ประสบการณ์เก็บสตรอเบอร์รี่ที่ญี่ปุ่นที่ Gourmet Strawberry Museum Maeda (21/4/19)



บ้านเราพาเด็กๆเก็บสตรอเบอร์รี่ที่เมืองไทยกันมาหลายครั้งล่ะ ทั้งที่เชียงใหม่ เขาค้อ เขาใหญ่ก็เคย 555 จริงๆว่าที่เมืองไทยก็เก็บสนุกแล้วนะ (เพราะมันไม่แพง เก็บมันมาก โลละ 80 เอง 555) แต่การเก็บสตรอเบอร์รี่ที่ญี่ปุ่นนั้นมันฟินกว่าจริงๆ เพราะสตรอเบอร์รี่ญี่ปุ่นนั้นหวานมากๆๆๆๆ หวานแบบหวาน ไม่มีเปรี้ยวปนเลยซักนิด แล้วบางพันธุ์ คือ แบบหอมมากกก กลิ่นสตรอเบอร์รี่ที่เราได้กลิ่นตามขนมญี่ปุ่นรสสตรอเบอร์รี่ มันคือ แบบนั้นเลย แต่นี่คือ ของจริง ! 227

การเก็บสตรอเบอร์รี่ที่ญี่ปุ่นนี้ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ จนเราอยากเอามาแบ่งปันค่ะ ถ้าใครพาเด็กๆ(หรืออาจจะไม่มีเด็กก็ได้)ไปเที่ยวญี่ปุ่น ไม่ควรพลาดเลยนะคะ

เริ่มจากเราตั้งใจแล้วว่าไปญี่ปุ่นคราวนี้ต้องพาเด็กๆไปเก็บสตรอเบอร์รี่ให้ได้ แต่เราเป็นประเภทไม่ชอบที่ฮิตๆแถวๆโตเกียวหรือเมืองใหญ่ คือ กลัวมีคนมาเก็บไปหมดแล้ว ว่างั้นเหอะ 555 (เหมือนเมืองไทย คือ คนจะมาเที่ยว เสาร์ อาทิตย์ ถ้าเราไปวันจันทร์ คือ จะไม่มีล่ะ ^^) ซึ่งพอดี เราเช่ารถขับไปเที่ยวแถวคาวากูชิโกะ ก็เลย search หาไร่แถวๆนั้น เห็นไร่นี้รีวิวออกมาค่อนข้างดี ก็เลยเลือกไปที่นี่ค่ะ หาใน google ได้เลยไม่ยาก Gourmet Strawberry Museum Maeda ขับไปจากคาวากูชิโกะประมาณ 30 นาทีค่ะ ไร่นี้มีป้ายอธิบายภาษาอังกฤษด้วย ไทยด้วย เรียกว่าน่าจะฮิตในหมู่คนไทยนะ แต่ตอนไปก็คนไม่เยอะนะคะ มีคนญี่ปุ่นอยู่ซัก 2-3 ครอบครัวเอง ไม่ได้แย่งกันแบบทัวร์ลง คือ จริงๆคนญี่ปุ่นเค้าคงเก็บกันจนชินอ่ะ แล้วมันก็มีเยอะด้วย คนเค้าก็เลยไม่เยอะเท่าไร่


ไร่สตรอเบอร์รี่ที่นี่จะไม่เหมือนเมืองไทยนะคะ ที่ไทย คือ เราจะเห็นสตรอเบอร์รี่ปลูกเป็นแปลงๆบนดิน กลางแจ้ง มองเห็นแต่ไกลเลย เวลาจะเก็บ บางที่ต้องเปลี่ยนรองเท้าบูท เพราะมันจะเป็นร่องน้ำแฉะๆ แต่ที่ญี่ปุนเค้าจะเป็นโรงปิด (เพราะฉะนั้นเรียก ไร่คงไม่ถูก แต่ไม่รู้จะเรียกอะไร 555) เป็นเหมือนเต็นท์สีขาว แล้วก็ปิดหมดเลย มีแค่ประตูเปิดเข้าออก ตอนขับรถหายังงง มองหาแปลงสตรอเบอร์รี่เขียวๆแบบเหมือนไทย ที่ไหนได้ เป็นเต้นท์สีขาวๆค่ะ ส่วนด้านในจะเป็นตามในภาพค่ะ เหมือนแปลงผักไฮโดรโปนิกส์บ้านเรา ^^ ทำให้สามารถใส่รองเท้าเข้าไปปกติได้เลย บางที่ยังบอกว่า สามารถเอารถเข็นเด็กเข้าได้อีกตะหาก ไร่ที่นี่ส่วนใหญ่คือ เค้าจะคิดค่าเก็บเป็นหัว (ราคาผญ/ด) แล้วก็เก็บ+กินเท่าไร่ก็ได้ เป็นบุฟเฟต์เลยค่ะ แต่แบบกินเลยนะ เท่าไหร่เท่านั้น ที่นี่รู้สึกผุ้ใหญ่จะ 2,200 เยน เด็ก 1,600 เยน (แต่ถ้าใครอยากจะเก็บใส่กล่องกลับบ้าน ก็จะคิดตามนน.ค่ะ แต่บางไร่ก็ไม่มีให้แพคกลับบ้านนะคะ ให้กินที่นั่นอย่างเดียว ต้องเช็คในเว็บค่ะ) โดยจะจำกัดล็อค หรือ แถวให้เรา ว่าให้อยู่เฉพาะแถวนี้นะ ซึ่งก็กินไม่หมดแล้วล่ะ 555 แล้วเค้าจะมีหลายโซน เป็นสตรอเบอร์รี่พันธุ์ต่างๆกัน โดยเค้าจะให้เวลาเราอยู่โซนนึงพอประมาณ แล้วก็มาเรียกเรา ไปโซนต่อๆไป .. เวลาจะทาน ก็เผื่อๆท้องไว้หน่อยค่ะ ^^ เพราะเราจะแบบ พอเจอพันธุ์แรก แบบหวานมากๆๆๆๆ กินกันใหญ๋ 555 พอเค้าบอกหมดเวลาของโซนนี้แล้ว จะพาไปโซนอื่น เราก็จะแบบ อ้าว ! มีอีกเหรอ 555


 





 
สตรอเบอร์รี่ที่นี่ลูกใหญ่ หวานมาก (แต่ถึงจะเล็กก็หวานนะ) แล้วก็ตัดจากต้นก็กินได้เลย ตอนแรกแอบรู้สึกแปลกๆ ไม่ต้องล้างเหรอ 555 คือ ไม่ได้จริงๆ ไม่เคยกินสตรอเบอร์รี่ไม่ล้างอ่ะ ทำใจไม่ได้จริงๆ กลัวยาฆ่าแมลง 555 กลัวฝุ่นด้วย แต่พอเห็นคนญีปุ่่นเค้ากินกันทั้งนั้นก็เลย เออ เค้าคงจะไม่ฉีดยาอ่ะ เพราะเค้าปลูกในโรงปิดด้วย ... หลังจากทำใจยอมรับได้แล้ว ทีนี้ก็สนุกเลย สตรอเบอร์รี่หวานมาก หอมมากกก ฟินสุดๆ

 


 
รูปล่างเห็นสีขาวแบบนี้ แต่หวานมากๆเช่นกันนะคะ เสียดายที่เราจำไม่ได้เลยว่า ล็อคไหนพันธุ์อะไร รู้แต่ว่า มันมีหวานหลายแบบมาก แล้วมีพันธุ์นึงที่แบบหวานเจี๊ยบๆ แล้วก็หอมสุดๆ แต่เสียดายจำไม่ได้อ่ะ T_T
 



 
เก็บสตรอเบอร์รี่เสร็จ ก็ฟินกันถ้วนหน้าค่ะ จริงๆเตรียมไว้ว่าจะไปหลายไร่เลย (ใน 1 วัน) แต่เอาเข้าจริง ไร่แรกก็คือ อิ่มแล้ว 555 แล้วแค่นี้ก็แฮปปี้สุดๆ คราวหน้าถ้ามาญี่ปุ่นอีก ไม่พลาดโปรแกรมนี้แน่นอนค่ะ 555


ปล. สามารถหาไร่สตรอเบอร์รี่ได้จากใน google map เลยนะคะ แล้วก็บางไร่เค้าจะมีเว็บไซต์ เราก็ไปเช็ครูป เช็คราคาก่อนได้ ซึ่งส่วนใหญ่เนี่ย (90% ณ 2019)จะเป็นเว็บภาษาญี่ปุ่น แต่เดี๋ยวนี้ง่ายมากค่ะ ใช้ google translate เลย ก็จะทำให้เราหาข้อมูลเว็บญี่ปุ่นได้ง่ายมากๆเลยค่ะ เพราะญีปุ่นนี่บอกเลย เป็นประเทศที่เว็บส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งน้านน ก็แนะนำใช้ google translate ให้เป็นประโยชน์ค่ะ ^^
 



Create Date : 27 สิงหาคม 2562
Last Update : 28 สิงหาคม 2562 10:08:24 น.
Counter : 800 Pageviews.

0 comment
ทริปครอบครัว Japan trip : Tokyo & Kawaguchiko (14-24/4/2019)


 
เราตั้งใจเขียน blog นี้ขึ้นเพื่อแชร์ประสบการณ์ขับรถเที่ยวในญี่ปุ่น สำหรับครอบครัวที่มีเด็ก ๆ นะคะ ซึ่งการเที่ยวญี่ปุ่นเนี่ย มีรีวิวเยอะแยะมากมายแล้ว เลยจะขอเน้นแชร์เฉพาะในส่วนที่ได้ขับรถเที่ยวรอบๆ Kawaguchiko เป็นหลักค่ะ

ทริปนี้เป็นทริปญี่ปุ่นที่เราจัดสำหรับเด็กๆจริงๆเลย ทุกๆ activity นี่เพื่อเด็กหมดเลยค่ะ ณ วันที่ไป ลูกสาวคนโตเราอายุ 9 ขวบ ส่วนคนเล็ก 5 ขวบค่ะ ประกอบด้วย 2 ช่วงใหญ่ๆคือ ช่วงแรก 7 วัน 6 คืนตะลุย 3 Theme park + 1 aquarium ในโตเกียว โดยการนั่งรถไฟ และช่วงที่ 2 อีก 4 วัน 4 คืน เช่ารถขับเที่ยวรอบๆ Kawaguchiko 

ช่วงแรกนะคะ เราเที่ยว USJ, Disneyland, Disneysea ค่ะ ลงเครื่องโอซาก้า จากนั้นนั่ง 
JR มาโตเกียวและเที่ยวดีสนีย์แลนด์ จากนั้นเข้าชิจูกุ ช้อปปิ้ง 1 วัน วันรุ่งขึ้นเพื่อนๆที่มาด้วยกันแยกย้ายกันกลับ ส่วนครอบครัวเรารับรถเช่าแล้วเที่ยวคาวากูชิโกะต่อค่ะ

Day 1 : Arrive Osaka

ลงเครื่อง ที่ โอซาก้า จากนั้นเข้าที่พัก Park Front Hotel, at Universal studio ค่ะ ที่พักนี้บอกเลยดีงามมาก เพราะอยู่ข้างหน้ายูนิเวอร์แซลเลย แบบหน้าจริงๆ เดิน 1 นาทีถึงประตูเลย และติดกับสถานี JR ด้วย สะดวกทุกอย่างค่ะ รอบๆก็มีร้านอาหารเยอะด้วย เราพักที่นี่ 2 คืนค่ะ เหมาะสำหรับคนมาเที่ยว USJ โดยเฉพาะ แต่ไม่ค่อยเหมาะถ้าจะเที่ยวในตัวเมืองโอซาก้านะคะ (คือในเมืองสามารถหาที่พักที่ดีกว่านี้ได้ค่ะ)

Day 2 : Universal Studio

วันนี้เที่ยว Universal Studio, Japan ทั้งวันค่ะ ... ซึ่งการเที่ยว USJ เราแะนำให้ซื้อ Express pass นะคะ เป็นเหมือน fastpass ของดีสนีย์ แต่อันนี้คือ ซื้อเอาเลยค่ะ 555 ราคาค่อนข้างแพง (แพวกว่าค่าเข้าอีก) แต่ว่าประหยัดเวลามากๆ โดยตัว express pass จะค่อนข้างครอบคลุมเครื่องเล่นเด็ดๆที่คนเยอะๆไว้เกือบหมด มีทั้งแบบ 7 เครื่องเล่น หรือ 4 หรือ 3 หรือ 2 เครื่องเล่น (แล้วแต่ว่าซื้อที่ไหน ถ้าซื้อในเว็บญี่ปุ่นจะมีหลายแบบมากๆค่ะ ถ้าในไทย รู้สึกจะมีแค่ 7 กับ 4) ซึ่งบอกเลยว่า ประหยัดเวลามากๆ แล้วมันก็ทำให้เราไม่เหนื่อยด้วย อย่างวันที่เราไป คือ เล่นได้เกือบครบ (ที่ไม่ได้เล่นคือความสูงไม่ถึง) ประมาณ 5 โมงเย็นก็เล่นหมด มีเวลาเดินเล่น ถ่ายรูปเล่นชิลล์ๆ หาที่กินข้าว เสร็จแล้วดูพาเหรดตอนค่ำอีก แบบเด็กๆไม่เหนื่อยเลยค่ะ คือ สบายมากๆ แต่ข้อเสียคือ เครื่องเล่นใน pass เค้าจะระบุไว้แล้ว เราเปลี่ยนไม่ได้ ถ้าความสูงไม่ถึง ก็คือ อดเลย ของเรา คนโต (สูง 128) เราซื้อแบบ 7 ของคนเล็ก (สูง 105) ซื้อแบบ 4 เพราะเค้าสูงไม่ถึงหลายอย่าง แต่ข้อดีคือ pass เนี่ย ไม่ได้ระบุคน ไม่ใช่ว่า code นี้ต้องคนเดียว คือ มันสลับกันได้ แค่ 1 code ต่อ 1 เครื่องเล่นตามระบุเท่านั้น (เค้ามีเครื่อง scan qr code ทุกครั้งนะคะ) เพราะฉะนั้นคือ สมมติ น้องเล่นไม่ได้ ก็ให้พี่เล่นซ้ำอะไรแบบนี้ค่ะ หรือ เอาไปให้ผู้ร่วมทริปคนอื่นก็ได้ค่ะ (คือ จริงๆเค้าอนุญาติรึป่าวไม่รู้นะ แต่ทางปฎิบัติทำได้ค่ะ ถือว่าเป็นทริคละกันนะคะ) เพราะฉะนั้น ใครไป USJ แนะนำให้ซื้อนะคะ

Day 3 : Osaka --> Tokyo

วันนี้ย้ายจากโอซาก้าเข้าโตเกียวค่ะ แล้วเข้าที่พัก Disney Ambassador Hotel ที่เลือกรร.นี้ เพราะอยากทานอาหารที่ร้าน Chef Mickey ค่ะ ให้เด็กๆได้ถ่ายรูปกับพี่ๆมิคกี้เมาส์ และก็พักห้องมิคกี้ มินนี่ด้วย ... แต่ความเห็นส่วนตัว เราว่าห้องก็ไม่ได้ว้าวอะไรมากนะคะ (ไม่ว้าวตามราคา 555) เราชอบห้องที่ Disneyland hotel มากกว่า ... ข้อดีของการพักรร.ในดีสนีย์คือ จะได้เข้า park ก่อนเปิด 15 นาทีค่ะ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย เพราะมันทำให้เราต้องตื่นเช้ามากกก อย่างปาร์คเปิด 9 โมง ต้องไปถึง 8.45 แต่ต้องรวมเวลารอรถ shuttle และใช้เวลาอีก 10 นาทีกว่าจะถึงปาร์ค ก็คือ ต้องเช็คเอาท์ตอนประมาณ 8 โมง ^^" (ถ้ากินข้าวอีก ก็หมดเวลาอีก เพราะรร.นี้ ถ้าพักห้องมินนี่มีอาหารเช้าฟรี เราได้แต่ส่งพ่อกับลูกลงไปกิน ส่วนตัวเองแพคกระเป๋า 555) ก็คือ สรุป พักรร.แพง แต่ว่าก็ไม่ได้อยู่รร.คุ้มเท่าไหร่ค่ะ ^^".... เช็คเอาท์เสร็จ เราฝากให้ทางรร.ย้ายกระเป๋าไปที่ Disneyland Hotel ให้เลย (ถ้าพักดีสนีย์ด้วยกัน เค้ามีบริการย้ายกระเป๋าให้ค่ะ)

Day 4 : Disneyland

วันนี้ Disneyland อยู่ที่นี่ทั้งวันจนค่ำ แล้วเข้ารร. ซึ่งคืนนี้ย้ายที่พักมาพักที่ Disneyland Hotel แล้วค่ะ รร.นี้ดีเลย ห้องต่ำสุดราคาถูกกว่าห้องมินนี่ที่แอมบาสเดอร์ ดูห้องหรูหรากว่าด้วย ทำเลดีมาก หน้าพาร์คเลย (ดีสนีย์แลนด์นะคะ ไม่ใช่ซี) เรียกว่าเดิน 500 เมตรถึงเลย เหมาะมากกับการเที่ยวดีสนีย์แลนด์ (ถ้ามาอีกเราจะพักที่พัก 2 คืนเลย) หน้ารร.มีสถานีรถไฟของดีสนีย์เลย และถ้าไม่ขึ้นรถไฟ ก็มีทางเชื่อมสามารถเดิน(หรือลากระเป๋า)ไปถึงสถานี JR ได้ด้วย

 
Day 5 : Disneysea --> Shinjuku

วันนี้ Disneysea ก็ตื่นเช้่าอยู่ดี เพราะได้สิทธิ์เข้าพาร์คก่อน 15 นาทีเช่นเคย 555 ต้องเช็คเอาท์และฝากกระเป๋าไว้ก่อนเข้่าดีสนีย์ซี เราเที่ยวเล่นได้ดีสนีย์แค่ 4 โมงเย็น ก็ออกมา เพราะต้องย้ายที่พัก(และขนกระเป๋า)เข้าชิจูกุ ซึ่งเราจะพักที่ในเมือง 2 คืนค่ะ

Day 6 : Shinjuku - Maxell Aqua Park

ช่วงเช้าช้อปปิ้งอยู่แถวๆชิจูกุ ตอนเย็นเรานั่งรถไฟไป Shinagawa เพื่อไป Maxell Aqua Park เพื่อชมโชว์ปลาโลมา(ประกอบแสง สี เสียง) ที่นี่เป็นเหมือนอความเรี่ยมเล็กๆ (น่าจะเล็กกว่าซีไลฟ์ที่กรุงเทพอีกค่ะ) แต่ว่าก็มีโซนที่ทำสวยๆเช่น โซนแมงกะพรุน มีโชว์นกเพนกวิน และที่สำคัญคือ โชว์โลมา ซึ่งเป็นโชว์ที่แปลกและสวยงามค่ะ เราเลือกมาดูรอบกลางคืน เพราะมันจะมีไฟสวยๆด้วย (ช่วงที่เราไปเป็นช่วงธีมซากุระค่ะ) ก็เหมาะสำหรับใครที่มีเวลาไม่มากนะคะ ใช้เวลาไม่น่าเกิน 2 ชม.ก็เก็บหมดค่ะ (แต่ดูรอบโชว์มาดีๆนะคะ)

Day 7 : Tsukiji --> Kawaguchiko

ช่วงเช้าเราไปเดินเล่นตลาดปลาสีกิจิค่ะ และช่วงบ่ายรับรถเช่า เราเลือก Toyota Rental Car ซึ่งเค้ามีจุดรับรถในชินจูกุเลย เราเลือกรับรถในเมือง แต่คืนรถที่สนามบินนาริตะค่ะ มีค่า one way fee อยู่ที่ 3,420 เยนค่ะ แต่เราก็ว่าคุ้ม เพราะถ้านั่งรถไฟไปเอารถที่สนามบิน จะเสี่ยเวลาอีกประมาณ 3 ชม.เลย เพราะไหนจะนั่งรถไฟไปนาริตะ และยังต้องขับย้อนกลับมาทางโตเกียวอีก เพราะเราจะไปคาวากูชิโกะ....

พอรับรถเช่าแล้ว เราก็ขับไปคาวากูชิโกะค่ะ โดย 3 คืนแรก เราพักที่ Kawaguchiko Hotel ส่วนคืนสุดท้าย เลือกที่พักดีหน่อย เห็นวิวฟูจิเต็มๆที่ Shuhokaku Kogetsu Hotel .... เราขับถึงคาวากูชิโกะประมาณ 4.30 ก็เข้าที่พัก จากนั้นก็ออกมาขับรถเล่น ถ่ายรูปกับซากุระและวิวฟูจิกัน โชคดีที่วันแรกมาก็เจอฟูจิเต็มๆ แบบไม่ขี้อายเลย อากาศก็หนาวมากๆด้วยค่ะ ประมาณ 9-11 องศา ทั้งๆที่ตอนอยู่โตเกียว กลางวันคือ 20 องศาขึ้นแล้วอ่ะ ควักเสื้อหนาวกันออกมาแทบไม่ทัน ^^'

Day 8 : หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ Saiko Iyashi no Sato Nenba - เก็บสตรอเบอร์รี่ 227ที่ Yamanashi


วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ค่ะ เนื่องจากจะเป็นวันที่คนเยอะเพราะเป็นวันหยุด เราเลยพยายามหาจุดท่องเที่ยว(สำหรับเด็ก)ที่คิดว่าคนไม่น่าจะเยอะมาก ช่วงเช้าเราเลือกไป หมู่บ้านญี่ปุ่น Iyashinosato ancient japanese village คือ เราอยากพาเด็กๆมาดูหมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งแถวนี้มี 2 ที่ อีกที่คือ หมู่บ้านน้ำใส ซึ่งอันนั้นคนจะเยอะกว่าและทัวร์ลงเยอะมากก ก็เลยเลือกมาอันนี้แทน ซึ่ง ณ ตอนหาข้อมูล ก็ดูจากรูปเหมือนคนน้อย แต่ที่ไหนได้ 555 คือ ที่นี่ก็คงเริ่มมีคนรู้จักแล้ว และทัวร์ก็มาลงเช่นกัน เพราะฉะนั้นคนก็ไม่น้อยเท่าไหร่ค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะมาเดินเล่น ถ่ายรูป แล้วก็ไป ใช้เวลากันไม่นานค่ะ ซึ่งที่นี่เนี่ย ในบ้าน(โบราณ)แต่ละหลัง เค้าจะมีเหมือนเป็น art and craft ให้ลองเรียน/ทำด้วย แต่ละหลังจะมีกิจกรรมไม่เหมือนกัน ถึงแม้คนมาเที่ยวจะเยอะ แต่คนทำกิจกรรมจริงๆจะน้อยค่ะ เราสามารถพาเด็กๆทำกิจกรรมได้เลย แบบคนไม่เยอะ ... เด็กๆบ้านเราอยากทำโปสการ์ดภาพวาดแบบญี่ปุ่น มีคุณลุงคุณป้าญี่ปุ่นเป็นคนสอน เค้าคิดแค่ 500 เยนเอง นั่งวาดกันแบบสบายๆ ทำเสร็จเราให้คุณป้าช่วยเขียนชื่อเด็กๆเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย :)
 

ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่คือ มีชุดยูกาตะให้เช่าเพื่อใส่เดินเล่นถ่ายรูปด้วยค่ะ ราคาไม่แพงคนละ 1,000 เยนเท่านั้น ก็สามารถพาเด็กๆมาได้ด้วยค่ะ เค้ามีไซส์เด็กๆหลายชุดอยู่ คือ จริงๆแล้วเนี่ย ถ้าอยากเช่าชุดยูกาตะถ่ายรูป ในโตเกียวแถบอาซากุซะก็มีเยอะ (หรือร้านใหญ่ๆในเกียวโตก็เยอะค่ะ) แต่ความรู้สึกคือ ร้านเหล่านั้นคนจะพลุกพล่านมากๆ ไม่เหมาะกับเด็กเล็ก (หรือมีเด็กหลายๆคน) แต่ที่นี่คือ คนน้อย (แต่ถ้าเจอกรุ๊ป ก็ต้องรอนิดนึงค่ะ) บรรยากาศจะสบายๆกว่า แต่ชุดอาจจะไม่ได้เต็มยศมากนะคะ ไม่มีทำผม แต่งหน้า แต่ก็ราคาย่อมเยาว์ดี เราเองก็พา 2 สาวใส่ชุดยูกาตะ เดินเล่นถ่ายรูปเหมือนกันค่ะ แต่เด็กๆบ่นว่าใส่ชุดแล้วเดินยากจังเลย 555 ถ่ายรูปได้ไม่นาน ก็ต้องมาเปลี่ยนกลับค่ะ ^^"

ช่วงบ่าย เราพาเด็กๆไปเก็บสตรอเบอร์รี่กันค่ะ เราเสิร์ชหาจาก google map เลยว่ามีไร่สตรอเบอรี่ที่ไหนที่ใกล้ๆคาวากูชิโกะบ้าง ก็พบว่ามีหลายไร่อยู่แถวๆยามานาชิค่ะ (ขับรถประมาณ 30-40 นาที แล้วแต่ว่าไร่ไหน) ซึ่งที่ที่เราเลือกไป คือ  Gourmet Strawberry Museum Maeda เพราะดูรีวิวแล้วได้ดาวเยอะดี 555 ซึ่งก็ต้องบอกว่า ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ ไร่นี้แนะนำเลยนะคะ มีคำแนะนำเป็นภาษาไทยแปะไว้ด้วยค่ะ (และมีภาษาอังกฤษด้วย คือว่าเหมาะกับ tourist มากๆ ขอบอก ) ว่าด้วยเรื่องการเก็บสตรอเบอร์รี่ที่ญี่ปุ่นเนี่ย เป็นอะไรที่อยากเล่ามากๆ มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆค่ะ ไว้จะเขียน blog แยกเรื่องนี้โดยเฉพาะนะคะ


Day 9 : Music Forest Museum - Oshino Ninja Village - Gotemba Premium Outlet

วันนี้ช่วงเช้าไป Music Forest Museum ค่ะ เลือกมาเช้าวันจันทร์คนจะได้น้อยหน่อย ตอนมาถึงประมาณ 10 โมง คนก็ยังไม่เยอะมากค่ะ ลูกสาวเราสองคน เห็นเค้ามีให้เช่าชุดแบบเจ้าหญิง ก็อยากเช่าบ้าง เราก็จัดให้ค่ะ (ค่าเช่าไม่แพงเลย 500 เยนเองค่ะ) เค้ามีห้องเปลี่ยนชุดและล็อคเกอร์(เสียตังค์)เก็บของให้พร้อมนะคะ ซึ่งพอได้เปลี่ยนชุดแล้วเนี่ย ทีนี้แต่ละนาง เรียกตากล้องไม่หยุดเลยค่ะ จะถ่ายรูปอย่างเดียว 555 ...คำแนะนำสำหรับเที่ยวที่นี่คือ ให้เข้าเว็บไซต์แล้วปริ้นต์บัตรส่วนลดด้วยนะคะ จะลดได้ 100 เยนค่ะ แล้วก็เช็ครอบการแสดงให้ดี ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ ห้องออร์แกนค่ะ ซึ่งก็น่าเสียดาย เพราะรอบแรกเค้าแสดง 12.30 แต่เราไม่มีเวลาพอค่ะ  (คือวันนี้คิวค่อนข้างแน่นค่ะ ^^" ปกติ บ้านนี้จะอยู่เอนจอยแต่ละที่นานๆ ทำนู่นนี่ทุกที่ แต่วันนี้ด้วยความเห็นแก่การช้อปปิ้งจริงๆ เลยต้องมาแบบเร็วๆ แต่ขนาดเร็วก็อยู่ร่วม 2 ชม.ค่ะ) กับอีกอย่างที่น่ารักมากคือ ตั๋วของที่นี่ เค้าจะมีจุดแดงๆให้เราเอาไว้เจาะรูค่ะ พอเราเจาะรูครบ ก็เอาไปใส่ในเครื่องเล่นเหมือนกล่องดนตรี (เค้าตั้งไว้ตรงกลางสวนค่ะ) กล่องดนตรีก็จะเล่นเพลงตามรูที่เราเจาะไว้ค่ะ รู้สึกจะมี 4 เพลง อันนี้เด็กๆชอบมากๆ น่ารักมากๆค่ะ

ช่วงบ่ายวันนี้ เราไปต่อกันที่หมู่บ้านนินจา Oshino Ninja ค่ะ (อยู่ใกล้ๆกับหมู่บ้าน Oshino village ค่ะ จริงๆอาจจะเลือกเที่ยวหมู่บ้านโบราณ Oshino village แทนก็ได้ แล้วมาต่อที่ Oshino ninja ก็สะดวกดี เพราะทางเดียวกันค่ะ) มาถึงที่นี่ ลูกสาวเรา ก็อยากแต่งเป็นนินจาอีกแล้วค่ะ ก็จัดไป ชุดละ 500 เยนเหมือนเดิม ที่นี่เป็นหมู่บ้านนินจาเล็กๆนะคะ มีโชว์นินจา (โชว์ประมาณ 15-20 นาทีเองค่ะ ดูรอบจากเว็บก่อนนะคะ) มีบ้านนินจาที่มีพวกห้องลับให้เราได้เล่นกันพอหอมปากหอมคอ แต่บ้านนินจานี่ต้องไปตอนคนน้อยนะคะ เข้าไปทีละกลุ่ม คือ จะสนุกเลย ได้ช่วยกันหา แต่ถ้าไปกับหลายๆกรุ๊ป คนเยอะๆ มันจะไม่สนุกเลยค่ะ เราโชคดี(รึป่าว) ตอนไปคนน้อย ก็เลยมีอยุ่กลุ่มเดียวเลย 555 แล้วที่นี่ก็จะมีส่วนของ playground ที่เหมือนจำลองด่านต่างๆของนินจาให้เด็กๆได้ยืดเส้นยืดสายค่ะ จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าผู้ใหญ่มาเที่ยวนี่ ดูแค่โชว์ 15 นาทีก็จบ (อาจจะน่าเบื่อสำหรับผญด้วยซ้ำ) แต่ถ้าพาเด็กๆมา ก็เหมาะดี เพราะก็เหมือนพาเค้ามาเล่นสนามเด็กเล่น 555 มาปาดาวกระจาย เด็กๆก็ชอบค่ะ คนน้อย ค่าเข้าไม่แพงมาก แต่ถ้าตารางแน่นแล้ว จะผ่านที่นี่ไป ก็ไม่น่าเสียดายเท่าไร่ค่ะ

เสร็จจาก Oshino ninja เรารีบบึ่งรถไป Gotemba outlet ค่ะใช้เวลาประมาณ 40 นาที แต่วันนี้เราเจอทำถนน ล่อเข้าไป 1 ชม. 15 นาทีค่ะ เลยไปถึงช้าเลยเกือบ 5 โมงเย็นค่ะ มีเวลาช้อป 3 ชม. เค้าเปิด 2 ทุ่ม (จริงๆถ้าใครพักหรือเที่ยวอยู่แถว ฮาโกเนะ ก็จะใกล้กับ outlet นี้มากค่ะ) ... บอกเลยเป็น outlet ใหญ่มากกก ไปแล้ว ถือว่าคุ้มค่ะ ร้านแบรนด์เนมพวก Prada, Gucci, Coach, Balenciaga ฯลฯ ครบค่ะ ด้านในมี food court มีร้านอาหารพอสมควร แต่เราไม่กินคะ่ ขอช้อปก่อน สงสารเด็กๆมาก บ่นหิวกันน่าดู ^^" outlet ที่นี่ปิด 2 ทุ่มนะคะ ซึ่งทุกร้านจะปิด 2 ทุ่มพร้อมกันหมดค่ะ แม้ว่าไม่มีคน เค้าก็ปิด 2 ทุ่ม เราเคยไป outlet หลายทีเลย เค้าจะปิดไม่พร้อมกัน บางร้าน 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม คือ แล้วแต่ร้าน 555 แต่ที่นี่คือ ทุกร้านปิด 2 ทุ่มหมด (และ ทุกวันเลยด้วย 7 วัน/สัปดาห์) ก็ถือว่ามาเดินตอนเย็นๆค่ำๆ ช่วงที่ร้านอะไรก็ปิดหมดแล้ว :)

Day 10 : Fuji Shibazakura Festival - Mt. Kachi Kachi - Shuhoukaku Kogetsu Hotel


ช่วงเช้าเราตั้งใจไปดูดอกชิบะซากุระกันค่ะ  เทศกาลนี้จะมีประมาณช่วงปลายเมษา-เดือนพฤษภาค่ะ (เช็ควันแต่ละปีในเว็บนะคะ) ช่วงที่เราไป วันที่ 23 เมษา เห็นว่ามีพอดี (ปีนี้ เค้าเริ่ม 20 เมย.) ก็เลยพาเด็กๆไปดูดอกไม้+ถ่ายรูปกันค่ะ แต่ช่วงที่เราไปมันเป็นช่วงแรกๆ ดอกไม้ยังไม่บานเต็มที่ค่ะ แต่ก็ถือว่าสวยนะคะ สามารถเช็คดูรูปดอกไม้ว่ามันบานแค่ไหนแล้วจากใน google map ที่มีคนไปเช็คอินเลยค่ะ มันจะมีคนมารีวิวไว้ ถ่ายรูปลงว่า วันนี้บานแค่นี้นะ อะไรแบบนี้ อย่างวันที่เราตั้งใจไป ก็พอรู้แล้วค่ะว่ายังไม่บานเต็มที่ (เต็มที่น่าจะเดือนพ.ค.) แต่เราก็ไม่มีช้อยส์เนอะ ไหนๆมาแล้ว ก็ไปซะหน่อยค่ะ ข้อดีคือ คนยังไม่เยอะมาก ยังพอมีที่เดินให้ถ่ายรูปดอกไม้แบบไม่ติดคน 555 อ้อ ! ด้านในมีร้านอาหารด้วยนะคะ ราคาก็ไม่ได้แพงพิเศษอะไร เราเองก็เลือกที่จะไปนั่งทานด้านในสวนค่ะ ประหยัดเวลาดี ทานกลางวันเสร็จ ก็ขับไปเที่ยวที่อื่นต่อได้เลย ^^

จริงๆพอหมดโปรแกรมช่วงเช้าแล้ว เราก็ตั้งใจจะเข้ารร.กันเลย เนื่องจากที่พักในคืนนี้แพงเอาเรื่องอยู่อยากใช้ให้คุ้ม 555 แต่เนื่องด้วยเค้าให้เช็คอินตั้งบ่าย 3 ก็เลยต้องหาที่เที่ยวฆ่าเวลา เราเลยพาเด็กๆไปขึ้น Mt. Kachi Kaschi ไปถ่ายรูปวิวภูเขาไฟฟูจิสวยๆ เพราะวันนี้ก็อากาศดีด้วย ฟ้าใส ไม่มีเมฆบังฟูจิแน่นอน ขึ้นไปถึงคนเยอะมากๆค่ะ ทุกคนใจตรงกัน 555 เพราะเป็นวันฟ้าใสจริงๆ จากนั้นก็ขับรถเข้ารร.กันค่ะ


 

 
 

รร.ในคืนนี้ที่เราเลือกพัก  Shuhoukaku Kogetsu Hotel เป็นรร.ที่มองเห็นทะเลสาปคาวาฯและฟูจิแบบเต็มๆลูก ไม่มีอะไรมาบังเลยค่ะ วิวสวยมากๆ ตอนเลือก คือ เลือกจากลิสต์ 5-6 รร.ที่เห็นวิวฟูจิเต็มๆ (หาในเน็ตได้ค่ะว่ามีที่ไหนบ้าง) และก็เลือกพักห้องที่มีบ่อแช่เท้าที่ระเบียงด้วย นั่งแช่เท้าไป ชมวิวฟูจิไป ฟินมากๆค่ะ ตอนแรกคิดถึงรร.ที่มีออนเซ็นที่ระเบียง แต่พอมาคิดได้ว่า คงไม่กล้าถอดหมดขนาดนั้น (คือ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเป็นบ่อของเราเองจะใส่ชุดว่ายน้ำได้มั้ย ่แต่กลัวต้องโป๊หมด ซึ่งคงไม่กล้า และเล่นกับลูกๆด้วย 555 เลยขอแค่แช่เท้าพอดีกว่า แบบนั้นน่าจะเหมาะกับคู่รัก มากกว่าครอบครัว) ก็เลยเอาแค่นี้พอดีกว่า




 

ซึ่งรร.แนวๆนี้ ราคาห้องจะค่อนข้างสูงนะคะ เพราะเค้าจะรวมอาหารเซ็ตมื้อเย็นไว้ให้ด้วยค่ะ ซึ่งบอกได้เลย อาหารเย็นอลังการมาก เค้าจะมาปูโต๊ะเสิร์ฟให้ที่ห้องเลย รู้สึก VIP มากๆค่ะ เรียกว่ากินจนจุกเลยอ่าค่ะ มีทั้งชาบู ซูชิ ซุป ของทอด และของหวาน ... ส่วนออนเซ็น(รวม)ที่นี่จัดว่าเริ่ดนะคะ เพราะมีทั้ง indoor และ outdoor (คุณสามี request ของรร.ที่มี outdoor ด้วย) ส่วน outdoor คือ ฟินขั้นสุด เพราะได้ออนเซ็นไป นั่งดูวิวฟูจิเต็มๆไป ท่ามกลางอากาศหนาวๆ คือ แบบว่า แนะนำมากๆเลยค่ะ รร.นี้ บริการก็ดีมากๆๆๆ วิวก็สวย แต่ข้อเสียจิ๊ดนึงคือ ออนเซ็นเค้าปิดช่วง 9-11 โมงเช้าค่ะ ใครที่แบบคิดจะมาออนตอนเช้าๆ แบบว่าว่างๆก่อนเช็คเอาท์เนี่ย ไม่ได้นะคะ มาถึงรีบออนก่อนเลย ตอนเย็นๆ (คือ เช็คอินก็บ่าย 3 แล้วอ่า) ออนตอนดึกก็ไม่เห็นวิวอีก ออนเช้า ก็ปิด 555 ช่วงเย็นๆก่อนกินข้าวดีสุด ถึงจะยากนิดนึง แต่คุ้มค่าแน่นอนค่ะ


Day 11 - เดินทางไปสนามบิน กลับกทม.

วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากแล้วค่ะ ทานอาหารเช้าที่รร. แล้วก็ถ่ายรูปวิวฟูจิ (ออนเซ็นไม่ได้ เค้าปิดค่ะ 555) จากนั้นก็เช็คเอาท์ประมาณ 11 โมงเพราะต้องขับรถจากคาวากูชิโกะไปสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.ค่ะ ซึ่งเราต้องเอารถเช่าไปคืนอีก ของ Toyota Rental car อยู่ด้านนอกสนามบิน ต้องเอารถไปคืน แล้วขึ้น Shuttle bus ไปสนามบินค่ะ ไปถึงที่คืนรถเช่าบ่าย 2 โมงครึ่ง กลัวตกเครื่องมาก (ไฟลท์ 17.25 น.) แต่ปรากฎเจอพี่ๆคนไทย เอารถตู้มาคืนที่นี่เหมือนกัน ก็เลยใจชื้น มีเพื่อน 555 เพราะกลับไฟลท์เดียวกันแน่นอน ( TG แน่นอน คิดอย่างนั้น) ก็เป็นอันจบทริปญี่ปุ่น 11 วัน เหนื่อยโฮกเลยค่า ว่าจะไม่เหนื่อย ช่วง 4 วันหลัง แต่ก็นะ กิจกรรมแน่นอยู่ดี  และทริปที่มีเด็กๆ มันจะชิลล์ได้ยังไง 555 แต่นน.ลงเลย พุงหาย ดีใจมากๆๆๆ ^^


เจอกันใหม่ทริปหน้าค่า



Create Date : 28 เมษายน 2562
Last Update : 25 มิถุนายน 2564 21:23:16 น.
Counter : 1563 Pageviews.

0 comment
ทริปครอบครัว UK Trip : London - Cotswolds (10-24/4/17)





เราตั้งใจเขียน blog นี้ขึ้น เพื่อแชร์ทริปอังกฤษ (2 วีค) สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก เผื่อเป็นไอเดียในการท่องเที่ยวประเทศนี้นะคะ โดยทริปนี้เราเน้นที่ London และเมืองใกล้ๆลอนดอนเป็นหลักนะคะ ที่เราเบสลอนดอนเลย เนื่องจากว่า เมืองนี้มี museum เยอะ(และเด็กเข้าฟรี 555) เราอยากให้เด็กๆโดยเฉพาะลูกสาวคนโต อายุ 7 ขวบไปเที่ยวมิวเซียมค่ะ คิดว่าเค้าน่าจะโตพอแล้ว

โดยทริปนี้เราขอผ่านเมืองจำพวก Oxford, Cambridge และเมืองฟุตบอลทั้งหลายนะคะ เพราะบอกแล้วเน้นที่เด็กเล็ก เมืองมหาลัย เธอยังไม่อินค่ะ 555 (เอาไว้บิวท์ตอนมัธยมนะ) ส่วนฟุตบอล พ่อแม่ไม่อิน ก็ขอผ่านค่ะ ... แต่ที่รู้สึกว่าพลาดเลย คือ Harry Potter อ่ะค่ะ เพราะเราจองตั๋วช้าไป ตั๋วเต็ม ก็เลยอดไปค่ะ เสียดาย T_T

ทริปนี้เราเดินทางในช่วงคาบเกี่ยวสงกรานต์(2017)เลยค่ะ ไปทั้งหมด 2 อาทิตย์ เน้นเที่ยวลอนดอนและเมืองรอบๆลอนดอนแบบ one day trip และ ไป Cotswolds 3 วัน 2 คืน ไปกันทั้งหมด 7 คน ผู้ใหญ่ 5 เด็ก 2 (ณ วันไป ลูกสาวคนโตอายุ 7.4 ขวบ คนเล็ก 3.4 ขวบ) โดยเช่าบ้านพัก airbnb ที่ลอนดอน (นอกเมืองนิดนึง) 2 อาทิตย์เลย (ช่วงที่ไม่อยู่ ก็ขอส่วนลดเจ้าของบ้านนิดนึงว่าไม่อยู่ 2 คืน) และเช่ารถไว้ 2 อาทิตย์เช่นกัน แต่ว่าไม่ได้ใช้รถทุกวันนะคะ (แต่เพื่อความคล่องตัวและปรับเปลี่ยนแผนได้ตลอด เลยเช่าไว้เลยค่ะ) วันไหนเข้าเมืองก็ใช้ tube + taxi ส่วนถ้าไปเมืองใกล้ๆ ก็จะขับรถเอา ... ซึ่งการวางแผนเที่ยวในที่ต่างๆ เราก็จะสลับวันเอาค่ะ วันนึงเมือง อีกวันก็นอกเมืองแบบนี้ เพื่อไม่ให้คนขับเหนื่อย และเด็กๆเบื่อกับการเดินทางมากเกินไป

สำหรับการหาข้อมูลที่เที่ยวต่างๆของอังกฤษ ซึ่งส่วนมากเราจะไป museum เนี่ย แนะนำให้เข้าเว็บไซต์เค้าเลยนะคะ และที่ดีมากๆคือ ในเว็บจะมีส่วนที่เรียกว่า family visit (หรืออะไรประมาณนี้) ให้เข้าไปเลย จะมีคำแนะนำวิธีพาเด็กมาเที่ยวค่ะ บางที่จะมีพวก activity pack หรือ map ให้เรา print ให้เด็กๆ เตรียมตัวอ่านก่อนไปได้ค่ะ เราก็ใช้ตรงนี้เล่าให้เด็กๆฟังก่อนได้ว่าเค้าจะไปเจอกับอะไร หรือวางแผนโซนที่เค้าสนใจไว้ก่อนได้ค่ะ


รายละเอียดทริปนะคะ

Day 1 -2 (10 Apr) - ออกเดินทางจากกทม. มาถึงฮีทโทรว์ 7 โมงเช้าวันที่ 10 ค่ะ ทริปนี้บิน TG เช่นเคยค่ะ เด็กๆหลับตลอดทางค่ะ จากนั้นก็รับรถเช่า แล้วขับเข้าบ้านพัก airbnb .. วันนี้พักผ่อนอีกแล้วค่ะ 555 ตกเย็นก็ไปเดินห้างแถวบ้านแล้วหาอะไรกินค่ะ

Day 3 (11 Apr) - London : Borough market - Tower Bridge - Piccadilly Circus - Soho

วันแรกของการเที่ยว ปรับตัวกับลอนดอนกันซักนิดด้วยการเที่ยวในตัวเมืองกันก่อนค่ะ อากาศดี ไปถ่ายรูปกับ Tower Bridge กันก่อน ห้ามสับสนกับ London Bridge นะคะ คนละอันกัน (หนังสือเตือนแล้ว แต่เราก็ผิดอยู่ดี เพราะพอหาใน map มันจะมุ่งไปลอนดอนบริดจ์ก่อนเลย ^^') แต่ข้อดีของการไป London Bridge คือ ใกล้ๆกันจะมี  Borough market ซึ่งเป็นเหมือนตลาดสดใหญ่ๆ มีอาหารปรุงสดๆให้ทาน ที่เด่นเลย ก็คือ หอยนางรมค่ะ ยืนทานกันสดๆที่ร้านเลย และก็มีหอยเชลล์ตัวใหญ่ๆ อบกระเทียมค่ะ ห้ามพลาดเลยนะคะ แนะนำว่าควรไปค่ะ ช่วงที่เราไป (เมษา) มีสตรอเบอร์รี่ด้วย ได้กินสตรอเบอร์รี่ลูกใหญ่ หวานมากกก ในราคาถูกมากกก ฟินสุดๆๆค่ะ

Tower Bridge เป็นอะไรที่น่าพาเด็กๆมาค่ะ นอกจากถ่ายรูปแล้ว เค้ายังมีเหมือนมิวเซียมที่แสดงประวัติความเป็นมาด้วย พาเด็กๆเข้าไปดูก็น่าสนใจดีค่ะ และอีก 1 กิจกรรมที่เด็กๆน่าจะชอบคือ การขึ้นไปเดินบนชั้น 2 ของสะพาน (ส่วนที่เป็นสีฟ้าๆนะคะ ไม่ใช่ถนนที่มีรถวิ่ง) จะมีแผ่นกระจกที่สามารถมองทะลุลงมาด้านล่าง หวาดเสียวดีค่ะ แต่เด็กๆจะชอบ ... ลูกสาวเราเป็นคน request ขอขึ้นมาเองเลยค่ะ (ตอนแรกเราไม่ขึ้น เพราะต้องเสียตังค์ค่ะ ^^') แต่การขึ้นมา จะต้องเดินขึ้นบันไดซึ่งสูงพอควรนะคะ เด็กเล็กมาก คงต้องอุ้มค่ะ เพราะไม่มีลิฟท์ค่ะ

ส่วน Piccadilly กับ Soho ก็เป็นย่านเดินเล่น ช้อปปิ้ง กินข้าวค่ะ ที่ Soho มี 2 ร้านใหญ่ๆที่คนไทยชอบทาน คือ Four Seasons กับ Burger & Lobster ค่ะ แนะนำให้มาถึงประมาณ 5 โมง ว่างทั้ง 2 ร้านค่ะ ถ้า 6 โมงไปนี่จะต้องต่อคิวแล้วค่ะ คนเยอะเลย เพราะที่ Soho คนเยอะมากจริงๆค่ะ ทานเสร็จ แถวๆนั้นจะมีร้าน M&M world กับ Lego Land ด้วย ร้านใหญ่มากๆ เด็กๆเห็นอยากแวะแน่นอนค่ะ 555 ถ้ามีเวลาก็แวะได้ แต่ถ้าไม่มีเวลา รีบเดินผ่านไป ดีที่สุดค่ะ :P

วันนี้เราเลือกกิน Burger & Lobster จากนั้นก็แวะ M&M World ค่ะ กว่าจะถึงบ้าน 3-4 ทุ่มนี่แหละ เรียกว่าเที่ยวคุ้มมากวันแรก


Day 4-5-6 - Cotswolds (3 day 2 nights) คืนแรกพัก Swan hotel, คืนที่ 2 พัก Three Ways House

ทริป Cotswolds นี่มาแบบเอาใจเราเองค่ะ 555 อยากมาอังกฤษก็เพราะสิ่งนี้แหละ (เพราะลอนดอนเราเคยมาแล้ว ทริปนี้คือ พาเด็กๆมาเที่ยวเป็นหลัก แต่ Cotswolds เรายังไม่เคย เลยต้องขอจัดซะหน่อย) ซึ่งบอกเลยเด็กๆเบื่อค่ะ 555 พวกขับรถชมเมือง เดินเที่ยวชมเมือง เด็กๆไม่อินค่ะ แต่เราก็พยายามจะหาเมืองที่มีที่เที่ยวเล่นสำหรับเด็กๆได้บ้าง ก็ได้มาประมาณนี้ค่ะ

Trout Farm ที่ ฺBibury ค่ะ อันนี้เด็กๆชอบค่ะ ได้ให้อาหารปลา และปลาที่นี่กินดุมากๆๆๆ (เรานึกว่าเค้าต้องเลี้ยงดี จนปลาไม่กินอาหารที่เราให้ ที่ไหนได้ 555) ก็บรรยากาศชิวๆสบายๆค่ะ ส่วนถ่ายรูป Arlington row อะไรแบบนี้ คนเยอะค่ะ ไม่เหมาะกับเด็ก และเด็กก็ไม่อินด้วย

Bourton-on-the-Water เมืองนี้จะมี Model Village ที่ทำเป็นเมืองจำลองเล็กๆ ให้เด็กๆได้เดินเล่นพอกรุบกริบ (แต่เล็กมากค่ะ) แล้วก็นั่งเล่นริมน้ำ ให้อาหารเป็ด กิจกรรมนี้เด็กๆก็ชอบค่ะ :) เผื่อเวลามานั่งเล่นสบายๆหน่อยนะคะ บรรยากาศดีมากๆค่ะ

Broadway แถวหอคอย จะเลี้ยงกวาง ให้เด็กๆได้ดูสัตว์แก้เบื่อ แต่ก่็เห็นไกลๆค่ะ (อ่านมา เค้าว่าจะมีกวางเดินกินหญ้าแถวหอคอยเลย แต่ตอนไป มันอยู่ในกรงอีกด้านค่ะ ไม่ได้มาปะปนกับคน ไม่แน่ใจว่า เค้าจะปล่อยเวลาไหนรึปาวนะคะ)


Day 7 (15 Apr) - London : Hop-on Hop-off Bus, Buckingham Palace - Royal Mews - Soho

วันนี้วางแผนพาเด็กๆขึ้นรถบัส 2 ชั้น ชมเมืองลอนดอนค่ะ ใครอยากพาเด็กๆแวะที่ไหนก็เลือกแวะได้ค่ะ ตั๋วซื้อได้ตามจุดท่องเที่ยว ซื้อเลย ขึ้นได้เลยค่ะ มีหลายเจ้า บางเจ้าถูก บางเจ้าแพง (แต่เจ้าถูกคนจะเยอะ ทำให้คนเต็มรถตลอด เราอาจจะไม่ได้ที่นั่งค่ะ) ดูเจ้าราคากลางๆก็ได้ค่ะ ถ้าไม่เน้นแวะลงนู่นนี่ ซึ่งเอาจริงๆ วันนึงแวะได้ไม่เยอะค่ะ เพราะเรามีเด็กเล็ก ก็ไม่ต้องเลือกที่มีจุดลงเยอะก็ได้ เน้นนั่งไปเรื่อยๆ 555 ...มีกิจกรรมอันนึงน่าสนใจคือ ชมทหารเปลี่ยนเวรที่ Buckingham palace แต่ครอบครัวเราผ่านค่ะ เพราะคิดว่าคนจะเยอะ แล้วเด็กก็คงมองไม่เห็น (ไม่งั้นต้องมาจองที่ก่อนเวลา ซึ่งก็ทำไม่ได้ เพราะขึ้น hop-on hop-off เอาด้วย ทำให้กะเวลาไม่ได้แน่นอนค่ะ)

เราเลือกไปแวะ The Royal Mews, Buckinngham Palace แทน เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์รถม้าค่ะ เด็กๆก็ชอบดี เพราะมีรถม้าสีทองอร่าม แล้วยิ่งถ้าได้ฟังนิทานพวกซินเดอเรลล่ามานี่ จะอินเป็นพิเศษ .. ที่นี่มีห้อง kids room ด้วยค่ะ มีกิจกรรมให้ระบายสี ประดิษฐ์มงกุฎกระดาษ ฯลฯ ลูกเราชอบเลย นั่งอยู่เป็นนานสองนาน เสมือนเป็นครอบครัวชาวอังกฤษ (ที่ไม่ได้จะขึ้นรถ hop-on hop-off ต่อ T_T) และนี่เป็นสาเหตุที่การนั่งรถบัส 2 ชั้นของเราไม่คุ้มเลย 555 คือ ไม่ต้องนั่งดีมั้ย ถ้าจะปักหมุดอยู่ที่เดียวนานขนาดนี้ ^^" ... แต่ไหนเราเสียค่ารถแบบ 1 วันแล้ว พอเสร็จจากที่นี่ เราก็เลยนั่งรถไปลง Soho จัดการ dinner ทีนี่ให้เรียบร้อยเลย 

วันนี้เราทาน Four Seasons และเข้าร้าน Lego ค่ะ กว่าจะขึ้น tube กลับบ้าน 3 ทุ่มได้ คือ แบบ วันไหนที่เข้าลอนดอน ก็จะเป็นแบบนี้ตลอดค่ะ เพราะที่นี่มีร้านเยอะมาก ทั้งของแม่ ของลูก แล้วร้านก็ปิดดึก เราก็จะเดินจนร้านเกือบปิดทุกครั้ง แล้วค่อยนั่ง tube กลับบ้าน เรียกว่า สลบกันเลยทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่


Day 8 (16 Apr) - Brighton : Seven Sister Country Park - Brighton Pier

วันนี้เราจะไป One day trip กันที่เมือง Brighton ค่ะ (ตามแผนคือ จะสลับวันเข้าเมืองกับออกนอกเมืองค่ะ) จุดหมายหลักอยู่ที่ หน้าผา Seven Sister ... ถือเป็นธรรมชาติที่สวยและแปลกตาดีค่ะ ทางเดินไปยังหน้าผาจะค่อนข้างไกลนะคะประมาณ 40 นาทีค่ะ (ไป-กลับเกือบ 2 ชม.นะคะ) ลูกสาวคนโตเรา เดินได้ค่ะ สนุกสนาน เดินไปก็ชมนกชมไม้ คอยดูฝรั่งที่เค้าจูงหมามาเที่ยว 555 ส่วนคนเล็ก เดินและสลับกับนั่งรถเข็นค่ะ (รถเข็นเตรียมแบบล้อทนๆหน่อยนะคะ ทางเดินเหมือนดิน+หินค่ะ ไม่ใช่ถนน) แต่ตลอดทางที่ไป จนถึงหน้าผา ไม่มีร้านอะไรเลยนะคะ เป็นธรรมชาติล้วนๆ ร้านอาหาร+ห้องน้ำ จะอยู่บริเวณที่จอดรถค่ะ ทางที่ดีเข้าให้เรียบร้อยก่อนค่อยเดินไปนะคะ เพราะไม่มีอะไรให้แวะได้ระหว่างทางค่ะ (มีร้านนึงตรงปลายสุด แต่ก็เดินไกลค่ะ)





เสร็จจาก Seven Sister เรามุ่งหน้าไปยัง Brighton Pier ค่ะ ที่นี่มีสวนสนุกให้เด็กๆเล่น ขนาดสวนสนุกไม่ใหญ่มากค่ะ(แต่พอเพียงสำหรับเด็กๆ) แต่มีเครื่องเล่นทั้งเด็กเล็กและเด็กโตค่ะ ลูกเราสนุกมาก เล่นจนมืดค่ำค่ะ กว่าจะออกมา ร้านค้าแถวๆนั้นปิดหมดแล้ว เราเลยไม่ได้เดินเล่นแถวๆนั้นเลย แต่ก็ถือว่าให้เด็กๆเล่นสนุกแลกกันไปค่ะ

Day 9 (17 Apr) - London : London Eye - Big Ben - Westminster Abbey

วันนี้สลับเข้าลอนดอนเช่นเคยค่ะ ไปนั่ง London Eye อ่านมาเค้าว่าคิวจะเยอะ เราเลยตั้งใจจะมาตั้งแต่ 10 โมง (เปิด) แต่ไปๆมาๆกว่าจะมาถึง 11 โมงเหมือนเดิมค่ะ ซึ่งณ ตอนนั้นเนี่ย คิวขึ้นลอนดอนอาย คนไม่เยอะเลยค่ะ ที่เยอะกว่าคือ คิวซื้อตั๋วค่ะ !! เพราะฉะนั้น ซื้อออนไลน์มาก่อนก็ได้นะคะ (คิวออนไลน์ จะสั้นกว่า แต่ออนไลน์จะต้อง fix วันเลย ส่วนครอบครัวเรา ไม่รู้จะมาวันไหน แบบว่าปรับเปลี่ยนตลอดเวลา เลยไม่ได้ซื้อออนไลน์ค่ะ แต่ใช้วิธีมาเช้าแทน ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่เช้า 555 ) แต่มันจะมีตั๋วพิเศษที่เรียกว่า Fast Track ค่ะ ซึ่งราคาแพงกว่าประมาณ 10 ปอนด์(ต่อใบ) ก็จะได้ลัดคิว แต่ก็ต้องต่ออยู่ดีนะคะ แต่สั้นมาก ตั๋วนี้จะมีบูธขายตั๋วพิเศษด้านหน้าเลยค่ะ คิวโล่งมากก  ... ตอนนั้นก็ชั่งใจอยู่ว่าจะ เอา Fast Track ดีมั้ย ซึ่งจริงๆ คิว Fast Track กับคิวธรรมดาเนี่ยพอๆกันค่ะ (อย่างที่เราบอกคือ คิวจริงๆไม่ยาว) แต่คิวซื้อตั๋วเนี่ย Fast Track ไม่มีเลย ในขณะที่คิวซื้อตั๋วธรรมดายาวมาก เหมือนว่าเราต้องจ่ายเงินซื้อ Fast Track เพื่อเอาคิวซื้อตั๋ว (ไม่ได้เอาคิวขึ้นกระเช้า) แต่คิดไปคิดมา เราก็ไม่ได้รีบ ก็เลยไปต่อธรรมดาละกัน ประหยัดกว่าตั้ง 40 ปอนด์ (ไปกัน 4 คน)... สรุป เราต่อคิวซื้อตั๋ว 30 นาทีค่ะ และก็มาต่อคิวขึ้นกระเช้าอีก 10 นาที (เร็วมาก พอๆกับ Fast Track) ก็ได้ขึ้นค่ะ ... และอาจจะเพราะวันที่ไปคนน้อย หรือเช้าอยู่ (เกือบเที่ยง) กระเช้านึง คนก็ไม่เยอะมาก มีที่ให้ถ่ายรูป ให้นั่ง เดินชมวิวมุมต่างๆได้สบายๆค่ะ


Day 10 (18 Apr) - London : British Museum - Oxford Street

วันนี้พาเด็กๆไปมิวเซียมทั้งวันค่ะ British Museum เป็นมิวเซียมที่ใหญ่มากๆค่ะ เรียกว่าถ้าอยากเรียนรู้แบบเต็มๆ วันเดียวไม่พอแน่นอนค่ะ แนะนำให้เข้าไปในเว็บก่อนค่ะ จะมี maps และส่วนของ Family visit ลองเลือกดูก่อนได้ว่าสนใจโซนไหน ก็มุ่งตรงไปโซนนั้นๆค่ะ เค้าจะมีเหมือน 10 สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเด็กอะไรประมาณนี้ด้วยค่ะ ถ้าเป็นเด็กโตหน่อย แนะนำให้ print อ่านก่อนไปนะคะ เพราะจะได้รู้ว่า ชิ้นไหนมีความสำคัญยังไง (จะเป็นการ build ไปในตัวด้วย ถ้าไปถึงแล้วดูๆอ่านๆเอาเลย เด็กจะไม่อินเท่าไร่ค่ะ) แต่ครอบครัวเรามุ่งไปทางโซนอิยิปต์โบราณค่ะ มีมัมมี่กับโครงกระดูก (เด็กๆคนไหนกลัวอย่าพาไปนะคะ มันน่ากลัวมาก  ^^') เด็กๆตื่นเต้นดีค่ะ อ่อ ด้านในมีร้านอาหารเพียงร้านเดียว และไม่ค่อยมีอะไรให้เลือกทานนะคะ (แต่ถ้าไปทั้งวัน แบบเราก็คงไม่มีทางเลือกค่ะ) 

ใกล้กับ British Museum สามารถเดินต่อกันไปได้เลย คือ ถนน Oxford Street ค่ะ เป็นถนนช้อปปิ้งขนาดใหญ่ สองข้างทางมีร้านสำคัญๆของอังกฤษเต็มไปหมด พอเสร็จจากคุณลูก คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถเดินต่อมาช้อปและทานข้าวเย็นที่นี่ได้เลยค่ะ แต่เผื่อเวลาดีๆ เพราะร้านเยอะมาก 555 (จริงๆคือ ต้องมาทั้งวัน :>) วันนี้เรากลับจาก Oxford street ตอนเกือบ 4 ทุ่มค่ะ จำได้ว่าร้านสุดท้ายที่เดินคือ Boots ซึ่งเป็นสาขาที่ใหญ่มากก 555


Day 11 (19 Apr) - Stonehenge

วันนี้เราขับรถไปเที่ยว Stonehenge กันค่ะ จริงๆมีเมืองระหว่างทางอย่าง Salisbury ให้แวะได้ แต่เราไม่ได้แวะค่ะ มุ่งตรงไปสโตนเฮจน์เลย ... ที่นี่จะมี Information Center ที่จำหน่ายตั๋วและมีนิทรรศการเล็กๆ มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก รวมอยู่ตรงนี้เลย และเราต้องรอรถ shuttle bus เพื่อนั่งไปบริเวณ Stonehenge ค่ะ ... จริงๆมีรถหลายคันที่ขับมาจอดตรงถนนใหญ่ ใกล้ๆกับสโตนเฮจน์เลย เพื่อจอดถ่ายรูป แล้วก็ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม เพราะจริงๆ(ถ้าไม่อะไรมาก) มันก็แค่แท่นหินเป็นก้อนๆ ถ่ายรูปนิดเดียวก็จบ ตอนแรกเราก็คิดแบบนี้ค่ะ แต่พอลองเข้าไป ให้เด็กๆได้ดูนิทรรศการ ดูรถขนหินจำลอง ดูความเป็นมาคร่าวๆ เราว่ามันกระตุ้นความคิดต่อยอดของเด็กๆได้หลายๆอย่างค่ะ เช่น คนโบราณเค้าขนหินใหญ่ขนาดนี้มาได้ยังไง เค้าวางหินแบบนี้เพื่ออะไร หรือจะให้เด็กๆได้ create ท่าโพสต์กับแท่นหินก็สร้างสรรค์ดีนะคะ 555 ... เพราะฉะนั้น ถ้าพาเด็กๆมา อย่าแค่พามาถ่ายรูปแล้วจากไปนะคะ :)


++ลูกเราทำท่าว่าเธอกำลังแบก stonehedge ค่ะ 555++



Day 12 (20 Apr) - London : Natural History Museum - Harrods

วันนี้เราจะไป Natural History Museum กันค่ะ เป็นมิวเซียมที่มีสัตว์ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เหมาะกับเด็กๆมากค่ะ เด็กเล็กๆก็เหมาะค่ะ เพราะมีสัตว์หลายชนิด มีโครงกระดูกปลาวาฬ ไดโนเสาร์ ฯลฯ ตัวตึกของมิวเซียมนี้ก็สวยมากๆค่ะ ไปถ่ายรูปก็สวย 555 ใช้เวลาทั้งวันได้ค่ะ แต่มีข้อเตือนใจนิดนึง คือ ช่วงที่เราไป (เดือนเมษา) เค้าจะมีงาน Sensational Butterflies คือ เป็นเหมือนสวนผีเสื้อที่ด้านนอกมิวเซียมนะคะ (คิดว่าน่าจะมีทุกปี) ซึ่งต้องเสียค่าเข้าด้วยค่ะ (มิวเซียมหลักไม่เสีย) เราก็กะว่าจะพาเด็กๆไปดูผีเสื้อกับดอกไม้เมืองหนาวสวยๆ ที่ไหนได้ พอเข้าไปในกระโจม (เป็นเหมือนเต้นท์ปิดขนาดใหญ่นะคะ ไม่ใช่เป็นสวน) ก็รู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมอากาศร้อนๆ เด็กๆถึงกับบ่นว่า เหมือนเมืองไทยเลยอ่ะ 555 (ในขณะที่อากาศข้างนอกไม่น่าเกิน 15 องศา) ยิ่งกว่าอากาศคือ ต้นไม้ด้านใน ที่เราคิดว่าจะเป็นดอกไม้เมืองหนาวๆสวยๆ กลับกลายเป็นต้นกล้วย ต้นอุตพิศ แล้วก็มีผลไม้จำพวกส้ม แอปเปิ้ลวางล่อผีเสื้อเต็มเลย บรรยากาศเหมือนเมืองไทยมาก ... สรุป พอเราไปอ่านคำบรรยายถึงรู้ว่า เขตที่มีผีเสื้ออาศัยอยู่ คือ เขตร้อนชื้นเหมือนเมืองไทยนี่แหละ เค้าเลยจำลองเอาบรรยากาศแบบนี้มาให้คนในเมืองหนาวได้ศึกษากัน เวรกรรม !! แล้วเราจะเสียตังค์เข้ามาทำไมเนี่ย 555 ดูได้ไม่นาน ก็ต้องรีบออก เพราะร้อนมากก พอออกมานอกเต้นท์ปุ๊บ อากาศเย็นสบายเลยเชียว :)

จาก Natural History Museum ย่านช้อปปิ้งใกล้ๆแถวนั้นคือ Harrods ซึ่งจริงๆสามารถเดินถึงได้ พอเหนื่อย แต่เราไม่อยากเหนื่อยแล้ว 555 เลยเรียก Taxi มาเลย แบบ 5 นาทีถึง ค่าแท็กซี่ก็ไม่แพงมาก น่าจะไม่เกิน 10 ปอนด์ ถ้าใครอยากลองนั่งแท๊กซี่ลอนดอนดู แนะนำตรงจุดนี้ค่ะ เพราะเรียกแท๊กซี่ง่าย และระยะทางสั้นๆไม่แพงมาก (สำหรับลองนั่งเป็นประสบการณ์ดู) ...Taxi ลอนดอน จะเป็นแท๊กซี่ที่แบบ เข็นเอารถเข็นเด็กทั้งคันขึ้นไปได้เลยอ่ะค่ะ ไม่ต้องพับรถเข็น (ไม่ชาร์จเพิ่มด้วย) สะดวกดีมาก 

ห้าง Harrods มีร้านอาหารน่านั่งหลายร้านมากๆค่ะ มีร้าน Burger & Lobster ด้วย เราก็กินร้านนี้กันซ้ำอีกครั้งที่สาขานี้ค่ะ (คือ สาขา Knightbridge ค่ะ)


Day 13 (21 Apr) - Bicester outlet

เอาท์เล็ตนี้ ตั้งออกมาห่างจากลอนดอนประมาณ 1 ชม.ครึ่งค่ะ อยู่ทางเหนือๆหน่อย ซึ่งถ้าไม่มีเวลามาก จะแวะตอนขากลับจาก Cotswolds ก็ได้ (เราก็แวะ survey มาแล้ว 1 รอบ) หรือ จะจัดไปวันเดียวกับ Harry Potter Studio ก็ได้ค่ะ แต่เราแบบอยากใช้เวลาเต็มๆ เลยเผื่อเวลามา 1 วันเลย ใน outlet มี playground ให้เด็กๆได้เล่นด้วยค่ะ มีร้านอาหาร (แต่ไม่เยอะ และไม่ค่อยถูกปากเท่าไร่ แต่ก็ต้องฝากท้องที่นี่อยู่ดี ถ้ามาทั้งวัน) มี tax refund ครบค่ะ ... สามารถเช็คร้านค้าใน outlet นี้ในเว็บไซด์ได้เลยนะคะ 


Day 14 (22 Apr) - London shopping

วันนี้เราเผื่อเป็นวันช้อปปิ้งอีกวันเต็มค่ะ 555 แต่จะเป็นช้อปแบบร้านทั่วๆไปของอังกฤษ ที่ไม่ใช่ outlet เราเลยขับรถไป Westfield กันค่ะ (มีที่จอดรถนะคะ) อันนี้คือ ห้างใหญ่เลย มีร้านครบแบบที่ต้องการ เช่น ฺBody shop, Mother Care, Mark & Spencer และร้านแบรนด์ยุโรปอีกหลายแบรนด์ค่ะ ก็ช้อปกันไปเลยทั้งวัน อิอิ


Day 15 (23 Apr) - Greenwich market - Greenwich foot tunnel - กลับกทม.

วันนี้เป็นวันที่ต้องคืนบ้านแล้ว พอดีเจ้าของบ้านขอไว้ให้เช็คเอาท์ตอน 10 โมงค่ะ ก็เลยต้องรีบกันหน่อย แต่ว่าไฟลท์เราเนี่ยตั้ง 3 ทุ่มครึ่ง (ตั้งใจว่าจะไปถึง 6 โมงเย็น เพราะต้องคืนรถก่อนด้วยค่ะ) ก็เลยมีเวลาว่างๆ เกือบ 1 วัน ก็เลยไป Greenwich กันค่ะ ที่นี่มีที่น่าสนใจหลายจุดนะคะ แต่พอดีเราเป็นวันสุดท้าย มันก็จะแบบกังวลๆนิดหน่อย (เพราะต้องคืนรถ) เลยไม่ได้เก็บทุกจุดของเมืองนี้ เราไปเดิน Greenwich market กับ Greenwich Foot tunnel ค่ะ เป็นอุโมงค์ข้ามแม่น้ำเทมส์ เสียดายไม่ได้มีเวลาไปดู Royal Observatory Greenwich ที่มีเส้นแบ่งเวลา GMT  ด้วย (ถ้าเด็กโตหน่อยน่าจะเข้าใจค่ะ แต่ลูกๆเรายังไม่เข้าใจ เลยไม่ได้วางแผนไปแต่แรก)

จากนั้นเราก็ขับรถไปสนามบินเพื่อคืนรถ (จะลงรายละเอียดเรื่องการคืนรถเช่าที่สนามบินอีกทีนะคะ) และเช็คอิน ทำ Tax refund ซึ่งบอกเลยว่า Tax refund ที่อังกฤษนานมากๆๆๆๆๆค่ะ เราได้ยินคำเตือนมาแล้วว่าให้เผื่อเวลาไว้ไม่ต่ำว่า 1 ชม.ค่ะ (ถ้าไม่มีเวลา ก็ข้ามไปเลยค่ะ ไม่ต้องทำ 555) ของเรานี่ 1 ชม. 20 นาทีได้ กว่าจะเสร็จ 2 ทุ่มนิดๆ ของบางอย่างได้เป็นเงินสดเลย บางอย่างจะเข้าบัตรเครดิต แล้วแต่บริษัท Tax ที่ร้านค้า/แบรนด์นั้นๆดีลไว้ค่ะ ซึ่งเจ้าหน้าที่เค้าจะเป็นคนแยกให้เอง เราก็ยื่นใบเสร็จไปให้เค้าทั้งหมด (กรอกชื่อที่อยู่ให้หมดนะคะ) ซึ่ง Tax refund บางประเทศ เค้าจะแบบมีเป็นตู้ๆ ให้เราหยอดซองลงตู้เลย แล้วคืนเงินในบัตรเครดิต แบบนี้ก็จะไม่เสียเวลาดีค่ะ แต่อังกฤษนี่คือ ต้องมาต่อแถวให้เจ้าหน้าที่จัดการให้ มันก็เลยเสียเวลามากๆ(แม้ว่าจะคืนเป็นบัตรเครดิตทั้งหมดก็ต้องต่อ - ข้อมูล เมษา 60 นะคะ)


จากนั้นเราก็ไปโหลดกระเป๋า (คือ เราต้องโหลดหลังทำ Tax เพราะมีคนขู่ว่า บางทีเค้าจะให้เอาของออกมาโชว์ด้วย แต่ถ้าใครที่แยกของออกมาแล้ว จะโหลดกระเป๋าแล้วค่อยไปทำ tax ก็ได้ค่ะ แต่ของเราเยอะมากก เราเลยไม่ได้แยกออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตรวจของอะไร) โหลดเสร็จ รีบวิ่งไปสแตมป์ตม. แล้วก็ขึ้นเครื่องเลย แบบว่าไม่มีเวลาช้อป duty free ที่สนามบินจนได้ ขนาดมาก่อน 3.30 ชม.แล้วนะเนี่ย (ซึ่งนอกจากtax refund จะนานแล้ว ยังมีขั้นตอนคืนรถด้วยค่ะ) ... ก็เป็นอันจบทริปอังกฤษ 15 วันค่ะ ซึ่งยังไม่ครบเลย ติดเอาไว้ คงได้มาอีกแน่นอนค่ะ 555 กะว่าคราวหน้าจะขับขึ้นไป Scotland และแวะเที่ยวเมืองระหว่างทางค่ะ


ข้อควรระวังในการคืนรถเช่าที่สนามบิน


ใครที่คิดจะเช่ารถขับเที่ยว ในส่วนของขั้นตอนการรับรถนั้นจะไม่ค่อยมีปัญหาค่ะ พอเรามาถึง รับกระเป๋าเสร็จ เดินออกมาโซนด้านนอก ก็มองหาป้าย Car Rental ได้เลย ซึ่งถ้ามีปัญหา ก็จะอยู่ตอนหาป้าย Car Rental ให้เจอนี่ล่ะค่ะ 555 เพราะบางสนามบิน (โดยเฉพาะสนามบินใหญ่ๆในตปท.) จะมีตึกของ Car rental ต่างหากเลย ไม่เหมือนเมืองไทยที่พอออกมาก็เจอเลย อยู่ในตึกเดียวกัน แต่บางที่นี่คือ คนละตึก คนละชั้น วุ่นวายเล็กน้อยค่ะ ถ้าแบบของเยอะ เด็กเล็ก อากาศหนาวนี่ก็วุ่นวายมากหน่อย 555 แต่พอเจอแล้ว ก้ค่อนข้างง่าย คิวก็ไม่ค่อยเยอะค่ะ

แต่ปัญหาจริงๆจะอยู่ช่วง คืนรถนี่ล่ะค่ะ เพราะส่วนมาก สนามบินใหญ่ๆ จะมีส่วนรับรถที่แบบ คนละที่กันเลย บางที่ใกล้หน่อย  ก็นั่ง Shuttle bus แป็บเดียว แต่บางทีไกลออกไปแบบนั่ง Shuttle Bus 15 นาทีเลยก็มี เช่นที่ สนามบิน LAX ค่ะ ไกลไม่พอ รถติดอีก T_T (ต้องเผื่อเวลาคืนรถแบบเป็นชม.เลยค่ะ) ของที่ Heathrow เองก็อยู่คนละตึกกันนะคะ ต้องนั่ง Shuttle Bus กลับมาเหมือนกันค่ะ (ซึ่งการนั่ง shuttle ต้องเผื่อเวลารอรถ เผื่อเวลาขนกระเป๋าขึ้น เผื่อเวลาจอดที่จุดอื่นๆแบบนี้ด้วยนะคะ และบางที่มีรถติดอีกเพราะอยู่คนละที่เลย ไม่ใช่ว่าห่าง 10 นาที ก็เผื่อ 10 นาทีเป๊ะ) ซึ่งถ้าเป็นไปได้ควรศึกษาก่อนค่ะ แต่มันก็จะยากนิดนึง เพราะไม่ค่อยมีข้อมูลพวกนี้ค่ะ เราก็ใช้เผื่อเวลาเอา แล้วไปตายเอาดาบหน้า 555 ... 

การคืนรถ ถ้าไปกันแบบหนุ่มๆสาวๆ ของไม่เยอะมากแบบกระเป๋าคนละใบ ก็แนะนำให้ขับรถไปที่ตึกคืนรถเลย แล้วขนกระเป๋านั่ง shuttle มาที่สนามบินค่ะ แต่กรณีของเยอะมากๆ (เช่น ทริปครอบครัวของเราทริปนี้) ก็ให้แวะสนามบิน เอากระเป๋าลงก่อน แล้วคุณพ่อก็ค่อยขับรถไปคืนคนเดียว และนั่ง shuttle กลับมาจะสะดวกกว่าค่ะ แต่อาจจะทุลักทุเลนิดๆ อย่างของเรา คือ รถเข็น 2 คัน แต่เราเข็นได้คนเดียว เพราะลูกสาวยังเข็นรถเข็นสนามบินไม่ได้ (ไม่มีแรงบีบคันจับ 555) ส่วนพ่อ เอารถไปคืน ก็ต้องแบบหาจุดนั่งคอย (แต่ ... มีแต่อีก ... เราต้องไปต่อคิว Tax refund เผื่อจะได้ไม่เสียเวลา ทำไงล่ะคะ ... ก็ต้องค่อยๆกระดืบๆไป แบบทีละเมตร แล้วให้ลูกเฝ้าอีกคันไว้ 555) ลองเลือกดูนะคะว่าแบบไหนจะเหมาะกับครอบครัวคุณมากกว่า ^^"

หวังว่า blog นี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่จะพาเด็กๆไปเที่ยวลอนดอนกันไม่มากก็น้อยนะคะ ... พบกันใหม่บล็อคหน้าค่ะ :)



Create Date : 18 มกราคม 2561
Last Update : 27 มกราคม 2561 17:35:27 น.
Counter : 2018 Pageviews.

0 comment
ทริปครอบครัว Australia Trip : Sydney - Melbourne (25/9-10/10/2015)


เราตั้งใจเขียน blog นี้ขึ้น เพื่อแชร์ทริปออสเตรเลีย (2 วีค) สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก เผื่อเป็นไอเดียในการท่องเที่ยวประเทศนี้นะคะ

บอกเลยว่า การหาข้อมูลเที่ยวออสเตรเลียนั้นง่ายมากค่ะ ถึงแม้คู่มือท่องเที่ยวออสเตรเลียจะมีน้อย และที่มีก็แทบจะไม่ค่อยมีที่เที่ยวของเด็กเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้นดก็มีข้อมูลที่ต้องการทั้งหมดในเว็บ และเป็นภาษาอังกฤษด้วย อยากไปที่ไหน search หาเว็บจากคีย์เวิร์ดต่างๆได้เลย และที่สำคัญ ส่วนมากสถานที่เที่ยว หรือ บริการต่างๆจะมี facebook ด้วย หาจาก FB เลย มีข้อมูลอัพเดท มีรูปลงไว้เรียบร้อย ง่ายมากๆ ถือว่าเป็นประเทศที่เทคโนโลยีดีมากกค่ะ 555 (ขนาดเราไปมาเมื่อปี 2015 นะคะ)

ทริปนี้เราเดินทางปลายเดือนกันยา ถึงต้นตุลาปี 2015 ช่วงที่ไปถือเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ว่าอากาศก็แปรปรวนมากๆค่ะ อุณหภูมิตั้งแต่ 10 ต้นๆไปจนถึง 23-24 องศา (แบบไม่ต้องใส่เสื้อหนาวเลย) เรียกว่าจัดเสื้อผ้ากันไม่ถูกเลย จนวันสุดท้าย ก็ไม่รู้จะใส่อะไร เรียกว่า งง ตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย 555 .... เราไปกันทั้งหมด 5 คน ประกอบด้วย เรา - สามี ลูกสาว (ณ ตอนนั้น) 5.9 ขวบ และ 1.9 ขวบ และคุณยายของหลานๆค่ะ ไปกันประมาณ 15 วัน โดยเราเช่ารถขับตลอดการเดินทาง พักบ้านพัก airbnb ที่ซิดนีย์ 7 วัน (มีไปค้างคืนที่ Canberra 1 คืน) จากนั้นบินภายในประเทศไปลงเมลเบิร์น เช่ารถขับ Great Ocean Road พักที่ Port cambell 1 คืน กลับเข้ามาเมลเบิร์นพัก airbnb อีก 5 คืนแล้วกลับเมืองไทยค่ะ (บินตรงจากเมลเบิร์นเลย)

รายละเอียดเป็นดังนี้ค่ะ (รูปจะทะยอยลงนะคะ ขอเขียนเนื้อหาให้สมบูรณ์ก่อน)

Day 1 (25 Sep) - ทริปนี้บิน TG  ค่ะ เพราะเลือกลงซิดนีย์และกลับเมลเบิร์นได้ เครื่องออก 19.20 น. ยิงยาว เด็กๆหลับบนเครื่อง สบายค่ะ

Day 2 (26 Sep) - ถึงซิดนีย์ 7.20 น. รับรถเช่า แล้วขับเข้าบ้านพักของ airbnb ค่ะ เราขอเช็คอิ่นก่อนเวลา เพราะเครื่องลงเช้า เจ้าของบ้านก็ให้ค่ะ ... และวันนี้ก็เป็นวัน free day เลย นอนชิลล์อยู่บ้าน 555 ตกเย็นไปซุปเปอร์ซื้อของเข้าบ้าน มาทำอาหารทานค่ะ

Day 3 (27 Sep) - Australian Museum เป็นมิวเซียมที่แสดงเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ค่ะ (คล้ายๆ Natioral History Museum ที่ลอนดอน) เหมาะกับพาเด็กๆไปค่ะ (ถ้าไม่มีเด็ก ไม่ต้องไปก็ได้ค่ะ) อย่าสลับกับ Museum of Sydney นะคะ อันนี้จะแสดงประวัติความเป็นมาของเมืองซิดนีย์ ไม่เหมาะกับเด็กเล็กค่ะ(เพราะเด็กไม่อินเลย 555) เราไปอันนี้มาก่อน เข้าไปข้างในถึงได้รู้ว่าผิดอัน แต่ถ้าใครอยากจะพาเด็กๆ อาจจะเด็กโตนิดนึงเพื่อไปดูประวัติความเป็นมาของเมือง ก็น่าสนใจดีค่ะ ... พอเย็นๆ ก็ไปเดินเล่นกินข้าวเย็นที่ Queen Victoria Buildings เป็นห้างที่อยู่ในตึกสวยๆ ด้านนอกเหมือนตึกเก่า ด้านในตกแต่งหรูหรา แต่ร้านค้าทันสมัยนะคะ

Day 4 (28 Sep) - ช่วงเช้าไปถ่ายรูป Opera house เพราะมองท้องฟ้าแล้ววันนี้ฟ้าใสมากก :) ... มีคำแนะนำเรื่องถ่ายรูป landmark ต่างๆนิดนึงค่ะ สำหรับคนที่เที่ยวแบบไม่ได้ fix โปรแกรมมากมาย ขอให้ดูวันแดดดีเป็นหลักค่ะ ถ้าแดดดี ฟ้าใส รีบไปถ่ายค่ะ 555 อย่ามัวเก็บไว้ตามแพลนที่ตั้งไว้ เพราะถ้าถึงวันที่เราแพลนไว้ แล้วฝนตก ฟ้ามัว นี่จบค่ะ ! ยิ่งไปในฤดูที่เอาแน่นอนไม่ได้ ขอให้ปรับเปลี่ยนแผนตามสภาพอากาศนะคะ จากนั้นเราขับไป Canberra ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.ค่ะ ไปถึงก็ชมเมืองรอบๆ และไป Parliament house ค่ะ ค้างรร.ที่นี่ 1 คืน (สำหรับบ้านที่ airbnb เราจองยาว 7 วันเลย เพราะจะได้ไม่ต้องขนกระเป๋าใหญ่ไปมาค่ะ และขอเจ้าของบ้านว่า เราไม่อยู่ 1 คืน เค้าก็จะลดให้ค่ะ อาจจะไม่ถึงลดไป 1 คืนเลย แต่ก็ได้ส่วนลดค่ะ เช่นคืนละ 150 เหรียญ ก็ลดเหลือ 100 เหรียญ เราก็โอเคค่ะ)

Day 5 (29 Sep) - เที่ยวงาน Floriade Flower Festival ซึ่งเป็นงานเทศกาลดอกไม้ประจำปีที่จัดขึ้นที่แคนเบอร์ร่า จริงๆที่เรามาออสเตรเลียช่วงนี้เลย ก็เพราะรีเควสจากคุณแม่เราว่าอยากมางานนี้นี่แหละค่ะ เพราะเค้าจะจัดช่วงปลายกันยา-ต้นตุลา ของทุกปี (เช็ควันในเว็บได้เลยค่ะ) ...แต่ถามว่า พอเห็นแล้วมัน ว้าว มั้ย ก็ต้องบอกว่า เฉยๆมากๆ 555 คือ เหมือนงานวัดฝรั่ง มีสวนดอกไม้(ทิวลิป) มีชิงช้าสวรรค์ มีสวนสนุกเล็กๆให้เด็กเล่น แค่นั้นเองค่ะ ... งานนี้ฝรั่งมากันเยอะนะ ลูกเล็กเด็กแดงเต็มไปหมด แต่เราว่า มันเหมือนสวนดอกไม้ใหญ่ๆในเมืองไทยอ่ะค่ะ ยิ่งถ้าเอาไปเทียบกับสวนดอกไม้ที่ญี่ปุ่น หรือ อย่าง Kuekenhof ที่เนเธอแลนด์คือ เทียบไม่ติดเลย (อันนั้นคือ The Must ต้องไปจริงๆ ส่วนอันนี้ถ้าใครต้องขับรถมา 3 ชม. ไม่ต้องค่ะ 555 แต่ถ้าแพลนจะเที่ยว Canberra อยู่แล้ว จะลองมาเดินเล่นๆ ชิวๆ ตามแบบครอบครัวชาวออสก็ได้ค่ะ)

เที่ยวงานดอกไม้เสร็จช่วงบ่าย ก็ขับกลับซิดนีย์ แวะเที่ยวสวนสัตว์ Featherdale เป็นสวนสัตว์เล็กๆ แต่ที่นี่มีจิงโจ้ให้เด็กๆได้ป้อนอาหาร และมีโคอาล่าให้เด็กๆได้ถ่ายรูปค่ะ

Day 6 (30 Sep) - Taronga zoo เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ของซิดนีย์ค่ะ ส่วนใหญ่เค้าจะข้ามกระเช้ามากัน แต่เราขับรถมาค่ะ  (มีที่จอดรถนะคะ ราคา 17 เหรียญเหมาทั้งวันค่ะ) ถามว่า ว้าว มั้ย ก็อีกอ่ะค่ะ ... เฉยๆ 555 ตอนแรกนึกว่าจะได้ดูจิงโจ้ โคอาล่าเยอะๆ แต่เปล่าเลย คือ ลืมไปว่าที่นี่คือ สวนสัตว์แบบที่ให้คนออสเตรเลียมาเที่ยว ไม่ได้เป็นสวนสัตว์ที่เป็นสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นจิงโจ้ โคอาล่า ลืมไปได้เลยค่ะ มีโซนเดียว เล็กๆ ... แต่สัตว์ที่ทุกคนต้องดู คือ ช้าง ค่ะ ช้างจากเมืองไทยด้วย (แล้วชั้นจะมาทำไม 555) กับอีกอย่างที่คนมุงกันน่าดูคือ ยีราฟ แต่ก็.. มีอยู่ 3 ตัว ^^" ... เราไป Safari world ป้อนกล้วยยีราฟเป็นฝูงมาแล้ว เห็นแค่นี้ จ๋อยสนิทค่ะ ... แต่ที่เราชอบ คือ ระบบการจัดการของสวนสัตว์ทีนี่ มีจัดเป็นโซนๆ แต่ละโซนเค้าก็จะมี theme ที่บอกเล่าเรื่องราวของสัตว์ในโซนนั้นๆ ให้ความรู้เด็กๆได้ดีค่ะ และก็จะมีพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นเหมือน playground กลางแจ้งให้เด็กๆได้เล่นเยอะดีด้วย คือ ถ้าไป เด็กๆก็ชอบค่ะ แต่ถ้าจะมุ่งเน้นดูสัตว์ ... ไปซาฟารีเวิร์ลกันดีกว่า อิอิ

Day 7 (1 Oct) - Blue Mountain National Park ขับรถไป ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ค่ะ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นหุบเขาสีน้ำเงินนะคะ เราไปถ่ายรูปที่ Echo point และก็อีกล่ะ เรารู้สึกว่า ภูมิประเทศ (เทือกเขาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา) มันดูคล้ายๆกับ Grand canyon มากๆ แต่ Grand canyon คือ แบบอลังการกว่ามากกก ... ที่ blue mountain ดูแล้วมันไม่ว้าวเท่าไร่อ่ะ (อีกแล้วเหรอ ^^') แต่ก็อ่ะนะ เค้าไม่ได้มาบอกว่าเค้าเหมือนแกรนด์แคนยอนซะหน่อย 555 เราคิดเอง ที่ต่างก็คือ ด้านบนเทือกเขา มันเหมือนมีไอสีฟ้าๆอยู่จริงๆ (เกิดจากไอระเหยของต้นยูคาลิปตัส) จากนั้นเราก็ต้องถ่ายรูปกับเทือกเขา Three Sister และมันจะมีเหมือนทางเดินเล็กๆ ยาวพอเดินเหนื่อย ขึ้นไปถึงยอดนึงของ Three Sister ด้วย เราก็ไปเดินเล่นกัน (ไหนๆมาแล้ว) ... เสร็จจาก Blue Mountain เราก็ไปต่อที่ Scenic world ที่นี่จะมีรถราง กระเช้าลอยฟ้า และเคเบิลคาร์ ให้ชมวิวกันอย่างเต็มปอด แต่เราขึ้นแค่ 2 อันคือ รถราง (ที่มีความชันมากก เป็นจุดขาย) และเคเบิลคาร์ กับได้เดินป่าชมธรรมชาติซึ่งเป็น trail สั้นๆ พอได้อารมณ์เดินป่าออสเตรเลีย 555

กลับเข้าซิดนีย์ ไปเดินเล่นหาข้าวเย็นกินที่ Darling Habour (มีที่จอดรถเสียเงินแบบติด Darling Harbour เลย) ซึ่งเป็นเหมือนแหล่งกินดื่มริมน้ำยามค่ำคืนค่ะ ดินเนอร์ที่นี่ก็ได้เห็นวิวแสงสี สวยดีค่ะ

Day 8 (2 Oct) - Whale Watch Sydney  ถ้าถามว่าผ่านมาหลายวัน ยังไม่ว้าวเลย จะมีอะไรว้าวมั้ย ก็ต้องบอกว่า วันนี้ล่ะค่ะ ว้าว สุดๆ 555 ตอนแรก เราเลือกระหว่าง ดูโลมาที่ port stephen กับดูวาฬ ที่ซิดนีย์ แต่ก็ตัดสินใจดูวาฬแล้วกันไม่ต้องขับรถเยอะ โปรแกรมจะได้หลวมๆ และก็ต้องบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกมากๆค่ะ เราเลือกบ.ดูวาฬ https://www.whalewathcingsydney.com เลยค่ะ (เข้า fb เค้ามีอัพเดทรูปตลอด วันไหนเห็นวาฬก็จะมีรูปลงด้วย) เลือกแบบ 3 ชม. เพราะมีโอกาสเห็นมากกว่า จุดขึ้นเรือคือที่ Circular Quay ค่ะ (มีที่จอดรถ แต่แพงมากค่ะ ) จะบอกว่า มันไม่น่าเชื่อว่า ออกจากอ่าวไปแค่ 20-30 นาทีก็เป็นจุดที่สามารถเจอวาฬได้แล้วอ่ะ ถือว่าใกล้ฝั่งมากๆ (แต่เจอรึป่าว อีกเรื่องนะ) วันนั้นเราได้เห็นวาฬหลายตัวเลย ได้ยินเสียงหางมันตีน้ำทะเลดังพับๆๆ หลายครั้งมากๆ แล้วก็มีวาฬที่ว่ายมาขนาบข้างกับเรือเลย เห็นจังหวะที่มันดำลงไปใต้น้ำ (เห็นท้องมันสีขาว) แล้วพอนับ one two three... มันก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเลย คือ แบบฟินสุดๆๆๆอ่ะ ... แนะนำเลยนะคะ โปรแกรมนี้ ห้ามพลาดเลย... แต่ข้อควรระวังคือ มีโอกาสเมาเรือสูงมาก และเวลาดูวาฬต้องออกมาดูด้านนอก ซึ่งด้านนอกลมแรงง และหนาวมากกก (เค้ามีห้องแอร์หรือ อีกนััยหนึ่งคือ ห้องฮีทเตอร์ 55 เพราะอุ่นมาก) ลูกสาวเราก็อยู่แต่ด้านในค่ะ  (อย่าลืมเตรียมเสื้อกันหนาวดีๆนะคะ) เลยอดเห็นวาฬแบบใกล้ชิด แต่เห็นตัวที่มันไกลๆออกไปค่ะ เราจะเข้ามาเรียกก็ไม่ทัน เพราะมันเกิดขึ้นไวมากค่ะ

พอกลับจากดูวาฬ... ไหนๆจอดรถ Circular Quay แล้ว ก็เดินเล่นแถวๆนั้นเลยค่ะ เดินไปเรื่อยๆ มันจะไปถึงย่าน The Rock ซึ่งเป็นเหมือนเมืองเก่า แวะทานร้าน Pancake on the Rock ร้านดังได้เลยค่ะ ทานเสร็จเดินกลับมาเอารถ เราโดนค่าที่จอดไปอยู่ที่ประมาณ 68 เหรียญ (เอาน่า แลกกับความสะดวก อิิอิ)

Day 9 (3Oct) - Shopping day วันนี้เป็นวันช้อปทั้งวันค่ะ ช่วงเช้าช้อป outlet (DFO) ช่วงบ่ายกลับเข้าเมือง พอใกล้ค่ำ ขึ้นไปดูวิวที่ The Sydney Tower Eye ค่ะ

Day 10 (4 Oct) - วันนี้ออกจากซิดนีย์ไฟลท์ 10.30 น. ถึงเมลเบิร์นประมาณเที่ยงๆ (เราเลือกที่จะบินในประเทศ แทนการขับรถยาวจากซิดนีย์นะคะ เพราะประหยัดแรงงานขับรถและประหยัดเวลากว่าค่ะ ถ้าขับรถ อาจจะต้องค้าง 1 คืนระหว่างทาง) วันนี้เราจะขับรถไป Great Ocean Road กันค่ะ ระยะทางของ GOR อยู่ที่ประมาณ 245 กม. (เราจะไปสุดที่เมือง Port Campbell ซึ่งมี 12 Apostles เป็นไฮไลท์) ถนนนี้เป็นเส้นเลียบทะเลที่สวยงามค่ะ อันนี้สวยจริงนะ แต่ว่าเรากับสามีเคยขับถนนเลียบทะเลมาหลายเส้นแล้ว เลยเริ่มเฉยๆ ^^" แต่เส้นที่ชอบกลับเป็นเส้น GOR นี่แหละ แต่เป็นตอนที่มันไม่ติดทะเล 555 เป็นช่วงใกล้ๆถึง 12 Apostles  แต่มันจะเป็นช่วงเขาๆ วิวจะเป็นเนินเขา อากาศเย็นๆ มีทุ่งหญ้า มีแกะ 555 เหมือนสวิสหรือนิวซีแลนด์ประมาณนั้น ชอบบรรยากาศแบบนี้ ไม่คิดว่าจะเจอบรรยากาศแบบนี้ที่ออสเตรเลีย :) เราไปถึง Port Campbell ตอนมืดแล้วเลยแวะเข้า B&B เพื่อบอกเค้าก่อนว่าถึงแล้ว แล้วค่อยออกไปหาอาหารเย็นทาน ซึ่งที่ Port Campbell มีร้านเปิดดึกๆ (ประมาณ 2 ทุ่ม) อยู่ร้านเดียว เป็นร้านใหญ่เลยค่ะ ก็ทานที่นี่ แล้วกลับเข้าที่พัก ... ที่พักคืนนี้เป็น B&B ค่ะ หาจาก Tripadvisor เอา เป็นบ้านมีแค่ 3 ห้องนอน วิวสวย บรรยากาศดีมากๆ แต่อยู่ในหลืบสุดๆ 555

Day 11 (5 Oct) - เริ่มต้นด้วยขับรถไปถ่ายรูป 12 Apostles ..ซึ่งที่นี่จะมีบริการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมวิวด้วย แต่เราไม่ได้เลือกค่ะ เพราะมากับเด็กๆ เราคิดว่าให้เค้าได้ซึมซับภาพจากสายตาในระยะใกล้จะดีกว่า (ถ้าขึ้นไป มันก็จะมองจากด้านบน และไกลกว่า) จากนั้นขับรถต่อไปจนสุด GOR แล้วค่อยๆไล่ขับกลับมาตามทางเดิม แวะจุดต่างๆที่เค้าแนะนำ (มีป้ายบอกตลอด) เพราะขาไป เราขับตรงยาวเลย ระหว่างทางจะมีถนนที่สามารถดูโคอาล่าที่อยู่บนต้นยูคาลิปตัสจริงๆด้วย (แบบตามธรรมชาติ) เราก็หากันไปตลอดทาง เรียกว่า เอ้อระเหยมากก 555 วันนี้กว่าจะถึงที่พักที่เมลเบิร์น ก็ 3 ทุ่มเลยค่ะ

Day 12 (6 Oct) - วันนี้เที่ยวเล่นในตัวเมือง Melbourne ค่ะ เริ่มจาก Queen Victoria Market ซึ่งเป็นเหมือนตลาดขายของทำมือ หรือ ของที่ราคาไม่แพงมาก (อย่าสลับกับ Queen Victoria Buildings นะคะ อันนั้นหรูเลย คนละอารมณ์ :P) จากนั้นก็ไปตึก Eureka ขึ้นไปชมวิวที่ sky deck ชั้น 88 ถ่ายรูปกับห้องกระจกที่ยื่นออกไปจากตัวตึก (พื้นเป็นกระจก มองลงไปเสียวดีค่ะ) .. เย็นๆก็ไป Fitzroy Garden ก็เดินเล่น นั่งเล่นกันแบบไม่มีแพลนค่ะ จากนั้นก็ไปซุปเปอร์ซื้อของมาทำทานกันเหมือนเดิม

Day 13 (7 Oct) - Puffing Billy Train หรือ รถไฟห้อยขา ... ต้อง่ขับรถไปขึ้นรถไฟที่เมือง Belgrave ระยะทางประมาณ 1 ชม.ค่ะ โปรแกรมนี้ถือเป็น one day trip แบบสบายๆชิลล์ๆค่ะ แนะนำให้พาเด็กๆมานะคะ ได้นั่งรถไฟลมเย็นๆ (เย็นมากก เตรียมเสื้อหนาวขั้นสุดค่ะ) เรานั่งไปจนถึงสถานี Lake side ซึ่งมีทะเลสาป สามารถไปถึบเรือเล่นกันได้ มีพื้นที่ให้นั่งปิคนิค (วันนี้เราเตรียมแซนวิชทำเอง มาทานที่นี่ค่ะ เพราะอาหารด้านในมีให้เลือกน้อยมากๆๆ และก็เป็นพวกแซนวิชอยู่ดี 555) มีสนามเด็กเล่น สบายๆดีค่ะ จากนั้นก็นั่งรถไฟกลับมาเบลเกรฟเหมือนเดิมค่ะ



Day 14 (8 Oct) - One day trip to Phillip Island .. ซึ่งไฮไลท์ของเกาะนี้คือ การดูนกเพนกวินพันธุ์เล็กที่สุดและไม่ได้อยู่ที่ขั้วโลก ... การดูเพนกวิน เราจะดูในตอนเย็นช่วงเพนกวินกลับรัง เพราะฉะนั้นเรามีเวลาเหลือเฟือที่จะเดินทางจากเมลเบิร์น เพราะขับรถเพียงแค่ 2 ชม.ถึง ระหว่างทางก็มีที่แวะเยอะทีเดียว แต่เราเลือกแวะ Maru Koala and Animal Park เพื่อให้เด็กๆได้ดูจิงโจ้กันอีกรอบ ที่นี่ก็เป็นสวนสัตว์เล็กๆเช่นกัน (เล็กกว่า Featherdale) แต่จิงโจ้จะพันธุ์ใหญ่กว่า และได้ถ่ายรูปกับโคอาล่าแบบใกล้ชิดกว่า เพราะเสียเงิน 555 จากนั้นก็แวะ Chocolate Factory ด้านในมีกิจกรรมสนุกๆให้เด็กๆลองทำ ก็สนุกดีค่ะ (เหมาะกับเด็ก) ... 

แล้วเราก็ขับไปดูเพนกวินกัน ซึ่งต้องซื้อตั๋วนะคะ การดูเพนกวินจะต้องนั่งบนอัฐจันทร์ซึ่งใหญ่มากก จุเป็นพันคนได้ (คือ ดูกันเป็นกิจจะลักษณะเลย แบบจริงจัง 5555) เราต้องรีบไปจองที่ก่อน เพนกวินจะมาประมาณ 1 ทุ่ม เราก็ต้องเข้าไปแบบ 5-6 โมงอะไรงี้ แต่จริงๆ ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะไฮไลท์ของการดูเพนกวิน(ในความคิดเรานะ)ไม่ได้อยู่ที่เห็นเพนกวินเป็นกลุ่มๆเดินกลับรัง (ขึ้นจากทะเล เดินผ่านหาดทราย ไปยังรังด้านหลังอัฐจันทร์) แต่มันคือ ช่วงที่เพนกวินขึ้นจากหาดแล้ว และกำลังเดินกลับรัง(ดิน)ต่างหาก... ตอนแรกเราก็ไม่รู้ ก็นั่งรอดูเพนกวิน 4-5 ตัวบ้าง 9-10 ตัวบ้าง เป็นกลุ่มๆ ทะยอยขึ้นจากทะเลทีละกลุ่มๆ อย่างช้าๆ พอเพนกวินมาที ก็จะมี spotlight ส่อง คนก็จะหันตามไปดูกัน ก็เฉยๆนะ คิดในใจ มาดูแค่นี้(เหรอวะ) แต่ก็เร่ิมเห็นคนบางกลุ่มลุกออกจากที่นั่งแล้วก็กลับ แล้วคนก็ทะยอยลุกออกเรื่อยๆ เราก็ยังคิดว่า เฮ้ย นี่คือ แค่นี้จริงๆเหรอ หมดแล้วเหรอ อะไรแบบนี้ คือ มันไม่ได้มีเป็นฝูงใหญ่ๆๆอะไรแบบนี้ พอคนไปซักเกือบครึ่งก็เลยออกบ้าง ที่ออก เพราะกลัวขาออกคนจะเยอะแล้วมันจะออกลำบากอ่ะ รถติดอีก 555 แต่ที่ไหนได้ ทางออกด้านหลังอัฐจันทร์มันจะเป็นทางเดิน แล้วก็มีรั้วตาข่าย พอดูดีๆ เฮ้ย ทั้งหมดทั้งมวล กองดินทั้งหมดมันเป็นรังของเพนกวินนี่นา แล้วตอนนี้เพนกวินนับร้อยตัวก็กำลังทะยอยเดินกลับรัง เดินเรียงแถวกันมาเลย แล้วเราก็ใกล้ชิดกับมันมาก คือ ตัวเพนกวินเนี่ย จะเดินอยู่ข้างๆรั้วตาข่ายเลย แบบว่าถ้าเอามือออกไปนี่คือจับได้เลย (แต่เค้าห้ามจับนะคะ) ใกล้มากๆๆ แล้วคือ เยอะมากอ่ะ ไอ้ที่เห็นเดินมาทีละ 4-5 ตัว แต่ตอนนี้มันมากองอยู่ตรงด้านหลังเป็นร้อยๆอ่ะ แต่น่าเสียดาย เพราะขั้นตอนทั้งหมด ตั้งแต่ซื้อตั๋วเข้ามาด้านในนี่เค้าห้ามถ่ายรูปหมดเลย เลยไม่มีรูปเลย แต่บอกเลย พีคมากค่ะ มาดูให้ได้นะคะ เพนกวินเยอะมากๆ เห็นใกล้มากๆด้วย แล้วไม่ต้องนั่งอัฐจันทร์นานนะ เตรียมมาดูด้านหลังดีกว่า 555  :)

Day 15 (9 Oct) - Shopping day คือ การมาเที่ยวออสเนี่ย เราเผื่อวันช้อปปิ้งไว้ 2 วันค่ะ คือ วันสุดท้ายของซิดนีย์ และวันสุดท้ายของเมลเบิร์นเลย วันนี้เจ้าของบ้านแนะนำห้างใหญ่ห้างนึงให้เราไปช้อปปิ้ง คือ อารมณ์เราอยากช้อปแบบที่คนออสเค้าช้อปกัน 555 เราไม่อยากไป outlet แล้ว เพราะเราไม่ได้อะไร ห้างที่เราไปลักษณะคล้ายกับ เมกะ บางนา นี่แหละ คือ มีหลายๆห้าง แล้วก็ร้านๆรวมกันในทีเดียว ก็ช้อปปิ้งกันไปทั้งวันเลยค่ะ

Day 16 (10 Oct) - กลับกทม.ไฟลท์ บ่าย 3 โมง 

ก็เป็นอันจบทริปสำหรับครอบครัวที่ออสเตรเลียนะคะ สำหรับออสเตรเลีย เราว่าเหมาะจะพาเด็กๆไปมาก คือ อย่างที่เราเขียนไว้ว่า บางแห่งมันอาจจะไม่ได้ ว้าว มาก (เพราะมันมีที่อื่น ทีึ่เป็นที่สุดกว่า) แต่เด็กๆเค้าไม่ได้สนใจว่ามันจะว้าวไม่ว้าวหรอกค่ะ คือ ขอให้สนุก มีกิจกรรมสำหรับเด็ก มีที่เที่ยวสำหรับเด็ก มีสนามเด็กเล่น แล้วก็มี facility สำหรับเด็กๆ ซึ่งออสเตรเลียตอบโจทย์เลยค่ะ ทริปนี้บอกเลย ลูกเราชอบมาก ไม่บ่นเลยซักวัน (แต่ปีถัดมา พอไปยุโรป แล้วแบบเดินเที่ยวชมเมืองอะไรแบบนี้ เธอจะบ่นมากก 555) ก็ถือเป็นทริปครอบครัวแบบสบายๆนะคะ ไม่เน้นเก็บสถานที่ แต่ว่าเน้นกิจกรรมให้เด็กๆค่ะ

สำหรับใครที่อยากได้รายละเอียดเพิ่ม ให้เอา keyword ตัวหนาไปพิมพ์แล้ว search ใน google ได้เลยนะคะ เพราะทุกที่มีเว็บไซต์หมดค่ะ หารายละเอียดง่ายมากๆ

ประเทศออสเตรเลีย เป็นอีกประเทศนึงที่เราอยากให้ลองเช่ารถขับเที่ยวดูค่ะ ครอบครัวเราชอบเดินทางโดยการเช่ารถขับมากค่ะ ถ้าใครได้ลองแล้ว จะชอบเลย จริงๆนะ 555 เพราะมันสะดวกสบายมากๆ ไม่เหนื่อยเดิน ไม่เหนื่อยยกกระเป๋า ของสัมภาระที่จำเป็นต้องใช้ระหว่างวัน เสื้อหนาว ก็กองไว้ในรถได้ ลงไปเที่ยวก็แค่เอากระเป๋าลงไป ไม่ต้องขนไปทั้งหมด ซึ่งหลายครั้งที่พอเราแนะนำให้เพื่อนๆที่ไปเที่ยวเช่ารถขับเถอะ ทุกคนจะทำหน้าแบบ ไม่ไหวอ่ะ ... แพงล่ะ ค่าที่จอดก็แพง หาที่จอดก็ยาก พวงมาลัยคนละทางบ้าง ฯลฯ แต่จริงๆถ้าลองแล้วจะรู้เลยว่ามันไม่ยากอย่างที่คิด ... และอย่าลืมว่า การเดินทางหลักๆของคนในประเทศเค้า ก็คือ การขับรถนี่ล่ะ เราก็เที่ยวแบบคนในประเทศเค้าอ่ะค่ะ (อันนี้พูดถึงออสเตรเลียนะคะ ประเทศอื่นจะเล่าต่อๆไปค่ะ) เรื่องที่จอด บอกเลยมีเยอะค่ะ เยอะแบบดีกว่ากรุงเทพเยอะมาก กรุงเทพคือ จะไปไหนต้องจอดตามห้างอย่างเดียว ไม่ก็ริมถนน ไม่งั้นลืมไปได้เลย แต่ต่างประเทศ เค้าจะมีที่จอดที่เรียกว่า public parking เป็นลานบ้าง เป็นใต้ติดบ้าง เป็นตึกบ้าง แต่คือ เป็นที่จอดรถจริงๆ มีทุกๆย่าน แต่คือ ค่าที่จอดอาจจะแพง ซึ่งก็จริงค่ะ (แต่เราก็เผื่อค่าที่จอดรวมเข้าไปในค่าเดินทางเลยค่ะ) จะไปที่ไหน search google หา Parking เลย สบายค่ะ :) อย่างที่ออส หลายๆที่ที่เรากลัวว่าจะจอดที่ไหน อย่าง Taronga zoo อ่านในเว็บมีแต่วิธีการข้ามกระเช้า แต่เรามีรถอ่ะ ไปไงดี ไม่มีใครรีวิว ... ก็ดุ่ยๆไปค่ะ ปรากฏมีที่จอดเป็นอาคารอย่างดีเลย เหมาเลยวันละ 17 เหรียญ ก็สะดวกดี เห็นครอบครัวคนออสซี่มากันเต็ม จูงเด็กๆ มากันเป็นครอบครัว ก็เลยถึงบางอ้อ เออ.. ยังไงคนในท้องที่เค้าก็ต้องขับรถกันอยู่ดีแหละ เราไปดูรีวิวจากนักท่องเที่ยว ก็เลยข้ามกระเช้ากันอย่างเดียว :) นอกจากออสเตรเลีย ยังมีอีกหลายๆประเทศที่ขับรถสะดวกมากๆนะคะ ไว้จะมารีวิวอีกค่ะ

หวังว่า blog นี้คงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างนะคะ :)



Create Date : 01 มกราคม 2561
Last Update : 27 มกราคม 2561 17:35:43 น.
Counter : 3702 Pageviews.

1 comment
แชร์ประสบการณ์การได้รับ refund คืนจากการเข้าพักกับ airbnb

ไม่ได้เขียนบล็อคเกี่ยวกับท่องเที่ยวนานมากค่ะ (โดยเฉพาะท่องเที่ยวต่างประเทศ 555) ซึ่งจุดประสงค์ของการเขียนบล็อคนี้ขึ้นมา เพราะอยากเล่าประสบการณ์ที่ค่อนข้างประทับใจกับการเข้าพักในที่พักประเภทนี้ เล่าเลยละกันเนอะ
ก่อนหน้าที่จะเกิดทริปนี้ขึ้น กิ๊กเองได้เคยพักกับบ้านพักของ airbnb มาแล้ว ตอนไปออสเตรเลีย ปี 2558 ซึ่งก็ได้เช่าบ้านพักที่ซิดนีย์ 7 วัน และที่เมลเบิร์นอีก 5 วัน ก็โอเคทุกอย่าง ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ เกิดความติดใจ เพราะชอบพักแบบบ้าน เนื่องจากเรามีลูกเล็ก การพักบ้าน มันก็จะได้อารมณ์แบบสบายๆมีพื้นที่กว้างขวางให้เด็กๆวิ่งเล่น แล้วก็ชอบทำอาหารเช้า + อาหารเย็น(บางมื้อ)กินเอง เพราะกินอยู่กับบ้านสะดวกดี ซื้อของจากซุปเปอร์มาทำ พอเราจะไปยุโรป (ทริปที่เกิดเรื่อง) ก็เลยคิดว่าจะพักกับ airbnb อีก ทริปนี้ กิ๊กจองบ้านพักของ airbnb 2 ที่ คือที่อัมสเตอร์ดัม 3 คืน และที่ Antwerp 3 คืน ซึ่งที่พักที่เกิดเหตุ ก็คือที่พักที่ Antwerp นี่เองค่ะ
 
ตอนเลือกห้องพัก ก็ดูรูปเอาว่าห้องพักสวยมาก มี 3 ห้องนอน (ไปกันครอบครัวกิ๊ก ผญ 5 เด็ก 2) ดูรีวิว ดู comment ดีเลิศ perfect ทุกอย่าง 555 ก็จัดการจองค่ะ แต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่าง คือ ปกติการติดต่อเจ้าของห้องพัก เราจะติดต่อผ่านกันทาง app ของ airbnb ซึ่งมันจะเป็นการ mesg  หากัน เมื่อตอนติดต่อเจ้าของที่ออสเตรเลีย จะติดต่อกันไวมาก เราส่งปุ๊บ เค้าส่งกลับมาปั๋บ (เวลาต่างกัน 3-4 ชม.) แต่พอมารอบยุโรปนี่ นานมากๆๆกว่าเจ้าของจะตอบ ก็ได้แต่คิดว่าเพราะเวลาต่างกัน 7 ชม.ไรงี้ แล้วทีนี้ยิ่งพอรอบ antwerp เนี่ย ก่อนเข้าบ้านพัก กิ๊กไปเที่ยวทั้งเนเธอแลนด์ เยอรมันมาก่อน แล้วเน็ตมันก็ไม่ได้เล่นได้ตลอดเวลาเพราะเราก็เที่ยวอยู่ พอเค้าเรียกมา เราก็ยังไม่มีเน็ต พอเราเรียกไป เค้าก็ไม่ตอบ ตอบมาเราก็ไม่เห็นอีกไรงี้ ก็คือ รู้สึกขัดใจมาก 555 แต่เอาเป็นว่าเราก็มาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพในเวลาเกือบ 3 ทุ่ม
 
 
 
 
 
นี่ไงรูป สวยป่ะล่ะ อิอิ ... ซึ่งพอมาที่พัก ก็บอกเลยว่า เกินความคาดหมายมากๆๆๆ คือ สวยน่ะ สวยตามรูป แต่ทำเลนี่คือ สุดยอดดดด คือ ใกล้กับใจกลางเมือง antwerp เลย เดินนิดเดียวถึง square แล้ว รอบๆอพาร์ทเมนต์ก็มีร้านอาหารน่านั่งเด็มไปหมด คือ บอกเลยใจกลางเมืองขนาดนี้ บ้านใหญ่ขนาดนี้ (3 ห้องนอน ห้องนั่งเล่น กว้างมาก) คือ ราคามันต้องแพงมากๆๆๆ แต่เราได้มาในราคา 3 คืนประมาณ 625 ยูโร (รวมค่าทำความสะอาดและ service fee) ยังพูดกะน้อง โห ห้องนี้มันสุดยอดจริงๆ มองวิวจากห้องไปนี่ คือ ร้านอาหารอะไรเต็มไปหมด เมืองจริงๆ
 
 
แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นในคืนที่ 3 (มาล่ะ เข้าเรื่อง 555) นั่นคือ คืนสุดท้ายที่เราต้องแพคกระเป๋าเตรียมไปสนามบินเช้าวันรุ่งขึ้น ประมาณ 2 ทุ่ม เรากลับมาถึงมาบ้านพัก ปรากฏว่า ไฟดับ ค่ะ ดับแบบดับหมดจริงๆ คือ นอกจากไฟฟ้าแล้ว heater เครื่องทำน้ำอุ่น ก็ใช้ไม่ได้เลย (อ่อ 2 ุทุ่มที่นู่นยังไม่มืดมากนะคะ ยังพอมีแสงค่ะ) เราก็เรียกพนักงานเค้ามาดูให้ (คือ เจ้าของเค้าไม่อยู่ค่ะ แต่เค้าจะมีเหมือน admin มาดูแลให้ มาเปิดห้อง มาเก็บกุญแจไรงี้) เค้าก็พยายามจัดการ ก็แก้ไม่ได้ พอจะเรียกช่างมา ช่างก็ไม่มีเพราะวันรุ่งขึ้นมันเป็นวันหยุดอะไรซักอย่างไม่รู้ เค้าเลยให้เราโทรหาเจ้าของ สมมติชือ สตีฟนะ ตอนแรกสตีฟบอกให้เราไปเช่ารร.อื่นนอน เดี๋ยวเค้าจะออกค่ารร.ให้ แต่เราตัดสินใจไม่ไป เพราะของยังไม่ได้เก็บเลย คือ ของเยอะมากกก เพราะวันสุดท้ายแล้ว ให้มาเก็บตอนนี้ไม่ทันแน่นอน เพราะเดี๋ยวก็มืดแล้ว มองไรไม่เห็น ก็คิดว่าอยู่ๆไปแบบนี้แหละ พรุ่งนี้เช้าก็ไป สตีฟเลยบอกว่า จะลดราคาค่าที่พักให้ครึ่งนึง เราก็โอเค ... แต่ปรากฏว่า พอเอาเข้าจริงๆ มันอยู่ไม่ได้อ่ะ แล้วเด็กๆจะทำไง เพราะน้ำอุ่นก็ไม่มี อาบน้ำก็ไม่ได้ แล้วลูกต้องมานอนหนาวอีก เพราะฮีทเตอร์ใช้ไม่ได้ สรุป ก็เลยให้สามีโทรไปหาสตีฟ (สามีภาษาอังกฤษดีสุด 555) บอกว่า ตกลงไม่พักแล้วนะ เพราะอยู่ไม่ได้ ลูกหนาวมาก จะไปเช่ารร.ใกล้สนามบินเลยทีเดียว (ไหนๆก็ต้องเช่ารร.แล้ว เลยไปเลือกใกล้ๆสนามบินเลยละกัน จาก antwerp เราต้องไปขึ้นเครื่องที่ Amsterdam) สตีฟก็โอเค แล้วบอกว่า เดี๋ยวเค้าจะลดค่าที่ัพักให้ครึ่งนึง และออกค่ารร.ให้ แล้วก็บอกว่าให้เราจ่ายค่ารร.ไปก่อน แล้วส่งพวกรายละเอียดผ่านทาง app mesg.มา ก็ได้ แฟนเราก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง app อะไร เพราะเค้าไม่ได้เป็นคนจอง ก็หันมาหาเรา เราก็เออ ออไป เพราะคิดว่ามี app คงติดต่อกันได้ และที่สำคัญ ไว้ใจฝรั่ง ! คิดว่าเค้าคงไม่โกงเราหรอก !!! ซึ่งตรงนี้บอกเลยว่า เราไม่มีหลักฐานอะไร เพราะแค่คุยในโทรสับ ใน app mesg. อะไรก็ไม่มี ถือว่า พลาดมากกก
 
 
คุยจบ เราทั้งหมดก็รีบเก็บของใส่กระเป๋า แบบรีบที่สุดในชีวิตเพราะต้องเก็บให้ทันก่อนฟ้ามืด และต้องขับรถไกลประมาณ 2 ชม.เพื่อไปให้ถึง Amsterdam airport ระหว่างทางก็ช่วยกัน search หารร.ใกล้ๆ airport เอาแบบที่พอรับได้และราคาไม่แพงเกินไป จนในทีสุด ก็ได้ที่ Ibis hotel, Amsterdam airport ในราคาคืนละประมาณ 99 ยูโร แบบไม่รวมอาหารเช้า เราเช่าทั้งหมด 3 ห้อง ซึ่งเราก็คิดว่า มันก็พอดีกับ condition ของที่พักที่ Antwerp คือ 3 ห้องนอน และก็ไม่รวมอาหารเช้า และไม่รวมค่าที่จอดรถ แม้ว่าแค่คืนเดียว แต่ราคาเท่าครึ่งนึงของค่าที่พัก แต่เราก็คิดว่าเราหาแบบไม่แพงแล้วนะ (แต่ rate walk in มันก็ต้องแพงนิดนึง) เราลองคำนวณคร่าวๆดู ถ้าเค้าลดให้ครึ่งนึง ( 300 ยูโร) แถมออกค่ารร.ให้ด้วยอีก 300 ยูโร มันแทบจะเท่ากับเค้าให้เราพักฟรีเลยนะ ซึ่งเราก็รู้สึกเห็นใจเค้านะ แต่ก็แล้วแต่เค้าละกัน ส่วนลดครึ่งนึงจะให้ก็ให้ ไม่ให้ก็ได้ แต่อย่างน้อยค่ารร. 3 คืน 300 ยูโร ก็ต้องคืนให้เราล่ะ
 
 
กลับถึงเมืองไทย เรารีบ mesg ไปหาสตีฟว่าเรากลับมาถึงแล้ว แล้วขออีเมลล์เค้า เนื่องจากแอ็พ airbnb ในมือถือมันส่งรูปไม่ได้ เราจะส่งรูปใบเสร็จของรร.ไอบิสไปให้เค้า สตีฟก็ส่งอีเมลล์มาให้ พอได้อีเมลล์เราก็ส่งรูปใบเสร็จไปให้ จากนั้นเค้าก็ให้เราส่งเบอร์บัญชีที่ไทยมาให้ แล้วเค้าจะโอน 300 ยูโรคืนให้เรา ซึ่งในขึ้นตอนทั้งหมดนี้ไม่มีการพูดถึงส่วนลดค่าห้องครึ่งนึงที่เค้าพูดไว้แต่แรกเลย แต่เราก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไรมาก เพราะไม่มีหลักฐานขอได้ 300 ยูโรคืนมาก็พอใจล่ะ ขั้นตอนต่างๆที่เกิดในช่วงนี้ เราพยายามคุยผ่านหน้าแอ็พให้มากที่สุด (รวมถึงส่งเมลล์ด้วย) เผื่อที่จะได้มีหลักฐานกรณีทีึ่เกิดอะไรขึ้น... และก็จริง คือ หลังจากให้เบอร์บัญชีในไทยไป (และต้องให้ swift code)ด้วย สตีฟก็หายเงียบ เราก็ยังไม่ได้คิดว่าเค้าจะชิ่งหรืออะไรนะ ยังคิดว่ามันอาจจะยุ่งยากในการโอนเงินข้ามประเทศ คิดแต่ว่า เฮ้ย คนยุโรปเค้าไม่โกงหรอก คิดงี้จริงๆ ...แต่เราก็ทวงไปเรื่อยๆ เค้าก็ตอบมาว่า เค้าไม่ค่อยอยู่ออฟฟิศ เดินทางตลอด เค้าจะให้เลขาเค้าเป็นคนโอนให้งั้นงี้ แต่สรุป ก็ไม่ได้เงินคืนซักที
 
จะบอกว่า เราเองก็พลาดไปในนิดนึง เพราะใน airbnb เนี่ย มัันจะมีให้ comment ที่พักหลังไปพักมาด้วย ซึ่งเราก็เลยยังไม่ comment อะไร กะว่าจะใช้ตัวนี้เป็นตัวยบังคับเค้ากลายๆ ประมาณว่า ถ้าไม่คืนเงิน ก็จะคอมเมนท์แบบไม่ดี อะไรแบบนี้ แต่ปรากฏว่า มันมี period ที่เค้า allow ให้คอมเมนท์ คือ 2 สัปดาห์ ถ้าเกินนี้ก็ไม่มีสิทธิ์แล้ว แล้วเราก็ดันลืมสนิทเลย เปิดมาอีกที กะลังจะเตรียม comment แฉแหลก 555 ปรากฏ อ้าว เค้าปิดไปแล้ว อดเรยย T_T ก็เลยรู้ตัวว่า พลาดล่ะ คือ เราทำอะไรเค้าไม่ได้แล้ว ณ จุดนี้ ... หมดหวังเลย
 
 
แต่ในขณะที่หมดหวัง ก็คิดอะไรขึ้นมาไม่รู้ว่าจะแจ้ง center ของ airbnb หน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น คือ ตอนแรกที่ไม่แจ้งเลยเนี่ย เราก็แอบกลัวว่าทางนู๊น เค้าจะวางยาเรา แอบcomment อะไรแย่ๆใส่เรารึป่าว (คือ มันมีสิทธิ์ comment กันทั้ง 2 ฝั่งไง แต่เราจะไม่เห็น comment เค้า จนกว่าเราจะปล่อย comment เราไป ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำ เลยไม่รู้ว่าเค้าเขียนว่าอะไรเรารึป่าว) กับอีกอย่าง เราคิดว่ามันเป็นปัญหาของเรากับสตีฟ คือ ไม่เกี่ยวกับ airbnb แล้ว เพราะก็ได้มีการเข้าพักเรียบร้อย แต่ก็ไม่ลองไม่รู้เนอะ ก็เลยลองแจ้งไปที่ center ของ airbnb ก่อน ซึ่งปัญหาต่างๆเนี่ย มันจะมีตัวแทน super host (ซึ่งคิดว่าเป็นผู้ให้เช่ารายอื่นๆ)มาช่วยตอบก่อน ถ้าอะไรที่เค้าตอบได้ เค้าก็จะตอบมา ยังไม่ได้ไปถึงทีมของ airbnb จริงๆ พอส่งไป ก็มีตัวแทนมาช่วยตอบจริงๆ แต่คำตอบก็คือ เค้าจะมีลิงค์ๆ มาให้อ่าน policy ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของเราก่อน (คือ การแก้ปัญหาในเบื้องต้น) แล้วก็บอกลิงค์ให้เรา request refund ผ่านเว็บไซด์ ซึ่งปรากฏว่า ลิงค์ request refund ของเราเปิดไม่ได้ อาจจะเพราะ ปกติต้องยื่นเรื่องภายใน 60 วัน (ข้อมูล ณ สิงหา 59 นะคะ) หลังจากเช็คเอาท์แล้ว (เราเช็คเอาท์ประมาณ 5 พ.ค. แต่เรารอเค้าโอนเงินถึงเดือนส.ค. คือ เลยมาประมาณ 3 เดือน) เราเลยส่งข้อความกลับไป และบอกเหตุผลว่าที่เกิน 60 วันเป็นเพราะ เรารอทางเจ้าของโอนเงินมาให้เรา และ refund ตัวนี้ก็ไม่ได้เกิดจากเจ้าของ cancel ที่พักเราด้วย (อันนี้เป็นข้อมูลในปี 2559 นะคะ แต่ ณ ปี 2560 การขอ refund สามารถทำได้ในหลายกรณีค่ะ รวมถึงห้องพักไม่สมบูรณ์ตามที่ลงในเว็บด้วย) ทางตัวแทนก็เลยบอกว่าจะส่งเรื่องของเราให้ทาง account manager ของทาง airbnb ค่ะ
 
 
จากนั้น ก็มีคนจาก airbnb โทรมาคุยกับเรา เราก็ส่งใบเสร็จของรร.ไอบิสไปให้เค้าดู จากนั้นไม่เกิน 3 วัน ก็มีเมลล์มาบอกว่า เงินจำนวน 321ยูโร (เหมือนมีค่าอะไรคืนมานิดหน่อยไม่แน่ใจค่ะ ) กลับเข้ามาในบัตรเครดิตเราแล้วค่ะ (บัตรเครดิตที่ใช้จ่ายค่าที่พักตั้งแต่เราจองค่ะ) คือ process เร็วมากๆ เราแจ้ง super host ไปวันที่ 15 สิงหา และได้รับเงินคืนเข้าบัตร 18 สิงหาค่ะ ตอนแรกคิดว่า ทาง airbnb จะต้องไปไล่เอาเงินจากเจ้าของห้องมาคืนเรา แต่กลายเป็นว่า ทาง airbnb เค้าจ่ายคืนเข้าบัตรเครดิตเราเองเลย แบบไวมากๆ แต่เบื้องหลังเค้าอาจจะต้องไปคุยกับ host เราก่อนรึป่าวไม่แน่ใจนะคะ(หรือ airbnb จะรับผิดชอบจ่ายเงินมาก่อนเลยก็ไม่รู้) ซึ่งเอาจริงๆ เราว่า ถ้าคุย host เราก็น่าจะยอมรับ เราคิดว่าวิธีการคืนเงิน refund ผ่านบัตรเครดิตที่จองเป็นอะไรที่เวิร์คมากๆ (แม้จะไม่ได้เป็นเงินสด) เพราะการที่จะเอา refund คืนเป็นเงินสดจาก host (แล้วต้องมีการโอนข้ามประเทศด้วย) มันค่อนข้างยาก ใครล่ะจะไปอยากเสียเงินใช่มั้ยคะ แต่ถ้ามันเป็นการหักจากบัญชีที่เค้ามีกับ airbnb แล้ว มันก็สามารถทำได้เร็วและไม่ยุ่งยากด้วย (แต่เราก็ไม่เคยเป็น host นะคะ ไม่รู้ว่าระบบจริงๆเค้าทำกันยังไง ต้องลองถามผู้ที่เป็น host ดู)
 
สรุป เราก็ได้เงิน 300 ยูโรคืน แบบดีใจมากๆๆๆๆ จากที่คิดว่าหมดหวังไปแล้ว ก็กลับมาได้คืน เราเลยรู้สึกเชื่อมั่นในระบบของ airbnb พอสมควรเลยค่ะ อย่างน้อยเค้าก็เป็นที่พึ่งให้ผู้เช่าได้ และจากความประทับใจนี้ ทำให้เรายังคงใช้บริการของ airbnb ในการหาที่พักต่างประเทศต่อไปค่ะ :) แต่ในประเทศเราชอบพักรร.มากกว่า อิอิ
 
Trick ในการสมัครนะคะ : ถ้าสมัครเองโดยไม่มีคนแนะนำเนี่ย จะไม่ได้ส่วนลด 600-900 บาทนะคะ ต้องมีคนแนะนำ ถึงจะได้ส่วนลดค่ะ โดยให้สมัครจากลิงค์ด้านล่างนะคะ จะมีเงินคืนอยู่ในเครดิตการเดินทางให้เลยค่ะ ไป ไม่ไป ไม่เป็นไรค่ะ ให้เริ่มสมัครจากลิงค์ไว้ก่อน เข้าไปศึกษาดูรูปเล่นก่อนก็ได้ค่ะ แต่อย่าสมัครเองนะคะ เพราะมันจะจำอีเมลล์ไว้เลย แล้วพอจะไปจริงๆมาสมัครจากลิงค์แนะนำไม่ได้แล้วนะคะ เพราะมันจะจำอีเมลล์ไว้แล้วค่ะ ต้องใช้อีเมลล์ใหม่เลยค่ะ (และยิ่งถ้ามีการพิสูจน์ตัวตนแล้ว จะสมัครซ้ำไม่ได้เลยค่ะ เพราะฉะนั้น สมัครเล่น สมัครจริง อยากดูรูปที่พัก ฯลฯ ให้สมัครจากลิงค์แนะนำไว้ก่อนนะคะ จะได้ไม่เสียสิทธิ์ค่ะ เครดิตเก็บไว้ได้ตลอดค่ะ)

https://th.airbnb.com/c/chananyaw?s=67&shared_item_type=9&virality_entry_point=13
 



Create Date : 13 กันยายน 2560
Last Update : 12 กรกฎาคม 2562 11:15:00 น.
Counter : 1808 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  

Beauty & Bambi
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 36 คน [?]



ณ 31/1/2023

นิยามตัวเองได้ว่า เป็นคนชอบ เที่ยว กิน ช๊อป ค่ะ...แต่หลังๆไม่ได้อัพบล็อคเลย มัวแต่เล่น ig กับ เฟส ^^

บล็อคที่เขียนไว้อาจจะนานแล้ว แต่ก็ยังหวังว่าจะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆนะคะ ถ้าได้เที่ยว (หลังโควิด ) จะมาอัพอีกนะคะ


*** เราไม่ค่อยได้เข้ามาเช็คที่ blog เท่าไร่ ถ้าเพื่อนๆอ่านแล้วมีคำถาม รบกวนถามมาทางอีเมลล์เลยนะคะ (ดูอีเมลล์จาก profile ได้ค่ะ) เรายินดีตอบทันทีค่ะ แต่ถ้ามาทิ้งคำถามไว้ที่ blog หรือ หลังไมค์ มันอาจจะนานกว่าเราจะมาอ่านเจออ่ะค่ะ ***
New Comments