ชีวิตคนไทยธรรมดาในเบลเยี่ยม
Group Blog
 
All blogs
 

คำถามยอดนิยมเกี่ยวกับพม่า



ดูรูปทั้งหมดได้ที่นี่ค่ะ


ตั๋วเครื่องบินราคาเท่าไหร่ วีซ่าทำยังไง กี่วันได้

ตั๋วเครื่องบินนี้บอกไม่ได้ค่ะ เพราะแล้วแต่สายการบิน ถ้าได้ตั๋วโปรโมชั่นถูก ๆ ก็แค่ 4 พันกว่าบาท (แต่มีไม่บ่อยนักหรอกนะคะ) ส่วนตั๋วไป-กลับ ราคาปรกติทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 7 พันกว่าบาทขึ้นไปค่ะ แล้วแต่สายการบินด้วย ติดต่อซื้อตั๋วเครื่องบิน ก็ลองถามดูตามเอเยนซีทัวร์หลาย ๆ ที่นะคะ ส่วนวีซ่านักท่องเที่ยว ค่าธรรมเนียม 900 บาท ใช้เวลาในการขอประมาณ 3-4 วัน จะไปขอเองก็ได้หรือฝากให้เอเย่นต์ที่เค้ารับทำไปทำให้ก็ได้ค่ะ (ลองดูแถว ๆ ถนนข้าวสาร หรือตามแหล่งที่มีนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ มีให้เลือกมากมายนับไม่ถ้วนเลยค่ะ) ระยะเวลาก็พอ ๆ กันค่ะ คือ 3-4 วัน ก็ได้แล้วค่ะ

ที่สำคัญตอนนี้แอร์เอเชียบินสู่ย่างกุ้งแล้วในราคาประหยัด ลองไปดูได้ที่เว็บของแอร์เอเชียค่ะ

อยากเดินทางจากไทยไปพม่าโดยทางบก ไม่ไปทางเครื่องบินได้มั้ย?

บอกได้เลยค่ะ ว่าไม่ได้แน่นอน เพราะชายแดนคงยังไม่ค่อยจะปลอดภัยพอที่จะให้นักท่องเที่ยวข้ามผ่านไปเที่ยวในพม่าได้อย่างอิสระ ถ้าคุณไปถึงชายแดนไทย-พม่า ไม่ว่าจะทาง แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก หรือ แม่สอด-เมียวดีแล้วอยากจะข้ามไปเที่ยวฝั่งพม่า ก็สามารถทำได้ค่ะ แต่เค้าจะไม่ให้คุณออกไปเกินกว่านั้น แล้วข้ามไปฝั่งพม่าแล้ว ต้องข้ามกลับมาฝั่งไทยก่อน 4 โมงเย็นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าจะไปเที่ยวย่างกุ้งและที่อื่น ๆ ต้องไปทางเครื่องบินเท่านั้นค่ะ หรือบางคนถามว่าจะไปพม่าทางเครื่องบิน แ้ล้วข้ามกลับ หรือข้ามไปประเทศข้างเคียงโดยทางบกได้ไหม ก็ไม่ได้เหมือนกันค่ะ แต่ในอนาคตคิดว่าทางพม่าจะเปิดให้นักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์สามารถข้ามไปมาทางบกได้ แต่ยังไม่รู้เมื่อไหร่นะคะ

ไปเองได้มั้ย จำเป็นต้องไปกับทัวร์หรือเปล่า

ไปเองได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องไปกับทัวร์ แต่ต้องจัดตารางเวลาให้ดีแล้วเผื่อเวลาไว้บ้าง เพราะการคมนาคมที่พม่าอาจจะติดขัดแบบไม่คาดคิด แต่เท่าที่ไปมาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรค่ะ แต่อยากแนะนำสำหรับคนที่มีเวลาน้อย ๆ ว่าการไปกับทัวร์ อาจจะสะดวกมากกว่าที่เราจัดการเอง เพราะการเดินทางจะสะดวกขึ้นมาก ประหยัดเวลาได้เยอะค่ะ แต่ถ้ามีเวลาซัก 5-7 วันขึ้นไป ไปเองจะมันส์มากค่ะ

ผู้หญิงคนเดียว หรือกลุ่มผู้หญิงล้วนไปเที่ยวกันเองได้มั้ย

ไปได้ค่ะ ไม่มีปัญหา แต่ไม่ว่าจะไปเที่ยวประเทศไหน หรือแม้แต่อยู่บ้านเราเอง เป็นผู้หญิงก็ต้องระวังตัวเองอยู่แล้ว ไม่ควรประมาท ตลอดเวลาที่เที่ยวอยู่ในพม่า รู้สึกปลอดภัยดีค่ะ ถึงแม้ว่าจะเดินเที่ยวในเมืองคนเดียวก็ไม่รู้สึกอันตรายอะไร อันนี้บอกได้เลยค่ะว่าไม่ต้องห่วง ไปได้สบายมากค่ะ แต่แต่งตัวให้รัดกุมหน่อยนะคะ ไม่งั้นคนเค้าจะดูถูกเอาได้ค่ะ ควรงดการใส่เสื้อกล้าม สายเดี่ยว กระโปรงหรือกางเกงที่สั้นมากเกินไป จะแต่งตัวปรกติแบบเสื้อยืดกางเกงยีนส์ก็ได้ค่ะ หรือถ้าอยากกลมกลืนสุด ๆ ก็พกผ้าถุงไปด้วยค่ะ ใส่กะรองเท้าอีหนีบ รับรองไม่รู้ใครเป็นใครหรอกค่ะ อิอิ ส่วนคนที่จะไปเที่ยวคนเดียวก็ไปได้ค่ะ แต่ไม่ว่าเที่ยวไหน ๆ ตัวคนเดียวก็ต้องระวังตัวมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะไม่มีคนมาคอยช่วยเรา เราต้องดูแลตัวเองค่ะ

พม่าปลอดภัยแค่ไหน

ไม่กล้ารับปากว่าปลอดภัย 100 % เพราะไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ทั้งนั้น ยังไงก็ควรเที่ยวด้วยความไม่ประมาท แต่ก็อย่าไปถึงขนาดเกร็งจนเที่ยวไม่สนุก แต่ถ้าถามบรรยากาศรวม ๆ ของพม่า เรารู้สึกปลอดภัยตลอดการเดินทางค่ะ ที่อาจจะไม่ปลอดภัยคงไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวกับทหาร หรือ การเมืองหรืออะไร แต่น่าจะเป็นเรื่องทรัพย์สินที่เราเผลอเรอหรือประมาทมากกว่า เช่นการเก็บกระเป๋าสตางต์ไว้ในที่ที่สังเกตุเห็นได้ง่ายเกินไป มีสิทธิ์ถูกล้วงได้ แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็เกิดขึ้นทุกที่ละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรา พม่า ยุโรป อเมริกา แอฟริกา ฯลฯ ถ้าเราไม่ประมาทอยู่แล้วก็ไม่มีอะไรน่าห่วงค่ะ ส่วนเรื่องเหตุการณ์ระเบิดที่เคยเกิดขึ้นในห้างสรรสินค้าที่ย่างกุ้ง อันนี้คงเป็นเหตุสุดวิสัยค่ะ .. เราว่าข่าวรถเมล์ทับคนตายรายวันที่กรุงเทพฯยังใกล้ตัวและน่ากลัวกว่าเป็นไหน ๆ สรุปว่าโดยรวมๆแล้ว พม่าถือว่าเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เรารู้สึกปลอดภัยดีค่ะ ไปเที่ยวได้เลย ไม่มีอะไรน่าวิตก

คนพม่าน่ากลัวมั้ย เค้าไม่ชอบคนไทยหรือเปล่า

ไม่เลยค่ะ คนพม่าส่วนใหญ่ที่เราได้พบเจอและพูดคุยนั้นน่ารักมากค่ะ คนพม่าหลาย ๆ คนพูดไทยได้ บางคนก็เคยมาทำงานที่เชียงใหม่ หรือมาทำงานเป็นลูกเรือประมงอยู่ทางใต้ ที่เราคุย ๆ มาหลายคนไม่มีใครเกลียดคนไทย มีแต่จะชอบคุยกับคนไทยค่ะ ส่วนมากเค้าก็จะชอบถามเรื่องกีฬา ถามเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ที่เมืองไทย แล้วเค้าจะชอบถามว่า “ทำไมคนไทยไม่ชอบคนพม่า” เค้าทำอะไรไม่ดีเหรอ โกรธเรื่องอะไร เราก็ไม่รู้จะตอบว่าไงอ่ะค่ะ จะบอกว่าเพราะคนไทยแค้นที่คนพม่ามาเผากรุงศรีฯเมื่อสมัยโบราณก็อายเค้า ขืนบอกไปแบบนี้เค้าจะคิดว่าคนไทยประหลาดนะ หลายร้อยปีมาแล้วยังไม่ลืมอีก ยอมรับว่าก่อนไปเราก็หวั่น ๆ เหมือนกัน แต่พอไปถึงก็สบายใจตั้งแต่สนามบินแล้วค่ะ คนพม่าส่วนใหญ่สุภาพและอัธยาศัยดีมาก ๆ

ที่พัก ห้องน้ำห้องท่า อาหารการกินโอเคมั้ย

โอเคค่ะ ก็เหมือนเมืองไทยแหละค่ะ ยกเว้นส้วมที่อยู่นอก ๆ เมืองไปหน่อย (เวลาที่รถทัวร์จอดแวะให้เราลงไปใช้อะไรแบบนี้น่ะนะ) ก็จะเป็นส้วมที่ออกจะโลโซอยู่บ้างค่ะ แต่ไม่ถึงขนาดเนปาล ที่เจอเป็นส้วมหลุม! ถือว่าที่พม่านี่ยังดีนะเนี่ย ส่วนเรื่องอาหารการกินก็โอเคค่ะ แต่ตามประสาคนไทย ไปกินอะไรก็บ่นไปเรื่อยว่าสู้อาหารไทยไม่ได้ แต่อาหารพม่าไม่ค่อยเผ็ดนะคะ ออกไปทางเค็มกะมัน ไม่ก็จืดแล้วก็หวานไปเลย หนักไปทางเครื่องเทศแบบอินเดีย แล้วก็พวกกะปิค่ะ ใครติดกินเผ็ดพกพริกป่นไปด้วยก็ไม่เลว แต่น้ำปลานี่ไม่แนะนำเดี๋ยวขวดแตกละก็แย่เลย

นอกจากวัดและเจดีย์แล้วมีอะไรอย่างอื่นเที่ยวมั้ย

ถ้ามาเที่ยวพม่าต้องบอกไว้ก่อนเลยค่ะ ว่าวันนึงต้องได้ไปสักการะเจดีย์หรือไม่ก็ไปเที่ยววัด แต่อย่างอื่นก็มีให้ดูค่ะ อย่างวิถีชีวิตคนที่นี่ เราว่าน่ารักดีนะคะ อย่างการที่ได้เห็นหนุ่ม ๆ พม่าเดินถือปิ่นโตไปทำงานกัน หรือสาว ๆ ทาแก้มด้วยทะนะคา นั่งจิบชาร้านริมถนน เดินเที่ยวตลาดดูของแปลกตา หรือจะไปดูหนังพม่ายุคใหม่ ดูบ้านเรือนของเค้า ดูสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลโบราณสวย ๆ ที่ได้มาจากอังกฤษ พักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ สูดอากาศบริสุทธิ์ ชมพระราชวังสุดอลังการที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ซึ่งบางแห่งก็สามารถเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ไทยได้ ชมการแสดงหุ่นกระบอกฯลฯ ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดแน่ค่ะ

แพงมั้ยเที่ยวพม่า

ไม่แพงค่ะ พอ ๆ กัน หรือถูกกว่าเมืองไทยนิดหน่อยค่ะ

สาวพม่าสวยมั้ย(ครับ)

อันนี้ต้องไปพิสูจน์เองนะคะ อิอิ




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 11 กันยายน 2549 13:03:50 น.
Counter : 1866 Pageviews.  

ค่าใช้จ่ายในการแบกเป้เที่ยวพม่าด้วยตัวเอง

ค่าใช้จ่าย

เมียนมาร์นั้นเป็นอีกประเทศหนึ่งซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวค่อนข้างจะถูก ถ้าไม่นับค่าเข้าชมสถานที่ซึ่งเรียกเก็บเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเงินส่วนนี้จะถูกส่งไปสนับสนุนกิจการของรัฐบาล นักท่องเที่ยวแบบแบกเป้ส่วนมากถ้าเลี่ยงหรือขี้โกงโดยวิธีใดๆก็ตามที่ทำให้ไม่ต้องจ่ายได้เค้าก็ก็เลี่ยงกันนะ เพราะเค้าว่าไม่อยากให้เงินเราไปสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการ แทนที่การท่องเที่ยวของเราจะไปช่วยประชาชน กลับไปช่วย รัฐบาล ทำให้ประชาชนประเทศนี้ได้ประชาธิปไตยช้าเข้าไปอีก เรื่องนี้ใครจะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่วิจารณญาณแต่ละคนก็แล้วกันนะ

ไปครั้งนี้เกือบสามสัปดาห์รวมค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว ใช้เงินไปทั้งหมดไม่เกิน 2 หมื่นบาทหน่อยๆ (แลกไปทั้งหมด 300 ดอลล่าร์เป็น pocket money) ค่าใช้จ่ายค่าที่พัก ก็พักตามเกสต์เฮาส์ ตกคืนละ $3 ขึ้นไปจนถึง $20 และค่าใช้จ่ายจิปาถะ ต่อวันตกแล้วไม่น่าเกิน $10-20 (ไม่รวมค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ที่จ่ายเป็นดอลล่าร์)

เงินจ๊าต (Kyat)

ปัจจุบัน”ไม่ต้อง”แลกเงิน FEC (Foreign Exchange Currency) อีกแล้ว พกเงินดอลล่าร์ไปแลกเงินจ๊าตได้เลย
ขณะที่ไป (มกราคม 2547) อัตราแลกเปลี่ยนเงิน 1 ดอลล่าร์แลกได้ประมาณ 800 จ๊าต
เวลาคิดเป็นเงินไทยก็ไม่ยาก เอา 5 คูณแล้วตัดศูนย์ออกสองตัว เช่น 500 จ๊าต 500X5 = 2500 ตัดศูนย์ออกไปสองตัวก็คือ 25 บาท หรือ 10,000 จ๊าต 10000X5=50000 ตัดศูนย์ออกไปสองตัว ก็คือ 500 บาท อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่น่ามากน้อยไปกว่านี้เท่าไหร่

แบ๊งค์เล็กที่สุดที่ยังใช้กันอยู่ไม่แน่ใจว่ายังใช้ 1 จ๊าตกันอยู่หรือเปล่า แต่คงซื้ออะไรไม่ได้หรอก นอกจากจะได้เป็นเงินทอนมาบ้าง เหมือนบ้านเรามีเหรียญสลึง ให้ขอทานยังโดนด่าไล่หลังเลยมั้งเนี่ย ธนบัตรมีตั้งแต่ 1, 10, 15, 20, 45, 50, 100, 200, 500 จ๊าต และแบ๊งค์ใหญ่ที่สุดคือใบละ 1000 จ๊าต หรือประมาณ 50 บาทไทย เ้มื่อก่อนพม่ามีเหรียญใช้เหมือนกัน แต่ปัจจุบันเห็นใช้กันแต่ธนบัตร

จะใช้เงินจ๊าตหรือดอลล่าร์ดี?

การใช้จ่ายที่พม่าจะใช้เป็นเงินจ๊าตเกือบทั้งหมด ยกเว้นค่าธรรมเนียมเข้าสถานที่เช่น เมืองพุกาม ชเวดากอง ฯลฯ จ่ายเป็นดอลล่าร์ (จะจ่ายเป็นจ๊าตก็ได้แต่แอบขาดทุน) ตามแผงขายของตามตลาดทั่วไปบางที่เราแกล้งๆถามว่ารับดอลล่าร์มั้ย เค้าก็รับนะ (พวกของที่เกิน 2 ดอลล่าร์ขึ้นไป) เพราะบางกรณี การจ่ายเป็นดอลล่าร์เราอาจจะได้กำไรนิดหน่อย เพราะมันปัดเศษลงได้ แบบนี้เป็นต้น อันนี้ไม่มีกฎตายตัว ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์กันเอาเองสนุกๆ คือเอาเป็นว่าเงินจ๊าตใช้ได้ทุกที่ ซื้อของ กินข้าว จ่ายค่ารถเมล์ รถบัส ฯลฯ แต่ถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยวละก็จ่ายเป็นดอลล่าร์บางทีถูกกว่า เช่น โรงแรม เกสต์เฮาส์ ฉันก็จ่ายเป็นดอลล่าร์ตลอด แม้แต่รถไฟที่ราคานักท่องเที่ยวจะแพงกว่าราคาที่คนพม่าจ่าย(มากอยู่) ก็จ่ายเป็นดอลล่าร์

การแลกเงิน

"อย่าแลกที่สนามบินเด็ดขาด"เพราะได้ต่ำมากกกก... ให้ประมาณดอลล่าร์ละ 300 จ๊าตเห็นจะได้ ให้เรียกแท็กซี่ไปเกสต์เฮาส์(ค่าแท็กซี่ไปย่านใจกลางเมือง เช่น ย่านเจดีย์สุเลพญา ค่ารถจ่ายเป็นดอลล่าร์ ประมาณ 3-4 ดอลล่าร์เป็นเรทปรกติ) พอได้ที่พักแล้วค่อยถามเรทจากที่เกสต์เฮาส์ดู จะได้สูงกว่าที่สนามบิน แต่ก็ยังไม่ดีมาก ที่ดีที่สุดคือพวกที่เดินหานักท่องเที่ยวตามถนนคอยเดินถามนักท่องเที่ยวว่า "Change Money?" (ก็ตลาดมืดนั่นแหละ) ได้เรทดีที่สุด บางครั้งได้สูงถึง 950 จ๊าตต่อดอลล่าร์ก็มี (ถ้าแบ๊งค์ใหญ่ 50 ดอลล่าร์ขึ้นไปนะ ถ้าแบ๊งค์ 20, 5, 2 หรือ 1 ดอลล่าร์ ก็จะได้เรทต่ำกว่าหน่อยประมาณ 750-850 จ๊าต ต่อ 1 ดอลล่าร์ แล้วแต่ดวง) เวลาแลกเงินก็ค่อย ๆ ทยอยแลก อาจจะทีละ 30-40 ดอลล่าร์ อย่าแลกทีเดียวเยอะ ๆ เพราะบางทีเจอเรทดีกว่าก็บ่อย

และเงินดอลล่าร์ก็ยังต้องใช้เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียม ค่าโรงแรม ค่าเข้าสถานที่ เป็นต้น เรื่องแลกเงินไม่ต้องห่วง เค้าจะเดินมาหาท่านเอง อาจจะต้องปฎิเสธจนเหนื่อยด้วยซ้ำ บางคนอาจจะมองว่าการแลกเงินในตลาดมืดแบบนี้ไม่น่าจะปลอดภัย จะแลกกับที่เคาน์เตอร์ของที่พักก็ได้เหมือนกัน แต่ไม่แนะนำให้แลกกับเคาน์เตอร์ของสนามบินหรือของรัฐบาล (1 ดอลล่าร์แลกได้ 300 จ๊าตที่สนามบิน กับ 1 ดอลล่าร์แลกได้ 700 จ๊าตที่โรงแรม คงเลือกไม่ยากว่าจะแลกที่ไหน) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ความสมัครใจและความสบายใจของแต่ละคน ตัดสินใจกันเอาเองนะจ๊ะ
ค่าใช้จ่ายทั่ว ๆ ไป

อาหารการกิน

ส่วนมากร้านอาหารที่ขายอาหารให้นักท่องเที่ยวราคาจะคิดเริ่มตั้งแต่ 700 จ๊าตขึ้นไปต่อ 1 จาน แต่โดยมากแล้วจะอยู่ราว ๆ 1500 จ๊าตขึ้นไปต่ออาหาร 1 จาน (แต่จานใหญ่มากนะ ประมาณถ้าเป็นหญิงไทยตัวเล็กๆ จานนึงอาจกินได้ถึง 3 คน) บางร้านอาจมีเมนูภาษาอังกฤษแต่ไม่เขียนราคา ให้ "ถามราคาก่อนทุกครั้งก่อนที่จะสั่งอาหาร แม้ว่าร้านนั้นจะดูเป็นร้านข้างทางเล็ก ๆ ไม่น่าจะแพงอะไร" เพราะเคยโดนมาแล้ว ไปนั่งกิน "โมฮิงก่า" หรือขนมจีนแบบพม่า จริงๆแล้วชามนึงไม่เกิน 200-300 จ๊าต แต่วันนั้นเห็นร้านเล็ก ๆ ไม่เน้นนักท่องเที่ยวอะไร เพราะคนพม่าก็ไปกินกันเยอะแยะ ก็สั่งไป 2 ชาม ออกมาโดนไป 1800 จ๊าต โมโหแทบบ้า แต่ก็ต้องจ่าย เพราะเราไม่ได้ถามก่อน ส่วนน้ำดื่มบรรจุขวดมีขายทุกที่ ขวดใหญ่แบบพลาสติกขุ่น ก็ขวดละ 150 จ๊าต น้ำอัดลม 100 จ๊าต(บางร้านอาจจะชาร์จถึง 200 จ๊าต)

แต่ถ้ากินข้างทางพวกอาหารที่คนพม่าเค้าเรียกว่า "นิ้วคลุก" (เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวคลุกกับน้ำคล้าย ๆ น้ำบูดู ออกสีเหลืองๆ) จานนึงก็ไม่กี่จ๊าตเอง(รู้สึกว่าจะประมาณ 200 จ๊าต) หรือ พวกโมฮิงก่า ได้น้ำแกงฟรีด้วยอีกต่างหาก

ตัวอย่างราคาอาหาร(ราคาต่อจาน)

- ผัดหมี่ใส่ไก่ 700 จ๊าต
- ซาโมซ่า(ขนมทอดกินเล่น) ชิ้นละ 100 จ๊าต
- ก๋วยเตี๋ยวน้ำ 400 จ๊าต (ร้านที่ขายคนท้องถิ่น ไม่ใช่ร้านเน้นนักท่องเที่ยว)
- ยากิโซบะ มังสวิรัติ 500 จ๊าต
- ส้ม 4 ลูก 200 จ๊าต
- น้ำอัดลม Star Cola (เป็นแบรนด์พม่า อร่อยดี!) 100-200 จ๊าต(แล้วแต่ร้านว่าบวกเพิ่มแค่ไหน)
- ข้าวโพดปิ้ง 2 ฝัก 100 จ๊าต
- น้ำอ้อยคั้น หวานชื่นใจ แก้วโต แก้วละ 100 จ๊าต
- ไก่ผัดเปรี้ยวหวานจานโต 1500 จ๊าต
- กาแฟ / ชาร้อน ตามร้านกาแฟข้างทาง แก้วละ 200 จ๊าต

สรุปถ้าทาน 2 คน 1 มื้อเตรียมไว้เลย 1500-3000 จ๊าตโดยประมาณไม่ค่อยจะเกินนี้

ค่ายานพาหนะ

สรุปมาพอเป็นไอเดียดังนี้

- นั่งรถเมล์เล่นในย่างกุ้ง ประมาณ 10-30 จ๊าต ขนาดนั่งออกไปโน้นนน ชานเมืองแล้วก็ยัง 30 จ๊าตอยู่เลยไม่รู้เค้าคิดยังไงเหมือนกันเพราะไม่เคยถามว่าเท่าไหร่ แค่ทำเป็นคนพม่าแล้วยื่นๆแบ๊งค์ร้อยให้ไปก็ได้ทอนมาประมาณนี้ทุกที (แต่ก่อนนั่งเล่นคงไม่ดีหรอก เพราะรถแน่นมาก แน่นกว่ามินิบัสตอน 6 โมงเย็นบ้านเรา 3 เท่าเพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้จำเป็นก็เดินเอาบ้างก็ได้ หรือไม่ก็นั่งสามล้อถีบ)

- รถบัสติดแอร์ ย่างกุ้ง - บะกัน (พุกาม) คนละ 6000 จ๊าต (แต่ขากลับจะถูกกว่า ไม่รู้ทำไม)
- รถมินิบัส ไม่มีแอร์ บะกัน - มัณฑะเล 3000 จ๊าต
- รถปิคอัพ(แท๊กซี่) จากท่ารถมัณฑะเล เข้าเมือง 1500 จ๊าต(แชร์กัน 2 คนก็ตกคนละ 750 จ๊าต พอรับได้)
- ค่าสามล้อถีบจากโรงแรมที่มัณฑะเลย์ไปท่าเรือ 400 จ๊าต (บางคนต่อได้ 250 จ๊าตหรือถูกกว่า แต่มันก็เหนื่อยอยู่นะ ปั่นสามล้อเนี่ย ไม่ใช่ว่าใกล้ๆ)
- เรือข้ามไปเที่ยวฝั่งมิงกุน(ลงเรือที่ฝั่งมัณฑะเลย์) 1500 จ๊าต (ไปเช้า-กลับบ่าย)
- สามล้อถีบ จากโรงแรม(มัณฑะเลย์) ไปวัดมหามุนี 300 จ๊าต
- รถสองแถวที่มัณฑะเลย์ไปสะพานอูเบ็งที่อมรปุระ คนละ 100 จ๊าต (วิ่งเร็วปานด่วนนรก)
- หมู่บ้านคิมปุน (เปรียบดัง Basecamp ก่อนขึ้นไจก์ถิโย หรือพระธาตุอินทร์แขวน) รถบรรทุกขึ้นไปถึงตีนเขาไจก์ถิโย คนละ 400 จ๊าต คนแน่นมาก! ถ้าลงมาไม่ทัน 6 โมงเย็นต้องเหมารถกลับคิมปุน ในราคาหนึ่ง 16,000 จ๊าต! โอ้ พระเจ้า (เพราะรถบรรทุกได้ 40 คนเราต้องเหมาจ่ายทั้งหมดถ้าอยากกลับ ไม่งั้นก็ต้องเดินกลับขึ้นไปไจก์ถิโยอีกครึ่ง ชม.)
- รถปิคอัพจากคิมปุนไปพะอัน (รัฐกะเหรี่ยง)จำไม่ได้แฮะ แต่ไม่ถึงพันจ๊าต นะ
- เรือเฟอร์รี่ (เก่าแต่เท่) จากพะอันไปเมาะละแหม่ง 2 ดอลล่าร์
- ค่ารถปิคอัพจากเมาะละแหม่งไปเที่ยววัดพระนอน (นั่งไปประมาณครึ่ง ชม.) คนละ200 จ๊าต
- เรือเฟอร์รี่ข้ามฟากจากฝั่งเมาะละแหม่ง ไป ฝั่งมะตะบัน(เมาะตะมะ) ต่างชาติต้องจ่ายคนละ 1 ดอลล่าร์ (คนพม่า 10 จ๊าต โอ้พระเจ้า อีกแล้ว)
- แต่ไม่ต้องไปนั่งมัน ไปลงเรือหางยาวแทน มันส์ถึงใจกว่าเป็นไหนๆ จอดอยู่ตรงโป๊ะข้างๆเฟอร์รี่ลำใหญ่นั่แหละ คนลงกันเยอะแยะ คนละ 100 จ๊าตเอง ถึงที่หมายเหมือนกัน เร็วกว่าด้วย
- ค่าตั๋วรถไฟ (ราคานักท่องเที่ยว)จากเมาะตะมะ ไป บาโก (หงสาวดี) ชั้นแบบโลโซ class ต่ำที่สุด คนละ 4 ดอลล่าร์ (มีแบบ upper class ด้วย ประมาณ 17 - 18 ดอลล่าร์ เบาะจะนิ่มกว่า เหมือนเบาะรถ ป.อ.รุ่นเก่าที่บ้านเรา) แต่เรามันโลว์คลาสน่ะ ก็ 4 ดอลล่าร์ก็พอ ก็ต้องไปนั่งไส้แตกเหมือนกันน่ะแหละ
- ค่ารถสามล้อถีบ เที่ยวบาโก เหมา 3 -4 ชั่วโมง 2000 จ๊าต
ฯลฯ
คงพอจะกะงบประมาณกันถูกแล้วเนอะ รู้สึกว่าตั๋วจากย่างกุ้งไปบะกัน นี่จะแพงที่สุดเท่าที่จ่ายค่าตั๋วรถบัสในพม่ามาเนี่ย นอกนั้นก็ราคาตามที่บอกไป โดยประมาณ

ค่าเข้าชมสถานที่

โดยประมาณแล้วจะอยู่ตั้งแต่ 2 - 10 ดอลล่าร์ แต่สารภาพว่าไม่ค่อย(ยอม)จ่าย โกงรัฐบาลพี่หม่องเค้าตลอด ก็แล้วแต่ใครจะเนียนแค่ไหน




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 20:45:27 น.
Counter : 31577 Pageviews.  

กลับบ้านละ ลาก่อนเมืองพม่า

วันเสาร์ที่ ๓ มกราคม ๒๔๔๗

เราแพ็คของกันเสร็จตั้งแต่เมื่อคืน เพราะวันนี้แต่เช้ามืด โดยพนักงานโรงแรมก็ดีมาก เพราะเค้าอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าให้ด้วยความงัวเงียเหมือนกัน ที่นี่เป็นโรงแรมที่บริหารกันแบบครอบครัว พนักงานก็มีช่วยกันอยู่ไม่กี่คน ไม่มีการแบ่งผลัดเวรกันแต่อย่างใด ก็เลยรู้สึกขอบคุณในบริการที่น่าประทับใจของเค้ามาก ๆ เพราะดูเค้าก็ง่วงและเหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็ยังอุตส่าห์ตื่นมาทำให้เป็นพิเศษ แถมยังเรียกรถแท็กซี่ไว้รอแล้วด้วย ตอนเราทานอาหารเช้ากันนั้นยังไม่ตี 5 เลย! เพราะไฟลท์ประมาณ 7 โมงครึ่ง ต้องรีบไปเช็คอินก่อนเวลาพอสมควรเราไม่ได้ทานอะไรมาก เพราะยังเช้าเกินที่ท้องจะรับ ก็เลยซดกาแฟให้หายง่วง ขนมปังคนละแผ่น แล้วก็เก็บของเตรียมตัวไปสนามบิน

เมื่อวานหญิงสาวชาวญี่ปุ่นเธอมาถามว่าเราบินไฟลท์เดียวกันหรีอเปล่า เพราะเธอก็จะไปกรุงเทพฯเช้านี้เหมือนกัน ปรากฎว่าไฟลท์เดียวกันเธอก็เลยขอแชร์แท็กซี่มาสนามบินด้วย เรารอเธอซักพักเธอก็ลงมาจากห้อง พร้อมกระเป๋าเป้ใบเล็กติ๊ดเดียว เธอมาเที่ยวคนเดียว ฉันถามว่ามีของแค่นี้จริง ๆ เหรอ เธอก็บอกว่าพอดีแวะมาเที่ยวแค่ 3 คืนเอง ก็เลยเอามาแค่นี้แหละ แหม travel light มาก เก่งจริง ๆ

เรามาถึงสนามบิน เช็คอินตามปรกติ แต่ที่สนามบินไม่มีอะไรให้ดูมากนัก ก็เลยนั่งรอกันจนหลับอีกรอบ จนมีคนมาปลุกว่าได้เวลาบอร์ดดิ้งแล้วค่า เครื่องบินก็พาเราบินลัดฟ้ากลับมาถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ โดยที่เรายังมีภารกิจที่ต้องทำเมื่อถึงเมืองไทยคือ ไปกินส้มตำ ยำปลาดุกฟู! อยากกินมาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว คราวนี้จะได้กินสมใจซะที

ไปพม่าคราวนี้ฉันได้อะไรกลับมามากกว่าที่คิด โดยเฉพาะตอนแรกที่ไม่คิดอยากจะไป เพราะคิดว่าไม่มีอะไรน่าดู นอกจากเจดีย์ ๆ ๆ วัด ๆ ๆ บ้านเราก็มี แต่ไปถึงแล้วผิดหมดทุกอย่าง พม่าเป็นประเทศนึงในแถบที่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปน้อยที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา หลายสิ่งหลายอย่างยังดำเนินไปอย่างเชื่องช้าอ้อยสร้อย หรือแม้แต่ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาที่ไม่มีทีท่าว่าจะเสื่อมถอยไปได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะประเทศจะปัญหาทางการเมืองขนาดไหน คนพม่าดูเหมือนจะพร้อมที่อยู่แล้วก็สู้กันต่อไปตามกำลังของแต่ละคนที่จะทำได้ หรือเต็มที่ก็หันหน้าเข้าวัด ทำลืม ๆ ปัญหาที่วุ่นวายสับสนไปชั่วคราว

ที่ฉันคิดว่าคุ้มค่าที่สุดในการไปเที่ยวพม่าคราวนี้ คือทัศนคติที่มีต่อคนพม่าที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ถึงแม้ก่อนไปก็ไม่ได้เกลียดชังอะไร แต่มีความรู้สึกหวั่น ๆ ใจอยู่เหมือนกัน ระแวงไปต่าง ๆ นานา ว่าคนพม่าจะไม่ชอบคนไทยหรือเปล่านะ จะปลอดภัยมั้ยนะ... แต่พอไปถึงแล้วก็รู้สึกอบอุ่น ปนกับรู้สึกผิดที่คนไทยส่วนมากถูกสอนมาโดยบทเรียนในชั้นเรียนว่าพม่าข้าศึกเผาบ้านเผาเมืองของเราในสมัยโบราณ โดยที่ไม่ได้เพิ่มเติมไปเลยว่าแต่สมัยนี้ไม่ใช่ยุคโบราณแล้ว ควรจะเลิกมองพม่าว่าเป็นศัตรูเราเสียที ถึงอย่างนั้นก็ตามก็ได้แต่พูดปาว ๆ กันไปว่าประเทศสองเรามีความสัมพันธ์อันดี ยังงั้นยังงี้ ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าจะให้เชื่อก็ยาก เพราะความสัมพันธ์ที่ว่า เป็นความสัมพันธ์ทางการเมือง จะมาจริงใจเท่าความสัมพันธ์และมิตรภาพที่เราได้เดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเอง มันเทียบกันไม่ได้เลย...ถ้าถามฉัน ฉันว่าแอ๊ปเปิ้ลที่สาวชาวพม่าหยิบยื่นให้ฉันบนรถสองแถว ดูมีค่าและความหมายมากกว่านายกฯสองประเทศจับมือกันออกทีวีเสียอีก

ลองเปิดใจให้กว้างแล้วลองไปสัมผัสด้วยตัวเองดู แล้วคุณจะอดไม่ได้ที่จะรักผู้คนและประเทศนี้ จนต้องหาทางกลับไปเยือนอีกจนได้นั่นแหละ




 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 20:40:43 น.
Counter : 645 Pageviews.  

ช็อปปิ้งส่งท้าย ที่ตลาดโบกโฉกอองซาน

วันศุกร์ที่ ๒ มกราคม ๒๔๔๗

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะได้เที่ยว เพราะพรุ่งนี้เราต้องออกจากโรงแรมไปสนามบินตั้งแต่เช้ามืด เราเริ่มวันใหม่กันด้วยอาหารเช้ามื้อใหญ่ (จริงๆ) ของโรงแรม Beauty Land 2 บริการดีมากจริง ๆ สำหรับคนที่เจอมาแต่ขนมปังปิ้งสองแผ่น ไข่หนึ่งฟอง กาแฟหนึ่งแก้วเป็นอาหารเช้ามาตลอดทริป มาเจออาหารเช้าที่นี่อาจจะน้ำตาไหลพรากด้วยความตื้นตันใจ คือนอกจากอาหารเช้าที่ได้เหมือนโรงแรมอื่น ๆ ที่เราเคยพักแล้ว ที่นี่ยังมี ขนมปังชุบไข่ น้ำส้มคั้น ผลไม้สด อย่าง มะละกอ ส้ม แตงโม ฯลฯ ใครไม่ชอบดื่มกาแฟก็เลือกเป็นชาก็ยังได้

ที่แรกสำหรับ city tour วันนี้คือร้านหนังสือ Bagan Bookshop ตอนเราไปถึงนั่นประมาณ 9 โมง คงยังเช้าเกินไป ร้านเลยยังไม่เปิด ก็เลยเดินลัดเลาะไปเที่ยวตลาด เทียนจีเส่ย (Thienkyi Zei) ไปพลาง ๆ ก่อน ตลาดนี้ไม่ค่อยมีอะไรหลากหลาย แต่ข้อดีคือถ้าใครคิดอยากจะซื้อโสร่งลงจีล่ะก็ ที่นี่ขายถูกกว่าที่อื่น คือผืนละ 1400-1700 จ๊าตเท่านั้นเอง ส่วนผ้าชิ้นสำหรับตัดชุดผู้หญิง ที่ตัดได้ทั้งชุด ก็อยู่ที่ราว ๆ 2800 จ๊าต ก็เลยได้อุดหนุนซื้อลงจีมาผืนนึง

เดินกลับที่ร้านหนังสือ Bagan Bookshop คราวนี้ร้านเปิดแล้ว เป็นร้านเล็กๆ ขนาดห้องเดียว แต่มีหนังสือเก่าหายากเยอะมาก หนังสือใหม่ก็มีเหมือนกัน ส่วนมากเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ เล่มที่หายากจริง ๆ ราคาแพงมากจนฉันไม่คิดจะแตะ แต่มีบางเล่มที่เค้าถ่ายเอกสารมาจากเล่มจริง แล้วเอามาเข้าเล่มเอง เป็นปกแข็งอย่างดี เหมือนวิทยานิพนธ์ ก็จะถูกหน่อย ตอนเราไปถึงมีฝรั่งนั่งเลือกหนังสืออยู่คนนึง เลือกไปก็บ่นไปว่ามาทุกเดือนเลยนะเนี่ย มาทีไรก็แพงขึ้นทุกทีเลย เจ้าของร้านก็ได้แต่หัวเราะแฮะๆๆ

จากหนังสือที่นี่แหละ ที่มีหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พม่าเยอะมาก รวมไปถึงหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ ศาสนา กลุ่มชน ความเชื่อของคนพม่าด้วย อย่าง The Mons, Burmese Proverbs, Golden Earth..ที่แปลกใจคือมีหนังสือไทยด้วยนะ คือเล่มที่ชื่อ "Our wars with Burmese" ฉบับกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แล้วก็มีหนังสือภาพท่องเที่ยวเมืองไทย

ฉันเดินเลือกดูก็ได้หนังสือใหม่มาหนึ่งเล่มชื่อ "Native Tourist" ที่เขียนโดยนักเขียนหญิงชื่อ Ma Thanegi เป็นเรื่องที่เธอเขียนระหว่างที่เดินทางท่องเที่ยวทำบุญในพม่า ฉันซื้อมาในราคา 4 ดอลล่าร์ ปกหนังสือไม่มีรูปอะไรเลย เป็นปกสีขาวล้วน มีชื่อหนังสือเป็นสีแดงและดำ เท่านั้นเอง อ่านแล้วน่าสนใจดี คือคนพม่า เวลาเค้าเดินสายทำบุญ เค้าไม่ได้คิดว่าทำบุญ ๆ ๆ อย่างเดียว แต่ถือว่าเป็นการท่องเที่ยวพักผ่อนไปในตัวด้วย สงสัยคงเป็นขบวนกฐิน ผ้าป่าบ้านเรามั้ง

เสร็จจากร้านหนังสือก็เดินเรื่อยเปื่อยมาตามถนน ดีอย่างที่ถนนที่นี่เดินแล้วไม่ร้อน เพราะมีต้นไม้ใหญ่ ๆ ตลอดทางเลย เหลือบไปเห็นวัยรุ่นคู่หนึ่ง เด็กสาวนุ่งกางเกงสี่ส่วนสีฟ้า ใส่รองเท้าโคตรโมเดิร์น ส่วนเด็กผู้ชายย้อมผมสีทองเหมือนหลุดออกมาจากแมกกาซีนญี่ปุ่น แต่ประทานโทษ ที่นี่ hip กว่า เพราะเด็กผู้ชายนั้นหิ้วปิ่นโตมาด้วย! น่ารักดีแฮะ ไปไหนก็เจอแต่คนหิ้วปิ่นโต บ้านเรานี่โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ แทบไม่เห็นแล้ว

เบิร์ตเห็นโปสเตอร์รูปเจดีย์ชเวดากองวางขายอยู่ เลยอยากจะซื้อไปติดบ้านบ้าง เลือกอยู่ซักพักก็หันมาถามความเห็นฉันว่าเป็นไง
"แพง" ฉันพูดเป็นภาษาไทย
"ม่ะแพง" คนขายพูดสวนขึ้นมาเฉยเลย! ฉันเลยฮาแตก เป็นไงล่ะ เจอไม้นี้เข้าไป
"พูดไทยได้ม่ะบอก" ยังอำเค้าต่ออีกนะ
"ก็พูดได้นิหน่อยน่ะ" คนขายก็หัวเราะกิ๊กกั๊ก ต่อราคาได้ตามต้องการก็เลยได้โปสเตอร์มา 1 แผ่น

มื้อกลางวันแวะกินข้าวที่ร้านอาหารอินเดีย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากินอะไรเข้าไป เพราะไปยืนจิ้มๆ เลือก ๆ มาจากตู้หน้าร้าน แต่รสชาติมันก็ใช้ได้นะ มีไก่ทอดด้วย สองคนจ่ายไป 1250 จ๊าต สำหรับอาหารกลางวัน

เราพอมีเวลาเหลือให้ช็อปปิ้ง เลยต้องกลับไปตายรังที่ตลาดโบกโฉกอองซาน ได้เสื้อยืดกันมาคนละตัวสองตัว นอกนั้นก็ไม่มีอะไร มีพวกงานสลักไม้ที่ราคาก็ไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่ อันที่ถูก ๆ ก็จะเป็นงานชิ้นเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยละเอียดมากนัก แล้วก็มีพวกอัญมณีที่ฉันไม่ค่อยได้สนใจอยู่แล้ว ก็เลยเดิน ๆ เล่นแล้วก็ออก แต่ตอนข้ามสะพานลอยเหลือบไปเห็นไม้คั้นน้ำมะนาว ทำจากไม้ แบบที่เป็นไม้สองชิ้นยึดติดกันไว้ด้วยบานพับเล็กๆ ด้านนึงเป็นหลุมขนาดลูกมะนาว เจาะรูให้น้ำมะนาวไหลผ่านไปได้ เห็นแล้วชอบใจอย่างแรง เพราะความที่มันเป็นไม้นี่แหละ
"เบเล่าเล?" ฉันถามราคา เธอก็ตอบมาเป็นภาษาพม่า ฉันแปลกใจที่ตัวเองฟังออกว่า 350 !! งงตัวเองอยู่เหมือนกันนะเนี่ย ก็เลยได้ซื้อมาเล่น ๆ อันนึง แหม ถูกใจ

ตามแผงลอยมี DVD เถื่อนขายด้วยล่ะ มาจากไทยมั่ง จีนมั่ง มีกระทั่งแบบ 3 in 1 อย่าง The Matrix หรือขายเป็นชุด ๆ อย่างเรื่องเกี่ยวกับทหาร สงคราม We were soldiers , Saving Private Ryan, Thin Red Line ถูกจัดไว้เป็นชุด ๆ อย่างดี หรืออย่าง Terminator ทั้ง 3 ภาคก็ยังมี ที่ฮาคือ มี องค์บาก ด้วยวุ้ย...ไม่รู้เค้าดูแล้วคิดไงนะ ตัวร้ายดันถูกเขียนบทให้เป็นคนพม่าซะด้วย นอกจาก DVD เถื่อนแล้วก็มีของเรื่อยเปื่อยชนิดที่ว่าไม่รู้จะซื้อไปทำไม เบิร์ตไปหยิบอะไรอย่างหนึ่งมาดู หน้าตาคล้ายนาฬิกาจับเวลา แต่ไม่มีอิเลคโทรนิคอะไรข้างใน ปรากฎว่ามันคือเครื่องนับจำนวน เช่น บางคนใช้นับที่เดินผ่านสถานที่ที่ใดที่หนึ่ง ผ่านหนึ่งคนก็กดไป 1 ครั้ง จึ้กๆๆ แล้วไอ้เครื่องนี้มีขายเยอะมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน

เดินจนเมื่อยแล้วเลยไปนั่งกินกาแฟแถวหน้าโรงหนัง ก่อนกลับซื้อส้มมา 2 ลูกในราคา 100 จ๊าต เห็นแอ๊ปเปิ้ลน่ากินเลยถามราคาดู ปรากฎว่าลูกละ 250 จ๊าต เลยเลิกอยากกินซะงั้น...

คืนนี้ต้องแพ็คกระเป๋าแล้ว เพราะเป็นคืนสุดท้ายของทริปนี้





 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 20:37:46 น.
Counter : 720 Pageviews.  

มิงกะลาบาปีใหม่

วันพฤหัสฯที่ ๑ มกราคม ๒๔๔๗

ถ้าเป็นเมืองไทยเราก็อาจจะได้เห็นทุกบ้านติด Happy New Year กันให้เกร่อ หรือไม่ก็ได้ฟังเพลง "สวัสดีปีใหม่" กันจนเบื่อกันไปข้าง แต่เช้าวันแรกของปีที่ย่างกุ้ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการประดับตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ ยกเว้นตามถนนเล็กๆที่เราอาจจะได้เห็นฝีมือศิลปินสมัครเล่น ละเลงชอล์คสีสันสดใสบนถนน เขียนว่า Happy New Year บนพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ

เราขอเปลี่ยนห้องจากห้องหรู (เราก็ว่าหรูของเราอ่ะนะ) ไปห้องที่บ้านๆ กว่านั้นหน่อย แถมยิ่งสูงเข้าไปอีก คืออยู่บนดาดฟ้า ฟังดูตลกๆ แต่ฉันชอบมาก เพราะมีพื้นที่โล่ง เหมือนดาดฟ้าตึกแถว เค้าเอากระถางต้นไม้มาวาง แล้วก็มีโต๊ะพับเก้าอี้พับแบบกันเองๆ ไว้ให้แขกนั่งพักผ่อน บางคนก็ขึ้นมาสูบบุหรี่ นั่งคุยกันกับนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ที่นี่

ห้องใหม่ที่เราได้วันนี้ชื่อห้อง Pearl หรือ "มุก" (ห้องอื่นๆก็ชื่อเก๋ไม่แพ้กัน เช่น ห้องหยก ห้องทับทิม ห้องเพชร ฯลฯ) ไม่มีห้องน้ำในตัว แต่ห้องกว้างมากกกก เตียงสองเตียงนี่ห่างกันจนแทบต้องโทรเลขคุยกัน เราเลยมีพื้นที่ให้วางกระเป๋า สัมภาระอะไรให้รกห้องเต็มไปหมด ส่วนห้องน้ำก็อยู่ด้านล่างของห้อง เดินลงบันไดไปหน่อยก็ถึงแล้ว แต่ข้อเสียคือดันมีเครื่องปั่นไฟทำงานดังหึ่งๆ เป็นระยะ แต่โดยรวมแล้วชอบมาก ห้องนี้ ลมเย็นดี ห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเราเป็นห้องพักของคนที่ทำงานในโรงแรม หน้าห้องเห็นมีรองเท้าถอดวางอยู่ 7-8 คู่ได้

หนทางกว่าจะถึงที่หมาย

วันนี้เราตั้งใจจะไปเที่ยว เยเลพญา (Yelepaya) ที่เป็นเจดีย์กลางน้ำอยู่ที่ โจ๊กตัน (Kyuaktan) ซึ่งอยู่ออกจากตัวเมืองย่างกุ้งไปหน่อย กะว่านั่ง เอ๊ย ยืนโหนรถเมล์ไปพอเมื่อยก็ถึง แต่ยังไม่รู้จะไปยังไงเลยลงไปถามที่เคาท์เตอร์โรงแรม พนักงานก็ออกจะเป็นห่วง
"คุณจะไปเยเลพญากันเหรอครับ"
"ค่า ว่าแต่ไปขึ้นรถที่ไหน ลงที่ไหนคะ จะไปต่อรถถูกค่ะ"
"แหม แต่ว่าผมว่ามันไปยากนา ขนาดผมเองยังลงไม่ค่อยจะถูกเลย"
"จริงง่ะ"
"ฮื้อ จริงๆ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ลองดู"
"ผมก็ไม่มั่นใจ เดี๋ยวถามป้าให้นะครับ" แล้วเค้าก็หายไปพักหนึ่ง กลับมาพร้อมกับคำตอบ
"นี่นะครับ ไปขึ้นรถเมล์ที่ถนน 28 สาย 217 ครับ ไปลงที่ ตันลโย" ฉันก็จดไปด้วย เค้าก็อธิบายทางต่อ แต่มาสะดุดตรงที่คำว่า "ตันลโย" นี่แหละ เพราะจำได้ว่าเคยอ่านในหนังสือฝรั่งเขียนว่า ตันลยิน (Thanlyin) ฉันมาถามเบิร์ตทีหลัง เบิร์ตก็บอกว่าได้ยินว่า ตัยลโยเหมือนกัน เอาวะ ตันลโย ก็ ตันลโย ... จริงแล้ว Thanlyin นี้ คนไทยอาจจะคุ้นกับอีกชื่อก็คือ "สิเรียม" นั่นเอง
"ต่อนะครับ"
"ค่ะ ค่ะ ขึ้นรถเมล์สาย 217 แล้วไงต่อคะ"
"ค่ารถ คนละ 30 จ๊าตนะครับ นั่งรถไปประมาณ 40 นาทีนะครับ แล้วไปลงที่ตลาด สังเกตุด้านขวาจุดที่มีรถกะป๊อสีฟ้าๆ จอดเยอะๆน่ะครับ ซ้ายมือจะเป็นตลาดขายเสื้อผ้าของใช้อะไรพวกนี้ ลงตรงนั้นแหละครับ"

ฟังดูไม่ยาก แต่หาจุดลงเนี่ยซิ จะรอดมั้ยเนี่ย แต่เราก็จดๆๆ ขอบคุณเค้าแล้วก็ไปท่ารถเมล์เลย

คนแน่นเหมือนทุกที แต่พอออกนอกตัวเมืองไปหน่อยก็เห็นต้นไม้เขียว ลมเย็นสบาย แต่เมื่อยแขนโคตรๆ รถปุเลงไปนานพอดู ก็มาจอดที่ที่นึง เราสองคนมองหน้ากันก็รู้ว่า ต่างคนต่างอยากถามว่า
"ใช่ป่าววะ!?" แต่ไม่มีใครอยากเสียฟอร์มถามก่อน
"เอ...รถ กะป๊อ สีฟ้า.." ฉันมองไปทางขวา "นั่นไง เฮ้ย มีนะรถกะป๊อสีฟ้า"
"อืมมมม" เบิร์ตยังไม่มั่นใจ ฉันเลยมองไปทางซ้าย
"เฮ้ย ซ้ายเป็นตลาด ใช่แหละๆๆ"

เบิร์ตมันก็ได้แต่ อืมๆๆ อยู่ได้ กลัวลงไปแล้วถ้าผิดที่จะไม่มีรถไปต่อละมั้งท่า แต่พอรถจะออกจริงๆน่ะแหละ เบิร์ตถึงได้กระโดดแผล็วไปที่บันไดรถ
"เฮ้ย ลงๆๆๆ ! ลงเหอะ ลงเหอะ" เด่อ..ทำเป็นนิ่ง นึกว่ารู้ทาง

เราลงมาได้ก็ไม่ยักกะมีชาวบ้านมาสนใจเราเล้ยยยย บางครั้งมันดีตรงที่หน้าเหมือนคนท้องถิ่น แต่บางครั้งเพราะหน้าตากลมกลืนกันนี่แหละ ไปถามทางอะไรใครเค้าเป็นภาษาอังกฤษ เค้าก็จะมองหน้าประมาณว่า "ไรเนี่ย อำกันหรือเปล่า ฮึ"

จะถามใครก็สงสัยจะออกเสียงไม่ถูก ฉันเลยค้นๆเอาข้อมูลที่ก็อปปี้มา มีชื่อสถานที่ คือ Kyuaktan เป็นภาษาพม่าอยู่ด้วย แล้วก็ลอกด้วยลายมือลงกระดาษ ลองไปถามอีกที คราวนี้ไม่ได้พูดอะไร เล่นภาษาใบ้ก่อนเลย แล้วยื่นกระดาษให้ เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ทำท่าแบบ "อ๋อ รู้ละๆๆ โจ๊กตัน" แล้วก็ชี้ไปทางตลาด ก็เพิ่งรู้ว่า Kyuaktan นั่นออกเสียงว่า โจ๊กตัน หาใช่ กวั๊กธัน อย่างที่เราเสร่อถามเค้าไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว มิน่าล่ะมันไปไม่ถึงซักที

คนที่โรงแรมบอกทางถูกแล้ว แต่ไม่ยักบอกว่าต้องต่อรถไปอีก เราต้องเดินทะลุตลาดไปเจอถนนอีกฝั่ง แล้วไงล่ะทีนี้ ไปโผล่หมู่บ้านอะไรก็ไม่รู้เว้ยเฮ้ย กำลังยืนงงๆกันอยู่ก็มีเสียงสวรรค์มาโปรด
"เยิ้วววๆๆ" หันไปก็เจอเจ้าของเสียงเป็นคุณตา เดินเอามือแกว่งถังพลาสติกเปล่าๆมาด้วย (ไม่รู้เอาไปทำไรเหมือนกัน)
"จะไปไหนกันเหรอ" คุณตาถามเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงเหมือนเพิ่งจบมาจากเคมบริดจ์ ทำเอาเราเหวอ
"จะไปโจ๊กตันครับ" เบิร์ตบอกพร้อมยื่นกระดาษให้ดู
"อ๋อๆๆ จะไปเยเลพญากันใช่มั้ย"
"อ้าาา ใช่ครับๆ"
"มาๆๆ เดี๋ยวเดินไปด้วยกัน จะไปทางนั้นพอดี เดี๋ยวบอกทางขึ้นรถให้นะ" โอ้โห ซึ้งมาก คุณตาใจดีสุดๆ
"ว่าแต่ทำไมคุณตาพูดอังกฤษเก๊งเก่งละคะ เมื่อกี๊ถามเด็กๆไม่มีใครพูดเลย แต่ยังดีนะคะที่เค้าช่วยบอกทางให้มาจนถึงตรงนี้"
"อ๋อ คนแก่ๆที่นี่พูดได้ทั้งนั้นแหละ แต่เด็กๆเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ซิ เค้าไม่ค่อยพูดกันนะ" สงสัยจะเป็นอิทธิพลจากอาณานิคมอังกฤษละมั้ง

พอเดินมาถึงแยก คุณตาก็ชี้ให้เลี้ยวซ้ายไปหอนาฬิกา รถจะมาทางนั้นแหละ ต่อรถไปเยเลพญาที่นั่นอีกคนละ 20 จ๊าต เรายืนรอกันซักพักก็มีรถมินิบัสวิ่งปุเลงๆมา แล้วก็มีกระเป๋ารถเมล์ ห้อยโหนมาข้างรถจนโสร่งปลิว ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า "โจ๊กตันๆๆๆ!" เราเลยได้ขึ้นรถมาได้ด้วยความโล่งอก (ไปหนึ่งเปลาะ)

คนพม่า 120 คนต่างชาติ 1500

รถวิ่งแบบหวานเย็นฝุ่นคลุ้งมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มาสุดสายที่ตลาด ไปไหนต่อไม่ได้แล้ว เพราะข้างหน้าต่อจากนี้ก็เป็นแม่น้ำแล้ว เจดีย์คงอยู่แถว ๆ นี้แหละ เราเดินลงจากรถแล้วเลี้ยวขวาไปตามตลาด เห็นร้านรวงและผู้คนมากมาย บางคณะก็ถึงกับเหมารถบัสมา เห็นบางคันเป็นคณะมาจากเมืองไทยด้วย เพราะเห็นป้ายชื่อบริษัททัวร์เป็นภาษาไทย ยืนอยู่ซักพักก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยู่ หนองมน! ถ้าเปลี่ยนร้านขายข้าวแกงเป็นร้านขายข้าวหลามล่ะก็ใช่เลย แต่ร้านค้าจะไปอัดแน่นกันอยู่ตรงท่าน้ำที่จะข้ามไปเจดีย์ ส่วนทางด้านตลาดก็เล็กหน่อย มีร้านโชว์ห่วยอยู่ประปราย

เยเลพญา ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเกาะกลางน้ำ ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง เราไปชะโงกดูราคาค่าข้ามเรือแล้วก็อึ้งอีกแล้ว วันนี้ไม่รู้อึ้งไปกี่รอบแล้วนะเนี่ย เพราะค่าข้ามเรือสำหรับคนพม่า แบบข้ามไป-ข้ามกลับอยู่ที่คนละประมาณ 120 จ๊าต แต่สำหรับคนต่างชาติอยู่ที่คนละ 1500 จ๊าต! อะไรจะต่างกันขนาดนั้น พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง หันไปดูเบิร์ต ก็เห็นกำลังทำตาปริบ ๆ
"สงสัย.. คงจะไม่ข้ามไปดูดีกว่าว่ะ ฝรั่งเซ็ง"
"อ้าว แล้วชั้นล่ะ"
"เธอก็ข้ามไปดิ่ หน้าเหมือนอยู่แล้วด้วย"
"เฮ้ย ไม่เอา เดี๋ยวพอข้ามกลับมาหากันไม่เจอ ก็ยุ่งอะดิ"
"ทำไมจะไม่เจอก็เดินอยู่แถว ๆ นี้แหละ"
"โห พอเลยๆ ขนาดในสนามบินดอนเมืองยังหาเธอไม่เจอ ชอบเดินเรื่อยเปื่อย"
"อะไรว้า มาถึงนี่จะไม่ข้ามไปดูเหรอ"
"ก็มันแพงอ้ะ"
"แพงไรก๊านนน ก็ปลอมตัวเข้าไปซิ"
"แต่...ฯลฯ" ระหว่างกำลังเถียง ๆ กันอยู่ พนักงานขายตั๋วเรือข้ามฟากก็เห็นพอดี เลยถามเป็นภาษาอังกฤษว่า อ่าว พวกยูสองคนน่ะ ไปมั้ย มาเร้วๆๆ ซวยเลย โดนจับได้ตั้งกะยังไม่ได้ปลอมตัว อดเลย จะให้จ่ายตั้ง 1500 จ๊าตเนี่ยนะ ไม่ไหวมั้ง ดูเอาจากฝั่งนี้ก็ได้ ฮึ!


เยเลพญา

เราเดินไปนั่งทอดหุ่ยอยู่ที่ศาลาริมน้ำ อากาศร้อนๆแบบนี้ ได้นั่งในศาลาริมน้ำ ลมเย็น ๆ ก็สบายใจดี

ย่านนี้ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าค้าขายระหว่างพม่ากับต่างชาติ เช่น ดัชท์ ฝรั่งเศส อังกฤษ ราวๆ ช่วงศตวรรษที่ 15 ซึ่งตอนนั้นยังมีพวกมอญตั้งถิ่นฐานเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของพม่าอยู่แถว ๆ นี้ด้วย การค้าขายที่นี่คึกคักเรื่อยมาจนกระทั่งเมืองถูกทำลายลงราว ๆ ปี ค.ศ. 1756 โดยกษัตริย์อลองพญา

ทุกวันนี้ เจดีย์สีทองอร่ามก็ยังอยู่ โดยสร้างขึ้นเกาะเล็ก ๆ มีต้นมะพร้าวโด่เด่อยู่สามต้น ดูไปก็น่ารักดีเหมือนเกาะในการ์ตูนมุขติดเกาะในขายหัวเราะ ส่วนชื่อ "เยเลพญา" ภาษาพม่าก็แปลออกมาตรงตัวว่า "เจดีย์ที่อยู่กลางน้ำ" ด้านในประกอบไปด้วยอาคารรับรองนักแสวงบุญ สำนักสงฆ์ ฯลฯ กิจกรรมที่นิยมทำกันคือให้อาหารปลาดุกซึ่งมีอยู่ชุมมาก คนก็โปรยขนมปัง เศษอาหารให้ บางครอบครัวก็มาไหว้พระ แล้วถือโอกาสพาเด็ก ๆ มาให้อาหารปลากันเป็นที่สนุกสนาน

ศึกชิงช็อคโกแลต

นั่งชื่นชมเจดีย์ไปได้ซักพักก็เริ่มมีเด็กผู้ชายคนนึงมานั่งด้วย พูดอะไรก็ไม่พูด มานั่งยิ้มไปยิ้มมาอยู่อย่างนั้น ฉันชวนคุย แต่เด็กก็ดูจะไม่พูดภาษาอังกฤษ ฉันอยากจะหาเรื่องเล่นด้วย เลยพยายามหาดูว่ามีขนมอะไรเหลือบ้างหรือเปล่า ควานไปก็เจอแท่งชอคโกแลตที่ซื้อตุนไว้แต่ลืมกิน เลยยื่นให้ไป เด็กน้อยยิ้มหน้าบ้านเป็นกระด้ง แล้วก็วิ่ง ลัล ล้า ลัล ลา หายไป ยังไม่ทันไรก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆอีก 4-5 คนวิ่งมาหาฉันอีก ถึงจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่พอรวมกับท่าทางชี้มือชี้ไม้ไปที่เด็กผู้ชายคนแรกที่กำลังแทะช็อคโกแลตอย่างเมามัน แล้วชี้กลับมาที่ตัวเองกับเพื่อนๆ พอเข้าใจได้บ้าง ว่า "ทำไมให้คนเดียว แล้วพวกเราล่ะ!" ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะมีแท่งเดียว เลยทำท่าบอกว่าให้ไปแบ่งกันซิ มีแท่งเดียว ...เท่านั้นแหละ! เจ้าลิงพวกนี้วิ่งปรู๊ดไปที่เด็กคนแรกตะโกนกันเสียงดังลั่น ส่วนไอ้เด็กคนนั้นมันวิ่งหนีไปเฉยเลย! ทำให้เด็กอีก 5 คนวิ่งตามเป็นพรวน! เราจะขำก็ขำ จะรู้สึกผิดก็รู้สึกผิด เพราะเหมือนไปทำให้เด็กมันตีกันซะงั้นน่ะ เราเลยหนีไปหาข้าวกลางวันกินดีกว่า

เดินเลือกดูร้านแถว ๆ นั้นแหละ แต่ดู ๆ ไปแล้ว ไม่ค่อยมีอะไรน่ากินเท่าไหร่ เลยไปนั่งที่ร้านขายเครื่องดื่มร้านนึง ที่โต๊ะไม้ตัวยาวในร้านมีคนพม่านั่งอยู่แล้วประมาณ 8-9 คนเห็นจะได้ สงสัยมาด้วยกัน กำลังคุยกันอย่างออกรส ซักพักสาวเจ้าของร้านก็เดินยิ้มแป้นออกมา ทักฉันเป็นภาษาพม่าก่อนเลย ตามด้วยประโยคยาวเป็นรถไฟ คงจะเป็นรายการอาหารแนะนำหรืออะไรซักอย่าง

"เอ่อ อ่า ขอสตาร์โคล่าขวดนึง" ฉันสั่งเป็นภาษาอังกฤษแบบกระมิดกระเมี้ยน
"ฮ๊า!" สาวเจ้าของร้านทำหน้าเหมือนเปิดฝาโออิชิเจอเงินล้าน
"เฮ้ย!" ทำเอาฉันตกใจไปด้วย ว่าทำไรผิดวะ
"ไม่ใช่คนพม่าเหรอคะ" ตอนนี้เธอเลยพูดเป็นภาษาอังกฤษกลับมา
"คนไทยค่ะ" เท่านั้นแหละ เธอก็หันไปเรียกคนทั้งโต๊ะ ส่งภาษาพม่าด้วยท่าทางตื่นเต้น แต่พูดว่าอะไรไม่รู้ฟังไม่ออก ตอนนี้คนทั้งโต๊ะเกือบสิบคน หันมามองฉันเป็นตาเดียว แล้วก็ยิ้ม ๆ เฮ้ย อะไรเนี่ย เล่นเอาฉันทำหน้าไม่ถูก มือไม้ไม่รู้จะเอาไปวางที่ไหน

"มาคนเดียวเหรอ" เธอถามต่อ
"มากับเพื่อน นี่ไงๆ" ฉันชี้ไปที่เบิร์ตที่ตอนนี้ก็งงพอ ๆ กัน
"อ๋อๆ แหม นึกว่าคนพม่าซะอีก" นะ.. จนทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยเธอเรียกคนทั้งโต๊ะให้มาดูเราทำไมกันเนี่ย! งงโคตร

โดนล้วงกระเป๋าที่ชเวดากอง

บอกตรง ๆ ว่าตอนที่มา ยังไม่รู้เลยว่าตอนกลับจะกลับยังไง (ลืมถาม!) แต่ถ้าไม่รู้จะขึ้นรถตรงไหน หรือ กลับยังไง ให้ไปตลาด เพราะเป็นศูนย์รวมทุกอย่าง รถเมล์ รถบัส สองแถว เรือ ฯลฯ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ยังไง้ ยังไงก็ต้องมาแวะ หรือจอดที่ตลาดแน่ๆ เราก็เลยได้นั่งอัดแน่นมาในรถกระบะที่ดัดแปลงมาเป็นสองแถวกลับมาที่ตลาดสิเรียมที่เราลงมาต่อรถตอนแรก โดยมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งหลับซบไหล่มาตลอดทาง (ใครก็ไม่รู้) ก็ยังดีที่น้ำลายไม่ไหลย้อยมาลงด้วย ค่ารถมาลงที่ตลาดสองคนก็ 50 จ๊าต ทั้งๆที่จริงๆแล้วควรจะเป็นแค่คนละ 20 จ๊าต แต่คนเก็บตังค์ทำมึน ไม่ทอนซะงั้น ขี้เกียจจะทวง

ไหน ๆ ก็ต้องเดินผ่านตลาดแล้ว ก็เลยแวะเดินดูของซักหน่อย แวะซื้อผ้านุ่งที่ร้านนึง คนขายน่ารักมาก ๆ เลย เสียงหวานจ๋อย เธอเสนอขายผ้าชิ้นสวยให้ราคาที่ไม่แพงมาก ฉันต่อจนได้ที่ราคา 3500 จ๊าต แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ตกลงขอจ่ายเป็นดอลล่าร์ก็แล้วกัน ก็เลยได้มาในราคา 4 ดอลล่าร์ ถูกอกถูกใจ

ระหว่างที่รอรถกลับย่างกุ้ง ก็แวะร้านน้ำชาซะเลย เพราะตั้งแต่มาจนจะกลับอยู่แล้ว ยังไม่ได้นั่งกินน้ำชา กาแฟ เหมือนคนพม่าเค้าเลย ร้านนี้ดูคนไม่แน่นมาก แถมเปิดโล่ง 3 ด้าน ลมโชยดี ก็เลยนั่งแวะดื่มกาแฟกันคนละแก้ว กาแฟใส่นมข้นหนาที่ก้นแก้ว เหมือนกาแฟร้านอาโกบ้านเรา ส่วนขนมก็เลือกเอาบนโต๊ะตามอรรธยาศัย เราก็เลยเลือกกันคนละชิ้น กาแฟนั้นแก้วละ 350 จ๊าต

นั่งรอรถไม่นานก็มีมินิบัสมาจอด สายอะไรจำไม่ได้ แต่ได้ยินกระเป๋าตะโกนว่า "สุเล!สุเล!!" ก็เลยโดดขึ้นไปเลย เพราะเป็นอันรู้กันว่ารถคันนี้ไป สุเลพญา ถ้าไม่แน่ใจ ให้ถามอีกทีก็ได้ เรามาลงรถที่แถว ๆ ธนาคารอินวะ แล้วเดินกลับไปที่เกสต์เฮาส์เพื่อพักผ่อนอาบน้ำอาบท่าให้สบายตัวซะหน่อยก่อน แล้วตกลงกันว่าไหน ๆ ก็ขึ้นปีใหม่ ไปไหว้พระที่ชเวดากองอีกซักรอบดีกว่า เป็นสิริมงคล

พอไปถึงชเวดากองแล้ว ตอนแรกเจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้เบิร์ตเข้า (ก็หน้าออกจะโคตรฝรั่งขนาดนั้น) จะให้จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าชม ต้องอธิบายว่า ขอเข้าไปไหว้พระหน่อยก็แล้วกัน ซื้อดอกไม้มาแล้วเนี่ย จนเจ้าหน้าที่ใจอ่อน "อ่ะ ก็ได้ๆ ให้ 10 นาทีนะ ไหว้เสร็จแล้วออกมาล่ะ" ก็เลยได้เข้าไปจนได้

ขณะฉันกำลังควานหากระเป๋าเพื่อจะบริจาคเงินลงตู้ กระเป๋าผ้าใส่เงินที่เพิ่งแลกมาสด ๆ ร้อน ๆ ก่อนหน้านี้ หายไปทั้งใบ! ฉันพยายามหาทุกซอกทุกมุมของกระเป๋าสะพาย ก็ไม่เจอ เลยพยายามนึกว่าเราเอาไปทำหล่นที่ไหนหรือเปล่านะ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะไม่ได้ไปลุก ๆ นั่ง ๆ ที่ไหนเลย จนมานึกขึ้นได้ว่าตอนกำลังจะเดินขึ้นเจดีย์ จะมีกลุ่มเด็กที่พยายามมาตื๊อขายดอกไม้ธูปเทียน แม้แต่ถุงพลาสติกสำหรับใส่รองเท้าเพื่อหิ้วเข้าไปในเจดีย์

เด็ก ๆ มารุมล้อมเยอะมาก แต่ละคนตัวกระเปี๊ยก ไม่น่าเกิน 10 ขวบ ไม่รวมพวกผู้หญิงที่มาตื๊อขายดอกไม้
"เท่าไหร่เหรอดอกไม้" ฉันถามผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มนั้น
"100 จ๊าต" แล้วพยายามยัดเยียดดอกไม้ให้ 3 ช่อ แล้วเธอทำไงรู้มั้ย เธอชี้มาที่แบ๊งค์ 500 จ๊าตในกระเป๋าเงินที่ฉันถืออยู่ ฉันเลยตกใจเล็กน้อยว่ามาชะโงกดูเงินกันแบบนี้เลยเหรอ เลยรีบบอกปัดไปว่า ไม่เอา ๆ จะซื้อแค่ 2 ช่อพอแล้ว แล้วให้แบ๊งค์ 500 ไป ในที่สุดก็ได้ทอนมา 300 จ๊าต จะซื้อธูปเทียนก็อีกเล่มละ 100 จ๊าต! โห สุด ๆ แล้วเราก็เก็บกระเป๋าลงกระเป๋าสะพาย เด็กก็รุมจนเราต้องรีบแหวกหนีออกมา ขนาดว่าแค่ไม่ถึง 3 นาทีเท่านั้น มารู้ทีหลัง กระเป๋าเงินเราหายไปทั้งใบเลย!

เงินน่ะก็เสียดายอยู่ แต่ว่าเสียความรู้สึกมากกว่า ในวัดในวาแท้ ๆ เฮ้อ.. ดีที่กระเป๋านั้นฉันไม่ได้เก็บเอกสารสำคัญอะไรไว้ เพราะเป็นกระเป๋าเงินที่ฉันใช้เก็บเฉพาะเงินที่ดูแล้วว่าพอใช้ในแต่ละวัน ส่วนเงินทั้งหมดที่เป็นดอลล่าร์ กับ พาสสปอร์ต เอกสารสำคัญ จะแยกเก็บไว้ในกระเป๋าคาดเอวแล้วเอาเสื้อปิดไว้อย่างดี แต่วันนั้นดันซวยที่ยังไม่ทันจะได้เอาเงินจ๊าตที่เพิ่งแลกมา แยกใส่กระเป๋าคาดเอว ก็เลยโดนล้วงไป หมื่นจ๊าต! ถ้าคิดเป็นเงินไทยแล้วก็ไม่มากมายอะไร 500-600 บาท แต่สำหรับที่พม่า หมื่นจ๊าตไม่ใช่น้อย เสียดายกระเป๋าด้วย อุตส่าห์ซื้อมาจากหลวงพระบาง แงๆๆๆ

แต่เสียแล้วก็เสียไป ถือว่าฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน..ไหว้พระไปก็ทำใจไป ยังไงก็ตั้งใจมาทำบุญไม่อยากคิดอะไรมาก ปวดหัว ..เดี๋ยวทำบุญไม่ขึ้นอีก เฮ้อ

ออกจากชเวดากองก็เลยต้องมาแลกเงินใหม่ ฉันก็แลกกับคนเดิมนั่นแหละ วิธีแปลก ๆ หน่อยคือไปยืน ๆ อยู่หน้าโรงแรมที่เดิมที่เคยแลกน่ะแหละ ได้ผล เพราะซักพักลุงคนเดิมก็โผล่มา แล้วก็แปลกอีกแล้วเพราะเราไปแลกเงินกันที่เคาน์เตอร์ Car Rent สงสัยจะเป็นธุรกิจเสริม อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ ฉันเลยเล่าให้เค้าฟังเรื่องที่โดนล้วงกระเป๋า ลุงก็หันไปเล่าให้คนอีก 2-3 คนที่นั่งอยู่ที่เคาท์เตอร์ฟังด้วย ทุกคนก็ทำหน้าตกใจปนเห็นใจ ลุงเลยตบบ่า แปะ ๆ แล้วก็บอกว่า "คราวหน้าก็ระวังตัวให้ดีล่ะ ซวยจริง ๆ เลย" ไม่รู้เป็นการให้กำลังใจหรือเปล่าเนี่ย

ยังไม่ได้กินอะไรเลยวันนี้ เลยไปกินอาหารเกาหลีชื่อร้าน KOMY อยู่แถว ๆ City Hall น่ะแหละ ร้านตกแต่งแปลก ๆ ดี มีน้ำตกจำลองในร้านด้วย แต่น้ำไหลออกมาเป็นฟอง ๆ ไม่เป็นสายน้ำอย่างที่ควรจะเป็น แถมกาแฟที่สั่งมาก็ไม่ละลายอีก เซ็งจิต มื้อนี้จ่ายไป 4000 จ๊าต

ส่วนมื้อเย็นไปกินพิซซ่าแถวๆ ตลาดโบกโฉกอองซาน หรือ ตลาดสก๊อต เพราะเบื่ออาหารพม่ามาก ไม่ไหวแล้ว! ไปถึงร้านก็เห็นมีแต่ลูกค้าเป็นฝรั่ง แต่พิซซ่าเค้าอร่อยนะ จะบอกให้ แล้วหน้าร้านมีตู้เอทีเอ็มด้วย ไม่รู้ใช้งานได้จริงหรือเปล่า เพราะตั้งแต่มาเที่ยวนี่ เป็นครั้งแรกที่เห็นตู้ เอทีเอ็ม นะเนี่ย อิ่มแล้วก็เลยไปเดินเล่นตลาดโบกโฉกอองซาน ก็ไม่มีอะไรน่าซื้อหรอก แต่ไปเดินเล่น เพลิน ๆ ดี ส่วนมากจะมีขายผ้าพิมพ์ลายสวย ๆ สาว ๆ ชอบซื้อไปตัดชุดใส่ บางร้านมีชายหนุ่มเอาผ้ามาพันตัว แต่งหน้าทาปากเหมือนพระเอกลิเก ขึ้นไปยืนเต้นกระแด่ว ๆ อยู่บนเก้าอี้เป็นที่เฮฮา เรียกลูกค้าได้ประมาณนึง






 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2549    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2549 20:37:00 น.
Counter : 850 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

beebah
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนไทย ธรรมด๊าธรรมดา เกิด และ โต ณ กทม. ปัจจุุบัน ทำงานในบรัสเซลส์ ยามว่าง(และยามไม่ว่าง แต่กระเสือกกระสนให้ว่าง) ชอบแบกเป้เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ นี่ก็เหลืออีก ร้อยกว่าประเทศเองก็ยังไม่ได้ไป ฮ่าๆๆๆ ฮืออออ.. (T_T)
Friends' blogs
[Add beebah's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.