All Blog
Our new lives @ new home...


โอ๊ะ มายก็อดดดด ! ไม่ได้อัพบล็อคนานมากๆๆๆค่ะ เพราะชีวิตแม่ลูกสอง วุ่นวายกว่าที่คิดเนอะ 555 เช้าๆจัดการเจ้าตัวเล็ก (ณ 2559 ตอนนี้ 2 ขวบค่ะ) บ่ายก็ไปรับตัวโต ( ณ 2559 ตอนนี้ 6 ขวบค่ะ) ต่อด้วยพาไปเรียนพิเศษ (อะไรบ้าง เดี๋ยวว่ากัน อิอิ) เย็นๆ เด็ก 2 คนอยู่บ้าน ก็เป็นอันไม่ต้องทำอะไรค่ะ 555 จวบจนกินข้าวเย็น อาบน้ำ เอาเด็กๆเข้านอน 3 ทุ่ม.... หลังจากนั้น .... แม่ก็เป็นอันสลบตามลูกค่ะ 555 Smiley

แต่วันนี้ต้องมาอัพซะหน่อย เพราะมีความรู้สึกดีๆที่อยากจะเก็บไว้ในบล็อค (กลัวว่าถ้าเวลาผ่านไป ความรู้สึกดี อาจจะเปลี่ยนไปเป็นแบบ ไม่น่าเล้ยยย 555) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตใหม่ๆของพวกเรา 4 คนพ่อแม่ลูก หลังจากย้ายมาอยู่บ้านในใจกลางชานเมืองค่ะ 555 หลายๆคนอาจจะทราบมาบ้างว่าเดิม ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในคอนโดที่ค่อนข้างจะอยู่ในเมือง (สะพานสาธรฝั่งธน) ซึ่งคอนโดก็นอกจากจะทำเลดี ตัวคอนโดเองก็ใหญ่โต กว้างขวาง (4 ห้องนอน) แต่การอยู่คอนโดก็ไม่เหมือนอยู่บ้านเนอะ เมื่อเรามีลูก เราเองก็อยากจะหาบ้านซักหลัง โดยโจทย์แรกที่เราตั้ง คือ ใกล้รร.ลูก ซึ่งหลังจากสำรวจทำเลต่างๆ เราก็มาลงตัวที่ย่านพระราม 2 เนื่องจากว่าอยู่ใกล้รร.มิสา (เหตุผลหลัก) และสามารถไปออฟฟิศพี่หยี่ได้สะดวก (หรือไม่ลำบาก 55) ซึ่งที่มาในการหาทำเลนี้มันก็เยอะแยะดีเทลมากมาย ขอไม่ลงในรายละเอียดให้อ่านละกันนะ


แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากหลายๆคนรู้ว่า เราจะย้ายบ้านมาอยู่พระราม2 ด้วยเหตุผลที่ใกล้รร.ลูก คนส่วนใหญ่จะอึ้งๆๆๆ 555 แต่เนื่องจากกิ๊กไม่ได้อยากจะว่าว่าพระราม 2 ไม่ดีอย่างไร ก็จะไม่ลงดีเทลอีกเช่นกัน (แต่เอาเป็นว่า คนส่วนใหญ่ก็จะเปรียบเทียบพระราม2 กับแถวคอนโดที่เคยอยู่ แน่นอนล่ะ ทำเลมันต่างกันน่ะ) ทั้งกิ๊กและพี่หยี่เอง ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เคยคิด เพราะการออกมาอยู่นอกเมือง แน่นอนว่าการเดินทางไปที่ต่างๆ โดยเฉพาะเข้าเมือง มันก็จะไม่ค่อยสะดวก รถติดด้วย (ช่วง rush hour) แต่เราก็เลือก เพราะเหตุผลหลัก เรามุ่งไปที่คุณภาพชีวิตของลูกๆเรา


หลังจากย้ายบ้านใหม่มาได้ประมาณนึง กิ๊กก็ไปอ่านเจอบทความๆนึง เป็นเรื่องการศึกษาของเด็กในแถบประเทศยุโรป แถบนอร์เวย์ ฟินแลนด์ (ประเทศที่ติด 1 ในสิบที่มีการศึกษาดีที่สุดในโลก การศึกษาภาคบังคับเริ่มต้นเมื่อเด็กอายุ 7 ปี ไม่เน้นการเรียนอนุบาลแต่จะเน้นให้อยู่กับครอบครัวให้มากที่สุด   -- อ่านมาจากเน็ตนะค้าบ) เค้าพูดถึงการศึกษาในช่วงปฐมวัย(อนุบาล)ว่า ไม่มีการเรียนวิชาการเลย ไปรร.เหมือนไปเล่น บลาๆๆๆ ซึ่งตรงนี้ตรงกับรร.รุ่งอรุณอยู่แล้ว (พูดได้เต็มปาก) และก็พูดเลยถึงว่า กิจวัตรของเด็กยุโรป พอกลับจากรร. ก็จะมาเล่นกับครอบครัว ทำกิจกรรมร่วมกัน เล่นเกม (พวกบอร์ดเกม) ไม่ก็ออกไปเดินเล่น ขี่จักรยานเล่น ก่อนจะกินข้าว แล้วก็เข้านอน... พอได้อ่านปุ๊บ เฮ้ยย นี่มันชีวิตลูกเราเลยนะ 555 มิสานี่มีคุณภาพชีวิตเทียบเท่ามาตรฐานเด็กยุโรปนะจ๊ะ 555 ... คือ มันใช่มากอ่ะ ก็เลยรู้สึกว่า นี่แหละที่ช่วยตอกย้ำและสนับสนุนความคิดของกิ๊กกับพี่หยี่ว่า เราคิดถูกนะที่เลือกบ้านใกล้รร.ลูก (หรือคนอื่นจะเลือกรร.ใกล้บ้านก็ได้ แต่เผอิญเราเริ่มที่รร. 555)


ครอบครัวเราได้ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านใหม่ช่วงต้นปี 2558 ซึ่งโชคดีอย่างตรงที่พี่หยี่เค้าไม่ได้ทำงานตามตร.เวลาออฟฟิศ (และกิ๊กเองก็เป็นแม่บ้าน) เค้าจะออกจากบ้าน 9-10 โมง ซึ่งเลยเวลารถติดไปแล้ว เพราะฉะนั้นปัญหาหลักก็หมดไป...หลังจากย้ายบ้านมา ตร.ชีวิตประจำวันของพวกเรา.. จริงๆถามว่าเหมือนเดิมมั้ย มันก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไร่ เพราะคอนโดก็ไม่ได้ไกลรร.มากนักอยู่แล้ว แต่บ้านใหม่นี่คือยิ่งใกล้ 555 แล้วมันก็มีเวลาทำอะไรมากขึ้น

6-6.30 น. มิสาตื่นนอน (พร้อมพ่อ)
7.00 น. อาบน้ำเสร็จ ส่งตัวกินข้าว (พี่เลี้ยงป้อน 555)
7.30 น. กินข้าวเสร็จ ออกจากบ้านไปรร.
7.50 น. ถึงรร. มีเวลาเก็บของ ทำกิจกรรมวงกลมครบถ้วน (ตรงนี้เองที่ครูบอกว่าสำคัญ เพราะจริงๆรร.รุ่งอรุณไม่มีการเคารพธงชาติ ตร.เข้าเรียนกำหนดไว้ 8 โมง แต่แน่นอนเด็กเล็กๆส่วนนึงจะมาไม่ทัน ซึ่งก็จะเรียกว่ามาเมื่อไร่ก็ได้ สายกว่านี้ก็ได้ ไม่ได้รู้สึกว่าคือการมาเรียนสาย ซึ่งมิสาเองตอนอ.1 ก็มาเกือบ 8.30 ตลอด เพราะเราก็คิดว่า เด็กเล็กๆเองจะอะไรกันมากมาย มาก็ไม่ได้เรียนหนังสือ 555 แต่คุณครูบอกเลยว่า เด็กๆจะขาดโอกาสหลายอย่าง รร.จะมีกิจวัตรช่วงเช้าก่อนกิจกรรมวงกลมเช่น พับผ้า ร้อยดอกไม้ ฯลฯ อีกทั้งเด็กๆที่มาเร็ว เค้าได้เตรียมตัว ได้เตรียมความพร้อมก่อนเพื่อน ก็จะพัฒนาได้เร็วกว่า เด็กที่มาสาย บางทีก็งอแง บางทีก็มีอารมณ์ง่วง อารมณ์ไม่พร้อมอะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นคุณครูจะแนะนำให้มาก่อน 8 โมง)

8.00-14.00 น. เป็นเวลาที่กิ๊กอยู่บ้านเลี้ยงสิตา พอบ่าย 2 ก็ออกไปรับมิสา (สลับกับคุณยาย)
15.00 น. มิสายอมออกจากรร. ต้องบอกว่ายอม เพราะรร.เลิก 2.30 แล้วเล่นอิสระต่อ ซึ่งเธอชอบเล่นมากกก ไม่ยอมกลับบ้านเลย ถ้าไม่มีเรียนอะไร ส่วนมากจะอนุโลมให้เล่นยาวได้ถึง 15.30

15.30-16.00 น. กลับถึงบ้านแล้ว ก็เล่นอิสระ วาดรูป ระบายสี แป้งโดว์ ของเล่น บอร์ดเกม เล่นกับน้อง

17.00 น. ออกไปเดินเล่น ขี่จักรยาน ขี่ scooter ฯลฯ 
18.00 น. พ่อกลับมาถึงบ้าน หรืออาจจะกลับมาเร็วกว่านี้ตามแต่งานมากน้อย

กิจวัตรในช่วงเย็นของเรา มีตั้งแต่ไปเดินเล่น ขี่จักรยาน วิ่งเล่นที่สนามหญ้า เล่นสนามเด็กเล่น ไปจนถึงว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำ ซึ่งมันดีมากๆๆ วันไหนพ่อกลับเร็ว พ่อก็ได้มาว่ายน้ำกับเรา ถือเป็นเวลาคุณภาพมากๆๆๆๆ

ประมาณ 6 โมงเย็น เราก็เข้าบ้านกัน กินข้าวเย็น แล้วก็เข้านอนกันตามปกติ


++ รูปนี้ตั้งแต่ปี 58 สิตายังเพิ่งขวบนิดๆ เลยยังนั่งรถเข็น ++



ซึ่งก็บอกเลยว่าชีวิต happy ดีมากๆๆ ไม่ต้องมาหัวเสียเรื่องรถติด ไม่ต้องมานั่งเครียดลูกจะไปเรียนทันมั้ย ไม่ต้องรีบเร่งกันตั้งแต่เช้า มีเวลากินข้าวเช้าสบายๆ พ่อนั่งเล่นนิทานในรถให้ลูกฟังได้ ไม่หงุดหงิดกับรถติด 555 พอเลิกเรียนก็แป็บเดียวถึงบ้าน ไม่ต้องรถติดอยู่บนถนน กลับบ้านมามีเวลาร่วมกัน






ส่วนวันเสาร์ ก็เป็นวัน activity เรียนพิเศษ 555 ก็จะพาทั้งมิสากับสิตาออกไปเรียนแถวพระราม 3 พอตกเย็นวันเสาร์ ก็ dinner time มีเวลาได้เข้าไปกินข้าวในเมือง (เพราะเราอยู่ในเมืองอยู่แล้ว เข้าเมืองก็แป็บเดียว สะดวก) ส่วนวันอาทิตย์ ก็แล้วแต่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรพิเศษรึป่าว ถ้าไม่มีอะไร กิ๊กก็จะใช้จังหวะนี้เข้าเมืองช็อปปิ้ง 555 เพราะวันอาทิตย์รถไม่ติด พอตกเย็นก็กลับมาว่ายน้ำเล่นกัน

สรุปชีวิต @ new home อีกที... ใครจะว่าพระราม 2 อะไรยังไง ..

ณ วันนี้ เรารู้เลยว่า เราคิดไม่ผิดจริงๆที่ย้ายบ้านมาที่นี่ค่ะ... Smiley





Create Date : 21 มีนาคม 2559
Last Update : 30 มิถุนายน 2560 11:23:04 น.
Counter : 435 Pageviews.

0 comment
นมมาแว้วววว (บันทึก ณ สิตาอายุ 7 วัน)


ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นคนนมเยอะไปได้
เพราะตอนท้องมิสา เวลาใครถามกิ๊กว่า นมเยอะมั้ย
กิ๊กจะบอกตลอดว่า นมไม่เยอะ แต่พอให้ลูกกิน
เพราะมันเป็นหยั่งงั้นจริงๆ
คือ ไม่ใช่ว่า เราปั๊มได้วันละ 50 -60 ออนซ์อะไรหยั่งงั้น
อันนั้นคือ เยอะจริง ไรจริง
แต่ของกิ๊ก ปั๊มได้อย่างดีก็ครั้งละ 4-6 ออนซ์ (2 เต้า)
แต่อาศัยว่าเรามีวินัย ปั๊มตรงเวลาทุกวันๆ
อยู่กับลูก ก็ให้ดูดเต้าตลอด
ก็ทำให้มีนมพอให้ลูกกินจนถึง 1.7 ขวบได้
และสามารถทำ stock ได้เต็มตู้เย็นเช่นกัน
(และสุดท้าย stock นมต้องทิ้งเป็นร้อยถุงเพราะลูกไม่กิน)


แต่พอมาท้อง 2 นี่งงมากๆๆๆ...
งงจนต้องบันทึกไว้ซะหน่อย 555


เริ่มตั้งแต่ที่รพ. ที่พอคลอดสิตาปุ๊บ
พอพยาบาล พามาดูดครั้งแรก ตอน บ่ายโมงตรง (คลอด 8 โมง)
นมก็มาทันที

(ตอนมิสา นมมาตั้งวันที่ 3 แน่ะ)
แต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก พยาบาลเอายาโมทิเลี่ยมมาให้ก็กินปกติ
ดื่มน้ำขิง ดื่มน้ำร้อน กะโด๊ปให้นมมาเต็มที่
ตอนไปห้องให้นมในวันที่ 2 (รอบบ่ายโมง)
เห็นแม่ๆในห้องนั่งประคบเต้ากันใหญ่
เราก็ยังว่า ของเราไม่ต้อง เพราะมันไม่ได้แข็ง ได้คัดอะไรเล้ยย
หารู้ไม่...


พอบทนมจะมา มันก็มาทันที
จริงๆ ส่วนใหญ่สิตากินเต้าเดียวหลับตลอด
ณ ตอนนั้น ยังไม่รู้ว่านมมาเยอะ
ก็บอกคุณพยาบาลว่า ลูกเอาแต่หลับไปยอมกิน
แต่พอลองปั๊มกระตุ้นหลังลูกดูด นมออกมา 1 ออนซ์ได้ (วันที่ 2)
พยาบาลเลยบอกว่า นมแม่เยอะนี่เอง ตัวเล็กเลยกินเต้าเดียวอิ่ม
แต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก ยังคงกินโมทิเลี่ยมต่อไป


วันที่ 3 รอบ 5 โมงเย็น มิสากินแค่เต้าเดียวอิ่ม
มันก็เลยเหลืออีกเต้า ซึ่งคัดมากๆๆๆ
ขอพยาบาลปั๊ม ก็ปั๊มไม่ออก
เริ่มรู้สึกถึงอาการคัดเต้าอย่างรุนแรง
แต่ก็ไม่รู้ทำไง เพราะต้องรอให้ลูกดูดรอบต่อไป คือ 3 ทุ่ม
ซึ่งพยาบาลก็บอกว่า ช่วงนี้นมจะมาเยอะหน่อยนะแม่
(คือ ช่วง 2-3 ทุ่ม จะมาเยอะกว่าตอนกลางวัน แปลว่า จะคัดเยอะขึ้น)
พอรอบ 3 ทุ่ม สิตาก็ดูดอีกเต้าออก แต่ไม่หมด
กินเสร็จ ก็มาปั้มออกอีก แต่มันเหมือนพอเต้าเริ่มแข็ง
ก็จะปั๊มไม่ค่อยออก (แม้จะประคบแล้วก็ตาม)
ตอนนี้เริ่มมีพยาบาลหลายคนบอกว่า แม่นมเยอะนะเนี่ย
แล้วคืนที่ 3 ทั้งคืน ก็เป็นคืนที่ต้องจดจำเลย
เพราะว่า คัดเต้ามากกก....คัดจนนอนไม่หลับ
นอนตะแคงไม่ได้ ตอนหงายก็ดันปวดหลัง (ที่นอนแข็งมาก ขอบอก)
ไหนๆ ก็นอนไม่ได้อยู่แล้ว ก็ไปให้นมที่ห้องให้นมเลยละกัน
เพราะ 2 คืนที่ผ่านมา รอบตี 1 กับรอบ ตี 5
กิ๊กจะให้พยาบาลเอาสิตามาดูดที่ห้อง แล้วก็ให้นมท่านอนไปเลย
แต่คืนที่ 3 มันไม่ไหวจริงๆ ต้องไปที่ห้องให้นม
เพราะต้องประคบนม และต้องปั๊มหลังกินเสร็จ (ถ้าที่ห้องจะไม่มีที่ประคบ และไม่มีเครื่องปั๊มนม)


สรุป ไปห้องให้นมตอน 00.45 น. กลับมาอีกที ตี 2
ซึ่งนอนไม่หลับเหมือนเดิม ก็เลยตั้งนาฬิกาไว้ ตี 4.45
เผื่อไปประคบนมก่อน ก่อนให้นมรอบตี 5
มีเวลานอน 2 ชม.นิดๆ ซึ่งก็บอกเลยว่า นอนไม่หลับเลย
พอตี 4.45 ลุกขึ้นมาแปรงฟัน แล้วก็ไปห้องให้นม กลับมาอีกทีก็ 6 โมงเช้า
ได้หลับซัก 1 ชม. ก็ตื่น เตรียมตัวอาบน้ำ กินข้าว เพื่อไปให้นมรอบ 9 โมงเช้าอีก
สรุป คือ ไม่ได้นอนทั้งคืน น๊อครอบเลย เหอ เหอ


วันที่ 4 เป็นวันที่จะได้กลับบ้าน
ลุ้นมากว่าสิตาจะได้ออกจากรพ.รึป่าว
เรื่องนม คิดว่าน่าจะพอ แต่กลัวลูกตัวเหลือง
ปรากฏว่าผ่าน...สิตากลับบ้านได้
ตอนกลับ พยาบาลเอานมที่เราปั๊มระหว่างอยู่รพ.มาให้
คงเพราะลูกไม่ได้กินเลย ได้มาตั้ง 5-6 ออนซ์ ถุงใหญ่มาก
เลยเริ่มรู้แล้วว่า สงสัยจะนมเยอะจริง 555


กลับมาถึงบ้านวันแรก พอให้นมสิตา ก็ต้องปั๊มอีกข้างออกเลย
เพราะนมคัดมากกก
โชคดีที่เตรียมเครื่องปั๊มนมไว้ตั้งแต่ตอนก่อนคลอดแล้ว
(เกือบไม่ได้เตรียม เพราะตอนมิสา กลับมาบ้านแล้ว ยังไม่ได้ซื้อเครื่องเลย ด้วยซ้ำ 555)
ก็ได้ใช้เลยทันที...
และได้ทำ stock นม ตั้งแต่วันแรกที่กลับมา
อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่คาดคิดว่าจะได้ทำ stock นม
แม้จะแค่เป็นถุงเล็กๆ 3 ออนซ์
(ตอนท้องแรก ทำ stock ตั้งวันที่ 10 ที่กลับมา และก็ได้แค่วันละถุง)
ซึ่งตั้งใจทำเป็นถุงเล็กด้วย เพราะถ้าจะให้สิตากินเดือนแรกๆ ยังกินครั้งละไม่ถึง 4 ออนซ์


ตอนแรกหวังมากมายว่า ถ้าคัดเต้า จะให้มิสาช่วยดูด
คิดล่วงหน้าว่า ท้องนี้สบายแล้ว มีตัวช่วย
ปรากฏว่า มิสาเธอไม่เอาเต้าเลย...เธอมองแล้วเมิน
พอให้ลองดูดดู เธอเหมือนดูดไม่เป็น
ต้องนับเป็นครั้งๆ 1..2...3 ทำได้ข้างละ 50 ครั้ง (รวม 100 ครั้ง)
พี่หยี่ต้องให้รางวัลเธอเลยอ่ะ 555
ซึ่งไอ้ 100 ครั้งอ่ะ มันไม่ช่วยเลยนะ
เพราะถ้าจะเอาก้อนแข็งๆออกจริงๆ มันต้องดูเป็น 10-15 นาทีนู้น
สรุป เลยได้แต่ปั๊มแล้วเทใส่แก้วให้มิสากินแทน


ซึ่งก็ยังดีที่มิสายอมกิน
ครั้งแรกลุ้นน่าดูว่าจะกินมั้ย เพราะเค้าว่ารสชาติ+กลิ่นมันจะแปลกๆ
เด็กกินนมกล่องมาแล้ว อาจจะไม่คุ้น
ใช้วิธีแบ่งเป็นแก้วเล็กๆ 2 ออนซ์
(เพราะมิสาดื่มนมแก้วใหญ่ไม่ค่อยหมด)
ปรากฏเธอกินได้ ก็เลยตั้งใจว่า จะให้มิสากินนมแม่ไปด้วยเลย


ส่วนตร.เวลาในการปั๊ม
ขอสารภาพว่า ถึงแม้จะเป็นคนที่ 2 แล้ว
แต่ก็ยังสับสนมากๆๆๆๆ 5555
คือ ด้วยความที่ลูกดูดข้างเดียวมาตลอด
พอให้ลูกดูดเสร็จ ก็ต้องมาปั๊มต่อ
ซึ่งสิตาเนี่ย หลังทานนม เค้าจะนอน 2-3-4 ชม. แล้วแต่
ถ้า 2 ชม. ก็ให้กินอีกข้างเลย แต่ถ้า 3-4 ชม. นมจะคัดก่อนแล้ว
เพราะเท่ากับว่า ข้างที่ไม่ได้กิน มันห่างกันเกิน 4 ชม.แล้วอ่ะ
(คัดนี่คือ มันตึงๆอึดอัดเลยนะ ไม่ใช่แค่จี๊ดๆ)
ก็ต้องปั๊มนมก่อน...พอลูกตื่นก็ให้กินที่เหลือในเต้า
(ซึ่งมั่นใจว่าพอแน่นอน เพราะนมมาเยอะจริง
และข้อดีคือ ลูกจะได้กินส่วนที่เป็นไขมัน เพราะปั๊มส่วนน้ำที่ใสๆไปแล้ว)


ไปๆมาๆ เลยกลายเป็นนมคัดทุก 2 ชม.
วันๆ นั่งปั๊มนมทั้งวันทั้งคืนอ่ะ (ถี่กว่าให้ลูกกินซะอีก)
ซึ่งกลางคืน บางทีง่วงมากๆๆๆๆ เคยลักไก่ ไม่ปั๊ม ขอนอนต่อ
ปรากฏ กลายเป็น 4 ชม. นมคัดมากๆๆๆ...แข็งปั๊งเลย
แล้วก็เป็นก้อนเป็นไต...กลัวมากกกก ว่าจะเป็นเต้านมอักเสบ
หลังจากครั้งนั้น เลยไม่กล้าไม่ปั๊มอีกเลย
ง่วงยังไงก็ต้องตื่นมาปั๊ม...


ซึ่งขอบอกว่า ช่วงนี้พยายามไม่โด๊ปอะไรทั้งสิ้นเลยนะ
น้ำขิงก็ไม่กิน กินน้ำเปล่าธรรมดา (ไม่อุ่นด้วย)
เพราะต้องการลดนม ให้เท่ากับลูกกินก็พอ (ลูกเพิ่ง 7 วันอ่ะ)
เพราะมันเหมือนเยอะเกินไปแล้วอ่ะ แบบต้องปั๊มทุก 2 ชม.
มันรบกวนการใช้ชีวิตมากเกินไป
พยายามจะลดรอบปั๊ม
ปั๊มไม่เกลี้ยงบ้างอะไรบ้าง
(ไม่อยากจะเชื่อ ว่าต้องทำอะไรแบบนี้
เคยคิดแต่ว่า ชั้นจะเพิ่มน้ำนมยังไงดี แต่นี่จะลดยังไงดี )
แต่ติดว่า นมมันคัด มันปวดมาก...เราก็ต้องปั๊มอยู่ดี
แล้วพอปั๊ม มันก็เหมือนเราไปกระตุ้นน้ำนม
น้ำนมมันก็มาเรื่อยๆ
สรุป แล้วมันจะลดได้ยังไง ยังงงๆอยู่
ก็เลยตั้งเป้าใหม่ เป็นการปั๊มให้มิสากินวันละ 8 ออนซ์ไปเลย
ถือว่า เลี้ยงลูก 2 คนเลยละกัน เหอ เหอ


ซึ่ง ณ วันที่ทำการบันทึกนี้ (สิตา 7 วัน)
ปริมาณนมที่ได้คือ ให้สิตากินเต้าตลอดทั้งวัน+คืน
ปั๊มเก็บให้สิตา วันละ 1 ถุง ปริมาน 3 ออนซ์
ปั๊มให้มิสาทาน เช้า 4 ออนซ์ เย็น 4 ออนซ์
ซึ่งของสิตา จะไม่เน้นทำ stock เพราะกิ๊กเลี้ยงลูกเองตลอดอยู่แล้ว
ทำแค่เผื่อๆเวลาไปธุระ ก็ให้คุณแม่ป้อนขวด
ไม่เหมือนของมิสา เนื่องจากตอนนั้นยังทำงานออฟฟิศอยู่
และอีกอย่าง เริ่มรู้แล้วว่า พอโตๆไป แบบเริ่มรู้รสชาด (เริ่มเรื่องมาก 555)
เด็กจะกินจากเต้ามากกว่า stock
(พูดง่ายๆ คือ เป็นไปได้ว่า พอโตๆไป stock ที่ทำมา อาจต้องทิ้งยกตู้อีก T_T)
ก็เลยไม่เน้นเก็บ stock มาก แต่เน้นปั๊มสด แล้วให้มิสาทานวันต่อวันไปเลยมากกว่า



บล๊อคนี้ ตั้งใจเขียนขึ้นมา เพื่อบันทึกว่า ครั้งนึงเราเคยมีนมเยอะขนาดคัดเต้านะคะ
ไม่ได้มีเจตนาจะอวดอะไรทั้งสิ้นนะคะ
คุณแม่ที่น้ำนมน้อยมาอ่าน ก็ไม่ต้องเสียกำลังใจไปนะ
เพราะเค้าบอกว่า ท้องสอง น้ำนมจะมาเร็ว และเยอะกว่าท้องแรกเป็นธรรมดาค่ะ



Create Date : 22 มกราคม 2557
Last Update : 23 มกราคม 2557 16:11:05 น.
Counter : 1082 Pageviews.

0 comment
ใกล้จะได้เป็นคุณแม่ลูกสองแล้วนะ ^^
อิอิ ใช่แล้วค่ะ
หลังจากที่ท้องที่ 2 ของกิ๊กหลุดไป
ใช้เวลาพักฟื้นอยู่ประมาณ 3 เดือน
ซึ่งก็ถือโอกาสไปเที่ยวอเมริกามา 2 อาทิตย์
พอกลับมา ปฎิบัติการท้องที่ 3 ก็เริ่มต้นขึ้น

จริงๆพี่หยี่อยากให้มีน้องระหว่างทริปอเมริกาเลย 555
จะได้เหมือนตอนมิสา ที่กำเนิดที่เวนิซ
แต่เผอิญวันไม่ตรงพอดีเนอะ (อ้าว ติดเรทซะงั้น 555)
ก็เลย..ต้องรอกลับมาก่อน
กลับมาปุ๊บ ก็ได้ฤกษ์ปฎิบัติการทันที

แต่ด้วยความที่พี่หยี่รู้สึกว่า เราเสียเวลาไปมากแล้ว
(ท้อง 2 รวมตั้งแต่ท้อง - พักฟื้นรวม 6 เดือน)
พี่หยี่เลยบอกว่า อย่ามัวแต่อยากได้ลูกชายอยู่เลย
(คือ ลูกชายก็ต้องเลือกวันพอดีเป๊ะๆอะไรแบบนี้
โอกาสใน 1 เดือน ก็ค่อนข้างน้อย)
จะหญิงจะชาย ก็ได้ทั้งนั้น ถือซะว่าเป็นดวงที่เค้าจะมาเป็นลูกเรา
ซึ่งพอปฎิบัติการเดือนแรก
น้องน้อยก็มาทันทีค่ะ ^^
แบบไม่ต้องให้รอลุ้นนานเลย
(สรุปได้ว่า ถ้ามัวแต่วางแผน จะไม่ติด แต่เมื่อไร่ ไม่วางแผนปุ๊บ มาทันที 555)


ท้องนี้ก็ตรวจจากเทสต์เตอร์ตอนประมาณ 4 สัปดาห์ค่ะ
แล้วก็โชคดีนิดนึง ที่กลับมาได้หมอประจำที่เคยทำคลอดตอนมิสาด้วย
ซึ่งได้นัดครั้งแรกตอนประมาณ 7 สัปดาห์
พอเจอคุณหมอปุ๊บ ก็ซาวด์ดูหัวใจน้องเลยค่ะ
(คือ ไม่ได้เจาะเลือดยืนยันแล้ว เพราะท้อง 3 แล้ว ค่อนข้างมั่นใจว่าท้องชัวร์ 555)
พอเห็นหัวใจน้องกระพริบๆ ...ก็เป็นอันโล่งใจว่า ท้องปกติแน่ๆ
แต่คราวนี้กิ๊กถือเคล็ดค่ะ ยังไม่บอกใครๆจนกว่าจะ 3 เดือนไปก่อน
บอกแต่ญาติที่สนิทๆจริงๆ
เพราะท้องที่แล้ว ตื่นเต้นมากก บอกทุกคน
พอหลุดขึ้นมาแล้วมันก็แบบ...อ่ะนะ...


ท้องนี้ แพ้ท้องค่อนข้างเยอะกว่าตอนท้องแรกค่ะ
คือ มาหมด พะอืดพะอม นี่มากๆๆๆเลย
มีอาเจียนด้วย (ไม่ถึงกับโอ๊กอ๊ากทั้งวัน แต่เยอะกว่าท้องแรก ท้องแรกวันละครั้ง)
แล้วก็ทรมาน ท้องอืด พะอืดพะอมขมปากอยู่ตลอดเวลา
แต่ไม่ใช่จะกินอะไรไม่ได้นะ
พอขมปาก มันเลยต้องกินอ่ะ (งงมะ 555)
สรุป 3 เดือนแรก นน.ขึ้นมา 3 โลได้
คือ จริงๆ มันเหมือนมีค้างๆมาจากท้อง 2 ที่หลุดไปด้วย
เพราะตอนนั้น เราก็เริ่มบำรุงแล้ว (บำรุงเร็วมากก 555)
แล้วยังไม่ทันได้ลดนน.ลง ก็มาท้องนี้ต่อ
แต่อาการอย่างอื่นเช่น ไม่อยากออกจากบ้าน ร้อน ฯลฯ
กลับไม่มีอะไร
มีเหม็นของหอมๆ เหมือนท้องแรกนิดหน่อย
แต่ไม่เกลียดอาหารญี่ปุ่น
ที่แปลกกว่าคือ ชอบกินน้ำหวานๆๆๆมากๆๆๆ
ชอบกินเป๊บซี่ (ปกติไม่กินน้ำอัดลมเลย)
ชอบกินโอเลี้ยงด้วย (รู้นะว่าไม่ดี แต่อดไม่ได้เลยอ่ะ มันอยากมากก)
และอาการที่ว่ามาทั้งหมดมีไปถึง 4 เดือน
ตอนแรกนึกว่าจะหายตอน 3 เดือนเหมือนท้องแรก
นี่ค้างมาอีก 1 เดือน 555


ท้องนี้กิ๊กบอกเลย ระมัดระวังมากกว่าท้องแรกมากๆๆๆๆ
ไม่ออกไปไหนเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยากออกนะ
แต่เพราะท้องที่แล้วหลุดไป ท้องนี้เลยกลัวมากก
ก็ระวังทุกอย่าง (ยกเว้นกินโอเลี้ยง ^^")
แต่เอาเข้าจริง ก็ทำไม่ค่อยได้ เพราะต้องเลี้ยงมิสาด้วยไง
แล้วงานเลี้ยงเด็ก เล่นกะเด็ก นี่ไม่ใช่ธรรมดานะคะ
เหนื่อยค่ะ 555 ขยับเขยื้อน เคลื่อนไหวตลอดเวลา
ก็ได้พี่หยี่ กับคุณแม่ มาช่วยช่วงนี้บ้าง
แต่ไม่ไปเที่ยวตจว.เลย
มาเริ่มไปตอน 4 เดือนแล้ว
และก็ไป 4 ทริปติด 555
พอ 7 เดือน ก็หยุดทันที ^^"


ซึ่งต้องขอบันทึกเลยว่า
ท้องนี้ ได้พี่หยี่ช่วยเลี้ยงมิสาไป 90% เลย
คือ ท้องมิสาเนี่ย พี่หยี่จะออกแนวทะนุถนอมเรา
ไม่ให้ทำอะไรเลย ทำให้ทุกอย่าง
ดูแลอาหารการกิน
เป็นคุณพ่อตัวอย่างเลย
แต่พอมาท้องนี้ พี่หยี่ไม่ค่อยได้ดูแลกิ๊กเท่าไร่
แต่กิ๊กไม่โกรธ ไม่น้อยใจนะ
เพราะพี่หยี่รับภาระดูแลมิสาไปเต็มๆๆๆๆๆ
ซึ่งมันเหนื่อยมากกว่ามาดูแลเราซะอีกอ่ะ
เพราะงานเลี้ยงเด็ก ใครๆก็รู้ว่าเหนื่อยมาก
เริ่มตั้งแต่เช้า ตื่นนอน อาบน้ำ (อันนี้ทำอยู่แล้ว)
แล้วก็กินข้าวเช้า พาไปรร.
พอเย็นกลับมา ก็เล่นกับลูก เอาลูกกินข้าว อาบน้ำ เข้านอน
คือ เรียกว่ารับภาระตรงนี้ไปเลย
ซึ่งกิ๊กซาบซึ้งมากๆๆๆนะ 5555
ส่วนเรื่องการดูแลพื้นฐานก็ไม่ได้ละเลย
พาไปหาหมอทุกครั้ง
แล้วก็คอยระวัง ขับรถให้เกือบตลอด (กิ๊กจะขับเวลาจำเป็นจริงๆ)



โดยรวมๆ ท้องนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรเท่าไร่
ออกแนวชิลล์ๆ เพราะเป็นท้อง 2
จะมีตื่นเต้น 2 เรื่อง คือ
เจาะน้ำคร่ำ กับ ตรวจเบาหวาน
ไว้จะเขียนละเอียดลงในเรื่อง pregnancy อีกทีนะคะ
แล้วก็ไม่ค่อยมีรูปน้องในท้องเท่าไร่
เพราะซาวด์ตามที่หมอกำหนดเลย
คือ ตอนประมาณ 4 เดือน กับ 7 เดือน ดูความสมบูรณ์เด็ก
ส่วน 4 มิติ ไม่ได้ซาวด์ (ลูกจะเสียใจมั้ยเนี่ย T_T)
เพราะกิ๊กรู้สึกว่า ซาวด์มาก็ไม่ได้อะไร
เพราะรูปที่น่ารักๆๆๆของลูก จะมีอีกเพียบบบ ในเวลาที่เค้าเกิดมาแล้ว 555
(ประสบการณ์ตรง คือ หลังจากถ่ายรูปมิสาตอนออกมาแล้ว
ก็ไม่เคยหวนกลับไปดู 4 มิติอีกเลย 555)


กับอีกเรื่องที่ทำให้เครียดๆมากกว่าท้องแรก คือ เรื่องกำหนดคลอด
เพราะเค้าว่า ท้อง 2 นี่จะคลอดเร็วกว่าท้องแรก จะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
กิ๊กลองไปถามๆเพื่อนท้อง 2 ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า คลอดก่อนกำหนด(ผ่า/คลอดเอง) กันแทบทั้งนั้น
มีตั้งแต่น้ำเดิน / ปวดท้อง ตั้งกะ 36-37-38 วีค
ไม่ค่อยมีใครอยู่ถึง 39 วีคได้ซักคน (มีแต่น้อยมากกก)
ก็เลยกลายเป็นวิตกจริต กลัวจะอยู่ไม่ถึงวันผ่า T_T
ซึ่งตอนที่นั่งพิมพ์อยู่นี่ ก็ 37 วีคแล้วววว
หวังว่าจะอยู่ถึงกำหนดผ่า 14 ม.ค. = 38 วีค 3 วันนะจ๊ะ






Create Date : 04 มกราคม 2557
Last Update : 4 มกราคม 2557 17:22:31 น.
Counter : 1171 Pageviews.

3 comment
สูญเสีย....จน(เกือบ)เสียศูนย์
ไม่ได้เขียนกรุ๊ปบล๊อคนี้ซะนานเลย (จริงๆคือทุกกรุ๊ปนั่นแหละ ที่ไม่ได้เขียนเลย)
แต่วันนี้ได้กลับมาอีกครั้ง หลังจากตั้งหลักได้แล้ว
ก็คิดว่า ต้องบันทึกไว้หน่อย ถึงแม้จะเป็นเรื่องความสูญเสียก็ตาม

แรกเริ่มเดิมทีเลยกิ๊กตั้งใจจะมีน้องให้มิสาตอนมิสาอายุได้ 2 ขวบ
โดยกะว่าจะไปเที่ยวทริปต่างประเทศยาวๆให้หายคิดถึงซะก่อน 1 ทริป
ช่วงประมาณปลายปี 54
ปรากฏว่าปีนั้น น้ำท่วมกทม. ก็เลยได้อพยพตัวเองไปอยู่พัทยา 1 เดือน
(มีรีวิวร้านอาหารพัทยาไว้นะ ในบล๊อค dining out 555)
โครงการไปเที่ยวก็ต้องพับไป ...
แต่ด้วยความอยากเที่ยว เพราะไม่ได้เที่ยวมา 2 ปีเต็ม
เลยต้องขอจัดซัก 1 ทริปก่อนมีน้อง 555
ซึ่งสุดท้าย ก็ได้ไปยุโรป ช่วงเดือนเมษาของปีถัดมา (ปี 55)
กลับจากทริป ก็เปิดอู่ทันที...

ตอนแรกนึกว่าจะง่ายเหมือนตอนมิสา
แต่ปรากฏว่า จะด้วยเพราะอยากได้ลูกชายรึป่าวไม่รู้
ซื้อที่เทสต์ไข่ตกมาด้วย
เค้าว่าถ้าอยากได้ลูกชาย ต้องมีวันไข่ตก และต้องเว้นช่วงนานหน่อย
สรุป มันแปลว่ามีโอกาสแค่ไม่กี่วันต่อเดือนเองนะ 555
ผ่านไป 4 เดือน ไม่มีวี่แววว่าน้องจะมา
จนพี่หยี่เริ่มยั๊วะ...แล้วเค้าก็ไม่ได้อยากได้ลูกชายด้วย (อยากได้ลูกสาวอีก คิดดูสิ)
พี่หยี่เลยบอกว่า ไม่ต้องเทสต์มันแล้ว ปล่อยตามธรรมชาติไป
เลยปรากฏว่า เดือนต่อมา น้องก็มาทันที....


ตอนที่รู้นั้นน่าจะประมาณ 4 สัปดาห์กว่า
ซึ่งก็มีเรื่องอีก เพราะนึกว่าจะใช้หมอสูติคนเดิมกับที่ทำคลอดมิสา
ปรากฏว่า พยาบาลบอกว่าคุณหมอไม่รับเคสฝากครรภ์แล้ว
เราก็เลยต้องขวนขวายหาข้อมูลว่าจะฝากครรภ์กับใคร
จนในที่สุด ก็ได้คุณหมอชื่อดังท่านนึง แต่ว่าคิวที่จะได้ คือประมาณ 1 เดือนกว่าๆถัดไป
ซึ่ง ณ วันที่ตรวจกับคุณหมอ ก็จะมีอายุครรภ์ 9 สัปดาห์แน่ะ
ตอนนั้นก็กังวลใจว่าจะนานไปมั้ย อยากซาวด์ดูลูกเร็วๆ
อยากได้ยินเสียงหัวใจเค้า จะได้รู้ว่าเค้ามีชีวิตอยู่จริงๆ
แต่พยาบาล + พี่หยี่ ก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ถ้าเราไม่ได้มีเลือดออก
ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ก็รอจนถึง 9 สัปดาห์ได้
ปลอบใจตัวเองว่า ท้องแรกเราก็แข็งแรง ไม่มีปัญหา
ขนาด 6 สัปดาห์ยังไปเที่ยวญี่ปุ่นอยู่เลย บลาๆๆๆๆๆ
จนสุดท้าย ก็ครบ 9 สัปดาห์ โดยที่ไม่มีอาการอะไรผิดปกติเลย
ไม่มีเลือดออก ไม่มีปวดท้อง ไม่มีอะไรทั้งนั้น...
รวมทั้งไม่มีอาการแพ้อะไรเลยด้วยซ้ำ มีแค่ท้องอืดๆเท่านั้น
(ตอนมิสา ถึงจะแพ้น้อย แต่ก็ยังมีพะอืดพะอม ขมๆปากบ้าง
แต่นี่ไม่มีอะไรเลย เฉยสนิทจริงๆ)


พอเจอคุณหมอครั้งแรก คุณหมอนับสัปดาห์แล้ว ก็บอกว่าให้ซาวด์ดูเด็กเลย
จะได้ตรวจฟังเสียงหัวใจเด็ก และดูว่าท้องปกติ ไม่ได้ท้องนอกมดลูก
ซึ่งปรากฏว่า พอถึงตอนซาวด์ (ทางช่องคลอด เพราะเด็กยังเล็กมาก)
คุณหมอควานๆดูแล้วก็บอกว่า "ไม่ได้ยินเสียงหัวใจเด็ก"

ครั้งแรกที่ได้ยิน ยังไม่ได้ขวัญเสียนะ คิดว่าเครื่องหาไม่เจอ
คุณหมอก็หาต่อไปอีกหน่อย ก็พบว่า ไม่ได้ยินจริงๆ
และขนาดของเด็ก ยังเล็กกว่าอายุมากก คือ ประมาณ 6 สัปดาห์เท่านั้น
(ทั้งๆที่จริงๆ 9 สัปดาห์แล้ว)
ท่าทางคุณหมอเงียบมาก ไม่พูดอะไร แล้วก็บอกว่า เดี๋ยวออกมาคุยกันข้างนอก

ตอนนั้นเริ่มใจหายแล้ว แต่ยังคิดว่า เอ๊ะ นับวันผิดรึปาว ต้องมาซาวด์ใหม่มั้ย
คือ ไม่คิดว่าจะเกิดกับตัวเองไง
พี่หยี่หน้าซีดกว่า เพราะไม่เคยเตรียมใจไว้เลย
ส่วนกิ๊กเอง ก็ไม่ได้เตรียมใจ แต่ว่าก็ไม่ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังขนาดนั้น
(เพราะกะว่าขอฟังเสียงหัวใจเด็กก่อน แล้วความรู้สึกจะเต็มที่กว่านี้)

พอเข้ามาคุยในห้องคุณหมอ...
ก็จริงๆด้วย คุณหมอบอกว่า
ตัวอ่อนไม่เจริญเติบโต หยุดการเติบโตไปตั้งแต่ 6 สัปดาห์ (ไม่มีหัวใจ)
จากนั้นคุณหมอ ก็อธิบายถึงความเป็นไปได้ต่างๆที่จะเกิดกรณีนี้ขึ้น
หน้าคุณหมอมีแววเห็นใจเรามากๆ แต่ข้อมุลที่ให้ แน่น ชัดเจนและกระชับมาก
คุณหมอให้ทางเลือกเรา 3 ทาง
คือ ใช้ยาเหน็บ, ขูดมดลูก, หรือรอให้ตัวอ่อนหลุดมาเอง
คุณหมอให้เวลา 1 สัปดาห์ไปตัดสินใจ

พี่หยี่เลือกให้หลุดออกมาเอง เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องหลุดออกมาอยู่แล้ว
แต่กิ๊กเลือกขูดมดลูก เพราะอยากให้เสร็จๆไป จะได้เริ่มใหม่ได้เร็วๆ
ปรากฏว่า 1 อาทิตย์ผ่านไป วันที่จะไปพบหมอเพื่อให้คำตอบพอดี
ก็มีเลือดออกมานิดๆ
พอหาหมอ ก็เลยบอกหมอว่า มีเลือดออกมาแล้ว
คุณหมอเลยบอกว่า งั้นก็รอก่อนนะ เพราะมีเลือดออกแล้ว แสดงว่ามีสัญญาณแล้วล่ะ
(ดีนะ ที่เลือดออกวันนี้พอดี เพราะถ้าเลือดไม่ออก กิ๊กคงนัดขูดมดลูกแล้วอ่ะ)
สุดท้าย ตัวอ่อนก็หลุดออกมาเองจริงๆ
ไปตรวจอีกรอบ คุณหมอก็ทำความสะอาดให้อีกนิดหน่อย
พร้อมกับบอกว่า โชคดีนะ ไม่ต้องขูดมดลูก 5555
กิ๊กก็ว่าโชคดี เพราะไม่อยากเสียตังค์อ่ะ
ลูกก็ไม่ได้ แถมยังต้องเสียเงินตั้ง 2 หมื่น ...ไม่ไหวอ่ะ


คุณหมอบอกว่า พักให้ประจำเดือนมาซัก 2 รอบ ก็เริ่มต้นปล่อยได้เลย
อืมม...เพราะฉะนั้น ระหว่างนี้ เราไปเที่ยวกันดีกว่า 5555
ตอนนั้นจำได้เลยว่า กิ๊กตั้งใจจะทำอะไรใหม่ๆหลายๆอย่างที่ตอนท้องทำไม่ได้
เริ่มจาก ไปยืดผม , ไปตัดติ่งเนื้อ , นวด , ทำเล็บ
คือ กะสดใสเต็มที่อ่ะ
เหมือนกับว่า จริงๆมันเศร้าไม่มากนะ (คงเพราะเตรียมใจไว้ว่าขอฟังหัวใจลูกก่อนอยู่แล้ว)
แต่ว่า มันเป็นความนอยด์มากกว่า แบบว่าแล้วท้องถัดไปล่ะ
เพราะท้องที่ผ่านมา เราก็ไม่ได้ทำไรเลย
แต่รู้แค่ว่าเหนื่อย เพราะเราเลี้ยงมิสาด้วย กิจกรรมเกี่ยวกับลูกมันก็เหนื่อยทั้งนั้น
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะก็ต้องเลี้ยงมิสาอยู่ดี

เครียดนิดหน่อย...แต่ขอไปเที่ยวให้สบายใจก่อนนะ
แล้วจะมาเริ่มต้นใหม่....





Create Date : 30 พฤษภาคม 2556
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 17:46:23 น.
Counter : 1151 Pageviews.

1 comment
เมื่อเวทีแห่งนี้...(กำลังจะ)มีพี่เลี้ยง..
เดิมทีกิ๊กไม่เคยจ้างพี่เลี้ยงเด็กมาตั้งแต่มิสาเกิดแล้วค่ะ
เพราะคุณแม่ย้ายมาอยู่ที่คอนโด (จ.-ศ.) เพื่อช่วยเลี้ยงมิสาตอนที่กิ๊กไปทำงาน
แล้วพอเสาร์-อาทิตย์ เราหยุดอยู่บ้าน ก็ช่วยกันดูกับพี่หยี่ 2 คน
ซึ่งขอบอกว่า เป็นอะไรที่พอนึกย้อนกลับไป
ก็รู้สึกมีความสุขมากๆๆๆ รู้สึกดีใจมากๆๆๆ
ที่เราได้ใช้เวลาอยู่กับลูกอย่างคุ้มค่า เท่าที่ working mom คนนึงจะทำได้
(ไม่นับเรื่องการที่มิสามีคุณยายมาดูแล ซึ่งก็เป็นอะไรที่ดีมากอยู่แล้วนะคะ)

มันเหนื่อยมากนะ ที่ไม่มีพี่เลี้ยง
เสาร์-อาทิตย์ เวลาจะไปไหนที
ก็เหนื่อยน่าดู ของก็ต้องหอบเอง
บางทีก็ต้องอุ้มจนแขนล้า (เพราะมิสาบางทีก็ไม่นั่งรถเข็นซะงั้น)
ถ้าไปกินข้าวกลางวันนี่ กิ๊กไม่เคยกินอิ่มซักมื้อ
เพราะมิสานั่งไม่ได้นาน ก็ต้องเอามาเล่น มาอุ้ม มาเดิน
ยิ่งถ้ากินมื้อที่มิสาก็ต้องกินข้าวด้วย
ก็ไม่ต้องกินกันล่ะ ป้อนลูกคำ แม่คำ
สุดท้ายไม่กิ๊ก ก็พี่หยี่ ก็ต้องอิ่มก่อน
แล้วมาดูมิสา...
คือ วุ่นวายตลอด 555


แต่ว่า....มันก็เป็นอะไรที่ happy
อยากบอกไว้ตรงนี้เลย สำหรับคุณแม่ที่ไม่มีพี่เลี้ยง
แล้วคุณเหนื่อยมากๆๆๆๆๆ (จนคิดว่า น่าจะจ้างพี่เลี้ยง)
มันเป็นอะไรที่น่าภูมิใจ น่าดีใจ และมีความสุขค่ะ
เพราะชีวิตทุกวันของลูกมีคุณค่า
การที่คุณได้ใช้ชีวิตกับเค้าให้มากๆๆ เป็นอะไรที่ดีที่สุด
เพราะเวลาย้อนกลับมาไม่ได้แล้วนะคะ
(วันนี้ของลูกมีวันเดียวค่ะ - วลีที่กิ๊กเคยเขียนไว้ในบล๊อคตอนก่อน)



แต่หลังจากที่กิ๊กลาออกจากงาน
แล้วมาทำธุรกิจส่วนตัว....
มันกลายเป็นว่า กิ๊กจำเป็นต้องจ้างพี่เลี้ยงเด็กซะงั้นแหละ

(งงมั้ย ลาออกจากงาน แต่กลายเป็นต้องมีพี่เลี้ยง 555)

เพราะว่า กิ๊กอยากเอาลูกไปออฟฟิศด้วย
เพื่อกิ๊กก็จะมีเวลา ได้เห็น ได้เล่นกับเค้ามากขึ้น
(แต่ไม่ได้เลี้ยงง่ะ)
และคุณแม่เอง ก็ได้มีเวลาพักมากขึ้นด้วย
แต่ถ้าเอามิสาไปออฟฟิศ กิ๊กก็ไม่สามารถ เลี้ยงเค้าที่ออฟฟิศได้
เพราะว่าก็ต้องทำงาน
สรุปว่า ต้องหาพี่เลี้ยงเด็ก ...


ซึ่งพี่เลี้ยงเด็กที่เล็งไว้ ก็ไม่ได้ไปหามาจากศูนย์ที่ไหน
แต่เป็นลูกจ้างทำงานบ้านคนปัจจุบันนั่นเอง
ที่จะได้เลื่อนฐานะมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก (และก็หาแม่บ้านคนใหม่)
กิ๊กขอเรียกเธอว่าขวัญแล้วกัน

ขวัญมาอยู่กับเราตั้งแต่กิ๊กท้องได้ประมาณ 8 เดือน
มาอยู่ได้ 4 เดือน (กิ๊กคลอดมิสาแล้ว)
ขวัญก็กลับบ้านไปช่วงเดือนมีนา ก่อนสงกรานต์
กิ๊กนึกว่า ขวัญจะไม่กลับมาแล้ว
เพราะกลับไปทีเป็นเดือน
แต่พอหลังสงกรานต์ ขวัญก็ติดต่อกลับมา
บอกว่า จะขอกลับมาทำงานอีก
กิ๊กกับพี่หยี่ก็ดีใจมากกกก
เพราะขวัญทำงานดี บ้านสะอาด มีระเบียบเรียบร้อย

ขวัญเคยบอกกิ๊กตั้งแต่มาทำงานบ้านใหม่ๆแล้ว
ว่า เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน และเลี้ยงเด็กได้
แต่ว่าทั้งกิ๊กและพี่หยี่ก็ไม่มีความไว้ใจในตัวขวัญเลย...บอกตามตรง
3 เดือนแรก ขวัญไม่ได้แตะตัวมิสาเลยด้วยซ้ำ
จนเกือบ 6 เดือนที่มิสานั่งได้แข็งนั่นแหละ
ที่กิ๊กให้ขวัญมาช่วยด้วยน้องบ้างนิดๆหน่อยเวลาไปอาบน้ำ หรือกินข้าว
(คือ มานั่งเฝ้ามิสา แต่ยังไม่ได้อุ้มไปไหนมาไหนเช่นเคย)


แต่แล้วขวัญก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น เมื่อมิสาคลานได้
เนื่องจากว่าคุณแม่กิ๊กแก่แล้ว เค้าก้มจับมิสามากๆไม่ไหว
ก็ได้ขวัญมาช่วยตามน้อง จับน้องไม่ให้ไปชนนู่นนี่
ซึ่งกิ๊กก็เริ่มเห็นแววขวัญแล้ว ว่าเค้ารักเด็ก เล่นกับเด็กเป็น

ถึงแม้ว่าจะได้แค่มาดูน้องนิดๆหน่อยๆ
แต่หน้าที่หลักของขวัญ ก็คือ เป็น hair stylist ให้มิสา 555
ทั้งติดกิ๊บ มัดจุก...ขวัญออกแบบเองทั้งหมด
ขวัญชอบแต่งตัวให้น้องน่ารักๆ
แล้วมันก็ทำให้กิ๊กรู้สึกว่า ขวัญก็เอ็นดูมิสา ชอบเล่นกับมิสาเหมือนกัน

ความมั่นใจในตัวขวัญเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมิสาอายุขวบกว่า และเริ่มเดินได้
คุณยายก็เริ่มให้ขวัญมาช่วยดูน้องมากขึ้น
เพราะมิสาเดินเก่งเหลือเกิน ตามจับกันไม่ไหว

นอกจากนี้ เวลาที่มิสาอยู่กับขวัญ
มิสาจะหัวเราะกรี๊ดกร๊าด ดี๊ด๊า ยิ่งกว่าอยู่กับแม่ซะอีก 555
เพราะขวัญเล่นกับเด็กเป็น
ตรงกันข้ามกับกิ๊ก ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า กิ๊กเล่นกะเด็กไม่ค่อยเป็น
ส่วนใหญ่กิ๊กจะคุย สอนนู่นนี่นั่นไปเรื่อย
แต่ถ้าเล่นกะเด็ก ต้องใช้แรงงานเยอะ เด็กถึงจะชอบ
เช่น เล่นเตะบอล โยนบอลนี่ มิสาชอบมาก
แต่กิ๊กสังขาลไม่ให้ ตามเก็บบอลไม่ไหว
ก็จะบอกมิสา ไปเล่นกับพี่ขวัญไป 555

แต่ก็ใช่ว่า ขวัญจะเล่นกะเด็กเป็นอย่างเดียวนะ
เพราะขวัญเค้าเป็นเด็กช่างสังเกต
เค้าเห็นกิ๊ก เห็นคุณยาย สอนอะไรมิสา
เค้าก็จะสอนตาม..
ยกตัวอย่างเช่น flash card
เค้าเห็นกิ๊กสอน flash card รูปสัตว์ให้มิสา
เค้าก็สอนบ้าง
ตอนแรกกิ๊กไม่รู้หรอกว่า ขวัญสอน
แต่พอตอนหลัง มิสาดันรู้จักสัตว์ที่กิ๊ก คุณแม่ และพี่หยี่ไม่ได้สอน
แล้วมันจะเหลือใครสอน ถ้าไม่ใช่ขวัญ 555
(ซึ่งจริงๆ คือ ขวัญสอนเยอะสุด
ถ้าอยากรู้ว่า มิสารู้จักตัวอะไรแล้วบ้าง
ต้องไปถามขวัญ 555)

นอกจากเล่นและสอนแล้ว
ขวัญยังทำหน้าที่อื่นๆได้อีกหลายอย่าง
เช่น ป้อนข้าว ป้อนนมมิสา
ป้อนข้าวนี่ ถ้ามิสากินกะขวัญจะเงียบเลย
แป๊บเดียวหมด
แต่ถ้า แม่ป้อน ยายป้อน...ชีจะลีลามาก งอแงง๊องแง๊ง กว่าจะกินได้
ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ส่วนป้อนนม ขวัญเป็นคนคิดวิธีเอาช้อนป้อนนมน้อง 555
เหตุเพราะ มิสาไม่ชอบกินนม
ไม่ว่า ขวด แก้วหัดดื่ม หลอดดูด ไม่เอาทั้งนั้น
พี่ขวัญเลยเทนมใส่ถ้วย เอาช้อนป้อนมันซะเลย
แล้วมิสาก็กินได้เป็นออนซ์ๆด้วยนะ
กลายเป็นได้กินนมเยอะขึ้น (แม้วิธีจะไม่ค่อยถูกต้อง แต่ก็ดีกว่าไม่กินเลย)
ต้องยอมรับขวัญจริงๆงานนี้



จากข้อดีทั้งหมดข้างต้น
ก็พอจะสรุปได้ว่า ขวัญเหมาะกับเป็นพี่เลี้ยงเด็กของมิสาที่สุด
ทุกคนในครอบครัวเลยพร้อมกันเลื่อนขั้นขวัญด้วยความเต็มใจ
โดยที่ไม่ต้องไปนึกถึงการจ้างพี่เลี้ยงเด็กจากศูนย์
เพราะคุณภาพคับแก้วขนาดนี้ อิอิ
(กิ๊กเห็นเพื่อนๆ จ้างพี่เลี้ยงจากศูนย์ ต้องไปนั่งคัด นั่งเลือก
เงินเดือนก็แสนแพง บางทีก็อยู่ไม่ทน...น่าปวดหัวมากก)

ขอแถมอีกเรื่อง
(ไหนๆ blog นี้ก็ของขวัญไปแล้วนี่เนอะ 555)
สดๆร้อนๆ เมื่อหัวค่ำ
กิ๊กเพิ่งรู้ว่า ทุกครั้งหลังป้อนข้าวมิสา
ขวัญจะเช็ดฟันกะเหงือกให้มิสาทุกครั้ง
ที่รู้เพราะปกติ กิ๊กกับพี่หยี่ จะเช็ดฟันให้มิสาอยู่แล้ววันละ 2 ครั้ง
คือ ตอนอาบน้ำตอนเช้า กับก่อนเข้านอน
เราก็เลยไม่เคยสนใจว่า ต้องเช็ดฟันระหว่างมื้ออีก
แต่วันนี้ หลังขวัญป้อนนมมื้อก่อนนอนเสร็จ
กิ๊กก็อุ้มมิสา แล้วบอกว่าจะพาไปเช็ดลิ้น (คือ ทั้งฟันทั้งลิ้นแหละ แต่พูดสั้นๆ)
ขวัญเลยถามว่า ต้องเช็ดลิ้นด้วยเหรอคะ
ปกติหลังกินข้าว ขวัญเช็ดแต่ฟันกะเหงือก 555
(แค่นี้ก็ over-expect มากแล้วค่ะคุณขวัญ อิอิ)
เลยได้รู้ว่า โอ้วว พี่เลี้ยงของชั้น
ไม่ใช่ธรรมดานะจ๊ะ
เรียกว่า อนามัยดีที่เดียว


อ้อ ! บอกก่อนว่า คุณสมบัติดีขนาดนี้
แต่ขวัญไม่ใช่คนไทยนะคะ 555
ขวัญเป็นคนปะม่าค่ะ
(แต่ไม่ต้องกลัวมิสาพูดไม่ชัด
เพราะขวัญเป็นพม่าที่พูดไทยชัดเป๊ะ !
หน้าก็เหมือนคนไทย เป๊ะ !)
ซึ่งกิ๊กก็ได้ตอบแทนความดีของขวัญ
โดยการไปขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวให้เรียบร้อยแล้วค่ะ อิอิ
เพราะฉะนั้น ขวัญอยู่อย่างถูกกฎหมายค่ะ


เอ๊ะ แล้วที่พูดมาทั้งหมด...จะกังวลเรื่องอะไรล่ะเนี่ย
บอกตรงๆ ถึงขวัญจะดีขนาดนี้
แต่กิ๊กก็มีความหวั่นใจนะคะ
กิ๊กรู้สึกว่า เวลาที่เราได้ทุ่มเทกับลูกมันจะน้อยลง
คือ มันมีความสบายมาแทนที่ด้วย
แต่ว่า เวลาที่เราได้ใกล้ชิดกะลูกมันก็น้อยลง
ตอนกลางคืน กิ๊กถึงกับนอนไม่หลับเลยทีเดียว
นอนคิดว่า ชีวิตเรากับมิสาจะเปลี่ยนรึป่าว

คือ ยังไงดี บางคนอาจจะคิดว่า ถ้ากลัว ก็ไม่ต้องใช้พี่เลี้ยงสิ
แต่มันก็ไม่ได้ใช่ป่ะ...คือ ยอมรับบางทีมันก็มีขี้เกียจ
อย่างไปกินข้าวกัน 3 คน (กิ๊ก พี่หยี่ มิสา)
เราก็อยากกินสบายๆ ก็ต้องเอาขวัญไป
ไม่งั้น ก็ผลัดกันกิน และไม่ทันได้รู้รสอร่อยของอาหาร
เวลามาออฟฟิศ กิ๊กก็ต้องเอาขวัญมาด้วย
ช่วงที่กิ๊กทำงาน ขวัญก็เล่นกะน้องไป
ถ้าไม่เอาขวัญมาเลย ก็ไม่เป็นอันทำงานพอดี

สรุป ก็คือ ใจนึงก็รู้สึกผ่อนคลาย จะได้สบายขึ้น
แต่อีกใจ ยอมรับเลยว่า กังวล
เพราะ มันเหมือนว่าเราจะถูก spoil ล่ะ ด้วยการมีพี่เลี้ยง
แล้วเราก็ไม่ได้อุทิศตนเพื่อลูกเหมือนเคย
มันก็โหวงๆนะ


ซึ่งหลังจากทดลองให้ขวัญเป็นพี่เลี้ยงเต็มๆไปแล้ว 1 เดือน
เรื่องความไว้ใจขวัญ บอกได้ว่าเต็ม 100%
(ห้องเด็กที่ออฟฟิศมี CCTV ซึ่งไม่เคยเห็นอะไรที่ไม่พอใจซักครั้ง !)
แต่เรื่องที่เสียใจคือ เหมือนใกล้ชิดกะลูกน้อยลงจริงๆแหละ
คือ อย่างที่บอก มันเหมือนถูก spoil บางทีไม่รู้สึกตัว
บางวันมัวแต่เล่นเน็ต นึกได้อีกที ก็เสียเวลาอยู่กับมิสาไปหลายชม.


แต่เอาล่ะ...ต่อไปนี้ ถึงจะมีพี่เลี้ยงยังไง
ก็จะต้องพยายามให้เวลากับมิสาให้มากที่สุดให้ได้
โดยการต้องลดบทบาทขวัญลงไปบ้าง
ยังไงก็จะทำให้ได้...กลับมาเหนื่อยเหมือนเดิมก็ต้องยอม

เพราะ วันนี้ของลูกมีวันเดียวนี่นา



ปล. บล๊อคนี้ ตอนแรกว่าจะบ่นเรื่องตัวเองถูก spoil โดยพี่เลี้ยงเด็ก
แต่ไปๆมาๆ เหมือนบล๊อคอวยขวัญซะงั้นแหละ 555 นึกแล้วก็ขำ
แสดงว่า ชีมีดีจริงๆ กิ๊กถึงได้เขียนออกมาซะพรั่งพรูขนาดนี้



Create Date : 25 มิถุนายน 2554
Last Update : 1 กรกฎาคม 2554 22:30:44 น.
Counter : 866 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

Beauty & Bambi
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]



ณ 31/1/2023

นิยามตัวเองได้ว่า เป็นคนชอบ เที่ยว กิน ช๊อป ค่ะ...แต่หลังๆไม่ได้อัพบล็อคเลย มัวแต่เล่น ig กับ เฟส ^^

บล็อคที่เขียนไว้อาจจะนานแล้ว แต่ก็ยังหวังว่าจะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆนะคะ ถ้าได้เที่ยว (หลังโควิด ) จะมาอัพอีกนะคะ


*** เราไม่ค่อยได้เข้ามาเช็คที่ blog เท่าไร่ ถ้าเพื่อนๆอ่านแล้วมีคำถาม รบกวนถามมาทางอีเมลล์เลยนะคะ (ดูอีเมลล์จาก profile ได้ค่ะ) เรายินดีตอบทันทีค่ะ แต่ถ้ามาทิ้งคำถามไว้ที่ blog หรือ หลังไมค์ มันอาจจะนานกว่าเราจะมาอ่านเจออ่ะค่ะ ***
New Comments