|
วันที่ 8 : มัณฑะเลย์โดนัท
วันนี้รถจะออกก็ตอนบ่าย ช่วงเช้าเลยมีเวลาว่างตั้งหลายชั่วโมง เลยต้องหาอะไรทำแก้ว่าง แต่จะทำอะไรเนี่ยซิ เอาเป็นว่าเช็คเอาท์ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยไปว่ากันเอาข้างหน้า ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน ส่วนตัวเองก็ออกไปตะลอนเดินเล่นมัณฑะเลย์อีกซักหน่อย
เณรน้อยที่วัดในมัณฑะเลย์
เปิดแผนที่ด้นสดกันเลย ที่แรกคือวัด Setkyathiha Paaya ซึ่งไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเวลาก็น่าจะแวะเข้าไปชม เพราะพระพุทธรูปที่นี่สวยมากทีเดียว ไม่เหมือนที่พุกาม ที่ตัววัดสวย แต่พระไม่สวยเท่าที่ควร สงสัยจะเอาเวลาไปสร้างวัดหมดไม่มีเวลาทำพระพุทธรูปซะก็ไม่รู้ ประวัติว่าพระพุทธรูปนี้ได้มาจากเมืองอังวะ (อินวะ) และย้ายมาประดิษฐานที่ อมรปุระ แต่ในที่สุดก็ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่เมืองมัณฑะเลย์ ส่วนต้นโพธิ์ในวัดนั้นปลูกโดย นายกรัฐมนตรี "อูนุ"
ออกจากวัดแล้วก็เดินเรื่อยเปื่อยจนมาเจอโรงหนังที่เราเล็งไว้เมื่อวานตอนที่นั่งรถผ่าน ด้านข้างโรงหนังนั้นมีร้านคล้าย ๆ ดังกิ้นโดนัท แต่มันคือ “มัณฑะเลย์โดนัท” !!! ฟังดูขัดแย้ง ๆ ดีเหมือนกัน แบบนี้ไม่ลองไม่ได้แล้ว แต่โดนัทส่วนใหญ่สีสันฉูดฉาดไปนิดเลยไม่ค่อยกล้ากิน ยังดีที่มีเบเกอรี่อื่น ๆ ให้เลือก เช่น ขนมปังมะพร้าว (อร่อย !) หรือพวกขนมปังไส้กรอก (อร่อย !) และกาแฟเย็นแบบวุ้น ๆ เหมือนเบียร์วุ้น อร่อยดีเหมือนกัน ราคาแต่ละชิ้นก็อยู่ราว ๆ 150 – 300 จ๊าต ส่วนกาแฟเย็นนั้นประมาณ 200 จ๊าต
ร้าน Mann อร่อย ดี ถูก
ดูหนังพม่าในมัณฑะเลย์ อิ่มท้องแล้วก็ต้องตามด้วยภาพยนตร์ เราไปดูหนังพม่ากันดีกว่า สนุกตั้งแต่ซื้อตั๋วเลยทีเดียว เพราะฉันส่งเบิร์ตไปเป็นแนวหน้า ส่วนตัวเองนั้นแกล้งทำยืนเฉย ๆ ทำตัวกลมกลืนกับคนพม่าซึ่งก็ได้ผลเสมอ เช็คเวลาฉายแล้วก็มีรอบ 12.30 , 15.30 , 18.30 และรอบดึกสุดคือ 21.30 ตัวเลขที่เขียนด้วยเลขพม่าทำให้เรารู้ซึ้งอีกรอบว่าการอ่านเลขพม่าให้ออกนั้นสำคัญแค่ไหน สาวหน้าแฉล้มที่ช่องขายตั๋วนั้นก็ออกจะไม่แน่ใจว่าไอ้สองคนนี้มันบ้าหรือเมา เพราะเธอย้ำแล้วย้ำอีกว่า “เมียนมาร์มูฟวี่ เมียนมาร์มูฟวี่” เบิร์ตก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ดูได้” จนเธอขายตั๋วให้ ตั๋วมีหลายราคา ตั้งแต่ถูกที่สุด 200 จ๊าตไปจนถึง 1000 จ๊าต เราเลือกแบบกลาง ๆ คือ ประมาณ 400 จ๊าต (20 บาท!)
โรงหนังยังเป็นแบบเก่า คือเป็นโรงใหญ่ตั้งอยู่โดด ๆ ข้างในมีชั้นล่างชั้นบนแบบโรงละครเก่า ส่วนเก้าอี้เป็นแบบพับขึ้น-ลง เหมือนโรงหนังทั่วไปในบ้านเรา เพียงแต่เป็นเก้าอี้ไม้ทั้งหมด ไม่มีอะไรบุให้นิ่ม หรือโอเปร่าแชร์ให้มันเว่อร์ แล้วชาร์จราคาให้มันแพงเกินเหตุเหมือนบ้านเรา (คนจะมาดูหนัง ไม่ได้ตั้งใจมานั่งเก้าอี้อิมพอร์ตจากอิตาลี) เก้าอี้ที่นี่เห็นแล้วนึกถึงโต๊ะเก้าอี้สมัยเรียนมัธยม ตอนแรกนึกว่าคงจะไม่ค่อยมีคนเพราะตอนนั้นก็เพิ่งจะเที่ยงครึ่ง ถ้าเป็นเมืองไทย โรงหนังคงโหรงเหรง เพราะไม่ใช่วันหยุดด้วย แต่ว่าต้องผิดคาดเมื่อเข้าไปพบกับชาวเมืองมัณฑะเลย์มานั่งจับจองกันเกือบเต็มโรงแล้ว เกือบทุกคนมีกิจกรรมที่เหมือนกันคือการแกะเม็ดก๋วยจี๊ ! แกะกันแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว จริงจังและจริงใจเป็นอันมาก พอจบรอบคงไม่ต้องกวาดกันให้เสียเวลา เพราะรอบต่อไป ก็คงจะเกลื่อนอีก เอาไว้กวาดรอบเดียวดีกว่า จึงมีเปลือกเม็ดก๋วยจี๊ที่กองใหญ่ที่เหล่าผู้ชมได้ผลิตเอาไว้กองเป็นหย่อมๆ
ก่อนหนังฉายก็มีโฆษณาก่อนพอหอมปากหอมคอ โฆษณาก็เหมือนเดิม อย่างที่เคยเล่าไว้ในบันทึกเมื่อวานแล้ว เป็นโฆษณารองเท้าแตะ กาแฟซอง น้ำดื่ม เครื่องดื่ม ลูกอม ฯลฯ ไปตามเรื่อง จนหนังเริ่มฉาย ผู้ชมก็ยังแกะเม็ดก๋วยจี๊ตามปกติแต่ตามองจอไม่กระพริบ
หนังเหมือนหนังไทยยุคน้าสรพงษ์ - จารุณี เอาตั้งแต่เล่าชาติตระกูลของพระเอกกันเลย มีป้าแก่ ๆ แต่งหน้าจัดเหมือนไฮโซเมืองไทย กำลังอุ้มเด็กทารก ป้อนข้าวป้อนน้ำ ตอนแรกนึกว่าเป็นยายกับหลาน
แต่พอพระเอกโต ยายยังอยู่ สรุปแล้วป้าคนนั้นหาเป็นยายไม่ แต่กลับเป็นแม่กับลูกชาย แต่แหมก็น่าจะเปลี่ยนให้สาว ๆ หน่อยนะตอนลูกยังเล็ก ๆ น่ะ พระเอกมีน้องชายหนึ่งคน อ้วนตุ้บ แก้มยุ้ย หน้าตี๋แบบว่าไม่น่ามีเชื้อพม่าเลยด้วยซ้ำไป ส่วนนางเอกนั้นมีป้าทำงานคนรับใช้อยู่ในคฤหาสน์ของพระเอก เธอช่างเป็นสาวแก่นเซี้ยว ซุ่มซ่ามแต่น่ารัก สุดแสนกตัญญูเลี้ยงดูพ่อที่แก่ชรา ยามว่างเธอชอบเตะตระกร้อ ! เรื่องนี้นางเอกโป๊มาก ใส่กางเกงกีฬาขาสั้น เหนือเข่ามาหน่อย ถุงเท้ายาวครึ่งแข้ง ! (โป๊แล้วนะ...เพราะปกติไม่มีทางได้เห็นแม้แต่หัวเข่าสาวพม่าหรอก ยิ่งสมัยก่อนนู้นยิ่งแล้วใหญ่ นุ่งซิ่นยาวกรอมเท้านู่น)
วันหนึ่งนางเอกจะต้องเข้าไปช่วยป้าทำงานในคฤหาสน์ พ่อของพระเอกกลับมา นางเอกไม่เคยพบคุณผู้ชายมาก่อนจึงชวนคุยด้วยแบบสุดแสนกันเอง แถมทำแจกันหล่นแตกอีกด้วย (ตามสูตร ต้องซุ่มซ่ามแต่น่ารัก) พระเอกมาเจอนางเอกโดยบังเอิญเข้าวันหนึ่งที่สวนสาธารณะ นางเอกจึงชวนคุยเหมือนเคย ทำท่าร่าเริงสุดชีวิต ถักเปียสองข้าง ใส่เสื้อเชิ้ตลายตารางหมากฮอสแบบลูกสาวกำนัน จนนางเอกมารู้ตอนหลังว่า พระเอกเป็นลูกชายเจ้าของบ้าน เอ๊ย...คฤหาสน์ จึงมิอาจเอื้อม แต่พระเอกไปแอบดูนางเอกเป็นประจำ ยิ่งเห็นเล่นตระกร้อมันโดนใจพี่จริงๆนะน้อง จึงตามจีบ ฉากจีบนี้กินเวลากว่า 4860 วัน (ประชดนะประชด) นานมากกก... ถึงตอนจีบกันนี่ นางเอกแต่งตัวทันสมัย นุ่งกางเกงยีนส์ฟิตเปรี๊ยะ สวมแว่นตาดำมันปลาบ ผมยาวสยาย ไม่ไว้เปียแบบพจมานแล้ว แต่พอเต้นจีบกันแบบในหนังอินเดียเสร็จ ก็กลับมาแต่งตัวปอน ๆ เหมือนเดิมจนมาวันหนึ่งความรักของเราเริ่มสุกงอม พระเอกจึงไปขอคุณหญิงแม่และท่านพ่อว่า จะแต่งงานกับนางเอก “แกจะแต่งกับคนรับใช้ไม่ได้ !” ท่านพ่อตวาด หันหลังให้ลูกชายด้วยความโกรธ “แต่…พ่อครับ ! เรารักกัน !” (แม่สะอื้นอยู่ข้าง ๆ พ่อ แต่เมคอัพบนหน้าอยู่ดี ยังไม่ละลาย) “ถ้าแกแต่งงานกับนังคนนี้ แกไม่ต้องมาเรียกชั้นว่าพ่อ !” “แต่... พ่อครับ !!” “ชั้นไม่อยากเห็นหน้าแก๊ !” แล้วพ่อก็น้ำตาคลอหน่วย ลูกชายคิ้วตก น้ำตาไหลพราก ๆ ก้มลงกราบพ่อ ซึ่งหันหลังให้ด้วยความโกรธปนเสียใจ แล้วลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็จูงมือว่าที่เมียออกจากบ้าน โดยมีคุณหญิงแม่สะอื้นฮัก ๆ มอบแหวนเพชรให้เอาไปแต่งเมีย 1 วง (จริง ๆ ไม่รู้หรอกว่าเขาคุยอะไรกัน เดาเอา แต่แหม..หนังแบบนี้ เดาได้น่า..เคยดูหนังอินเดียกันหรือเปล่า) ตัดฉากมาที่น้องชายตาตี่ หลายปีต่อมาโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาละม้ายคล้ายพระเอกหนังเกาหลี ถูกหม่อมแม่ส่งไปเรียนเมืองนอก กลับมาก็มีคนรับใช้ เอารถสปอร์ตสีแดงสุดหรูไปให้ขับกลับจากสนามบิน (ตอนรถวิ่งเข้าบ้านนี่นะ เงาสะท้อนกองถ่าย กล้อง ผู้กำกับ หมดทั้งกองเลย ทั้งไมค์บูม ทั้งคนถือรีเฟล็คท์ ด้วยความที่รถเธอเงาแว้บซะขนาดนั้น) เกิดนึกถึงพี่ชายขึ้นมา จึงคิดออกตามหา ไม่รู้ไปรู้ได้ยังไงว่าพี่ชายไปทำกิจการเกสต์เฮาส์อยู่ จึงปลอมตัวเป็นแขกเข้าไปพักเพื่อสืบข่าวให้คุณหญิงแม่ ส่วนป้าของนางเอกนั้นเคยเป็นแม่นมให้อาตี๋มาก่อน ! พอเห็นหน้าจึงคลับคล้ายคลับคราว่า โอ้..ความรู้สึกนี้ มันคืออะไรกันนะ...ไม่...ไม่จริง...มัน...มันเป็นไปไม่ได้ ! ….
แค่นั้นแหละ ดูนาฬิกาแล้วก็เห็นว่าได้เวลาต้องขึ้นรถแล้ว จึงต้องออกจากโรงทั้ง ๆ ที่หนังยังไม่จบ ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่ามันจบยังไงเนี่ย…(โห่....!!)
มัณฑะเลย์วันวานและวันนี้
เดินกลับมาที่โรงแรม พนักงานจัดการเรียกแท๊กซี่ไว้ให้แล้ว เลยจัดแจงเอากระเป๋าขึ้นรถแท๊กซี่สีฟ้า ซึ่งเหมือนรถกระบะคันจิ๋วซะมากกว่า มุ่งหน้าไปท่ารถ ต้องไปคอนเฟิร์มที่นั่งที่สำนักงานขายตั๋วที่ท่ารถอีก ถ้าเข้าห้องน้ำห้องท่าจะให้เข้าซะแต่ตอนนี้เลย นั่งจนเบื่อ ไม่มีอะไรจะทำ เลยหาเหยื่อคนพม่าให้สอนภาษาพม่าให้ เล็งน้องนางสาวขายหมากไว้แล้ว แต่กิจการของเธอดีมาก มีคนมาซื้อหมากซื้อบุหรี่อยู่ตลอดเลยแห้วไป มองไปเจอะหนุ่มอีกคนเห็นนั่งว่าง ๆ อยู่ แต่พอจะลุกไปถาม เค้าก็เดินไปเข้าส้วมเฉยเลย ! ก็เลยเจียมตัวนั่งเฉย ๆ อยู่ข้างถังขยะอีกแล้ว ! (เอ๊ะ...ยังไงนี่ ทำไมต้องนั่งข้างถังขยะทุกทีเลย)
ก่อนจะลาจากเมืองมัณฑะเลย์ไป ขอเล่าถึงเมืองนี้ไว้ซักหน่อยก็แล้วกัน เพราะด้วยตัวเมืองมัณฑะเลย์ในปัจจุบันนี้ จะไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเมืองใหญ่อื่น ๆ เมืองที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่ คาราโอเกะเกือบทุกหัวมุมถนน มีกระทั่งร้านอาหารไทยสุดหรู(ที่ฉันไม่กล้าเข้า แม้จะคิดถึงอาหารไทยใจจะขาด) ซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ
แฟชั่นสาวพม่า
ในอดีตมัณฑะเลย์นั้นมีอดีตที่น่าสนใจ สำหรับคนพม่าเองอาจจะเป็นอดีตที่อยากจะลืมเพราะมัณฑะเลย์นั้นเป็นราชธานีสุดท้ายของพม่า ก่อนเสียเอกราชให้กับอังกฤษ
มัณฑะเลย์ นั้นมีความหมายว่า “กองมณี” พระเจ้ามินดุงโปรดให้สร้างเป็นราชธานีแทนเมืองอมรปุระ โดยตัวอาคารที่เป็นพระราชวังนั้นได้รื้อมาจากอมรปุระ ซึ่งเป็นอาคารไม้จำนวนหลายหลัง และอาคารอิฐเป็นบางส่วน โดยตัวเมืองมัณฑะเลย์นั้นเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มีพระราชวังอยู่ใจกลางเมือง โดยตั้งอยู่บนฐานสูง มีคูน้ำล้อมรอบ สำหรับประวัติศาสตร์กรุงมัณฑะเลย์นั้น แนะนำอย่างยิ่งให้อ่านหนังสือ “พม่าเสียเมือง” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหนังสือที่สนุกมาก โดยแปลจากเอกสารภาษาอังกฤษ ที่บันทึกโดยฝรั่ง (ที่อาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้าง) แต่สำนวนการเขียน และร้อยเรียงนั้น ไม่ผิดหวัง ตามสไตล์ของหม่อมฯคึกฤทธิ์
พระเจ้ามินดุงซึ่งปกครองเมืองมัณฑะเลย์ในช่วงนั้น พูดได้ว่าเป็นกษัตริย์ที่มีทรงมีศีลธรรมจรรยาที่สุด พระองค์หนึ่งของพม่า จนเมื่อปี พ.ศ.2423 พระเจ้าสีป่อ หรือ พระเจ้าธีบอ ขึ้นครองราชย์ต่อจาก พระเจ้ามินดุง จากการสนับสนุนของมเหสีของพระเจ้ามินดุง ที่เห็นว่าพระเจ้าสีป่อมีพระทัยชอบพออยู่กับ พระนางศุภยลัตซึ่งเป็นธิดาของพระนาง ประกอบกับพระเจ้าสีป่อนั้นบวชเป็นพระมาตลอด ค่อนข้างจะพระทัยอ่อน อ่อนต่อเรื่องทางโลกและน่าจะควบคุมง่าย ด้วยอำนาจของพระมเหสีของพระเจ้ามินดุงนั้นเอง พระเจ้าสีป่อจึงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อมาและเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า..
ในขณะนั้นตำแหน่งพระมเหสี จะมีการแต่งตั้งกันไว้ล่วงหน้า คือ ไม่ว่าเจ้าชายองค์ใดจะขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งพระมเหสีจะตกเป็นของเจ้าหญิงที่กษัตริย์องค์ปัจจุบันแต่งตั้งไว้แล้ว คือตำแหน่ง “ตะบินแดง” แต่เมื่อพระเจ้าสีป่อขึ้นครองราชย์นั้น องค์หญิงที่รั้งตำแหน่งตะบินแดงอยู่ ก็ทรงหลบออกจากพระราชวัง ไปบวชเป็นชีเสียเฉย ๆ จะได้ไม่ต้องเป็นพระมเหสีองค์ต่อไปซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพระนางศุภยลัตทรงจับจ้องตำแหน่งนี้อยู่ ถ้าอยู่ขวางทางชีวิตอาจไม่ปลอดภัย เพราะใคร ๆ ต่างรู้ความร้ายกาจของพระนางศุภยลัต กับพระมารดาเป็นอย่างดี แม้แต่พระวงศ์ผู้ใหญ่ หรือเจ้านายในวังที่ยังเล็ก ก็ถูกสั่งให้นำไปสำเร็จโทษเสียให้สิ้น เพื่อจะได้ไม่เหลือไว้เป็นเสี้ยนหนามกับพระนางอีกต่อไป เล่ากันว่าคืนนั้นหมาเห่าหอนทั้งคืน จนชาวเมืองผวา ไม่เป็นอันหลับอันนอน แล้วพระนางสั่งสังหารหมู่ไม่ธรรมดาซะด้วย เพราะการจะฆ่าคนเยอะ ๆ มันย่อมเอิกเกริกมากมาย พระนางเลยจัดให้เอาวงดนตรีปี่พาทย์ การแสดงต่าง ๆ มาบรรเลงในวังตลอดเวลาที่ทำการสำเร็จโทษพวกเจ้านาย นัยว่าเสียงดนตรีปี่กลองจะได้กลบเสียงกรีดร้องขอชีวิตนั่นเอง ก็คิดดูว่าโหดแค่ไหน...
ตั้งแต่สิ้นรัชสมัยพระเจ้ามินดุง แผ่นดินก็เสื่อมโทรมลงเรื่อยมา เริ่มมีการออกหวยให้ประชาชนเล่นอย่างเอิกเกริก เพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลัง (นับว่าแอ๊ดวานซ์มาก เพราะทุกวันนี้ประเทศไม่ใกล้ไม่ไกลจากพม่าก็เริ่มจะทำตามบ้างแล้ว แต่ห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยปีเอง) เล่นจนหมดตัวกันก็มาก ขุนนางก็แก่งแย่งชิงดี แปรพักตร์กันเป็นว่าเล่น โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม แถมยังมีเรื่องพิพาทกับอังกฤษอยู่เนือง ๆ พม่านั้นนึกกระหยิ่มว่าฝรั่งเศสคอยหนุนหลังอยู่ จึงกระด้างกระเดื่องต่ออังกฤษมาเรื่อย (แม้ตอนนั้นจะเสียพม่าตอนใต้ ให้อังกฤษไปแล้ว) ซึ่งความจริงแล้วฝรั่งเศสไม่ได้สนับสนุน หรือต้องการเข้ามาเป็นฝ่ายพม่าแต่อย่างใด แต่เข้ามาตีสนิทด้วยเพราะหวังผลทางการค้าเท่านั้น พอทางพม่าเกิดต้องรบกับอังกฤษเข้าจริงๆ ฝรั่งเศสก็หายจ๋อม ปล่อยให้พม่าตบตีกับอังกฤษเอาเอง เรียกว่า ตัวใครตัวมันละเว้ยเฮ้ย ว่าแล้วฝรั่งเศสก็หายเข้ากลีบเมฆไป ปล่อยให้พม่าต้องหาทางจัดการเอาตัวรอดกันเอาเอง
จนในที่สุดกองทัพอังกฤษก็มาถึงเมืองมัณฑะเลย์ เชิญพระเจ้าธีบอและพระนางศุภยลัตเนรเทศออกจากพม่า ไปพำนักอยู่ในอินเดียจนวาระสุดท้าย พระนางศุภยลัตเองได้ขอย้ายกลับมาพม่าหลังพระเจ้าธีบอสิ้นได้ไม่นาน ต่อมาเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ลง การจัดการพระศพก็เป็นไปตามที่สามารถจะกระทำได้ตามยถากรรม ไม่ได้มีพิธีรีตรองมากมาย ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป ไม่เหลืออะไรให้เห็นว่าครั้งหนึ่งนางผู้นี้เคยเป็นถึงพระมเหสี ทิ้งอดีตของมัณฑะเลย์ไว้ให้เหลือเพียงตำนานเล่าขานกันต่อมา
ฉันมองถนนเมืองมัณฑะเลย์แล้วก็จินตนาการถึงความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองนี้ในสมัยนั้น พระราชวังที่ใหญ่โตสมคำร่ำลือ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ ผิดก็แต่ความหรูหราฟุ่มเฟือยมันได้หายจากเมืองนี้ไปนานแล้ว เหลือไว้ก็เพียงโบราณสถานและความทรงจำ ทุกวันนี้มัณฑะเลย์ก็เหมือนเมืองใหญ่ๆ หลายเมือง มีประชากรอยู่อาศัยมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ทุกคนก็ยังดำเนินชีวิตต่อไป ไม่มีใครอยากจดจำอดีตที่ไม่สวยงามเท่าไหร่นัก เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นในวันนี้ คือการหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงดูครอบครัว แต่ถึงแม้วันนี้จะไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีกแล้ว แต่การตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบแผด็จการนั้นอาจเจ็บปวดยิ่งกว่า เหมือนน้ำท่วมปาก ไม่มีสิทธิ์มีเสียง ไม่มีสิทธิ ไม่มีเสรีภาพ คุณภาพชีวิตก็ยังย่ำแย่ ห้ามพูดเรื่องการเมืองอย่าง"เด็ดขาด"ถ้าไม่อยากไปนอนในคุก
ฉันนึกถึงภาพของพระเจ้าแผ่นดินของเราแล้วก็ได้แต่ระลึกอยู่ตลอดว่าเกิดเป็นไทยนั้นโชคดีเพียงใด และถึงการเมืองบ้านเราจะดีจะชั่วยังไง เราก็ยังสามารถเรียกชื่อเล่นนายกฯ ของเราได้อย่างฮาเฮ เขียนการ์ตูนล้อการเมือง แต่งตัวเลียนแบบนักการเมืองดังๆ ออกมาเล่นตลกกันเฮฮาน้ำตาเล็ด ขืนไปทำแบบนี้ที่พม่า ได้ไปฮาในคุกแน่นอน
อองซานซูจีเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า ผู้สื่อข่าวและสื่อต่างๆ จากต่างประเทศนั้น แม้ว่าบางครั้งอาจจะไปถ่ายทอดคำให้สัมภาษณ์ของเธอคลาดเคลื่อนไป หรือถามคำถามที่ซ้ำซากกับเธออยู่เป็นประจำ แม้ว่าบางครั้งจะทั้งน่าขัน น่าโกรธ หรือทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นเด็กนักเรียนที่ต้องคอบตอบคำถามซ้ำๆ แต่พวกเขาสามารถนำเรื่องราวและข่าวสารไปสู่โลกภายนอกได้ เป็นกระบอกเสียงให้คนพม่า พวกเขาจึงเหมือน"ของขวัญ"สำหรับคนพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ประชาชนไม่มีเสรีภาพที่จะแสดงออกทางความคิด แม้แต่ในประเทศตัวเอง
Create Date : 19 กรกฎาคม 2549 | | |
Last Update : 11 กันยายน 2549 13:26:04 น. |
Counter : 2194 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
|
|
|
|
|
|
|