันมองออกไปดูบ้านช่องในเมือง ก็เห็นว่า มีคลองขุดเล็ก ๆ ( จริง ๆ ไม่ใหญ่ขนาดเรียกคลองได้ เอาเป็นว่าเหมือนร่องน้ำมากกว่า)เป็นแนวยาวผ่านหน้าบ้านทุกหลัง ดังนั้น เค้าจึงทำสะพานไม้เล็ก ๆ ไว้ข้ามเจ้าร่องน้ำนี่ ทำให้เห็นสะพานจิ๋ว ๆ นี่ค่อนข้างเยอะ บางมุมก็มีศาลาไม้ มานั่งเล่นกันอีกต่างหากดูน่ารักจุ๋มจิ๋ม
รูป : โฆษณาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยี่ห้อ.. อ่านไม่ออก
พระอาทิตย์กำลังตกแล้ว เรายังคงนั่งเมื่อยอยู่ในรถมินิบัส รถผ่านหมู่บ้านที่มีถนนอย่างดีตัดผ่าน ไอ้เราก็นึกว่าถึงแล้ว เพราะเห็นป้ายอะไร มัณฑะเลย์ ๆ อยู่แว๊บ ๆ เลยลุกขึ้นมานั่งแบบเตรียมตัวลงเต็มที่ แต่ที่ไหนได้ต้องนั่งไปอีกนานโกฏปี จนค่ำนู่นแน่ะ รถถึงได้เข้าเขตเมืองมัณฑะเลย์ซักที แต่ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา อ้าว นี่มัน 6 โมงครึ่งเองนี่ แต่มืดยังกับ 3 ทุ่ม
ระหว่างทางมา แวะลงมากินข้าวครั้งหนึ่ง กับลงมาตรวจพาสสปอร์ตหนึ่งครั้งที่ป้อมท่ามกลางทะเลทรายที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากป้อมเล็ก ๆ กับเพิงขายขนม แดดร้อนจนแทบทอดไข่บนถนนได้ นอกนั้นก็ไม่ได้ลงจากรถเลย เพราะฉะนั้น พอลงจากรถมาได้ ขาก็แทบพับเพราะไม่ได้ขยับซะนานฉันลงมาเอากระเป๋าเป้ขึ้นหลังได้ เบิร์ตก็ถูกรุมล้อมด้วยบรรดาแท๊กซี่ทั้งหลาย จนแทบมองไม่เห็นตัว ที่แน่ ๆ คือยังไม่รู้เลยว่า จะไปไหนดี ดูนาฬิกา ที่พักก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ ตอนนั้นเวลา 6 โมงกว่าเกือบจะทุ่มแล้ว แท๊กซี่เสนอโรงแรม “ NYLON” ( ชื่อไม่น่าเป็นโรงแรมเล้ย) เราเคยผ่าน ๆ ตาชื่อโรงแรมนี้มาบ้างใน เวบ Passplanet ถือว่าใช้ได้ และห้องราคาไม่แพงนัก (6 – 8 ดอลล่าร์) สำหรับห้องราคาประหยัด จึงตกลงขึ้นรถกระบะ (ที่เค้าเอามาทำเป็นแท๊กซี่) แต่กว่าจะออกรถได้ก็ต่อราคาอยู่นาน เพราะเค้าเรียกถึงคนละ 1000 จ๊าต พอดีมีคนเยอรมันมาสมทบด้วยอีก 2 คน เลยถือว่าแชร์กัน ลดลงไป 500 จ๊าต (ก็ยังดีวะ) สรุปว่าไปส่งถึงหน้าโรงแรม 2 คน จ่ายไป 1500 จ๊าต
“ เดี๋ยวผมลงไปดูห้องให้นะ ว่ามีห้องว่างไหม พวกคุณรอที่นี่แหละ” คนขับหันมาบอก แล้วเดินขึ้นบันไดเข้าไปในโรงแรม ปล่อยให้เรานั่งมองหน้ากันตาปริบ ๆ “ เฮ้ย เดี๋ยวผมเข้าไปดูด้วยดีกว่า ตุกติกอะไรหรือเปล่าวะ” เบิร์ตเดินตามเข้าไปติด ๆ ฉันร้องขอไปด้วยคน แต่เบิร์ตหันมาตะโกนว่า “ เธออยู่เฝ้ากระเป๋าเซ่ะ !” ฉันเลยต้องหดตัวเข้ามานั่งให้ยุงตอมอยู่ในรถเหมือนเดิมกับเด็กรถชาวพม่าอีก 2 คน รถคันนึงมีตั้ง 3 คน คือคนขับ กับเด็กรถอีก 2 อะไรจะขนาดนั้น ทำงานเป็นทีม แล้วเบิร์ตก็ออกมาพร้อมกับคำตอบ
“ 6 ดอลล่าร์ต่อคืน ห้องน้ำในตัว มีแอร์ด้วย” “ จริงดิ ไม่เลวนะ” “ อือ แต่ว่าอยู่ชั้นบนสุดเลยเนี่ยซิ” ฉันเงยหน้าขึ้นไปดู อู้หู... สูงประมาณ 7 – 8 ชั้นได้มั้ง “ แล้วห้องก็เล็กมากด้วยแหละ” ฉันลังเลว่าจะเอาดีไม่เอาดี
แต่นี่ก็มืดแล้ว จะไปหาโรงแรมอื่นเวลานี้คงจะลำบากเหมือนกัน เลยตกลงเอากระเป๋าลงจากรถ เช็คอินเรียบร้อย ส่วนห้องนั้นเล็กจริง ๆ เตียง 1 เตียง ก็เต็มห้องแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นมัสยิดอยู่ใกล้แค่เอื้อม ก็รู้แล้วว่าตอนเช้ามืดจะต้องเจอกับอะไร ยิ่งเห็นลำโพงขนาดโคตรใหญ่ รอบทิศทางแล้วยิ่งต้องทำใจ แต่เราเป็นคนนอนง่านตื่นยากอยู่แล้วคงไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยจากหน้าต่างห้องนอน เราก็สามารถเห็นพระอาทิตย์ตกดินได้ชัดมาก ๆ ห้องน้ำนั้นก็ใช้ได้ เสียแต่ว่า “ หนาว” ! ตอนเช้า ๆ เข้าไปต้องใส่รองเท้าเข้าไปด้วยเลย เพราะพื้นมันเย็น เนื่องจากมีช่องเปิดไว้ หรือจะเรียกให้ถูกต้องบอกว่ามีช่องทุบไว้จะใกล้เคียงกว่า เพราะเป็นกำแพงที่ถูกทุบออกเป็นช่องเท่าบานหน้าต่างเล็กๆไว้ให้แสงเข้า เรียกว่า อาบน้ำไปชมเมืองมัณฑะเลย์ไป โอ...หรูหราอะไรอย่างนี้ ชมวิวผ่านช่องกำแพงแตกๆ แต่มองออกไปเช้า ๆ จากห้องน้ำนี่ เมืองดูบรรยากาศดีจริงๆ นะ ไม่ได้ประชด
ทั้งห้องมีโต๊ะพับราคาถูกหนึ่งตัว กับที่แขวนผ้าหนึ่งราว ที่พอขยับมันหน่อยเดียว ราวก็หล่นลงมาดัง “ แคร๊ง” ลั่นห้อง เอ่อ...เอาวะ ที่พักตกแล้วคนละ 120 บาท จะเอาอะไรมาก
มื้อแรกในเมืองมัณฑะเลย์
หิวจนไส้แทบขาด เลยออกมาหาร้านอาหารกัน เท่า ๆ ที่เคยอ่านข้อมูลมาจากบนเว็บ เห็นว่ามีร้านชื่อ MANN ( ฉันแอบเรียกว่าร้านพี่มั่น) อยู่หัวมุมนี่เอง ส่วนตรงข้ามเป็นร้านไอศครีมชื่อเดียวกับโรงแรมที่เราพัก คือชื่อ ไอศครีม NYLON ( ฟังชื่อแล้วไม่นึกอยากกิน ไอศครีมอะไรวะชื่อ ไนล่อน)
ร้านพี่มั่นนั้น คนเยอะสุด ๆ ทั้งพม่า ทั้งฝรั่ง บรรยากาศเหมือนโรงเตี๊ยมในหนังจีนกำลังภายใน เพียงแต่ไม่มีเสี่ยวเอ้อ แล้วคนที่มากินก็ไม่ได้เป็นจอมยุทธมากินเหล้าเคล้านารี แต่เป็นหนุ่มนุ่งโสร่งและกินหมากแทน โต๊ะเต็มทุกโต๊ะ แต่เก้าอี้ยังพอมีว่าง ฉันจึงเดินไปโต๊ะกลางร้าน ขอเค้านั่งด้วย ชายพม่าที่กำลังสูบบุหรี่อย่างสบายอารมณ์ ก็รีบเชื้อเชิญให้นั่งโต๊ะเดียวกันที่ยังมีเก้าอี้ว่างอยู่ สามสี่ตัว แต่เค้าก็ทำหน้างง ๆ ตอนฉันถามเป็นภาษาอังกฤษ เพราะเขาคงคิดว่าฉันเป็นคนพม่าอีกนั่นแหละ เด็กเอาเมนูมาให้เลือกรายการอาหาร เลยสั่งไก่ผัดเปรี้ยวหวานไป 1 จาน กับข้าวสวย และขาดไม่ได้ คือ Star Cola อะฮ้า ! เบิร์ตนั้นสั่งไทยซุปอีกแล้ว กินมาหลายชาม ยังบอกไม่ได้เลยว่ามันไทยยังไง... (เหมือนลอดช่องสิงคโปร์น่ะ ไปถามคนสิงคโปร์เขาไม่รู้จักหรอก เพราะมันตั้งชื่อตามโรงหนัง “ สิงคโปร์” ในบ้านเรา หาใช่มาจากสิงคโปร์ไม่ และคงเป็นเหตุผลเดียวกับ อินเดียไม่มีกล้วยแขก ...และไทยซุปในพม่า ที่คนไทยไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต)
รูป : ร้าน Mann ร้านอร่อยราคาประหยัดในเมืองมัณฑะเลย์
“ คุณมาจากไหนกันครับ” ชายพม่าวัยกลางคนที่นั่งตรงข้ามเราชวนคุย “ ผมมาจากเบลเยี่ยม ส่วนคนนี้ประเทศไทย” “ อ๊อ..อ..อ.. เพิ่งมาถึงกันล่ะซิครับเนี่ย” “ ครับ หิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย” “ ว่าแต่ พรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนกันหรือครับ” “ เอ่อ...” เบิร์ตหันมามองหน้าอย่างของความเห็น ไม่เลย ไม่ต้องมามอง ไม่เคยมีแผนอะไรเลย อย่านะ อย่าถามๆ “ ยังไม่ได้ตกลงวางแผนอะไรเลยครับ ว่าจะลองดูคืนนี้ว่าพรุ่งนี้จะไปไหน” " อ๋อ... ว่าแต่นะครับ ผมช่วยคุณได้นะ” โอ มุขนี้มาอีกแล้ว พระเจ้า... “ ผมมีริกชอว์(สามล้อถีบ) อยู่ จอดอยู่หน้าโรงแรมนี่แหละ แล้วผมพาเที่ยวได้ ธรรมดาเที่ยวดูทั่ว ๆ ในมัณฑะเลย์ คุณต้องจ่ายค่าตั๋วนู่นนี่เต็มไปหมดใช่ม้า... แต่ผมทำให้คุณซื้อตั๋วได้ถูกกว่าครึ่งหนึ่งเลยนะ !”
ฉันมองหน้าเขาแล้วยิ้ม ๆ “ ทำยังไงเหรอคะ” เขาก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ยักคิ้วแล้วบอกว่า “ ความลับ ๆ”
แล้วก็ขอตัวไปก่อนเพราะเขากินข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็เลยนั่งมองรอบ ๆ ร้านไป กินข้าวไป รสชาติอาหารที่นี่ถือว่าอร่อยทีเดียว ที่สำคัญราคาไม่แพง (ตกจานละ 700 – 800 จ๊าตเอง ในขณะที่ร้านอาหารทั่วไป ราคาที่ขายนักท่องเที่ยวจะอยู่ประมาณ 1,000 – 1,500 จ๊าต ขึ้นไปต่อจานอย่างที่บอก)
ฝรั่งเริ่มเยอะแล้ว ส่วนมากมากันเป็นกลุ่ม ผู้หญิงผมบลอนด์คนนึงแต่งตัวเหมือนจะไปล่าสัตว์ในป่าอเมซอน เป็นชุดซาฟารีสีกากีเข้าชุดกัน (ดีนะไม่เอาหมวกกะโล่ มาด้วย) กางเกงนี่สั้นไปถึงไหน ๆ นั่งเอานิ้วม้วนผมเล่น เวลาเธอเดินก็ต้องให้แน่ใจว่าเป็นจุดสนใจคนทั้งร้านหรือยัง ถ้ามีเก้าอี้ขวางทาง แทนที่เธอจะยกเก้าอี้หลบไปข้างนึง ก็เปล่า.. แต่กลับยกขาสูง ๆ แว้บบบบบ..ข้ามเก้าอี้ไปซะยังงั้น แล้วไปนั่งเอานิ้วเล่นผมต่อที่โต๊ะ
“ โอ้ เวรของกรรม เธอดูเหมือน......เลยเนอะ มีเล่นผมด้วยนะ กางเกงนี่ไม่รู้จะสั้นไปไหน แย่ว่ะ” เบิร์ตพูดลอย ๆ ฉันได้แต่หัวเราะ แสดงว่าเราไม่ได้อคติ คิดไปคนเดียวนา หรือไม่ก็แสดงว่าเราปากหมาทั้งคู่
มีฝรั่งอีก 2 คน มานั่งโต๊ะเดียวกับเรา พยายามเรียกบ๋อยแต่บ๋อยมองไม่เห็น พอดีเมนูยังวางอยู่บนโต๊ะ เลยหยิบมาดูไปพลาง ๆ ซักพักก็หันมาถามฉัน “ คุณรู้หรือเปล่าว่า ผมจะกินอะไรดีน่ะ ?” อ้าว.. “ ไม่รู้ซิ แต่ฉันเพิ่งกินไก่เปรี้ยวหวานไปน่ะ อร่อยดีนะ” “ โอเค งั้นผมขอลอกหน่อยละกัน อิอิ”
สนใจจ้างสามล้อ โปรดอีเมล์มานะครับ
เราสั่งเช็คบิล ทั้งหมด 2200 จ๊าต อิ่มจนท้องแทบแตก กำลังจะลุกออกจากร้าน ชายพม่าคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับนามบัตร “ นี่นามบัตรผม ชื่อ มยูมยู” ( เวลาออกเสียงจะฟังเหมือน มยิวมยิว หรือ มิวมิว มากกว่า) ฉันรับนามบัตรมาก้มลงอ่าน ข้อความเขียนเป็นภาษาอังกฤษแปลออกมาได้ดังนี้
MYU MYU คนขับริกชอว์ วิน ริกชอว์ หัวมุมถนนที่ 25 ตัดกับถนนที่ 83 หน้าโรงแรมไนลอน มัณฑะเลย์ เมียนมาร์
แถมมีอีเมล์แอดเดรสด้วย ! ลองคิดดูซิ ถ้ามอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าปากซอยบ้านเรามีนามบัตร คงจะออกมาประมาณนี้ " สมศักดิ์(ชื่อเล่น อ๊อด แม่เรียกน้องอ๊อด เมียเรียกพี่อ๊อดเพื่อนเรียกเชี่ยอ๊อด) คนขี่มอ ' ไซค์รับจ้าง ประจำอยู่วินมอ ' ไซค์หน้าเซเว่น วัดดาวฯ กรุงเทพฯ ประเทศไทย.. ชะเอิงเอย อีเมล์ : สมศักดิ์ ณ เซเว่น @ วินมอไซค์ ดอต คอม"
มันจะฮามั้ยล่ะ! นามบัตรอะไรช่าง local ได้ขนาดนี้ เรา 2 คนอึ้ง ๆ แต่ก็รับไว้ “ ผมไปล่ะนะ ถ้ามีอะไรเรียกใช้ เจอกันที่วิน” พอมัวมัวลับหลังไปแล้ว เบิร์ตหันมามองหน้าฉันขำ ๆ “ คนขับสามล้อแต่ใช้อีเมล์รับงานนี่นะ?” “ ทำไมมันผิดเหรอ” ฉันเองจริง ๆ ก็เห็นด้วยว่ามันแปลก แต่แกล้งพูดประชด “ บ้า.. ใครจะไปจ้างสามล้อผ่านอีเมล์วะ อุ๊ย.. วันนี้ต้องจ้างสามล้อ ต้องอีเมล์ไปบอกเค้าซะหน่อย” ยังไม่เลิกกระแนะกระแหน " เผลอๆอาจจะมีจองคิวผ่านระบบออนไลน์" ฉันเสริม " ชำระเงินผ่านเครดิตการ์ดได้" " หรือมีบัตรสะสมแต้ม ทุก ๆ 500 เมตรได้ 1 พอยท์" " พอๆๆ ไปกันใหญ่แล้ว วู้!"
แลกเงินสยอง
เราเดินกลับโรงแรม ระหว่างทางมีลุงขี่จักรยานตีคู่มา ถามว่าจะแลกเงินหรือเปล่า
“ ให้เท่าไหร่ลุง” เบิร์ตถามกลับไป แต่ยังไม่หยุดเดิน ลุงแกก็ขี่จักรยานตามมาไม่ลดละ “840” เบิร์ตหันมามองหน้าแล้วบอกว่า เออ ไม่เลวนะ “ ไม่ใช่ 860 เหรอลุง ?” “ แบ๊งค์ใหญ่เปล่าล่ะ ถ้าแบ๊งค์ร้อยก็อาจจะได้” โห… แบ๊งค์ 100 เลยเหรอ มากไป มากไป “ แบ๊งค์ 50 ดอลล่าร์น่ะ” ฉันบอก
“ งั้นก็ได้ที่ดอลล่าร์ละ 840” ยังไงเราก็ต้องแลกเงินอยู่แล้ว เพราะเงินจ๊าตเหลือน้อยเต็มที เพราะเราแลกทีละไม่มาก ครั้งละไม่เกิน 20 – 50 ดอลล่าร์เราจึงเดินตามลุงแกไปที่ตรอกมืด ๆ ที่มีรถเบนซ์ใหม่เอี่ยมจอดอยู่หน้าบ้าน ตัวบ้านนั้นเป็นตึกแถวสูง 5 ชั้น ลุงแกตะโกนคุยกับเจ้าของบ้านที่อยู่ชั้น 3 บอกว่าเดี๋ยวจะลงไปแล้ว รอแป๊บนึง
“ นี่ลุง ทำไมรวยจังอ่ะ บ้านเนี้ย” ฉันหันไปถาม “ เค้าไปทำงานซาอุฯ มาน่ะ”
“ อ้อ… เหรอ” ไม่ใช่เพราะแลกเงินดอลล่าร์นักท่องเที่ยวเหรอ ฮึ ฮึ… รอนานโคตร กว่าจะได้แลกเงิน ลุงให้เราเดินเข้าไปในบ้านซึ่งชั้นล่างเป็นบันไดทางขึ้นแคบ ๆ เหมือนตามตึกแถวที่เราเห็นย่านวงเวียน 22 แถวเยาวราช คนที่ลงมาไม่ใช่ชายเจ้าของบ้าน แต่เป็นภรรยาและญาติอีกสี่คน ! ทั้งหมดยืนอยู่บนบันได มีนักท่องเที่ยวหน้าตาโง่ ๆ ของคนยืนอยู่ด้านล่าง อะไรกัน กะอีแค่แลกเงิน 50 ดอลล่าร์ ต้องแห่กันลงมาขนาดนี้เลยเหรอเนี่ยแลกเงินเสร็จรีบกลับ ไม่อยู่ต่อให้สยอง ต้องรีบเผ่น ลุงแกยังอุตส่าห์งัดเอาโบรชัวร์ขายของออกมาให้ดูอีก
“ นี่ ๆ .. มีทั้งของเก่า ทับทิม อัญมณี ฯลฯ” “ ลุง .. หนูมี 50 ดอลล่าร์เองเนี่ย คงซื้อของแพง ๆ พวกนั้นไม่ได้หรอก” “ แวะไปดูหน่อยน่า นะ นะ” “ เดี๋ยวอีเมล์ไปบอกนะลุง” เรากลับมาถึงโรงแรมกว่าจะหอบสังขาร ขึ้นมาชั้นบนสุดได้ ก็แทบตายอยู่กลางทาง ป.ล. วันนี้ทั้งวันใช้เงินไปไม่ถึง 10 ดอลล่าร์เลยนะนี่
Create Date : 19 กรกฎาคม 2549 |
Last Update : 28 กรกฎาคม 2549 14:27:23 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1208 Pageviews. |
|
|
|
โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 21 กรกฎาคม 2549 เวลา:15:22:46 น. |
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
|
|
|
|
|
|
|
เบิร์ตเพื่อนเธอนี่ ปากจั๊กกะจี้รูหูดีเหมือนกันนะ อยากเห็นหน้าซะแล้ว