All Blog
มิสากับ Ice skate บทที่ 2 : เมื่อมิสามาเรียน Academy Elite Skate
เคยเขียนบันทึกเรื่องราวการเรียนไอซ์เก็ตของมิสาไว้ตั้งแต่ตอนก่อนนู๊น สมัยมิสาเพิ่งเรียนไอซ์ไปได้ 2 คอร์ส (หรือ 20 ครั้ง) ตอนนั้น เดือนมีนา ปี 59 ผ่านมาถึงปี 62 ซึ่งปีนี้ มิสาได้ลงแข่งไอซ์เก็ตเป็นครั้งแรก แม่เลยอยากจะบันทึกเรื่องราวต่อจาก 20 ครั้งของหนูจนมาถึงการแข่งขันแรกของหนูหน่อยนะ

หลังจากเรียนไอซ์สเก็ตไปได้เกือบปี ครูน้ำตาลก็ให้มิสาลงสอบไอซ์เก็ตครั้งแรกในระดับ Pre-Alpha ซึ่งอันที่จริง ท่าของ Pre-Alpha นั้นง่ายมากๆ มิสาทำได้หมด แต่ความยากของการสอบคือ การที่ต้องลงลานไปคนเดียว รอกรรมการเรียกชื่อ แล้วก็ทำการทดสอบกลางลานกับกรรมการ โดยมีผู้ชม(ก็คือผปค.ของผู้สอบ)อยู่รอบลาน ตอนนั้นมิสา 6 ขวบ(อยู่ ป.1ล่ะ) แต่แม่ก็กลัวมากๆ ตื่นเต้นมากๆ กลัวลูกร้องไห้ไม่ยอมลงสนาม 555 แต่ในที่สุดการสอบการผ่านไปด้วยดี

เราเรียนไอซ์เก็ตที่ CTW ต่อมาอีกซักเกือบปีเหมือนกัน ก็ปรากฏว่าครูน้ำตาลจะลาการสอนไปสอบป.โท ตอนนั้นครูหาครูใหม่มาให้เพราะกลัวว่าถ้าหายไปนาน เดี๋ยวจะไม่ต่อเนื่อง มิสาก็เลยเรียนกับครูใหม่ไปคอร์สนึงเหมือนกัน แต่พอเรียนจบ ช่วงนั้น CTW เค้าปิด renovate พอดี ลานไอซ์ที่ CTW ก็ปิดไปด้วย ก็เลยเป็นโอกาสดีที่ได้พามิสาย้ายลานมายังลานที่เซ็นทรัล พระราม 9 ซึ่งใหญ่กว่า และคนเล่นที่นี่ก็ดูจริงจังกว่ามากๆ และเป็นโอกาสที่แม่ได้ให้มิสาลงเรียน Academy Elite Learn to Skate ซึ่งเป็นการเรียนกลุ่ม (และราคาถูกกว่า) Academy ของที่นี่ นร.เยอะ และจริงจัง คอร์สนึงเรียน 5 สัปดาห์ เรียนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง (ก็คือ 10 ครั้ง)เรียนเสร็จสอบ ถ้าผ่าน ก็จะเลื่อนไปอีก level นึง  มีทั้งหมด 10 level ซึ่งถ้าเรียน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็จะจบเลเวล 10 ประมาณ 1 ปีนิดๆ แต่เนื่องด้วย แม่สามารถพามิสามาเรียนได้แค่สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็เลยกินเวลาไป 2 ปีเลยกว่าจะจบ

ว่าด้วยเรื่องของ Academy ต้องบอกก่อนว่า เป็นการเรียนกลุ่ม ซึ่งจะต่างจากการเรียนเดี่ยว(private แบบตัวต่อตัว) เพราะ เด็กๆจะไม่มีครูประกบ เค้าจะต้องฝึกทำท่าต่างๆ(ตามเลเวล)ไปเรื่อยๆด้วยตัวเอง ทำไปพร้อมๆกับเพื่อนๆ พูดง่ายๆคือ มันเป็นการ survive บนลานด้วยตัวเอง โดยไม่มีครูคอยจับ และไม่มีเพื่อนคุย 555 ซึ่งข้อดี คือ เด็กๆก็จะได้ฝึกเยอะ ต้องช่วยตัวเอง พยายามทำเอง แต่ข้อเสียคือ ท่าก็อาจจะไม่ได้เป๊ะ ไม่ได้สวยเท่าไหร่ เทียบกับเรียนเดี่ยวที่มีครูประกบเลย ท่าก็จะสวยกว่า แต่ข้อเสีย คือ ถ้าเด็กคุยเก่ง (เช่น มิสา) นางก็จะชวนครูคุยไปเรื่อย แล้วถ้าแบบขี้เกียจ หรือ กลัว นางก็จะเกาะครูไปเรื่อยเช่นกัน ซึ่งก็คือ มิสาเนี่ยแหละ ... ครูก็เลยแนะนำว่า มิสาน่าจะไปเรียน Academy นะคะคุณแม่ เรียนคู่กันไปก็ได้ เพราะดีคนละแบบ แล้วมันจะพัฒนาไวมาก เพราะถ้าเรียนเดี่ยวมิสาก็จะเกาะครูแจ ไม่ยอมทำเอง แล้วมันก็คือ แบบช้ามากๆอ่ะ .... แม่ก็บอกให้มิสาไปเรียน แต่มิสาก็งอแง ร้องไห้ฟูมฟายเลยทีเดียว แล้วก็พอพูดถึงเรียนกลุ่มทีไร ก็โวยวาย ทะเลาะกันตลอด สุดท้าย ก็เลยไม่ได้ไปซักที ... แต่พอลานที่ CTW ปิด แล้วต้องไปเรียนที่ พระราม 9 ก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ลองเรียนกลุ่มดูซะเลย แม่ให้พ่อเป็นคนพูด ปรากฎพ่อพูดทีเดียว (เอารางวัลมาล่อ) มิสายอมเรียนแบบง่ายดาย ไม่เสียน้ำตาซักแอะ ... แม่รู้เลย โดนลูกหลอกมาตลอด Y_Y

มิสามาเริ่มเรียน Academy โดยเริ่มที่เลเวล 3 เลย เพราะแม่บอกครูว่าเคยเรียนเดี่ยวมาแล้ว ซึ่งคราวนี้ แม่ให้เรียน Academy อย่างเดียวเลย ไม่ได้ให้เรียนเดี่ยวควบคู่ เพราะไม่มีเวลาด้วย และตอนนั้นก็อยากดูความเอาจริงเอาจังของลูกด้วย เพราะเหมือน 2 ปีที่เรียนเดี่ยวมา มิสาเรียนไปอย่างช้าๆ 555 เหมือนเรียนด้วยความชิลล์ ไม่ได้อยากแข่ง ไม่ได้อยากสอบ ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร แต่เรียนเพลินๆ เรื่อยๆ (ซึ่งเอาจริงๆ พอเรียนมาซักพัก แม่ก็รู้แล้วแหละ) .... พ่อเองก็ถามอยู่เรื่อยๆว่าจะให้ลูกเรียนไปถึงเมื่อไหร่ เพราะดูแล้วมิสาก็ไม่ได้จะลงแข่งอะไรกับเค้า พ่อเค้าอยากให้ไปลองอะไรอย่างอื่นบ้าง (กลับไปอ่านตอนแรกได้ว่าทำไมท่านพ่อไม่สนับสนุน 555) แม่ก็เลยมาตั้งเป้ากับมิสาว่าเราจะเรียนกันไปถึงไหน แล้วสองแม่ลูกก็ได้เป้าระยะกลางมา นั่นคือ มิสาจะเรียนให้ถึง level 10 หลังจากนั้นจะดูอีกทีว่าจะยังไงต่อ จะแข่งมั้ย จะสอบมั้ย หรือจะเลิกเรียน

พอเรียนไปได้ประมาณ level 6 ตอนนี้ท่าต่างๆก็เริ่มยาก และมิสาทำไม่ได้แล้ว (ซึ่งจริงๆเท่ากับว่า level ที่ผ่านมา นางเคยเรียนเดี่ยวมาแล้ว เลยพอทำได้อยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัยใครช่วย) จะซ้อมเองก็ยาก มิสาก็บอกแม่ว่า หนูอยากเรียนเดี่ยวด้วย อยากให้ครูมาช่วยสอนจับท่า ... แม่ก็เป็นประเภทแบบ อยากให้ลูกเรียนอยู่แล้วไง ก็เลยหาครูให้ แล้วก็เรียน private เพิ่มอีก 1 ชม. หลังเรียนกลุ่มเสร็จ ... แล้วก็เรียนควบคู่กันมาจนถึง level 10


 
++ แปะรูปบรรยากาศการเรียนซะหน่อย ++

ในระหว่างเรียน Academy อยู่ (ช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา) แม่ถามตัวเองอยู่ตลอดว่า ทำไมแม่ถึงให้มิสาเรียนไอซ์เกตต่อ ทั้งๆที่อย่างที่บอก คือ มิสามาเรียนชิลล์ๆ ไม่ได้มี passion ในการเล่นไอซ์ขนาดนั้น มิสาไม่แข่ง ไม่สอบ คือ มันไม่มีเป้าหมายอ่ะ (แม้จะมีเป้าที่ level 10 แต่นั่นคือ เป้าของมิสา แต่ไม่ใช่เป้าหมายของแม่ เพราะแม่ไม่รู้ว่าไอ้ level 10 มันจะนำไปทำอะไรได้ เป้าหมายของแม่ คือ ดูว่าลูกได้อะไรจากการเรียนนี้) ซึ่งการพามิสาไปเรียนแต่ละครั้ง ต้องขับรถจากพระราม 2 ไปพระราม 9 คือ ก็ไม่ได้ใกล้บ้านเลย (เป็นการเรียนพิเศษที่ไกลที่สุดในบรรดาที่เรียนทั้งหมด) ไปถึงเพื่อไปเรียนแค่ 45 นาที แล้วก็กลับ ... มิสาไม่แม้แต่จะวิ่งเล่นต่อ หรือ ซ้อมด้วยซ้ำ แต่มันมี moment นึงที่แบบ แม่ต้องบันทึกเลย คือ ตอนนั้นมิสาอยู่ level 5 แล้วมันมีท่าหมุนตัวหรืออะไรนี่ล่ะที่แบบมิสาทำไม่ได้ แล้วมิสาจะกลัวการสอบเลื่อน level มาก นางกลัวไม่ผ่าน ทีนี้ก็เลยอยู่ซ้อมเองต่อ (คือ ต้องแบบที่สุดจริงๆถึงยอมซ้อมเอง ^_^') ทำเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เพราะมันทรงตัวไม่อยู่ จนมีรุ่นพี่ที่รร.คนนึงเค้าเรียนอยู่ที่พระราม 9 เหมือนกัน เค้าเข้ามาแนะนำว่า ก็ไปซ้อมกับกำแพงสิ จับกำแพงเอา มิสาก็เลยเดินไปซ้อมหมุน โดยจับกับกำแพงเพื่อไม่ให้ล้ม แล้วค่อยๆปล่อยมือ แม่จำได้ว่าแม่ยืนรอมิสาซ้อมนานมาก เป็นครึ่งชม. ท่าเดียวนี่แหละ จนกระทั่งทำได้ (แม่มองไกลๆเห็น) มิสาวิ่งกลับมาหาแม่ด้วยความดีใจ แล้วบอกว่า คุณแม่ ตอนที่หนูทำได้นะ หนูดีใจจนน้ำตาไหลเลยอ่ะ ... ประโยคนี้เอง ที่ทำให้แม่รู้ว่า แม่จะให้หนูเรียนไปเพื่ออะไร ... มันไม่ใช่การแข่ง มันไม่ใช่การสอบวัด level  แต่มันคือ การที่ให้หนูเรียนรู้ที่จะพยายามทำอะไรซักอย่าง แล้วทำสำเร็จ การทำอะไรซักอย่าง เพื่อเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง แม่รู้ว่า การเล่นกีฬา(ซักชนิด)จะทำให้หนูได้ฝึกตัวเอง และหนูก็เลือกแล้วว่าจะเป็น ice skate นี่แหละ ... ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่แม่ยังมีกำลังใจส่งหนูเรียนต่อไป

แม่ไปเจอบทความนึงมา ซึ่งตรงกับใจแม่มาก ขอยกเอามาลงที่นี่เลย

 

#ฉันให้ลูกเรียนกีฬาไปทำไม?

.

ได้อ่านบทความของคุณแม่ต่างชาติท่านหนึ่ง 

ซึ่งเขียนถึงเหตุผลที่เธอทุ่มเทเงินทองและเวลามากมาย

เพื่อส่งลูกเรียนกีฬา 

รู้สึกประทับใจกับแนวคิดของคุณแม่ท่านนี้จังเลย 

จึงอยากนำมาแชร์กันนะคะ

.

เพื่อนคนหนึ่งของฉันถามว่า 

"ทำไมเธอจึงยอมจ่ายเงินตั้งมากมายเพื่อให้ลูกเล่นกีฬา" 

อืม มันก็จริง ฉันยอมรับ 

แต่ฉันไม่ได้จ่ายเงินเพื่อให้ลูกเล่นกีฬาหรอกนะ 

จริงๆ ฉันไม่ได้ให้ความสนใจในกีฬาที่เด็กๆ เล่นเท่าไหร่นักหรอก

อ้าว แล้วถ้าฉันไม่ได้จ่ายเพื่อกีฬา แล้วฉันจ่ายเงินเพื่ออะไรกันล่ะ

.

ฉันจ่ายเพื่อช่วงเวลาที่ลูกจะได้รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยจนอยากจะเลิกทำ แต่เขาก็ไม่ล้มเลิก

.

ฉันจ่ายเพื่อวันเวลาที่ลูกๆ ของฉันกลับมาจากโรงเรียนด้วยความเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะไปซ้อมกีฬา แต่พวกเขาก็ยังไปอยู่ดี

.

ฉันจ่ายเพื่อที่ลูกของฉันจะได้มีวินัย focus และทุ่มเท

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันเรียนรู้ที่จะดูแลร่างกายของเขา, 

อุปกรณ์กีฬาและสิ่งของต่างๆ ของเขาเอง

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นและเป็นสมาชิกที่ดีของทีม เรียนรู้ที่จะแพ้และถ่อมตัวเมื่อชนะ

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับความผิดหวัง 

เมื่อเขาไม่ได้ตำแหน่งที่เขาต้องการ 

แต่เขาก็ยังคงกลับไปฝึกซ้อมวันแล้ววันเล่าอย่างดีที่สุด

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้เรียนรู้ที่จะพิชิตเป้าหมาย

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้เรียนรู้ไม่เพียงที่จะเคารพตัวเอง 

แต่เคารพคู่แข่ง, โค้ชและเจ้าหน้าที่

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้เรียนรู้ว่า 

ความสำเร็จหรือการเป็นแชมเปี้ยนนั้น 

มันต้องแลกมาด้วยการทุ่มเททำงานหนัก 

ฝึกฝนวันละหลายๆ ชั่วโมง ปีแล้วปีเล่า 

พวกเขาจะเรียนรู้ว่ามันไม่มีความสำเร็จชั่วข้ามคืน

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้ภูมิใจในความสำเร็จเล็กๆ 

และฝึกฝนเพื่อเป้าหมายใหญ่ของเขา

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้มีโอกาสสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืน, 

ความทรงจำที่มีค่า, และภูมิใจในความสำเร็จของพวกเขา 

แบบที่ฉันก็รู้สึกเช่นกัน

.

ฉันจ่ายเพื่อให้ลูกของฉันได้ไปอยู่ในสนามแทนที่จะอยู่หน้าจอ

.

ฉันสามารถเขียนได้อีกยืดยาว แต่ขอสรุปสั้นๆ นะว่า 

ฉันไม่ได้จ่ายเพื่อกีฬาหรอก 

แต่ฉันจ่ายเพื่อ "โอกาส" ที่กีฬาสามารถให้กับลูกๆของฉันได้

กีฬาช่วยพัฒนาคุณลักษณะที่ดีรอบด้าน

ในการดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเองและผู้อื่น 

จากที่ฉันสังเกต ฉันคิดว่ามันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากๆ ทีเดียว

Cr. บทความ Trevlyn Mayo Palframan


และในที่สุด มิสาก็เรียนจบ level 10 เรียบร้อยเมื่อปลายเดือน ก.ค. 62 ที่ผ่านมานี้เอง
 

 

ตอนต่อไป จะเล่าเรื่อง จุดเริ่มต้นของการแข่ง Ice skate ล่ะนะ ^^


 



Create Date : 06 สิงหาคม 2562
Last Update : 22 สิงหาคม 2562 22:52:32 น.
Counter : 2144 Pageviews.

0 comment
บันทึกพัฒนาการด้านภาษาอังกฤษของมิสา ( ณ 27/8/18)


กิ๊กอยากเขียนบล็อคนี้ไว้เพื่อบันทึกพัฒนาการด้านภาษาอังกฤษของมิสา

ลองมาดูสิว่า เด็กที่เริ่มต้นจาก เรียน A B C ตอนป.1 จะไปได้ไกลแค่ไหน :)


เริ่มตั้งแต่ที่เราตัดสินใจเลือกรร.ให้มิสา เป็นรร.ไทยแนวทางเลือก กิ๊กกับพี่หยี่ก็เริ่มคุยกันถึงเรื่อง ภาษาอังกฤษของมิสาว่ามันจะเป็นยังไง อันนี้เราหมายถึงจนเรียนจบมหาลัย ไปถึงขั้นทำงานเลยนะ ไม่ได้คิดแค่สั้นๆ เราไม่ห่วงในแง่แกรมม่า อ่าน เขียน เพราะ เราโตมาแบบรร.ไทยๆทั้งคู่ (แม้ว่าพี่หยี่จะอัสสัม แต่ก็ถือเป็นรร.ไทยค่ะ 555) แต่เราก็ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีในแง่ที่กล่าวมา ส่วนฟัง พูด จะยากหน่อยแต่ก็พอสื่อสารได้ ทำงานพอได้ และแน่นอน เราไม่หวังให้ลูกได้ภาษาอังกฤษระดับเดียวกับเราค่ะ เราอยากให้ลูกใช้ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเราอยู่แล้ว... เราก็อยากให้ลูกเราพูดอังกฤษได้แบบ fluently อ่ะนะ 555 เพราะอีกหน่อย รุ่นเค้าก็ต้องไปเจอกับเด็กที่เรียนอินเตอร์ เรียนไบลิงกัวทั้งนั้น จะมางูๆปลาๆพอสื่อสารได้น่ะ มันไม่พอแล้ว ...


อ่ะ กลับเข้าเรื่อง 555  เอาจริงๆ กิ๊กก็มีพามิสาไปทดลองเรียนภาษาอังกฤษอยู่บ้างแหละ ที่จำได้เลย คือ I can read ตอนสมัย 2 ขวบกว่าๆ แต่เธอทดลองได้ครั้งเดียว ก็ต้องบอกลา เพราะร้องไห้จะหาแม่ พอเข้า อ.1 ก็มีไปเรียนกับกลุ่มเพื่อนๆ อ.1 ด้วยกัน เป็นแบบกิจกรรมสนุกๆ แต่เรียนได้ไม่กี่ครั้งก็ต้องจรลีเช่นเดิม เพราะก่อนไป ร้องไห้ทุกรอบ จนรอบสุดท้าย อ้วกค่ะ ! แม่เลยหมดแรง ช่างมันละกัน ตอนนั้นก็กลับเข้าสู่โหมดเชื่อมั่นในตัวรร. 555 เพราะจริงๆรร.มิสา ไม่สนับสนุนให้เรียนพิเศษใดๆ นอกจาก กีฬา ดนตรี และศิลปะ (ที่ไม่สนับสนุนคือ พวกภาษาและเลขนั่นเอง) เราก็คิดว่า เอาวะ มั่นใจว่าเด็กรร.นี้จบมา คงไม่ง่อยอังกฤษหรอกน่า 555 

สรุปตลอดอนุบาล 3 ปี ไม่ได้เรียนเสริมใดๆ และที่รร. ก็เรียนเฉพาะวิชา English + music อาทิตย์ละ 1 ชม. ซึ่งก็คือ จะเป็นกิจกรรม ผ่านเพลงประมาณนี้ โดยเรียนกับ Teacher ที่เป็น native speaker (ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่มิสาเคยจำได้สมัย 2 ขวบที่อยู่ในตอนพัฒนาการ เป็นอันว่าลืมหมดค่ะ 555) อ่อ ขนาดการ์ตูนที่ให้ดู พี่หยี่ก็เปลี่ยนให้ดูภาษาไทยเรียบร้อย เพราะคิดว่าน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า แบบสอนอะไรได้ เพราะถ้าภาษาอังกฤษ ลูกจะฟังไม่รู้เรื่อง ทำให้ไม่ได้อะไรเลย


ป.1 - เริ่มต้นรู้จัก A B C เป็นครั้งแรก และเริ่มเรียน Phonics โดยใช้ Jolly Phonics โดยคุณครูจะสอนเป็นภาษาอังกฤษ(เกือบ)ทั้งชม. (มีแปลบ้างเล็กน้อย)... เทอมแรกผ่านไป เอาจริงๆ ในแง่ของคะแนน (ในห้อง) มิสาทำได้ดีแหละ แต่เนื่องจากรร.มิสา จะเป็นรร.ที่เด็กจะมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างมาก หมายถึง เรียนกันไป เด็กก็จะแย่งกันยกมือตอบกันตลอดชม. เพราะฉะนั้น เด็กคนไหนที่เค้าได้ภาษาอังกฤษมาก่อน (เรียนเสริม) เค้าก็จะมั่นใจตรงนี้ และเค้าก็จะไปได้เร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด พอจบเทอม 1 แม่ก็เริ่มร้อนรน 555 ซึ่งจริงๆ ถ้าใจเย็นๆ ไว้ดูผลลัพธ์อีกที ป.6 อะไรงี้ก็ว่าไป อาจจะดีก็ได้นะ แต่แม่ก็แบบ..ใจร้อน ... 555 เริ่มลนล่ะ ต้องหาที่เรียนภาษาอังกฤษให้ลูก ต้องเล่านิทานภาษาอังกฤษ ต้องดูการ์ตูนภาษาอังกฤษ แล้วไงไม่รู้ ไม่รู้ push เยอะไปหรือไง มิสากลายเป็นแอนตี้ภาษาอังกฤษสุดๆ คือ ไม่เอาเลย !!! ณ จุดนั้น แม่เครียดดด บอกเลยค่ะ 555 เคยคุยกันเรื่องไปเรียนนิวซีแลนด์ (พอดีมีลูกพี่ลูกน้องมิสาไป ก็เลยคุยเล่นกัน) มิสาพูดขึ้นมาทันที หนูไม่ไปนะ ถ้าไป หนูจะไปเรียนที่จีน !! เออ เอากะเธอสิ แต่พอเธอบอกจีนปุ๊บ แม่ดีใจนะ เพราะจริงๆอะไรก็ได้อ่ะ ให้ได้ซักภาษาดีๆไปเลย จีนก็โอเค แต่มาย้อนคิด ที่เธอยอมจะไปเรียนจีน น่าจะเกิดจากเธอรู้สึก comfortable หรือ มั่นใจในภาษาจีนมากกว่าภาษาอังกฤษ เพราะเราให้มิสาเรียนภาษาจีนตั้งแต่ประมาณ 3 ขวบปลายๆ แต่เรียนเป็นกิจกรรมสนุกๆ เธอเลยเกิดความคุ้นเคยกับภาษาจีน (คือ ไม่ใช่ว่าเธอ ฟังหรือพูดจีนได้นะ เพราะเอาจริงๆ คือ ไม่ได้หรอก ณ 6 ขวบอ่ะนะ เพราะเรียนแค่อาทิตย์ละชม. เหมือนเรียนให้เค้าคุ้นเคยไปเรื่อยๆมากกว่า เค้าจะได้ไม่กลัว และก็ไม่กลัวจริงๆ)

แม่ได้ไอเดียนี้มาส่งต่อสิตา เดี๋ยวไว้เล่าต่อนะ ... 

แม่ถึงขนาดต้องนัดคุยกับคุณครูภาษาอังกฤษของมิสาว่าลูกมีปัญหาอะไรรึป่าว เพราะเธอไม่เอาเลยจริงๆ นิทาน ถ้าเล่าภาษาอังกฤษไม่เอา การ์ตูน ถ้าเป็นภาษาอังกฤษไม่ดู ... แต่คุณครูกลับบอกว่า แต่ในห้องมิสาไม่มีปัญหาอะไรนะคะ ^^" เทอมแรก อาจจะเงียบๆไม่ตอบ ครูก็แอบห่วง แต่พอเทอม 2 เริ่มปรับตัวได้ ก็ยกมือตอบ participate ดีนะคะ (ซึ่งจุดนี้เป็นลักษณะของมิสาเอง เป็นกับทุกวิชา ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ คือ จะตอบ จะยกมือ ต่อเมื่อมั่นใจ จะไม่ใช่เด็กแบบยกไว้ก่อน ตอบถูกผิดว่ากันอะไรแบบนี้) แม่ก็เบาใจขึ้นว่า ในห้องลูกยังเรียนได้ปกติ แม้ว่า นอกห้องจะตรงกันข้าม 555 

ทีนี้พอแม่เริ่มลน ก็เลยเริ่มหาที่เรียนภาษาอังกฤษให้จริงจังล่ะ แต่ที่แม่อยากเน้นคือ แม่อยากเน้นทักษะ ฟัง กับ พูด มากกว่า คือให้กล้าฟัง กล้าพูด กล้าโต้ตอบ ไม่ใช่กลัว ไม่มั่นใจ แต่ในส่วน grammar อ่าน เขียน ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรร.แบบ 100% เลย (ถ้าต้องทบทวน ทำการบ้าน อ่านนิทาน ก็คิดว่ายังอยู่ในระดับที่ความสามารถแม่พอจะทำเองได้ โดยไม่ต้องเรียนเสริมที่ไหน) ... ก็เลยได้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่ห้อง เรียนภาษาอังกฤษกับคุณครูฝรั่งท่านนึง สัปดาห์ละ 2 ชม. แต่เนื้อหาก็จะเป็นหัดอ่าน phonics บ้าง เรียนคำศัพท์ ทำกิจกรรมระบายสีบ้าง เล่นเกมส์บ้าง แล้วแต่ครูเลย ซึ่งเรียนได้ประมาณ 20 ครั้งได้ (ก่อนขึ้นป.2) คุณครูก็ชมนะ ว่ามิสาตั้งใจเรียน แล้วก็ทำได้ดีมาก ไม่มีปัญหาอะไรกับภาษาเลย (เทียบกับเพื่อนที่เรียนรร.เดียวกันมาอ่ะนะ) แม่ก็พอเบาใจ คิดว่ามาถูกทางละ ตอนแรกนึกว่า เธอจะไม่เอาเลย ไม่เรียนเลย เกลียดภาษาอังกฤษอะไรแบบนี้

สุดท้าย ก็จบป.1 มาด้วยคะแนนภาษาอังกฤษค่อนข้างดี และในเทอมสุดท้ายก็ได้รับเลือกเป็นพิธีกรภาคภาษาอังกฤษ(แบบสั้นๆ)ในงานหยดน้ำ :) ซึ่งจุดนี้เอง แม่ว่า มันทำให้มิสารู้สึกภูมิใจในตัวเอง เหมือนได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเล็กๆ ทั้งในแง่ความกล้าแสดงออก และภาษาอังกฤษ ... แม่รู้สึกขอบคุณ T.koy จริงๆที่เลือกมิสาทำหน้าที่พิธีกรครั้งนี้


ป.2 - เนื้อหาในรร.ยังคงดำเนินต่อไปในเรื่อง Phonics และเริ่มมีการเรียน grammar แต่เป็นการเรียนแกรมม่าเหมือนเด็กฝรั่งเรียน ซึ่งแม่เริ่มจะสอนไม่ค่อยจะถูกล่ะ (จากตอนแรกว่าจะทบทวนให้เอง 555 เลยปล่อยตามรร.ละกัน แต่แค่ดูแลให้ทำการบ้าน อ่านนิทาน และทบทวนคำศัพท์เวลามี dictation) ...ส่วนการเรียนเสริม ก็รวมกลุ่มกับเพื่อนๆมิสาเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเป็นเรียนกับครูไทย(ที่พูดอังกฤษแบบ native) โดยเน้นกับคุณครูว่า ขอเป็น conversation นะคะ ไม่เอาแกรมม่า  เพราะยังคงอยากให้เค้ากล้าพูด กล้าโต้ตอบ ซึ่งแม่เชื่อว่า ถ้ามีความมั่นใจตรงนี้ เดี๋ยวตรงอื่นจะตามมาเอง....

ซึ่งคุณครูท่านนี้ เป็นคนแนะนำให้ ให้มิสาดูการ์ตูนได้ แต่ให้ดูเป็นภาษาอังกฤษ และแน่นอนต้องจำกัดเวลา  แต่ก็คือ ให้ดูได้นะ (คุณครูบอกว่า ต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษที่น้องชอบบ้าง มันจะเป็นตัวกระตุ้นให้น้องอยากเรียนรู้) พอดีมิสานั่งฟังอยู่ด้วยกัน เธอเป็นเด็กเชื่อครู 555 ก็เลยยอมดูภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่า มันดีมากกก เพราะทักษะการฟังของมิสาดีขึ้นมากๆๆจริงๆ คือ พัฒนาแบบก้าวกระโดด โดยที่เค้าไม่รู้ตัว แต่แม่รู้ เพราะผ่านมา 5-6 เดือนคือ สามารถฟังและเข้าใจคำพูดในการ์ตูนได้ ที่รู้เพราะเวลาดูกับน้องเธอก็แปลให้น้องได้ แม่ยังอึ้ง... (จากเด็กที่ปฎิเสธตลอด ไม่เอา ไม่ดู อยากดูการ์ตูนมากก แต่ถ้าเป็นอังกฤษยอมไม่ดูดีกว่า เพราะหนูดูไม่รู้เรื่อง - เธอบอก) แม่เลยรู้เลยว่า การ์ตูนช่วยมากจริงๆ

เทอม 1 - พอคะแนนออก แม่ถึงกับแปลกใจ เพราะคะแนนดีมากก ... งง เอ๊ะ เธอบอกไม่ชอบภาษาอังกฤษ แล้วแม่ก็ไม่ push นะ (เพราะไป push กับสิตาแทน 555) ไม่ได้สอน ไม่ได้ทบทวนอะไร (มีแต่ให้ทำการบ้านกับ dictation) แสดงว่าเธอเอาตัวรอดในห้องได้แฮะ 555 ส่วนเรียนเสริม ซึ่งเป็นการเรียนที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งชม. โดยเรียนเป็นการทำกิจกรรม คุณครูก็ชมบอกว่า มิสาฟังได้ พูดโต้ตอบได้นะคะ (แต่เป็นคำๆ หรือประโยคสั้นๆ) คือ อันนี้ดีขึ้นเรื่อยๆเลย มิสาเองก็บอกว่า เรียนกับครูแพทสนุกมาก ชอบมาก :)

เทอม 2 - คะแนนออกมาดีเช่นเคย แต่ที่พิเศษคือ วันปฐมนิเทศน์เทอม 3 คุณครูภาษาอังกฤษเดินเข้ามาหาแม่เอง แล้วบอกว่า คุณครูขอชื่นชมลูกสาวคุณแม่หน่อยค่ะ 555 มิสาน่ารักมาก ตั้งใจเรียนมากก ตอบในห้อง participate ทุกอย่าง รู้เวลา เวลาไหนให้ตอบก็ตอบ เวลาไหนต้องฟังก็ฟัง ทำงาน ทำ assignment ทุกอย่างดีหมด มีความรับผิดชอบ สรุป คือ ดีหมดเลยค่ะ ไม่มีอะไรจะติเลย ... แม่นี่คือ ตัวลอยอ่ะ 555 surprise ด้วย เพราะครูเดินมาหาเอง แสดงว่าคุณครูตั้งใจเดินมาชมมาก :) แม่ก็ปลื้มสิคะ .... จริงๆ ตอนกลางๆเทอม 2 แม่เองก็อยากนัดคุยกับคุณครูอยู่ว่ามิสาเรียนเป็นไงบ้าง แต่ก็คลาดไปมา จนมาขึ้นเทอม 3 อินี่ก็ยังไม่มาคุยซะที คุณครูเลยเดินมาหาเองเลย 555 ก็รู้สึกดีใจมากนะ เหมือนว่า มันค่อยๆดีขึ้นแล้ว เริ่มเห็นอะไรดีๆแล้วล่ะ จากเด็กที่แอนตี้ภาษาอังกฤษสุดๆ

เทอม 3 - มิสาจบป.3 มาด้วยคะแนนภาษาอังกฤษดีเช่นเดิม พร้อม comment จากคุณครูว่า ภาษาอังกฤษของมิสาดีมากค่ะ ถ้าได้มีโอกาสได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆจะดีมากเลย (คุณครูกระซิบแถมว่า เช่น พาไปเที่ยวต่างประเทศค่ะ 555 อันนี้จะพยายามนะคะคุณครู)

ป.3 - เริ่มต้นภาษาอังกฤษ ป.3 กับคุณครูท่านใหม่ เป็นคนไทย (พูดอังกฤษ) 1 คน กับเป็น native 1 คน เทอมแรกนี้ แม่แทบไม่รู้เลยว่ามิสาเรียนอะไรบ้าง เพราะเทอมใหม่นี้ คุณครูมีนโยบาย ไม่อยากให้การบ้านกับเด็กๆ :) เพราะฉะนั้น แม่แทบจะไม่ได้รู้เลยว่าลูกเรียนอะไร หนังสือก็ไม่เคยเห็น แต่มีการสอบ Dictation ทุก 2 สัปดาห์ ซึ่งแม่จะทวนให้ แต่บอกเลย Dictation เป็นอะไรที่มิสาติดลมบนไปแล้ว หมายความว่า สอบมาตั้งแต่ ป.1 และได้เต็มตลอด 555 เพราะฉะนั้น เธอจะไม่อยากพลาดแล้ว ดังนั้นพอถึงเวลาจะสอบ ก็จะมาให้แม่ทวนเองเลย ไม่ต้องคอยเตือน (บางทีแม่ขี้เกียจ เธอก็จะต้องมาตาม แต่มักจะตามล่วงหน้าวันเดียว) ... อันนี้เป็นเคล็ดลับนะ ถ้าใครทำให้ลูกติดลมบนเรื่องอะไรได้ มันจะสบายเรามากๆ ... 

อ้อ ต้องบันทึกว่า ณ เทอมแรกนี้ มิสาไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษกับครูแพทแล้ว ซึ่งแม่เสียดายมากๆ มิสาเองก็ยังอยากจะเรียนอยู่ แต่ด้วยเหตุุผลบางอย่างทำให้ต้องเลิกเรียนไป แล้วแม่ก็หาครูที่ถูกใจแบบครูแพทไม่ได้ ก็เลยไม่ได้ให้เรียนที่ไหนเลย บอกมิสาเพียงแค่ว่า ถ้าหนูรู้สึกว่า เรียนไม่ทันเพื่อน ก็บอกแม่นะ ..

จนถึงช่วงเกือบปลายเทอม 1 มีคุยกับคุณครู ซึ่งตอนแรก แม่ไม่ได้คิดว่าจะได้คุยกับ T. เพราะปกติ ครูอังกฤษต้องนัดเวลาต่างหาก แต่พอดี T.มานั่ง stand by รอหน้าโถงเลย (น่ารักมากๆ) เลยได้เข้าไปคุย พอบอกว่า เป็นคุณแม่ของมิสา (ซึ่งตอนแรกไม่แน่ใจว่าครูจะจำมิสาได้รึป่าวด้วยซ้ำ) T.พูดคำแรกเลย มิสาน่ารักมากครับ แล้วเค้าทำได้ดีมาก ภาษาอังกฤษดีมาก participate ดีมาก ... แม่นี่ได้ปลื้มอีกแล้ว ^^ T.บอกว่า ปกติจะไม่ค่อยได้เรียกมิสาแล้ว เพราะอยากให้คนอื่นได้ตอบบ้าง แต่ถ้าคำถามไหน เพื่อนตอบไม่ได้ จะหันไปหามิสาเลย เพราะรู้ว่ามิสาจะเป็นคนทีตอบได้แน่ๆ ^^ ยิ้มแก้มปริไปเลยแม่ อิอิ ...จบเทอม 1 กับงานหยดน้ำ ที่กลุ่มมิสาได้เป็นตัวแทนของห้อง แสดงละครภาษาอังกฤษสั้นๆ มีแม่ๆหลายคนมาชมว่า มิสาพูดอังกฤษสำเนียงดี (คือ จริงๆมันไม่ได้ดีแบบ native อะไรนะ คือ เด็กเรียนรร.ไทยธรรมดาอ่ะค่ะ ไม่ได้เรียนอินเตอร์เนอะ แต่มันอาจจะมีแบบเสียงออกมานิดๆแค่นั้นล่ะค่ะ ^^') ถามแม่ว่า มิสาเรียนภาษาอังกฤษที่ไหน แม่ตอบไม่ถูกเลย 555 ส่วนนึงคงเป็นครูแพท เพราะเรี่ยนกันมาเป็นปี (ครูแพทสำเนียงดีมาก และเราเรียน ฟัง พูด ด้วย ในห้องเป็นกิจกรรม มีถามตอบ คงเป็นโอกาสให้มิสาได้พูดอังกฤษ) และส่วนนึง อยากจะตอบว่า เรียนจากการ์ตูนค่ะ 555 ก็มันจริงๆนะ แต่ที่ให้ดูก็มีการจำกัดเวลานะคะ อิอิ


เดี๋ยวไว้มาดูต่อไปว่าจะพัฒนาไปได้มากน้อยแค่ไหน :) โปรดติดตามตอนต่อไป





Create Date : 06 มกราคม 2561
Last Update : 27 สิงหาคม 2561 10:16:21 น.
Counter : 1238 Pageviews.

0 comment
ความในใจของแม่ค้ามือใหม่









เปิดร้านค้าออนไลน์ของตัวเองมาได้ปีกว่าแล้ว ขายของแบบเงียบๆ ในเน็ตอย่างเดียว แม้แต่ใน FB หรือ ไลน์ของตัวเองยังไม่เคยลง 555 เพราะว่าเป็นธุรกิจเล็กๆ ตั้งใจทำเพราะรัก เพราะชอบจริงๆ แต่ไม่ว่าจะทำธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ย่อมต้องมีปัญหามาให้เหนื่อยใจ เฮ้ออ...

เริ่มเล่าก่อนถึงที่มาของการเป็นแม่ค้า...

เริ่มจากมิสาไปสแกนลายผิวมือ (เมื่อ 2 ปีที่แล้ว) แล้วมันมีทักษะบางอย่างที่มันพร่องไป นักวิเคราะห์เค้าก็เลยแนะนำพวกเกมต่างๆมาให้มิสาฝึกเพิ่ม ซึ่งเกมที่เค้าแนะนำนั้น เหมือนเปิดโลกใหม่ให้กับครอบครัวของเรา เพราะมันไม่ใช่เกมในแอ็พ เกมในคอม หรือเกมที่มีขายในห้างแผนกของเล่นเด็ก แต่มันเป็น บอร์ดเกม (Board game) ซึ่งเกมพวกนี้เป็นที่นิยมมากในยุโรป(โดยเฉพาะเยอรมัน) และอเมริกา แต่ในประเทศไทยเอง มีกลุ่มคนเพียงน้อยนิดที่รู้จักเกมชนิดนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ ก็จะเป็นเกมพวกวางแผนกลยุทธ์ต่างๆ คือ เป็นเกมผู้ใหญ่เล่น ดังนั้นกลุ่มคนที่รู้จักบอร์ดเกม ก็จะเป็นกลุ่มนักศึกษาหรือคนทำงานเป็นส่วนใหญ่ เด็กๆ หรือ ครอบครัวจะไม่ค่อยรู้จัก

ถ้าสงสัยว่า บอร์ดเกม หรือ การ์ดเกม คืออะไร กิ๊กจะยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เกมบันไดงู เกมเศรษฐี หรือ เกม uno ที่บ้านเรารู้จักกันดี แต่ในความเป็นจริงๆบอร์ดเกมนั้นมีเยอะมากๆๆ เป็นร้อยเป็นพันเกม แต่ละเกม ก็จะมีอุปกรณ์ วิธีเล่นแตกต่างกันไปค่ะ

หลังจากที่เราได้ซื้อบอร์ดเกมมาให้มิสาเล่น เราก็พบว่า นอกจากจะได้ฝึกฝนทักษะหลายๆอย่าง (เพราะเราเริ่มเล่นเกมจากการฝึกทักษะ ไม่ได้เล่นจากการเป็นของเล่น) บอร์ดเกม แต่ละเกมยังสนุกมากๆ เด็กชอบเล่น พ่อแม่ก็ได้ใช้เวลาร่วมกับลูกๆ เป็นเวลาคุณภาพของครอบครัวจริงๆ แต่ปัญหาของบอร์ดเกมคือ มันมีขายในวงจำกัดมากๆ ทำให้เราอยากใช้โอกาสนี้ ในการแนะนำบอร์ดเกมให้กับกลุ่มครอบครัวบ้าง จึงเป็นที่มาของร้านขายบอร์ดเกมสำหรับเด็กออนไลน์ของเรา

ซึ่งเกมทุกเกมในร้านของกิ๊ก บอกเลยว่า เราซื้อมาให้มิสากับสิตาเล่นจริงๆ เกมไหนไม่สนุก เราก็ไม่ขาย 555 แต่เกมไหนเด็กๆชอบ และแม่ชอบด้วย เราก็ไปขวนขวายหามาขาย 555 เมื่อได้เกมต่างๆมาขาย กิ๊กก็ลงทุนไปเรียนการสร้างร้านค้าออนไลน์ เรียนวิธีลงสินค้า วิธีทำโฆษณา เรียกว่าทำเองทุกขั้นตอน รวมถึงการเขียนคำอธิบายเกมต่างๆ และวิธีการเล่น เราก็เขียนจากการเล่นที่เราให้ลูกเราเล่นจริงๆ

และมันก็เป็นที่มาของความคับข้องหมองใจในวันนี้....

เมื่อวันนึง เปิดเข้าไปในเพจๆนึง แล้วพบกว่า มีสินค้าลักษณะเหมือนของร้านเราขายอยู่ (ซึ่งไม่รู้เค้าเอามาจากไหน) ของคล้ายกัน ไม่เป็นไร ต่างคนต่างขาย แล้วแต่ผู้บริโภคว่าจะเลือกซื้อของใคร แต่ประเด็น คือ คำอธิบายเกมต่างๆ วิธีเล่นเกมต่างๆ ก็อปเว็บเราไปเต็มๆ  และพอหาๆไป ก้เจอว่า มันไปอยู่ในอีกหลายๆเพจ หลายๆกลุ่ม จนไม่รู้ว่า เจ้าแรกที่หยิบคำพูดเราไป คือ เพจ/กลุ่มไหน :( ถามว่ารู้ได้ไง.. ก็เราเขียนของเราเองอ่ะ เราไม่ได้ก็อปมาจากในโบรชัวร์หรือแผ่นพับในกล่อง กิ๊กเขียนจากประสบการณ์ที่เราได้หยิบ ได้จับ ได้เห็นของนั้นจริงๆ รวมถึงให้ลูกๆเล่นจริงๆ (กิ๊กเขียนขนาดว่า ณ วันที่ลูกเล่นกี่ขวบ หรือ เด็กกี่ขวบเล่น ได้ เบสจากอายุของลูกกิ๊กจริงๆ)

ถามว่า ทำอะไรได้มั้ย..

คำตอบ คงไม่ได้ทำ ... และก็ไม่รู้ว่าทำได้รึป่าว

เพราะเราก็เป็นร้านค้าเล็กๆเนอะ คือ เคยถามบางร้านไป เค้าก็บอกว่า เค้าก็ก็อปๆมาจาก google อะไรงี้ คือ ก็ไม่รู้แล้วว่าใครเป็นคนเริ่ม แล้วเราจะไปเริ่มบอกเค้าจากตรงไหน

เอาเป็นว่า มองบวกๆ คือ น่าดีใจที่ร้านเราเป็นต้นตำรับของ ข้อความวิธีเล่นบอร์ดเกมสำหรับเด็ก :)

อ้อ อีก 1 ความในใจที่อยากบอก...

คนชอบคิดว่า บอร์ดเกม ราคาแพงจัง ... ถามว่ามันแพงมั้ย เอาจริงๆ กิ๊กก็ต้องบอกว่า ก็คิดว่าราคาสูงอยู่เหมือนกัน 555 คือส่วนมาก ราคาก็ระดับ 7-800 อัพ บางเกมเป็นพัน แต่ถ้าถามว่า สมมติ คุณซื้อเกมกล่องนึง อ่ะ ยกตัวอย่าง speed cup 1,150 บาท แต่เกมนี้สามารถฝึกทักษะให้ลูกๆคุณได้ เค้าได้ฝึก hand eye co-ordination ฝึกความเร็ว ฯลฯ เล่นๆไป ผ่านไป 1 เดือน แล้วลูกคุณทำได้เร็วขึ้น ตามือ ประสานกันดีขึ้น ถามว่า พันนึงมันแพงไปมั้ย ... กิ๊กว่าไม่นะ

แล้วเกมของยุโรปส่วนใหญ่บอกเลยว่า คุณภาพดีมากกกก เล่นได้ทน พี่เล่นแล้ว น้องมาเล่นต่อได้อีก หรือ บ้านนึงเล่น เอาไปแบ่งให้อีกบ้านเล่นได้อีก ... เล่นปีนี้ ปีหน้าก็หยิบมาเล่นได้ คือ เล่นได้หลายๆปีเลยอ่ะ เพราะฉะนั้น ถามว่า พันนึงแพงมั้ย เทียบกับคุณภาพ กิ๊กก็ว่าไม่นะ ...

และถ้าใครได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ก็จะเห็นเลยว่า ของเล่นของต่างประเทศ ราคาก็ค่อนข้างสูงกว่าบ้านเราอยู่แล้ว กล่องนึงก็เป็นพันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น บอร์ดเกม มันเป็นของมาจากต่างประเทศ ราคามันก็สูงตามต้นทุนของมัน(+ค่าขนส่ง) แต่ในร้านกิ๊ก เราก็พยายามขายในราคามิตรภาพ เพราะเราขายออนไลน์ ไม่มีต้นทุนค่าเช่าร้านอะไรแบบนี้ ก็ว่ากันไปนาจา...


เอาล่ะ... ได้ระบายลงในบล็อคตัวเอง พอใจล่ะ บล็อคนี้ไม่ได้ขายของนะคะ เพราะไม่ลงชื่อเว็บเลย (แม้แต่ในบล็อค ก็ไม่มีเขียนเว็บตัวเองเลยนะ 555) หวังว่าคงไม่ถูก admin ว่าขายของอะไรนะ

ขอบคุณมากค่ะ Smiley



Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2560
Last Update : 30 มิถุนายน 2560 11:23:43 น.
Counter : 990 Pageviews.

2 comment
ข้อคิดจาก Pokemon




เป็นอีก 1 เรื่องที่อยากบันทึกไว้
เหตุเกิดที่ CTW 23/11/16




ช่วงนี้ไปที่ไหน ก็เห็นมีแต่ตุ๊กตา Pokemon (ใช่มั้ยอ่ะ กิ๊กเองก็เรียกไม่ค่อยถูก 555) ขายเต็มไปหมด
จนวันนึงที่ CTW มิสาก็พูดขึ้นมาว่า " โชคดีนะเนี่ยที่คุณแม่ไม่ให้สาเล่นเกม Pokemon สาเลยไม่รู้จัก เวลาเห็น สาก็เลยไม่อยากได้ ถ้าสาได้รู้จัก Pokemon นะ คุณแม่ต้องได้เสียตังค์แน่ๆ" ว่าแล้วก็หัวเราะชอบใจ
ก็เลยรู้สึกดีใจว่า เออ มันก็ดีจริงๆนะ ที่เราไม่ได้ให้เค้าเล่นเกมอะไรแบบนี้ (รวมถึงเกมต่างๆใน Iphone IPad) เพราะนอกจาก การเล่นเกม มันไม่ได้ส่งผลแค่  "เกม" แต่มันยังส่งผลถึงค่านิยมในตัวการ์ตูนต่างๆด้วย ในทีนี้ก็เช่น ตุ๊กตาต่างๆ ของเล่น ของใช้ที่มีรูปโปเกมอนด้วย

แล้วคำพูดของมิสาที่ว่า ดีนะที่แม่ไม่ให้... มันก็ทำให้กิ๊กคิดได้ว่า
เอาจริงๆแล้ว ค่านิยมอะไรหลายอย่าง ก็คนเป็นพ่อเป็นแม่นี่แหละที่เป็นคนปลูกฝังให้ลูกเอง
แต่เราดันไปโทษเด็กว่า ทำไมชอบแต่ยังงี้ๆๆๆ อะไรแบบนี้ ทำไมเล่นแต่เกม ทำไมเอาแต่ลายเจ้าหญิงๆๆๆ เป็นต้น

อย่างมิสา เป็นเด็กที่ชอบเอลซ่ามากกก ต้องแต่งตัวเจ้าหญิง ต้องมีหนังสือเอลซ่า ของใช้อะไรต่างๆก็ชอบเลือกลายเอลซ่า (แต่พอดี พ่อแม่ไม่ค่อยสนับสนุนมาก ก็เลยไม่ได้มีเยอะอย่างที่น่าจะเป็น) มาคิดย้อนไป ใครล่ะ ที่ป้อนตัวเอลซ่าให้กับลูก ถ้าไม่ใช่กิ๊ก...

จริงอยู่เริ่มแรก มิสารู้จักเอลซ่ามาจากรร. (เพราะเราไม่เคยให้เค้าดูหนังในโรงเลยในวัยตอน 4 ขวบ) แต่พอมิสาเริ่มรู้จักเอลซ่านิดๆหน่อย กิ๊กก็ไปต่อยอดเค้า ด้วยการพาไปดูไอซ์สเก็ตที่มีเอลซ่า หาแผ่นเอลซ่ามาให้ดู เพราะเวลานั้นเรารู้สึกว่า "ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร" เด็กๆผู้หญิงทุกคนชอบเอลซ่า หรือลึกๆก็คือ แม่เองก็ให้ค่านิยมกับอะไรแบบนี้ (สารภาพ) แล้วสุดท้าย พอมันมากๆเข้า ก็จะเริ่มดุลูกแบบ เอลซ่ามากไปแล้วนะ ต้องเพลาๆลงแล้วนะ ... ซึ่งสุดท้าย มิสาก็ไม่ได้เครซี่เอลซ่าเข้าขั้นรุนแรงอะไร แต่มันก็คือ เราก็ต้องใช้พลังงานพอสมควรในการสกัดกั้นความเครซี่นั้น ซึ่งถ้าเราไม่ได้แนะนำให้เค้ารู้จักตั้งแต่ต้น เราก็ไม่ต้องมาเสียพลังงานตรงนี้ ไม่ต้องเสียเงินเพื่อสิ่งนี้อย่างมากมาย .. ใช่มั้ยคะ ???

ที่กิ๊กเขียนเรื่องนี้ ไม่ได้อยากจะบอกว่า ให้ลูกเล่นโปเกมอนผิดหรือไม่ดี (เพราะมันแล้วแต่สไตล์ของแต่ละบ้าน) แต่สิ่งที่อยากจะบอกคือ คุณเลือกได้ว่า คุณอยากเสียพลังงานไปกับการที่ต้องมาให้ลูกเลิกสิ่งที่คุณพยายามใส่ลงไปให้เค้ารึป่าว ถ้าไม่อยาก ก็ไม่ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นค่ะ แต่ถ้าคิดว่า พร้อมแล้ว ก็ต้องยอมรับที่จะเผชิญกับปัญหาที่ตามมานะ ... 

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องเกม  เราอาจจะให้เค้าเล่น เพราะ มันช่วยให้เด็กกินข้าว ช่วยให้เด็กอยู่นิ่ง ช่วยให้เราได้พัก ฯลฯ แต่วันนึงเราก็มาบ่นว่า เค้าติดเกม เล่นแต่เกม เราก็มากลุ้มใจอีก เราก็ต้องหันกลับมาดูก่อนนะ ว่าใครเป็นคนเริ่มให้เค้าเล่นเกม คือ ถ้าไปโทษเด็กอย่างเดียว มันก็ไม่ถูกเนอะ 555 
แล้วถ้าเราเป็นคนให้เค้าเล่นได้ เราก็ต้องเป็นคน ไม่ให้ เค้าเล่นได้ใช่มั้ยคะ ถ้าคิดว่ามันไม่ดี อยากให้ลูกหยุด เราก็ต้องใส่ความพยายามลงไปพอสมควรในการตัดวงจรนี้ (แต่ถ้าคิดว่า เล่นได้ ไม่เป็นไร ก็ปล่อยไปได้ค่ะ)

ที่เขียนนี่ก็ เตือนตัวเองด้วยเหมือนกันค่ะ 555
เราก็มาสู้ๆเพื่อลูกไปด้วยกันนะคะ ^_^






Create Date : 27 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 30 มิถุนายน 2560 11:23:29 น.
Counter : 812 Pageviews.

0 comment
มิสากับ Ice skate บทที่ 1 : Ice skate นี้เพื่อลูก




 
บล็อคนี้กิ๊กอยากเขียนเพื่อเอาไว้ให้มิสาอ่านตอนโต วันที่เค้าเล่นไอซ์สเก็ตได้เก่งๆ หรือ ถึงไม่ได้เรียนต่อไป แต่ก็อยากให้เห็นว่าแม่คนนี้ทุ่มเทแค่ไหนในการที่จะให้มิสาได้ลองเล่น ลองทำ ลองเรียนอะไรหลายๆอย่างเพื่อให้เค้าค้นพบศักยภาพในตัวเอง
 
เริ่มจากเด็กๆก่อน 3 ขวบที่กิ๊กได้พามิสาไปเรียน(และทดลองเรียน)เสริมเยอะมากๆๆๆ 555 ทั้งจิมโบรี ชิจิดะ เบรนสคูล จูโน่ เบบี้จีเนียส ฯลฯ  (อ่านตอนเก่าๆดูนะคะ 555) จนกระทั่ง 2.4 ขวบ ก็หยุดเรียนเกือบทั้งหมด เพราะมิสาเข้าเรียนชั้นเตรียมอนุบาล 
 
จนกระทั่งเข้า 3 ขวบ ก็มาเริ่มเรียนบัลเล่ต์ เพราะตอนนั้นมิสาดูชอบ (เพราะดูจากแองเจลิน่า) พอไปทดลองเรียนครั้งแรก ก็เข้าห้องเองได้ ไม่ต้องมีแม่เข้า เรียนเสร็จบอกเรียนได้ อยากเรียน ก็เลยสมัครไปด้วยความปลื้มปริ่มของอินังแม่ ปรากฏโดนลูกหลอก เพราะหลังจากนั้นมิสาก็ไม่สามารถเข้าเองโดยไม่มีแม่เข้าได้ คือ เธอก็ชอบนะ เวลาเรียนก็สนุกดี แต่พอจะเข้าห้อง dramaน้ำตาแตก ต้องให้แม่เข้า รวมแล้วแม่เข้าไปนั่งเฝ้าทั้งหมด 10 ครั้ง !! พอคอร์สที่ 2 แม่ไม่ยอมเข้าล่ะ แต่ก็ต้องนั่งเผ้าหน้าห้อง(กระจก)ให้เห็นหน้าอยู่ดี (คือหนีไปเดินเล่นไมไ่ด้เลย) จนกระทั่งจบคอร์ส 2 มิสาย้ายรร.มารุ่งอรุณ รร.บัลเล่ต์ที่เดิมเริ่มไกลล่ะ ก็เลยย้ายมาเรียนที่ KPN (นราธิวาส24) แต่ก็ยังเป็นคลาสประเภทเดิม คือเหมือนแค่ Let's dance ประมาณนั้น ยังไม่ใช่บัลเล่ต์เต็มตัว ซึ่งตอนนี้แม่ท้องสิตาได้ 6-7 เดือนแล้ว แต่ห้องบัลเล่ต์ของ KPN อยู่ชั้น 4 แม่เลยเดินขึ้นไปส่งเรียนไม่ไหว ก็เลยยกหน้าที่ให้พ่อเป็นคนพามิสาเรียนบัลเล่ต์แทน ซึ่งพ่อก็ประสบปัญหาไม่ต่างกับแม่ คืองอแงก่อนเข้าห้องเกือบทุกครั้ง พ่อต้องรอหน้าห้อง (คือยังไงพ่อก็ไม่ยอมเข้าไปนั่งเหมือนแม่) แต่เวลาเรียนทุกครั้ง ครูจะบอกตลอดว่า มิสาทำได้ดีนะคะ ซึ่งเราเองก็ดูลูกเราตลอด ก็พอรู้ว่าทักษะเค้าได้ ตัวอ่อน ทรงตัวดี แต่ก่อนเข้าจะงอแงเกือบทุกครั้ง แม่ก็เลยหาตัวช่วย ชวนเพื่อนมิสาไปเรียนด้วย ก็พอช่วยได้อยู่ช่วงนึง พอดีที่เวลาเรียนมันไม่ลงตัว ต้องย้ายมาเรียนคนละคลาสกัน ก็เข้าอีหรอปเดิม ร้องงอแง ... จนในที่สุด พ่อก็บอกว่า ไม่ไหวแล้ว คือ ต้องมาบิ้วท์ต้องมาอะไรกันทุกครั้งก่อนเข้า มันไม่ไหวแล้วนะ พอเถอะ ... แม่ก็เลยให้มิสาเลิกเรียนบัลเล่ต์ เพราะฝืนต่อไปก็คงไม่ไหว ทั้งๆที่ในใจก็แสนเสียดาย เพราะรู้ว่าทักษะด้านร่างกายของมิสาดีเลยทีเดียว ถ้าได้เรียนต่อต้องไปได้ดีแน่ๆ แต่ก็อ่ะนะ..เมื่อลูกไม่ชอบ เราก็ไม่ฝืน (จริงๆแอบคิดหาเหตุผลสารพัดที่มิสาจะไม่ชอบ จะว่าครูก็ไม่ใช่ เพราะเลือกครูที่ใจดีมาก แต่คิดว่าเป็นเพราะคลาสใหม่ ไม่มีเพื่อน แล้วเด็กในคลาสเป็นฝรั่งกับจีนเกือบหมด ไม่มีเด็กไทยเลย มิสาเลยไม่มีเพื่อนคุย -- อันนี้แม่คิดนะ) รวมแล้วมิสาเรียนบัลเล่ต์ได้เกือบ 2 ปีเหมือนกันนะ
 
 
++ มิสาตอน 4.2 ขวบ++
 
 
 
ช่วงมิสา 4 ขวบกว่าๆนี่เอง แม่ได้มีโอกาสพามิสามาสแกนลายผิวมือ(เป็นครั้งที่ 2) เพื่อดูว่ามิสาจะมีความถนัดในด้านไหนกับครูบัว ครูบัวก็บอกว่า กล้ามเนื้อมัดใหญ่น้องโอเคนะคะ เรียนบัลเล่ต์หรือพวกกีฬาได้ และแม่ก็ได้ปรีกษาครูถึงเรื่องมิสาติดพ่อติดแม่มาก เวลาเข้าห้องเรียนอะไรก็เข้าเองคนเดียวไม่ได้(หรือได้แบบไม่ค่อยเต็มใจ) ครูบัวแนะนำให้เรียนจิมเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้มิสา เพราะการที่เด็กได้ออกกำลัง เล่นกีฬา เป็นการฝึกให้เด็กมีความมั่นใจมากขึ้น ตอนแรกแม่ฟังก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอเล่าให้พ่อฟัง พ่อสนับสนุนมาก แม่ก็เลยพามิสามาทดลองเรียน ปรากฎว่ามิสาชอบมาก เรียกว่าเข้าทางเลย เพราะเด็กรุ่งอรุณชอบอยู่แล้วพวกปีนป่าย(แต่ละคนซนยังกะลิง 555) มาเรียนในคลาส มิสานี่เป็นแบบเด่นเลยนะ ครูชมตลอดว่าเก่ง เวลามีผปค.มาดูที่รร. จะถามตลอดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนั่นใคร เก่งจัง เร็วกว่าเด็กผู้ชายอีก 555 แต่พอเรียนไปได้ซัก 3-4 ครั้ง ก็เกิดปัญหาเดิมๆอีก คือ พอจะเข้าห้องเริ่มงอแง คิดถึงแม่ แม่ต้องนั่งเฝ้า... แม่ก็ เฮ้ย อะไรอีกเนี่ย ยังไม่หายเหรอ ทั้งๆที่เป็นวิชาที่สนุกมาก ทำได้ทุกอย่าง มีความมั่นใจด้วย ครูก็ชม .. คือ เห็นชัดๆละว่าเรียนได้ดี แต่ก็ยังมีปัญหาติดแม่ พอจะเข้าห้องก็บ่น ไม่อยากเรียน (แต่พอเรียนในห้องจะสนุกมากก เล่น วิ่ง ทำทุกอย่างได้ดี) ตอนแรกแม่ก็จะให้เลิกเรียน เพราะขี้เกียจมาเจออะไรแบบนี้อีก บอกตรงๆ ก็เล่าให้ครูบัวฟัง ครูบัวก็ช่วยจัดการให้ ให้คุณครูออกมารับเข้าห้อง ครูบัวก็แนะนำให้คุยกับลูก เพราะลูกเป็นคนอยากเรียนเอง แล้วครูก็ยืนยันว่ามันไม่ได้มาจากทักษะที่พร่องของเค้า เพราะฉะนั้นในคลาสเค้าเรียนได้แน่นอน ... แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังคงมีปัญหางอแง ไม่อยากเรียนมาอยู่เป็นระยะๆๆ จนในที่สุด แม่ก็ยอมแพ้ ถ้ามันไม่ happy จะเข้าห้องขนาดนี้ก็ไม่ต้องเรียนก็ได้ลูกเอ้ยย... แม่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ (ตังค์ก็เสีย เหนื่อยบิ้วท์ลูกอีก)
 
 
หมดไฟไปสักระยะ ... ตอนนี้มิสาไม่ได้เรียนอะไรแล้ว(นอกจากภาษาจีน) ... แม่เพื่อนในห้องมิสา ก็มาเล่าให้ฟังว่า เค้าเอาลูกไปเรียนแบต แล้วปรากฏว่า ลูกชอบมาก เรียนได้ดี ครูก็ชม เรียนไปสักระยะ ก็มี feedback มาจากครูที่รร.ว่า ลูกเค้าดีขึ้นมาก เวลาเรียนก็มีสมาธิ มีความมั่นใจ กล้าพูด กล้าตอบในห้อง คือ พัฒนาการในห้องเรียนดีขึ้นเลย แม่เค้าเลยเล่าให้ฟังว่าพาลูกไปเรียนแบตมา แล้วลูกชอบ ครูเลยบอกว่า อยากให้เด็กอื่นๆดูเป็นตย. (คือ ประมาณว่าให้เด็กๆชวนกันไปเล่นกีฬาบ้าง ทั้งๆที่รร.มิสาไม่เน้นให้เด็กเรียนพิเศษนะ แต่กีฬาครูโอเค) เพราะมันทำให้เด็กมีความมั่นใจ ส่งผลให้การเรียนในห้องก็ดีขึ้นด้วย ... ฟังปุ๊บ ไฟมันก็มาอีกครั้ง 555 แม่ย้อนนึกกลับมาถึงที่ครูบัวพูดทันทีว่า เออ มันมีผลจริงๆนะ การเล่นกีฬาเนี่ย มันทำให้เด็กก้าวข้ามขีดจำกัดของเค้า แล้วก็จะทำให้เค้ามีความมั่นใจ มีสมาธิ แม่เลยตั้งใจว่าต้องหาอะไรซักอย่างที่มิสาชอบให้มิสาเรียน (หลังจากไม่ประสบความสำเร็จทั้งบัลเล่ต์และยิม) ซึ่งประกอบกับผลการสแกนที่มิสาสามารถพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ดีด้วย แม่ก็เชื่อว่ามิสาน่าจะเล่นอะไรที่เป็นแนวเน้นร่างกายได้
 
 
แม่เลยลองถามมิสาตรงๆเลยว่า มิสาอยากเรียนอะไรบ้างมั้ย 555 ถามแบบไม่คิดว่าลูกจะตอบได้ เพราะเคยถามแล้ว แต่มิสาไม่อยากเรียนอะไรซักอย่าง แต่คราวนี้มาไงไม่รู้ มิสาบอกว่าอยากเรียน ไอซ์สเก็ต ... เอาล่ะสิคร้าบบ แม่อย่างเรา ลูกบอกว่าอยากเรียน แม่ก็ต้องรีบหาข้อมูลทันทีว่าจะไปเรียนที่ไหน อะไร ยังไง
 
 
พูดถึงไอซ์สเก็ต แม่ก็ขอเขียนไว้หน่อยนึง อันว่ากีฬาชนิดนี้เป็นอะไรที่พ่อกับแม่เคยคุยกันมานานแล้วว่า เราไม่อยากให้ลูกเรียน คือ ตอนมิสาซัก 3-4 ขวบ ก็มีเพื่อนๆที่รร.พูดถึงเรียนไอซ์ฯกันอยู่บ้าง แต่เรา 2 คนก็คุยกัน และเรารู้สึกว่า มันเป็นกีฬาอะไรที่ไกลตัวมากก จะเล่นก็ลำบาก ต้องไปหาลานไอซ์ ก็ซึ่งไกลบ้าน จะซ้อมทีอะไรที่ก็ลำบาก เล่นเองที่บ้านก็ไม่ได้ อีกทั้งพ่อกับแม่ก็ไม่มีใครเล่นเป็นซักคน ... คือ มันเป็นกีฬาที่ไกลตัวคนไทยไปนิด สู้เล่นกีฬาพวกว่ายน้ำ แบต เทนนิสไม่ได้ ดูจะเป็นกีฬาที่อยู่ในวิถีไทยมากกว่า ก็เลยคิดว่าคงไม่พามิสาไปลองเล่น(กับเพื่อนๆ)เพราะยังไงก็คงไม่ได้ให้เอาดีทางนี้
 
แต่มิสาดันพูดว่าอยากเรียน ! แล้วเอาไงล่ะทีนี้ แม่ก็เอาเรื่องนี้ไปคุยกับพ่อ แน่นอนว่าพ่อไม่สนับสนุน เพราะหลังจากคุยๆกับเพื่อนแม่ที่ลูกเค้าเรียนอยู่ แม่ก็รู้ว่าเค้ามีสอนหลายที่ ที่สะดวกสุดสำหรับพระราม 2 บ้านเรา ก็คงเป็น CTW เรียนหลังเลิกเรียนวันธรรมดา ... ซึ่งพ่อก็ว่ามันไม่สะดวก นู่นนั่นนี่ แต่ไหนเลยมนุษย์พ่อจะชนะมนุษย์แม่ได้ 555 พ่อไม่ให้ แต่แม่ให้ซะอย่าง ... ก็แปลว่า แม่ต้องรับผิดชอบพาลูกไปเรียนเองนะจ๊ะ (พ่อจ่ายตังค์อย่างเดียว) ..  แม่นำเรื่องนี้ไปคุยกับครูบัวอีกครั้ง ครูบัวบอกว่า น้องเรียนได้ค่ะ เพราะเค้ามีทักษะด้านนี้อยู่ แต่ครูขอแนะนำคุณแม่นะคะ ถ้าน้องเลือกเรียนไอซ์สเก็ตคราวนี้ คุณแม่ห้ามให้น้องเลิกกลางคันแล้วนะคะ เพราะไม่งั้นก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆค่ะ คือพอเบื่อ/ท้อ/ไม่มีอารมณ์ ก็งอแงไม่อยากเรียน ... ซึ่งอันนี้เป็นอะไรที่ตรงใจแม่มาก คือแม่ระวังเรื่องนี้อยู่แล้วเพราะได้ยินมาเยอะ คือลูกอยากเรียนนั่นนี่นู่น แล้วสุดท้ายกลายเป็นไม่มีอะไรสำเร็จซักอย่าง แม่เลยรับปากครูบัวว่า ค่ะ จะไม่ให้เลิกเรียนแล้วค่ะ 555
 
และแล้วการเรียนไอซ์สเก็ตของมิสาก็เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลาง "ความพยายามในการขับรถไป-กลับ CTW-พระราม2" ในวันพุธตอนเย็น ... ซึ่งเป็นอะไรที่รถติดมากกกก และบอกเลยว่า ตั้งแต่แม่ออกจากงานมา แม่ไม่ชินกับรถติดมา 3-4 ปีแล้ว ไม่เคยได้ขับรถช่วง rush hour เลย ยิ่งเราย้ายบ้านมาพระราม2 เพื่อให้ใกล้รร.มิสา จะได้ไม่ต้องหงุดหงิดกับรถติด แต่ดันต้องมี 1 วัน(คือวันพุธ) ที่แม่ต้องมาเผชิญรถติดในชม.เร่งด่วน แล้วรถติดทีแบบขาไป 1 ชม. ขากลับ 1.30 ชม. เรียนจริง 1 ชม. มันใช่มั้ยอ่ะ มันเป็นอะไรที่แม่คิด คิด คิด ว่าเราคิดถูกมั้ยเนี่ย 555  แม่ใช้ความพยายามสำรวจเส้นทาง สำรวจที่จอดรถ สำรวจเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางอยู่นานกว่าจะลงตัว เริ่มตั้งแต่
 
         - ไปเร็ว - กลับเร็ว คือ มิสาเลิกเรียน บ่าย2.30 แม่ก็รับไปเลย (ไม่ต้องเล่นสนาม) เวลาเรียน คือ 16.30 น. เรียนเสร็จ 17.30 น. ก็กลับบ้านทันที ... ผลคือ มาทันนะ (คือ ขามาต้องอธิบายนิดนึงว่า นอกจากเวลาบนถนนแล้ว ยังต้องรวมเวลาหาที่จอดรถ และเข้าห้องน้ำ ใส่รองเท้า ใส่เลกกิ้งด้วย) แต่ขากลับ รถติดมากก แค่ออกจากที่จอดรถ ก็ครึ่งชม.แล้ว กว่าจะฝ่าฟันรถติดบนทางด่วน กว่าจะถึงบ้าน ถึงบ้านก็ทุ่มครึ่ง พยายามแบบนี้อยู่ซัก 2-3 ครั้ง แม่ก็ว่าไม่เวิร์ค คิดว่าเราคงกลับเย็นเกินไป รถเลยติดมาก เพราะฉะนั้นจะต้องเลิกเร็วกว่านี้ อีกทั้งตอนขามา เรามาถึงก่อน 16.30 อยู่แล้ว น่าจะเริ่มเร็วขึ้น และเลิกให้เร็วขึ้น
 
         - เรียนเร็วขึ้น คือ 16.00 - 17.00 น. พอเลิกปุ๊บ ก็กลับปั๊บ เพื่อให้ทันก่อนรถติด ผลคือ ขามาต้องพยายามอย่างสูง เพราะถนนแถวๆเพชรบุรี - หลังสวน เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางทีก็ไม่ติด บางทีก็ติด ถ้าติด ก็จบเลย ต่อให้มาทัน 4 โมง แต่ก็ต้องเข้าห้องน้ำอีก ใส่รองเท้าอีก ... ผลคือ ต้องเลื่อนครูค่อนข้างบ่อย เลยรู้สึกเกรงใจคุณครูมากก แถมขากลับ เลิก 5 โมงก็จริง แต่กว่าจะถอดรองเท้าเปลี่ยนชุดอะไรมากมาย กว่าจะได้ออก 5 โมงกว่า ก็รถติดจากที่จอดรถเป็นเกือบครึ่งชม.เหมือนเดิม ไม่มีอะไรดีขึ้น ... จำไม่ได้ว่าเวลาอยู่กี่ครั้ง (น่าจะหลายครั้งอยู่คราวนี้) ก็ต้องเปลี่ยนเวลาอีกรอบ
 
         - กลับไปเรียน 16.30 -17.30 น. เหมือนเดิม เพราะเกรงใจครูเหลือเกิน เหตุเพราะไปไม่ทันเริ่มบ่อย แต่พอเลิก คราวนี้ไม่รีบกลับล่ะ จัดการให้มิสากินข้าวเลย เพราะไม่งั้นกว่าจะถึงบ้านทุ่มกว่า ไม่เวิร์ค กินข้าวเสร็จ ก็รีบกลับบ้าน ออกจาก CTW ประมาณ 6.30 บ้าง 1 ทุ่มบ้าง 1 ทุ่มกว่าบ้าง ผลคือ ไม่เวิร์คเหมือนเดิม เพราะรถติดจากที่จอดอยู่ดี หรือถ้าไม่ติดในที่จอด ก็จะมาติดบนทางด่วนอย่างยาวววว คือ กลับถึงบ้าน 2 ทุ่มครึ่งบ้าง เกือบ 3 ทุ่มบ้าง ดีหน่อยถ้ามิสาหลับมาเลย 555 แต่ก็ไม่เวิร์ค
 
จนกระทั่งเรียนไปซัก 10 กว่าครั้ง (นิดๆ) มิสาก็เริ่มงอแงไม่อยากไปเรียน เหตุเพราะทุกวันพุธ แม่จะรับมิสาหลังเลิกเรียนทันที (2.30 ) ทำให้มิสาไม่มีเวลาเล่นกับเพื่อน (ปกติต้องเล่นถึง บ่าย 3) ก็จะงอแงขอเล่น ซึ่งถ้าแม่ปล่อยเล่นถึง 3 โมง (เพื่อบิวท์ให้เธออารมณ์ดี จะได้ไปเรียนดีๆไม่งอแง ไม่งั้นจะบ่นว่าไม่อยากไปเรียน) กว่าจะได้ออกจากรร. รวมซื้อขนมอีกอะไรอีก บ่าย 3 กว่า ก็จะทำให้ 16.30 น ไปเรียนไม่ทันล่ะ จนรู้สึกเกรงใจครูมากขึ้นไปอีก แถมมีช่วงนึง (ก็ช่วงครั้งที่ 10 กว่าๆนี่ล่ะ) เล่นเสร็จ หลับไปในรถ ไปถึงไม่ยอมตื่น พอปลุกตื่นก่อนก็งอแง ร้องไห้ไม่อยากไปเรียน บ่นคิดถึงพ่อ ... คือ ช่วง 4-5 ครั้งนี้ ต้องบันทึกเลยว่า แม่ปรี๊ดแตกมากกก จากเคยเข้าลานไอซ์ไปเรียนเองดีๆได้ (โดยอยู่กับครู 2 คน แม่ไปเดินช้อปปิ้งได้สบาย) ในคอร์สแรก (10 ครั้ง) อยู่ดีๆก็ผีเข้า งอแง ไม่อยากไปเรียน มีเหตุตลอด อย่างที่บอก บางทีบิวท์อารมณ์ไปดีๆ พอถึง CTW ร้องไห้ ไม่อยากเรียน คิดถึงพ่อ  เสียเวลาไปครึ่งค่อนชม. แต่แม่ก็พยายามผลักเข้าไปจนได้ เพราะไม่อยากให้เหมือนว่าพอร้องไห้แล้วไม่ต้องเรียน ก็จะติดนิสัยและคิดว่าถ้าร้องไห้ก็ไม่ต้องเรียนได้ แม่ถึงกับบอกครูว่าสอนแค่ 30 นาที หรือ 15 นาทีก็ได้ค่ะ แต่ให้คิดค่าเรียน 1 ชม.ปกติ เพราะไม่อยากให้ขาด อ้อ ! จริงๆมันแอบมีเหตุนิดหน่อย ก่อนจะถึงช่วงที่มิสางอแง คือ เราหยุดเรียนไป 2 ครั้งได้ เหตุเพราะอะไรแม่จำไม่ได้อาจจะไปเที่ยวหรืออะไรนี่แหละ พอกลับมาเหมือนต่อไม่ติด ก็งอแงไม่อยากเรียนซะงั้น แม่เลยขยาดมาก สำหรับมิสานี่ ต้องสม่ำเสมอเท่านั้น .. ซึ่งพอผลักเข้าไปเรียนได้ ในช่วงที่เรียนมิสาก็ดูโอเค พูดคุยกับครู ทำตามที่ครูสอนได้ มียิ้มหัวเราะได้ปกติ แต่หน้าเฉยๆก็มีบ้างเหมือนกัน ... แต่สรุป คือ ประมาณ 4-5 ครั้งนี่แหละ ที่แม่ต้องใช้ความอดทนขั้นสูงที่สุด ที่จะพามิสาผ่านมันไปให้ได้ ซึ่งพอผ่านไปได้สำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร อาจจะเพราะเริ่มต่อติดเหมือนเดิม เริ่มสนุกกับท่าใหม่ๆ หรือจะเพราะแม่ถ่ายคลิปแล้วทำเป็นเอาไปอวดคนอื่น 555 ในที่สุด มิสาก็กลับมาชอบเรียนไอซ์สเก็ตเหมือนเดิมได้โดยไม่งอแง และเมื่อถามถึงครูในดวงใจ มิสาก็ให้ครูน้ำตาลเป็นอันดับ 2 ด้วย Smiley (อันดับ 1 คือ ครูสอในดวงใจจ้า)
 
               - ซึ่งผลจากการงอแง อารมณ์ไม่คงเส้นคงวาของมิสา แม่ก็เลยเลื่อนเวลาเรียนเป็น 17.00 -18.00 น.เรืยย คือเอาแบบว่ามีเวลาเหลือเฟือก่อนเรียน เอาให้ตื่นเต็มที่ ถ้าร้องก็ร้องซะให้เสร็จ 555 พอเรียนเสร็จ ก็ไปกินข้าว แล้วมันบังเอิญที่พอกินข้าวเสร็จมิสาก็ขอเล่นของเล่นที่ชั้น 6 ต่อ เล่นไปเล่นมา กลับประมาณเกือบ 2 ทุ่ม หรือ 2 ทุ่มกว่า แล้วก็ค้นพบว่า รถมันไม่ติดเลย 555 ไม่ติดทั้งที่จอดรถ และไม่ติดบนทางด่วน อย่างออก 2 ทุ่ม แค่ 2.40 ก็ถึงบ้านแล้ว คือ ไม่เกิน 3 ทุ่ม (ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชม) สุดท้าย เราก็มาลงตัวที่เวลานี้ คือ ขามาก็ไม่เร่งรีบเกินไป เชิญเล่นตามสบาย จนกระดิ่งดังบ่าย 3 โมง มาถึงจะหลับมาในรถ จะยังไงก็ตื่นทันแน่นอน 5 โมงเย็น 555 แถมตอนกลับบ้านก็รถไม่ติดด้วย
 
สุดท้าย วันที่แม่นั่งบันทึกอยู่นี่ มิสาก็เรียนไอซ์มาครบ 20 ครั้งแล้ว อย่างน้อยก็หมุนตัวได้แล้ว ก็ถือว่าแม่ก็ดีใจอยู่ที่ลูกทำสำเร็จ 555 ต่อไปเลื่อนขึ้นประถม เลิกเรียน 3.30 น. ก็ดูต่อไปว่ายังไปเวลานี้ทันรึป่าวนะ 555
 



Create Date : 24 มีนาคม 2559
Last Update : 6 สิงหาคม 2562 17:03:25 น.
Counter : 2125 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  

Beauty & Bambi
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]



ณ 31/1/2023

นิยามตัวเองได้ว่า เป็นคนชอบ เที่ยว กิน ช๊อป ค่ะ...แต่หลังๆไม่ได้อัพบล็อคเลย มัวแต่เล่น ig กับ เฟส ^^

บล็อคที่เขียนไว้อาจจะนานแล้ว แต่ก็ยังหวังว่าจะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆนะคะ ถ้าได้เที่ยว (หลังโควิด ) จะมาอัพอีกนะคะ


*** เราไม่ค่อยได้เข้ามาเช็คที่ blog เท่าไร่ ถ้าเพื่อนๆอ่านแล้วมีคำถาม รบกวนถามมาทางอีเมลล์เลยนะคะ (ดูอีเมลล์จาก profile ได้ค่ะ) เรายินดีตอบทันทีค่ะ แต่ถ้ามาทิ้งคำถามไว้ที่ blog หรือ หลังไมค์ มันอาจจะนานกว่าเราจะมาอ่านเจออ่ะค่ะ ***
New Comments