ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 
วันที่ 2 - จากย่างกุ้ง มุ่งหน้า พุกาม

วันที่ 2 : พฤหัส 18 ธันวาคม 2546

จากย่างกุ้ง มุ่งหน้า พุกาม

เมื่อคืนนอนแทบไม่ได้เลย ยุงแห่มาจากไหนกันก็ไม่รู้เยอะแยะ ต้องตื่นมากางมุ้งกลางดึก กว่าจะหลับได้โดนยุงจิ้มไปหลายจึ้ก ส่วนเบิร์ต นอนเตียงตัวเองสบายถึงเช้า เพราะพกมุ้งมาด้วย! ตอนเช้าต้องเดินขึ้นไปที่ห้องอาหารรวมที่ชั้นบน ราคาที่พัก คนละ 3 ดอลล่าร์นี้รวมอาหารเช้าด้วย ก็เป็นแบบเบสิคคือขนมปังปิ้ง ไข่ 1 ฟอง จะไข่ดาว ไข่เจียวอะไรก็ว่ากันไป บอกเด็กให้ไปทำให้ กาแฟ หรือชา 1 ถ้วย ถ้าเป็นกาแฟส่วนมากจะเป็นกาแฟซองแบบทรีอินวัน เติมน้ำร้อนเอาอย่างเดียว บางที่อาจจะมีน้ำส้มให้อีก 1 แก้ว ขนมปังที่นี่ต้องเดินไปปิ้งเอง เค้าตั้งเครื่องปิ้งขนมปังไว้มุมห้อง เนยไม่มี มีแต่มาการีน แยมสตอเบอร์รี่ในกระปุกที่เก่าจนแทบไม่กล้ากิน(แต่ก็กิน!) มีแขกพักที่นี่พอสมควร แต่ไม่ถึงกับแน่น

ยังเดินเล่นเย็นใจอยู่ย่างกุ้ง

ยังมีเวลาช่วงเช้าอีก เพราะรถออกบ่าย ๆ ก็เลยออกไปเดินตุหรัดตุเหร่ดูผู้คนข้างนอก ถนนที่ย่างกุ้งนี้สนุกดี คนขวักไขว่ตลอด ร้านขายล็อตเตอรี่ก็มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ ที่นี่เค้าทำเป็นร้านกันเลยมาขายเป็นแผงล็อตเตอรี่นี่ไม่มี เดินทะลุออกมาแถว ๆ ถนนสแตรนด์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมสแตรนด์ซึ่งแพงมหาแพง คืนละเป็นร้อย ๆ ดอลล่าร์ ขอไปเดินเฉียด ๆ ดูหน่อยเถอะ ว่ามันจะดีเด่อะไรขนาดนั้น ดูข้างนอกก็งั้น ๆ น่ะ ก็ไม่รู้ใครนะจ่ายแพงขนาดนี้เพื่อพักโรงแรมแค่คืนเดียว ซึ่งก็คงมีแหละไม่งั้นโรงแรมเจ๊งไปนานแล้ว

ถัดจากโรงแรมสแตรนด์มาก็เป็นทางรถไฟซึ่งไม่รู้ยังใช้งานอยู่หรือเปล่า ข้ามทางรถไฟไปก็เป็นท่าเรือ ไปด้อม ๆ มอง ๆ ดูท่าเรือซักหน่อย ซักพักก็มีเด็กมาตื๊อขายโปสการ์ดให้เบิร์ต เป็นเด็กผู้หญิงตัวนิดเดียว ขาย 25 ใบ 1000 จ๊าต แต่โปสการ์ดที่นี่คุณภาพค่อนข้างต่ำคือตัดมาไม่ดี ตัวหนังสือหาย ขอบภาพแหว่ง ฯลฯ แถมส่งไปรษณีย์มาเมืองไทยเป็นสิบ ๆ ใบ จนฉันกลับมาเมืองไทยได้ 2 เดือนแล้วยังไม่ถึงซักใบเดียว แต่ก็มีคนเตือนแล้วว่าส่งไปรษณีย์ที่พม่านี้ต้องระวังหน่อย เพราะคนชอบแอบหยิบไปดึงสแตมป์ออกไปขายต่อก่อนที่โปสการ์ดเราจะได้ออกจากตู้ไปถึงมือเจ้าหน้าที่เสียอีก (ยังสงสัยว่าหยิบได้ไง เรารึก็หย่อนลงตู้ซึ่งก็ลึกโขอยู่) เสียดายโปสการ์ดชะมัดเลย รู้งี้หอบกลับมาเองดีกว่าไม่ส่งมันหรอกไปรษณง ไปรษณีย์

รูป : ตึกสวยๆในย่างกุ้ง

ไทยซุป?

เดินออกมาจากท่าเรือ ละแวกนั้นจะมีอาคารแบบที่สร้างในสมัยอาณานิคมให้เห็นเยอะพอสมควร หรือที่เค้าเรียกกันว่า โคโลเนียลสไตล์นั่นแหละ ยิ่งเก่าก็ยิ่งสวย และยิ่งถูกทอดทิ้งให้น่าเสียดาย

รูป : อาคารสไตล์โคโลเนียลย่านถนนสแตรนด์

เดินออกไปทางถนนเมอร์ชานท์ (Merchant Street) ก็เที่ยงพอดี แวะทานอาหารกลางวันที่ร้าน การ์เด้น (การ์เด้นอีกแล้ว ตั้งแต่มานี่เห็นเยอะมาก หลายการ์เด้นมาก แต่ไม่มีซักที่ ที่มีสวนจริง ๆ) ฉันสั่งบะหมี่ผ้ด(อีกแล้ว) 550 จ๊าต และในเมนูมี "ไทยซุป" ชามละ 1100 จ๊าต ไอ้เราก็งงซิ แล้วมันซุปอะไรละวุ้ย เบิร์ตเลยสั่งมากินซะ ปรากฎว่ารสชาติออกไปทางต้มยำ แต่ผสมน้ำเข้าไปอีก 8 เท่า แถมยังใส่ไข่เหมือนที่เราใส่ในสุกี้อีกด้วย ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคือซุปอะไร เอาเป็นว่าที่นั่นเค้าเรียกซุปไทยก็แล้วกัน ทำเอาคนไทยอย่างฉันงง ๆ ไปเหมือนกันว่าแล้วตกลงสูตรมันมาจากไหนกันแน่เนี่ย คราวหน้าไปกินสุกี้ พอน้ำในหม้อเหลือ ก็ใส่น้ำจิ้มสุกี๊(ของเด็ก)ลงไปหน่อย ใส่ไข่ไปฟอง กวนๆๆๆ แล้วเอาเส้นอะไรก็ได้ใส่ลงไป นั่นแหละ ท่านจะได้ ไทยซุป เวอร์ชั่นย่างกุ้ง มาหนึ่งชาม

รูป : หมี่ผัดเฉาหมิ่น ดัชนีชี้วัดความถูก-แพงของอาหารแต่ละร้าน


หาเรื่องเที่ยวต่อ

ก็กะว่าจะเดินเล่นต่ออีกซักหน่อยหรือไม่ก็ไป "ตลาดโบกโฉกอองซาน" ซึ่งประมาณว่าเป็นจตุจักรของย่างกุ้ง ยืนรอรถเมล์อยู่ซักพักก็ไม่มาซักที ป้ายรถเมล์ที่นี่ก็แปลก คือบางทีก็มีป้าย บางทีก็ไม่มี (เอ๊ะ จะว่าไปบ้านเราก็เป็นแบบนี้นะ) อาศัยว่าดูเอาว่าคนเค้ายืนกันเยอะ ๆ ตรงไหนก็ไปยืนกะเค้ามั่ง ตามพ่อหนุ่มนักศึกษาที่ยืนอยู่แถว ๆ นั้นว่าไปโบกโฉกอองซานไปสายอะไรได้มั่ง เค้าก็อึ้ง ๆ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไป คันนี้ก็ไป คันนั้นก็ไป ฉันเลยงงไปอีกรอบ แล้วไปคันไหนวะ ตัดสินใจไปแท็กซี่ดีกว่า เค้าเรียกราคา 800 (ถามมาจากร้านอาหารเค้าบอกประมาณ 700) ฉันก็ต่อแล้วต่ออีกเค้าก็ไม่ยอม ก็เลยไม่ไป มาคิดดูอีกที ไอ้ 100 จั๊ตนี่ก็ 5 บาทเองไม่รู้จะงกอะไรนักหนา น่าโมโหตัวเอง แต่ด้วยความที่คนขับดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรเท่าไหร่ ไม่รู้ใครโดนเหยียบเท้ามาหรือเปล่า เลยปล่อยพี่แกให้นั่งอยู่ในรถเปล่า ๆ ของแกต่อไป เดินเอาก็ได้วะ

เดินผ่านเกมเซ็นเตอร์ เสียงตู๊ดๆ ต๊อดๆ จากตู้เกมดังมาจากข้างใน มีคนขายบัตรอยู่หน้าร้านก็ไม่รู้ว่าซื้อบัตรครั้งเดียวเที่ยวฟรีทั้งครอบครัวหรือยังไง เพราะพม่าเค้าไม่มีเหรียญใช้ ไอ้ครั้นจะตั้งโต๊ะแลกเหรียญก็ไม่มีเหรียญจะให้แลก เสียดายที่ไม่มีเวลาเข้าไปลองเล่น ก็เลยซื้อนมกล่อง เมดอินไทยแลนด์ 2800 จ๊าต มากล่องนึง (แพงแฮะ ทีแท็กซี่ 700 จั๊ตดันงกไม่ยอมจ่าย เจ๊นี่... ) แล้วเดินต่อ ซักพักก็มีเด็กผู้ชายรุ่น ๆ หน่อย วิ่งหอบแฮ่ก ๆ มาแต่ไกล

"คุณลืมเงินทอนครับ" เค้ายื่นเงินทอนให้หลายร้อยจ๊าตอยู่เหมือนกัน โห อุตส่าห์วิ่งมาตั้งไกล เป็นคนดีของสังคมจริง ๆ น่าพากลับไปแคส ลูกผู้ชายตัวจริงที่เมืองไทย

เดินกลับที่พัก แวะซื้อของใช้จำเป็นที่ร้านห้องแถว สองห้องติดกันชื่อ "เชอร์รี่มาร์ต" พวกสบู่แชมพูอะไรนี่มาจากเมืองไทยเกือบทั้งนั้น เบิร์ตเรียกให้ไปดูน้ำยาย้อมผม พบว่ามีหลากสีสันจริง ๆ มีกระทั่งสีเขียว สีฟ้า เห็นแล้วก็คิดว่า "คนที่นี่...ใครจะย้อมวะสีนี้" แค่หน้าคนที่ตัดผมทรงแปลก ๆ แบบแฟชั่นยังแทบไม่มีเลย ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไว้ผมยาวแล้วรวบผมกัน นอกจากอยากจะโดนหมาไล่เห่าหอนจริงๆ ก็คงไม่มีใครกล้าทำสีผมแบบนั้นแน่ๆ เดินซื้อของใช้จำเป็นเสร็จแล้วรีบขึ้นไปแพ็คกระเป๋าเตรียมตัวไปบะกัน หรือ เมืองพุกาม

สถานีหมอชิต ณ ย่างกุ้ง

ไม่นึกว่ามันจะอยู่ไกลขนาดนี้ เรียกแท็กซี่ไปสถานีค่าโดยสารตกราว ๆ 2-3ดอลล่าร์ นั่งไปโน้นนนนนน ครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงเลยให้ตายเถอะ นั่งจนหลับ แล้วแท็กซี่ที่นี่ไม่มีแอร์น่ะ แต่ไม่ร้อน เค้าก็เปิดหน้าต่างให้ลมมันโกรก ๆ ไอ้เราก็หลับเลยน่ะซิ ตื่นอีกที นึกว่ามาถึงอินเดียแล้ว แต่ในที่สุดก็ถึงท่ารถจนได้ คนขับส่งพวกเราลงที่หน้าที่ขายตั๋วพอดี แล้วชี้บอกว่าคันนี้แหละ ไปพุกาม

ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ซักพัก เด็กหนุ่มที่ทำหน้าที่ขายตั๋วหันมาเห็นก็ยิ้มให้
"ขอใบจองตั๋วด้วยครับ ไปบะกันใช่มั้ย" เบิร์ตเลยยื่นใบเสร็จที่เราจ่ายเงินให้เอเย่นต์ไปแล้วให้เค้าไป
"โอเค กระเป๋าเอาใส่ห้องสัมภาระข้างล่างได้เลย โอ๊ะ ขอติดเลขก่อนแป๊บนึง" พลางเขียนเลขขยุกขยิกลงกระดาษสีชมพูที่เจาะรูร้อยหนังสติ๊กไว้ติดกับกระเป๋า แล้วหันมาติดที่กระเป๋าฉันด้วย

"มาจากไหนหรอครับ?"
"ประเทศไทยค่ะ"
"อ๋อ ว้าว ซาวหวัดดี"
"พูดไทยได้เหรอ" ฉันแกล้งแหย่ เค้าก็ได้แต่หัวเราะแฮ่ะ ๆ

เรียบร้อยจากการ "เช็คอิน" รถบัส ยังมีเวลาอีกราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็เดินดูรอบ ๆ มันไม่เหมือนสถานีขนส่งเลยน่ะ มันเหมือนหมู่บ้านการรถไฟหรืออะไรซักอย่าง เป็นอาคารไม้สองชั้นแถวยาว ๆ ยังดูใหม่ แบ่งเป็นห้อง ๆ แต่ละห้องก็แบ่งกันไปแต่ละบริษัททัวร์หรือแบ่งตามจุดหมายปลายทางที่จะไป รอบ ๆ ก็จะมีร้านขายขนมนมเนย หนังสืออ่านเล่นไม่ต่างอะไรกับบ้านเรา ยาดม ยาอม ยาหม่องนี่มีทั้งนั้น ฉันเองกำลังอยากได้ยาดมอยู่ กะว่าจะซื้อยาหม่องอยู่เหมือนกันน่ะ เพราะเห็นคนไทยเรียกพม่า ว่า หม่องๆ จะดูว่ายาหม่องของพี่หม่องนี้จะดีไหม พอดีก็มีคนเดินมาขายยาดม เลยเลือกมาอันนึง ยี่ห้อ "ทองใหญ่" (ทองใหญ่! พิมพ์ภาษาไทยด้วย อยากรู้ว่ายี่ห้อนี่ที่เมืองไทยมีขายมั้ยเนี่ย คิดได้ไงยี่ห้อ ทองใหญ่.. นี่ถ้ามีแบรนด์ที่สองออกมาอาจชื่อ ทองกวาว หรือ ทองย้อย) อันละ 400 จ๊าต แพงนะนั่นน่ะ แถมคนขายจะขายแว่นตากันแดดให้อีกต่างหาก แหม พี่ดีไซน์ที่พี่ขายนี่หนูไม่กล้าใส่เลย สุดสวิงเหลือเกิน อายตัวเอง เดี๋ยวเค้าจะนึกว่าออกมาจากหนังอินทรีทอง


รูป : สถานีขนส่งของย่างกุ้ง

บอร์ดดิ้งไทม์

รถจะออกเวลา 3 โมงเย็น ช้านิดหน่อย คนก็เริ่มทยอยขึ้นไปนั่งบนรถกันบ้างแล้ว ฉันกับเบิร์ตก็เลยเดินตามขึ้นไปบ้าง นั่งมองคนผ่านกระจกรถนี่มันก็เพลินดีไปอีกแบบ มีคนเดินเร่ขายของกันหลายคน บางคนก็มาขายถั่วต้มที่ออกจะดูแห้งๆกรอบๆ ไม่เหมือนบ้านเรา(เผลอๆคงไม่ได้ต้ม) แตงโมฝานเป็นชิ้น ๆ บางคนก็ขายหนังสือพิมพ์ พอเห็นเบิร์ตนั่งอยู่บนรถก็เดินมาที่หน้าต่างเอาหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษออกมาขายด้วยการเอาแขนข้างหนึ่งชูหนังสือพิมพ์ขึ้นมาที่ระดับหน้าต่างรถบัส
"เอ้ออออ ดีๆ ชูไว้อย่างนั้นแหละ ผมจะได้อ่าน คริๆๆ" เบิร์ตพูดกับตัวเอง เพราะข้างนอกเค้าไม่ได้ยินหรอก เพราะกระจกมันหนา แล้วเค้าก็ชูอยู่นานมากจริง ๆ นะ ความพยายามเป็นเลิศ
"กว่ารถจะออกก็คงอ่านจบพอดีเลย" เบิร์ตยิ้ม ๆ ในที่สุดหนุ่มขายหนังสือพิมพ์ก็ยอมแพ้ คงจะเซ็งที่ไม่ซื้อแถมบยังกวนติวอีก เห็นเดินทำปากขมุบขมิบให้พรเสียยกใหญ่

ลุงคนนี้ซิเด็ดกว่า ไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินดุ่มๆ มาก็เอาของเล่นที่เป่าแล้วกระดาษที่ม้วนอยู่มันจะยืดออกมาน่ะ แบบที่เค้าเป่าเล่นกันในงานปาร์ตี้ ออกมาเป่า
"ปรี๊ๆๆๆ~~!" โอ๊ว มันสูงมากเลยน่าซื้อมาเล่นซักอัน แต่ลุงแกเป่าแล้วไม่รอลูกค้าเลย เป่าเสร็จข้าไปก่อนล่ะโว้ย แว๊บ ..อยากได้ตามหาลุงเอาเองนะ ฮึ่ ๆๆๆๆ

มุ่งหน้าสู่พุกาม

คนขับพาเราออกจากสถานีขนส่งราว ๆ บ่าย 3 โมง 15 นาที และขับช้า ๆ มาตามถนนสายเล็ก ๆ อีกราว ๆ 30 นาทีก็ถึงถนนสายหลักที่จะไปพุกาม (อะไรกันเพิ่งถึงถนนใหญ่เหรอเนี่ย! โอ้ มายก้อด แล้วเมื่อไหร่จะถึงพุกาม) ตอนออกรถก็เปิดแอร์อยู่ดี ๆ ซักพักก็ปิดแอร์ซะแล้ว ถึงจะร้อนแต่บ่นไปก็เท่านั้น เสียพลังงานโดยใช่เหตุ เหงื่อเริ่มหยดแหมะ แหมะ

พี่คนขับแกขับช้าแต่มั่นคง รักษาระดับความเร็ว(น้อย)ไว้อย่างดีเยี่ยม นี่ขืนไปขับรถสองแถวที่มัณฑะเลย์ หากินไม่ได้แน่ เพราะที่นั่นคนขับรถมินิบัสบ้านเรายังต้องชิดซ้ายเพราะสองแถวมัณฑะเลย์ขับท้านรกกว่าร้อยเท่า ฉันนั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ ตามเคย เพราะไม่มีอะไรจะทำ การนอนเป็นสิ่งที่ทำง่ายดีสุดและไม่ต้องทรมานกับเวลาอันแสนยาวนาน เราคนไทย นอนได้ทุกที่อยู่แล้วไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม ถ้ามีแข่งนอนวิบาก พี่ไทยคงได้เหรียญทอง

รถเราแล่นมาเรื่อย ๆ ตลอดสองข้างทางร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ มีหมู่บ้านสร้างกันอย่างเรียบง่ายไม่ต่างจากแถบชนบทของบ้านเรา บางครั้งจะเห็นอาคารเก่าแบบยุคอาณานิคม โดยมากมักจะมีเลขบอกปีที่สร้างติดไว้ที่หน้าจั่วทั้งเลขอารบิคและพม่า บอกให้รู้ว่าได้ผ่านกาลเวลามานานแค่ไหน แล้วรถก็เลี้ยวขวาเข้าไปจอดลานดิน ฉันมองซ้ายมองขวาว่ามันคืออะไร พักเข้าส้วมหรือเปล่า .. แต่มันคือปั๊มน้ำมันขนาดมินิ ตรงขอบกระบะอิฐที่ก่อไว้สำหรับปลูกต้นไม้ มีสาว ๆ ทาแก้มนวลด้วยตะนะคานั่งคุยกันอยู่อย่างออกรถ หนึ่งในนั้นเป็นสาวหน้าตาออกไปทางแขกและผิวก็คล้ำออกไปทางอินเดียซะมาก แต่เธอก็แต่งตัวแบบสาวพม่าทั่วไป ไว้ผมยาวถักเปียทาแก้มด้วยตะนะคาเหมือนคนอื่น ๆ บนตักมีถาดใส่สินค้าพวก ส้ม แตงโม ขนมขบเคี้ยว

ฉันกำลังนั่งคิดอะไรอยู่เพลิน ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกดังมาจากทางด้านหน้ารถ พร้อมเด็กหนุ่ม 3 คนขึ้นมาแจกขนมให้ทุกคน พลางโฆษณาสินค้าแบบน็อนสต็อป เซลส์ขายประกันยังไม่พูดมากและตั้งใจขนาดนี้ นับถือจริง ๆ แล้วฉันก็เข้าใจว่าเค้าขึ้นมาขายขนมน่ะแหล่ะ อย่างแรกเป็นผลไม้แห้งคล้ายฟักเชื่อม ว้าน หวาน หยึย ...อย่างที่สองเป็นท๊อฟฟี่ถั่วขนาดพอดีคำในถุงพลาสติกใบเล็กห่อด้วยกระดาษสีขาวอีกชั้น รสชาติคล้ายขนมตุ้บตั้บ เออ อันนี้อร่อยดี หันไปถามเบิร์ตว่ากินอ่ะเปล่า จะลองซื้อมากินเล่นซักถุง เบิร์ตซึ่งกำลังเคี้ยวท๊อฟฟี่แก้มตุ่ยก็เห็นดีเห็นงามด้วย พอคนขายซึ่งตะโกนโฆษณาสรรพคุณสินค้าไม่ได้หยุด ตั้งแต่ก้าวขึ้นมาบนรถ เดินผ่านมาก็เลยเรียก ฉันก็ชี้ ๆ ไปที่ถุงท๊อฟฟี่ ทำท่าว่า "เอาถุงนึง"
"@#$@%!??"
"อะไรนะ เท่าไหร่คะ" ยังพยายามส่งภาษาอังกฤษอยู่
"$^&#*!"
"ไม่รู้เรื่องแฮะ เอามาเห๊อะ นั่นแหละ ๆ ถุงนั้นแหละ" หนุ่มคนขายยังชวนคุยเป็นภาษาพม่าไม่ได้หยุดหย่อนก็เลยปล่อยเลยตามเลย หัวเราะเหะหะ เออออห่อหมกไป ได้ขนมมา 4 ห่อใหญ่ ! ฉันกลับมาอ่านบนถุงมันคือ very special peanuts อ้าว แล้วตกลงมันเท่าไหร่ละวุ้ย ให้แบ๊งค์พันจ๊าตไปก็แล้วกัน แล้วหนุ่มก็หายไปพักใหญ่ นี่รถก็ออกมาจากปั๊มน้ำมันตั้งไกลแล้วนะเนี่ย แล้วหนุ่ม ๆ 3 คนนี่จะไปกับรถด้วยเลยเหรอ เอ๊ะนี่ก็นานแล้ว เงินทอนยังไม่มา สงสัยจะโดนโกงซะแล้วซิเนี่ย

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป แล้วเจ้าหนุ่มก็กลับมาพร้อมเงินทอน 700 จ๊าต ..นึกว่าจะโดนโกงซะแล้ว ที่ไหนได้ แบ๊งค์มันใหญ่เกินไป อ้าว แล้ว 4 ถุงนี่ 300 จ๊าตเองเหรอน้อง โห พี่กินอีก 5 วันยังไม่หมดเลยมั้งเนี่ย แล้วเลิกชวนคุยเป็นภาษาพม่าได้แล้ว ถั่วนั่นโคตรอร่อยเลยให้ตายเถอะ ถ้าพม่ามี OTOP ถั่วนั่นต้องได้ 5 ดาวแน่นอน

โลกพระจันทร์หรืออะไรกันเนี่ย

หลังจากปั๊มน้ำมัน รถก็ไม่ได้แวะพักที่ไหนอีกจนฟ้ามืดสนิท ทุกคนก็เริ่มหลับอย่างสบายอารมณ์ แต่หนาว ! ก็อากาศข้างนอกพอตกกลางคืนมันก็เย็นอยู่แล้ว คนขับยังเพิ่งนึกออกว่า "อุ๊ย ประทานโทษลืมเปิดแอร์เมื่อกลางวัน เปิดให้ตอนนี้ก็แล้วกันนะ" ว่าแล้วแกก็เปิดแอร์แรงสุดฤทธิ์สุดเดช เสียงแอร์จากช่องแอร์ดังฟู่ๆๆ ผ่านไปได้ไม่กี่นาที ทุกคนเลยต้องเอาเสื้อผ้า ผ้าขนหนูอะไรก็ตามที่ติดตัวมาด้วยออกมาห่มแล้วนอนม้วนตัวกันอยู่ในเบาะราวกันหนอนอ้วน ทีตอนกลางวันร้อนจะตายไม่เปิด ตอนนี้ข้างนอกหนาวจะบ้า ดันเปิดแอร์อีก ไม่เข้าใจพี่เค้าจริงๆ

นอนอ้วนกลมอยู่นาน ลืมตาขึ้นมาอีกทีเพราะความหนาว อยากจะตะโกนว่า "พี่ ปิดแอร์เถ๊อะ! ได้โปรด!" แต่พอมองไปข้างหน้าผ่านกระจกใสหน้ารถก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น คือ ดินสีน้ำตาลซีด ๆ ที่สองข้างทางที่สูงเกือบ ๆ เท่ารถเห็นจะได้ เรียงตัวเป็นคลื่นราวกับคลื่นทะเล ดูไปคล้ายๆพื้นผิวโลกพระจันทร์ โดยมีแค่แสงไฟจากรถเราสาดไปกระทบกับเจ้าคลื่นพวกนี้ ดูน่าพิศวงงงงวย ทางสายเล็ก ๆ ที่ไม่อาจเรียกว่าถนนได้ ลัดเลาะไปตามคลื่นดินที่รถเรากำลังวิ่งผ่าน ฉันต้องปลุกเบิร์ตให้ขึ้นมาดูภาพความอัศจรรย์พันลึกราวกับกำลังท่องกาแล็คซี่ฟรีกับองค์การนาซ่า
เบิร์ตงัวเงียลืมตาขึ้นมา ขยี้ๆ ตาแล้วถามว่าอะไรเหรอ ฉันเลยชี้ออกไปข้างหน้า มองผ่านกระจกหน้ารถออกไป

"โอ้ พระพุทธเจ้า..นี่มันอะไรน่ะ" เบิร์ตอึ้งไปอีกคน "ผมกำลังฝันไปหรือเปล่าเนี่ย"
"เปล่า.. ว่าแต่..มันคืออะไรน่ะ"
"ก็ถนนน่ะแหละ ผมว่านะ แต่เค้าคงไม่ได้ปรับระดับดินสองข้างน่ะ" เรียกว่าปรับตรงกลางให้เรียบเป็นใช้ได้ สองข้างเป็นยังไงก็ปล่อยให้เป็นยังงั้นแหละ มันก็เลยออกมาอย่างที่เห็น อยากถ่ายรูปมาให้ดูแต่ไฟมันสลัวเหลือเกิน แบบนี้ต้องไปสัมผัสเอง

ราว ๆ ตี 2 กว่า ๆ เห็นจะได้ ก็ถูกปลุกอีกแล้ว ให้ลงมาเข้าห้องน้ำ ทุกคนเดินตามกันลงไปอย่างว่านอนสอนง่าย ลงไปได้ก็เจอลมหนาวปะทะเข้าหน้าอย่างจัง
"อูยยยหนาวว้อย" ฉันบ่นออกมาดัง ๆ เป็นภาษาไทย ไม่มีใครสนใจ ฉันเลยเดินตามผู้หญิงคนอื่น ๆ ไปทางห้องน้ำซึ่งแยกออกไปทางด้านขวา ห้องน้ำก็ทำอย่างง่าย ๆ เป็นห้องเตี้ย ๆ เล็ก ๆ ยกพื้นสูงประมาณระดับเข่า ส่วนส้วมก็ไม่ต้องราดน้ำกันให้เสียเวลาเพราะไม่มีให้ราด มันเป็นเป็นท่อพีวีซีเฉย ๆ ต่อตรงจากส้วมไปลงดินเลย (ก็ยังดีนะเนี่ย เคยเจอแบบขุดดินกันลงไปเฉย ๆ ตรง ๆ เลยแถมมีคนท้องเสียใช้มาก่อนเราอีกด้วย เล่นเอาติดตาตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้) มีถังใส่น้ำและกระบอกทำจากขวดพลาสติกตัดครึ่งวางให้มุมห้องน้ำ แถมพอเดินออกมาหน้าห้องน้ำก็เจอศาลพระภูมิกันจัง ๆเลย เล่นเอาไหว้แทบไม่ทัน ตอนเข้าไปไม่ได้สังเกตุหรอกเพราะมันง่วง

ส่วนอีกฝาก เป็นซุ้มขนาดย่อมซึ่งบริการชา กาแฟ และอาหารจานด่วนแบบพม่าให้กับผู้โดยสาร มีโต๊ะเก้าอี้จัดชุดไว้หลายโต๊ะ โดยมากคนไม่ค่อยนั่งโต๊ะกันเท่าไหร่ นั่งยองๆ กันซะมาก โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุหน่อยก็จะนั่งยอง ๆ เหมือนกัน และมีผ้าขนหนูห่มกันถ้วนหน้า ฉันเองต้องฝากให้เบิร์ตไปรื้อเสื้อกันหนาวจากในเป้มาเพิ่มเพราะแค่ผ้าพันคอมันเอาไม่อยู่ซะแล้ว เบิร์ตกลับมาพร้อมเสื้อกันหนาวหนาตึ้บ ฉันสวมเสร็จก็นั่งทอดหุ่ย
"อ่าาา ค่อยยังชั่ว"
"ดูใส่เข้าซิ จะไปพิชิตยอดเอเวอร์เรสต์หรือไง" ฝรั่งอะไร ปากจัด สงสัยชาติที่แล้วเป็นสาวประเภทสอง
"มันหนาวนี่ยะ!!" เบิร์ตยังมาขยับผ้าพันคอฉันให้ม้วนหลายตลบกว่าเดิม แล้วขำอย่างสะใจ
"ฮ่าๆๆ วู้ย หนาวอะไรจะขนาดนี้ ตลกจริงๆ"

หลังจากแวะพักเข้าห้องน้ำ และ ดื่มชาร้อนๆ (ถ้าต้องการ) ราวๆ 20 นาที ทุกคนก็ถูกเรียกให้ขึ้นรถอีกครั้ง ทีนี้ล่ะหลับยาว


Create Date : 19 กรกฎาคม 2549
Last Update : 23 กรกฎาคม 2549 13:36:15 น. 2 comments
Counter : 1446 Pageviews.

 
โหย ผึ้งน้อยไซส์ยักษ์ของเจ๊
ทรหดอดทนมากเลย ว๊าย ตอนบรรยายสภาพถนน เจ๊นึกถึงความปลอดภัยของริดสีดวงเจ๊ ว่าถ้าได้นั่งจริงๆ สงสัยจะหลุดออกมาทั้งยวงเป็นแน่แท้


โดย: นางกอแบกเป้ วันที่: 20 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:54:26 น.  

 
รถบัสยังเฉยๆ
รถไฟดิเจ๊ โห ไม่ขอนั่งอีกเลยดีกว่า


โดย: beebah วันที่: 24 กรกฎาคม 2549 เวลา:10:25:06 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.