ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 

ปีใหม่เมืองพม่า ส่งท้ายปี ณ เก่าเมืองย่างกุ้ง

วันพุธ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๖

มื้อเช้าได้เบเกอรี่ช่วยชีวิต ไม่ต้องไปหาอาหารเช้าที่ไหนกินอีก เมื่อวานส่งเสื้อผ้าไปซัก กลับมาในสภาพหอมฉุย และไม่แพงด้วย อย่างที่เมืองไทยส่วนมากเห็นคิดเป็นกิโล กิโลละ 30 บาท ที่นี่จะถูกกว่าเล็กน้อย แต่เค้าจะคิดเป็นชิ้น ๆ ไป

เราพาตัวเองและเป้คนในสองใบมายืนดักรถของเราที่ริมถนนใหญ่ จริง ๆ แล้วก็หวั่น ๆ ว่าไม่รู้ว่ามันคันไหนวะนี่ เพราะมันเหมือน ๆ กันหมด ลองดูในตั๋วเห็นมีชื่อบริษัทรถอยู่ ก็เลยใช้จำชื่อบริษัทเอา เรายืนรอกันอยู่ร่วมชั่วโมงเหมือนกัน รถที่เรารอก็มาถึง เราต้องออกไปยืนดักเพื่อมั่นใจว่าเค้าจะจอดแน่ ก่อนขึ้นก็เอาตั๋วให้ดูก่อนว่าใช่แน่นะ ถ้าขึ้นผิดไปลงชายแดนล่ะก็ซวยเชียว

รถไม่ได้ว่างเหมือนรถที่ไปพระธาตุอินทร์แขวน แต่มันอัดแน่นไปด้วยผู้โดยสารทุกเพศทุกวัย ราวกับรถเมล์แดง กทม ยามชั่วโมงเร่งด่วนในเช้าวันจันทร์ ส่วนหนึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่หอบตำราไปเรียนกันเป็นล่ำเป็นสัน รถก็จอดแวะรับส่งคนตลอดทาง โชคดีที่เราได้ที่นั่ง ไม่งั้นชีวิตจะเศร้ากว่านี้เยอะ

นั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ กันมาจนเข้าเขตเมืองย่างกุ้ง รถก็พาเรามาลงที่ป้ายใกล้ ๆ กับโรงแรมสแตรนด์สุดหรูของย่างกุ้ง ดูนาฬิกาตอนนั้นเกือบ 10 โมง

ตอนนั้นจำไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมไม่ไปพักที่เดิมคือที่ Garden Guesthouse แต่เหตุผลหลักน่าจะเป็นเพราะความเบื่อที่จะพักที่เดิมตลอด เลยเสี่ยงที่จะเปลี่ยนดูบ้าง อีกอย่างวันนี้ก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ลองอะไรใหม่ ๆ บ้างก็ไม่เสียหาย เรากางข้อมูลที่ได้มาจากอินเทอร์เน็ต ก็ตกลงที่จะไปลองพักที่ บิวตี้แลนด์ 2 (มี บิวตี้แลนด์ 1 ด้วยนะ)โดยเรียกแท็กซี่ไปส่งในราคา 1000 จ๊าต (แพงนะเนี่ย)

โรงแรมนี้อยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายเครื่องเสียง วิทยุ โทรทัศน์ พูดง่าย ๆ คือเหมือนเดินอยู่บ้านหม้อเลยล่ะ เปิดประตูมาคุณอาจจะเห็นชายชาวพม่ากำลังทดลองระบบคาราโอเกะใหม่ล่าสุดอยู่บนบันไดหน้าร้านฝั่งตรงข้าม ตัวโรงแรมนั้นไม่ใหญ่โต เป็นลักษณะที่ดัดแปลงเอาตึกแถวมาทำเป็นที่พักเหมือนทั่ว ๆ ไปในย่างกุ้ง แต่เรื่องการต้อนรับที่ดีเยี่ยมของเจ้าของ เรื่องของความสะอาด และทำเล ถือว่าที่นี่น่าพอใจมากที่นึง แถมห้องเรายังมีแอร์อีกด้วย เป็นคืนแรกที่พักที่ที่ค่อนข้าง "แพง" สำหรับชาว เป๋าแฟบ อย่างเรา คือคืนละ $18 ต่อห้อง (ก็ทุกคืนนอนอยู่ไม่เกิน $10 น่ะ คิดดูดิ) มีห้องน้ำที่สะอาดมากในตัว ไม่ต้องแชร์กับใคร ถึงราคาจะเกินงบปรกติแต่เราก็ตกลงพักที่นี่ เพราะใกล้จะจบทริปแล้ว แถมราคานี้ยังรวมอาหารเช้าชุดใหญ่อีกด้วย กะว่ายังไงพรุ่งนี้ค่อยย้ายไปห้องที่ถูกกว่านี้หน่อย

พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็ช่วยเหลือเรื่องข้อมูลดีมาก ๆ คิดว่าคงเป็นเจ้าของกับลูกชาย คนลูกนั้นดูกระเดียดไปทางคนจีนด้วยซ้ำ ผิวขาว ใส่แว่นตา หน้าเหมือนโนบิตะ
"แถวนี้มีร้านไหนอร่อยมั่งคะ" ทั้งชีวิตฉันห่วงแต่เรื่องนี้เรื่องเดียวนี่แหละ เรื่องใหญ่
"ก็มีหลายร้านนะครับ คิดถึงอาหารไทยหรือยังล่ะ"
"โห นี่อ่านใจคนได้ด้วยเหรอ"
"ฮ่ะๆ ก็พอเดาได้ครับ งั้นจากตรงนี้ คุณเดินไปถามถนนนี้นะครับ ฝั่งเยื้อง ๆ กับตลาดโบกโฉกอองซาน มีร้านอาหารไทย เจ้าของเป็นคนไทย ชื่อร้าน APK เดินไปแป๊บเดียวเองครับ"
"ขอบคุณค่ะ แล้วมีที่ไหนน่าดูอีก"
"ถ้าจะซื้อของก็ลองดูที่ตลาดโบกโฉกอองซานนี่ล่ะครับ ของเยอะมากๆ แต่ราคาจะแพงกว่าตลาดอื่นนิดหน่อยนะ นอกนั้นก็มีชเวดากอง สุเลพญา ไปมาหรือยัง?"
"อ๋อ อันนั้นไปมาแล้วค่ะ งั้นเดี๋ยวไปเดินดูตลาดหน่อยดีกว่า"

เราขอบคุณเจ้าของโรงแรม แล้วไปที่ร้านอาหารไทยที่เค้าแนะนำมา ทุกเมนูมีภาพประกอบสวยงาม ที่สำคัญรสชาตินี่ซิ ไทยจริง ๆ แค่ไข่เจียวหมูสับกับซอสพริก ทำเอาตื้นตัน (เว่อร์ไปป่าวเจ๊) อย่างอื่นก็อร่อย อย่าง ทอดมันปลากราย ก็รสชาติแบบไทยจริง ๆ ไม่เสียแรงที่ยอมกินอาหารไทยในต่างแดน (เพราะมันไม่ไหวแล้ว เอียนอาหารจืดๆ เอามาก ๆ) เรียกเช็คบิลทั้งหมดก็ 4000 จ๊าต แล้วในร้านยังจัดเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ขายพวกของกิน ของใช้ ตั้งแต่ปลากระป๋องไปยันเทปเพลงไทยลูกทุ่ง ด้วย ส่วนร้านติด ๆ กันนั้นขายพิซซ่า เป็นร้านตกแต่งอย่างดี ส่วนมากจะเป็นหนุ่ม ๆ สาว ๆ ไปนั่งกัน พอ ๆ กับร้านโดนัทที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนเหมือนกัน เรียกว่าแทบไม่มีที่นั่ง

โบกโฉกอองซาน

ฝั่งตรงข้ามกับร้านอาหารก็จะเป็นตลาดนัดจตุจักร์เวอร์ชั่นแบบ พม่า ๆ แต่เล็กกว่ากันเยอะเลย แต่เรื่องความเบียดเสียดนี่ไม่น้อยหน้าเจเจ แน่นอน ลักษณะด้านนอกจะเป็นอาคารคอนกรีตสมัยใหม่สวยงาม ถัดเข้าไปด้านในจะเป็นอาคารคล้าย ๆ โกดังใหญ่เรียงกันเป็นล็อค ๆ อย่างเป็นระเบียบ แต่สภาพก็เก่าใช้ได้ ดู ๆ แล้วคนขายจะออกมาตั้งแผงขายกันข้างนอกมากกว่าที่จะไปขายกันข้างในที่มีหลังคา ของส่วนมากก็ไม่พ้นเสื้อผ้าแฟชั่น ส่วนผ้านุ่งแบบปักลายสวยงามก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ ที่ตลกก็คือฉันเริ่มฟังภาษาพม่าออก อย่างน้อยก็ตรงที่เป็นตัวเลขเวลาเค้าบอกราคา เช่นเสื้อยืดตัวละ 1500 ถ้าซื้อ 3 ตัวเอาไป 4000 อะไรแบบนี้ จริง ๆ แล้วนับเลขพม่านี่ก็ง่ายมากเลย ถ้าจำได้จะเนียนมาก เวลาไปซื้อของ ฉันยังอุตส่าห์ไปลองภูมิ ซื้อ "ไม้คั้นมะนาว" มาจากแผงแบกะดินบนสะพานลอยมาได้อันนึง โดยคนขายไม่รู้ว่าฉันไม่ใช่คนพม่า โอโห้ โคตรภูมิใจเลยนะเนี่ย แล้วไอ้ "ไม้คั้นมะนาว" นี่เท่ดี เป็นไม้สองชิ้นต่อกันด้วยบานพับ ฝั่งหนึ่งเป็นหลุม แล้วมีรู อีกฝั่งแบน เอามานาวใส่แล้วก็บีบ ๆ ที่ชอบเพราะว่ามันเป็นไม้เกือบทั้งชิ้น อย่างบ้านเรานี่คือเป็นสเตนเลสหมดแล้ว

ตลาดอองซานนี่วุ่นวายมาก แต่ก็สนุกดีมาก ๆ มีขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ บางร้านขายผ้าก็ส่งหนุ่มพม่าที่เขียนคิ้วทาปากขึ้นไปเต้นบนเก้าอี้เรียกลูกค้าก็มี มีตั้งแต่เสื้อยืดตัวละ 1000-3000 จ๊าต ไปยันกล้องดิจิตอลราคา 5 แสนจ๊าตนู่นแน่ะ ตลอดทางเดินก็มีของกินเล่นขายตลอด ที่ฮิตตลอดกาลที่น้ำอ้อยคั้นใส่มะนาวผ่าฉีก ได้ยินเสีนงกรุ๋งกริ๋งจากกระพรวนที่เค้าแขวนกับเครื่องคั้นอ้อยทีไรก็ต้องคิดถึงน้ำอ้อยทุกที

โรงหนัง เน็ตคาเฟ่ กาแฟริมถนน

อีกย่านหนึ่งคือแถว ๆ โรงหนัง Thamada ที่เราแอบเรียกกันเอาเองว่าโรงหนัง ธรรมดา (แล้วจะไปดูอะไร) แต่ติดอกติดใจหนังพม่ามาตั้งแต่มัณฑะเล แถมยังไม่เข็ดมาจากเมาะละแหม่งเลยไปด้อม ๆ มอง ๆ ดูข้างใน มีป็อปคอร์นขายด้วย แถมยังมีที่นั่งพิเศษแบบโคตรหรูให้เลือกอีกต่างหาก ราคาที่นั่งละ 2000 จ๊าตแน่ะ ไม่ใช่ถูกนะนี่ แต่หนังไม่น่าสนใจเลยไม่ได้ดู คือมันออกแนวดราม่า ถ้าบทพูดเยอะ ๆ ก็ซวยเลยซิฟังไม่ออก ได้แต่ซื้อไอติมถ้วยละ 300 จ๊าตที่โรงหนังมากิน รสชาติใช้ได้ จริง ๆ มีคนเคยบอกว่าเวลาเที่ยวพยายามอย่ากินน้ำแข็งหรือของที่ไม่ร้อน แต่สงสัยว่าฉันจะธาตุแข็ง กินทุกอย่างที่เขาห้าม ๆ มาก็ยังเห็นสบายดี (แต่ดันกินแตงโมแล้วไม่สบาย!) แต่บางคนที่ท้องไม่ค่อยดีก็ไม่ค่อยอยากแนะนำ เพราะถ้าท้องเสียระหว่างเดินทางท่องเที่ยวนี่มันเซ็งแบบหาที่เปรียบไม่ได้ เสียทั้งเวลา เสียทั้งสุขภาพ

กลับมาย่างกุ้งกันต่อ ในย่านเดียวกับโรงหนัง ธรรมดา ก็ยังมีอีกโรงที่เล็กกว่า โรงนี้อินเตอร์หน่อย ฉายเรื่อง HERO แถมพนักงานเก็บตั๋วก็พยายามชักชวนเราให้เข้าไปดูเหลือเกิน แต่เสียดายที่ดูแล้ว เลยต้องข้ามไป ถัดไปจากโรงหนังนั้นไม่กี่ห้องก็เป็นร้านบริการอินเทอร์เน็ตที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวใช้บริการได้ เลยทดลองไปใช้ ปรากฎว่าเค้าบล็อกบางเว็บไซต์ อย่าง yahoo mail ไม่สามารถใช้ได้ แต่ hotmail ได้ (ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน) ค่าบริการ ชั่วโมงละ 1000 จ๊าต (จะใช้แค่ครึ่งชั่วโมงก็ได้) ซื้อเป็นตั๋วเวลากับพนักงานสาวสวยที่เคาน์เตอร์ เราออกมานั่งกินกาแฟกับขนมที่ร้านริมถนน (เก้าอี้เตี้ยเหมือนเดิม ตามสไตลฺ์พม่า) นั่งดูผู้คนเดินผ่านไปมาไม่รู้จบ พวกแผงแบกะดินก็จะเริ่มคึกคัก มีทั่วไปหมด มองไปทางไหนก็มี ไม่แพ้บ้านเราเลย

ส่งท้ายปีเก่าแบบพม่า ๆ

เรากลับไปที่โรงแรม เพราะก่อนออกมาเค้าบอกว่าให้กลับมากินบุฟเฟ่ต์ให้ได้นะ เค้าจัดให้แขกที่มาพักทานฟรี ถือเป็นการเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า นี่ถ้าทางโรงแรมไม่บอกเมื่อเช้า เราแทบจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าวันนี้เป็นวันสิ้นปีเพราะมันไม่มีบรรยากาศการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่ารับปีใหม่หรืออะไร ทุกคนดูเหมือนจะใช้ชีวิตปรกติเหมือนวันธรรมดา ๆ วันหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่รู้จะฉลองไปทำไมหรือเปล่า ในเมื่อยังไม่เห็นทางสว่างที่ชีวิตจะดีขึ้นไปกว่านี้ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลแบบนี้อยู่

แม้แต่บุฟเฟ่ต์ที่พวกเราไปร่วมกับแขกมาพักคนอื่น ๆ แต่ละคนก็นั่งทานกันเงียบ ๆ แบบเจียมตัว กินไปดูทีวีไป บนทีวีก็ออกอากาศการประกาศผลรางวัลด้านการแสดงของพม่าเค้า ประมาณว่าเหมือนงานตุ๊กตาทอง หรือ ออสการ์ อะไรเทือกนั้น แต่เป็นเวอร์ชั่นพม่า ไม่มีการแสดงโชว์บนเวที ไม่มีพิธีกรสาวแต่งตัวหวาบหวิวใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่คนแต่งตัวด้วยชุดออกงานเป็นโคตรเป็นทางการของพม่านั่งเรียงกันเป็นตับ แล้วคอยปรบมือเวลาคนขึ้นไปรับรางวัล ดู ๆ ไปจะนึกว่านี่มันงานประชุมชมรมคนซีเรียสแห่งชาติ หรือยังไงก็ไม่รู้ ให้ตายเถอะโรบิ้น นี่มันดูแล้วเครียดกว่าเดิมอีก

แม้ว่าจะล่วงมาถึงเที่ยงคืนซึ่งหมายปีย่างเข้าปีใหม่แล้ว ถ้าเป็นบ้านเราคงมีเสียงพลุ เสียงเคาะขวด เคาะถัง เคาท์ดาวน์กันสนุกสนาน แต่ที่นีฉันพยายามเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงพลุแบบกระเทียม ดัง "แป๊ะ.." แบบหงอย ๆ เหมือนไม่เต็มใจ ถามที่โรงแรมเค้าก็บอกว่ารัฐบาลห้ามเล่นพลุเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย งั้นไอ้เสียง"แป๊ะ.." นี่คงเป็นเพราะกลัวติดคุกมากกว่า ไม่ใช่ว่ามีเล่นอยู่แค่นั้น


มันช่างเป็นการส่งท้ายปีเก่าที่หงอยเหงา และสมถะอะไรอย่างนี้




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 20:36:03 น.
Counter : 888 Pageviews.  

กลับมาหงสาวดี วันนี้ที่ไม่มีบุเรงนอง

อังคาร ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๖

เช้าวันแรกในหงสาวดี ถึงไม่อยากตื่นก็ต้องตื่น เพราะเมืองหงสาวดีหรือ ชื่อปัจจุบันคือ เมือง บาโก ในวันนี้มีหาใช่มีบุเรงนองไม่ มีแต่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ผ่ากลางเมือง ถนนที่เต็มไปด้วยรถบัส รถสามล้อ และอีกสารพัดรถ โดยเฉพาะเป็นจุดขึ้นรถบัสไปยังสถานที่อื่นๆ หลายแห่ง เช่น พระธาตุอินทร์แขวน คนก็นิยมมาขึ้นรถบัสกันที่นี่ ทำให้เมืองจอแจกันตั้งแต่เช้าตรู่

โรงแรมที่เราพักที่นี่ไม่เหมือนที่เราพักในคืนที่ผ่านๆ มาในพม่า เพราะไม่มีอาหารเช้ารวมมาด้วย ทำให้เราต้องออกไปสอดส่ายหาอาหารเช้ากันที่หน้าโรงแรม มันต้องมีอาหารเช้า อารมณ์ใกล้เคียงปาท่องโก๋ โจ๊กใส่ไข่ แบบบ้านเราบ้างละน่า คำตอบสุดท้ายก็ไม่พ้นอาหารยอดนิยมตลอดกาล "โมฮิงก่า" คนพม่ากินกันตั้งแต่เช้ายันเย็น เราเลือกร้านรถเข็นข้างหน้าโรงแรมนั่นแหละ คุยกันก็ไม่รู้เรื่อง แต่อาศัยเรานิ้วจิ้ม ๆ เอา แม่ค้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะรำคาญนักท่องเที่ยวอย่างเราแต่อย่างใด ขายไปยิ้มไปอย่างใจเย็น นอกจากจานหลักแล้วยังมีออปชั่นมาด้วยคือ ข้าวโพดแผ่น ลักษณะเป็นแผ่นแป้งขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อย ผสมกับเม็ดข้าวโพด แล้วเอาไปทอดเป็นแพกรอบ รสชาติไม่เลว ราคาอยู่ที่ชามละ 150 จ๊าต ส่วนข้าวโพดนั้นแผ่นละ 25 จ๊าต

นั่งสามล้อชมเมือง

อิ่มแล้วเราก็เริ่มปฎิบัติภารกิจเที่ยวเมืองบาโกกันเถอะ ตัวเมืองบาโกนี้ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ถ้าคิดจะเดินล่ะก็ คงไม่ไหว วิธีที่ดีที่สุดคือการจ้างสามล้อถีบ ตกลงราคาเหมาเป็นวัน แล้วตกลงให้เรียบร้อยว่าจะต้องพาไปไหนบ้าง ถ้ามีนอกเส้นทางบ้างก็เพิ่มให้เค้านิดหน่อย

แหล่งรวมสามล้อมักจะอยู่ใกล้ๆตลาด หรือ ท่ารถสองแถว ท่ารถเมล์ รถไฟ แต่ส่วนมากจะหาได้ทั่ว ๆ ไป เพราะเค้าก็จอดไปทั่ว ไม่ต้องห่วงว่าจะหาไม่ได้ เพราะพวกเขาจะเข้ามาหาคุณเองโดยมิได้นัดหมาย คนแรกที่เข้ามาเสนอบริการนั้น ชวดไป เพราะดันพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วทีนี้จะไปรู้เรื่องกันได้ยังไงกันนี่ คนที่สองสื่อสารพอรู้เรื่อง บอกราคามา 3000 จ๊าต! ต่อไปต่อมาลงมาเหลือที่ 2000 จ๊าต จึงตกลงตามนี้

ตำนานเมืองบาโก ได้เล่าไปแล้วในวันที่เก้า เพราะฉะนั้นเลยขอข้ามไม่เล่าซ้ำก็แล้วกันนะ สำหรับคนที่มีเวลาเที่ยวพม่าไม่นานนัก บาโกเป็นอีกเมืองที่ไม่น่าพลาด เพราะใช้เวลาเดินทางโดยรถโดยสารจากย่างกุ้งประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเป็นรถยนต์หรือรถตู้ที่มากับทัวร์ก็อาจจะย่นลงไปเหลือ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง เรียกว่าไปเช้าเย็นกลับก็ยังไหว ถ้าออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่

บาโกมีอะไรเที่ยว?

เมืองบาโกนอกจากจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน (และชื่อที่พี่ไทยฟังแล้วอาจจะเคืองๆอยู่ซักหน่อย เพราะเรียนกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าพระเจ้ากรุงหงสาวดีมาตีสยามแตก ฯลฯ) พอได้มาหงสาวดีจริงๆ มันก็รู้สึกแปลก ๆ ดีไปอีกแบบ ว่า เฮ้ย มันมีจริง ๆ นะเนี่ย ว่าแต่มันมีอะไรน่าเที่ยวน่าดูบ้าง


"เจดีย์ชเวมอว์ดอว์"
ได้สามล้อแล้วงานนี้ก็ลุยกันเลย สามล้อถีบไปเอื่อย ๆ ผ่านถนนเล็ก ๆ ที่มีแต่รถมอเตอร์ไซค์และสามล้อเป็นส่วนมาก แถมยังมีต้นมะพร้าวขึ้นอยู่เป็นระยะ ๆ อีกด้วย เรามุ่งหน้าไป "เจดีย์ชเวมอว์ดอว์" หรือบางคนอาจจะคุ้นกับชื่อ "พระธาตุมุเตา" เป็นศาสนสถานที่ชาวพม่าเคารพสักการะอย่างสูงอีกแห่งของชาวพม่า ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด เจดีย์สร้างโดยพ่อค้าชาวมอญเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุและพระทันตธาตุ เมื่อเริ่มสร้างนั้นมีความสูงแค่ 23 เมตร แต่เมื่อมีการสร้างต่อเติมมาเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีความสูงถึง 114 เมตร มาถึงวันนี้ก็มีอายุไม่ต่ำกว่า 1000 ปีเข้าไปแล้ว นอกจากความอลังการสวยงามของสถานที่แล้ว คนพม่าเค้าว่าที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ตามเรื่องเล่า เค้าว่ากันว่าพระเจ้าบุเรงนองนั้นเสด็จมาทำพิธีเจาะพระกรรณที่นี่ โดยมากับทหารจำนวนไม่มากนัก พวกมอญรู้ว่าจะเสด็จมาจึงได้ยกกำลังมาล้อม แต่พระเจ้าบุเรงนองก็ได้นำกำลังของพระองค์ที่มีทหารเพียงแค่หยิบมือเดียว ฝ่าวงล้อมของกองทัพมอญออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ !?

เจดีย์ชเวมอว์ดอว์นี้ผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาหลายครั้งหลายหน ราวปี พ.ศ 2445 หนนึง ทำให้ยอดหักลงมา และมีแผ่นดินไหวตามมาอีกหลายระลอกภายในระยะเวลาไม่กี่ปีให้หลัง จนเมื่อประมาณปี พ.ศ.2473 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดทำให้องค์พระธาตุพังราบเหลือแต่ฐาน กว่าจะทำการบูรณะ (จริง ๆ ก็คงไม่ต่างกับการสร้างใหม่) อีกครั้งก็อีก 20 กว่าปีต่อมาโดยใช้เวลาบูรณะราว 2 ปี ส่วนที่หักพังลงมานั้น ทุกวันนี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ที่ด้านหนึ่งของเจดีย์ ลองเดินดูรอบ ๆ รับรองว่าเจอ เทียบขนาดของส่วนที่หักพังลงมา กับขนาดคนแล้ว ก็รู้สึกว่ามันใหญ่มโหฬารจริงๆ

หลังจากกราบนมัสการองค์พระธาคุแล้ว เราเดินดูบริเวณ รอบ ๆ มีอะไรแปลก ๆ ให้ดูเล่นเพลิน ๆ เหมือนกัน เช่น ซุ้มหมอดู ที่มีแผ่นป้ายบอกสรรพคุณเป็นรูปฝ่ามือแผ่นเบ้อเร่อ ติดอยู่เป็นจุด ๆ ฉันร่ำ ๆ อยากจะลองไปทดสอบดูบ้าง แต่เบิร์ตห้ามเอาไว้ (มาห้ามชั้นทำไม๊!) เลยต้องเป็นอันว่าอดดู ถัดจากซุ้มหมอดูมา เค้ากั้นไว้เป็นห้องๆ ด้วยลูกกรงเหล็ก แต่ให้คนเดินเข้าไปได้ตลอด บางห้องก็ประดิษฐานพระพุทธรูป แต่มีอยู่ห้องหนึ่งฉันติดใจเอามาก ๆ ดู ๆ ไปคล้ายงานวัด คือเป็นวงล้อหมุน แล้วที่รอบ ๆ วงมีเรือสังกะสี ทาสีสันฉูดฉาดหลายลำติดอยู่ แล้วมันก็ค่อย ๆ หมุนไปช้า ๆ คนพม่าก็โยนสตางค์ใส่ ที่แสดงว่าไม่ใช่บ้านเราเท่านั้นที่นิยมโยนเงินใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้าในวัด ขนาดว่าเห็นบาตรติดสายพานที่วัดพระใหญ่ที่สมุยมาแล้ว ยังไม่อึ้งเท่าเรือสังกะสีติดวงล้อที่นี่เลย ให้ตาย

ค่าธรรมเนียมเข้าชมเจดีย์ชเวมอว์ดอว์ คือ $2 ถ้าเนียนๆ เดินเข้าไปเฉยๆ ส่วนมากจะไม่เสีย

"พระราชวังบุเรงนอง"
ไม่ไกลจากเจดีย์ชเวมอว์ดอว์มากนัก สามล้อถีบก็พาเรามาถึงพระราชวังบุเรงนอง ซึ่งปรกติแล้วจะเสียค่าเข้าชมคนละ $4 เมื่อตอนที่เราไปถึง ก็มีเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูอยู่ มาจัดการเก็บค่าธรรมเนียมค่าเข้าชม ฉันได้แต่นั่งใจเต้น เหงื่อแตกซิ่ก ว่าจะโดนมั้ยนี่ตู... คิดในใจว่าคงต้องจ่ายแน่แล้ววววว... แต่เจ้าหน้าที่เก็บค่าธรรมเนียมเบิร์ตเสร็จก็เดินเลี้ยวมาดูฉัน (สามล้อพม่านั้นผู้โดยสารสองคนต้องนั่งหันหลังชนกัน) แล้วก็ปล่อยให้เข้าไปได้ โอ้โห เนียนใช้ได้นะนี่เรา โชคเข้าข้างชะมัดเลย

พระราชวังบุเรงนองจริง ๆ แล้วแทบไม่เหลืออะไรเหลือมาให้เห็นถึงปัจจุบัน แต่ทางการพม่าก็พยายามขุดค้นศึกษา และทำการสร้างพระราชวังจำลองขึ้นมาใหม่โดยยังให้ดูบนรากฐานเดิมที่เคยมีอยู่ ส่วนที่สร้างขึ้นใหม่นั้นก็ต้องอาศัยศึกษาเอาจากข้อมูลที่มีอยู่ และที่นี่อีกเช่นกัน ที่พระนเรศวรประทับอยู่นานถึง 6 ปีในฐานะเชลย ภายในบริเวณพระราชวังนั้นกว้างพอดู เรียกว่าถ้าจะเดินจากที่นึงไปอีกที่นึงก็ต้องเดินกันเหนื่อย แต่เข้าไปด้านในที่เป็นแบบจำลองของบัลลังก์ในท้องพระโรงแล้วขนลุก อลังการมาก ๆ นี่ขนาดแค่แบบจำลองนะ และแน่นอนทุกอย่างเป็นสีทอง ทอง ทอง และ ทอง ถือว่าเป็นอีกที่ที่ไม่ควรพลาดชม


พระนอนขนาดใหญ่โตมโหฬารที่วัด "ชเวตาเลียง"

ที่วัดนี้ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ องค์พระยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร ซึ่งใหญ่กว่าพระนอนที่วัดโพธิ์ซะอีก องค์พระถูกตกแต่งอย่างประณีตด้วยการลงรัก ประดับมุก และก็มีที่มาน่าสนใจพระนอนองค์นี้อยู่ที่นี่มาแต่เดิม สร้างโดยพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งเมื่อนานนนนนมากมาแล้วไม่แน่ใจว่าเป็นปีอะไร แต่จู่ๆ เมื่อเมืองเกิดร้างขึ้นมา ทำให้พระนอนองค์นี้ถูกทิ้งร้างไปกว่า 500 ปี ต่อมาพระเจ้าธรรมเซดี จึงได้ดำริให้บูรณะขึ้น โดยมีพระเจ้าบาญิงนอง หรือ บาญินเนาว์ (หรือที่เราคุ้นกันดีในพระนาม "พระเจ้าบุเรงนอง") เป็นผู้ดูแล จนเมืองมาแตกอีกรอบในปี พ.ศ.2300 ทำให้องค์พระนี้ถูกทิ้งร้างให้อยู่ในป่ารกชัฎไปอีก 125 ปี!
จนเมื่อพม่ามีการสร้างทางรถไฟในประมาณปี พ.ศ. 2424 ทำให้ต้องมีการขุดเจาะพื้นที่รอบ ๆ เพื่อทำการก่อสร้าง ขุดไปขุดมา ก็แจ๊คพอต เจอองค์พระขนาดใหญ่เข้า ทางการพม่าจึงได้สั่งให้บูรณะขึ้นใหม่อีกหน พูดไปก็ทำให้นึกถึงปราสาทตาพรหมที่เขมร ก็ถูกทิ้งร้างอยู่ตั้งนาน ตอนมีคนมาเจอนี่คงน่าทึ่งพิลึก

ทุกวันนี้องค์พระมีหลังคากันแดดกันฝนอย่างถาวร เดินทางสะดวกสบาย ค่าเข้าชม $2 ระหว่างที่เดิน ๆ ชมรอบ ๆ องค์พระ อาจจะต้องงงงวย เพราะคนขายของที่นี่พูดไทยใส่นักท่องเที่ยวกันน้ำไหลไฟดับ เค้าจะเข้ามาหยั่งเชิงดูก่อนถ้าหน้าคล้ายๆพม่าละก็ เดาไว้ก่อนว่าเป็นพี่ไทยแน่นอน หรือจะเอาภาษาจีน ญี่ปุ่นด้วยก็ยังไหว! ถ้าจะซื้อของที่นี่ก็ต่อราคาให้พอสมควร เพราะอย่างเสื้อยืดที่มัณฑะเลขายกันตัวละ 1600 จ๊าต ที่นี่บอกราคามาตัวละ 2500 จ๊าตแน่ะ

จากวัดชเวตาเลียงมา ก็แวะไปอีกวัดหนึ่ง แต่ดันจำชื่อไม่ได้เสียนี่ เดินเข้าวัดนู้นวัดนี้มาทั้งวันไม่ยักกะโดนตรวจใบเสร็จหรือค่าธรรมเนียม มีวัดนี้นี่แหละ ตั้งใจเข้าไปไหว้พระเต็มที่ แต่ถูกเบรคจนตัวโก่งด้วยลุงคนเฝ้าวัด
"ต้องจ่ายเงินค่าเข้านะ"
"แหงะ..แต่หนูจะเข้ามาไหว้พระแค่เนี้ยะเองนา"
"ไม่ได้ๆๆ ต้องจ่าย"
"ตรงนี้นี่เองเนี่ยนะ" ฉันชี้ไปที่บริเวณที่จัดไว้สำหรับจุดธูปเทียนไหว้พระ ห่างจากที่ฉันยืนไป 3 ก้าว
"ไม่ได้ๆๆ"
"โฮ ใจร้ายๆ" แล้วฉันก็เดินออกมานั่งคอตกอยู่ข้างๆ ป้าที่มาขายซาโมซ่าหน้าวัด แดดก็ร้อน ๆ ๆ ๆ ดูซิว่าน่าสงสารแค่ไหน ผ่านไป 10 นาที ตาลุงคนเดิมก็เดินมาตาม
"อะ ให้เข้าก็ได้ ไว ๆ ล่ะ" คงฉันหน้าบานเป็นกระด้ง แถมไหว้พระเสร็จลุงให้อนุญาตให้เดินดูข้างในได้อีกต่างหาก ก่อนจะออกจากวัดเลยขอบคุณไปอีกยกใหญ่ แล้วบริจาคเงินลงตู้ของวัดแทน ดีกว่าเอาเงินไปเสียให้รัฐบาลเปล่า ๆ

เที่ยวแค่นี้ก็แทบหมดแรงแล้ว ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าที่พม่านี่ แดดร้อนกว่าเมืองไทยเสียอีก แค่ยืนเฉยๆ กลางแจ้งไม่เกิน 2 นาทีก็แทบจะละลายตายแล้ว มันไม่ร้อนอบอ้าวแบบบ้านเรา แต่ออกจะร้อนแห้ง และร้อนแผดเผาเอามาก ๆ นี่ขนาดว่าไม่ได้ไปหน้าร้อนนะนี่ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้สาวพม่าพอก ทะนาคากันทุกคน ไม่งั้นหน้าคงฝ้าตรึม!

จริง ๆ มันยังเที่ยวไม่หมดหรอก แต่ถ้าไปไกลจากเมืองมาก ๆ ก็จะแพงขึ้น สามล้อจะขอคิดนู่นคิดนี่เพิ่มเลยขี้เกียจ กลับมาอาบน้ำ งีบหลับ หลบร้อนดีกว่า แถมนอนไปตื่นมาแล้วยังมีเวลาเที่ยวต่ออีกนะเนี่ย กิจกรรมที่ไม่น่าพลาดไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนคือ "การเดินตลาด" ตลาดในที่นี่หมายถึงตลาดสดเเนี่ยเลย ที่ชาวบ้านเค้าจับจ่ายซื้อของกันทุกวันนี่แหละสนุกสุด ๆ

ที่บาโก จะมีตลาดใกล้ ๆ สถานีรถไฟ เห็นเค้าก็ขายกันทั้งวันเหมือนกันนะ คล้าย ๆ ตลาดสดแถว ๆ เทเวศน์บ้านเรา ถึงมันจะไม่ใช่จุดดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการเหมือนวัดใหญ่ ๆ ในเมืองนี้ แต่มันก็มีสีสันไม่น่าพลาดชม สินค้าที่เห็นได้ทั่ว ๆ ไปก็ไม่พ้นจำพวกของกิน ผัก ผลไม้ ที่บางเจ้าเห็นแล้วก็นะ.. อย่างมะเขือเทศดำๆ ไม่สวยแต่ก็ยังขายกันอยู่อีกนะ ก็ไม่เห็นจะมีใครซื้อเลย ใบพลู ส้ม ตะนะคา เป็ด ไก่ สดๆ เครื่องใน แล้วก็พวกของใช้อย่างพวกสินค้าที่ทำจากพลาสติกคนก็นิยมซื้อกันมาก แบบที่เราเห็นตามตลาดนัดบ้านเราเนี่ยแหละ เท่าที่เคยอ่านมา เค้าว่าคนพม่านั้นใช้รายได้ส่วนมากหมดไปกับของกิน เพราะฉะนั้นของใช้นี่จะขายของดีมากก็ไม่ได้เพราะจะไม่มีใครซื้อ ของใช้จึงเป็นแบบคุณภาพไม่ค่อยเน้นแต่เน้นถูกเข้าว่า ส่วนมากก็ไม่พ้นที่ต้องนำเข้ามาจากเมืองจีน

ที่ฉันแปลกใจมากคือ เรื่องของเบเกอรี่ ที่ดูแล้วต้องบอกตรง ๆ ว่าหน้าตามันไม่สวยงามน่ากินเหมือนที่เราเห็นกันจนชินตาตามร้านเค้กหรู ๆ ในเมืองไทย ที่นี่ส่วนมากจะยังเป็นการขายแบบขายส่งกันเป็นลัง ๆ แล้วร้านโชว์ห่วยก็จะเอามาวางขายหน้าร้านโดยมีพลาสติกปิดไว้พอเป็นพิธี ถึงหน้าตาขนมมันไม่น่ากิน แต่รสชาติ "อร่อยมาก" พูดแบบไม่ต้องคิดมากเลย เพราะมันอร่อยจริง ๆ แต่มันก็แล้วแต่ดวงด้วยนะ ว่าจะเลือกชิ้นไหน อย่างวันก่อน ฉันเลือกมา 2 ชิ้น เบิร์ตเลือกมา 2 ชิ้น มาแบ่ง ๆ กันลอง ปรากฎว่าของเบิร์ตอร่อยทั้ง 2 ชิ้น ทำให้วันต่อมาเราต้องไปทะเลาะตบตีเพื่อแย่งไอ้เจ้าขนมปังไส้สับปะรดที่ร้านนั้นอีกรอบ เป็นที่น่าอนาถแก่เจ้าของร้านอย่างมาก

เราเริ่มหมดมุข นอนกลางวันก็แล้ว ก็ยังว่าง ทีวีมีดูแต่ก็ฟังไม่ออก เลยกะว่าออกไปหาเบียร์กินกันให้รู้แล้วรู้รอด ไม่ไกลจากชเวมอว์ดอว์เท่าไหร่ มีคาเฟ่ชื่อ "Good For Feel" อ่านจากหนังสือดาวเหงา แล้วคิดเป็นตุเป็นตะเอาเองว่ามันคงเป็นร้านที่ "ชิว ชิว" พอไปถึงร้านจริง ๆ เราต้องไปยืนอยู่หน้าร้านอยู่นาน
"เฮ้ย ร้านเปิดเปล่าวะนี่" ฉันชะโงกดูประตูกระจกที่ติดฟิล์มมืดตึ้บ
"ก็เค้าเปิดประตูใหญ่อยู่นี่"
"งั้นเธอเข้าไปก่อน"
"บ้า! ไม่ใช่บ้านผีสิง"
"แฮ่ะๆๆ"
ในร้านมัน chill จริง ๆ มีโต๊ะประมาณ ไม่เกิน 10 โต๊ะ เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เพลงคลอเบา ๆ กับเจ้าของร้านเป็นหนุ่มหน้าตาดี แต่ไร้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกมาหลายปียืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ ลูกค้าอีกรายคือหนุ่มพม่าที่นั่งกึ่ม ๆ เงียบ ๆ อยู่คนเดียวอีกมุมหนึ่งของร้าน เรานั่งไปคิดไปว่าวัน ๆ นึงนี่เค้ามีรายได้พอจ่ายบิลค่าแอร์หรือเปล่าเนี่ย เราสั่งเบียร์ "Myanmar" มากินให้สมใจ หลังจากที่เห็นป้ายโฆษณาใหญ่ยักษ์ในเมืองเมาะละแหม่ง ว่าเค้าไปได้รางวัลการันตีมาจากกรุงบรัสเซลส์กันทีเดียว ไหน ๆ คนเบลเยี่ยมก็มาเองแล้ว จะพลาดชิมได้ยังไง แต่จะว่าไปนะ เบียร์ไม่ว่ายี่ห้ออะไร ถ้าเย็น ๆ เป็นวุ้น ๆ มา ฉันก็เห็นว่ามันอร่อยทั้งนั้น ไม่เหมือนกับเพื่อนผู้ชายขากินเบียร์ตัวจริง บางคนถึงกับออกอาการผะอืดผะอมกับเบียร์บางสัญชาติแล้วบอกว่ามันรสชาติเหมือน "ฉี่แมว" ก็ไม่รู้เคยไปชิมหรืออย่างไรกัน

กินเบียร์เสร็จก็เข้าวัด (เข้าทำนองทำบาปแล้วทำบุญกลบเกลื่อน) ชเวมอว์ดอว์ อีกรอบ เพราะเมืองมันเล็ก ไม่รู้จะทำอะไร แถมที่วัดตอนเย็น ๆ ก็มีคนมากันเยอะด้วย นั่งดูได้เพลิน ๆ ลมเย็น ๆ ดี อ้อ ด้านหน้าเจดีย์ตรงทางขึ้นจะมีร้านขายเครื่องสักการะเยอะมาก ๆ มีทั้งดอกไม้ ธูป เทียน และฉัตรเงิน ฉัตรทอง ดอกไม้ไหว้พระของพม่านี้สวยน่ารักทุกที่ แล้วก็หอมมาก ๆ บางที่ก็จัดใส่แจกันดินเผากันทั้งแจกันเลย แถมมีกระดาษสีเป็นริ้ว ๆ พันปลายไม้แท่งเท่าตะเกียบประดับให้สวยงาม พอไหว้เสร็จแล้ว เค้าจะไปเก็บแจกันคืนทีหลัง ซึ่งก็ดีเหมือนกัน

ฟ้าใกล้จะมืด เราต้องหาตั๋วรถสำหรับเข้าย่างกุ้งวันรุ่งขึ้น ใกล้ ๆ เจดีย์นั้นจะมีเอเย่นต์ขายตั๋วอยู่ เรียกว่าเป็นห้องเล็ก ๆ แบบกั้นห้องกันเองจะดีกว่า สามารถซื้อตั๋วรถบัสไปได้หลายที่ เค้าจะมีตารางเวลาเดินรถอยู่ ซื้อแล้วรับตั๋วได้เลย เป็นอันว่าหมดกังวลเรื่องรถพรุ่งนี้

ขาเดินกลับที่พัก ฉันเหลือบไปเห็นร้าน "Apple Store" ถ้าเป็นในมหานครใหญ่ ๆ ละก็ มันน่าจะเป็นร้านขายคอมพิวเตอร์ยี่ห้อดังยี่ห้อ Apple แต่ที่นี่ Apple Store นั้น ขายแค่แอ๊ปเปิ้ลที่เป็นผลไม้จริง ๆ ฉันเลยไม่พลาดที่จะเก็บรูปมาฝากเพื่อนที่เป็นแฟนเหนียวแน่นของค่าย Apple ด้วย ไม่รู้ทุกวันนี้ร้านนั้นจะเอาผลไม้อื่นนอกจากแอ๊ปเปิ้ลมาขายหรือยัง หรือว่ามันจะผิดอุดมการณ์ร้านแอ๊ปเปิ้ลไปซะฉิบ




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 20:34:59 น.
Counter : 861 Pageviews.  

วันที่ 13 : เมาะตะมะ

จันทร์ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖

เช้านี้เราแบ่งโต๊ะทานอาหารเช้ากับคนเยอรมันสองคนเดิมอีกแล้ว เค้าก็ยังไม่คุยกันเหมือนเดิม เห็นคนนึงเอาพาสสปอร์ตฉบับก๊อปปี้ออกมานั่งดูเล่น งอย่างเราถ้าถ่ายเอกสารไว้สำรองในกรณีถ้าฉบับจริงหายหรือชำรุดหรืออะไร เราก็แค่ถ่ายเอกสารมาแล้วพับเก็บธรรมดา แต่นี่เค้าถ่ายเอกสารมาแล้วตัดเป็นขนาดเล่มจริง แถมยังเข้าเล่มเหมือนของจริงอีกต่างหาก จะว่าไปก็ดูเข้าท่าดี น่าเอาไปทำบ้าง

พอเรากำลังจะกลับไปที่ห้อง คนที่อยู่บ้านนี้อีกคนหนึ่งเดินยิ้มกว้างเข้ามาหา พร้อมกับถามว่าจะกลับเมื่อไหร่ยังไง เค้ามีของที่ระลึกให้ คือจานรองแก้วทำจากไม้หอม แล้วก็ยาสมุนไพรลูกกลอน เค้าว่าทานก่อนนอนทุกวันทำให้ท้องไส้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอะไรทำนองนั้น บอกตรง ๆ ว่าไม่เคยลองทานว่าสรรพคุณดีอย่างที่ว่าจริงหรือไม่ แต่เราเก็บของที่ระลึกที่ได้กันคนละชุดนี้ไว้อย่างดีตลอด

เห็นตื่นเช้าๆแบบนี้ก็พอเดาได้ว่าคนเยอรมันสองคนนั้นก็คงจะไปขึ้นรถไฟเหมือนกัน รถไฟนี้ต้องข้ามแม่น้ำไปขึ้นที่ฝั่งเมาะตะมะ หรือพม่าเรียก มะตะบัน ที่เป็นเมืองแฝดกับเมาะละแหม่ง แต่อยู่คนละฝากแม่น้ำ ตอนที่เราไปนั้นสะพานยังสร้างไม่เสร็จ การโดยสารระหว่างสองฝั่งนี้จึงต้องใช้เรือเท่านั้น ในไกด์บุ๊คไม่ได้บอกว่ามีเรืออื่นนอกจากเรือเฟอร์รี่ ซึ่งก็ตามธรรมเนียม นักท่องเที่ยวจ่ายแพงกว่าคนพม่ามากๆ แถมรายได้เข้ารัฐบาลทหารพม่าอีก ฉันเลยเตรียมพร้อมเต็มที่ในการทำ "เนียน" เป็นคนพม่าไปกับเค้าด้วย

แต่พอไปถึงท่าเรือ ไปยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ซักพักก็เห็นว่านอกจากเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่แล้วยังมีเรือแบบเรือติดเครื่องยนต์ลำเล็กให้บริการด้วย ราคาค่าโดยสารไม่ว่าจะเป็นคนพม่าหรือคนต่างชาติก็คิดคนละ100 จ๊าตเท่ากัน ในขณะที่เฟอร์รี่นั้น คนพม่าจ่ายคนละ 10 จ๊าต นักท่องเที่ยว 1 ดอลล่าร์ แถมเรือเล็กนี้ไม่ต้องรอนานด้วย เพราะเรือนั่งได้ 10-15 คนก็เต็มแล้ว แล้วก็ออกเรือได้เลยด้วยความว่องไว

ฉันนั่งโต้ลมอยู่ในเรือให้น้ำกระเซ็นเข้าหน้าเข้าตาได้ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงฝั่งมะตะบัน ขึ้นฝั่งมาก็จะเห็นสถานีรถไฟเลยทีเดียว การซื้อตั๋วรถไฟนี้ สำหรับคนพม่าก็ไปเข้าแถวซื้อตั๋วที่ช่องขายตั๋วได้เลย แต่สำหรับต่างชาตินั้นต้องไปติดต่อนายสถานีในห้องพักนายสถานี และต้องโชว์พาสสปอร์ตด้วย ตอนเราไปถึงนายสถานีกลับไม่อยู่เจอแต่ห้องเปล่า ๆ ซักพักก็มีคนออกมาบอกว่าให้รอก่อนเดี๋ยวจะไปตามให้ แล้วก็ถามว่าจะไปชั้นไหน ชั้น upper class หน่อยก็จะเป็นเก้าอี้บุนวมอย่างดี แน่นอนราคาย่อมสูงกว่าที่นั่งธรรมดา ระดับเราแล้วคงไม่ต้องคิดนาน ก็เอาชั้นธรรมดาน่ะซี ราคาอยู่ที่คนละ 4 ดอลล่าร์ แจ้งที่นั่งเสร็จตาคนนั้นก็หายไปนานนนนนนมากกกกก จนฉันมีเวลาไปเตร็ดเตร่รอบ ๆ ได้อีกนานโข

ก่อนเดินทางนาน ๆ เลยคิดว่าควรจะไปทำธุระส่วนตัวซักหน่อย ห้องน้ำหญิงนั้นอยู่อีกฝั่งของชานชลา ต้องเดินออกประตูแล้วข้ามไปหน่อย สภาพห้องน้ำถือว่าแย่ที่สุดเท่าที่เคยใช้มาในพม่า เนื่องจากพยายามทำให้เป็นแบบ "สมัยใหม่" คือเป็นคอห่านค่อนข้างดี ไม่ใช่มาเป็นท่อ ๆ พีวีซีเหมือนส้วมทั่ว ๆ ไปที่เราเคย ๆ ใช้ในพม่า แต่สภาพดันไม่ดีเพราะคนใช้มาก แต่ไม่มีคนดูแลทำความสะอาด ในห้องน้ำก็มืด ๆ ทึม ๆ กลิ่นนี่คงไม่ต้องบรรยาย จริง ๆ แล้วอาจจะต้องขอบคุณความมืดของห้องน้ำด้วยซ้ำที่ทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน ไม่อย่างนั้นอาจจะใช้ไม่ลง ต้องกลั้นใจ "เป็นไงเป็นกันวะ" แล้วก็ใช้ๆให้เสร็จธุระไป อ้อ น้ำน่ะ ไม่มีนะ

สถานีรถไฟ

ฉันเดินกลับไปที่ห้องนายสถานี ระหว่างที่เดินไปก็เห็นสาวใหญ่เดินเร่ขายโมฮิงก่าไปด้วย แต่อันนี้เท่มาก ๆ เพราะเธอมา "ทั้งโต๊ะ" คือมันไม่ใช่โต๊ะแบบแขกขายถั่วนะ มันคือ "โต๊ะ" ที่มีอุปกรณ์ ชาม ช้อน อาหารอยู่บนโต๊ะ เหมือนโต๊ะกินข้าวธรรมดาเนี่ยแหละ คือเหมือนโต๊ะมันตั้งอยู่ในห้องอาหารอยู่ดีๆ เจ๊คนนี้มาถึงก็มาแบกไปซะงั้นน่ะ แต่โต๊ะมันเตี้ย แค่พอนั่งยอง ๆ กินจะพอดี (บอกแล้วคนพม่านิยมความสูงในการนั่งที่ประมาณนี้เท่านั้น) ไม่แน่ว่าไอ้รถโมบง โมบายล์สุด hip ที่ดัดแปลงเอามาทำรถขายของในกรุงเทพฯน่ะ อาจจะได้อิทธิพลการขายแบบโมบายล์มาจากโต๊ะมหัศจรรย์เมาะตะมะก็เป็นได้

ฉันแอบไปเล่นมุขเดิมกับร้านโชห่วยบนชานชลาอีก ฉันหยิบข้าวเกรียบแบบขนมหลอกเด็กมาถุงนึง เมื่อกี๊เห็นคนกินแล้วน่ากินชะมัด
"เบเล่าเล?" (เท่าไหร่) คนขายตอบมาเป็นภาษาพม่า แน่น๊อน! ฉันฟังไม่ออก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ "เนียน"อีกแล้ว แกล้งๆถามไปงั้นแหละ ไม่งั้นเผลอๆอาจได้ราคานักท่องเที่ยวอีก กะ ๆ เอาว่ายังไงไม่เกิน 50 จ๊าตแน่ เลยให้แบ๊งค์ร้อยไป ได้ทอนมา 70 จ๊าต



กว่ารถไฟก็ออกก็ 10 โมงเช้า ยังมีเวลาพอสมควร ก็ไม่รู้จะทำอะไรนอกจากเดินเวียนไปมาอยู่ในสถานี เห็นคนเค้าเล่นปิงปองกันที่ข้าง ๆ ห้องในสถานีที่มีโต๊ะปิงปองตั้งอยู่ เลยไปแอบนั่งดูเค้าเล่นบ้าง เบิร์ตท่าทางชอบอกชอบใจอยากจะเล่นด้วย บอกให้ไปขอเค้าเล่นก็ไม่ไป ฉันเลยกะว่าจะขอเล่นเอง แต่คนเล่นไม่รู้ฟิตจะไปแข่งโอลิมปิคที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ มุ่งมั่นจริง ๆ หน้าตาซีเรียส นี่ไม่รู้ว่าถ้าเล่นแพ้จะไปผูกคอตายที่ไหนหรือเปล่า ฉันเห็นเค้าเล่นแบบเอาชีวิตเข้าแลกขนาดนั้นเลยไม่กวนจะดีกว่า ยังอยากมีชีวิตอยู่ ซักพักแกก็เก็บไม้ปิงปอง ลูกปิงปองกลับบ้านเรียบ ภายในเวลา 0.5 วินาที เก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเค้าก็จากไป

บนชานชลาฉันเห็นชายแก่คนนึง เดินช้า ๆ ช้ามาก ๆ เผลอจะนึกว่าแกค่อย ๆ เลื่อนไปด้วยซ้ำ แกกำลังขอทานอยู่ ฉันเลยให้แบ๊งค์ใบละ 100 จ๊าตไป 1 ใบ แต่แกไม่สน พอเดินไปใกล้ ๆ อีกหน่อยเลยเพิ่งเห็นว่าแกตาบอด ต้องแตะแขนแกเบา ๆ แล้วเอาแบ๊งค์ใส่มือให้ แกบอกขอบคุณ ๆ แล้วค่อย ๆ เดินไปทางอื่น น่าสงสารมาก แก่มากแล้ว ดูท่าจะเดินไม่ค่อยไหวแล้วด้วยซ้ำ

ในที่สุดก็ได้ตั๋วรถไฟมาจนได้ ที่นั่งก็เป็นเบาะแข็ง ๆ ธรรมดา แบบเบาะคู่ หันหน้าชนกับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ภาวนาขอให้เป็นหนุ่มพม่าหล่อๆ ดันกลายเป็นลุงที่ไหนไม่รู้ ผิดหวังอย่างแรง เลยต้องนั่งบ่นพึมพัมกับตัวเอง บนขบวนรถมีนายตรวจมาเดินตรวจความเรียบร้อยเป็นระยะ มีอยู่คนนึงมาในชุดยูนิฟอร์มคล้าย ๆ ทหาร ไม่รู้ใช่ทหารหรือเปล่า ไอ้ไกด์บุ๊คมันก็เตือนจั๊ง.. อย่าถ่ายรูปทหาร อย่าถ่ายรูปทหาร ใจนึงก็อยากจะขอพี่เค้าถ่ายรูปซะหน่อย แต่พอเห็นหน้าไม่รับแขกของแกแล้วเลยต้องล้มเลิกความตั้งใจไป แกเดิมหน้าเข้มมาแต่ไกล เหมือนชีวิตนี้เกิดมาไม่เคยรู้จักคำว่ายิ้ม ฉันได้แต่นั่งเจียมๆ จนเค้าเดินผ่านไปได้หน่อย ฉันเหลือบไปเห็นว่า เค้าพกอาวุธอย่างโจ่งแจ้ง!! มันคือ ไม้ยิงหนังกะติ๊ก!! และกระบอกไฟฉายสีเขียวใบตองสะท้อนแสง! เหน็บเล่นขำๆ จะไม่ว่า นี่ดันเหน็บซะแบบ "อาวุธนี้มีอาณุภาพร้ายแรง ใช้ในราชการเท่านั้น" คือเหน็บอย่างเป็นทางการมาก อยากจะขำในความน่ารักก็ไม่กล้าขำ เดี๋ยวพ่อยิงไส้แตก

เห็นฝรั่งบางคนไปนั่งชั้นหรู คือชั้นเบาะนิ่ม ไอ้เราได้แต่ไปชะเง้อ ๆ ดูว่าเฮ้อ มันนิ่มมันว้า มันนิ่มมันว้า .. แต่พอรถไฟออกไปได้ซักพักก็เริ่มเห็นสัจธรรมว่าเบาะนิ่มหรือไม่ ไม่สำคัญ เพราะตูดของท่านจะไม่ได้สัมผัสเบาะเท่าใดนัก ส่วนมากมันจะถูกทำให้ลอยอยู่ในอากาศแล้วลงมากระแทกเบาะซะมากกว่า

สองข้างทางนี้มันช่างแห้งแล้งกันดารเหลือกหลาย เห็นว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมทางรถไฟทำอิฐมอญกันหลายครอบครัว นี่มอง ๆ ไปนาน ๆ พาลจะคิดว่าตัวเองตาบอดสี สามารถเห็นได้แต่ภาพสีซีเปียหรือเปล่า เพราะวิวมันออกสีน้ำตาล ๆ เหลือง ๆ อย่างเดียวเลย ไม่มีเขียวแซมเอาซะเลย ต้นตาลก็มีแต่ใบแห้งกรอบ หญ้าแห้ง แม้แต่กระต๊อบ หรือ ไร่นา ก็ดูจะแฮ้ง แห้ง ไปซะหมด แดดก็ร้อนเปรี้ยง มองไปทางขวายังดีหน่อยพอจะมีภูเขาเขียว ๆ บ้าง

ฉันถามคนพม่าที่มากัน 3 คนว่าอยากแลกที่นั่งไหม เพราะเห็นอีก 2 คนต้องแยกไปนั่งเบาะท้ายสุดที่มีแค่สองที่แบบไม่ต้องหันหน้าชนกับใครเพราะที่มันแคบ โดยที่เสนอให้เค้ามานั่งที่นั่งของเราแทน เพราะเห็นว่าเพื่อนเค้าอีกคนนั่งตรงข้ามกับเราพอดี เค้าจะได้คุยกันได้ ส่วนเราก็ย้ายไปเบาะหลังสุดที่แคบหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะมากันแค่ 2 คนแถมสัมภาระก็มีแค่เป้ใบเดียว ที่ฉันพูดไปทั้งหมดนั้น ดูเหมือนเค้าจะไม่ค่อยเข้าใจ ฉันจึงต้องเอาภาษาสากลเข้าช่วย คือ ชี้ที่ตัวเองแล้วชี้ไปที่เบาะสุดท้าย แล้วชี้ไปที่เค้าแล้วก็ชี้ไปที่เบาะเรา เท่านี้เป็นอันว่าสองสาวนั้นตกลง

รถไฟเหาะไม่ตีลังกา

รถไฟแล่นไปแบบกระแทกกระทั้นมาตั้งแต่ออกตัว เป็นระยะ ๆ ทุก ๆ 15 หรือ 20 นาที และกระเด้งกระดอนอยู่แบบนั้นครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่า 5 นาที บางทีร่วม 10 นาทีเลยก็มี แล้วก็กลับไปวิ่งโคลงเคลงธรรมดาเหมือนเดิม แล้วเดี๋ยว ๆ ก็กระแทกอีก เป็นอย่างนี้ไปตลอดการเดินทาง ทำให้ผู้โดยสารบนรถไฟเหมือนป๊อปคอร์น เด้งไปทางนั้น เด้งไปทางนี้แบบไม่มีจุดหมายในชีวิต กระเป๋าเป้ขนาด 50 ลิตรของฉันที่ยัดไว้บนช่องเก็บสัมภาระก็ถูกแรงกระแทกของรถไฟเหวี่ยงให้หล่นลงมาเกือบทับสาวพม่าหวิดดับ ดีนะที่น้องเค้าไหวตัวทันเลยรอดไป ท้องเริ่มจะปวดหนึบๆ มันคืออาการจุกนี่เอง จะเปิดฝาขวดกินน้ำทีก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะน้ำมันจะกระฉอกไปทางนั้นทีทางนี้ที เผลอขวดกระแทกเอาปากเจ่ออีก แต่ดูคนพม่าจะไม่มีใครบ่นอะไร ก็คงเหมือนชีวิตคนกรุงเทพฯ กับรถมินิบัสนั่นแหละ ขับทีทำเอาผู้โดยสารอยากด่าบุพการี แต่ก็ยังต้องทน ๆ ใช้ไป นี่รถไฟหนักกว่าอีก จะแย่ยังไงก็ต้องใช้ เพราะมันสะดวก และราคาถูกสำหรับการเดินทางระยะไกลสำหรับคนพื้นที่ สภาพรถก็เก่ามากกกกก คิดว่าคงได้บริจาคมาจากต่างชาติอีกเช่นกัน นั่งแล้วก็รักการรถไฟไทยขึ้นอีกโข สาธุ



ของกินมีคนเดินเอามาขายเป็นระยะ มีทั้งแตงโม ที่ผ่าซีกมาแล้วเรียบร้อย ถั่วลิสง อ้อยควั่น มีกระทั่งเป็ดย่าง! แล้วก็ข้าวห่อในใบไม้แล้วเอาหนังสือพิมพ์ห่อด้านนอกอีกที ที่มาแต่ข้าว พอใครสั่งก็แกะห่อออกมาเอาแกงราด แล้วเปิบด้วยมือหรือจะกินด้วยช้อนก็ตามสะดวก บางคนเอาเสื่อมาเอง ก็เอาไปปูตรงพื้นระหว่างทางเดินแล้วก็นั่ง ๆ นอน ๆ แต่ว่าเวลามีคนเดินมาก็ต้องหลีกให้ เด็กผู้ชายคนนึงนั่งหลับตั้งแต่เมาะตะมะยันบาโก ไม่รู้ว่าหลับเข้าไปได้ยังไง เซียนจริง ๆ เห็นตื่นมาก็แค่กินข้าวเท่านั้นเอง

มีเจ้าหน้าที่เดินมาตรวจความเรียบร้อยเป็นระยะ มากันทียังกะกองทัพ เล่นมาที 3 - 4 คน แถมทหารเดินตามอีกหนึ่ง นายตรวจตั๋วมาขอดูตั๋ว แถมพูดภาษาพม่ากับฉันอีกตามเคย แต่คราวนี้ฉันไม่ต้องพูดอะไร เพราะเพื่อนเค้าบอกให้เรียบร้อยว่าเจ๊แกเป็นคนไทยโว้ย ไม่ใช่พม่า ตรวจตั๋วไป ตรวจตั๋วไป อย่าชวนคุย

โอ๊ว ! มันคือหงสาวดี

พอเริ่มเข้าเขตเมืองหงสาวดี ก็เริ่มเห็นแสงสว่างในชีวิต เพราะมันเริ่มมีอะไรให้ดูนอกทางทุ่งนาแห้งๆ บ้าง ชาวบ้านยังทำอิฐมอญเหมือนเดิม แต่บ้านดูจะน่าอยู่กว่ากระต๊อบกลางทุ่งหน้าขึ้นมาหน่อย บางบ้านเริ่มมีทีวีดู ฉันเห็นความเจริญแล้วถึงกับกระดี๊กระด๊า ไม่ใช่เพราะคิดถึงความศิวิไลซ์ แต่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่มันจะถึงซักที(วะ) เจ็บไส้จะแตกอยู่แล้ว ไกด์บุ๊คก็อ่านเล่นมันทุกหน้าแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งหน้า Thanks เพราะมันไม่มีอะไรจะทำ
"ถึงยังๆ" ฉันหันไปถามเบิร์ต
"ใกล้แล้ว" ครึ่งชั่วโมงผ่านไป
"ถึงยังๆ"
"ใกล้แล้ว" 40 นาที ผ่านไป
"ถึงยังๆ"
"ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว"
"ว๊ากกกก! ถ้ายังไม่ใกล้อย่ามาหลอกให้ดีใจเซ้!"
"อ้าว ฮ่าๆๆ ก็จะได้มีกำลังใจไง" แถมยังบอกว่าที่รถไฟมันกระเด้งกระดอนแบบนี้ "สนุกดีจะตายไป" โอว ไม่ไหว ไม่ไหว ชาติที่แล้วสงสัยจะเป็นป๊อปคอร์นมาก่อน



เราลงที่สถานีหงสาวดี ตอน 6 โมงเย็นพอดี ฉันแทบจะคลานลงมาจากรถไฟเลยก็ว่าได้ คนที่สถานีนั้นยังเยอะอยู่ บางคนก็มาขึ้นรถไฟ บางคนก็มารอรับญาติ บ้างก็เป็นพวกสามล้อรับจ้างมารอรับผู้โดยสาร จากสถานีรถไฟ เดินขึ้นมาอีกหน่อย ราว ๆ ซัก 10 นาทีก็ถึงโรงแรม Mya Nandar ด้านหน้าดูเหมือนตึกแถวธรรมดา เวลาขึ้นต้องไปขึ้นบันไดแคบ ๆ ด้านข้างตึก เคาท์เตอร์ต้อนรับนั้นอยู่ชั้น 2 เค้าเสนอห้อง double คือมีเตียงเดี่ยวสองเตียง อยู่ที่ราคา 8 ดอลล่าร์ ขอลดอีกก็ไม่ให้แล้วเค้าบอกว่าปรกติขายอยู่ที่ห้องละ 10 ดอลล่าร์ แต่มีห้องน้ำในตัว ไม่ใช่ห้องน้ำรวม ส่วนน้ำนั้นก็มีน้ำเย็นกับน้ำร้อน น้ำอุ่นไม่มี ไฟนีออนบนเพดานเวลาเปิดก็มีเสียง วิ้ง วิ้ง น่าปวดหัว แต่ห้องสะอาดสะอ้านดี สภาพโดยรวมนับว่าโอเค ก็เลยตกลงพักที่นี่ ราคานี้ไม่มีอาหารเช้าให้

"แง ไม่ไหวแล้ว ไม่กินข้าวแล้ว" ฉันไปนอนกุมท้องร้องโอย ๆ อยู่ในห้อง เนื่องจากทริปรถไฟอันแสนทรมาน
"เฮ่ย ไม่เอาน่า ไปไป ไปหาไรกินกัน" ฉันสงสัยว่าเบิร์ตมันไปได้ยาดีที่ไหนมาหรือเปล่า ตัวก็ผอม ๆ ทำไมมันไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่เคยเห็นเบิร์ตป่วย ตอนไปเนปาลฉันท้องเสียจนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำตามร้านอาหารติด ๆ กัน 3 ร้านมาแล้ว เบิร์ตกลับไม่เป็นอะไร มาถึงพม่านี่ฉันอ้วกแตกอ้วกแตนไปรอบแล้วที่เมาะละแหม่ง เบิร์ตยัง chill chill นี่รถไฟพิฆาตขนาดนี้ เบิร์ตยังหน้าระรื่นได้อยู่ แต่แปลกนะ เพราะอยู่กรุงเทพฯปั๊บ เบิร์ตจะป่วยเอา ป่วยเอาเนื่องมาจากอาหารเป็นส่วนมาก ไม่รู้ว่าอะไรมันผิดสำแดง

ในที่สุดเราก็ออกมาเดินอยู่ริมไฮเวย์ในเมืองหงสาวดีจนได้ ร้านอาหารส่วนมากมีแต่อาหารพม่าแบบเบสิค ๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอยากกินอาหารพม่าแล้ว ขอเป็นอาหารตามสั่งธรรมดาดีกว่า ข้ามไปอีกฝากถนนเป็นร้านที่ดูเหมือนจะรวมขี้เมาในเมืองเอาไว้ด้วยกัน แต่ร้านเป็นขนาดตึกแถวสองห้องเปิดโล่ง เราเลยไปกินที่ร้านนั้น อาหารก็ราคาปรกติสำหรับนักท่องเที่ยว เหมือนที่เราจ่ายทุกมื้อ ข้าง ๆ โต๊ะที่เรานั่งมีโปสเตอร์เบียร์ เป็นนางแบบชาวพม่า แต่งตัวโป๊ที่สุดในพม่าแล้วมั้งเนี่ย คือชุดแซ็กรัดรูปสีดำ และมีเสื้อคลุมอีกต่างหาก คือแบบ ไม่เห็นอะไรเลย ไปจินตนาการเอาเอง




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 30 กันยายน 2549 12:50:37 น.
Counter : 1184 Pageviews.  

วันที่ 12 : เดินเล่นในเมาะละแหม่ง



อาทิตย์ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๖
พนักงานที่ดูแลแขกที่มาพักเดินนำทางเราไปที่ชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นส่วนด้านหน้า และเป็นส่วนที่เจ้าของบ้านพักเอง ไม่ได้เปิดให้แขกพัก ลักษณะเป็นห้องโถงโล่ง เปิดประตูบ้านพับใหญ่ออกไปได้ตลอดแนว ทำให้เห็นวิวแม่น้ำได้ถนัด รอบ ๆ ห้องโถงเต็มไปด้วยชั้นหนังสือ ภาพถ่าย ส่วนที่จัดไว้ให้แขกที่มาพักรับประทานอาหารเช้านั้นอยู่ที่ระเบียง ไม่ได้จัดเป็นทางการอะไร แค่เอาโต๊ะพับมาวางง่ายๆ แค่ 2 โต๊ะ แล้วก็เก้าอี้เลือกนั่งกันตามชอบ มีที่ว่างอยู่สองที่คือโต๊ะของคนเยอรมันสองคนที่เรานั่งเรือลำเดียวกันมาเมื่อวานนี้ เราเลยไปนั่งรวมกับเค้า พยายามชวนคุยแต่ดูท่าทางเค้าจะไม่ค่อยอยากยุ่งกับใคร คุยกันเองแทบยังไม่คุยเลย ฉันเลยนั่งทานอาหารเช้าไปเงียบ ๆ

วันนี้ฉันไม่มีไอเดีย คนวางแผนต้องยกให้เพื่อน (ซึ่งบางครั้งมันก็ชอบพาไปที่ที่ชาวบ้านเค้าไม่ไปกัน) ตามที่รู้ ๆ กันว่า "อยู่ที่ไหน ไปยังไง คำตอบสุดท้ายคือ ไปตลาด" ตลาดนับว่าเป็นศูนย์กลางของโลก ยามที่เราเดินทาง หารถไม่ได้เรอะ ไปตลาด .. ไม่รู้จะกินข้าวที่ไหนเรอะ ไปตลาด หมดไอเดียไม่รู้จะไปไหน ฯลฯ "ตลาด" คือคำตอบสุดท้าย

วันนี้เราไปเริ่มกันที่ตลาดเหมือนเดิม ถาม ๆ เค้าเอาว่ารถไปวัดพระนอนขึ้นที่ไหน พยายามออกเสียงชื่อวัดหลายรอบ ไม่มีใครเก็ต ดีที่ว่าให้เจ้าของเกสต์เฮาส์เขียนชื่อเป็นภาษาพม่าไว้ให้ในกระดาษเราก็แค่ยื่น ๆ ให้เค้าไป แผล่บเดียวก็ขึ้นไปนั่งยิ้มอยู่บนรถสองแถว

ค่าโดยสารรถสองแถวระหว่างวัด - ตลาดนั้น ปรกติคือคนละ 200 จ๊าต เบิร์ตให้แบ๊งค์ 500 จ๊าตไป เด็กรถทำมึน มั่วนิ่มชวนคุยนั่นคุยนี่ไปเรื่อย ฉันก็ได้แต่ถามว่าเมื่อไหร่จะทอนเงิน(วะ) จนแล้วจนรอดมันก็มั่วโดยการชวนคุยนั่น คุยนี่ แบบตลกอยู่คนเดียว ในที่สุดก็เอาเงินไปจนได้โดยไม่เคยทอนเลย แหม มันน่าโมโหจริง ๆ

พระในห้อง? หรือห้องในพระ?

รถพาเรามาหยุดที่ปากทางเข้าวัด หลังจากนั้นต้องรอรถเวียนที่วิ่งโคตรไกลเลย คือปากซอยวัดกะวัด แค่เนี้ยแหละ ค่ารถคนละ 50 จ๊าต ซึ่งทางมันก็ไม่ไกลมากแต่ท่ามกลางแดดร้อนตับแลบขนาดนี้ถ้าเดินต้องเป็นลมกลางทางแน่นอน เหลือบไปเห็นใบปลิวโฆษณาขายแป้งยี่ห้อ westlife ระหว่างรอรถสองแถว แล้วก็ต้องอึ้งในความครีเอทของคนพม่า ใบปลิวเป็นรูปเหล่าบอยแบนด์(ตัวจริง!) กำลังรวมพลังจับกระป๋องแป้งอยู่ คนทำต้องเซียนโฟโต้ชอปมากๆ อืมมมม..

หนังสือนำเที่ยวยอดนิยมไม่ได้พูดถึงวัดนี้เอาไว้ แต่อ่านเจอมาจากคนที่ไปเที่ยวมาแล้วว่าถ้าพระที่นี่เสร็จน่าจะเป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ได้ไม่ยาก วัดนี้ชื่อ Win Sein นั่งรถไปจากตลาดก็ราวๆ ครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ อย่าว่าแต่องค์พระเลย แค่ทางเข้าก็อลังการล้านเจ็ดแล้ว คือมันไม่ได้หรูหราอะไร แต่เค้าทำรูปพระสงฆ์เหมือนตอนเดินบิณฑบาตรยืนเป็นแถวสองแถวเรียงกันไปตลอดแนวถนนที่ทอดยาวไปถึงหน้าวัด กะ ๆ ดูแล้วน่าจะเกิน 300-400 รูป นั่งดูเล่นๆจากบนรถยังเล่นเอาตาลาย




องค์พระใหญ่นี้กะ ๆ ดูแล้วน่าจะสูงเท่าตึก 3-4 ชั้น (อย่าลืมนะว่าพระนอน ไม่ใช่พระยืน) ที่สำคัญคือข้างในไม่ใชอิฐไม่ใช่ปูนธรรมด๊า ธรรมดา แต่ข้างในองค์พระที่เต็มไปด้วยห้องเล็กห้องน้อยต่างๆ "182 ห้อง" (ก็ไม่รู้เค้าจะทำทำไมให้มันสับสนมากมายขนาดนั้น) ตกแต่งเสร็จไปแล้วประมาณร้อยห้อง (เค้าว่างั้นนะ แต่ว่าเท่าที่ฉันดู ยังเหลืองานที่ต้องทำอีกมาก) ที่แน่ ๆ ใช้เงินสร้างไปแล้วกว่า 180 ล้าน! จ๊าต..

ตอนแรกก็ไปยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ด้านนอกก่อน เพราะเห็นว่าเค้ายังสร้างไม่เสร็จ จะทะเล่อทะล่าเข้าไปปอด ๆ พอดีกลุ่มคนพม่าที่มาไหว้พระทำบุญคงเห็นท่าทางเราน่าสงสัย เลยทำท่าทางไหว้ๆ บอกให้เราเข้าไปไหว้พระข้างในได้เลย คนพม่าถอดรองเท้าตั้งแต่ด้านล่างแล้ว แล้วก็เดินไปตามทางที่เป็นอิฐ เศษปูน เศษหินเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เดินแล้วก็เหมือนเวลาเราไปเดินตามตึกที่เค้ากำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างนั่นแหละ เราสองคนจึงต้องถอดรองเท้าบ้างแล้วเดินกระย่องกระแย่งตามเค้าไป

เข้าไปข้างในได้ ตอนแรกก็เฉยๆ ผนังก็ยังดูเปลือย ๆ มีเหล็กเส้นโผล่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง แต่พอลัดเลาะขึ้นไปตามบันไดที่ยังสร้างไม่ค่อยจะเสร็จดี ก็ต้องอึ้งว่า "อะไรวะเนี่ย" บางห้องก็อลังการมาก มีภาพเขียนบนฝาผนัง ถึงจะไม่ละเอียดลออนักแต่ก็เห็นว่าตั้งใจวาด เหมือนเวลาเราไปดูนรกจำลองที่วัดในไทยน่ะแหละ มีรูปปั้นจัดแสดงเป็นเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้ตามห้อง บางอันก็มีทาสีไว้แล้ว บางอันก็ไม่ได้ทา ยังแอบคิดว่ากว่าจะเสร็จทุกห้อง พวกนี้ก็กลายเป็นวัตถุโบราณได้พอดี เพราะนี้ขนาดยังไม่เสร็จดีก็เริ่มเก่าแล้ว

เดิน ๆ วนไปเวียนมาอยู่ในองค์พระได้พักใหญ่ ๆ ก็มาโผล่ที่ห้องที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์ที่สุดแล้ว มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ รอบห้องประดับกระจกสีฉูดฉาดตามสไตล์พม่า เราช่วยสมทบทุนบริจาคช่วยทางวัดคนละ 1000 จ๊าต แถมยังได้ใบเสร็จ เอ๊ย ภาพถ่ายเกจิอาจารย์ของพม่ามาไว้บูชาอีกด้วย



เจ๋งกว่าสยาม

เที่ยววัดนี้เสร็จเราก็หาที่เที่ยวต่อทันที แต่ต้องหารถกลับตลาดให้ได้ก่อน ก็นั่งเหมือนตอนขามา แต่รอรถสองแถวสายหลักนานหน่อย แต่ได้นั่งคุยกับคุณลุงคนหนึ่งที่ป้ายรถเมล์เพลินไป แถมคุณลุงยังคอยดูให้อีกด้วยว่ารถเราคันไหน

ขึ้นรถไปได้ซักพัก คนในรถเริ่มชวนคุย พอเห็นว่าฉันพูดภาษาพม่าไม่ได้ก็แปลกใจเล็กน้อยแล้วหันไปซุบซิบกับคนพม่าอีกคน แล้วก็กลับมาพยายามชวนคุยต่อ (นับถือในความพยายามจริง ๆ ) นี่ยังคิดว่าคราวหน้ากลับมาอีกเมื่อไหร่ต้องพูดพม่าให้ได้เลยคอยดู๊..

หลังจากที่โดนโกงไป 100 จ๊าตตอนขามา คราวนี้ฉันยื่นให้ 400 จ๊าตพอดีเป็นอันจบเรื่อง มาลงที่ตลาดเหมือนเดิม จากที่คิดว่าจะเที่ยวต่อเลยตอนนี้ไม่ไหวแล้ว หมดแรง ก่อนที่เราจะไปเจดีย์อีกที่ เลยต้องไปแวะนอนพักที่เกสต์เฮาส์เอาแรงก่อน เรียกว่าใช้เวลาได้เปลืองพอดู เที่ยว ๆ เหนื่อยมีกลับมานอนพักแล้วออกไปเที่ยวต่ออีก ฉันเห็นว่าที่นี่มีโรงหนังกับเค้าด้วยเหมือนกัน หลังจากที่ติดใจไปรอบนึงแล้วที่มัณฑะเลย์ เลยกะว่าลองโรงหนังเมาะละแหม่งหน่อยน่าจะดี แต่พอไปดูเข้าจริง ๆ ก็ต้องเซ็งเพราะหนังเห่ย เป็นเรื่องวัยรุ่นใจแตก เล่นดนตรีทันสมัย แย่งแฟนกันไปแย่งแฟนกันมา แถมไอ้คนนั่งดูข้างหลัง (คิดว่าจะมีแต่เมืองไทยซะอีก) มันก็เอาเท้าถีบที่นั่งข้าง ๆ ฉันอยู่ได้ โปรดอย่าลืมว่าเป็นเก้าอี้ไม้ พอถีบเสียงมันดังเอี๊ยด ๆ เอี๊ยดๆ อยากจะหันไปถามมันว่าชาติที่แล้วเป็นหนูถีบจักรหรือไงถึงได้ขยันถีบขนาดนี้ ชายคนเดมถีบที่นั่งเล่นจนทำกระเป๋าฉันหล่นพื้น ฉันเลยเซ็งในอารมณ์เลิกดูดีกว่า

สถานที่ที่ไม่น่าพลาดชมอีกที่หนึ่งคือเจดีย์ที่เห็นได้ชัดที่สุดในเมืองคือ ไจก์ทันลัน (KyaiThanLan Paya) ไม่รู้ออกเสียงถูกหรือเปล่า ค่าเข้าชมคนละ 20 จ๊าตเอง ที่สำคัญและสะกิดใจจนต้องไปดูคือชื่อของเจดีย์นี้มีความหมายว่า "เจ๋งกว่าสยาม" หรืออะไรทำนองนั้น สร้างโดยชาวมอญ ที่มาก็ไม่มีอะไรมาก แค่แข่งกันสร้างเจดีย์ว่าใครจะใหญ่กว่ากันเท่านั้นแหละ ก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเค้าจะรู้ได้ไงว่าใครสร้างได้ใหญ่กว่ากัน ถ้างั้นมิต้องส่งสปายมาสืบกันอยู่ตลอดรึเนี่ย
"ไปดูซิ สยามมันสร้างเจดีย์ใหญ่แค่ไหนแล้ว"
"โอ้วๆๆ ใหญ่กว่าที่เรามีแล้วครับทั่น"
"โอ๊ว ไม่ได้ ยอมไม่ได้ เราต้องใหญ่กว่า" ฯลฯ
จนแล้วจนรอด ก็ออกมาเป็นเจดีย์ที่เรากำลังนั่งแหงนหน้าดูอยู่นี่แหละ จะว่าไปก็ไม่ได้ใหญ่อะไร แต่สมัยนั้นแค่นี้ก็คงนับว่าใหญ่แล้วมั้งนะ รอบ ๆ เจดีย์ถือว่าบรรยากาศดีทีเดียว เพราะตั้งอยู่บนเนิน มองเห็นแม่น้ำไปไกลถึงนู้นนนน วันนี้เห็นมีสาว ๆ มาสวดมนต์กันเยอะพอสมควร

ระหว่างที่เรากำลังเล็งหามุมถ่ายรูปอยู่นั้นก็มีคนพม่าสองคนเดินมาขอดูกล้องอย่างสนอกสนใจ
"ดิจิตอลหรือเปล่าครับนี่"
"ใช่ค่ะ"
"โอ้โหๆ เท่าไหร่อะครับ"
"ประมาณ... 300 ดอลลาร์ได้มั้งคะ แต่ตอนนี้ราคาถูกลงแล้วล่ะนี่เก่าแล้ว"
"กี่จ๊าตเหรอ"
"ประมาณ.. 2แสน? ได้มั้ง?" เบิร์ตช่วยคิด
"โฮ๊! โคตรแพงเลย แบบนี้ผมใช้กล้องฟิล์มเหมือนเดิมแหละดีแล้ว แฮ่ะๆ" ฉันให้เค้าเล่นกล้องตามใจชอบ ซักพักเค้าก็คืนให้ กล่าวขอบคุณแล้วก็เดินจากไป

นอกจากจะมีเจดีย์ที่มอญเคลมว่าเจ๋งกว่าสยามแล้ว ด้านล่างของเจดีย์ยังมีที่ที่น่าสนใจไม่ควรพลาดไปเยี่ยมเยือน คือ สำนักสงฆ์ Seindon mibaya kyaung (จะว่าไปน่าจะเรียกว่าสำนักชีมากกว่า) สถานที่นี้เคยเป็นที่พำนักของอดีตว่าที่มเหสีของกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าที่เคยกล่าวถึงไว้ในตอนเขียนถึงเมืองมัณฑะเลย์นั่นแหละ คือคนที่หนีออกมาจากวังก่อนที่จะถูกกำจัดโดยพระยางศุภยลัต

อาคารที่หลงเหลือให้เห็นปัจจุบันนี้ ถ้าเทียบกับอายุร้อยปีของมันแล้วก็นับว่าอยู่ในสภาพที่ดี เป็นอาคารปูนยกพื้นสูง ด้านในเป็นพื้นไม้ แบ่งเป็นห้องซ้ายขวา สามารถขอพระท่านเข้าไปชมด้านในได้ แถมท่านยังมานำชมให้อีกด้วย ของบางอย่างถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี คือเก็บไว้ในตู้กระจกแต่สามารถเปิดได้ตลอด เห็นพระท่านเปิดตู้นั้นดูตู้นี้แล้วก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าของพวกนี้เคยเป็นของใช้ของราชวงศ์พม่าจริงๆเมื่อร้อยปีก่อน คือเค้าไม่ได้เก็บเป็นแบบแผนแบบพิพิธภัณฑ์ แต่เก็บเหมือนเราเก็บของเก่าของปู่ย่าตายาย คือไม่ได้ทิ้งขว้าง แต่ก็ไม่ได้จัดการอะไรกับมันเป็นพิเศษ อันนี้อยากให้ไปดู สำหรับฉันฉันว่าน่าทึ่งมาก ดูไปขนลุกไป ยิ่งเห็นรูปเจ้าของที่ติดไว้บนผนังด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ แต่พอเดินออกมาจากห้องเห็นคนพม่านั่งทานอาหารเย็นกันแบบกันเอ๊ง กันเองมาก ๆ อยู่บนพื้นบ้าน สถานที่เลยดูไม่ขลังจนน่ากลัวอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ถ้าเดินออกไปถึงถนนนอกวัดแล้วมองเข้ามา ก็จะเห็นเป็นกำแพงสูงทีเดียว

หนังห่วย

เนื่องติดใจการดูหนังมาจากที่มัณฑะเล พอเห็นโรงหนังที่นี่เลยต้องแวะดูอีก แต่หนังที่ฉายที่นี่ ซวยที่มันดันไม่สนุก เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มสาววัยรุ่น แต่งตัว(พยายาม) จะพังค์ร็อก ส่วนแม่สาวก็เหมือนหลุดออกมาจากยุคปี 80 วัน ๆ ไม่เห็นมันทำอะไร นอกจากฝ่ายชายไปเล่นดนตรี ผู้หญิงก็ไปนั่งดู พร้อมกับกลุ่มเพื่อนเด็กใจแตก ยิ่งดูยิ่งเซ็ง แถมไอ้คนพม่าข้างหลัง (วัยเดียวกับพระเอกในจอ) ไม่รู้ชาติที่แล้วมันเป็นโรคชักกระตุกในไขข้อมันหรือยังไง ถึงได้นั่งฉีบเก้าอี้ฉันเล่นบนของที่วางอยู่บนเก้าอี้ตัวที่มันนั่งถีบมาเกือบ 10 นาทีลงไปกองที่พื้น (โรงมันว่าง นั่งกันตามใจชอบ) ฉันเลยหมดอารมณ์จะดู เก็บของแล้วหันไปมองหน้ามันที่มากับแฟนสาว(ที่ดูแล้วไม่ต่างกับผู้หญิงในจอเหมือนกัน)แบบเคือง ๆ ให้รู้ว่านี่ด่านะโว้ย ไม่ได้มองเฉย ๆ แสดงว่าวัฒนธรรมถ่อย ๆ ในโรงหนังนี่มันก็มีกันทุกชาติอีกเหมือนกัน


พระอาทิตย์จะตกแล้ว ต้องหาอะไรกินอีกแล้ว เราเดินไปที่ร้านอาหารร้านหนึ่งจำชื่อไม่ได้ว่าชื่อร้านอะไร จำได้แต่ชื่อร้านฝั่งตรงข้ามว่าชื่อ RUBY ปรกติอย่างที่เคยบอกไป ว่าอาหารจะตกที่จานละ 600-1500 จ๊าตโดยประมาณ ร้านนี้ฉันไม่เห็นมีราคาอยู่ในเมนู ได้บทเรียนมาจากที่พุกามว่า "กินอะไรถามราคาก่อน" พอถามไปถึงกับอึ้ง เพราะลูกชิ้นกุ้งผัดผัก หรือแค่ไก่ผัดธรรมดา ๆ ปาเข้าไปตั้ง 3500 จ๊าต แพงกว่าราคาปรกติถึงเท่าตัว

เราเลยปิดเมนูแล้วเดินออกมาเฉย ๆ เดินไปบ่นไป แหม ..ไม่ปล้นกันไปเลยล่ะ





 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 30 กันยายน 2549 12:40:54 น.
Counter : 969 Pageviews.  

วันที่ 11 : ล่องแม่น้ำสาละวิน

เสาร์ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๖

เรือจะออกราวๆ 7 โมงครึ่ง แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าวันนี้จะมีเรือหรือเปล่า เลยต้องตื่นขึ้นเก็บกระเป๋าตั้งแต่ 6 โมงเช้า ตื่นมาพร้อมๆ กับเสียงตามลำโพงจากสุเหร่า (สงสัยจะถูกโฉลกกับสุเหร่า ที่มัณฑะเลย์ก็ได้ที่พักติดๆกับสุเหร่าเหมือนกัน) กลั้นใจอาบน้ำที่เย็นจับขั้วปอดแล้วก็เช็คเอาท์เดินดิ่งออกจากเกสต์เฮาส์ไปยังท่าเรือที่เราไปเดินสำรวจมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน

เห็นคนยืน ๆ เดิน ๆ อยู่ตามท่าเรือบ้างแล้ว แต่ยังไม่เห็นเรือ พอเดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย เรือที่ถูกตลิ่งบังอยู่ จึงค่อยๆ โผล่ให้เห็น โอ้แม่เจ้า! เรือนี่ท่านขุดได้แต่ใดมา มันเก่ามาก ที่พูดนี่ไม่ได้บ่นนะ แต่ทึ่งมากจริงๆ เรือแบบนี้สงสัยหาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว เป็นเรือลำใหญ่โต 2 ชั้น ชั้นล่างเต็มๆไปด้วยกองกระสอบบรรจุสินค้าต่าง ๆ ทั้งของกินของใช้ และยังมีคนแบกกระสอบไปกองสุมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดมาแบบชั้นธุรกิจทั้งนั้น คือมาขายของบ้าง นำสินค้าไปส่งบ้าง บางคนก็นั่งข้างกระสอบนั่นแหละ ชั้นล่างคนนั่งกันแน่นพอดู แต่อย่าคิดว่ามีเก้าอี้หรืออะไรนะ เป็นการนั่งแบบบุฟเฟ่ต์ ใครอยากนั่งตรงไหนเชิญตามสบาย เช่นเดียวกับชั้นสองที่เปิดโล่ง เป็นพื้นกระดานเลี่ยนเตียน และมีเสื่อกลางเก่ากลางใหม่ กางอยู่บ้าง

เราซื้อตั๋วในราคาคนละ 2 ดอลล่าร์ แต่ถ้าคุณเป็นคนพม่าแล้วล่ะก็ จะเหลือคนละ 300 จ๊าตเท่านั้น ซื้อตั๋วเสร็จแล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง เห็นเสื่อว่างอยู่หลายผืน แต่ไม่ยักมีใครนั่ง คนพม่าส่วนใหญ่ที่มาเป็นครอบครัว พากันไปนั่งนอกเสื่อกันเกือบหมด ทำเอาฉันกล้า ๆ กลัว ๆ ว่าเสื่อนี่มันลงอาถรรพ์หรือยังไงถึงไม่มีใครนั่ง แต่เราก็จับจองเสื่อไปเต็ม ๆ หนึ่งผืน ด้วยพื้นที่โอ่โถง ยังคิดว่าจะเอาควายเข้ามาเลี้ยงอีกซัก 2-3 ตัวก็ยังได้

พระอาทิตย์กำลังขึ้น อากาศกำลังเย็นสบายดี หมอกลงอีกต่างหาก เห็นภูเขาอยู่ไกล ๆ ลูกนึง คิดลามกไปว่าทำไมรูปร่างมันช่างเหมือนนมได้ขนาดนี้ นี่เกาะนมสาวที่เมืองไทยอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อซะละมั้ง ตอนเช้าเราไม่ได้กินอะไรกันมาเลย เพราะเช้าเกินไปที่จะหาร้านที่เปิดขายอาหารเช้าขนาดนั้นได้ เลยต้องท้องกิ่วรอไปก่อน ฉันวางกระเป๋าไว้ ฝากให้เบิร์ตช่วยดู แล้วก็พาตัวเองเดินลงไปสำรวจเรือชั้นล่าง เพราะตอนเดินขึ้นมา เห็นมีแม่ค้ามาเร่ขายโมฮิงก่า กะว่าจะกินรองท้องซักหน่อย แต่พอลงไปก็พบกับกลุ่มชายพม่านับสิบกำลังรุมกินโมฮิงก่ากันเป็นทีมเวิร์คราวกับจะส่งไปโอลิมปิคโมฮิงก่าโลกครั้งหน้า ฉันเลยถอดใจ ว่าเราจะเอาอะไรไปสู้กะเค้าวะเนี่ย แม้แต่เรื่องจะกินโมฮิงก่ายังปอดแหก เลยต้องเดิน(พยายาม)ทำตัวลีบกลับไปนั่งที่ชั้นสองเหมือนเดิม แล้วจะนั่งทีก็ทำยังกะเข้าบ้านเลย คือถอดรองเท้าถุงเท้าจะเรียบร้อย ด้วยความเคยชิน หันไปมองคนพม่าข้างๆ เค้าก็ทำเหมือนกัน เลยรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว

ฉันเดินไปกดชัตเตอร์มุมละทีสองที แล้วก็ไม่มีอะไรให้ถ่ายอีก แต่จริง ๆ คือ ถ่ายมายังไงก็ไม่เหมือนที่เห็นด้วยตาตัวเอง บรรยากาศมันบอกไม่ถูก มันเย็น ๆ เรื่อย ๆ งง ๆ เหวอ ๆ แต่รวม ๆ แล้วสบายใจ คือไม่ต้องคิดอะไร นั่งดูหมอกลอยๆ ไปเรื่อย ๆ ทำตาปรือๆ แล้วรำพึงกับตัวเองอย่างโรแมนติก..ว่า..
"หิวววข้าวววววว..."

คนลงเรือครบหมด สินค้าถูกลำเลียงลงในเรือเรียบร้อย เรือก็เริ่มเคลื่อนตัวออกจากท่าอย่างอ้อยอิ่งเหมือนไม่ค่อยอยากจะไป วิวรอบข้างเป็นภูเขาเป็นฉากหลัง มีแม่น้ำสาละวินเป็นนางเอก แล้วก็มีเรือลำเล็ก ๆ ของคนหาปลาเป็นตัวประกอบ (พระเอกยังหาไม่ได้) บรรยากาศเหมือนไม่ใช่ของจริง เพราะมันดูลอย ๆ และก็แปลกที่ไม่มีใครคุยกันเลย ทุกคนนั่งกันเงียบ ๆ บางคนนั่งหลับ บางคนนั่งแทะแตงโม บางคนอาจจะอยากร้องคาราโอเกะแต่ไม่มีให้บริการ เลยต้องนั่งไปเงียบ ๆ ไป

เดินทางอย่างมีระดับ เช่าเสื่อกับเราซิคะ

วิวสวยมากจริงๆ ไม่ใช่สวยแบบวิวที่เราเห็นในโปสการ์ดสีสันจัดจ้าน แต่มันเป็นสีเทา ๆ แซมสีส้มอ่อนๆ ของท้องฟ้าที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ทำให้ได้ส่วนผสมที่ออกมาแปลกแบบลงตัวมาก ๆ เรือแล่นไปตามแม่น้ำสาละวิน ฝ่าหมอกจาง ๆ ไปแบบไม่รีบร้อน นาน ๆ จะเจอเรือหาปลาซักลำ จากที่นั่งพิงกระเป๋าอยู่ ตอนนี้ฉันเริ่มลงไปนอนกลิ้งเกลือกกับพื้นแบบไม่เกรงใจใคร ราวกับนอนอยู่ห้องรับแขกที่บ้าน เรือเริ่มเร่งความเร็วขึ้นมานิดหน่อย ลมพัดเย็นสบาย จากที่เย็นกำลังดี ตอนนี้เริ่มหนาว ต้องไปควานหาผ้าในเป้ออกมาห่ม



พอเคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับ ฝันเห็นเลขพม่ากะเอาไปซื้อหวยอยู่รอมร่อ ก็มีมือมาสะกิดยิก ๆ จากข้างหลัง เบิร์ตนั่นเอง
"เอ่ย ปลุกทำไมเนี่ย กำลังสบาย"
"เค้ามาตรวจตั๋ว..เจ๊" ฉันเลยต้องลุกขึ้นมาหยิบตั๋วในกระเป๋าส่งให้นายตรวจที่มาให้เครื่องแบบเป็นทางการมากๆ คือนุ่งโสร่ง พอตรวจตั๋วเสร็จ เค้าก็พูดอะไรเป็นภาษาพม่า ฟังไม่ออก เค้าเลยพยายามสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษแบบพอเข้าใจได้ว่า เอามาอีก 100 จ๊าตซะดีๆ อย่าให้พี่หม่องต้องเสียเวลา
"100 จ๊าต? ค่าอะไรเหรอ?" ฉันเกาหัวแกรก.. มองหน้าเค้างงๆ
"ค่าเนี่ย ค่าเนี่ย" หนุ่มพม่าคนเดิมยิ้มโชว์ฟันดำ มือชี้ไปที่เสื่อที่เรานั่งอยู่
"เฮ้ หลอก..กัน..เล่นหรือเปล่า" (โปรดร้องเป็นเพลง หากใครเกิดทันตอนนูโวกำลังดัง)
"จริง ๆ เนี่ย เค้าก็จ่ายกันทั้งนั้นแหละ" เค้าพยายามอธิบาย พลางทำหน้าเซ็งว่า แค่ 100 จ๊าตเอง คิดอะไรมาก ฉันเลยควักตังค์จ่ายไป 100 จ๊าตด้วยความงงงวยปนขำ ว่ามิน่าล่ะ คนพม่าส่วนมากถึงไม่ยอมนั่งบนเสื่อเพราะเหตุนี้เอง เพราะค่าโดยสารแค่ 300 จ๊าต หากจะต้องมาจ่ายค่าเสื่ออีก 100 จ๊าตก็ออกจะดูไม่ค่อยฉลาดเท่าที่ควร

บางแสนมีห่วงยางให้เช่าฉันท์ใด สาละวินก็มีเสื่อให้เช่าฉันท์นั้น

"เสื่อเก่าขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าะต้องจ่ายเงินด้วย" ฉันพึมพำ
"บ้า เธอไม่รู้อะไร บิสิเนสคลาสนะเนี่ย"
"เมืองไทยมีอันดามันปริ๊นเซส อันนี้ต้องเป็นสาละวินปริ๊นเซส นี่เผลอที่คาสิโนชั้นล่างด้วยนะเนี่ย"
"อาจจะสะสมไมล์ได้" ว่าเข้าไปนั่น ก่อนที่จะเพ้อเจ้อมากไปกว่านี้ ฉันชิงล้มตัวลงไปนอนต่อ ตื่นมาอีกทีด้วยความหิว และเรือก็จอดแวะที่หมู่บ้านหนึ่ง ที่มีซุ้มประตูทำด้วยปูนไว้อย่างถาวร ทาด้วยสีทอง ประดับรูปหงส์สีทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ชาติมอญ อีก 3 ตัว ประตูนี้ถูกสร้างอยู่ท่าเรือเล็กๆ อ่านได้ใจความว่าหมู่บ้านนี่ชื่อ Htone Aing (สงสัย H จะไม่ออกเสียงอีกเช่นเคย เหมือน พะอัน) อีกชื่อนึงในวงเล็บว่า Mitoeauna และมีคำจารึกด้านล่างเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ใจความว่า ครั้งหนึ่งที่แห่งนี้หมู่บ้านแห่งนี้เมืองนี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของชาติมอญในอดีต เขียนได้ชาตินิยมสุดๆ แต่อย่างที่รู้กันว่าชาติมอญเป็นอดีตไปนานแล้ว

แตงโม๊ แตงโม

เรือจอดที่นี่เพื่อขนถ่ายสินค้า เอาสินค้าลงบ้าง มีเอาขึ้นมาใหม่บ้าง แล้วคนส่วนใหญ่ก็ลงที่นี่ เห็นลงไปต่อเรือลำเล็กกัน แม่ค้าทั้งหลายบนฝั่งจึงถือโอกาสนี้เดินลุยน้ำลงมาขายของกันถึงข้างเรือ โดยเอาถาดใส่ของเทินไว้บนหัว ฉันเดินลงไปชั้นล่างไปโผล่หน้าดูว่ามีอะไรกินบ้าง เพราะหิวมากจนตอนนี้เริ่มเวียนหัวและคลื่นไส้เพราะอาการโคลงๆเคลงๆในเรือ มองไปไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ จนไปเห็นแตงโมเนื้อแดงท่าทางน่าอร่อยเข้า จึงอุดหนุนมา 1 ซีกในราคาซีกละ 50 จ๊าต ได้แตงโมแล้ว ชีวิตนี้มีความสุขแล้ว ฉันเดินกลับขึ้นไปชั้นสองพร้อมแทะแตงโมไปด้วยอย่างสบายอารมณ์



ขนถ่ายสินค้ากันเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินทางกันต่อ ฉันเองไม่มีอะไรที่สนใจจะทำเท่ากับการนอนอีกแล้ว กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน สุขีจริงๆ พอสายเข้าหน่อยแดดเริ่มเผาตูด จึงต้องเลิกนอน ลุกขึ้นมานั่งหลบแดดแทน แถมแดดยังสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับ แต่ถ้ามองโดยไม่มีแว่นกันแดดแล้วก็นรกดี ๆ นี่เอง เลยต้องนั่งตาหยีอยู่นาน

เรือหาปลาเริ่มเยอะขึ้น แล้วก็เยอะขึ้น ๆ ๆ ๆ จนมองไปทางไหนก็เห็นแต่เรือลำจิ๋ว ๆ หาปลาอยู่เต็มไปหมด นี่ถ้ามางงๆ อาจจะคิดว่านี่มันแม่น้ำหรือทะเลกันแน่ กว้างไปหรือเปล่า มองไปข้างหน้าเห็นตึกรามบ้านช่องอยู่ลิบ ๆ เป็นหลังคาที่เรียงเป็นแถวยาวอย่างเป็นระเบียบเหมือนหลังคาโรงงานหรือหลังคาสวนจตุจักร ถึงแล้ว.. เมาะละแหม่ง

เมืองเมาะละแหม่ง

คนพม่าเรียกเมาะละแหม่งว่า มอลัมไยน์ (Mawlamyaing หรือ Mawlamyine แล้วแต่จะสะกด) แต่พอออกเสียงเร็วๆ ก็เป็น"เมาะละแมง"เหมือนกัน หาใช่ลำไยหรือลิ้นจี่แต่อย่างใด เมืองเมาะละแหม่งนี้เป็นตอนใต้ ๆ ของพม่าแล้ว เมื่อก่อนเคยเป็นเมืองหลวงของพม่าใต้ หรือ British Burma สมัยที่อังกฤษปกครองพม่าตอนใต้อยู่ ระหว่างปี ค.ศ. 1827-1852 สภาพทั่ว ๆ ไป ฝรั่งเรียกบรรยากาศแบบนี้ว่า ทรอปิคอล ฟังดูหรูซะ.. นึกถึงบรรยากาศแบบฮาวายอะไรยังงั้นเลย แต่จะว่าไปก็พอเทียบกันได้อยู่ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นมะพร้าวเหมือนกัน เมืองเมาะละแหม่งนี้เป็นเมืองท่าสำคัญของพม่า เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศ แต่ไม่รู้ทำไมดูเงียบดีจังปัจจุบันมีประชากรราว ๆ 3 แสนคน กว่า 70% มีเชื้อสายมอญ

พอเรือเทียบท่า ก็ไม่มีใครรอใคร ฉันคว้าเป้ได้ก็เดินออกจากเรือก่อนที่เค้าจะเริ่มขนถ่ายสินค้ากัน บนเรือฉันเห็นนักท่องเที่ยวอีก 2 คนเป็นผู้ชายชาวเยอรมัน ซึ่งไวกว่าเรา พอออกจากเรือมาได้ก็เดินลิ่ว ๆ ไปเหมือนกลัวโรงแรมจะไม่รออย่างนั้นแหละ เห็นเดินไปทางเดียวกับเราก็เลยค่อนข้างแน่ใจว่าคงไปพักที่เดียวกับที่เรากำลังไป เพราะที่นี่ไม่มีที่พักให้เลือกมากเท่าไหร่ คือจำนวนพอ ๆ กับที่พะอัน คือน้อยมาก

เราเดินจากท่าเรือ เลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่เกสต์เฮาส์ ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง จนฉันต้องบ่นแล้วบ่นอีกว่า ไกลเปล่าว๊าาา.. ร้อน.. เหนื่อย โอ๊ย ..ฯลฯ สารพัดจะบ่น แต่ก่อนจะบ่นจบก็เห็นป้ายอยู่ไม่ไกลเขียนว่าเกสต์เฮาส์ Breeze ด้านหน้าเป็นอาคารทำด้วยไม้ทาสีฟ้าแจ่ม ชั้นล่างเป็นห้องรับแขกเปิดโล่ง มีโต๊ะสำหรับแขกมาเช็คอินตั้งอยู่ถัดเข้าไปอีกหน่อย และมีบันไดขึ้นชั้นสองต่อไปยังระเบียงหน้าห้องพัก ลักษณะที่ถ้าออกมายืนที่ระเบียงทางเดินชั้นสองคุณจะสามารถโผล่หน้าคุยกับคนที่นั่งดูทีวีในห้องรับแขกได้

เจ้าของบ้านออกมาต้อนรับ แจ้งราคาห้องให้ทราบเสร็จสรรพ ปรากฎว่าห้องด้านหน้าไม่ว่าจะชั้นล่างหรือชั้นบน จะอยู่ที่ประมาณ $12 ขึ้นไป แต่ถ้าเดินเข้าไปอีกหน่อย จะไปถึงส่วนที่เค้ากั้นเป็นห้องเล็ก ๆ ไว้เป็นเคบินในเรือ ราคา $8 ต่อ 1 ห้อง ตอนแรกก็กะว่าจะเอาห้องด้านหน้าแต่ไม่มี ที่มีก็แพงเกินไป เราจึงเลือกห้องราคา $8 ด้านใน เป็นห้องที่ประหลาดพิสดารที่สุดเท่าที่ฉันเคยพักคือไม่มีหน้าต่างเลย อย่างที่บอกคือเหมือนเคบินในเรือจริงๆ เป็นห้องพัดลม ไม่มีห้องน้ำ(ใช้ห้องน้ำรวมด้านนอก) มีเตียงเล็กให้สองเตียงซ้ายขวา ระหว่างเตียงสองเตียงนั้นเป็นโต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้

ฉันนั่งงงๆอยู่ในห้องซักพัก เอาของวางในห้องเสร็จก็ออกไปเช็คอิน เจ้าของบ้านถามว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ปรากฎว่าเค้าพูดภาษาไทยได้คล่องมาก เพราะเคยไปทำงานอยู่ที่สงขลา 3 ปี พูดฟังภาษาไทยได้สบาย ฉันเลยได้เพื่อนคุย เค้าได้กุญแจห้องพักมาพร้อมกับ "กุญแจห้องน้ำ"

"ทำไมห้องน้ำต้องมีกุญแจด้วยล่ะ?" ฉันถามด้วยความงง
"อ๋อ คนงานชอบเข้าไปใช้น่ะซิ ห้องน้ำคนงานจะอยู่แยกกัน" ฉันเห็นตั้งแต่ตอนเดินไปห้องแล้วว่าเราต้องเดินผ่านส่วนกลางซึ่งเหมือนห้องน้ำของโรงเรียน คือมีห้องน้ำหลาย ๆ ห้องติดกันอยู่ฝั่งซ้ายมือ หน้าห้องน้ำเป็นอ่างล่างมือ แยกไว้เป็นสัดส่วน
"ห้องน้ำสำหรับแขกอยู่ด้านขวานะ ใช้เสร็จแล้วก็ล็อกกุญแจไว้เหมือนเดิม" เจ้าของบ้านบอกเป็นภาษาไทยสำเนียงแปร่งเล็กน้อยแต่ก็ถือว่าชัดมากสำหรับคนพม่า แล้วบอกต่อว่า
"ดูทีวีที่ห้องรับแขกได้นะ วิทยุก็มี แต่วิทยุไทยดีกว่า วิทยุพม่า...ไม่ค่อยดี" เค้าพูดยิ้มๆ

เรากะว่าจะไปดูพิพิธภัณฑ์มอญที่นี่ซักหน่อย กางแผนที่แล้วเดินไปเลย ปรากฎว่าดันปิดซะนี่ เลยได้แต่ชะโงกดูจากนอกรั้ว เห็นคนแถวนั้นบอกว่าเมื่อก่อนปิดวันเสาร์ ตอนนี้เปลี่ยนมาปิดวันอาทิตย์แทนแล้ว แต่คนที่เกสต์เฮาส์บอกว่าปิดวันจันทร์เลยไม่รู้ใครถูกกันแน่ แต่ที่แน่ๆ วันนี้ ปิด


อยู่เมาะละแหม่ง.. ห้ามป่วย

ฉันเคยอ่านผ่าน ๆ ตาเกี่ยวกับเมืองเมาะละแหม่ง เกี่ยวกับความเจ็บป่วยและการรักษาพยาบาล ฝรั่งดันเขียนว่า "สุขภาพและการรักษาพยาบาล : ห้ามป่วยที่นี่เด็ดขาด" แต่ไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไม แต่พูดถึงขั้นนี้เป็นอันว่ารู้กัน จริง ๆ แล้วเมาะละแหม่งไม่ใช่เมืองกันดารแต่อย่างใด บ้านช่องก็ดูทันสมัยระดับหนึ่ง มีร้านขายเฟอร์นิเจอร์ราคาถูก มีตลาดใหญ่ มีพิพิธภัณฑ์ แถมยังมีเกาะเป็นของตัวเองชื่อ "เกาะแชมพู" เกาะที่เจ้าของบ้านถามเราว่าอยากไปเที่ยวหรือเปล่า ฉันสงสัยว่าทำไมชื่อเกาะแชมพู เค้าก็บอกไม่รู้เหมือนกัน
"หรือว่าทำแชมพูขาย?" ฉันปล่อยมุขควายออกไป ทำเอาคนพม่าเซ็ง
"ไม่นะ ทุกวันนี้เค้าทำโรงงานหนังสติ๊กกัน"
"หนังสติ๊กวงๆเนี่ยเหรอ?"
เค้ามองหาหนังสติ๊กวงสีแดงสีเขียวบนโต๊ะ แล้วก็หยิบมายืดเล่น
"เนี่ย หนังสติ๊กแบบนี้แหละ" ว่าแล้วก็บอกว่าถ้าจะไปเค้าจัดการทัวร์ให้ได้ ไปรับไปส่งเรียบร้อย ฉันมานั่งคิดดู ไปดูโรงงานทำหนังสติ๊ก มันจะสนุกตรงไหนกัน แถมกลับไปบอกใครๆว่า ไปพม่าไปดูโรงงานทำหนังสติ๊กมา คนเค้าก็จะสมเพชว่ามันไปทั้งที ดันไปดูหนังสติ๊กซะได้ ฉันเลยตัดสินใจว่าไม่ไปจะดีกว่า แถมยังรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่ พอเรากินข้าวกลางวันที่ร้านแถว ๆ นั้นเสร็จฉันเลยกลับไปพักที่ห้อง ส่วนเบิร์ตแยกตัวไปเดินดูตลาดแถว ๆ นั้น ฉันนอนพลิกไปพลิกมาอยู่นานด้วยอาการพะอืดพะอมมาตั้งแต่เมื่อเช้า จนที่สุดก็ทนไม่ไหวต้องไปโอ้กอ้ากในห้องน้ำ สมเพชตัวเองจริง ๆ นึกถึงที่เคยอ่านในเว็บมาว่า "ห้ามป่วยที่นี่เด็ดขาด" แล้วก็สยอง ฉันวิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำหลายรอบจนไม่มีอะไรเหลือในท้องแล้ว ออกมานั่งหมดแรงอยู่ที่ห้องรับแขก ซึ่งคนอื่น ๆ นั่งดู "คนเหล็กภาค 2" มีซับไตเติ้ลภาษาไทยกันอยู่

"เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ" เจ้าของบ้านที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกเห็นท่าทางเหมือนผีตายซากของฉันแล้วก็ทำหน้ากังวล ไม่รู้เป็นห่วงหรือกลัวฉันจะมาตายเป็นผีเผ้าเกสต์เฮาส์ซะก็ไม่รู้
"ไม่เป็นไรแล้วค่ะ" ฉันเล่าอาการให้ฟัง
"แย่เลย กินยาหรือยัง" แถมยังอาสาไปหายาให้ ฉันบอกขอบคุณแล้วขอแค่น้ำเปล่าผสมเกลือกับน้ำตาลเล็กน้อยก็พอ เบิร์ตกลับมาจากข้างนอก พอรู้ว่าฉันป่วย ก็ทำหน้าเศร้า คิ้วตก

"เฮ้ย ยังไม่ตายโว้ย ไม่ต้องเศร้าขนาดนั้น" ฉันยังทำเป็นปากดีได้อยู่

กลับไปนอนหมดสภาพอยู่อีกนาน ตื่นมาอีกทีก็เย็น ๆ สรุปวันนี้ไม่ได้มีอะไรย่อยในกระเพาะเลย แต่จำเป็นจะต้องกินข้าวเย็น เราจึงออกไปหาอะไรใส่ท้อง คราวนี้เบิร์ตเป็นคนเอ่ยปากก่อน
"อาหารพม่าอีกแล้วเหรอ โอ้ไม่"
"อือ เฮ่อ ไม่กินได้มั้ย" คือไม่ใช่ว่ามันเลวร้ายมากขนาดนั้นนะ แต่ด้วยความที่อาหารที่ขายนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ รสชาติมันจืดชืด คนไทยอย่างเรากินได้ไม่กี่มื้อก็เริ่มเอียน จนพาลไม่อยากจะกินข้าวขึ้นมา

ซอยข้าง ๆ เกสต์เฮาส์ เป็นซอยเล็กๆ ทางเดินเป็นดินสีส้มๆ ทะลุซอยนี้ไปก็เป็นร้านขายของชำได้ ร้านนี้ถือว่าหรูพอตัว เมื่อเทียบกับร้านโชห่วยอื่น ๆ คือเป็นกึ่งๆ มินิมาร์ทเล็ก ๆ แต่ไม่มีประตู คือเป็นตึกแถวเปิดประตูโล่ง มีตู้แช่เครื่องดื่มอย่างดี ส่วนใหญ่ก็เอาเข้ามาจากเมืองไทยทั้งนั้น ราคาก็พอ ๆ กับที่เมืองไทย ฉันกว้านซื้อแต่ขนมขบเคี้ยวกับพวกเบเกอรี่สำหรับกินพรุ่งนี้เช้า

วันนั้นโชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลย ตั้งแต่ป่วย กินอะไรไม่ค่อยได้ แต่ตกกลางคืนยังมีนักท่องเที่ยวสามีภรรยาเป็นฝรั่งคู่หนึ่งอายุน่าจะราวๆ 40 ปลายๆ มาพักห้องติดกัน ตั้งแต่พวกเขามาถึง ก็เริ่มคุยกันเสียงดัง อันนี้ยังพอรับได้ แต่พอฉันเข้านอนและหลับไปได้ซักพัก ห้องข้าง ๆ ห้องนั้น ก็มาพร้อมกับเสียงกรนดังเท่าเครื่องบินทิ้งระเบิดสมัยสงครามโลก ดังจนฉันคิดว่า มันดังพอที่จะปลุกทุกคนในเกสต์เฮาส์นี้ได้สบาย ฉันสะดุ้งเฮือกขึ้นมาหลายครั้ง กว่าจะได้นอนจริง ๆ ก็ปาเข้าไปเกือบเช้า หันไปดูเพื่อน ปรากฎว่าหมอนั่นน่ะ ใส่ที่อุดหูสีส้มแปร๊ด หลับไปรู้ไม่ชี้ไปตั้งนานแล้ว




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 30 กันยายน 2549 12:32:24 น.
Counter : 976 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.