ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 

วันที่ 10 : จากคินปุนไปเมืองพะอัน (รัฐกะเหรี่ยง)

จากคินปุนไปเมืองพะอัน

ราว ๆ ตี 5 ฟ้ายังมืดตึ๊ดตื๋ออยู่ก็ต้องตื่นแล้ว เพราะรถที่จะไปเมืองพะอัน ออก 7 โมงเช้า แถมเรายังต้องแพ็คกระเป๋าอีก จะว่าไปแล้วรู้สึกว่าพักนี้ตัวเองแพ็คกระเป๋าได้ไวขึ้นเยอะจนแปลกใจตัวเอง ของจะกระจัดกระจายอยู่เต็มห้องแค่ไหน มันก็สามารถลงไปอยู่ในเป้ได้ภายในเวลาไม่เกิน 15 นาที เราจึงมีเวลาอ้อยอิ่งออกมาทานอาหารเช้าที่เลเลอุตส่าห์ตื่นมาจัดให้ ก็เหมือนที่พักอื่น ๆ ทั่วไป อาหารเช้ามีขนมปังปิ้ง(ที่กรอบเป็นพิเศษ กัดลงไปดังกร้วม เศษขนมปังร่วงกราว) กาแฟสำเร็จรูป ไข่เจียวแบนๆ เนย แยม แต่เราสองคนก็ไม่มีใครบ่น เพราะชินแล้ว แต่ก็ยังแอบขำกับขนมปังกรอบ ยังพูดกันเล่นๆว่ากินไปครึ่งแผ่น เศษขนมปังร่วงไปเสียครึ่งแผ่น

เรากำลังเตรียมตัวจะไปขึ้นรถ เลเลเพิ่งเดินกลับมาจากท่ารถมาบอกว่า รถไปพะอันออก 8 โมงครึ่งแน่นอน เค้าเลื่อนเวลานิดหน่อย สิ่งแรกที่ฉันคิดคือ
"รู้งี้ไม่น่าต้องให้ตื่นตีห้าเล้ยยยยย ตาจะปิดอยู่แล้ว"

แต่จะกลับไปนอนก็ใช่ที่ เราเลยเอากระเป๋าขึ้นหลังไปเดินเล่นแถวๆ ท่ารถแทน ตอนไปถึงก็เกือบๆ 7 โมงเช้า ผู้คนออกมาเดินขวักไขว่แล้ว เราเอากระเป๋าไปวางไว้ที่แถวๆรถ แล้วฝากให้เลเลดูไว้ ฉันเดินเล่นแถว ๆ นั้น อากาศค่อนข้างเย็นสบาย แต่ก็ยังต้องใช้ผ้าพันคอบางๆ มาพันไว้กันลม หมอกลงเล็กน้อย แต่แดดก็ออกกำลังดี เรียกว่าเป็นวันอากาศดีวันหนึ่งทีเดียว ฉันเดินห่างออกไปจากท่ารถไม่มากนัก เห็นรถสองแถวคันใหญ่อัดแน่นไปด้วยพระเณรหลายสิบรูป และจำนวนไม่น้อยที่นั่งอัดกันอยู่บนหลังคารถ เท่านี้ก็ดูแปลกตาแล้ว แต่นี่ยิ่งแปลกเข้าไปอีกคือ เณรเกือบจะทุกรูปมีปืน หรือ ดาบของเล่นอยู่ในมือ เหมือนไปพร้อมรบ! ก็พวกของเล่นที่นิยมขายกันแถวๆ คินปุนนี่แหละ ฉันเห็นแล้วต้องยังต้องแอบหัวเราะคิกคักในความแปลก ไม่พลาดที่จะขอถ่ายรูปมาด้วย แถมรูปนี้เคยส่งไปประกวดภาพถ่ายสมัครเล่น ได้รางวัลไกด์บุ๊คเที่ยวอินเดียมาฟรีตั้งเล่มนึง แฮะๆๆ



ฉันเดินกลับไปแถว ๆ ท่ารถที่เต็มไปด้วยรถบัส รถสองแถว รถบรรทุก ทั้งที่กำลังหาที่จอด และทั้งที่กำลังจะออกเดินทางกันให้วุ่นวายไปหมด แต่ถัดออกไปไม่ถึงร้อยเมตรก็เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ เงียบๆ ฉันเห็นพระสงฆ์เเดินเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เรียงตามลำดับความสูง(ไม่ได้เรียงตามพรรษาบวช) โดยมีพระรูปที่เดินนำหน้าถือฆ้องแบบพม่าแล้วตีเป็นจังหวะ สวยมาก แต่ท่านเดินไปไกลพอสมควรแล้ว ฉันจึงไม่ได้เดินตามไปถ่ายรูปมาอย่างที่อยาก ชาวบ้านหลาย ๆ คนออกมาจับจ่ายซื้อของ บางคนก็ออกมาขายของตามร้านเล็กๆ ที่มีอยู่มากมายที่นี่ ของที่ระลึกและของฝากนั้นนอกจากพวกปืนไม้ไผ่ที่บอกแล้ว ก็มีตั้งแต่โปสการ์ดรูปเจดีย์ รูปพระธาตุ ไปจนถึงพระธาตุอินทร์แขวนองค์จิ๋วในพลาสติกใสทรงกระบอก สำหรับห้อยหน้ารถได้ด้วย ดูแล้วน่ารักดีน่าซื้อมาซักอัน แต่กลัวจะแตกหักเสียหายซะก่อนที่จะมาถึงเมืองไทย

ใกล้เวลาที่รถจะออก เราเดินไปที่รถแล้วก็ต้องตกใจ เพราะคนพม่าขึ้นไปนั่งอัดแน่นอยู่บนรถเรียบร้อยแล้ว รถนั่นไม่ใช่รถบัสแต่เป็นรถสองแถวที่ดัดแปลงจากรถกระบะ เหมือนรถแดงเชียงใหม่ แต่สถาพรวมๆเก่ากว่า รถส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้เพราะไปเมืองเล็ก ๆ มีเฉพาะรถที่ไปเมืองใหญ่อย่าง ย่างกุ้ง หรือ บะกันเท่านั้นที่เป็นรถบัสใหญ่ติดแอร์อย่างดี ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปพร้อม ๆ กับเราเป็นผู้หญิงพม่าเกือบหมด เราขึ้นไปนั่งบนรถแล้วก็รอเค้าโหลดกระเป๋าและสิ่งของขึ้นไปไว้บนหลังคา ระหว่างนั้นฉันก็อ่านไกด์บุ๊คไปด้วย

หนี่เมืองอ่ะไร? (กรุณาอ่านด้วยสำเนียงมอญ)

เราออกเดินทางมาได้นานพอสมควร รถก็จอดรับคนขึ้นมาเพิ่มอีกเป็นระยะ ๆ ทำให้รถที่แน่นอยู่แล้วยิ่งแน่นหนักเข้าไปอีก ฉันนั่งหลับตา ทำสมาธิ ท่องพุทโธๆ ปลอบใจตัวเองมานานนับชั่วโมง(หลายชั่วโมงอยู่) รถเริ่มเข้าตัวเมือง แต่คิดว่าไม่ใช่พะอัน เพราะพะอันยังต้องไปอีกไกลพอดู รถจอดพักที่หน้าเจดีย์ใหญ่องค์หนึ่ง(แน่นอนว่าเป็นสีทอง) ผู้โดยสารทยอยลงมายืนยืดเส้นยืดสายกัน

สอบถามคนขับว่าจะพักรถที่นี่อีกนานไหม เพราะกะว่าถ้านานจะได้ไปเดินดูรอบ ๆ ซักหน่อย คนขับก็ดูนาฬิกาแล้วอย่างมั่นใจว่า

"ทูโอคล็อก!" บ่ายสองเหรอ ตอนนั้นที่ถามเป็นเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงเช้า แล้วคนขับก็หันไปพูดภาษาพม่ากับสาวขายข้าว ท่าทางว่าสอบถามว่าจะพูดว่าไงดีวะ สาวที่ร้านขายข้าวก็เงอะๆงะๆ แบบไม่แน่ใจเหมือนกัน แล้วหันมาบอกว่า
"เอ่อ วันโอคล็อก!" อ้าว ตกลงเอาไงกันแน่ จะพักถึงบ่ายโมงหรือบ่ายสอง เห็นความไม่แน่นอนในชีวิตแล้ว เราก็ปรึกษากันว่าอย่าเสี่ยงไปไหนไกลดีกว่า

ข้างๆ รถเป็นร้านขายข้าว หันไปถามเบิร์ตว่าหิวไหม กินข้าวเลยดีกว่า เบิร์ตเห็นด้วย (บอกแล้วว่าเป็นคนที่ อะไรก็ได้) เราจึงนั่งที่โต๊ะพับได้แบบตามร้านข้าวต้ม ฉันไปยืนจิ้มกับข้าวมาได้ 2-3 อย่าง ไม่เยอะ เพราะจานมันเล็กๆ กินไปถามไปว่านี่เราอยู่ที่ไหนเนี่ย สาวคนขายที่พอเข้าใจภาษาอังกฤษบ้างก็บอกว่า นี่เหรอ? เมืองตะโถง(Thaton) ไง ฉันนึกได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเมืองตะโถง นี่เราเรียกว่าเมือง สะเทิม หรือเปล่า เมืองนี้เคยเป็นเมืองมอญมาก่อน ก่อนจะถูกกษัตริย์จากเมืองพุกามมาทรงพระเทคโอเวอร์ไปได้ และเจดีย์ที่เราเห็นอยู่ข้างหน้านี่ก็คือเจดีย์ "ชเวซายัน"

อย่างที่เปรยๆ ไว้ว่าฉันไม่ค่อยประทับใจอาหารพม่าเท่าไหร่ แต่ก็กินได้ แต่อาหารพม่าที่เมืองตะโถง อร่อยมาก!! เป็นร้านเล็ก ๆ แบบข้างทาง อาหารก็ง่าย ๆ จำพวกผัดถั่วฝักยาว ผักดอง ลูกชิ้นผัดกับเครื่องแกง แต่รสชาติดีเหลือหลาย ทำเอาอยากจะซื้อใส่ถุงไปกินด้วย เรากินกันไปครึ่งมื้อแล้ว เพิ่งสังเกตุว่าไม่มีใครกินข้าวเลย นอกจากเราสองคน คนพม่านั้นซื้อเม็ดก๋วยจี๊มาแทะ แล้วนั่งบนรถ แล้วนั่งมองไอ้บ้าสองคนนี่กินข้าว แบบ เฮ้ย มันไปตายอดตายอยากมาจากไหนหรือเปล่า เราจึงรีบๆกินให้เสร็จด้วยความเขิน

ปรากฎว่าไอ้ที่เถียงกันอยู่นานว่าบ่ายโมงหรือบ่ายสองน่ะ แค่ 11 โมงครึ่งรถก็ออกแล้ว เคี้ยวข้าวยังไม่ทันหมดปากเลย นี่ถ้าเชื่อคนขับว่าจะไปบ่ายสองนี่คงถูกทิ้งอยู่ที่เมืองตะโถงให้กินข้าวร้านนั้นจนสะใจไปเลย

เก้าอี้เล็กกว่านี้มีอีกมั้ย

ระหว่างรอรถออกก็มี "แม่ชี" เดินมาพร้อมกับขัน แม่ชีที่พม่านี่ไม่เหมือนบ้านเรานะ ที่นี่จะออกแนวตื๊อสุดขอบโลกมากๆ อย่างรายนี้ทำเอาเบิร์ตถึงกับสติแตก แม่ชีมาพร้อมขันพลาสติก ยืนอยู่นอกรถแล้วยื่นขันเข้ามาเคาะไหล่เบิร์ต "บริจาค บริจาค" พอเบิร์ตบอกว่าไม่ละครับ แม่ชีก็เคาะหนักกว่าเดิม เกือบๆจะเรียกได้ว่าเอาขันตบเลยดีกว่า เคาะอยู่นานกว่า 5 นาที จนเบิร์ตโมโห กัดฟันกรอดแบบไม่หันไปมอง แล้วพูดกับตัวเองว่า ถ้าเคาะอีกทีนะ...คอยดู บาปหรือเปล่าไม่สนแล้ว เล่นมาตื๊อกันแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการขอทาน ไม่ใช่การบอกบุญแล้ว แถมมาเคาะกันเจ็บ ๆ อีก ดีนะที่รถออกก่อนที่เบิร์ตจะระเบิดความโมโหออกมา ฉันเห็นว่าแปลก เพราะแม่ชีที่เราเจอที่อื่นในพม่าก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ ส่วนมากจะนั่งอยู่เฉยๆ รอบริจาคมากกว่านี่จะมาเดินเอาขันเคาะคนนั้นคนนี้

ก่อนหน้านี้ฉันได้นั่งบนเบาะ แต่พอลงไปกินข้าวแล้วกลับขึ้นมาใหม่ เบาะถูกคนอื่นเอาไปแล้ว แบบนี้แหละ รุก(ลุก)แล้วเสียม้า(นั่ง) จนในที่สุดแล้ว ฉันต้องออกตัวว่าเดี๋ยวลงไปนั่งกับพื้นเอง ลักษณะการนั่งก็จะนั่งแบบสองแถวเล็กทั่วไป แต่ตรงกลางนั้นวางเก้าอี้แบบเก้าอี้ซักผ้าไว้อีก 3 ตัว แต่ขนาดที่นั่งของเก้าอี้เล็กๆพวกนั้น เล็กกว่าหน้าปกหนังสือพ๊อคเก็ตบุ๊คทั่วไปเสียอีก เรียกว่าอย่างฉันนี่นั่งได้ครึ่งตูดเท่านั้น แต่หลวมตัวอาสาไปนั่งแล้วก็ต้องทนเมื่อยตูดไป แถมยังเมื่อยหลังอีกด้วย แล้วรถก็คันเล็ก เพราะฉะนั้นเวลานั่งพื้น ไหล่ซ้าย-ขวาของเราก็จะติดกับเข่าของคนที่นั่งเบาะชนิดที่ว่าแมวซักตัวจะเข้ามาแทรกยังเป็นไปไม่ได้เลย ฉันนึกถึงระยะทางกว่าอีก 70 กิโลเมตรที่ต้องไปต่อในสภาพนี้แล้วอยากจะเป็นลม...

แต่คนไทย ไปไหนอย่าเสียชื่อ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน เราต้องหลับได้เสมอ ฉันนั่งหลับนก คอพับไปซ้ายทีขวาทีจนคอเคล็ด อากาศภายนอกก็ร้อนสุด ๆ ฉันนั่งหันหน้าออกไปทางท้ายรถ ระหว่างที่ฉันกำลังเหม่อลอยดูถนนสีดินแดงอย่างเลื่อนลอย (พยายามไม่คิดอะไร คิดแล้วทั้งเครียด ทั้งเมื่อยตูด) ผู้หญิงพม่าวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งเข่าเธอชิดกับไหล่ขวาฉันนั่นแหละ เธอก็ยื่นแอ๊ปเปิ้ลสีแดงลูกเล็ก ๆ มาให้หนึ่งลูก แล้วทำท่าบอกว่ากินซิ จริง ๆ ฉันไม่อยากแทะแอ๊ปเปิ้ลตอนนั้นเท่าไหร่ เพราะแทะแล้วมือต้องเหนียวแน่นอน (ยิ่งเป็นคนกินเรียบร้อยอยู่ด้วย) แต่ด้วยความเกรงใจปนซึ้ง (กระซิกๆ..) เลยนั่งแทะมันตรงนั้นแหละ กินไปจนเหลือแกนแล้วก็ส่งแกนแอ๊ปเปิ้ลให้เบิร์ตซึ่งนั่งอยู่บนเบาะ เบิร์ตถึงกับออกปากชมว่าไอ้บ้า กินหมดแล้วยังมีหน้ามาให้อีก

เกือบเลยไปชายแดนซะแล้วมั้ยล่ะ

รถวิ่งปุเลง ๆ มาถึงสะพานใหญ่ สะพานหนึ่ง เราเริ่มดี๊ด๊า เพราะในแผนที่บอกไว้ว่า เข้าเขตเมืองพะอันทางทิศใต้จะมีสะพานสร้างใหม่ข้ามแม่น้ำตันลยิน ดีใจได้ไม่นาน ก็เริ่มห่อเหี่ยว เพราะจากสะพานนานโขแล้วยังไม่เห็นอะไรที่ดูเหมือนเมืองเลยซัดนิดเดียว ใกล้ๆ จะหมดความหวัง ฉันเริ่มเห็นร้านรวงเล็กๆ ตึกแถว สุเหร่า ผู้คนหนาตาขึ้น ที่สำคัญคือฉันเห็นหอนาฬิกาที่มีลักษณะตรงตามที่เคยได้ยินมาว่าเมืองพะอันมีหอนาฬิกาแบบนี้ คือมีรูปงาช้างดำกับฆ้องอยู่ด้านบน

"ใช่เปล่าวะ ใช่เปล่าวะ?" ฉันถามเบิร์ตด้วยความไม่แน่ใจ
"ไม่รู้อ่ะ" สองคนเลิกลั่กพอ ๆ กัน สอบถามคนในรถว่าเมืองนี้หรือเปล่า เค้าก็มองหน้าแล้วถามกันไปมา ด้วยความที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ ฉันพยายามอธิบายว่าเรากำลังจะไปลงที่เมือง "ฮะพะอัน" (ฟังดูเหมือนมุขโหน่งชะชะช่า..ฮะ ฮะ ฮะ ฮะพะอัน) ตามชื่อที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษในไกด์บุ๊คว่า Hpa-An แล้วสาวน้อยชาวพม่าคนหนึ่งก็ ร้อง อ๋ออออออออ ขึ้นมาแล้วร้องขึ้นว่า

"พะอัน!!"

ทุกคนในรถจึงถึงบางอ้อ เพราะภาษาพม่า บางทีเขียนเป็นภาษาอังกฤษแล้วไปคนละเรื่องกันเลย เหมือนที่ฝรั่งบางคนอ่าน Phuket ว่าฟูเก็ด อ่าน Thewet(เทเวศน์) ว่าเดอะเว็ตนั่นแหละ คนพม่าเลยงงว่า ไอ้ "ฮะพะอัน" มันคืออะไร พอรู้ว่าหาใช่ฮะพะอัน แต่เป็น พะอัน เฉยๆ จึงรีบเคาะกระจกคนขับให้เบรคจนตัวโก่ง สาวคนเดิมบอกว่าเมืองพะอันนั้นเลยมาได้ไกลพอสมควรแล้ว แต่ก็พอจะนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับไปได้ คนขับปีนขึ้นไปดึงเป้ของเราออกมาให้ แล้วยังอุตส่าห์ไปเรียกมอเตอร์ไซค์มาให้ด้วย

"เจซูเบ เจซูเบ" ฉันกล่าวขอบคุณทั้งสาวน้อยคนนั้น ทุกๆคนในรถ แล้วก็คนขับด้วย ซึ่งยังจอดอยู่กระทั่งเราขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ไปแล้วโบกมือ บ๊าย บาย รถสองแถวจึงได้จากไป สรุปแล้วเราต้องนั่งมอเตอร์ไซค์กันคนละคัน เพื่อกลับไปที่กลางเมืองพะอัน ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง แต่ทำเป็นเล่นไป มีหมวกกันน็อคให้ด้วยนะ จ่ายค่ารถไปคนละไม่กี่ร้อยจ๊าต เค้าก็พาเราไปถึงที่พักได้โดยสวัสดิภาพ

เมืองพะอัน-เกสต์เฮาส์พิลึก

เราเข้าพักที่ Soe Brothers เกสต์เฮาส์ ฟังดูเหมือนค่ายสร้างหนังกังฟู สภาพเกสต์เฮาส์ออกจะแปลก ๆ แม้แต่พนักงานที่เคาท์เตอร์ก็ไม่เคยยิ้ม ห้องก็ถือว่าโอเค คืออย่างน้อยก็สะอาดตามสมควร มีหน้าต่างเล็กๆ ให้อากาศถ่ายเทได้ ผนังเป็นไม้อัดบาง ๆ เหมือนเพิ่งกั้นห้องใหม่ มีห้องน้ำในตัว ไม่มีน้ำอุ่นแบบที่คินปุน ฉันมีความรู้สึกตะหงิดๆ กับเกสต์เฮาส์นี้ เหลือบไปเห็นสติกเกอร์การรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคเอดส์ที่เก่าจนเหลืองกรอบ แล้วก็คิดว่ามันคงเคยเป็นโรงแรมม่านรูดมาก่อน บรรยากาศก็ทึม ๆ อึมครึม ๆ เพราะนอกจาสติกเกอร์แล้วยังมีโปสเตอร์เกี่ยวกับโรคเอดส์อีกหลายใบบนผนัง ราคาห้องนับว่าแพง เสนอมาที่ $9 ต่อคืน ฉันต่อแล้วต่ออีก พนักงานคนที่พาขึ้นมาดูห้องก็บอกว่า เดี๋ยวเค้าจะไปถามเจ้าของ(คนที่ไม่เคยยิ้ม) ดูว่าลดได้ไหม ปรากฎว่า เต็มที่ก็ได้แค่ $8 ต่อคืน แต่ว่าเมืองพะอันไม่ค่อยมีที่พักให้เลือกมากนัก วันนี้ก็เหนื่อยเกินไปที่จะเดินหาแล้วด้วย เราจึงตกลงพักที่นี่

ระหว่างที่ฉันกำลังลงรายชื่อสำหรับแขกที่เข้าพักอยู่ที่เคาท์เตอร์ รู้สึกว่ามีใครกำลังมองอยู่ ฉันหันขวับไปมองทางบันไดก็เห็นชายชาวพม่าโผล่หน้าออกมาครึ่งหนึ่งคือโผล่มาแต่ตา พอเห็นว่าฉันหันไปเจอก็หัวเราะคิกๆแล้ววิ่งหายไปชั้นสอง ฉันจึงกลับมาที่สมุดรายชื่อต่อ ซักพักผู้ชายคนนั้นก็กลับมาอีก พอฉันหันไปมองก็หัวเราะคิกคักแล้วหนีหายไปอีก ฉันหงุดหงิดถึงขนาดวางปากกาลงเดี๋ยวนั้น แล้ววิ่งตามขึ้นไปดูซิว่ามันมีปัญหาอะไร อยากจะรู้นัก แต่พอวิ่งตามขึ้นไปติด ๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ชายคนนั้น ประตูชั้นสองก็ปิดหมดทุกบาน ฉันเลยได้แต่ด่าในใจว่าอย่าให้เจอนะ กลับมาถามที่เคาท์เตอร์ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ก็ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากหน้าตาที่ไม่รับแขกที่สุดในโลกของเจ้าของเกสต์เฮาส์ ทำให้ฉันเลิกใส่ใจที่จะเป็นมิตรด้วย คว้ากุญแจ หยิบแผ่นที่เมืองพะอันที่แจกฟรี แล้วออกไปข้างนอก

พะอันเป็นเมืองหลวงของรัฐคะยิน (หรือรัฐกะเหรี่ยง) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำตันลยิน หรือที่เราคุ้นกันในชื่อ"สาละวิน" ภูมิประเทศรอบๆ เป็นภูเขาน้อยใหญ่ และมีคนพบถ้ำมากมายตามภูเขาเหล่านี้ และยังพบพระพุทธรูปโบราณ เจดีย์มอญที่ถูกทิ้งร้าง จารึกโบราณต่าง ๆ ตามถ้ำพวกนี้ด้วย แต่ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ บริเวณเทือกเขาสวยๆ พวกนี้ กลับกลายสภาพมาเป็นสนามรบระหว่างรัฐบาลพม่าและกองกำลังทหารกะเหรี่ยงช่วงที่พม่าประกาศเอกราช



ประชากรส่วนใหญ่ที่นี่ก็ปนๆ กันทั้ง มอญ บะมาร์ มุสลิม ทุกคนเข้าใจภาษาพม่า แต่ก็มีไม่น้อยที่พูดภาษาท้องถิ่นคือภาษาคะยิน ในเมืองพะอันมีสุเหร่าสีแดงเห็นได้ชัดจากที่ที่เราพัก พะอันนับว่าไม่ไกลจากชายแดนไทย-พม่ามากนัก คือถ้านั่งรถต่อไปอีกหน่อยก็ถึงเมียวดี-แม่สอดแล้ว และที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ "ตามันยา" ที่ชาวพม่าให้ความเคารพนับถือเจ้าอาวาสที่นี่มาก แม้แต่อองซานซูจีเธอยังมากราบนมัสการ "สยาดอว์" อู วินายา หรือ อู วินัย ที่นี่ (สยา เป็นคำที่คนพม่าใช้เรียกบุคคลที่นับถือ เปรียบได้กับคำว่า ครู, ท่านครู อะไรทำนองนั้น) จากภูเขาที่ไม่เคยมีคนอยู่ ทุกวันนี้ชาวพม่าหลั่งไหลกันมาแสวงบุญที่นี่กันเป็นจำนวนมาก เพราะความศรัทธาที่มีต่อสยาดอว์ ธรรมเนียมการมาแสวงบุญที่นี่คือ ทุกคนจะกินอาหารมังสวิรัตก่อนการเดินทางมาที่นี่หนึ่งวัน และอาหารที่ให้บริการฟรีสำหรับนักแสวงบุญที่นี่ก็เป็นอาหารมังสวิรัตทั้งหมด ทำกันทีครั้งละกะทะใหญ่ๆ

ก่อนที่ออกมาทางเกสต์เฮาส์ได้สอบถามเรื่องเรือเฟอร์รี่ไปมอลัมไยน์(เมาะละแหม่ง) กับพนักงาน เพราะวางแผนไว้ว่าจะออกเดินทางทางเรือพรุ่งนี้ เค้าบอกว่าเรือไม่ได้วิ่งทุกวัน จะมีวันนึงที่หยุด แต่ไม่แน่ใจว่าหยุดเสาร์หรืออาทิตย์ เราจึงต้องเสี่ยงดูวันพรุ่งนี้ เราจึงเดินไปสำรวจท่าเรือเสียก่อนตั้งแต่วันนี้เลย ท่าเรือนั้นสุดแสนจะเงียบ และดูเหมือนท่าเรือร้าง ไม่มีที่นั่ง ไม่มีตู้ขายตั๋ว ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากโป๊ะเก่า ๆ ลอยตุ๊บป่องอยู่ริมแม่น้ำ

"แน่ใจเหรอว่ายังมีเรือวิ่งอยู่น่ะ" ฉันหันไปถามเบิร์ต
"อืมมมม" ไม่มีคำตอบ เป็นอันว่ารู้กัน ว่ายังไงพรุ่งนี้ ต้องแล้วแต่ดวง ถ้าไม่มีเรือก็ต้องหาทางอื่นไปจนได้

ตัวเมืองพะอันนั้นเป็นเมืองเล็ก ๆ เดินเอาก็ทั่ว แต่อุปสรรคคืออากาศร้อนมาก แต่ตกเย็นแล้วค่อยยังชั่ว เราเดินไปถึงริมแม่น้ำ บรรยากาศริมแม่น้ำสาละวินนั้นค่อนข้างจะสงบดี ไปนั่งดูคนเล่นตะกร้อกันริมแม่น้ำ ผู้คนยังซักผ้าในแม่น้ำกันอยู่ เด็ก ๆ จะให้ความสนใจนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ อาจเพราะนาน ๆ จะมีมาซักคน ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าเป็นสีส้มจัด พอฟ้ามืดยุงก็เริ่มแห่กันมา เรียกว่าทำเอานั่งต่อไม่ได้เลยเชียว




เราไปกินข้าวที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แถว ๆ นั้น ติด ๆ กับร้านอาหารเป็นศาลอะไรซักอย่าง พอค่ำ ๆ ก็มีคนมาแก้บน โดยมีการแสดงมาแก้บนด้วย นักแสดงแต่งกายด้วยชุดการแสดงของพม่า ทุกอย่างมีสีสันฉูดฉาด แต่งหน้าเข้มจัด เต้นรำกันสุดเหวี่ยง มีชาวบ้านให้ความสนใจมานั่งดูกันแน่น ฉันไปยืนเกาะรั้วดูด้วยความเพลิดเพลิน จนสาวเสิร์ฟเดินมาบอกว่า ไปกินข้าวได้แล้วค่ะพี่




ระหว่างทางเดินกลับเกสต์เฮาส์นั้น เห็นว่ามีที่พักอื่น ๆ อยู่บ้าง ดูสภาพน่าไว้ใจว่าที่เราพักคืนนี้หลายเท่า นี่ถ้ามาคนเดียว คงจะเปลี่ยนที่พักเป็นแน่ ดีที่มีเพื่อนมาด้วยเลยพอจะเบาใจไปได้ คนที่นี่สงสัยจะนอนเร็ว หรือไม่ก็ประหยัดไฟช่วยชาติ หรือว่าจะรีบปิดไฟเล่าเรื่องผีกันหรืออย่างไรก็ไม่รู้ เพราะตอนนี้รอบ ๆ มืดตึ๊ดตื๋อ ชนิดที่ตอนที่เดินไปก้มดูเท้าตัวเองไปด้วยยังมองแทบไม่เห็นรองเท้า ดีที่มีไฟฉายเล็กติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา ขอบใจไฟฉายราคา 39 บาท ที่ด่าคนซื้อ(ก็ไอ้คนที่มาเที่ยวด้วยนี่แหละ) ไปหลายครั้งว่าซื้อทั้งทีซื้อที่มันดี ๆ หน่อยก็ไม่ได้ ไฟฉายอะไร ฉายแล้วมีเงากลมๆ ดำๆ อยู่ตรงกลางเนี่ย.. แต่เอาเข้าจริงมันก็ช่วยชีวิตมาได้หลายครั้ง

พอถึงที่พักก็จัดแจงกางมุ้งก่อนเลย (พกมุ้งมาด้วย เป็นไงล่ะ) มุ้งฝรั่งนี่ไม่เหมือนมุ้งที่เราเคยใช้กันเมื่อก่อน อย่างคนไทยใช้มุ้งสี่สาย กางที่เอิกเกริกไปทั้งบ้าน แต่มุ้งฝรั่งมาเป็นก้อน ๆ เห็นครั้งแรกยังงงว่า
"เฮ้ย เอาหมอนมาทำไม" แต่พอกางออกมาแล้วมีหูอยู่ตรงกลางหูเดียว แล้วก็มีตะขอเกลียว ๆ ให้ตัวหนึ่ง เวลาใช้ก็เอามือนี่ล่ะ บิดตะขอตัวนี้เข้าไปบนฝ้าเพดาน แล้วก็ห้อยมุ้งลงมา เหมือนมุ้งดัดจริตที่เราเห็นเค้าใช้กับเตียงนอนไฮโซที่มีขายตามงานแสดงเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเท่าที่ใช้มาไม่เคยมีปัญหาอะไร จะว่าไปมุ้งแบบนี้สะดวกดี ยังไม่เคยเห็นที่ไหนในบ้านเราทำขาย
"แล้วถ้าที่ไหนเพดานเป็นปูนล่ะ?" ฉันสงสัย
"เอ๊า ถามได้ ก็ซวยไปน่ะซิ" เป็นคำตอบที่เป็นสัจธรรมมากๆ

เบิร์ตเป็นคนที่เรียกได้ว่าจะใช้จ่ายแต่ละสตางค์นี่คิดแล้วคิดอีก แล้วจะบ่นเวลาที่ฉันซื้อ"ของเล่น" แบบไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง เช่น กล้อง อุปกรณ์ไอทีทุกชนิด เห็นบ่นๆ แบบนี้ อย่าคิดว่าใช้ของถูก เคยเห็นเบิร์ตใส่เสื้อกันหนาวมียี่ห้อตัวหนึ่ง อย่าคิดว่าเมดอินเจเจ แต่เป็นของแท้ตัวละเกือบสี่พันบาท หรือกระเป๋าเป้ที่ใช้แบกเที่ยวก็ใบละหลายพันบาท ไม้เว้นแม้กระทั่งมุ้ง
"หา มุ้งอะไรวะเนี่ย เป็นพัน"
"ไม่รู้มัน มันมีแบบเคลือบน้ำยา กันยุง อะไรงี้ด้วยนะเว้ย ทำเป็นเล่นไป"
"แล้วกันได้หรือเปล่าละ"
"ก็เหมือนมุ้งทั่วไปแหละ แฮ่ะๆๆ"
"แล้วก็ซื้อมาได้นะ ตั้งเป็นพัน"
"เออ งงเหมือนกันเนี่ย ทำไปได้ยังไง"
"แล้วชอบมาว่า ว่าชั้นใช้เงินเปลือง"
"เออ เออ ไม่บ่นแล้ว"

ฉันก็หาเรื่องแขวะไปงั้น เพราะเอาเข้าจริงแล้วก็อาศัยมุ้งเพื่อนนอนอยู่ดี (ด่าๆแล้วก็ไปใช้ของเค้านะ ดู๊ หน้าด้าน) ไม่งั้นอาจนอนไม่ได้ เพราะยุงกะเหรี่ยงนี่กัดเจ็บจริงๆ




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 30 กันยายน 2549 12:25:50 น.
Counter : 3070 Pageviews.  

วันที่ 9 : หงสาวดีวันนี้

พฤหัสฯ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๖

วันนี้เป็นวันคริสต์มาสต์ แต่พม่ายังคงเป็นพม่า ไม่มีการฉลอง หรือตกแต่งสถานที่กันให้เอิกเกริกเหมือนพี่ไทยที่เทศกาลไหน ๆ เราก็มั่วนิ่มฉลองไปกับเค้าได้

เมื่อคืนก็อยู่บนรถตลอดคืน แวะจอดพักรถและกินข้าวราว ๆ 2 ทุ่มครึ่งแต่ไม่ได้กินเพราะคนเยอะ สั่งกาแฟมาแก้วเดียว 100 จ๊าต และแวะซื้อข้าวเกรียบ และนมขวดอีกนิดหน่อย อีก 800 จ๊าต จากนั้นก็ขึ้นรถมาหลับต่ออีกจนตี 2 ก็ถูกปลุกให้ลงมาเข้าห้องน้ำ (อ่านจากหนังสือซึ่งนักเขียนเป็นชาวพม่านั้นเค้าว่า บางทีเวลารถจอดเพื่อแวะให้เข้าห้องน้ำ เค้าจะตะโกนว่า “เอ้า !! ลงไปรักษาสุขภาพกันหน่อยเร้วว..” ฟังดูแล้วก็ตลก แต่ก็น่ารักดี)

เราเข้าเขตเมืองบาโกราว ๆ ซัก 7 โมงเช้าเห็นจะได้ เมืองบาโกนี้ตั้งอยู่ริมทางหลวงเลย ทำให้คึกคักจอแจพอสมควร ตัวเมืองบาโกอยู่ห่างจากย่างกุ้งราว ๆ 80 กม. การเดินทางไปมาสะดวกดี

ตำนานเมืองบาโก


ชื่อเมืองบาโก(Bago) นี้ในภาษาไทยเราอาจจะคุ้นเคยกับชื่อ "เมืองพะโค" มากกว่า หรือหายังไม่คุ้นก็ต้องบอกว่า บาโก หรือหนังสือฝรั่งบางเล่มเรียก เปกู(Pegu) นั้นหรือก็คือ"หงสาวดี"นั่นเอง สัญลักษณ์ที่สังเกตุเห็นได้ทันทีของเมืองบาโกนี้ก็คือรูปหงส์ 2 ตัว ตัวผู้และตัวเมีย โดยที่ตัวผู้ยืนอยู่ด้านล่างและมีหงส์ตัวเมียยืนอยู่บนหลังหงส์ตัวผู้อีกที สัญลักษณ์นี้หาใช่สร้างจากตำนานที่ชายพม่าที่กลัวภรรยาเป็นผู้คิดขึ้นมาไม่ แต่มันมีตำนานอยู่ว่า..

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ้าชายมอญจากเมืองตะโถงสองพระองค์บังเอิญผ่านมาบริเวณที่ตั้งของเมืองบาโกปัจจุบันนี้ ทรงทอดพระเนตรเห็นหงส์ตัวผู้ร่อนลงที่เกาะกลางน้ำ ซึ่งไอ้เกาะนี้ก็เล็กเหลือประมาณ แม้แต่หงส์ยังยืนได้ตัวเดียวเลย พอหงส์ตัวเมียซึ่งบินตามมาติด ๆ จะร่อนลงบ้างก็ไม่มีที่พอจะให้ยืน ก็เลยต้องร่อนลงไปยืนบนหลังตัวผู้ซะอย่างนั้นน่ะ เจ้าชายสองพระองค์นี้จึงทรงเห็นว่าเป็นนิมิตรอันดีที่จะสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ ก็จึงขยายผืนแผ่นดินบริเวณที่หงส์ร่อนลงนั้นออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็ใหญ่พอที่จะสร้างบ้านเมืองและเจดีย์ได้ ชื่อเมือง Hanthawady นั้นก็ได้มาจากรากศัพท์ภาษาบาลี-สันกฤต ว่า Hamsavati ที่แปลได้ว่าอาณาจักรของหงส์ ทุกวันนี้ก็ยังมีเรื่องโจ๊กที่เล่นกันเองขำกันเองในหมู่ผู้ชายพม่าว่า ใครจะกล้าแต่งงานกับสาวเมืองบาโกล่ะทีนี้ เพราะแต่งไปต้องโดนเมียข่มเหงแน่นอน ขนาดสัญลักษณ์เมือง หงส์ตัวผู้ยังถูกตัวเมียเหยียบจนหลังแอ่น!

พวกมอญสร้างนครหงสาวดีมาได้ 200 กว่าปีก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าโดยถูกพระเจ้าตะเบงชเวตี้นำทัพจากตองอูมาตีแตกจนได้ พระเจ้าบุเรงนองจึงโปรดให้สร้างหงสาวดีเป็นราชธานีในราว ๆ ปีพ.ศ.2109 แต่ไม่นานก็ย้ายราชธนีไปอังวะ ที่อังวะนี้เองพวกมอญเกิดแข็งข้อก็สามารถตีอังวะได้และเป็นเอกราชได้อยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่นานเท่าไหร่ ก็ถูกพระเจ้าอลองพญามาปราบที่เมืองหงสาวดีได้อีก จึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงอังวะจนกระทั่งมาถูกพวกอังกฤษยึดเอาตอนใต้ของพม่าได้

โรงแรมเอ็มเพอร์เร่อร์

ฉันตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนเช้าราว ๆ หกโมงกว่า นั่งตาปรือมองไปนอกรถ เห็นหมอกลงหนา หนามากจนคิดว่าน่าเอามาปั่นทำสายไหมท่าจะดี (ทำไมคิดแต่เรื่องของกินนะ) แต่พอพระอาทิตย์ขึ้นสูงหมอก็ค่อย ๆ จางไป เราลงจากรถที่ทางแยกเยื้อง ๆ กับโรงแรมเอ็มเพอร์เร่อร์ ลงมาก็ยังไม่รู้จะทำยังไงต่อ ก็ยืนดูสถานการณ์ซักพักแต่ก็มีคนมาขายห้องพักอยู่เรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถูกชักจูงไปนั่งในโรงแรมเอ็มเพอร์เร่อร์จนได้ โรงแรมก็เป็นลักษณะเหมือนตึกแถวทั่วไป ด้านล่างเปิดโล่ง ด้านบนดัดแปลงเป็นที่พักหลายห้อง สภาพรวมๆ ถือว่าสะอาดพอสมควร โดยเจ้าของโรงแรมเป็นชายพม่าวัยกลางคน ไว้ผมยาวรวบผมไว้เป็นหางม้า พูดภาษาอังกฤษได้คล่องจนไม่น่าไว้ใจ (เอ๊ะ ยังไง) ซ้ำยังช่วยให้ข้อมูลเสร็จสรรพ




"ไม่พักที่นี่หรือครับคืนนี้" เจ้าของโรงแรมถาม พลางเชื้อเชิญให้นั่งบนเก้าอี้พลาสติกสีขาวหม่น ฉันนั่งลงพลางกวาดตามองดูรอบ ๆ เห็นว่ามีหนังสือโลนลี่แพลนเน็ตฉบับเที่ยวพม่าเมื่อประมาณหลายปีมาแล้ว น่าเข้าขั้นหนังสือโบราณได้ เล่มบางนิดเดียวเท่านั้น ถัดไปบนผนัง มีรูปถ่ายของเจ้าของโรงแรมคนที่เรากำลังนั่งคุยอยู่ด้วยนี่แหละ ถ่ายกับฝรั่งคู่หนึ่ง รูปถัดมาเป็นรูปฝรั่งคู่เดิมแต่ถ่ายที่ไหนซักแห่งที่ไม่ใช่พม่า พร้อมรูปลูกสาวที่เกิดใหม่ เขียนมาด้วยว่าลูกเกิดในประเทศจีน คงจะเป็นเพื่อนกันกระมัง..

"ไม่ละครับ เรากำลังจะไปไจก์ถิโย กะว่าจะไปเลยแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาเที่ยวที่บาโกที่หลัง" เบิร์ตยังคงคุยอยู่กับชายคนเดิม
"อ๋อ ได้ๆๆ ว่าแต่...ซื้อตั๋วรถบัสไปคินปุนหรือยังล่ะ?" คินปุนเป็นชื่อหมู่บ้านซึ่งเป็นเหมือนแคมป์บริเวณ "ตั้งหลัก" ก่อนจะนั่งรถบรรทุก 6 ล้อต่อขึ้นไปยังตีนเขาที่ตั้งของไจก์ถิโย ไปๆมาๆกลายเป็นว่าจัดการขายตั๋วรถไปคินปุนให้เราเสร็จสรรพ คงบวกเปอร์เซ็นต์ไปแล้วเรียบร้อย จากนั้นก็นั่งรอจนกว่ารถจะมา

"อ้อ ถ้าอยากขึ้นไปดูวิวด้านบนของโรงแรมก็เชิญตามสบายนะครับ เดี๋ยวให้เด็กพาขึ้นไป" เจ้าของโรงแรมเรียกเด็กหนุ่มที่ยืนเตร่อยู่หน้าโรงแรมให้เข้ามา แล้วก็พาเราขึ้นไปชั้นดาดฟ้า มองเห็นวิวของเมืองบาโกได้ไกล ๆ หมอกยังลงอยู่จาง ๆ พระอาทิตย์กำลังขึ้นอย่างช้า ๆ เหมือนกำลังบิดขี้เกียจ กำลังถ่ายรูปอยู่เพลิน ๆ ก็มีเสียงตะโกนมาว่ารถมาแล้วๆๆ เลยต้องรีบวิ่งลงมาจนเวียนหัว แต่ก็มาไม่ทัน เพราะรถไปซะแล้ว

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มาอีก" เจ้าของโรงแรมบอก อุเหม่ ก็รู้อยู่แล้วว่าวิ่งลงมาก็ไม่ทันหรอก ไม่รู้ตั้งกี่ชั้น เฮ้อ คราวนี้เลยไม่ไปไหนแล้ว นั่งรอมันอยู่ตรงนั้นแหละ พักเดียวรถก็มา เป็นรถแอร์ปรับอากาศสะดวกสบายแท้

แต่พอขึ้นไปได้ เจ้าของโรงแรมที่วิ่งตามมาส่งด้วยก็ตะโกนขึ้นมาว่า
"เค้าขอคิดค่าโหลดกระเป๋าหน่อยนะ!" อะไรวะ มีค่ากระเป๋าด้วย แม้แต่เครื่องบินเค้ายังไม่มีเลย ถ้าน้ำหนักไม่เกิน อะไรกันนี่ โกงกันอีกหรือไง แต่ก็ต้องจ่ายไปอีกจนได้ ฮึ่ม..

เดินทางสู่หมู่บ้านคินปุน

ผู้โดยสารคนอื่น ๆ บนรถนั้นก็วัยรุ่นกันทั้งนั้น แฟชั่นสาวๆ ที่นี่ออกจะใกล้เคียงกับที่เห็นในลาวอยู่พอสมควร คือนุ่งผ้าซิ่น แต่เสื้อแจ็คเก็ตขอเป็นยีนส์หน่อยละกัน เป็นที่นิยมมาก ไปไหนก็เห็นอีสาวแจ็คเก็ตยีนส์เต็มไปหมด ดูน่ารักดีไปอีกแบบ

โชเฟอร์เปิดเพลงดังสนั่น ทางก็เลี้ยวไปเลี้ยวมา ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนยังไงชอบกล แม้ว่าตอนเช้าจะกินขนมปังที่ตุนมาจากมัณฑะเลไปได้ก้อนเดียวก็เถอะ ยังไม่อยากเอาออกมาตอนนี้ เลยต้องควักยาดมออกมาสูด ปื้ด ปื้ด..เอ๊ะ เพลงนี้มันคุ้น ๆ หูชอบกล กลายเป็นว่า มันคือเพลง "พริกขี้หนู" ของป๋าเบิร์ด ธงไชยของเรานั่นเอง แต่แน่นอนเนื้อร้องเป็นภาษาพม่า ตามมาติดๆ ด้วย "โอเคนะคะ" ภาคภาษาพม่าอีกเช่นเคย แล้วย้อนยุคกันไปอีกหน่อยที่ "นินจา" ของคริสติน่า อากีล่าร์! แหม ใครว่า น้องทาทาเราโกอินเตอร์คนแรก นี่ดูซิ ไปตั้งแต่พริกขี้หนูแล้ว

นั่งเวียนหัวมาตลอด 3 ชั่วโมง รถก็เข้าเขตหมู่บ้านคินปุน ข้างทางร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ รถชะลอเข้าจอดที่ท่ารถที่เป็นลานดินโล่ง ๆ ขนาดใหญ่ มีรถบัส รถสองแถวจอดเรียงรายอยู่แล้วมากมาย เราตระเตรียมสัมภาระเตรียมลง
"มีที่พักรึยังเอ่ยยยย" เด็กหนุ่มร่างเล็กโผล่มาแบบบไม่บอกไม่กล่าว ยื่นนามบัตรที่พักให้เบิร์ต เบิร์ตก็รับนามบัตรมาดูแล้วทำเงียบ ๆ ไม่ได้ว่าอะไร
"มีตั้งแต่ 5 ดอลล่าร์ขึ้นไปนะคร๊าบ ลองแวะไปดูก่อนได้" เขายังคงโฆษณาที่พักต่อด้วยเสียงเล็ก ๆ แหบพร่า ฉันเพิ่งสังเกตุว่าหนุ่มคนนี้ไว้เล็บยาวเชียว ไว้ผมบ๊อบเป๋ข้างซะด้วย
เบิร์ตหันมามองหน้าเหมือนจะขอความเห็น..อีกแล้ว

"จะแวะไปดูก่อนก็ได้มั้ง" ฉันว่า เพราะไม่ได้วางแผนที่พักมาก่อนอยู่แล้ว กะว่ายังไงก็มาเดินหาเอา
"ตกลงเราพักที่คินปุนนะ ไม่ขึ้นไปพักที่ไจก์ถิโย?"
"อืมมมม พักที่นี่ก็ได้ ข้างบนนู่นยังไม่รู้เลยว่าเป็นยังไง ได้ข่าวมาว่าแพงกว่าที่คินปุนด้วย" ด้วยประการฉะนี้ เราเลยตกลงว่าจะไปดูห้องพักที่หนุ่มคนนี้มาเสนอ คือที่ Pann Myu Thu Inn

Pann Myu Thu Inn เกสต์เฮาส์
เราเดินตามหนุ่มคนนี้ไปตามทางเดินที่เป็นดินแดง ๆ ที่ถูกเกลี่ยไว้เป็นทางเดินหยาบ ๆ สองข้างทางรายรอบไปด้วยร้านรวงขายสินค้าจำพวกเสื้อผ้า ของที่ระลึก อาหาร ผลไม้เชื่อม ของกินเล่นต่าง ๆ แหม ได้อารมณ์งานวัดดีจังเลย ขาดก็แต่ยิงปืนกับชิงช้าสวรรค์เท่านั้นแหละ

เดินเข้ามาได้ซักร้อยเมตรก็เป็นซอยเล็ก ๆ เลี้ยวเข้าไปซ้ายมือ เราก็เดินตามเค้าไป ด้านในนั้นเป็นเกสต์เฮาส์ที่ปลูกต้นไม้ไว้ร่มรื่นพอสมควรทีเดียว มีชิงช้าตั้งอยู่หน้าบ้าน เจ้าของบ้านเป็นชายสูงวัยที่ยังดูกระฉับกระเฉง คุณลุงออกมาต้อนรับพร้อมให้เด็กพาไปดูห้อง เริ่มตั้งแต่ห้องแพงสุดไปถูกสุด แน่นอน ไม่ต้องคิดนาน เราเลือกห้องถูกสุดอยู่แล้ว (นี่ว่าถูกสุดแล้วนะ ยังคนละ $5 สองคนก็ $10) ส่วนห้องฝั่งตรงข้ามนั้น เห็นมีโคมไฟระย้าอยู่หน้าห้องแล้วคงไม่ต้องถามราคาให้เสียเวลาเปล่า ห้องที่เราเลือกนั้นก็ถือว่าดีถึงดีมากทีเดียว มีเตียง 2 เตียง นอนได้ถึง 3 คน มีกระทั่งตู้เย็นลายดอกไม้! แต่ห้องน้ำนี่ควรปรับปรุงหน่อย ส้วมเก่าเหลือคณา แต่ไม่เป็นไร ดีกว่าไม่มีส้วมล่ะน่า..

พูดมอญได้เปล่า

ได้ห้องแล้วก็ออกมาจัดการเช็คอิน ลงรายละเอียดในสมุดเข้าพัก คุณลุงรับพาสสปอร์ตไปดูแล้วก็ถามว่า มาจากเมืองไทยเหรอ
"ค่ะ" ฉันตอบยิ้ม ๆ แล้วเบิร์ตก็เสริมขึ้นมาทันทีอย่างที่ฉันคาดไว้
"แต่จริง ๆ เค้าเป็นมอญนะครับ" โว้ยยยยย...พ่อคู้ณ...ไม่ต้องโฆษณามากนักก็ได้ แต่สายไปแล้ว ตอนนี้ทั้งลุง ทั้งเด็กยกกระเป๋าที่รู้แล้วว่าชื่อ เลเล ให้ความสนใจอย่างล้นหลาม
"จริงเหรอๆ แล้วยังพูดมอญได้มั้ย??"
"ไม่ได้ค่ะ" ฉันหัวเราะแหะๆ
"โออออ...." เค้าทำหน้าผิดหวัง "งั้นไหน ๆชี้ให้ดูหน่อยซิ ว่ามาจากตรงไหนของเมืองไทยเหรอ" คุณลุงชี้ไปที่แผนที่ประเทศเมียนมาร์ที่ติดอยู่บนฝาผนัง ฉันก็จิ้มไปเรื่อย ว่าย่ามาจาก นี่ นี่ ราชบุรี อยู่นี่ แล้วมาเรื่อย ๆ นี่ ๆ กรุงเทพฯ
"โอ..อ..อ...." คุณลุงไม่ว่ากระไรอีก นอกจากผงกหัวว่าเข้าใจ ยิ้ม ๆ แล้วตบบ่าฉันดังแปะๆ หันกลับมาอีกที ปรากฎว่ามีคนพม่าที่ทำงานอยู่ในนั้นมาแจมดูแผนที่ด้วยอีก 3- 4 คนไม่รู้โผล่มาจากไหนกัน

หลังจากสอบถามข้อมูลแล้วว่ามีรถบรรทุกขึ้นไปไจก์ถิโยอยู่ตลอดจนถึงราวๆ 1 ทุ่มตรง(คันสุดท้ายที่จะกลับลงมาคือ 1 ทุ่ม) มองนาฬิกาแล้วยังแค่บ่ายหน่อย ๆ พอมีเวลากินข้าวก่อนขึ้นไปด้านบน

"เออว่าแต่ข้างนอกนี่มีอะไรอร่อย ๆ กินข้างมั้ยละครับลุง" เบิร์ตถาม
"ไปกินที่ร้านลูกชายลุงก็ได้นะ เราเปิดร้านขายอาหารพม่าอยู่ ชื่อเดียวกับเกสต์เฮาส์นี่ล่ะ" โอ้ ไม่ม่ม่ม่ม่ อาหารพม่าอีกแล้วเหรอ แต่ตอนนี้ให้กินควายเป็น ๆ ก็เอา เพราะหิวจะตายอยู่แล้ว

เค้าขายอะไรกันน่ะที่คินปุน

เราก็เลยเดินออกมาด้านนอก โดยเดินย้อนกลับไปทางเก่าที่เราลงรถมา โผล่ออกมาจากหลืบเกสต์เฮาส์ได้ก็ต้องปะทะกับผู้คนที่ไหลตามกันมาอย่างเนืองแน่น หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูตื่นเต้นมีความสุขกันจริง ๆ ส่วนมากจะมากันเป็นครอบครัว พ่อ แม่ ลูก รวมไปถึงญาติ ๆ อีกต่างหาก แต่ละคนหอบข้าวของพะรุงพะรัง ส่วนมากก็เป็นของที่เพิ่งช๊อปปิ้งที่นี่ทั้งนั้น ของที่ขายนอกจากของกิน ของใช้แล้วก็มีของเล่นนี่ล่ะที่ขายดี เห็นแล้วต้องอึ้ง เพราะเป็นของเล่นที่ทำจากไม้ไผ่ ประกอบขึ้นเป็นอาวุธหลากชนิด ตั้งแต่ปืนกระบอกเล็ก ๆ ไปจนถึงปืนบาซูก้า! เท่านั้นยังไม่พอ บนปืนยังพ่นสีแดงแช้ด ว่า USA! เห็นแล้วก็งงว่าเค้าซื้อให้เด็กเล่นจริงหรือเปล่าเนี่ย แต่ถามแล้วเค้าก็บอกว่า ก็ไม่มีอะไรหรอก เด็กมันชอบ...(ชักเป็นห่วงแทนพ่อแม่... ลองคิดดูซิ "วันนี้เอาอะไรดีลูก? เอาอาก้า หรือว่า M16 หรือว่าจะเอาบาซูก้านี่ละลู้กกก")





ผู้ใหญ่นั้นก็บ้าซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่กันอย่างแพร่หลาย ส่วนใหญ่เป็นชั้นวางของอเนกประสงค์น้ำหนักเบา เลยซื้อกันใหญ่ เดินหิ้วกันกันให้ควั่ก อย่างผู้หญิงคนที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าเรานี่ก็อีกคนที่แบกชั้นวางของมือนึง ส่วนอีกมือนึงจูงลูกชายตัวเล็ก ๆ แล้วเธอก็ทำของตกดัง ปุ แต่ไม่ยักหันมาเก็บแฮะ สงสัยมองไม่เห็น อ้าว นั่นมันไม้เกาหลังนี่นา
"มะ มะ" ฉันหยิบไม้เกาหลังสุดคลาสสิคขึ้นมาจากพื้นแล้วตะโกนเรียกเธอ เธอหันมามองแบบงงๆ พอฉันยื่นของที่เธอทำหล่นให้ เธอจึงหัวเราะคิกคักแบบเขิน ๆ แบบ อุ๊ยตาย อ๊าย อายฮ่ะ ทำไม้เกาหลังหล่น แล้วพูดขอบคุณแล้วก็เดินไปหัวเราะไป แล้วเธอก็รีบเดินหายไปท่ามกลางคลื่นมนุษย์ที่มาแสวงบุญ

ร้านอาหารลูกชายลุงนี่ ฉันสั่งกับข้าวไป 2 อย่างกับข้าวที่ไม่ต้องสั่งเพราะเอามาเป็นกะละมังสเตนเลสคอยมาเติมให้ตลอด กินได้แค่ไหนกินไป แต่เบิร์ตสั่งซุปอีกแล้ว ส่วนราคาบนเมนูนั้น เนื่องจากเป็นเมนูภาษาอังกฤษเลยเดาไว้ก่อนเลยว่าเกินราคาปรกติแน่ ๆ ฉันนั่งรออาหารอยู่นานกว่าจะได้กิน ส่วนโต๊ะข้าง ๆ นี่มากันทั้งครอบครัว คนพม่านี่เวลากินข้าวถ้าโต๊ะไม่ใหญ่พอนี่สงสัยเครียดนะ จานเล็กจานน้อยเป็นสิบจานเลย ให้ตายเถอะ..ดูแล้วสนุกดีอยู่ไม่หยอก แต่ปัญหาคือไม่รู้อะไรเป็นอะไร เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี จะเอาช้อนไปวนอยู่ด้านบนว่าจะเลือกกินจานไหนดีก็จะดูน่าเกลียดไปหน่อย

เช็คบิลออกมาแล้วทั้งหมด 4000 จ๊าต โอ้ แพงจริงๆ ด้วย จริงแล้วสี่พันกว่านะ เลยบ่นไปว่า โห อุตส่าห์พักที่เกสต์เฮาส์แล้วไม่ลดให้เลยเหรอพี่ ใจร้ายจริง ๆ ฯลฯ แกคงรำคาญเลยต้องลดให้ ซึ่งถ้านับเป็นเงินไทย ลดไปให้ประมาณห้าบาท (ห้าบาท! โธ่..)

รถบรรทุก ประสบการณ์อึ้งทึ่งเสียว

อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาไปทรมานตัวเองกันแล้ว เราเดินไปทางท่ารถบัส พอเลยไปหน่อยเดียวก็จะมีทางแยกไปทางขวาคือเป็นทางที่จะขึ้นเขา เห็นมีป้ายใหญ่ ๆ อยู่ด้านหน้าว่าทางสำหรับขึ้นรถไปไจก์ถิโย เลี้ยวก็แล้วก็ต้องทึ่งอีกแล้ว เพราะมันเป็นรถบรรทุกสิบล้อที่เต็มไปด้วยผู้โดยสาร ที่อัดแน่นจนแทบปลิ้น ด้านข้างรถบบรทุกนั้นเค้าทำเป็นบันไดคอนกรีตอย่างดี แบบบันไดขึ้นเครื่องบินเล้ยยยย แต่ถึกกว่าเล็กน้อย มีผู้ชาย 2-3 คนคอยกำกับอยู่ด้านบน เอ้า ชิดในหน่อย เจ๊ไปนั่งแถวหน้า พี่ยืนเกาะที่ตรงกระจกหลังคนขับได้ไหม ฯลฯ ดู ๆ แล้ววุ่นวายพิกล

เราสองคนเลยเดินขึ้นไปแบบอึ้ง ๆ มอง ๆ ดูในรถ เออ มันก็เต็มแล้วนี่หว่า เลยเดินเลี่ยง ๆ ออกมากะว่าเดี๋ยวรถคันใหม่ก็แล้วกัน แต่ผู้ชายที่ยืนกำกับอยู่แกไม่ยอม แกยิ้ม ๆ แล้วหันมาบอกว่า ไปเล้ย ไปเล้ย ไปคันนี้แหละ ฉันมองตาปริบ ๆ เฮ้ย แล้วจะไปนั่งตรงไหนวะ มันไม่มีที่นั่งแล้วนี่ ที่นั่งอยู่นั่นก็แทบจะนั่งตักกันอยู่แล้ว เลยหันไปมองหน้าเบิร์ตว่า เอาไงดี เบิร์ตให้คำตอบที่ช่วยได้มาก คือ ไม่ตอบ!

คนในรถเริ่มขยับให้อีกนิด ส่วนมากพวกผู้หญิงจะนั่งอยู่กลางรถ ส่วนท้ายรถนี่เป็นขอบ ๆ กระบะด้านท้ายรถนั้นจะเป็นผู้ชาย (ถ้ามันเป็นรถกระบะน่ะจะไม่ลังเลเลย แต่นี่มันรถบรรทุกเนี่ยซิ ถ้าหล่นลงมาก็เก็บศพได้เลย) ถึงแม้ว่าทุกคนจะพยายามขยับให้มีที่ว่างให้เรานั่งแล้ว มันก็เป็นที่ว่างที่พอสำหรับสาวหุ่นแบบน้องๆนางแบบเท่านั้น หุ่นอย่างฉันคงไม่ไหว แต่จะรอคันหน้าเค้าก็บอกเดี๋ยวจะเย็นเกินไปแล้ว ก็เลยบอกให้เบิร์ตแทรกเข้าไปยืนเกาะที่ราวหลังห้องคนขับซึ่งดูจะสบายกว่านั่งขอบกระบะเป็นไหน ๆ แต่กว่าจะเข้าไปได้ก็ต้องข้ามผู้ชายหลายคน เป็นผู้หญิงไปก้าวข้าม ๆ เขาคงจะไม่ดี ส่วนฉันตัดสินใจปีนเข้าไปนั่งด้วยที่ขอบกระบะที่มีผู้ชายหน่วยกล้าตายนั่งอยู่แล้ว 5-6 คน คิดในใจว่าเป็นไงเป็นกันวะ ...แล้วก็ได้ที่นั่งตรงมุมกระบะพอดีเลยโดยนั่งหันหลังให้คนขับ แล้วต้องเอาตีนเกี่ยวตะแกรงที่ยืนออกมาข้างๆรถไว้อีกข้างนึงกะว่า เฮ้ย มันต้องไม่ตก มันต้องไม่ตก โห...ดีนะที่ไม่ใส่อีหนีบมา...เกือบไปแล้วเชียว

แล้วรถก็ออก ..ตอนแรกมันก็ไปช้า ๆ อยู่ ไอ้เราก็นึกว่าจะเป็นรถสองแถวแม้วตอนไปดอยอินทนนท์ที่ไปเรื่อย ๆ หวานเย็น ๆ ที่ไหนได้พี่แกขับแบบสิบล้อบนทางไฮเวย์เลย เฟี้ยววว.. ฟ้าววว.. เทโค้งทีนี่ ใจไม่อยู่กะเนื้อกะตัว เจ้าประคุณเอ๊ย ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่เนี่ย.. อยู่บ้านดี ๆ ไม่ชอบ

แดดเผาหน้าจนรู้สึกว่ามันชักจะสุกได้ที่ ต้องดึงเอาผ้าที่พันหัวเอาไว้มาปิดหน้า การที่จะเอามือไปดึงผ้ามาปิดหน้านี่ก็ต้องทำแบบใจถึง เพราะรถมันเหวี่ยงตลอดแล้ววิ่งเร็วด้วย ต้องปล่อยมือเดียว แล้วรีบๆดึงผ้ามาพัน หนัก ๆ เข้าก็ห่อไปเลยทั้งหัว ถ้าโพกต่อไปอีกหน่อยอาจรัดคอตายได้ จะโพกใหม่ก็ไม่ได้อีก ไม่กล้าปล่อยมือที่จับขอบกระบะรถอยู่ ปล่อยไปมือเดียวก็เสียวแล้ว พี่โชเฟอร์ยังคงเทโค้งท้าทายนรกอย่างสม่ำเสมอ จนมีรถอีกคันตามมาติด ๆ เลยขับตามกันไปแบบลุ้นระทึก ไม่รู้เป็นวัฒณธรรมร่วมของเอเชียหรือเปล่า ที่เวลามีรถอีกคนมาร่วมแจม ผู้โดยสารจะต้องกรี๊ดแบบ "มันมาแล้วๆๆ เย้ๆๆ" ทำให้คนขับยิ่งมันส์เข้าไปใหญ่ ฉันนั่งตากแดดจนหน้า เหน้อ จะไหม้ จะเกรียมนี่ไม่สนใจแล้ว ขออย่าให้หล่นลงไปเป็นพอ

บรรยากาศดี ดนตรีไพเราะ แต่..เพื่ออะไรเนี่ย

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ รถก็ชลอความเร็วลง ฉันเหลียวหลังไปดูว่ามีอะไรกันหว่า ก็เห็นเป็นเพิงพักขนาดย่อม ๆ ที่ทำไว้ค่อนข้างจะถาวร ขนาดพอสำหรับจอดรถบรรทุกได้ซักสองสามคันพอดี รถเข้าไปจอดเทียบแล้วดับเครื่อง พักรถเหรอ? อ้าว พักทำไม แต่ก็ดีเหมือนกัน ได้พักหายใจหน่อย เฮ่อ....ว่าแล้วก็เปลี่ยนท่าซะหน่อยดีกว่า

ผ่านไปอีก 20 นาที เรายังคงอยู่ที่เดิม เริ่มมีดนตรีให้ฟังฟรี โดยเปิดผ่านลำโพงขนาดย่อม ๆ ที่ผูกติดไว้บนเสาไม้รอบ ๆ โรงพักรถ แหม บรรเลงเปียโนคลาสสิคซะด้วย ....ฉันอยากจะลงไปยืดเส้นยืดสาย แต่ดูๆแล้วถ้าลงไป จะขึ้นมายังไงยังนึกไม่ออก แถมถ้าลงไปแล้วขึ้นมาอาจจะไม่ได้ที่นั่งด้วย บางคนเริ่มกระโดดลงไปหาน้ำกินแล้วตอนนี้ หนุ่ม ๆ ก็ลงไปเอาน้ำดื่มมาบริการสาว ๆ ถึงบนรถ ผ่านไปอีก 20 นาที ...เสียงเปียโนยังดังอยู่ แต่เริ่มไม่เพราะแล้ว เพราะหงุดหงิด คนพม่าบางคนเริ่มประชดด้วยการทำท่าพรมนิ้วเล่นเปียโนให้มันบ้าไปเลย หันไปดูเบิร์ต ยังยืนบิดไปบิดมาอยู่ที่เดิม คงจะเซ็งเหมือนกันแหละ เฮ้ย จะบ้าเรอะ นี่มัน 40-50 นาทีเข้าไปแล้ว ร้อนก็ร้อน เมื่อยก็เมื่อย รออะไรของเค้าอยู่เนี่ยยยยยยย!

บรืนนนน.....

เสียงรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นลงมาจากด้านบนแล้วค่อย ๆ แล่นผ่านไปแบบอ้อยอิ่งจนน่าหมั่นไส้ แต่เท่านั้นแหละ รถบรรทุกคันที่ฉันนั่งมาก็ติดเครื่องดังสนั่น ทุกคนเฮ โธ้ ที่แท้ก็ต้องมารอรถให้ลงมาก่อนนี่เองเหรอ มันคงจะแล่นสวนทางกันไม่ได้ละมั้ง แต่เซ็งชะมัดเลย เสียเวลาไปเฉย ๆ ตั้งชั่วโมงเต็ม ๆ อ้าว แล้วอีหนูที่นั่งอยู่ด้านหลังฉันก็ดันเลื่อนตัวมานั่งสูงขึ้นอีก ทำเอาฉันนั่งที่เดิมไม่ได้แล้ว ต้องระเห็จไปนั่งในตะแกรงขนาดใหญ่ที่เค้าเอาไว้ใส่สัมภาระ! มันเป็นเหมือนตะกร้าขนาดยักษ์ที่วางไว้บนฝากระบะเปิดปิดที่ท้ายรถ แล้วเอาโซ่มาล่ามติดไว้กับตัวรถ มอง ๆ ดูแล้ว นี่ถ้าหล่นก็หล่นทั้งยวงนะเนี่ย...โอ่ย อยากร้องไห้จัง

ท่านั่งก็เลยเหมือนถูกใครจับฉันเอาก้นยัดลงไปในถังให้ตัวกับขาโผล่ออกมาเท่านั้น เมื่อยแทบบ้า!! เด็กหนุ่มอายุคงราว ๆ ซัก 17-18 ที่อยู่ในชุดหมีสีส้มใส่เครื่องประดับข้อมือที่เป็นหนังสีดำตอกหมุดมันแว้บ หันมาถามว่า "คุณโอเครึเปล่า?" ฉันก็บอกว่า โอเค (แต่จริงๆ น่ะตายด้านไปแล้ว) เค้าก็ยกนิ้วโป้งว่า เยี่ยม ๆ (อ๊ากกกซ์ !!! เมื่อไหร่จะถึงซักที!)

ถึงซะที แต่.....

ผ่านไปอีกราว ๆ 15 นาทีรถก็ถึงที่หมาย ฉันดีใจแทบบ้า กระเป๋าใครกระเป๋าใครไม่สนแล้ว ขออนุญาตเหยียบแล้วล่ะ ไม่งั้นลุกไม่ได้ (แต่ก็นั่งทับกระเป๋าชาวบ้านเค้ามาตลอดทางอยู่แล้ว ไม่รู้ทำอะไรเค้าพังไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้) บันไดไม้โยก ๆ เยก ๆ ถูกเอามาวางเทียบข้าง ๆ รถ ฉันเดินขาสั่นพั่บ ๆ ลงมายืนที่พื้นได้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

"เป็นไง?" เบิร์ตยืนเท้าสะเอวถาม ขาแอบสั่นเล็กน้อย
"โธ้...ก็จะเป็นไงซะอีกล่ะ?" ฉันย้อนกลับบ้าง ต่างคนต่างรู้ว่าคงไม่ต้องตอบหรอก เพราะสภาพนี่โทรมสุด ๆ นี่ยังต้องเดินขึ้นอีกครึ่งชั่วโมงนะ ยังไม่จบง่าย ๆ บอกแล้วว่าอยู่บ้านดี ๆ ไม่ชอบ ชอบทรมานดีนัก

ว่าแล้วอย่าเสียเวลา เริ่มเดินขึ้นกันเลยดีกว่า เพราะนี่ก็เริ่มจะเย็นแล้ว รถคันสุดท้ายที่จะนั่งกลับคินปุนได้คือ 1 ทุ่มตรง เลยถามเค้าไปว่าถ้ามาไม่ทันจะเป็นยังไง เค้าได้แต่ชอบยิ้ม ๆ ว่า

"ก็มาให้ทันแล้วกัน"

ให้ผมแบกมั้ยครับพี่

ทางเดินขึ้นเค้าทำไว้อย่างดี เดินไม่ยากอะไร แต่ "ชันมาก" เวลาเดินขึ้นนี่ต้องโน้มตัวไปด้านหน้าจนปวดหลัง คนพม่านี่บางคนเริ่มถอดรองเท้าตั้งแต่ตรงนี้แล้วนะ แต่ฉันคงไม่ไหวล่ะ ขอละกัน ไปถึงใกล้ๆแล้วค่อยถอด เราเดินไปหอบไป เหงื่อแตกซิ่กๆ แต่ขนาดคนแก่ ๆ เค้ายังเดินขึ้นไป เราก็ต้องขึ้นไปซีน่า

แต่ถ้าใครที่ขึ้นไม่ไหวจริง ๆ (หรือขี้เกียจแบบสุดยอด) ก็จะมีบริการ "แบก" ขึ้นด้วย คือเป็นเหมือนเสลี่ยงทำด้วยไม้ไผ่ขนาดเขื่อง 2 ข้าง ตรงกลางมัดติดเอาไว้กับเตียงผ้าใบชายหาด! นี่ก็เห็นแบกฝรั่งขึ้นไปแล้ว 2 คน สนนราคาไปส่งถึงด้านบนก็ 8000 จ๊าตขาดตัว สำหรับคนแบก 2 คนหน้า-หลัง ราคาอาจลดลงเรื่อย ๆ หากต้องเดินตามตื๊อนานหน่อย บางทีน่าโมโหนะ เพราะพอบอกว่าไม่ไป ๆ แล้วมานั่งเหนื่อย ๆ ให้เห็นนี่เค้าจะแบกเปลตามไปเรื่อย ๆ กะว่า "ยังไงมันต้องเสร็จตูแน่ ฮ่า ฮ่า ท่าทางแบบนี้ไปไม่รอด" แต่เดินขึ้นไปได้ซักพักเค้าก็หายไปเอง

สองข้างทางนี่จะมีร้านขายน้ำขายขนมอยู่ตลอด ไม่ต้องกลัวจะไม่มีที่ซื้อ ยิ่งสูงยิ่งมีของแปลก ๆ ขาย ทั้งอุ้งตีนหมี นกเงือก กระโหลกนู่น กระโหลกนี่ เห็นว่าคนซื้อไปทำยา เห็นแล้วก็น่าสงสารจริง ๆ สงสารสัตว์นะ ไม่ใช่สงสารคนขาย

น้ำอ้อยร้อยปี

หมดจากทางที่เป็นพื้นปูนแล้ว ตอนนี้ก็เริ่มเป็นดิน เป็นขั้นบันไดหยาบ ๆ ขึ้นไปตลอดแนว แวะกินน้ำอ้อยซักหน่อยเพื่อเรียกพลังงาน เพราะตอนนี้ใกล้ตายเต็มทีแล้ว ลุงคนขายแกก็หยิบอ้อยมาใส่เครื่องอย่างชำนาญ แต่ไอ้แผ่นสังกะสีที่รองเวลาน้ำอ้อยมันไหลลงมานี่ซิ โอ้มายก้อด มันเก่ายิ่งกว่าฝาสังกะสีห้องน้ำซะอีก เห็นแล้วก็อึ้ง ไร้คำบรรยาย ยิ่งชามที่ลุงแกเอามารองน้ำอ้อยที่คั้นเสร็จแล้วด้วยแล้วนี่บอกตามตรงว่านาทีนี้ให้เอาน้ำมาใส่ชามที่ขุดพบที่สังคโลก หน้าตาคงออกมาไม่ต่างกันมากเท่าไหร่

"ใส่น้ำแข็งมั้ยล่ะ" ลุงแกถาม ฉันมองไปที่แก้วน้ำอ้อย แล้วก็ บอกไปอย่างใจกล้าว่า "ใส่" เพราะถึงยังไงๆ ตอนนี้น้ำแข็งมันคงไม่ได้ผิดหลักอนามัยไปกว่าสังกะสีร้อยปีสมัยพระเจ้าตะเบงชเวตี้ของลุงแกมากนัก ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วเอาให้สุด ๆ ไปเลย คืนนี้ต้องแย่งส้วมกันหน่อยแล้ว

แล้วน้ำอ้อยในตำนานก็มาอยู่ในมือ ฉันเกี่ยงกันกับเบิร์ต หลังจากนั่งจ้องมันอยู่ 1 นาที
"เธอกินก่อนดิ" ฉันยื่นแก้วไปทางเบิร์ต
"ฮื้ยยยย...ไม่เป็นไร เลดี้เฟิร์สต์" เรื่องอย่างนี้ล่ะเอาตัวรอดได้เก่งนัก
"แหงะ.." ฉันมองแก้วอีกที แล้วเอาหลอดดูดปรื้ดเดียวครึ่งแก้ว แล้วเอามือจับ ๆ ตามตัว ...โอ ยังมีชีวิตอยู่...แต่จะว่าไปรสชาติใช้ได้นะ

โดนจับไต๋ได้

หลังจากเดิน ๆ หยุด ๆ มาได้ครึ่งชั่วโมงกว่า ก็เริ่มมีที่พักประปราย เป็นโรงแรมที่ค่อนข้างจะดีทีเดียว บางทีก็เป็นของรัฐบาล มีคนเข้าพักพอสมควรเหมือนกัน (แต่ไม่แนะนำให้พัก ไม่อยากให้สนับสนุนกิจการของรัฐ) เราได้แต่เดินผ่านไป เพราะยังไงก็ไม่ค้างคืนที่นี่อยู่แล้ว แต่เนื่องจากความอยากรู้อยากเห็น ขอสำรวจราคาซักหน่อยเถอะ ก็เลยไปยืนดูหน้าตาที่พักอยู่แป๊บนึงกับป้ายอัตราค่าเข้าพักที่เค้าติดไว้ด้านหน้า อืม แพงเหมือนกันนะ จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่แพงกว่าที่เราพักด้านล่างที่คินปุน

ถัดไปอีกราว ๆ 50 เมตรจะเป็นด่านตรวจและชำระเงินค่าเข้าชมที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องจ่ายคนละ 7 ดอลล่าร์ ฉันก็ทำเหมือนปรกติคือเดินเข้าไปเฉย ๆ ทำหน้าเฉย ๆ เข้าไว้ก็ไม่เคยจะเห็นเค้าจับได้ แต่คราวนี้ซิ

"ยู ยู!" เรียกใคร(วะ) ค่อย ๆ เหลือบไปมอง
"ยูนั่นแหละ" เฮ่ย รู้ได้ไงไม่จริงน่าาา
"มาจ่ายค่าทิคเก็ตก่อนเลย เร้ว มานี่ๆ" เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบยืนกวักมือเรียกหย็อย ๆ

ฮือ ๆ โฮ ๆ ๆ ๆ

ปรากฎว่าเค้ารู้ก็เพราะไอ้เสร่อสองคนนี้มันไปยืนดูราคาที่พักอยู่เป็นนานสองนานนี่แหละ แถมวิจารณ์กันจนน้ำลายแตกฟองผิดวิสัยคนพม่ากับคนฝรั่งต่างชาติยิ่งนัก อย่าช้าเลย เรียกมันมาจ่ายค่าเข้าเดี๋ยวนี้
"โธ้ ติดอยู่กลางทางตั้งเป็นชั่วโมงๆ นี่ก็ 4 โมง 5 โมงเเย็นเข้าไปแล้ว เนี่ย เดี๋ยวก็ต้องกลับแล้ว ยังเก็บอีกหรอ..อ..อ."(ฉอดๆๆ) เบิร์ตบ่นกระปอดกระแปด เจ้าหน้าที่ไม่พูดอะไร ยิ้มเจื่อน ๆ สถานเดียว
"ลดหน่อยไม่ได้หรอออ นะ นะ" ยัง ยังไม่เลิกต่อ
"ไม่ได้ครับ" เจ้าหน้าที่ไม่เล่นด้วย 7 ดอลล่าร์อันแสนหวานเลยต้องลอยไปอยู่ในลิ้นชักอย่างสงบ ..สาธุ ฉันยังไม่วายเดินบ่นมาตลอดทาง

"เฮ้ นั่นไงๆๆๆ เห็นแล้ว" ฉันชี้นิ้วไปที่ก้อนหินสีทองที่เห็นอยู่ไม่ไกล
"บ้าาาา นั่นมันใช่ที่ไหนล่ะ ก้อนติ๋วเดียว" เบิร์ตหันมาหรี่ตามองแถมย่นหน้าใส่
"อ้าว เหรอ โธ้ มีหลายก้อนก็ไม่บอก" ก็มันมีหลายก้อนจริง ๆ นะ แต่มีทั้งแบบ เกือบเหมือน กับทำจำลองขึ้นมาให้มันเหมือน ขนาดนั่งรถผ่านตามวัดต่าง ๆ ยังมีทำจำลองไว้ในวัดด้วยซ้ำไป หลอกให้เราดีใจก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ

เราเดินมาถึงประตูทางเข้าที่ทำไว้ใหญ่โตสวยงามทีเดียว พอถึงตรงนี้ต้องถอดรองเท้าแล้ว ผู้คนยังหนาตา มีตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงไปจนถึงผู้เฒ่าผู้แก่ แล้วแต่ละคนหอบอุปกรณ์เครื่องนอน เครื่องครัวกันมาเต็มอัตราศึก ส่วนใหญ่ก็หอบหิ้วกันมาทั้งครอบครัว พ้นจากประตูไปจะเป็นลานหินขัดมันกว้างขวางมากทีเดียว พื้นที่ริม ๆ ทางเดินนั้นส่วนใหญ่ถูกจับจองหมดแล้ว ด้วยหมอนมุ้ง เสื่อ หม้อ ไห จิปาถะ นี่กะจะมาอยู่ถาวรกันเลยหรือเปล่าเนี่ย ห้องน้ำจะอยู่รวมกันอีกฝากหนึ่ง ทีตรงนั้นล่ะไม่เห็นมีใครไปจอง

บางคนที่เซียนมาก ทำเป็นห้องเลย เอาไม้ไผ่สานบาง ๆ มากั้นเป็นผนังเตี้ย ๆ 3 ด้าน เอาผ้าคลุมทำหลังคาหน่อยนึง ได้ห้องแล้วหนึ่งห้อง อะเมซิ่ง...

คนพม่านี่เวลาไปเดินสายทำบุญนี่เค้าซีเรียสกันมากนะ เรียกว่าตั้งใจไปกันจริง ๆ เลย นอกจากไปไหว้พระแล้วก็ถือโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนไปในตัว เนื่องจากไม่มีทางเลือกมากนัก ไม่มีหรอก เสาร์ อาทิตย์ไปจองรีสอร์ทเล่นน้ำทะเล หรือบ่าย ๆ ไปเดินห้าง ส่วนมากการไปเที่ยวของเค้าก็คือการเดินสายนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ บางคนต้องเก็บออมไว้นานพอควรกว่าจะพอที่จะเป็นค่าใช้จ่ายไปการเดินทาง "ทัวร์ไหว้พระ" ได้




พระธาตุอินทร์แขวน

เดินมาตามลานหินขัดมาเรื่อย ๆ สุดสายตาจะเห็น ก้อนหินสีทองเจิดจ้า ขนาดมหึมา ตั้งตะหง่านอยู่แต่ไกล สีทองของก้อนหินตัดกับสีฟ้าอมส้มของท้องฟ้าที่เป็นฉากหลังนั้นทำเอาฉันลืมคำพูดไปหมด ว่ากำลังคุยถึงเรื่องอะไรอยู่ เหมือนมีแรงดึงดูดให้คนเดินเข้าไปหาจริง ๆ

ไม่ไกลจากพระธาตุเท่าไหร่ จะเป็นห้องเล็ก ๆ แบ่งเป็นช่อง ๆ ขายทองคำเปลว จำนวนแล้วแต่จะซื้อ ตามกำลังศรัทธา ถ้าซื้อเยอะหน่อยจะได้เข็มกลัดรูปไจก์ถิโยด้วย! โอ้ แล้วเราก็ได้มา 1 อัน แฮ่ะ ๆ เป็นเข็มกลัดพลาสติก น้ำหนักเบาหวิว ไม่มีราคาค่างวดอะไรเท่าไหร่นัก แต่คนก็เก็บไว้เป็นศิริมงคล ถือว่าเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มาสักการะถึงที่นี่จริง ๆ ไม่ใช่ดูจากรูปถ่ายอีกต่อไปแล้ว

สำหรับผู้หญิงนั้น ก็อย่างเคย ตามธรรมเนียมพม่าคือห้ามเข้าไปปิดทองด้วยตนเองเด็ดขาด แต่ฝากให้ญาติ หรือเจ้าหน้าที่เข้าไปปิดทองที่ตนเองซื้อมาแล้วแทนได้ รอบ ๆ พระธาตุก็จะมีพื้นที่ไว้ให้จุดธูปเทียนตามสะดวก สองข้างซ้ายขวาของพระธาตุ ถูกทำเป็นบันไดอย่างดีนำไปสู่เบื้องล่างที่เราสามารถเดินดูก้อนหินสีทองมหัศจรรย์นี่ได้รอบทิศทีเดียว ด้านล่างนั้นถึงแม้พื้นที่จะไม่กว้างขวางเท่าไหร่แต่ก็มีคนไปนั่งกันเต็ม เพื่อนั่งแหงนหน้าดูความมหัศจรรย์ของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนคงมีคำถามเดียวกันว่า

"มันตั้งอยู่ได้ยังไงวะ"

เพราะผิวสัมผัสที่แตะกับพื้นนั้นมีน้อยเหลือเกิน ดูแล้วไม่น่าจะตั้งอยู่ได้เลย ประหลาดมาก..

เคยอ่านเจอว่าเมื่อก่อนนี้ก็เคยมีเหมือนกันแหละ คนที่คิดอยากจะเอาเจ้าหินก้อนนี้ลงมา เพราะตั้งแต่หมิ่นเหม่เหลือเกิน จะหล่นก็ไม่หล่น ดูแล้วคาใจ เลยเอาเชือกมามัดแล้วจัดแจงดึงกะว่าให้หล่นให้จบ ๆ เรื่องไป แต่หินนั้นก็ไม่เขยื้อน แถมบุคคลที่เกี่ยวข้องก็ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ร้าย ๆ กันทุกคน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครไปคิดเอาลงมาอีก แล้วทองที่ถูกนำไปปิดก็หนาขึ้นทุกวัน ๆ ผิวที่อยู่ในระยะที่คนจะเอื้อมไปปิดทองถึงนั้นก็หนานูนไปด้วยทองและทอง เกิดเป็นพื้นผิวตะปุ่มตะป่ำเหมือนกับทองบนองค์พระมหานุนีที่มัณฑะเลย์

ฉันส่งเบิร์ตไปปิดทองพิสูจน์กับเค้าด้วย เป็นภาพที่ดูประหลาดดีพิลึก ฝรั่งตัวขาว ๆ ท่ามกลางชายพม่านุ่งโสร่งเบียดเสียดกันเข้าไปปิดทอง เหยียดจนสุดแขนกันทีเดียว แต่ค่อย ๆ กระดึ๊บ ๆ เข้าไปจนเข้าไปใกล้ได้อีกหน่อย ฉันเองได้แต่สังเกตุการณ์อยู่ด้านนอก คิดในใจว่าถ้าอยู่ดี ๆ มันกลิ้งหล่นลงไปจะไปโทษใครดีนะ ในหลาย ๆ คนที่กำลังปิดทองกันอยู่โครม ๆ เนี่ย

กลิ่นควันธูปอบอวนอยู่ในอากาศ ควันเข้าตาจนแสบ กราบเสร็จแล้วเลยเลี่ยงออกมารอห่างจากตรงด้านหน้าอีกหน่อย เบิร์ตค่อย ๆ เดินตัวลีบออกมา
"เป็นไงๆ" ฉันถามด้วยความตื่นเต้น
"อ่าว จะให้ตอบว่าไงดีล่ะ ก็ปิดทองธรรมดา" เออ ก็จริงของมัน
"ว่าแต่ตอนเค้าทาให้เป็นสีทองนี่เค้าทำไงหว่า ไหนจะตรงยอดที่สร้างเพิ่มด้านบนอีก" ตรงด้านบนมียอดแหลม เหมือนยอดเจดีย์ สร้างเอียงเข้ามาฝั่งตรงข้าม เหมือนจะสร้างสมดุลย์ให้แน่ใจว่าไม่หล่นไปแน่
"เออ ไม่รู้ดิ"

เราเดินวนดูรอบ ๆ องค์พระธาตุ ไปนั่งแหงนหน้ามองจากด้านล่าง ยิ่งดูยิ่งแปลก นั่งได้พักเดียว เบิร์ตก็บอกว่า
"ไปเหอะ ไปด้านบนดีกว่า รู้ว่ามันไม่หล่น แต่นั่งตรงนี้ เสียวๆไงไม่รู้แฮะ เหอๆ"




บริเวณรอบ ๆ นั้นจะเห็นว่ามีหินก้อนอื่น ๆ อีก แต่รูปร่างแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากก็ถูกทาไว้ด้วยสีทองเหมือนกันหมด ต่างก็แต่ว่ามันไม่ได้ไปตั้งอยู่หมิ่นเหม่เหมือนพระธาตุอินทร์แขวน ก็เลยไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่ มีคนให้ความเห็นว่าบริเวณนี้นั้นเป็นเคยทะเลมาก่อน พอน้ำมันค่อยๆลดไปหินเลยตั้งอยู่ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด ก็ไม่รู้จริงหรือเปล่า

พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงแล้ว ยกนาฬิกาขึ้นดู อ๊ะจ๊ากกก เหลืออีกครึ่งชั่วโมงพอดี รถคันสุดท้ายจะออกแล้ว รีบเดินออกแทบไม่ทัน อดดูพระอาทิตย์ตกจนได้! ต้องรีบเดินจ้ำอ้าวกันจนขาแทบขวิด มิวายต้องแวะซื้อน้ำเปล่าก่อนอีก เบิร์ตหันมาโวยวายว่า ทำไมเจ๊ต้องมาซื้อตอนนี้ด้วยเดี๋ยวไม่ทันรถ
"เฮ้ย คนหิวน้ำนี่หว่า ปะโธ้ แล้วอย่ามาขอกินก็แล้วกัน"
จากนั้นเรียกว่าเดินคงไม่ได้ เพราะกึ่งวิ่ง กึ่งกลิ้งกันลงมา แถมทางยังชันอีก เข่าแทบพัง!

ตกรถจนได้!

ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเหลืออีก 5 นาทีเอง เลยแข่งกันวิ่งมาจนถึงด้านล่างจนได้ แล้วภาพที่เราเห็นก็คือ รถบรรทุกคันสุดท้ายที่บรรทุกผู้โดยสารเต็มคันรถเพิ่งออกไป ทำฝุ่นบนถนนกระจายคลุ้งใส่หน้าเป็นการเยาะเย้ยอีกต่างหาก อารมณ์ตอนนี้เหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ แล้วตกรถเมล์คันสุดท้ายตอนกลับบ้านเลย แต่อยู่กรุงเทพฯ แท็กซี่ยังมี ตอนนี้อยู่ที่ไหนละเนี่ย ไม่มีอะไรเลย มองไปรอบ ๆ มีแต่ร้านอาหาร ลานจอดรถ มีรถบรรทุกคันอื่น ๆ จอดอยู่บ้าง แต่หลังจากขึ้นไปนั่งอยู่ราว ๆ 10 นาที คนขับก็มาบอกว่าถ้าไม่มีผู้โดยสารคนอื่นเค้าก็จะไม่ลงไป เพราะฉะนั้นเราต้องเหมาทั้งคัน ถ้าจะลงไปคินปุน

"เท่าไหร่น่ะ" ฉันเริ่มเซ็ง ใจคอไม่ค่อยดี เพราะงบประมาณนั้นต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดจริงๆ ที่พม่านี่ไม่มีเอทีเอ็มให้กด บัตรเครดิตนั้นหรือลืมไปได้เลย มันคือพลาสติกไร้ค่าในนาทีนี้
"16,000 จ๊าต"
"16,000 จ๊าต!!" คิดแล้วตกราว ๆ 20 ดอลล่าร์ เพราะเท่ากับการจ่ายคนละ 400 จ๊าต จำนวนผู้โดยสาร 50 คน ก็เป็น 16,000 จ๊าต พอดี ตอนนี้ไม่มีผู้โดยสารคนอื่น เราจึงจะต้องจ่ายแทนจำนวนที่ว่างทั้งหมดถ้าอยากไป จริงๆแล้ว 20 ดอลล่าร์ฟังดูไม่ใช่เงินมากมาย ถ้าเป็นบางคนอาจจะยอมจ่ายไปแล้ว แต่สำหรับเรา 20 ดอลล่าร์นั้นหมายถึงค่าที่พักที่จ่ายได้ถึง 3 - 4 คืน หรือค่าอาหารอีกหลายมื้อ หรือค่าโดยสารไปไหนต่อไหนได้อีกหลายแห่ง นาทีนั้นจึงอยู่ในสภาวะเครียดแตก จากที่ทะเลาะกันอยู่เรื่องที่ฉันแวะซื้อน้ำ 5 วินาที ต้องหันหน้ามาปรึกษากันอีกครั้ง นี่ถ้ามาคนเดียวก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะตัดสินใจยังไง บรรยากาศรอบ ๆ ตอนนี้ก็มืดสนิท สนิทจริง ๆ อากาศเริ่มเย็น

"ตอนที่อยู่ด้านบนน่ะ..." เบิร์ตขมวดคิ้ว "ผมเห็นฝรั่งคู่หนึ่งกับลูกสาว มีไกด์ส่วนตัวมาด้วย คิดว่าคงจ้างรถยนต์ส่วนตัวขึ้นมา คิดว่าเห็นแว้บๆ เราคงจะพอขออาศัยลงไปด้วยได้ ถ้าหาเค้าเจอนะ"
"เหรอ ว่าแต่ถ้าป่านนี้เค้ายังไม่ลงมา แล้วเค้าจะลงมาเมื่อไหร่ เค้าอาจจะพักโรงแรมด้านบนนั้นก็ได้" บอกตรงๆ ว่าฉันเริ่มมองหาที่ที่จะนอนข้างถนนแล้วตอนนั้น
"เออ ก็จริง.." เบิร์ตเริ่มเครียด "แต่เราลองไปเดินดูที่ลานจอดรถดูก็ไม่เสียหาย" เราเลยลงจากรถบรรทุกคันนั้น มุ่งหน้าไปลานจอดรถที่เป็นลานดินกว้าง ๆ แต่ตอนนี้มืดสนิท เอาไฟฉายสาดไปทั่ว ๆ ก็ไม่เจออะไร นอกจากห้องที่กั้นขึ้นจากสังกะสีผุ ๆ ที่ตั้งอยู่ไกล ๆ กับหมาจรจัดที่นอนทอดอารมณ์อย่างไม่เดือดร้อนอยู่แถว ๆ นั้น
"ไม่มีใครแฮะ เอาไงดี" ฉันเริ่มหมดหวัง แล้วเริ่มคิดหาทางออกอื่น
"หรือว่าเราจะพักที่นี่?"
"ที่นี่?" เบิร์ตถามงงๆ
"เออ ที่นี่อ่ะดิ แต่ชั้นยังไม่เห็นที่พักเลยนะ"
"ที่นี่ไม่น่ามีนะ ถ้าจะพักบนนี้จริงๆก็คือต้องเดินกลับขึ้นไปที่ไจก์ถิโย ซึ่งตอนนี้ก็มืดตื๋อ แถมยังต้องเดินอีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง มองอะไรก็ไม่เห็นแล้วด้วย" เบิร์ตมองไปตามทางเดินขึ้นสู่ไจก์ถิโยซึ่งตอนนี้มองไม่ออกว่ามีทางเดินด้วย

เราสองคนเลยออกมายืนอึ้งกิมกี่อยู่ที่ลานจอดรถบรรทุกอีกครั้ง เบิร์ตก็ดีใจหาย ไม่โทษว่าเราเป็นคนที่ทำให้ช้าเพราะมัวแต่ไปยืนซื้อน้ำอยู่นั่นแหละ แต่ไม่ใช่ไม่โทษอย่างเดียวนี่เล่นไม่พูดอะไรเลย ฉันเองทำอะไรไม่ถูก เพราะรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนต้องมาลำบากไปด้วย เลยต้องหาทางออกให้ได้ ฉันเริ่มเดินสำรวจรอบ ๆ ถามหาคนที่พูดภาษาอังกฤษที่พอจะสื่อสารกันรู้เรื่องนั้นก็เหนื่อยเหลือเกิน จนสายตาเหลือบไปเห็นห้องเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนกองอำนวยการอะไรซักอย่าง เพราะเห็นมีกล่องบริจาคตั้งอยู่หลายกล่อง แล้วด้านหลังเป็นกระดานที่มีตารางตัวเลขที่ดูเหมือนยอดบริจาคติดอยู่ด้วย เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถาม

"มีใครพูดภาษาอังกฤษได้บ้างมั้ยคะ" ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านใน ทำท่างง ๆ พลางโบกมือโบกไม้ ฉันเริ่มเหี่ยวอีกรอบ แต่พอฉันกำลังจะหันหลังกลับเค้าก็กวักมือบอกให้อยู่ก่อน แล้วเค้าก็ไปตามคนอื่น ๆ มาอีก 2 - 3 คน
"มีอะไรครับ" โอ้ พระเจ้า ในที่สุดก็มีคนพูดภาษาอังกฤษจนได้ ดีใจจนน้ำตาแทบไหล
"คือว่า จะกลับคินปุน แต่รถคันสุดท้ายมันออกไปแล้ว ไม่ทราบว่ามีทางอื่นหรือรถคันอื่นที่จะกลับลงไปข้างล่างที่คินปุนอีกมั้ยคะ หรือว่าแถว ๆ นี้มีที่พักมั้ยคะ แบบที่ไม่ต้องเดินกลับขึ้นไปด้านบน" ชายพม่า 3 - 4 คนเข้ามาช่วยกันฟังด้วยความสนใจ
"อ๋อ จะกลับคินปุนเหรอ เอ แต่รถมันไม่มีแล้วน่ะซิ..."
"ก็นั่นซิคะ.." ฉันจ๋อยอีกรอบ
"แต่ อืม ตามมา ๆ เดี๋ยวไปดูให้" ชายคนหนึ่งในนั้นเดินนำฉันออกไปที่ปากทางที่รถทุกคันจะต้องผ่านเพื่อลงไปคินปุน แล้วเค้าก็บอกให้ยืนรอก่อน เบิร์ตถามว่าเป็นไงบ้าง ฉันเองก็ยังไม่รู้ก็เลยต้องทำใจเย็นยืนรอเฉย ๆ เวลาผ่านไปราว 10 นาที รถบรรทุกที่ผ่านไปคันแล้วคันเล่าที่เราเฝ้าไปกระโดดเหย็ง ๆ ถามคนขับว่าไปคินปุนหรือเปล่า ทุกคนก็ส่ายหน้าลูกเดียว เพราะดูเหมือนเป็นรถบรรทุกคนงานที่ขึ้นมาทำงานด้านบนนี้มากกว่า

จนมาอีกคัน มีคนนั่งกันอยู่เต็มแล้ว ดูเหมือนเป็นรถคนงานเหมือนเดิม แต่ชายพม่าคนนั้นที่บอกให้ฉันเดิมตามมาตอนแรก เข้าไปคุยกับคนขับ 2 - 3 ประโยคแล้วหันมากวักมือเรียกเราสองคน ฉันแทบไม่เชื่อสายตา
"เอ้า ขึ้นเร็วๆๆ"
เค้าตะโกนเร่ง ฉันกับเบิร์ตจึงวิ่งกันฝุ่นตลบไปที่รถบรรทุก ซึ่งตอนนี้ไม่มีบันไดหรืออะไรให้ปีนทั้งนั้น ฉันไต่ขึ้นไปทางที่เหยียบฝั่งคนขับแล้วเอาขาเกี่ยวพาตัวเองขึ้นไปบนท้ายรถด้วยความว่องไวจนตัวเองยังงงว่าทำไปได้ยังไง และแม้ตอนนี้จะไม่มีที่นั่งแล้ว แต่ต้องยืนเกาะที่หลังกระจกติดที่นั่งคนขับ แต่ความรู้สึกโล่งอกนั้นช่วยได้มาก เราสองคนขอบคุณชายพม่าคนนั้นเป็นการใหญ่ เค้าก็ยิ้มให้พลางโบกมือว่า ไม่เป็นไร แล้วเดินจากไป

ฉันเอาผ้าขึ้นมาโพกหัวไม่ให้ผมปลิวเข้าหน้าเข้าตา รถก็ออกตัวไปช้า ๆ และเร่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ สองข้างทางตอนนี้มองเห็นแต่ต้นไม้หนาทึบเหมือนไปเที่ยวส่องสัตว์ตอนกลางคืน ลมที่ปะทะหน้ามาพร้อมอากาศเย็นจนหนาว ฉันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าจนคอตั้งบ่า ดาวบนฟ้านั้นเห็นได้ชัดเจนจนไม่น่าเชื่อ อยู่ในกรุงเทพฯ โอกาสที่จะเห็นดาวเป็นล้านแบบนี้มีน้อยกว่า0.5%..สองมือนั้นเกาะราวไว้แน่น สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด นึกถึงตอนที่ต้องกลับไปสูดมลพิษที่บ้านตัวเองแล้วก็ต้องรีบสูดเอาออกซิเจนที่นี่เข้าไปหลาย ๆ ปื้ด

อาหารเย็นแกล้มละครทีวี

ผ่านไปเกือบชั่วโมง แสงไฟสว่างไสวที่เห็นอยู่เบื้องหน้าไกล ๆ ทำให้เรารู้ว่าถึงที่หมายแล้ว ทุกคนขยับเตรียมสัมภาระเตรียมลง รถจอดสนิททุกคนจึงทยอยลงอย่างเงียบ ๆ เพราะคงจะเพลียกันทุกคน ยกนาฬิกาขึ้นดู ทุ่มกว่าแล้ว ได้เวลาต้องกินอะไรซักกันที เดินลากขากันมาจนถึงร้านอาหารหัวมุมถนน สาวหน้าแฉล้มก็ออกมาพร้อมเมนู พลางเชื้อเชิญให้เค้าไปนั่งในร้านของเธอก่อน เราจับจองที่นั่งในร้านแล้วสั่งอาหารง่าย ๆ อย่างข้าวผัดมากิน ที่ขาดไม่ได้คือ สตาร์โคล่า ตอนนี้ต้องการอย่างแรง เสียพลังงานไปเยอะ สาวเสิร์ฟรับออเดอร์แล้วผละไปยืนจ้องทีวีอยู่พักนึงก่อนจะหายไปหลังร้าน

เพิ่งสังเกตุว่ามีคนนั่งกันอยู่ในร้านเยอะพอสมควร ราวเกือบ 20 คนได้ ทุกคนมีความสนใจร่วมกันอย่างเดียวคือ "โทรทัศน์" ซึ่งตอนนี้กำลังออกอากาศละครเกาหลีอยู่ โดยที่ภาษานั้นไม่ได้พากย์เป็นภาษาพม่า แต่กลับเป็นภาษาเดิมคือเกาหลี แล้วมีซับไตเติ้บเป็นภาษาพม่าอยู่ด้านล่าง ส่วนใหญ่ที่นั่งดูอยู่ก็เป็นสาว ๆ ทั้งสาวน้อยสาวไม่น้อย แต่ก็มีชายชาวพม่านั่งแทรกอยู่บ้าง 3 - 4 คนดูกันอย่างตั้งอกตั้งใจมาก บางคนนั่งเอามือเท้าคาง บางคนทำธุระอื่นอยู่ก็ยืนค้างอยู่ท่านั้นขณะที่ตาจับจ้องทีวี ส่วนฉันนั้นชอบดูโฆษณาของพม่ามากกว่า เพราะดูแล้วน่ารักดี พระเอกโฆษณานั้นก็มีอยู่ไม่กี่คน ดูจนจำหน้าได้หมดแล้ว


ล้อมวงคุยกับคนพม่า

ข้าวผัดหมดแล้ว เช็คบิลเสร็จ ทั้งหมด 2400 จ๊าตสำหรับอาหารมื้อนี้ ก็เดินอย่างหมดแรงไปที่เกสต์เฮาส์ โผล่หน้าเข้าไป คนแรกที่เจอก็คือ เลเล ยืนยิ้มแฉ่งอยู่
"เฮลโล่วว เป็นไงมั่ง"
"เฮ้อ เหนื่อย..." ฉันทรุดตัวลงนั่งที่ชิงช้าหน้าบ้าน
"ฮ่าๆๆๆๆ" เลเลหัวเราะชอบใจ "พรุ่งนี้ไปอีกซี"
"โฮ่ย ไม่เอาแหล่ว" ระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่นั้นก็มีชายหนุ่มร่างท้วมคนนึงเดินออกมาจากบ้าน โดยที่นุ่งผ้าเช็ดตัว ไม่ใส่เสื้อ มีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอ ผมเปียกดูเหมือนว่าเพิ่งจะอาบน้ำมาหมาด ๆ เค้าหยุดคุยกับเลเล 3 - 4 ประโยค เลเลก็บุ้ยใบ้ทางฉัน ชายในผ้าเช็ดตัวจึงเลิกคิ้วหน้าแปลกใจเล็กน้อย
"คุณเป็นคนมอญเหรอ" เค้าถาม
"คุณย่าเป็นค่ะ"
"อ๋อออ" เค้าฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว
"ผมชื่อไทเกอร์"
"ไทเกอร์? ชื่อจริงอ่ะ?"
"ใคร ๆ ก็เรียกผมแบบนี้แหละ เท่มั้ยเล่า"
"ค่ะ เกอร์ก็เกอร์ค่ะ" ไทเกอร์นั่งลงคุยเป็นเรื่องเป็นราวในผ้าขนหนูนั่นแหละ รู้สึกแปลกตาเล็กน้อยเพราะธรรมดาจะเห็นแต่คนพม่านุ่งลงจี ไม่ค่อยเห็นนุ่งอย่างอื่น
"เมื่อก่อนผมเคยเป็นโกล์ฟุตบอลให้ทีมบอลพม่านะ" ฉันเลยตื่นเต้นว่าจริงเปล่าทีมชาติเลยมั้ย เค้าบอกว่าใช่ แต่ฉันไม่แน่ใจ เพราะการสื่อสารอาจทำให้เข้าใจกันคลาดเคลื่อน ไทเกอร์บอกว่าเล่นฟุตบอลอยู่พักใหญ่ แต่เงินที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนั้นน้อยเหลือเกิน(โอ้ ไม่ มีประเทศไหนสนใจการสนับสนุนกีฬาน้อยกว่าประเทศเราอีกหรือนี่ที่ต้องรอให้นักกีฬาไปได้เหรียญมาก่อนถึงจะเห็นหัว จากนั้นก็ลืมเลือนพวกเขาไปภายในเวลาอันรวดเร็วราวกับไม่เคยรู้จักกัน) เค้าบอกว่าเมืองไทยมีนักบอลเก่งๆ ส่วนตัวเค้านั้นชอบ "วัชรพงษ์ สมจิตร" มาก ฉันดูแล้วเค้าไม่ได้พูดเอาใจ เพราะหน้าตาท่าทางเค้าชื่นชมจริง ๆ

บอลไม่รุ่ง ไทเกอร์จึงออกมาแต่งเมียซะเลย หลังจากมีเมียแล้ว เมียก็เลี้ยงดีเป็นบ้า วัน ๆ เลยไม่ต้องทำอะไร กินเบียร์ ตอนนี้เลยพุงออกอย่างที่เห็น ฉันคุยไปเรื่อยเปื่อย ไทเกอร์ว่าเป็นเรื่องไม่ปรกติที่ผู้หญิงพม่าจะไปไหนมาไหนกับชายตะวันตก อย่างที่ฉันเที่ยวกับบั๊ดดี้ชาวเบลเยี่ยม ถ้าเป็นหญิงพม่าถือว่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่ค่อยจะมีใครทำกัน เรียกว่าสังคมยังไม่เปิดใจรับเท่าไหร่ พูดไปมาพูดมาก็โยงถึงเรื่องอองซานซูจี ฉันว่าอองซานซูจีก็มีสามีเป็นชาวตะวันตกไม่ใช่เหรอ
"คุณรู้จักอองซานซูจีด้วยเหรอ?" ฉันบอกว่าแน่นอน ใครๆก็รู้จักเธอทั้งนั้นแหละ
"แหมดีใจจัง แต่คุณรู้ใช่มั้ยว่ารัฐบาลผมไม่ค่อยชอบเธอเท่าไหร่" ฉันพยักหน้าเข้าใจ ไทเกอร์พรั่งพรูความในใจออกมาเกี่ยวกับปัญหาภายในประเทศของตัวเอง แต่กล่าวแบบติดตลกไปเรื่อย ว่าแล้วก็ชูสองมือแหงนหน้าขึ้นฟ้าตะโกนออกไปว่า
"ประชาธิปไตยอยู่ที่ไหนโว้ยยยยย...!!" ยังไม่ทันสุดเสียง เลเลก็วิ่งหน้าตาเลิกลั่กเข้ามาเอามืออุดปากไทเกอร์ แถมพูดดุเบาๆว่าเดี๋ยวก็ได้เข้าไปนอนคุกกันหมดหรอกไอ้บ้า

ระหว่างที่เรากำลังคุยกันอยู่ก็มีหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาแจมด้วย ถามไถ่ได้ความว่าเป็นนักศึกษามาจากยะไข่ เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่นั่น ภาษาอังกฤษของเด็กคนนี้ไม่ธรรมดา เข้าขั้นดีมาก สำเนียงออกจะอเมริกันเล็กน้อย ฉันลืมถามชื่อว่าชื่ออะไร แต่ก็สนุกดีที่มีคนมาคุยเยอะๆ คุยกันกำลังออกรส ปรากฎว่าไฟดับเสียเฉยๆ แล้วดับจริงๆ ทั้งแถบ มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด มีแต่แสงจันทร์จริงๆ ฟังดูโรแมนติก แต่ประทานโทษเถอะ ยุงจะหามเอา

"ฮ่าๆๆ เป็นไงละครับ มาตรฐานการไฟฟ้าประเทศผม" ไทเกอร์เหน็บแนมตามสไตล์ แล้วเดินไปดูเครื่องปั่นไฟ ซักพักไฟจึงมา

คุณลุงเจ้าของเกสต์เฮาส์เพิ่งกลับมาจากช้อปปิ้งสินค้าราคาถูก ประเภทของมือสองจากต่างประเทศที่เค้าไปได้มายังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน ของจำพวกหมวก กระเป๋า แว่นกันแดด ทำนองนั้น คุณลุงกลับมาพร้อมหมวกสีส้มแปร๊ด ชนิดคลุมทั้งหัวแล้วติดแป๊กใต้ค้าง ทำด้วยผ้าร่มบุนวม ดูแล้วเหมือนจะเอาไว้ใส่ไปปีนภูเขาหิมาลัย แต่คุณลุงออกจะกิ๊วก๊าวมากที่ได้มา มาถึงก็มาอวดให้ฉันดู ฉันพลิกไปพลิกมาบอกว่าไม่รู้ว่าใช้ยังไง คุณลุงจึงไม่รีรอเอาหมวกสวมหัวให้ฉันซะอย่างนั้นน่ะเป็นการสาธิต แล้วก็ชอบใจว่า แหม หมวกข้าที่มันเจ๋งจริงๆ ซื้อมา 250 จ๊าตเองนะเนี่ย

ฉันกับเบิร์ตขอตัวไปอาบน้ำ แล้วเดี๋ยวจะออกมาขอให้สอนภาษาพม่าให้ซักหน่อย ทำให้รู้ว่าคนพม่านั้นเรียกก๋วยเตี๋ยวว่า ข้าวซอย (ออกเสียงคล้าย ๆ ข้าวซวย) และเรียกข้าวว่า ทะเม เรายังเรียนนับเลขด้วยซึ่งเป็นประโยชน์มากในภายหลัง เพราะเอาไว้ถามราคา นับได้แค่ สิบ ยี่สิบ สามสิบ ..ร้อย สองร้อย พัน สองพัน สามพัน อะไรประมาณนี้ ก็ถามและต่อราคาได้แล้วโดยที่คนพม่าไม่รู้เลยว่าเราเป็นคนไทย บวกกับความ"เนียน" เวลาถามด้วย บางมีฟังไม่ออกแต่ต้องทำหน้าเฉยๆเอาไว้ แล้วก็ให้แบ๊งค์ใหญ่ไป รอเค้าทอนมา ครั้งหน้าค่อยจำไว้ว่าเท่าไหร่

อ้อ ก่อนหน้าที่เราจะขึ้นไปพระธาตุ เราจัดการถามเรื่องรถไปเมืองพะอันในวันพรุ่งนี้ไว้แล้วที่ท่ารถ เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะมีรถไปเมืองพะอันในเช้าวันรุ่งขึ้น การซื้อตั๋วรถไปไหนต่อไหน ถ้าเป็นไปได้ควรไปจัดการด้วยตัวเอง หรือหากมีพนักงานที่เกสต์เฮาส์ไปเป็นเพื่อนด้วย ก็จะช่วยได้มาก แต่เราควรไปกับเค้าอย่าปล่อยให้เค้าไปจัดการเอง ไม่ใช่เพราะเค้าจะหลอกหรืออะไร แต่บางทีสื่อสารกันไม่ดี เค้าอาจจะจองเวลาผิด หรือจองตั๋วไปอีกเมืองแทนที่จะเป็นเมืองที่เราจะไป ฯลฯ ทางที่ดี เราไปดูด้วยตัวเองดีกว่าจะได้ได้ตั๋วตรงที่เราต้องการ ไม่ผิดพลาด

เลเลนั้นช่วยได้เยอะ ทั้งไปสถานีรถด้วย และสอนภาษาพม่าแบบพื้นๆ ให้ เลเลอยู่ช่วยสอนด้วยความอดทนจนเกือบๆห้าทุ่ม จึงแยกย้ายกันไปนอน พรุ่งนี้เราต้องตื่นกันแต่เช้ามืดเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองพะอัน




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 30 กันยายน 2549 12:14:20 น.
Counter : 1383 Pageviews.  

วันที่ 8 : มัณฑะเลย์โดนัท

วันนี้รถจะออกก็ตอนบ่าย ช่วงเช้าเลยมีเวลาว่างตั้งหลายชั่วโมง เลยต้องหาอะไรทำแก้ว่าง แต่จะทำอะไรเนี่ยซิ เอาเป็นว่าเช็คเอาท์ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยไปว่ากันเอาข้างหน้า ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อน ส่วนตัวเองก็ออกไปตะลอนเดินเล่นมัณฑะเลย์อีกซักหน่อย


เณรน้อยที่วัดในมัณฑะเลย์

เปิดแผนที่ด้นสดกันเลย ที่แรกคือวัด Setkyathiha Paaya ซึ่งไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ แต่ถ้ามีเวลาก็น่าจะแวะเข้าไปชม เพราะพระพุทธรูปที่นี่สวยมากทีเดียว ไม่เหมือนที่พุกาม ที่ตัววัดสวย แต่พระไม่สวยเท่าที่ควร สงสัยจะเอาเวลาไปสร้างวัดหมดไม่มีเวลาทำพระพุทธรูปซะก็ไม่รู้ ประวัติว่าพระพุทธรูปนี้ได้มาจากเมืองอังวะ (อินวะ) และย้ายมาประดิษฐานที่ อมรปุระ แต่ในที่สุดก็ถูกอัญเชิญมาประดิษฐานที่เมืองมัณฑะเลย์ ส่วนต้นโพธิ์ในวัดนั้นปลูกโดย นายกรัฐมนตรี "อูนุ"

ออกจากวัดแล้วก็เดินเรื่อยเปื่อยจนมาเจอโรงหนังที่เราเล็งไว้เมื่อวานตอนที่นั่งรถผ่าน ด้านข้างโรงหนังนั้นมีร้านคล้าย ๆ ดังกิ้นโดนัท แต่มันคือ “มัณฑะเลย์โดนัท” !!! ฟังดูขัดแย้ง ๆ ดีเหมือนกัน แบบนี้ไม่ลองไม่ได้แล้ว แต่โดนัทส่วนใหญ่สีสันฉูดฉาดไปนิดเลยไม่ค่อยกล้ากิน ยังดีที่มีเบเกอรี่อื่น ๆ ให้เลือก เช่น ขนมปังมะพร้าว (อร่อย !) หรือพวกขนมปังไส้กรอก (อร่อย !) และกาแฟเย็นแบบวุ้น ๆ เหมือนเบียร์วุ้น อร่อยดีเหมือนกัน ราคาแต่ละชิ้นก็อยู่ราว ๆ 150 – 300 จ๊าต ส่วนกาแฟเย็นนั้นประมาณ 200 จ๊าต


ร้าน Mann อร่อย ดี ถูก


ดูหนังพม่าในมัณฑะเลย์
อิ่มท้องแล้วก็ต้องตามด้วยภาพยนตร์ เราไปดูหนังพม่ากันดีกว่า สนุกตั้งแต่ซื้อตั๋วเลยทีเดียว เพราะฉันส่งเบิร์ตไปเป็นแนวหน้า ส่วนตัวเองนั้นแกล้งทำยืนเฉย ๆ ทำตัวกลมกลืนกับคนพม่าซึ่งก็ได้ผลเสมอ เช็คเวลาฉายแล้วก็มีรอบ 12.30 , 15.30 , 18.30 และรอบดึกสุดคือ 21.30 ตัวเลขที่เขียนด้วยเลขพม่าทำให้เรารู้ซึ้งอีกรอบว่าการอ่านเลขพม่าให้ออกนั้นสำคัญแค่ไหน สาวหน้าแฉล้มที่ช่องขายตั๋วนั้นก็ออกจะไม่แน่ใจว่าไอ้สองคนนี้มันบ้าหรือเมา เพราะเธอย้ำแล้วย้ำอีกว่า “เมียนมาร์มูฟวี่ เมียนมาร์มูฟวี่” เบิร์ตก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ดูได้” จนเธอขายตั๋วให้ ตั๋วมีหลายราคา ตั้งแต่ถูกที่สุด 200 จ๊าตไปจนถึง 1000 จ๊าต เราเลือกแบบกลาง ๆ คือ ประมาณ 400 จ๊าต (20 บาท!)

โรงหนังยังเป็นแบบเก่า คือเป็นโรงใหญ่ตั้งอยู่โดด ๆ ข้างในมีชั้นล่างชั้นบนแบบโรงละครเก่า ส่วนเก้าอี้เป็นแบบพับขึ้น-ลง เหมือนโรงหนังทั่วไปในบ้านเรา เพียงแต่เป็นเก้าอี้ไม้ทั้งหมด ไม่มีอะไรบุให้นิ่ม หรือโอเปร่าแชร์ให้มันเว่อร์ แล้วชาร์จราคาให้มันแพงเกินเหตุเหมือนบ้านเรา (คนจะมาดูหนัง ไม่ได้ตั้งใจมานั่งเก้าอี้อิมพอร์ตจากอิตาลี) เก้าอี้ที่นี่เห็นแล้วนึกถึงโต๊ะเก้าอี้สมัยเรียนมัธยม ตอนแรกนึกว่าคงจะไม่ค่อยมีคนเพราะตอนนั้นก็เพิ่งจะเที่ยงครึ่ง ถ้าเป็นเมืองไทย โรงหนังคงโหรงเหรง เพราะไม่ใช่วันหยุดด้วย แต่ว่าต้องผิดคาดเมื่อเข้าไปพบกับชาวเมืองมัณฑะเลย์มานั่งจับจองกันเกือบเต็มโรงแล้ว เกือบทุกคนมีกิจกรรมที่เหมือนกันคือการแกะเม็ดก๋วยจี๊ ! แกะกันแบบเอาเป็นเอาตาย เป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว จริงจังและจริงใจเป็นอันมาก พอจบรอบคงไม่ต้องกวาดกันให้เสียเวลา เพราะรอบต่อไป ก็คงจะเกลื่อนอีก เอาไว้กวาดรอบเดียวดีกว่า จึงมีเปลือกเม็ดก๋วยจี๊ที่กองใหญ่ที่เหล่าผู้ชมได้ผลิตเอาไว้กองเป็นหย่อมๆ

ก่อนหนังฉายก็มีโฆษณาก่อนพอหอมปากหอมคอ โฆษณาก็เหมือนเดิม อย่างที่เคยเล่าไว้ในบันทึกเมื่อวานแล้ว เป็นโฆษณารองเท้าแตะ กาแฟซอง น้ำดื่ม เครื่องดื่ม ลูกอม ฯลฯ ไปตามเรื่อง จนหนังเริ่มฉาย ผู้ชมก็ยังแกะเม็ดก๋วยจี๊ตามปกติแต่ตามองจอไม่กระพริบ

หนังเหมือนหนังไทยยุคน้าสรพงษ์ - จารุณี เอาตั้งแต่เล่าชาติตระกูลของพระเอกกันเลย มีป้าแก่ ๆ แต่งหน้าจัดเหมือนไฮโซเมืองไทย กำลังอุ้มเด็กทารก ป้อนข้าวป้อนน้ำ ตอนแรกนึกว่าเป็นยายกับหลาน

แต่พอพระเอกโต ยายยังอยู่ สรุปแล้วป้าคนนั้นหาเป็นยายไม่ แต่กลับเป็นแม่กับลูกชาย แต่แหมก็น่าจะเปลี่ยนให้สาว ๆ หน่อยนะตอนลูกยังเล็ก ๆ น่ะ พระเอกมีน้องชายหนึ่งคน อ้วนตุ้บ แก้มยุ้ย หน้าตี๋แบบว่าไม่น่ามีเชื้อพม่าเลยด้วยซ้ำไป ส่วนนางเอกนั้นมีป้าทำงานคนรับใช้อยู่ในคฤหาสน์ของพระเอก เธอช่างเป็นสาวแก่นเซี้ยว ซุ่มซ่ามแต่น่ารัก สุดแสนกตัญญูเลี้ยงดูพ่อที่แก่ชรา ยามว่างเธอชอบเตะตระกร้อ ! เรื่องนี้นางเอกโป๊มาก ใส่กางเกงกีฬาขาสั้น เหนือเข่ามาหน่อย ถุงเท้ายาวครึ่งแข้ง ! (โป๊แล้วนะ...เพราะปกติไม่มีทางได้เห็นแม้แต่หัวเข่าสาวพม่าหรอก ยิ่งสมัยก่อนนู้นยิ่งแล้วใหญ่ นุ่งซิ่นยาวกรอมเท้านู่น)

วันหนึ่งนางเอกจะต้องเข้าไปช่วยป้าทำงานในคฤหาสน์ พ่อของพระเอกกลับมา นางเอกไม่เคยพบคุณผู้ชายมาก่อนจึงชวนคุยด้วยแบบสุดแสนกันเอง แถมทำแจกันหล่นแตกอีกด้วย (ตามสูตร ต้องซุ่มซ่ามแต่น่ารัก) พระเอกมาเจอนางเอกโดยบังเอิญเข้าวันหนึ่งที่สวนสาธารณะ นางเอกจึงชวนคุยเหมือนเคย ทำท่าร่าเริงสุดชีวิต ถักเปียสองข้าง ใส่เสื้อเชิ้ตลายตารางหมากฮอสแบบลูกสาวกำนัน จนนางเอกมารู้ตอนหลังว่า พระเอกเป็นลูกชายเจ้าของบ้าน เอ๊ย...คฤหาสน์ จึงมิอาจเอื้อม แต่พระเอกไปแอบดูนางเอกเป็นประจำ ยิ่งเห็นเล่นตระกร้อมันโดนใจพี่จริงๆนะน้อง จึงตามจีบ ฉากจีบนี้กินเวลากว่า 4860 วัน (ประชดนะประชด) นานมากกก... ถึงตอนจีบกันนี่ นางเอกแต่งตัวทันสมัย นุ่งกางเกงยีนส์ฟิตเปรี๊ยะ สวมแว่นตาดำมันปลาบ ผมยาวสยาย ไม่ไว้เปียแบบพจมานแล้ว แต่พอเต้นจีบกันแบบในหนังอินเดียเสร็จ ก็กลับมาแต่งตัวปอน ๆ เหมือนเดิมจนมาวันหนึ่งความรักของเราเริ่มสุกงอม พระเอกจึงไปขอคุณหญิงแม่และท่านพ่อว่า จะแต่งงานกับนางเอก
“แกจะแต่งกับคนรับใช้ไม่ได้ !” ท่านพ่อตวาด หันหลังให้ลูกชายด้วยความโกรธ
“แต่…พ่อครับ ! เรารักกัน !” (แม่สะอื้นอยู่ข้าง ๆ พ่อ แต่เมคอัพบนหน้าอยู่ดี ยังไม่ละลาย)
“ถ้าแกแต่งงานกับนังคนนี้ แกไม่ต้องมาเรียกชั้นว่าพ่อ !”
“แต่... พ่อครับ !!”
“ชั้นไม่อยากเห็นหน้าแก๊ !” แล้วพ่อก็น้ำตาคลอหน่วย ลูกชายคิ้วตก น้ำตาไหลพราก ๆ ก้มลงกราบพ่อ ซึ่งหันหลังให้ด้วยความโกรธปนเสียใจ แล้วลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็จูงมือว่าที่เมียออกจากบ้าน โดยมีคุณหญิงแม่สะอื้นฮัก ๆ มอบแหวนเพชรให้เอาไปแต่งเมีย 1 วง (จริง ๆ ไม่รู้หรอกว่าเขาคุยอะไรกัน เดาเอา แต่แหม..หนังแบบนี้ เดาได้น่า..เคยดูหนังอินเดียกันหรือเปล่า) ตัดฉากมาที่น้องชายตาตี่ หลายปีต่อมาโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาละม้ายคล้ายพระเอกหนังเกาหลี ถูกหม่อมแม่ส่งไปเรียนเมืองนอก กลับมาก็มีคนรับใช้ เอารถสปอร์ตสีแดงสุดหรูไปให้ขับกลับจากสนามบิน (ตอนรถวิ่งเข้าบ้านนี่นะ เงาสะท้อนกองถ่าย กล้อง ผู้กำกับ หมดทั้งกองเลย ทั้งไมค์บูม ทั้งคนถือรีเฟล็คท์ ด้วยความที่รถเธอเงาแว้บซะขนาดนั้น) เกิดนึกถึงพี่ชายขึ้นมา จึงคิดออกตามหา ไม่รู้ไปรู้ได้ยังไงว่าพี่ชายไปทำกิจการเกสต์เฮาส์อยู่ จึงปลอมตัวเป็นแขกเข้าไปพักเพื่อสืบข่าวให้คุณหญิงแม่ ส่วนป้าของนางเอกนั้นเคยเป็นแม่นมให้อาตี๋มาก่อน ! พอเห็นหน้าจึงคลับคล้ายคลับคราว่า โอ้..ความรู้สึกนี้ มันคืออะไรกันนะ...ไม่...ไม่จริง...มัน...มันเป็นไปไม่ได้ ! ….

แค่นั้นแหละ ดูนาฬิกาแล้วก็เห็นว่าได้เวลาต้องขึ้นรถแล้ว จึงต้องออกจากโรงทั้ง ๆ ที่หนังยังไม่จบ ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยว่ามันจบยังไงเนี่ย…(โห่....!!)

มัณฑะเลย์วันวานและวันนี้

เดินกลับมาที่โรงแรม พนักงานจัดการเรียกแท๊กซี่ไว้ให้แล้ว เลยจัดแจงเอากระเป๋าขึ้นรถแท๊กซี่สีฟ้า ซึ่งเหมือนรถกระบะคันจิ๋วซะมากกว่า มุ่งหน้าไปท่ารถ ต้องไปคอนเฟิร์มที่นั่งที่สำนักงานขายตั๋วที่ท่ารถอีก ถ้าเข้าห้องน้ำห้องท่าจะให้เข้าซะแต่ตอนนี้เลย นั่งจนเบื่อ ไม่มีอะไรจะทำ เลยหาเหยื่อคนพม่าให้สอนภาษาพม่าให้ เล็งน้องนางสาวขายหมากไว้แล้ว แต่กิจการของเธอดีมาก มีคนมาซื้อหมากซื้อบุหรี่อยู่ตลอดเลยแห้วไป มองไปเจอะหนุ่มอีกคนเห็นนั่งว่าง ๆ อยู่ แต่พอจะลุกไปถาม เค้าก็เดินไปเข้าส้วมเฉยเลย ! ก็เลยเจียมตัวนั่งเฉย ๆ อยู่ข้างถังขยะอีกแล้ว ! (เอ๊ะ...ยังไงนี่ ทำไมต้องนั่งข้างถังขยะทุกทีเลย)

ก่อนจะลาจากเมืองมัณฑะเลย์ไป ขอเล่าถึงเมืองนี้ไว้ซักหน่อยก็แล้วกัน เพราะด้วยตัวเมืองมัณฑะเลย์ในปัจจุบันนี้ จะไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเมืองใหญ่อื่น ๆ เมืองที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่
คาราโอเกะเกือบทุกหัวมุมถนน มีกระทั่งร้านอาหารไทยสุดหรู(ที่ฉันไม่กล้าเข้า แม้จะคิดถึงอาหารไทยใจจะขาด) ซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ


แฟชั่นสาวพม่า

ในอดีตมัณฑะเลย์นั้นมีอดีตที่น่าสนใจ สำหรับคนพม่าเองอาจจะเป็นอดีตที่อยากจะลืมเพราะมัณฑะเลย์นั้นเป็นราชธานีสุดท้ายของพม่า ก่อนเสียเอกราชให้กับอังกฤษ

มัณฑะเลย์ นั้นมีความหมายว่า “กองมณี” พระเจ้ามินดุงโปรดให้สร้างเป็นราชธานีแทนเมืองอมรปุระ โดยตัวอาคารที่เป็นพระราชวังนั้นได้รื้อมาจากอมรปุระ
ซึ่งเป็นอาคารไม้จำนวนหลายหลัง และอาคารอิฐเป็นบางส่วน โดยตัวเมืองมัณฑะเลย์นั้นเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส มีพระราชวังอยู่ใจกลางเมือง โดยตั้งอยู่บนฐานสูง มีคูน้ำล้อมรอบ สำหรับประวัติศาสตร์กรุงมัณฑะเลย์นั้น แนะนำอย่างยิ่งให้อ่านหนังสือ “พม่าเสียเมือง” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหนังสือที่สนุกมาก โดยแปลจากเอกสารภาษาอังกฤษ ที่บันทึกโดยฝรั่ง (ที่อาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้าง) แต่สำนวนการเขียน และร้อยเรียงนั้น ไม่ผิดหวัง ตามสไตล์ของหม่อมฯคึกฤทธิ์

พระเจ้ามินดุงซึ่งปกครองเมืองมัณฑะเลย์ในช่วงนั้น พูดได้ว่าเป็นกษัตริย์ที่มีทรงมีศีลธรรมจรรยาที่สุด พระองค์หนึ่งของพม่า จนเมื่อปี พ.ศ.2423 พระเจ้าสีป่อ หรือ พระเจ้าธีบอ ขึ้นครองราชย์ต่อจาก พระเจ้ามินดุง จากการสนับสนุนของมเหสีของพระเจ้ามินดุง ที่เห็นว่าพระเจ้าสีป่อมีพระทัยชอบพออยู่กับ พระนางศุภยลัตซึ่งเป็นธิดาของพระนาง ประกอบกับพระเจ้าสีป่อนั้นบวชเป็นพระมาตลอด ค่อนข้างจะพระทัยอ่อน อ่อนต่อเรื่องทางโลกและน่าจะควบคุมง่าย ด้วยอำนาจของพระมเหสีของพระเจ้ามินดุงนั้นเอง พระเจ้าสีป่อจึงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อมาและเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่า..

ในขณะนั้นตำแหน่งพระมเหสี จะมีการแต่งตั้งกันไว้ล่วงหน้า คือ ไม่ว่าเจ้าชายองค์ใดจะขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งพระมเหสีจะตกเป็นของเจ้าหญิงที่กษัตริย์องค์ปัจจุบันแต่งตั้งไว้แล้ว
คือตำแหน่ง “ตะบินแดง” แต่เมื่อพระเจ้าสีป่อขึ้นครองราชย์นั้น องค์หญิงที่รั้งตำแหน่งตะบินแดงอยู่ ก็ทรงหลบออกจากพระราชวัง ไปบวชเป็นชีเสียเฉย ๆ จะได้ไม่ต้องเป็นพระมเหสีองค์ต่อไปซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพระนางศุภยลัตทรงจับจ้องตำแหน่งนี้อยู่
ถ้าอยู่ขวางทางชีวิตอาจไม่ปลอดภัย เพราะใคร ๆ ต่างรู้ความร้ายกาจของพระนางศุภยลัต กับพระมารดาเป็นอย่างดี แม้แต่พระวงศ์ผู้ใหญ่ หรือเจ้านายในวังที่ยังเล็ก ก็ถูกสั่งให้นำไปสำเร็จโทษเสียให้สิ้น เพื่อจะได้ไม่เหลือไว้เป็นเสี้ยนหนามกับพระนางอีกต่อไป เล่ากันว่าคืนนั้นหมาเห่าหอนทั้งคืน จนชาวเมืองผวา ไม่เป็นอันหลับอันนอน แล้วพระนางสั่งสังหารหมู่ไม่ธรรมดาซะด้วย เพราะการจะฆ่าคนเยอะ ๆ มันย่อมเอิกเกริกมากมาย พระนางเลยจัดให้เอาวงดนตรีปี่พาทย์ การแสดงต่าง ๆ มาบรรเลงในวังตลอดเวลาที่ทำการสำเร็จโทษพวกเจ้านาย นัยว่าเสียงดนตรีปี่กลองจะได้กลบเสียงกรีดร้องขอชีวิตนั่นเอง ก็คิดดูว่าโหดแค่ไหน...

ตั้งแต่สิ้นรัชสมัยพระเจ้ามินดุง แผ่นดินก็เสื่อมโทรมลงเรื่อยมา เริ่มมีการออกหวยให้ประชาชนเล่นอย่างเอิกเกริก เพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลัง (นับว่าแอ๊ดวานซ์มาก เพราะทุกวันนี้ประเทศไม่ใกล้ไม่ไกลจากพม่าก็เริ่มจะทำตามบ้างแล้ว แต่ห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยปีเอง) เล่นจนหมดตัวกันก็มาก ขุนนางก็แก่งแย่งชิงดี แปรพักตร์กันเป็นว่าเล่น โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม แถมยังมีเรื่องพิพาทกับอังกฤษอยู่เนือง ๆ พม่านั้นนึกกระหยิ่มว่าฝรั่งเศสคอยหนุนหลังอยู่ จึงกระด้างกระเดื่องต่ออังกฤษมาเรื่อย (แม้ตอนนั้นจะเสียพม่าตอนใต้ ให้อังกฤษไปแล้ว) ซึ่งความจริงแล้วฝรั่งเศสไม่ได้สนับสนุน หรือต้องการเข้ามาเป็นฝ่ายพม่าแต่อย่างใด แต่เข้ามาตีสนิทด้วยเพราะหวังผลทางการค้าเท่านั้น พอทางพม่าเกิดต้องรบกับอังกฤษเข้าจริงๆ ฝรั่งเศสก็หายจ๋อม ปล่อยให้พม่าตบตีกับอังกฤษเอาเอง เรียกว่า ตัวใครตัวมันละเว้ยเฮ้ย ว่าแล้วฝรั่งเศสก็หายเข้ากลีบเมฆไป ปล่อยให้พม่าต้องหาทางจัดการเอาตัวรอดกันเอาเอง

จนในที่สุดกองทัพอังกฤษก็มาถึงเมืองมัณฑะเลย์ เชิญพระเจ้าธีบอและพระนางศุภยลัตเนรเทศออกจากพม่า ไปพำนักอยู่ในอินเดียจนวาระสุดท้าย พระนางศุภยลัตเองได้ขอย้ายกลับมาพม่าหลังพระเจ้าธีบอสิ้นได้ไม่นาน ต่อมาเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ลง การจัดการพระศพก็เป็นไปตามที่สามารถจะกระทำได้ตามยถากรรม ไม่ได้มีพิธีรีตรองมากมาย ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป ไม่เหลืออะไรให้เห็นว่าครั้งหนึ่งนางผู้นี้เคยเป็นถึงพระมเหสี ทิ้งอดีตของมัณฑะเลย์ไว้ให้เหลือเพียงตำนานเล่าขานกันต่อมา

ฉันมองถนนเมืองมัณฑะเลย์แล้วก็จินตนาการถึงความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองนี้ในสมัยนั้น พระราชวังที่ใหญ่โตสมคำร่ำลือ ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ ผิดก็แต่ความหรูหราฟุ่มเฟือยมันได้หายจากเมืองนี้ไปนานแล้ว เหลือไว้ก็เพียงโบราณสถานและความทรงจำ ทุกวันนี้มัณฑะเลย์ก็เหมือนเมืองใหญ่ๆ หลายเมือง มีประชากรอยู่อาศัยมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ทุกคนก็ยังดำเนินชีวิตต่อไป ไม่มีใครอยากจดจำอดีตที่ไม่สวยงามเท่าไหร่นัก เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นในวันนี้ คือการหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงดูครอบครัว แต่ถึงแม้วันนี้จะไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีกแล้ว แต่การตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบแผด็จการนั้นอาจเจ็บปวดยิ่งกว่า เหมือนน้ำท่วมปาก ไม่มีสิทธิ์มีเสียง ไม่มีสิทธิ ไม่มีเสรีภาพ คุณภาพชีวิตก็ยังย่ำแย่ ห้ามพูดเรื่องการเมืองอย่าง"เด็ดขาด"ถ้าไม่อยากไปนอนในคุก

ฉันนึกถึงภาพของพระเจ้าแผ่นดินของเราแล้วก็ได้แต่ระลึกอยู่ตลอดว่าเกิดเป็นไทยนั้นโชคดีเพียงใด และถึงการเมืองบ้านเราจะดีจะชั่วยังไง เราก็ยังสามารถเรียกชื่อเล่นนายกฯ ของเราได้อย่างฮาเฮ เขียนการ์ตูนล้อการเมือง แต่งตัวเลียนแบบนักการเมืองดังๆ ออกมาเล่นตลกกันเฮฮาน้ำตาเล็ด ขืนไปทำแบบนี้ที่พม่า ได้ไปฮาในคุกแน่นอน

อองซานซูจีเขียนไว้ในหนังสือของเธอว่า ผู้สื่อข่าวและสื่อต่างๆ จากต่างประเทศนั้น แม้ว่าบางครั้งอาจจะไปถ่ายทอดคำให้สัมภาษณ์ของเธอคลาดเคลื่อนไป หรือถามคำถามที่ซ้ำซากกับเธออยู่เป็นประจำ แม้ว่าบางครั้งจะทั้งน่าขัน น่าโกรธ หรือทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นเด็กนักเรียนที่ต้องคอบตอบคำถามซ้ำๆ แต่พวกเขาสามารถนำเรื่องราวและข่าวสารไปสู่โลกภายนอกได้ เป็นกระบอกเสียงให้คนพม่า พวกเขาจึงเหมือน"ของขวัญ"สำหรับคนพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ประชาชนไม่มีเสรีภาพที่จะแสดงออกทางความคิด แม้แต่ในประเทศตัวเอง




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 11 กันยายน 2549 13:26:04 น.
Counter : 2194 Pageviews.  

วันที่ 7 : ทองคำเปลว พระมหามุนี เมืองอมรปุระ สะพานอูเบ็ง

อังคาร ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๖

วันนี้ออกจะว่าง เพราะไม่ได้วางแผนว่าช่วงเช้าจะไปไหน ตื่นมาเลยมานั่งมองหน้ากันว่า เฮ่ย ตกลงไปไหนดี
"ผมไปอาบน้ำดีกว่า เธอเปิดหนังสือดูนะ ว่าจะไปไหนดี" เบิร์ตตัดช่องน้อยแต่พอตัว
"เฮ้ยได้ไงอ่ะ ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจ ไปไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ" ว่าแล้วก็ลงไปนอนเขลง
"บ๊ะ มีแบบนี้ด้วย"

เราเลยจบลงด้วยการไปเที่ยว "สวนสัตว์" ! (คิดได้ไงเนี่ย มาไกลถึงมัณฑะเลย์ ไปดูสวนสัตว์) ดูจากในแผนที่แล้วมันก็ไม่ไกลเท่าไหร่ เดินเลาะกำแพงวังไปเรื่อย ๆ แล้วเลี้ยวตรงหัวมุม แล้วเดินต่อไปอีกนิดก็ถึงแล้ว ก็เลย เย้ เย ออกเดินกันเลย ฉันใส่รองเท้าอีหนีบเพราะรู้ว่าวันนี้ยังไง ๆ ก็ต้องไปวัด ถ้าใส่ผ้าใบต้องมานั่งใส่ ๆ ถอด ๆ อีก

สวนสัตว์สุดขอบฟ้า

เดินมาได้ 20 นาที ยังไม่เห็นวี่แววของสวนสัตว์ แล้วแดดก็ร้อนเป็นบ้า หมาแมวยังไม่มีออกมาเดิน ลืมนึกไปว่าปราสาทราชวังโบราณนั้นมันย่อมใหญ่โตราว ๆ กับเมืองเมืองนึงเห็นจะได้ ไอ้ที่เราเห็นว่าเดินเลาะกำแพงพระราชวังมัณฑะเลย์ไปไม่เท่าไหร่นั้น ไอ้ไม่เท่าไหร่นี่ 20 นาทีแล้ว ยังเดินไปพ้นแนวกำแพงแรก อย่าว่าแต่หัวมุมกำแพงวังเลย ไอ้ครั้นจะเดินเข้าวังแล้วไปทะลุอีกด้านนั้นเค้าก็ห้ามนักท่องเที่ยวเข้า อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะประตูที่กำหนดไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น จะปลอมตัวเป็นพม่าแล้วเดินเข้าก็ไม่กล้าเสี่ยง เดี๋ยวเดิน ๆ เข้าไปหลงล่ะซวยอีก

พระราชวังมัณฑะเลย์


เดินแบบไร้สาระมาเรื่อย ๆ เลิกคิดแล้วว่าเมื่อไหร่มันจะถึง ได้แต่เดินไปเรื่อย ๆ แถมยังใส่อีหนีบมาอีกนะวันนี้ เห็นคนเมืองมัณฑะเลย์นี่ขี่จักรยานกันเป็นแถว นึกด่าตัวเองในใจ รู้งี้เช่าจักรยานมาขี่มั่งดีกว่า ไม่น่าเสร่อเดินมา ป่านนี้ระยะทางคงจากสยามไปหมอชิตได้แล้วมั้งเนี่ย

แล้วเราก็ถึงหัวมุมกำแพง! โอ้ เยส! เลี้ยวไปหน่อยก็ถึงแล้ว แต่พอเลี้ยวมาแล้วมันไม่หน่อยเนี่ยซิ ต้องเดินไปอีกกว่า 20 นาที เศร้าจริง ๆ พอเห็นสวนสัตว์ก็ไม่แน่ใจอีกว่ามันใช่หรือเปล่า เพราะป้ายอะไรก็ไม่มี มีแต่ต้นไม้ครึ้ม ๆ ประตูก็มองไม่เห็น เลยเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยด้านซ้ายเพื่อหาทางเข้าประตูข้าง (มันคงไม่มีประตูเดียวหรอกนะ) เจอประตูแล้วดีใจแทบบ้า! โปล่หน้าเข้าไปดูเห็นป้าแก่ ๆ นั่งคนในป้อมเหมือนป้อมยาม
"ป้า ป้า ฮะโหลวๆ" ป้าแกหันมามองเนือย ๆ ด้วยอารมณ์ที่ว่างเปล่า
"เข้าได้มั้ยจ๊ะ?" ฉันชี้ไปที่ประตู ป้าแกเลยชี้กลับมา แต่ชี้กลับไปทางเดิมที่เราเพิ่งเดินมา อ่าว เวร ต้องเดินกลับไปรึนี่ ..เซ็งเลย

แกล้งเฉไฉไปซื้อน้ำกินที่ร้านขายของชำใกล้ ๆ เพราะเหนื่อยสุดยอดแล้ว ดึงข้าวเกรียบมาถุงนึง กี่จ๊าตก็ไม่รู้ แต่ไม่สนแล้ว
"สวนสัตว์อะไรว้า หาทางเข้ายากขนาดนี้" ฉันเริ่มบ่น
"เออ แปลก" เบิร์ตดูดน้ำมะนาวจากขวดแบบเฉื่อย ๆ เราจ่ายเงินค่าน้ำแล้วก็เดินกลับมาทางเดิม มาหยุดที่หัวมุมรั้วสวนสัตว์ มองไปสุดลูกหูลูกตายังไม่เห็นแม้แต่ประตู

"โห่ อย่าเข้ามันเลยวะ" ฉันก็พูดไปอย่างนั้น
"เออ ป่ะ กลับๆๆๆ" เบิร์ตพูดขึ้นมาหน้าตาเฉย
"เฮ่ย พูดเล่นนะ" ฉันหันไปมองหน้า เบิร์ตก็ยังทำหน้าเฉยๆอยู่
"เอาจริงหรอ" ฉันเหวอ
"เออดิ กลับดีกว่า ไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า ดูๆข้างในก็ไม่มีอะไร"
เลยกลายเป็นว่าเช้านี้ไม่ได้ทำอะไร นอกจากเดินเลาะรั้วพระราชวังมัณฑะเลย์ แล้วไปดู "รั้ว" สวนสัตว์มัณฑะเลย์ เท่านั้นเองแหละ เฮ้อ ดูนาฬิกาก็ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วด้วย

อาหารพม่าอีกแล้ว

คราวนี้เราเรียกทริชอว์ 500 จ๊าต(ถูกมาก! เพราะไกลพอสมควร) ให้ไปส่งที่ร้านอาหารพม่าแบบครบสูตร แบบไม่ขายอะไรอย่างอื่นนอกจากอาหารพม่าเท่านั้น ดูท่าทางจะมีชื่อพอสมควรเพราะมีครอบครัวไฮโซของพม่ามากันเยอะจนแน่นร้าน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่มากับกรุ๊ปทัวร์ด้วย เราเดินตามหลังฝรั่งแก่ ๆ อีก 3 คนเข้าไปในร้าน พนักงานก็เข้ามาต้อนรับ แล้วก็พาเราเดินผ่านโต๊ะไปหลายโต๊ะ ไปโผล่ที่ห้องมืดๆ พนักงานก็ผายมืออย่างสง่างาม อ้าว นี่มันส้วม! ไม่ได้มาเข้าส้วม! จะมากินข้าว พนักงานคนนั้นหายแว้บไปแล้ว เค้าคงนึกว่ามากับป้า ๆ สามคนนั้นละมั้ง เราเลยต้องเดินออกมาเอง นี่มันวันอะไรกันเนี่ย ! จะกินข้าวดันพาไปส้วม บ๊ะ..

อาหารก็โอเค แต่อลังการกว่าเดิม คือมาจานมากกว่าเดิม สั่งไก่ทอดมาเป็นกับข้าวจานหลัก ไก่เหนียวราวกับทอดไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วแล้วตากแดดไว้อีก 5 วัน ก็เลยกิน ๆ ไปให้พอหายหิว แล้วเช็คบิลออกเลย สองคนจ่ายไป 1950 จ๊าต สำหรับมื้อกลางวัน ก็นับว่าไม่แพง


ไปดูเค้าทำทองคำเปลว

เราเปิดแผนที่ดูว่ายังมีอะไรที่เราพอจะเที่ยวได้ในวันนี้บ้าง ก็เห็นว่ามีบ้านทำทองคำเปลวที่มีชื่อมากในมัณฑะเลย์ จำต้องไปดูให้เห็นเป็นบุญตาเสียหน่อย มัณฑะเลนี่ฝุ่นเพียบ บวกกับแดดร้อน ๆ ด้วยแล้ว ถ้าลืมพกหมวกไปใส่กันแดดละก็หน้าคงจะดำภายใน 7 นาที เราเดินฝ่าไอแดดมาซักพัก แถวๆนั้นจะมีโบสถ์ Father Lafon เดินข้ามทางรถไฟมาหน่อยก็ถึงถนนที่ 35 ตัดกับ 36 เอ ดูในแผนที่มันก็อยู่ตรงนี้นี่นา ดูเงียบ ๆ เป็นถนนเล็ก ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ มองไปขวาก็ไปเจอะเข้าป้าย King Galon Gold leaf เป็นบ้านไม้ขนาดย่อม สะอาดสะอ้านที่เดียวเราก็เถียงกันอยู่ว่า ใช่ ไม่ใช่ ใช่ ไม่ใช่ จนมีผู้หญิงวัยกลางคนเธอออกมายิ้ม กวักมือเรียกที่หน้าบ้านให้เราเข้าไปด้านใน

เข้าไปสิ่งแรกที่เห็นคือรูปที่ใส่กรอบแขวนไว้ที่ผนังจำนวนมากมายหลายรูปเต็มทุกผนัง ถ้าเป็นรูปทั่วไปคงไม่แปลก หากแต่นี่ป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเทพฯ ของเราเมื่อครั้งเสด็จเยือนพม่าและได้เสด็จมาทอดพระเนตรการทำทองคำเปลวที่บ้านนี้ด้วยเช่นกัน ในภาพก็มีเจ้าของบ้าน คนที่เพิ่งมาเปิดประตูให้เรานี่แหละ แต่งกายด้วยชุดออกงานของสตรีพม่าและแต่งหน้า ทำผม อย่างประณีตรับเสด็จสมเด็จพระเทพฯ ด้วยใบหน้าที่ปลื้มสุดๆ

ฉันเห็นภาพที่อยู่บนผนังแล้วก็ปลื้มปีติและตื้นตันไม่แพ้ครั้งที่เห็นปฎิทินภาพในหลวงที่วัดพม่าที่ลุมพินีในประเทศเนปาล ถึงกับต้องขอถ่ายรูปมาด้วย เจ้าของบ้านก็ยินดีเป็นอย่างมาก พอสอบถามรู้ว่าฉันเป็นคนไทยก็ถูกอกถูกใจ หยิบเอาอัลบั้มรูปที่ใส่รูปทั้งหมดที่ถ่ายไว้ครั้งที่สมเด็จพระเทพฯเสด็จมาที่นี่ออกมาให้ชม ฉันเลยเล่าให้ฟังว่าสมเด็จพระเทพฯนั้นเมื่อท่านเสด็จกลับไปเมืองไทยแล้วท่านยังทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเล่มใหญ่ ชื่อ "ไทยเที่ยวพม่า" ด้วย คิดว่าหลายคนคงเคยอ่านหรือผ่านตามาบ้าง หญิงเจ้าของบ้านได้ยินก็ถึงกับปลื้ม หันไปคุยกันหลานสาว(ที่เธอยืนยันว่าเราสองคนหน้าเหมือนกัน) ด้วยความตื่นเต้น


ทองคำเปลว


จากนั้นจึงเอาชุดทองคำเปลวออกมาให้ชม มีตั้งแต่แผ่นเล็ก ที่ขนาดยังไม่บางเท่าไหร่ (แต่เราดูเราก็ว่าบางแล้วนะ) เป็นแผ่นกลม ๆ และ ถัดมาก็เป็นแผ่นที่ถูกตีให้บางกว่าเดิม ต้องทำหลายครั้งกว่าจะถึงขึ้นตอนสุดท้ายที่บางจนได้ที่แล้วพร้อมที่จะนำไปใช้งานได้ ก็ต้องใช้เวลาตีถึง 8-9 ชั่วโมง เสียดายที่วันที่เราไปนั้น เป็นวันหยุด ช่างจึงไม่ได้มาทำงานกัน เลยไม่ได้ดูตอนเค้าทำจริง ๆ ส่วนทองคำเปลวที่ได้นั้น ถ้านึกไม่ออกว่าบางแค่ไหน เค้าว่าบางกว่าความหนาของหมึกปากกาที่เราเขียนบนกระดาษเสียอีก

ส่วนด้านนอกบ้านนั้นจำลองแบบการทำทองคำเปลวแบบโบราณเอาไว้ พวกอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ แม้แต่การจับเวลาในตอนนั้นก็ไม่ได้ใช้นาฬิกาแบบสมัยใหม่ แต่ใช้กะลามะพร้าวเพราะรูให้น้ำไหลเข้า เมื่อกะลาจมก็ยกขึ้นมาเสียใหม่จนกว่าจะครบตามเวลาที่ต้องการ ซึ่งของไทยสมัยก่อนก็ใช้การจับเวลาโดยใช้กะลามะพร้าวเจาะรูแบบนี้เหมือนกัน

ก่อนกลับเจ้าของบ้านก็นำทองคำเปลวมาปิดให้ที่หลังมือ 1 แผ่น ฉันเองก็ซื้อแผ่นพับพิมพ์สี่สีสวยงามราคา 500 จ๊าต ที่มีวิธีการทำและทองคำเปลว 2 แผ่นในถุงพลาสติกเล็กๆติดมากับแผ่นพับด้วยเป็นการแสดงน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเจ้าของบ้านก็ไม่ได้เก็บค่าใช้จ่ายอะไรจากนักท่องเที่ยวมาชม

ไปเที่ยววัดมหามัยมุนี

จากบ้านทองคำเปลวก็เรียกทริชอว์ไปวัดมหามัยมุนี โดยไม่ได้ไกลเท่าไหร่ ออกไปทางทิศใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ เกือบ ๆ จะเข้าเมืองอมรปุระ (ห่างจากสนามบินมัณฑะเลย์ประมาณเกือบๆ สองกิโลเมตร) จ่ายค่าทริชอว์ไป 400 จ๊าต (แพง!! ใกล้กว่าจากสวนสัตว์มาที่ร้านอาหารแถวๆบ้านทองคำเปลวมาก) รู้งี้น่าต่อให้เหลือ 200 ก็พอ เฮ้อ เพราะมันใกล้จริงๆ เดินเอาก็ได้ แต่มันร้อน (ทำยังกะนั่งสามล้อไม่ร้อนแน่ะ หลังคาก็ไม่มี)

พระมหามัยมุนี หรือพระมหามุนี เป็นพระพุทธรูปสำริด ได้ถูกอัญเชิญมาจาก ระไคน์ (ยะไข่) คาดว่าสร้างขึ้นในราว ๆ ปี พ.ศ.688 (พ.ศ.หกร้อยแปดสิบแปด!) พอสร้างเสร็จแล้วก็เป็นที่เลื่องลือไปว่าพระพุทธรูปองค์นี้มีความงดงามยิ่ง ใคร ๆ จึงต่างอยากได้มาครอบครอง ดังนั้นกษัตริย์พม่าหลายพระองค์จึงทรงพยายามยกทัพไปตียะไข่เพื่อชิงพระพุทธรูปองค์นี้มาให้จงได้ ก็พยายามกันอยู่เป็นพันปี (เป็นพันปี! โอ้แม่เจ้า เป็นเราเราก็ทำลืม ๆ ไปแล้ว) มาสำเร็จเอาก็ในสมัยของพระเจ้าโบดอพญานี่เอง โปรดให้ชะลอพระมหามุนีมาทางแม่น้ำอิระวดีมายังเมืองมัณฑะเลย์ได้สำเร็จ และอัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดมหามุนีนี้ (เดิมตั้งชื่อตามเมืองที่ได้อัญเชิญมา คือวัดยะไข่) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเป็นที่เคารพบูชาของคนพม่าเป็นอันมาก นับว่าเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนพม่าต้องไปสักการะให้ได้สักครั้งในชีวิต บางคนยังไปไม่ครบก็หารูปสถานที่เหล่านี้มาบูชาไว้ที่บ้านก่อน บางคนถึงขนาดพกติดกระเป๋าสตางค์

เรื่องความศักดิ์สิทธิ์นี้ก็เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก เมื่อครั้งที่พม่ารบกับสยาม (สมัยพระเจ้าบุเรงนอง พระเจ้าอลองพญา ฯลฯ) ที่รบชนะสยามนั้นก็เชื่อว่าเป็นเพราะบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหามุนี พระเจ้าโบดอพญานั้นก็เลยนึกว่าเมื่อได้พระมหามุนีมาอยู่ในครอบครองแล้วต้องมีอำนาจเกรียงไกรรบกว่ากษัตริย์องค์อื่น ๆ อีก จึงได้ยกทัพมาตีบางกอกถึงสองครั้ง( สมัยรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ ) แต่ในสองครั้งนั้นก็ไม่ชนะเลยซักครั้ง เราไปกราบไหว้พระมหามุนีก็อย่าคิดอะไรมาก อโหสิกรรมให้เรื่องที่มันแล้ว ๆ มาก็แล้วกันอย่าเก็บเอามาคิดให้เป็นอารมณ์เปล่า ๆ ไหว้พระที่ไหนก็นึกถึงพระพุทธองค์เหมือน ๆ กัน จิตใจจะได้สบาย ๆ นะโยมนะ

วัดมหามัยมุนี

ความสูงของพระมหามุนีนั้นสูงราว 4 เมตร เฉพาะพระพักตร์เท่านั้นที่ยังคงเป็นสีทองเกลี้ยงเกลา ปัจจุบันนี้ก็ยังมีพิธีล้างพระพักตร์ให้พระมหามุนี เพราะคนพม่านั้นเชื่อว่าพระองค์นี้มีลมหายใจ ทุกวันนี้หลวงพ่อเจ้าอาวาสต้องลงมาทำพิธีล้างพระพักตร์ตอนเช้ามืดของทุกๆวัน และทำจนกว่าหลวงพ่อรูปเดิมจะทำไม่ไหวก็จะต้องคัดเลือกพระรูปใหม่มาทำหน้าที่แทน ส่วนองค์พระนั้นถูกปิดทับด้วยทองคำเปลวจำนวนมหาศาล ว่ากันว่าเมื่อครั้งไฟไหม้วัดเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ทองทั้งหมดไหลมารวมกันหนักถึง 700 บาท ดูเอาได้จากความหนาของเนื้องทองคำเปลว เปรียบเทียบกับสมัยที่ยังไม่ได้ปิดทอง ซึ่งจะมีรูปภาพให้ดูด้านหน้าประตูทางเข้า จะเห็นว่าหนาขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด คนจึงเรียกพระมหามุนีอีกชื่อคือ "พระเนื้อนิ่ม" เพราะดูน่าจะนิ่มเพราะเนื้อทองคำเปลว แต่สอบถามดูจากเบิร์ตซึ่งถูกฉันส่งเข้าไปปิดทองแล้วได้ความว่า

"ไม่เห็นจะนิ่มอย่างเธอว่าเลยแฮะ ออกจะแข็ง ๆ ด้วย สงสัยทองจะแน่นมาก"

ข้างในวัดมหามัยมุนี ผู้หญิงห้ามเข้าไปข้างใน นั่งได้เฉพาะตรงนี้จ้ะ

ถ้าอยากจะปิดทองก็ไปซื้อทองคำเปลวได้ที่ตู้ขาย จะมีพนักงานนั่งอยู่ในตู้ที่หน้าตาเหมือนตู้ยามหน้าลานจอดรถ ลองดูราคาที่บอร์ดด้านหลัง จะมีหลายราคาให้เลือก มีเงินน้อยซื้อน้อย มีมากซื้อมาก (ปรกติแล้วก็อยู่ที่ไม่เกิน 200-500 จ๊าตโดยประมาณ ส่วนดอกไม้ธูปเทียนนั้นก็ประมาณ 200 จ๊าตจะได้กำใหญ่ ดอกไม้หอมและสวยมากทีเดียว) สำหรับผู้ชายนั้นก็เข้าไปปิดทองได้ด้วยตนเอง ส่วนผู้หญิงนั้นอนุญาตให้นั่งดูห่าง ๆ และถวายดอกไม้ธูปเทียนอยู่ด้านนอก จะต้องส่งทองคำเปลวที่ตนเองซื้อมานั้นให้กับเจ้าหน้าที่ของวัดนำไปปิดให้ เพราะด้านในนั้นไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าอย่างเด็ดขาด (ไม่รู้ รมต. บางคนในเมืองไทย ถ้าไปเที่ยวที่นี่จะไปเรียกร้องสิทธิสตรีกะเค้าหรือเปล่า อิอิอิ..)

ออกมาด้านนอกก็จะมีห้องแสดงรูปสำริด 6 ชิ้นคือรูปพระอิศวร สิงห์ และช้างเอราวัณ โดยทั้งหมดนี่ได้ไปจากสยามเมื่อครั้งพระเจ้าบาญิงนอง(บุเรงนอง) ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ส่วนพี่ไทยก็ไปเอามาจากเขมรอีกที เดิมนั้นรูปปั้นทำหน้าที่พิทักษ์นครวัดอยู่ดี ๆ พี่ไทยก็ไปเอาของเขามา พอถูกนำไปที่พม่าที่หงสาวดี(ปัจจุบันคือบาโก) ได้ไม่นานก็ถูกชิงไปไว้ที่ยะไข่ ต่อมาก็ถูกชิงกลับมาจากยะไข่กลับมาที่เมี่ยวฮาวน์ ก่อนที่พระเจ้าโบดอพญาจะนำกลับจากเมี่ยวฮาวน์มาที่มัณฑะเลย์ เรียกว่าแย่งกันไปแย่งกันมาจนอุตลุต แล้วปัจจุบันก็ไม่ได้ไปทำอะไรกับรูปสำริดพวกนี้ นอกจากจะเอาตั้งไว้เฉย ๆ ให้ชาวบ้านมาลูบ ๆ คลำ ๆ จนเงาวับเป็นแห่ง ๆ เนื่องจากเชื่อว่าหากเจ็บป่วยตรงไหนให้แตะตรงนั้นจะรักษาอาการป่วยได้ ก็ไม่รู้ว่าคุ้มมั้ยที่แย่งกันไปแย่งกันมาอยู่นาน .. ไม่อยากจะบอกว่าตรงไหนที่ถูกจับมากที่สุด

เข่าน่ะเข่า คิดอะไรกันน่ะ แม๊... แสดงว่าคนพม่ามีปัญหาเรื่องปวดเข่ากันมากกว่าอย่างอื่นหรือเปล่า?

ห้องถัดจากที่เก็บรูปสำริดนั้นเป็นฆ้องยักษ์ ใหญ่จริงๆ นี่ละมั้งที่คนโบราณจึงได้เปรียบเทียบว่า "ทำอะไรใหญ่เหมือนพวกพม่ารามัญ" คือทำอะไรก็แล้วแต่ขอให้ใหญ่ไว้ก่อน ระฆังก็ใหญ่ พระพุทธรูปก็ใหญ่ ฆ้องก็ยังใหญ่อีก ไม่รู้ตีได้จริงหรือเปล่า ก็คงได้แหละนะ (ว่าแต่จะเอาอะไรตี?) ฆ้องพม่านี่ไม่กลมเหมือนบ้านเรา และรูปร่างจะคล้าย ๆ ระฆังแต่มีรูปทรงเป็นแผ่นหนาและทึบ ตามร้านขายของที่ระลึกจะมีเป็นอันเล็ก ๆ ขายให้ซื้อกลับมาแขวนดูเล่นที่บ้านได้อีกต่างหาก


สะพานอูเบ็งที่อมรปุระ

เดินออกจากวัด ผ่านร้านรวงที่เค้าแกะสลักพระพุทธรูปจากหินอ่อน มีเยอะมากหลายร้าน แล้วทำกันสวย ๆ ทั้งนั้น นักท่องเที่ยวชอบมาดูเค้าแกะสลักกัน แต่เราเดินดูแค่ผ่าน ๆ เพื่อไปต่อรถสองแถวไปสะพานอูเบ็ง ถ้าไม่รู้จะขึ้นรถตรงไหนก็ถาม ๆแถว ๆนี่เค้าแกะสลักกันนั่นแหละ บอกว่า อูเบ็งบริดจ์ ๆ เค้าจะบอกให้ว่าไปบึ้นรถที่ไหน

หนุ่มพม่าคนหนึ่งพอฉันถามว่าจะไปสะพานอูเบ็ง เค้าก็ละมือจากงานแกะสลัก แล้วบอกให้เดินตามมาจะพาไปขึ้นรถ ก็เลยเดินตามเค้าไป ไม่ไกลนักแค่ช่วงทางเดินสั้น ๆ ก็จะเป็นบันไดลงจากวัดไปถนน มีรถสองแถวจอดรออยู่แล้วหลายคัน ขอบใจหนุ่มคนนั้นเสร็จก็ลงไปขึ้นรถที่แน่นเอี้ยดอยู่แล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งเธอก็ยังอุตส่าห์พยายามกระเถิบให้ เอามือตบเบาะข้าง ๆ เธอนัยว่า "มานั่งตรงนี้ซิ" ดูๆแล้วที่นั่งติ๊ดเดียวจะพอก้นเราหรือเนี่ย แต่ก็นั่งได้แฮะ แต่เธอคนนั้นอาจะแอบด่าในใจว่า "ไม่นึกว่าตูดแกจะใหญ่ขนาดนี้"

รถสองแถวขับเร็วที่สุดในชีวิตที่เคยนั่งมา รถมินิบัสสาย 80 ในกรุงเทพฯคงต้องยกมือไหว้ พระสงฆ์องค์เจ้านี่โหนท้ายรถกันจีวรปลิวพรึ่บพรั่บ แต่ทุกคนก็ดูปรกติดี แถมบางคนก็หลับเฉยเลย ฉันเลยแกล้งทำเฉย ๆ บ้างแต่มือนี่จิกเบาะไว้แน่น นะมง นะโมนี่ท่องแทบไม่เป็นแล้ว แล้วรถก็เบรคหัวทิ่ม
"สะพานอูเบ็ง ถึงแล้วๆๆ!" เด็กรถบอกพลางชี้ไปที่ตลาดฝั่งตรงข้าม เราจ่ายค่ารถคนละ 100 จ๊าต รถสองแถวก็จากไป ทิ้งเรายืนงงอยู่พักใหญ่ เฮ้ย นี่มันตลาด แล้วไหนวะสะพาน เอาสะพานมานะ เอาสะพานม๊าาาา..

เดินไปถามร้านขายของแถว ๆ นั้นก็แล้วกัน
"ขอโทษนะคะ สะพานอูเบ็งอยู่ตรงไหนคะ?" น้าแกก็มองหน้างง ๆ แต่ก็ชี้เข้าไปในตลาดฝั่งตรงข้าม เป็นทางเดินเข้าเล็ก ๆ มีป้ายชื่อตลาดอยู่ด้านบน
"น่ะ เดินเข้าไปเลย" เอ้า เข้าก็เข้า
เดินผ่านตลาดสดที่เริ่มจะวายแล้ว ข้ามทางรถไฟไปหน่อย เริ่มจะเป็นหมู่บ้าน มีบ้านตั้งอยู่ตลอดสองข้างทาง เรียกว่าเดินผ่านหน้ารั้วบ้านกันเลย วัดตรงหัวมุมก็เปิดเครื่องขยายเสียงทิ้งไว้ ฟัง ๆ ดูเดาเอาว่าเป็นการประกาศรายชื่อผู้มีจิตศรัทธาว่าใครบริจาคมาเท่าไหร่แล้ว

เดินไปเรื่อย ๆ ราวซัก 15-20 นาทีเห็นจะได้ ก็เห็นแม่น้ำอยู่ไกล ๆ โอ้ นี่ไงเจอแล้วสะพานอูเบ็ง มีเพิงร้านอาหาร ร้านกาแฟอยู่พอสมควร และคนที่มาเสนอการนั่งเรือชมพระอาทิตย์ตก ในราคา 1000 จ๊าต(จะบ้าเรอะ 1000 จ๊าต หากินง่ายไปเปล่า)
" 500 ได้ปะ" ฉันถาม
"โอย ไม่ได้ๆ 1000 จ๊าต"
"งั้นไม่ไป ไปเดินเล่นดีกว่า"
มีเสียงหัวเราะฮึ ๆ มาจากผู้หญิงพม่าอีกคนซึ่งขายของอยู่แถวนั้นแล้วพึมพัมว่า"ห้าร้อย ฮึๆๆ" (ทำไมยะ ห้าร้อยนี่มันเยอะแล้วนะ พายเรือลอยไปลอยมานี่จะเหนื่อยอะไรกันนักกันหนา สามล้อยังเหนื่อยกว่านี้)

สะพานอูเบ็งนั้นยาวอย่างที่เค้าว่า ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลกในโลกหรือเปล่า แต่มันยาวถึง 1 กิโลเมตรเลยนะ บางส่วนของสะพานก็เอามาจากอินวะด้วย เวลาที่เหมาะจะมาเดินเล่นนั้นก็ไม่ใช่ช่วงเช้าๆก็คงต้องเป็นตอนเย็นเลย เพราะถ้ามากลางวันแดดเปรี้ยง ๆ แทนที่จะสนุกอาจจะเซ็งได้ เพราะร้อนเกินบรรยาย พอดีตอนที่เราไปถึงนั้นก็ราวๆ 5 โมงเย็นเห็นจะได้ บรรยากาศก็เลยกำลังสบาย แม่น้ำก็ดูสวยประหลาดเพราะดูเหมือนมีหมอกจางๆเจืออยู่ในอากาศตลอดเวลาทั้ง ๆ ที่อากาศก็ไม่ได้เย็น พระอาทิตย์ที่กำลังตกก็ทำให้แม่น้ำออกจะเป็นสีชมพู ๆ ดูเหมือนภาพวาดเลย

ตลอดความยาวของสะพานนั้นจะมีศาลาพักร้อน หรือ rest house ทั้งหมด 4 ศาลา สำหรับนั่งพักเหนื่อย ในศาลาก็มีจะคนนำของมาขาย ตั้งแต่ขนมนมเนยไปจนถึงภาพวาดที่วาดกันสด ๆ ตรงนั้นก็มี ส่วนบนทางเดินบนสะพานนั้น ขอทานนี่เยอะมากจริง ๆ แต่ถ้าไปช่วงปลาย ๆ สะพานแล้วจะไม่ค่อยมี รู้สึกแปลกเพราะเท่าที่จำได้จะไม่เห็นขอทานที่นั่งขอแบบนี้เลยตั้งแต่มาถึงพม่า จะมีบ้างก็แบบที่เดินไปเรื่อย ๆ เจอใครก็ขอ ไม่ซีเรียส เหมือนเป็นขอทานแบบฟรีแลนซ์ มานั่งปักหลักแบบฟูลไทม์แบบนี้ที่พม่าไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่นัก


สะพานอูเบ็งยามเย็น

เดินไปถึงอีกฝั่งนั้นก็จะมีวัด และจดีย์จ๊อกตอยี เข้าไปเดินเล่นดูข้างในได้ แต่ที่ฉันมองแล้วน่าสนใจไม่แพ้วัด เห็นจะเป็นชาวบ้านแถวนั้นซึ่งกำลังตั้งวงเตะตะกร้อกันอย่างสนุกสนาน รอบ ๆ เป็นทิวมะพร้าวร่มครึ้ม แสงแดดลอดลงมาที่พื้นดินเป็นหย่อม ๆ บ้านหลังเล็กๆ ดูราวๆกับภาพชีวิตเมื่อซักหลายสิบปีที่แล้ว หรือเผลอ ๆ ร้อยปีที่แล้ว เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก ฉันต้องยืนดูอยู่หลายนาที

รถสองแถวสาย 8 เร็วผ่านรก

เราเดินกลับออกมารอรถสองแถวสาย 8 กลับเข้ามัณฑะเลย์ โดยที่รถจะไปจอดที่ตลาดเซโฉ่ (ก็ตลาดที่เราไปเดินมาคราวก่อนนั่นแหละ ที่ตลาดนี้มีรถสองแถวหลายสาย วุ่นวายพอสมควร ตั้งแต่เช้าไปยันดึก) ขึ้นรถมาได้ก็พบว่ารถแน่น(อีกแล้ว) พระท่านนั่งอยู่ก่อน ท่านก็กระเถิบๆเข้าไปด้านใน เอามือตบเบาะว่าให้มานั่งตรงนี้ ฉันเลยงงว่า เฮ้ย นั่งได้ด้วยเหรอ ข้างพระเนี่ยนะ ไม่เค้ย ไม่เคยนั่งข้างพระมาก่อนในชีวิต ยังรู้สึกแปลก ๆ ยังไงพิกลอยู่นะ แต่ที่พม่านี้เค้าว่า หากเป็นสถานการณ์แบบนี้ เค้าไม่ถือว่าเป็นเรื่องเสียหายหรือต้องอาบัติแต่อย่างใด เพราะดูที่เจตนา เมื่อมีพระนั่งอยู่แล้ว แล้วรถแน่น ๆ มา พระเองก็จะมามัวระวังไม่ให้ถูกตัวผู้หญิงนี่เรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย ก็เลยอนุโลมว่า ไม่เป็นไร

ฉันเลยนั่งเข่าชนกับพระท่านไปตลอดทาง เพราะรถแน่นมากจริง ๆ คนก็ทยอยขึ้นตลอด มีคนหนึ่งเป็นหญิงสาวอุ้มลูกมาด้วย คนแม่นั้นต้องไปโหนอยู่ท้ายรถ ส่วนลูกที่ยังเล็กๆอยู่นั้นชาวบ้านคนอื่นที่นั่งมาในรถอยู่แล้วก็ช่วยอุ้มให้แบบไม่ต้องขอร้อง เพราะถ้าจะลุกแล้วให้แม่เข้ามานั่งแทนก็ทำได้ลำบาก เพราะต้องโยก ต้องเปลี่ยนที่อุตลุต เห็นเค้าก็นั่งคุยกันแบบกันเอง ดูแล้วก็ยังนึกในใจว่าก็คล้ายบ้านเราเหมือนกันนะ ที่ยังมีการลุกให้นั่ง หรือช่วยถือของให้ เพราะจำได้ว่าเพื่อนฝรั่งเห็นครั้งแรกบนรถเมล์ในกรุงเทพฯ มีผู้ชายคนหนึ่งลุกให้ผู้ชายอีกคนซึ่งมากับภรรยาและมีลูกเล็ก ๆ มาด้วยนั่ง (จริงจะให้ผู้หญิงกับเด็กนั่งเฉยๆก็ได้ แต่นี่กลับลุกให้คนเป็นพ่อนั่งด้วยจะได้ช่วยภรรยาดูลูก) ยังถามเลยว่า คนไทยทำแบบนี้เป็นปรกติเหรอ? ดีจังเลยนะ ถ้าเป็นบ้านเค้าทำแบบนี้คนต้องนึกว่าบ้าแน่ ๆ

ที่เซอร์ไพรส์กว่านั้นคือมีสาวคนนึงเธอขึ้นมากลางทาง ฉันยังมองแล้วคิดว่า อุ๊ยหน้าหวานจัง แต่พอเธอพูดกับเด็กรถเนี่ยซิ โอ่โฮ่ว...กะเทยนี่หว่า แล้วเค้าแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนผู้หญิงพม่าทั่วไปเลยล่ะนะ แล้วก็ผมยาว แต่งหน้าสวยเช้งเลย โอ ประหลาดใจมาก แล้วคนอื่นก็ไม่ได้มองเค้าแปลกประหลาดแต่อย่างใด หรืออาจจะเป็นคนในพื้นที่ เห็นๆหน้ากันจนชินแล้วก็ได้

ดูละครเกาหลีบนทีวีพม่า

เราเดินผ่านตลาดกลางคืน ไม่ค่อยมีอะไรนัก เพราะเดินมาแล้วเมื่อวันก่อน เลยแค่เดินผ่าน ๆ ไป ไม่ได้แวะดูอะไร เลยไปแวะกินข้าวที่ร้าน Min Min เยื้อง ๆ กับร้าน Mann หรือร้านพี่มั่นของเรา แถวๆ โรงแรม Nylon นั่นแหละ เป็นร้านออกไปทางร้านอาหารจีน มีไก่อบน้ำผึ้งขายเป็นจาน ๆ ฟังดูมันน่าจะอร่อย แต่มันก็ไม่อร่อยเหมือนที่คิด แถมแพงอีกต่างหาก

อาศัยว่านั่งดูทีวีเพลิน ๆ และนั่งพักหลังจากไปตะลอนมาทั้งวัน ดูสนุกดีเหมือนกัน ช่วงทุ่มครึ่ง สองทุ่มนี่เรียกว่าทุกบ้านจะต้องดูละครแน่นอน แล้วเป็นละครเกาหลีแบบมีซับไตเติ้ลภาษาพม่าด้วยนะ ชาวบ้านนี้ติดกันหนึบหนับ

ส่วนโฆษณานี่ก็สุดยอดไม่แพ้กัน เพราะยังเชยๆอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ขายรองเท้า รองเท้าอีหนีบอะแหละนะ เพราะเค้าใส่กันแต่แบบนี้เป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับสาว ๆ ก็จะมีตัวเลือกมีดีไซน์มากหน่อย ผู้ชายก็ใส่เรียบ ๆ โฆษณาก็จะใช้ดาราอยู่ไม่กี่คนหรอก เห็นหน้าก็จำได้เลย ถ้าเป็นดาราชายก็จะมีอยู่คนนึงหน้าคล้าย พี่ทอม ดันดี แต่ผมสั้น ๆ ออกมาเก๊กแมน ใส่เสื้อฟิต จะขายอะไรก็เอามาถือกันให้เห็นจะ ๆ ไปเลย อย่างขายรองเท้านี่ก็เอากล่องรองเท้ามาแนบแก้มกันเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป ผู้หญิงด้วยนะ เอากล่องมาแนบแก้ม แล้วยิ้ม "ต้องยี่ห้อนี้สิคะ" ขายลูกอมก็เอาห่อลูกอมมาโปรยกันบนโต๊ะเห็นๆกันไปเลย ให้จมกองลูกอมตายกันไปข้าง เอ๊อ ดูแล้วแปลกๆ น่ารักดี

ถ้าเป็นโฆษณากาแฟ ซึ่งคนพม่านั้นชอบดื่มชาและกาแฟกันมาก การแข่งขันสูง กาแฟสำเร็จพร้อมดื่มแบบซอง ๆ นี่ก็โฆษณาเพียบ เห็นเยอะ ๆ ก็จะมียี่ห้อ Gold Roast กับ Mika Coffee ของ Gold Roast นั้นก็เจ๋งพอตัว เอาเพลงบ๊อบ ดีแลน ชนิดเอาทำนองมาเลย แล้วใส่เนื้อพม่าเข้าไป แต่งตัวเป็นคาวบอย มีกองฟางหน่อย(คาวบอยมีกองฟางแบบนี้ด้วยเหรอ ดูท้องทุ่งท้องนามากกว่า ดีนะไม่มีควายมาแจม) ร้องเพลงขายกาแฟกันไป ส่วนอีกอัน ลองนึกถึงกาแฟซอง หรือนึกถึงแชมพูซองละ 2 บาทที่มันจะเป็นยาว ๆ เวลาจะซื้อก็ฉีกไปเป็นซอง ๆ น่ะ โฆษณากาแฟก็นี่เลย เอาซองกาแฟมาคล้องคอกันไปเลย ประกอบเพลงนิดหน่อย ดู ๆ ไปเหมือนหนังอินเดียยังไงก็ไม่รู้

ส่วนน้ำดื่มยี่ห้อ ดากอง นี่ก็ทุ่มทุนสร้างมาก เอานางแบบนายแบบมาหลายคน เอามายืนถือขวดน้ำกันจะจะ แล้วเดินเรียงแถว ดาหน้าเข้ามาหาคนดู เป็นภาพสโลวโมชั่น พร้อมเพลงประกอบอันฮึกเหิม ไอ้คนที่ถือขวดเล็กก็คงไม่เท่าไหร่ สาวๆบางคนนี่ซิ ต้องถือแบบแกลลอนน่ะ แถมต้องยกเต้นไปมาด้วย ดูแล้วน่าสงสาร ช่วยๆเค้าซื้อหน่อย แล้วดาราสาวๆเค้านี่ออกจะอวบแต่ไม่อ้วนนะ แก้มจะนวล แขนจะกลมเนียน เค้าถึงจะว่าสวย ถ้าผอม ๆ แห้ง ๆ แบบดาราบ้านเราไปนี่เค้าว่าเหมือนคนขี้โรค ดูไม่มีน้ำมีนวล สาวอวบฟังแล้วก็อยากจะย้ายไปอยู่พม่าให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลยให้ตาย





 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 11 กันยายน 2549 13:16:46 น.
Counter : 2749 Pageviews.  

วันที่ 6 : ข้ามไปเที่ยวมิงกุน



จันทร์ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๖
ข้ามไปเที่ยวมิงกุน

โรงแรม Nylon นั้นอยู่ติดกับสุเหร่า แต่เราก็ไม่มีปัญหา เพราะห้องนั้นถือว่าสะอาดดีอยู่ แถมมีห้องน้ำในตัวไม่ใช่ห้องน้ำรวม ที่สำคัญ คืนละ 6 ดอลล่าร์เอง แล้วเสียงละหมาดผ่านลำโพงตอนเช้ามืด นอนฟังไปก็เพลินดีเหมือนกันนะจะว่าไป

อาหารเช้านั้นเสิร์ฟที่ชั้นบนสุด แขกคนอื่นต้องเดินขึ้นมาทานที่นี่ทุกเช้า แต่เราสบายไปอย่างที่ห้องอยู่บนสุดอยู่แล้ว ไม่ต้องปีนบันไดขึ้นมาให้เหนื่อยอีก เปิดประตูห้องออกมาก็เจอห้องโถงสำหรับแขกมานั่งทานอาหารเลย นั่งซดกาแฟจืดๆไป กินพอรองท้อง ถึงแม้อาหารไม่ได้อยู่ในขั้นเลวร้ายนะ จริงๆ แต่มันก็ไม่มีรสชาติอะไรแต่ก็ต้องกิน ก็ แหม ขนมปังปิ้ง มาการีนจืด ๆ กาแฟใสๆ ไข่ดาวที่ไม่มีซอสมะเขือเทศ ไม่มีซอสพริก ไม่มีซอสภูเขาทอง ไม่มีซอสหยั่นหว่อหยุ่น ไม่มีน้ำพริกเผาแม่ประนอม มีแต่เกลือกับพริกไทย ใครกินแล้วรู้สึกว่ามันอร่อยนี่ก็นับถือเลย เฮ้อ ถ้าอยู่เมืองไทยป่านนี้ซัดปาท่องโก๋จิ้มนม หรือไม่ก็ไข่ดาวใส่ซอสพริก กับพริกไทยเยอะๆ ไปแล้ว ซู้ด..

แบ็คแพ็คเกอร์ปลอมๆ

เช้าวันนี้เราตกลงว่าจ้างสามล้อไปท่าเรือที่เพื่อข้ามไปเที่ยวฝั่งมิงกุน ในราคา 500 จ๊าต ต่อแล้วต่ออีกได้ 400 จ๊าต พอไปถึงท่าเรือ ได้ยินฝรั่งเยอรมันสองคนคุยกัน เบิร์ตแปลให้ฟัง ว่าไอ้เจ้าสองคนนี่ เรียกสามล้อมาแค่ 200 จ๊าตเอง..(จากโรงแรมเดียวกับเรา) แถมคุยทับกันไปทับกันมาว่าข้าได้ถูกกว่าเอ็ง เดี๋ยวคราวหน้าข้าจะต่อเหลือ 100 จ๊าตให้ได้ บลา บลา บลา...

พี่ ๆ ...100 จ๊าตนี่ซื้อทิชชูประเทศพี่ซักแผ่นยังยังไม่ได้เลย แถมที่พม่านี่ก็ซื้อโคล่าได้ขวดเดียวเองพี่ พี่จะงกไปถึงไหน...ทีจ่ายค่าตั๋วให้รัฐบาลทีละหลายดอลล่าร์จ่ายได้ จะให้ราคายุติธรรมกับชาวบ้านที่เค้าทำมาหากินสุจริตมั่งนี่ยังเอามาเป็นเรื่องคุยทับกันอีกเหรอ ว่าใครได้ถูกกว่า..? นักท่องเที่ยวแบบแบกเป้ก็ใช่ว่าจะเจ๋งทุกคน บางคนก็มาแนวโชว์ออฟ แต่งตัวต้องโคตร local ยีนส์ไม่ใส่ต้องใส่โสร่ง หรือกางเกงเล เสื้อก็ต้องใส่ที่สกรีนลายของประเทศที่ไปมาแล้ว เช่น เดินอยู่เมืองไทยต้องใส่เสื้อธงชาติอินเดีย ไปเนปาลต้องใส่เสื้อลายทิเบต ไปเขมรต้องใส่เสื้อเวียดนาม เป็นต้น สุดแล้วแต่ว่าใครจะสรรหามาโชว์ออฟกันได้แค่ไหน เป็นการประกาศศักดาความเก๋าอะไรทำนองนั้น แม้แต่ในหมู่นักท่องเที่ยวแบกเป้ด้วยกันเองยังอดหมั่นไส้ไม่ได้

การข่มทับกันว่าใครได้ราคาถูกกว่าก็เป็นอีกเรื่องที่ฉันคิดว่าไร้สาระที่สุดในบรรดาเรื่องที่เหล่าแบ็คแพ็คเกอร์สรรหามาคุยทับกัน
"ข้าน่ะ ต่อราคาหมูปิ้งจากไม้ละ 7 บาทเหลือ 5 บาทได้นะเว้ยยยย วันนี้อ่ะ"
"น้อยหน่อยเหอะ วันก่อนขึ้นรถเมล์ ข้าทำเป็นไม่มีเงินเศษ ไม่ต้องจ่ายเว้ยยยย ฮะฮิ้ววว.."
อะไรทำนองนี้ ขอยืนยันว่าแบ็คแพ็คเกอร์ประเภทนี้มีอยู่จริงบนโลก

เรื่องรองลงมาคือใครสามารถอยู่ในที่ที่มีความสะดวกสบายน้อยที่สุดได้กว่ากัน เห็นและได้ยินอยู่เป็นประจำ จำได้ว่าฉันเคยคุยเรื่องห้องพักที่เขมรกับแบ็คแพ็คเกอร์ฝรั่งคนหนึ่ง รูปห้องพักที่เค้าถ่ายมาให้ดูนั้น ห่างไกลกับสภาพที่เรียกว่า "พออยู่ได้" มากนัก พื้นเป็นดินสกปรก ผนังเป็นรูโหว่ เอาโปสเตอร์ดารามาปิดหลอกไว้ ราคาห้องพักที่เค้าได้คือ 1-2 ดอลล่าร์ ฉันเองไม่ใช่คนเรื่องมากหรือพักห้องหรูอะไร ก็ทั่วๆไปตามมาตรฐานคนงบน้อย แต่ห้องนี้ฉันเห็นสภาพแล้วยังต้องอึ้ง บอกเค้าไปว่า ห้องนี่ สุดๆเลยนะ สภาพแบบนี้ 2 ดอลล่าร์ก็แพงแล้ว

"คุณว่างั้นเหรอ ผมว่าห้องดูดีทีเดียวนะ ดูซิ น่าพักจะตายไป" (น่าพักตรงไหนวะเนี่ย)
"บางวันผมก็ไปกินหนูย่าง กินค้างคาวกับชาวบ้าน" (จะบอกว่าตัวเอง go local ได้แล้ว แต่พอมาเจอคนไทยกินเครื่องในวัว เครื่องในหมูก็ทำเป็น อี๋ๆ รังเกียจตามปรกติ พอเจอคนกินหมาก็หาว่าป่าเถื่อน ทั้ง ๆ ที่เค้ากินกัน เพราะบางทีมันไม่มีอะไรจะกิน หรือกินกันมานานแล้ว ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวบางคนกินเพื่อโชว์ความเก๋าเอาไว้โม้กะเพื่อนมันที่บ้าน)

พวกนี้ลองมาเห็นคนเร่ร่อนจรจัดบ้านเราซิ จะรู้ว่าเค้าเจ๋งกว่ามันขนาดไหน บ้านก็ไม่มีอยู่ อาหารก็ไม่มีกิน แถมยังต้องครีเอท หาที่นอนใหม่อยู่เกือบทุกวัน นั่นน่ะเจ๋งของจริง เบื่อจริง ๆ เบื่อเป็นการส่วนตัวไอ้พวกเที่ยวแล้วชอบโชว์ความเก๋าแบบโง่ ๆ เนี่ย

พาเที่ยวมิงกุน : มิงกุนพญาเจดีย์ที่ไม่เคยสร้างเสร็จ

นอกเรื่องมามาก กลับไปเที่ยวกันต่อ
สามล้อพาเราผ่านตลาดเช้าอันแสนคึกคักและเฉอะแฉะไปท่าเรือสำหรับนักท่องเที่ยวหรือเค้าเรียกว่า jetty มันดูเสร่อ ๆ ยังไงบอกไม่ถูก คือก็เป็นเรือธรรมดานี่แหละ แต่ที่นั่งเป็นเก้าอี้หวายสานสำหรับเอนหลังอย่างดีวางเรียงอยู่บนเรือรอคอยทัวร์ริสต์ทั้งหลายลงมานั่งให้ชาวบ้านเห็นแล้วต้องอมยิ้ม ก็ แหม ทำยังกะอันดามันปรินเซสส์ไปได้ แค่ข้ามไปฝั่งขะโน้นเนี่ยนะ


รูป : ท่าเรือที่เราต้องไปลงเรือไปมิงกุน

หรืออาจจะทำเพราะรู้สึกผิดที่เรียกเก็บตังค์นักท่องเที่ยวคนละ 3 ดอลล่าร์ ไม่รวมค่าเรืออีก 1500 จ๊าต (ตอนนั้นเพิ่งขึ้นราคา เมื่อก่อน 1000 จ๊าต) ด้วยเหตุผลที่ว่า "น้ำมันแพง" แล้วเมื่อก่อนนี่เค้าไปดักเก็บตังค์ที่ฝั่งมิงกุนนะ ไม่ได้เก็บที่นี่ แค่ด้วยความที่มิงกุนมันมีทางเดินวนรอบเกาะเป็นสี่เหลี่ยม ถ้าเดินแยกไปเดินเวียนซ้ายเนี่ยก็โดนเก็บตังค์เลยทันที เพราะด่านเก็บค่าธรรมเนียมมันอยู่ตรงนั้น บางคนก็เลยหัวหมอ ไปเดินเวียนขวาแทน ซึ่งทางเดินไม่ได้ทำไว้ดีเท่าฝั่งซ้ายแต่จะเป็นทางเดินเป็นดินแดงๆผ่านหน้าบ้านของชาวบ้านที่นั่น แถมด้วยภาพที่คุณจะได้เห็นคือกองขยะที่สุมตรงนั้นทีตรงนี้ที บางกองนี้แผ่ออกไปเป็นเมตร เห็นแล้วก็เสียดาย เสียตังค์มาดูเจดีย์หรือมาดูกองถุงพลาสติกกันแน่นะเนี่ยเรา

เราเดินไปตามทางเดินเรื่อย ๆ ก็เห็นลานโล่งกว้างมีแผงขายเครื่องดื่มที่ระลึกเต็มไปหมด ลานนั้นเองเป็นที่ตั้งของมิงกุนพญา หรือเจดีย์มิงกุนขนาดมหึมา ไม่น้อยหน้าหอไอเฟล (พูดซะเว่อร์) อ้าว แต่มันใหญ่จริง ๆ นะ คิดไม่ออกเลยว่าถ้าตอนนั้นพระเจ้าโบดอพญา(หรือพระเจ้าปะดุง) ไม่สวรรคตระหว่างการสร้าง อาจจะถึงขั้นเป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดในโลกได้ เพราะนี่แค่ฐานนะ ยังสูงใหญ่ขนาดนี้แล้ว คนไปยืนเทียบนี่ตัวเหลือเท่ามดปลวกที่มาไต่ตอมเจดีย์เท่านั้นเอง

ประวัติของเจดีย์นี้ก็น่าสนใจมากทีเดียว องค์เจดีย์เฉพาะส่วนฐานขึ้นไปที่ยังเหลือให้เห็นอยู่ที่ก็สูง 54 เมตรแล้ว ตอนนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างด้วยอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดกว้างยาวแต่ละด้านถึงด้านละร้อยกว่าเมตร ใช้เวลาสร้างนานหลายปี ส่วนพระเจ้าโบดอพญานั้นถึงกับเสด็จไปนั่งทอดพระเนตรการสร้างอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำเอยาวดี (เป็นเกาะเล็กมากๆ ห่างจากฝั่งมิงกุนไปไม่เท่าไหร่ พายเรือสองสามจึ๋งก็ถึงแล้ว) แรงงานราษฎรมากมายถูกเกณฑ์มาเพื่อสร้างเจดีย์นี้ เงินทองจำนวนมหาศาลถูกใช้ไปในการสร้างเจดีย์ด้วยเช่นกัน เมื่อเศรษฐกิจพังลงพระเจ้าโบดอพญาซึ่งไม่เคยทรงฟังคำทัดทานใดๆ ก็จำต้องระงับการสร้างเจดีย์ไว้ก่อน จนต่อมาพระเจ้าโบดอพญาเสด็จสวรรคต เจดีย์มิงกุนจึงได้หยุดการก่อสร้างไว้เพียงเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงราว ๆ ปีพ.ศ. 2356 ปัจจุบนนี้คนพม่าเรียกเจดีย์มิงกุนว่า "ปาโตดอจี" แปลว่าเจดีย์ใหญ่ที่สร้างไม่เสร็จ


รูป : มิงกุนพญา หรือเจดีย์มิงกุน นี่เฉพาะฐานนะ ของเทียบกับขนาดคนดู

เจดีย์มิงกุนนี่ก็เหมือนกับเจดีย์อีกหลายแห่งในพม่าที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่บนเจดีย์ ผ่าลงกลางประตูทางเข้าดูน่าอัศจรรย์ใจที่องค์เจดีย์ยังคงอยู่ ไม่ได้พังทลายลงมาอย่างที่น่าจะเป็น นักท่องเที่ยวได้รับอนุญาตให้เดินเลาะตามบันไดอิฐด้านข้างเจดีย์ขึ้นไปชมด้านบนได้ ส่วนฉันนั้นต้องขอตัวไม่ขึ้นดีกว่า เพราะแค่มองจากข้างล่างก็หวาดเสียวเกินพอ ฉันจึงแยกตัวไปไหว้พระที่ด้านในเจดีย์ซึ่งอยู่ข้างล่าง เบิร์ตขึ้นไปดูด้านบนเจดีย์อยู่พักใหญ่ แล้วกลับลงมาด้วยความทึ่ง

"วิวสวยมากกก"
"เหรอ"
"แต่มันเป็นรอยแยกน่ะ แบบที่เห็นจากด้านล่างเนี่ย เวลาเดินบนนั้นน่ะ ถ้าไม่ระวังอาจจะมีสิทธิ์ร่วงลงรูไปได้ อันตรายเหมือนกันนะ"
"เออ ดีแล้วที่ชั้นไม่ขึ้นไป" ตอนนั้นกล้องแบตเตอรี่หมดซะแล้ว เลยอดถ่ายรูปมาให้ดูเลย น่าเสียดาย

เดินสำรวจรอบ ๆ องค์เจดีย์ ส่วนที่เป็นมุมนิยมสุด ๆ คงไม่พ้นประตูด้านหลังที่มีรอยแยกขนาดมหึมาผ่ากลางประตูพอดิบพอดี น่าทึ่งมากที่เจดีย์ไม่พังลงมาเป็นเศษอิฐ แต่มีพวกมือบอน เอาสีสเปรย์ไปพ่นบนกำแพงด้านในเป็นโลโก้ของวงดนตรีอังกฤษบ้าง อเมริกันบ้าง แถมด้วยสัญลักษณ์วู้ดสต็อก เวลามองเข้าไปก็เห็นเลย ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ เศร้าใจแทนคนพม่า นี่เค้าไม่รู้หรือยังไงว่ามันมีค่าทางประวัติศาสตร์ขนาดไหน ทำไมทำแบบนั้น ? แล้วก็ต้องนึกย้อนมาถึงบ้านเรา ว่าแหล่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แบบนี้ บางทีเราเองอาจจะรู้ค่ากันน้อยเกินไปเหมือนกัน หากไม่อยากให้สถานที่เหล่านี้ต้องมาเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมือคนรุ่นหลังที่ไม่รู้ค่า น่าจะเริ่มกันตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่ใช่ให้อ่านแค่หนังสือว่ามันสร้างขึ้นปีไหน ศิลปะแบบอะไร ฯลฯ ใครมันจะไปอยากจำ เพราะมันไม่มีความรู้สึกร่วม ที่เด็กอาจไม่รู้เลยว่าคุณค่าที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เพราะความเก่าโบราณ หากแต่เป็นภูมิปัญญาบรรพบุรุษของชาติบ้านเมืองเรา มันเป็นรากฐานอารยธรรม วัฒนธรรม ประวัติความเป็นมาอย่างไรต้องพาไปดู ต้องเล่าให้ฟัง ให้ซึมซับกัน ไม่ใช่ให้มานั่งท่องปาวๆ ว่าสร้างปีไหน ใครสร้าง จำไปเพื่อเอาไปทำข้อสอบก็เท่านั้นไม่ได้ซาบซึ้งอะไรขึ้นมา


รูป : วิวจากบนเรือระหว่างทาง มัณฑะเลย์ – มิงกุน

เสร็จจากชมเจดีย์มิงกุน เราก็เดินเลาะมาตามถนนซึ่งบรรยากาศเหมือนหน้าวัดแถวๆอยุธยา มีร้านค้าขายของที่ระลึกเต็มสองข้างทาง ทั้งเสื้อยืดพิมพ์ลาย หุ่นกระบอก ภาพวาด เครื่องเขิน ฯลฯ ร้านอาหารนั้นมีบ้างประปราย เราจึงแวะทานอาหารกลางวันกันก่อนที่ร้านข้างทาง ใต้ชายคาที่ทำขึ้นมาแบบง่าย ๆ ข้างฝาเต็มไปด้วยโปสเตอร์ของสถานศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าบูชา รวมไปถึงรูปเกจิอาจารย์ต่าง ๆ สาวพม่าที่มารับออร์เดอร์นั้นหน้าตาน่ารักสดใสแก้มทาตะนะคาอย่างประณีต พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว อายุคงไม่เกินยี่สิบ ใส่เสื้อแขนกระบอกกับผ้านุ่งแบบเข้าชุดกันแบบที่นิยมใส่กันทั่วไป แต่อาจมีแฟชั่นบ้างคือลายผ้า ของเธอคนนี้เป็นผ้าสีเหลืองสดพิมพ์ลายฮัลโหลคิตตี้! โอ้ นี่มันคือการผสมผสานของวัฒนธรรมอย่างหนึ่งหรือเปล่านะ


รูป : คืออะไรไม่รู้เหมือนเกาะ แถมมีคนปักหลักสร้างเพิงอยู่บนนั้นด้วยง่ะ

เดินถัดไปทางเหนือ อีกไม่ไกลก็จะถึงเจดีย์ "ชินพิวเม" (Hsinbyume) สังเกตุง่ายเพราะเป็นสีขาวโพลนด้วยแนวกำแพงปูนที่สร้างเป็นลักษณะระลอกคลื่นอยู่รอบองค์เจดีย์ สวยมากจริง ๆ เจดีย์นี้สร้างโดยหลานของพระเจ้าโบดอพญาเมื่อราวปี พ.ศ. 2359 ส่วนชื่อ "ชินพิวเม" นั้นมาจากชื่อมเหสีของพระองค์นั่นเอง แนวคิดได้มาจากเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาลและยังเป็นที่พำนักของเหล่าเทพอีกด้วย (เหมือนกับแนวคิดการสร้างปราสาทนครวัดของขอม) รอบๆเขาพระสุเมรุนี้ก็มีภูเขาล้อมรอบอีก 7 เทือก ซึ่งก็คือระลอกคลื่นที่เราเห็นอยู่รอบๆองค์เจดีย์ เดินขึ้นไปตามทางเดินแคบๆและชัน ก็จะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอยู่ด้านบนสุดขององค์เจดีย์


รูป : ป้ายบอกทางบนมิงกุน เมื่อก่อนคนจะชอบเดินย้อนศร เพราะบูธเก็บตังค์มันอยู่ตามศร ถ้าเดินย้อนก็ไม่ต้องเสียตังค์ คนพม่าไม่โง่ ตอนนี้เลยให้จ่ายให้เรียบร้อยก่อนตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเรือนู่นเลย

ระหว่างกำลังเดินขึ้น ก็จะมีเด็กเริ่มมาขายธูปเทียนแล้ว มารุมหลายคนมาก
"เท่าไหร่จ๊ะ" ฉันถามเด็กผู้ชายก่อน
"300 จ๊าต"
"โห่ แพง!" (แกล้งเดินหนี)
"อ่ะ ร้อยเดียวๆ" ราคาลดฮวบฮาบ..

แล้วถ้าซื้อของใครคนใดคนหนึ่งแล้วไม่ซื้ออีกคนนี่มีเคืองนะ เผลอๆไปต่อยกันเองอีก ฉันเลยซื้อแค่ชุดเดียวแล้วรีบลี้ไปห่าง ๆ ดีกว่า

"ไม่เอาอีกชุดหรอ" เด็กหญิงวัยไม่น่าจะเกิน 7 ขวบถามด้วยภาษาอังกฤษง่ายๆ ท่าทางแก่นไม่เบา
"มีแล้วนี่ นี่ไง" ฉันชี้ให้เธอดูธูปเทียนที่อยู่ในมือ
"ก็ไหว้ 2 ครั้งก็ได้นี่! ฮิๆ" อืม เด็กมันก็พูดมีเหตุผล

เดินถัดมาจากเจดีย์ ไม่ไกลนัก มีระฆังใหญ่โต ขนาดคนเข้าไปยืนเล่นข้างในได้เป็นสิบ พม่านี่เห็นท่าจะชอบทำระฆังยักษ์กันเหลือเกิน ทำกันแต่ละระฆังก็หลายสิบตัน


รูป : อีกมุมของมิงกุนพญา เสียดายไม่มีคนเดินผ่าน จะได้เห็นขนาด แต่เชื่อเหอะ ใหญ่จริงๆ แม่เจ้า..

ไหว้พระแล้วก็เดินเวียนรอบมิงกุนซักรอบนึง แล้วมาจบที่ร้านขายเครื่องดื่มริมแม่น้ำ เครื่องดื่มที่นี่ ยี่ห้อที่เห็นบ่อยที่สุดและมาร์เก็ตติ้งดีที่สุดคงต้องยกให้ยี่ห้อ Ve ve (รู้สึกว่าเค้าออกเสียงว่า เวเว) ไปไหนก็เจอ ทั้งน้ำมะขาม น้ำส้ม น้ำนู่น น้ำนี่ แถมยังขายขนมขบเคี้ยวภายใต้แบรนด์เดียวกันอีก คนพม่านิยมทานขนมกินเล่น และของจุบจิบกันมาก เม็ดก๋วยจี๋นี่อยู่ท็อปไฟว์เลย แพคเกจจัดจ้านสุดๆ การแข่งขันสูงมาก เม็ดก๋วยจี๊เนี่ย

สิ่งหนึ่งที่จะเหมือนเมืองไทยเข้าไปทุกวัน คือ "คาราโอเกะ" ไปไหนก็ต้องมีร้านคาราโอเกะ ทำนองนั้นโดยมากเป็นเพลงสากล แต่เนื้อร้องเป็นภาษาพม่า แม้แต่ที่มิงกุนก็ไม่เว้น มีร้านขี้เมาเปิดอยู่ริมฝั่งเหมือนกัน วัยรุ่นเข้าไปแหกปากร้องคาราโอเกะกันสนั่น แถมเอาลำโพงออกมาตั้งนอกร้านซะด้วยนะ ดูเอาแล้วกัน ว่ามั่นใจขนาดไหน

ชเวอินบิน ความอลังการในมุมเล็กๆของเมือง

เรือมารับตอนบ่ายสองโมง ทุกคนก็ทยอยลงเรือกัน ยังมีแม่ค้าตามลงมาขายร่มถึงในเรือ ที่มิงกุนนี่ต้องทำใจนิดนึงว่าเป็นที่ท่องเที่ยวสำหรับทัวร์ริสต์ที่มากับทัวร์ด้วย ก็เลยเป็นซะยังงั้น คนจะคอยเดินตามขายของตั้งแต่เราเหยียบมิงกุนยันเมื่อเราลงเรือกลับ ส่วนสาวพม่าที่ลงมาขายร่มนั้น แม้เธอจะขายไม่ได้เลย เธอก็โบกมือบ๊ายบายให้นักท่องเที่ยวหญิงวัยกลางคนชาวอิตาลี พร้อมพูดว่า "ciao" (สวัสดี หรือ ลาก่อนก็ได้) ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นจากคนขายของที่ระลึกธรรมดา ๆ คนหนึ่ง


รูป : วิถีชีวิตชาวพม่าริมฝั่งแม่น้ำ

ถึงฝั่งมัณฑะเลก็เกือบๆจะ 3 โมงเย็น ยังมีเวลาอีกเยอะ ไม่รู้จะทำอะไรดีเลยเปิดไกด์บุ๊คดูกัน ก็ตกลงว่าไปดูสำนักสงฆ์ "ชเวอินบิน" กันหน่อยดีกว่า เพราะ
1. เค้าว่าสวยนัก
2.ไม่เก็บค่าเข้าชม! (โอ้ ไม่ ไม่น่าเชื่อ ..อะไรๆที่นี่เป็นเงินเป็นทองไปซะหมด นี่มันมัณฑะเลย์นะ ไม่เสียตังค์เข้าชม! ไม่อยากจะเชื่อเลย!)

จัดการเรียกสามล้อถีบได้ก็ตรงดิ่งไปชเวอินบินเลย สามล้อพาเราลัดเลาะไปตามถนน ตัดเข้าสู่ถนนเล็กๆที่ร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้ มีบ้านชาวบ้านอยู่เรียงรายตลอดทาง บ้างก็เปิดร้านขายของเล็ก ๆ บ้างก็รับซ่อมจักรยาน บ้างก็รับจ้างเย็บเสื้อผ้า มาถึงชเวอินบิน ดูด้านนอกกำแพงก็ดูเก๊าเก่า จะมีอะไรเหรอเนี่ย

แต่พอเข้าไปถึงแล้วก็ต้องตะลึงอีกแล้ว สวยจริงๆ สวยมากๆ เป็นอาคารไม้สลักเสลาอย่างประณีตและอลังการแต่ดูสงบเย็นอยู่ในที สีน้ำตาลแดงของเนื้อไม้นั้นก็ให้ความรู้สึกทั้งขลังทั้งอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แบบนี้ต้องขอดูด้านในหน่อยแล้ว เดินก็ต้องค่อยๆย่อง เพราะไม้มันดังออดแอด รู้สึกเหมือนกำลังมาย่องเบายังไงก็ไม่รู้


รูป : สำนักสงฆ์ ชเวอินบิน

เดินอ้อมไปทางด้านหลัง แม้แต่หน้าต่างก็เป็นแบบโบราณ เป็นบานยาว เปิดขึ้นมาแล้วเอาไม้ค้ำไว้ อากาศถ่ายเทดีมาก ด้านในที่เป็นห้องโล่งสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปนั้นจึงเย็นสบายโดยไม่ต้องอาศัยพัดลมหรือแอร์ กำลังเดินชมอยู่เพลินก็หันไปจ๊ะเอ๋กับพระรูปพอดี ท่านนั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านใน คงมองออกมาเห็นฉันเดิมด้อม ๆ มอง ๆ ดูไม่น่าไว้ใจ เรียกมันมาคุยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า ท่านกวักมือเรียก ฉันเลยเข้าไปกราบนมัสการท่านเสียหน่อย
"โยมมาจากไหนหรือ?"
"ประเทศไทยค่ะ"
"อืม ๆ มาเที่ยวเหรอ" พระท่าน หน้าฉาบด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาที่คุย
"ค่ะ ว่าแต่หลวงพี่อ่านอะไรอยู่คะ?" ฉันอยากรู้อยากเห็นไปตามเรื่อง เพราะเห็นท่านถือหนังสือเล่มโตอยู่ในมือ
"อ๋อ ภาษาบาลีน่ะ" ท่านพลิกหนังสือให้ดู โห อ่านไม่ออกซิเรา
"แล้วท่านบวชมานานหรือยังคะ"
"ก็ 10 ปีเห็นจะได้นะโยม"
"นานจัง"
"ก็นานอยู่นะ นี่ไงรูปครอบครัวของอาตมา นะ โยมพ่อโยมแม่และโยมพี่โยมน้องๆ" ท่านหยิบรูปถ่ายใบเล็กที่เก็บไว้อย่างดีออกมาจากหนังสือ เป็นภาพครอบครัวถ่ายร่วมกัน มีท่านยืนอยู่ตรงกลางห่มจีวรหน้าตาสดใสทีเดียว ครอบครัวก็ดูปลื้มมาก

คนพม่านี่ส่วนมากจะบวชกันแต่อายุน้อย ๆ บางคนก็บวชไม่สึกกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะในเขตเมืองมัณฑะเลย์ อมรปุระ นี่มีพระสงฆ์จำนวนรูปเรียกว่านับไม่ถ้วน เป็นแบบนี้มานานตั้งแต่โบราณแล้ว เคยอ่านผ่าน ๆ จากหนังสือของท่าน ส.พลายน้อย ว่ากันว่ามีอยู่ยุคหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินกังวลมากว่ามีพระสงฆ์มากเหลือเกิน เกรงว่าจะไม่มีกำลังทหารเพียงพอเพราะชายหนุ่มเป็นพระกันซะกว่าครึ่งค่อนเมือง ไอ้ครั้นจะบอกให้สึกกันตรง ๆ ก็เห็นทีจะไม่งาม เลยออกกฎให้สาวๆเปลี่ยนผ้านุ่งซะใหม่ ให้มันชะเวิบชะวาบขึ้นซักหน่อยก็แล้วกัน เป็นแบบผ่าหน้า เวลายืนธรรมดาก็ไม่เห็นอะไร แต่เวลาเดินนี่ซิ มันก็จะเห็นขาขาวๆแวบๆอยู่ตลอด เค้าเรียกว่านุ่งแบบ "ผ้าแวบ" แล้วก็ได้ผลซะด้วยนะ ปีนั้นพระสึกออกมากันเพียบเลย อุบายช่างลึกล้ำแท้ๆ ไม่รู้คิดได้ยังไง

กลับมาที่ชเวอินบินกันต่อ ระหว่างที่กำลังนั่งดูนั่นดูนี่เพลินๆอยู่ด้านใน ก็ได้กลิ่นเหมือนขี้ค้างคาว หลวงพี่ท่านก็เลยบอกว่า ก็ค้างคาวนั่นแหละ มันอยู่ของมันมานานแล้ว ก็ปล่อยให้มันอยู่ไป ไม่เป็นไรหรอก อาคารนี่ก็อายุไม่เท่าไหร่ แค่ 104 ปีเอง (หนึ่งร้อยสี่ปี!) หลวงพี่อีกรูปก็พาเราดูรอบ ๆ ที่มีรูปแกะสลักไม้ภาพพุทธประวัติ สวยไม่แพ้ด้านนอกเลย พาชมไปก็เล่าให้ฟังไป บางอันหลวงพี่ติดขัดขึ้นมา ก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า

"ขอโทษทีนะโยม อันนี้อาตมานึกเป็นภาษาอังกฤษไม่ออก แฮะๆๆ"


รูป : หลวงพี่ใจดี ที่ชเวอินบิน

เลยต้องออกมาดูข้างนอกอาคารอีกทีด้วยความซาบซึ้ง โอ้ ทำลงไปได้อย่างไรนี่ กำลังเพลินๆอยู่ก็มีหลวงพี่อีกรูปท่านเดินผ่านมาพอดี กำลังจะกลับสำนักสงฆ์อีกแห่งหนึ่ง ท่านเลยหยุดคุยด้วย ท่านบอกว่ามาเรียนภาษาอังกฤษกับพระที่นี่ แต่ยังไม่ค่อยเก่ง บวชมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ตอนนี้ก็ 25 แล้วก็ยังเป็นพระอยู่ คงจะไม่สึกแล้วล่ะ ว่าง ๆ โยมไปเที่ยวชมที่วัดอาตมาบ้างซิ ว่าแล้วก็เขียนที่อยู่ของวัดให้เป็นภาษาอังกฤษ ในหน้ามียิ้มน้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา

เที่ยวตลาดกลางคืน..แผงปริศนา

จากชเวอินบินสามล้อก็มาส่งที่ใกล้ๆ โรงแรม จ่ายเงินเรียบร้อบก็เดินโต๋เต๋ไปเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมายอะไร ดูเมืองอย่างเดียวเลย มัณฑะเลนี่เดินง่าย เพราะเป็นบล็อคๆหมดเหมือนกันอีกแล้ว เป็นสี่เหลี่ยม หลงยาก แต่ งง ง่าย ผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่พอสมควร ต้องเข้าไปตุนขนมซักหน่อย สินค้าที่ขายส่วนมากถ้าไม่ได้นำเข้ามาจากสิงค์โปร์ ก็ จีน ไม่ก็ ไทย

ค่ำแล้วเลยตัดสินใจไปเดินดูตลาดกลางคืนซักหน่อย ตอนกลางวันเป็นถนนธรรมดานี่แหละ ตอนกลางคืนเค้าปิดถนนขายของกัน แต่ก็ไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ ส่วนมากก็เป็นเสื้อผ้า ของจิปาถะ ต่างๆ
โดยรวมๆ ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก แต่ก็มีสีสันแปลกตาสำหรับคนมาเยือน รถวิ่งรับส่งสินค้ายังวิ่งวุ่นวาย คนก็ตะโกนโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์

ที่น่าสนใจคือแผงไม้เล็ก ๆ จุดเทียนวอมๆแวมๆ ตั้งห่างออกไปเล็กน้อย แล้วเรียงกันเป็นแนวยาวพอสมควร ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกแล้ว เลยเดิน ๆเข้าไปเลียบเคียงดูหน่อยซิ พอเข้าไปแล้วถึงได้อึ้ง
"โห มีไอ้นี่ขายด้วย ฮ่าฮ่า" เบิร์ตสนุกสนานขึ้นมาทันที ที่เจอไวเบรเตอร์ หรือดิลโด้รุ่นพระเจ้าเหาอยู่ในกล่องรุ่นปู่พระเจ้าเหาอีกที
"แผงโป๊รึนี่..ธ้อ นึกว่าอะไร"
"โอ้ ก้อด มีภาพโป๊ด้วย หู สงสัยตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือเปล่าเนี่ย โอ้ โน่ว ดูอันนี้ซิ สุดยอด ของหายาก" ที่ว่าโป๊นี่ก็ไม่ใช่ว่าโป๊หมดนะ เทียบกับดาราไทยถ่ายแบบลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์วันอาทิตย์บ้านเราแล้ว รูปพวกนั้นถือว่า"งั้นๆแหละ" ฉันพยายามดึงอีตาเบิร์ตออกจากตรงนั้น หมอนี่ก็ไปยืนหยิบกล่องนู้นกล่องนี้แล้วก็ขำอยู่คนเดียวอยู่ได้..

ขณะเบิร์ตยังฮือฮากับแผงมหัศจรรย์ไม่เลิก ฉันเลยเลี่ยงไปดูแผงขายผ้าแทน เจอผืนนึงดูเรียบๆดี สีฟ้าสวย ซื้อไปเป็นของฝากน่าจะดี
"เท่าไหร่คะ"
"3000 จ๊าต" คนขายยิ้มหวาน ไอ้เราก็ไม่เคยซื้อด้วย ผ้าเนี่ย เลยต่อไปงั้น ๆ
"2000 อ่ะ"
"โอเคเลย"

อ้าว เฮ้ย!!! เดี๋ยวๆๆ ไม่เอาๆ อย่าให้ซิ โธ้ แบบนี้ก็เซ็งเลย เพราะแสดงว่ามันถูกกว่านี้แน่ ๆ ไม่น่าปากไวเล้ยยยย ก็เลยขอต่อรองว่าจ่ายเป็นดอลล่าร์ละกัน 2 ดอลล์ ได้ป่ะ เค้าก็ปรึกษากันอยู่ซักพักก็โอเค เลยจ่ายเป็นดอลล่าร์ไป 2 ดอลล่าร์ ก็ยังดีวะ ถูกกว่าจ่ายเป็นจ๊าตนิดนึง ทีหลังอย่าปากไว จำไว้ ..




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 28 กรกฎาคม 2549 14:54:56 น.
Counter : 2278 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.