Group Blog
 
All blogs
 
ถ้ามีคำถามอยากปรึกษา อ่านทางนี้ครับ

เนื่องจากผมมีเวลาเข้ามาในนี้ไม่บ่อยนัก ส่วนมากจะวนเวียนอยู่ใน Twitter และ Facebook มากกว่า

เลยจะแนะนำว่า ให้ท่านที่มีคำถาม รบกวนไปแอดผม แล้วถามผ่าน Facebook ได้ที่ Eddy Aston Leelapatra

หรือ ทวิตเตอร์ แอด @aston_ed ครับ


ขอบคุณครับ


Create Date : 27 พฤษภาคม 2549
Last Update : 28 กุมภาพันธ์ 2554 17:16:43 น. 246 comments
Counter : 1049 Pageviews.

 
ขอบคุณและอนุโมทนาด้วยครับ
ไม่มีคำถามครับ แต่มีคำแนะนำชี้แนะให้ผมไหมครับ


โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:18:08:32 น.  

 
คุณตี๋น้อยต้องการคำแนะนำเรื่องอะไรล่ะครับ

ผมออกตัวว่าผมไม่ได้รอบรู้อะไรมากขนาดจะแนะนำได้ทุกเรื่องทุกกรณีหรอกนะครับ ^^'


โดย: aston27 วันที่: 27 พฤษภาคม 2549 เวลา:23:17:26 น.  

 
ถ้าจะถามปัญหาหัวใจ จะไร้สาระเกินไปไหมคะ
กำลังเหนื่อยกับเรื่องนี้จังเลย ก็พอดีเข้ามาเจอบล็อกของคุณ
อยากปล่อยวางอย่างที่คุณบอก แต่ก็ทำไม่ได้ซะที
รู้สึกเหมือนวิ่งวนไปวิ่งมา หาทางออกไม่ได้
เห็นคุณ aston27 บอกว่าถามแบบเป็นส่วนตัวได้
ไม่ทราบว่าจะรบกวนเกินไปไหมคะ



โดย: ตะบองเพชร IP: 124.120.97.215 วันที่: 5 มิถุนายน 2549 เวลา:2:29:34 น.  

 
คุณตะบองเพชร ขออภัยที่เห็นคำถามคุณช้าไป

ช่วยไปหลังไมค์หาผมหน่อยสิครับ ผมจะส่ง pass word ไปให้

ผมเปิดห้องส่วนตัวไว้ให้ คุณใช้ pass word เข้าไปตั้งคำถามไว้ แล้วผมจะตอบให้ครับ



โดย: aston27 วันที่: 11 มิถุนายน 2549 เวลา:18:53:06 น.  

 
ขอถามแบบคุณตะบองเพชรบ้างนะค่ะ เรื่องหัวใจ..
เรื่องมีอยุ่ว่า เมื่อวานเป็นวันแรกที่เรากล้าที่จะยุติความสัมพันธ์กับผุ้ชายคนหนึ่ง ที่เค้าพยายามยัดเยียดคำว่า เพื่อน...ให้ตลอดมา แต่มันไม่ใช่ค่ะ...
เราเคยเป็นแฟนกัน และเลิกกันไป คำว่าเลิก ก็เหมือนแค่ในนามค่ะ เราไปทำงานที่ต่างประเทศประมาณปีหนึ่ง พอกลับมา เราก็กลับมาคบกันอีก โดยเค้ากดความรู้สึกเราด้วยคำว่า เพื่อน เราเลยกั้นเขตนี้ขึ้นมา ยอมค่ะ...ยอมมองดูเค้าคบคนโน่นคนนี้ ในขณะที่เค้าก็ยังคุยดี กินข้าว ดูหนัง และ....สุดท้ายเค้าก็เจอคนที่เค้าแต่งงานด้วย....
เราก็นึกว่า มันคงไม่ไรแล้ว เราจะได้หาทางเดินของเราต่อไป เพราะเราไม่เคยอยากครอบครองเค้าเลย แค่อยากเห็นเค้ามีความสุข
ต่อมาหลังจากเค้าแต่งงานไปได้ ไม่ถึง 2 อาทิตย์ เค้าโทรหาเรา เรารู้ทันทีว่าเกิดไรที่ไม่ดีขึ้นกับเค้า แต่ก็นั่นเเหละเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งที่เราต้องมาวนเวียนกับเค้าอีก...ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควร...บางคร้งเวลาเค้าโทรมาคุยแทบไม่เหมือนคนที่แต่งงานไปแล้ว เราเหมือนตอนคบกัน เราไม่มีอะไรปิดบังกัน คุยกันทุกเรื่อง....
จนเมื่อวานเราคุยกันเรื่องต่างๆ แม้กระทั่งเรื่องผู้หญิงที่เค้าคบระหว่าง ที่เรายังคบกัน....ความจริงเค้ามีหลายคนค่ะ และเราเองก็ฟังมาหลายหน แต่คราวนี้เรื่องของคนนี้กลับทำให้เราจี๊ดขึ้นสมอง ....รู้สึกอยากจบมากๆเลย...
เหนื่อยค่ะ ...ถามว่าเราอยากได้เค้ามาเป็นของเราหรือเปล่า...ไม่เลยค่ะ แต่กลับอยากให้เค้าเข้าใจความรักของเรา...และจากกันด้วยดี
เล่าจนมาถึงตอนนี้ บางทีก็ไม่รู้จะถามอะไรคุณaston ดี....ขอจบแบบห้วนๆ แล้วกันนะค่ะ


โดย: so so IP: 58.9.92.241 วันที่: 12 มิถุนายน 2549 เวลา:11:46:35 น.  

 
ผมขอยกเรื่องของคุณไปขึ้นบล็อคใหม่เลยนะครับ :)



โดย: aston27 วันที่: 13 มิถุนายน 2549 เวลา:13:33:56 น.  

 
ถามเรื่องมุมมองทางธุรกิจได้ป่าวคะ...เห็นว่าทำธุรกิจด้วย...


โดย: Life's like that (ขีเกียจ log in) IP: 202.91.23.1 วันที่: 14 มิถุนายน 2549 เวลา:17:44:42 น.  

 
ถามได้หมดแหละครับ
แต่ตอบได้ไม่ได้ก็อีกเรื่องนะครับ


โดย: จขกท IP: 202.57.143.124 วันที่: 14 มิถุนายน 2549 เวลา:18:30:34 น.  

 
อยากถามเรื่องปัญหาหัวใจเหมือนกัน พยายามจะลืม พยายามทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ทำได้ยากจัง ทั้งการปล่อยวาง และอื่นๆ เลยลองหาเวปที่เกี่ยวกันธรรมะดู มาเจอเรื่องที่คุณเขียนถึงก็น่าสนใจ เลยอยากขอคำแนะนำ เผื่อจะทำให้ตัวเอง ทำใจได้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ แต่อยากจะถามเป็นส่วนตัวอะค่ะ ได้ไหมค่ะ


โดย: ปุ้มปุ้ย IP: 203.118.120.126 วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:14:51:41 น.  

 
ได้ครับ คุณปุ้มปุ้ย หลังไมค์ไปหาผมนะครับ
แล้วผมจะให้ password คุณเข้าไปในห้องส่วนตัว


โดย: aston27 วันที่: 20 มิถุนายน 2549 เวลา:9:21:34 น.  

 
อิอิ...มีคำถามจะมาถามค่ะ เกี่ยวกับพระกับวัดที่คุณ aston ถนัดด้วยนะ

คำถามคือ......
ถ้าไฟไหม้วัดตอน 11 โมง พระจะร้องเพลงอะไร

ฮี่ ฮี่ ฮี่....คำถามกวนประสาทน่ะเอง....

ตอบว่า...เพลง..ไม่ต้องห่วงฉัน .....


ปล. อ่านเสร็จแล้วลบทิ้งได้เลยจ้า...เข้ามาก่อกวนเฉยๆ ..หุหุ


โดย: Life's like a joke...โศกก็คลาย ถ้าได้หัวเราะ.. IP: 202.91.23.1 วันที่: 21 มิถุนายน 2549 เวลา:14:40:39 น.  

 
คุณปุ้มปุ้ย ไม่ได้เป็นสมาชิกพันทิพเหรอครับ
ผมหมายถึงหลังไมค์ เวลาเล่นบอร์ดของพันทิพ ไม่ใช่ในบล็อคครับ



โดย: aston27 วันที่: 21 มิถุนายน 2549 เวลา:23:46:26 น.  

 
ติดตามคุณ aston27 มาตลอดครับ มีคำถามอยากถามว่า เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ผมไปสัมภาษณ์งาน ผู้สัมภาษณ์เห็นผมเปลี่ยนงานบ่อย เลยถามผมว่ามีจุดยืนในชีวิตหรือชอบอะไร เพราะเปลี่ยนงานบ่อย มีทั้งด้าน ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ บริหารอาคาร ตกลงชอบอะไร ผมก็ตอบว่าชอบงานบริหารจัดการ หรืองานที่ไม่ต้องมีความขัดแย้ง ผมอยากเป็นเจ้าของร้านหนังสือ ร้านเน็ต ชอบงานบริการ ผู้สัมภาษณ์ก็ยังไม่พอใจในคำตอบ อยากรู้ว่าผมชอบอะไรชัดเจน ซึ่งผมก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน แล้วทำอย่างไรเราจะรู้ว่าเราชอบอะไรจริงๆล่ะครับ


โดย: Walkerahead (Walkerahead ) วันที่: 2 กรกฎาคม 2549 เวลา:12:25:11 น.  

 
ผมเอาไปขึ้นบล็อคใหม่ให้นะครับ คุณ Walkerahead


โดย: aston27 วันที่: 3 กรกฎาคม 2549 เวลา:20:12:13 น.  

 
อยากถามว่าคุณ aston ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันยังไงบ้าง เผื่อเอาไปประยุกต์ใช้และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ด้วย

ขอบคุณค่ะ


โดย: Life's like that (Life's like that ) วันที่: 12 กรกฎาคม 2549 เวลา:21:02:45 น.  

 
เรื่องปฏิบัติ ผมแนะนำแบบนี้นะครับ
//santidharma.com/

เข้าไปศึกษาจากที่นี่นะครับ ผมยังความรู้น้อย
ไม่มีความสามารถจะแนะนำได้ในขั้นการปฏิบัติ
เพราะตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน

ขอบคุณครับ


โดย: aston27 วันที่: 18 กรกฎาคม 2549 เวลา:9:37:01 น.  

 
Sawasdee kha

Actually I don't know what I should ask. I just want someone to listen my feeling. I just knew that I lost a job. It's not a real job. It's an assistantship. I am now a graduate student in USA.

I got the assistantship last year. Department will pay for tuition fee and also stipend. I thought I would get it. So I will have more time to study. I have a scholarship but it will end this year.

Now I lost the assistantship. So I have time only the end of this year for sure. I am sad. I thought I worked the best I can. I know I made some mistakes but I shouldn't be cut off like this.

It's not only because of money but it's also ...what I call "ego". It's like I am not accepted for my working. But the most of all about money. How can I graduate without assistantship. Now my research is very slow. I am so serious about it.

I called my mom but she can't help anything. I made her worry about me, which made me sad as well. I don't have anyone to talk to. Sorry if my message is too long and confusing.

I will talk to my advisor if he can help me. I don't know what else I can do. Thanks for reading up to this point.

Wish you are good luck and happy.


โดย: Honey mastard IP: 128.173.147.11 วันที่: 17 สิงหาคม 2549 เวลา:4:22:09 น.  

 
พี่ขออนุญาตเอาคำถามคุณขึ้นไปเป็นหัวข้อใหม่นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 21 สิงหาคม 2549 เวลา:9:43:47 น.  

 
ยากจะถามบ้าง... แต่ไม่รู้จะถามอะไร... กำลังมึนค่ะ...


โดย: hokuyuri วันที่: 25 สิงหาคม 2549 เวลา:7:41:50 น.  

 
มีโอกาสที่ Retrophonics FM จะเกิดใหม่ใหมครับ คนรักเพลง 70's รู้สึกเหี่ยวแห้งหรือเกินช่วงนี้


โดย: โทน 1 (ปุ้ม) IP: 58.136.84.67 วันที่: 26 สิงหาคม 2549 เวลา:21:18:53 น.  

 
ตอบพี่ปุ้ม ... ท่าทางจะยากครับ


โดย: aston27 วันที่: 31 สิงหาคม 2549 เวลา:0:16:37 น.  

 
แง๊...คุงคู

ทำไงดีอ่า...พูดไม่ออกเรยย

ให้น้องคนนึงทำงานดีไซน์ให้ แล้วเค้าทำมาไม่ถูกใจเลยอ่ะ ไม่ตรงตาม requirement เลยด้วย แต่ว่าน้องเค้าตั้งใจและมั่นใจม้าก มาก...ง่า...แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยอ่ะ แล้วเราก็ให้ค่าเหนื่อยด้วยนะ (นิดหน่อย) ไม่อยากเรื่องมากเลย เพราะงานมันใช้เวลา..(เพราะน้องเค้ามีอาการติ้ดขึ้นมั่ง ลงมั่งด้วย) แต่ว่า..เซ็งเลย...พูดไงไม่ให้เค้ารู้สึกไม่ดีดีอ่ะ..


โดย: Life's like that วันที่: 5 กันยายน 2549 เวลา:17:52:24 น.  

 
ปกติงานดีไซน์ มันต้องมีโจทย์นะครับ ลองกลับไปตั้งต้นคุยกับน้องเขาที่โจทย์สิครับ requirement ของคุณนั่นแหละ

เช่นผมอยากได้บ้านบรรยากาศตะวันออก ปรากฏคนออกแบบ ทำมาสวยหรู งามอล่องฉ่อง แต่เป็นสไตล์ โมเดิร์นแบบฝรั่งจ๋า

อันนั้นถึงจะสวย จะงาม จะดี มันก็ไม่ตอบโจทย์

ถ้าเอาโจทย์ เป็นตัวตั้ง เขาจะมีหลักมากขึ้น ในการฟังคอมเมนท์ เพราะมันไม่ใช่เรื่องอัตถวิสัย ไม่ใช่พูดว่า "ไม่ชอบ" แต่บอกไม่ได้ว่าไม่ชอบตรงไหน อะไรไม่ดี อะไรไม่ใช่ ถึงไม่ชอบ

หลักการคอมเมนท์งานออกแบบ คือต้องบอกได้ว่า มันตอบโจทย์หรือยัง ขาดอะไรไป ถ้าเราจะให้เขาวาดรูปภูเขา แต่ไปเอาทะเลมาให้ ถึงจะวาดได้ขนาด โมเนต์ หรือ ฟาน โก๊ะ กลับชาติมาเกิด มันก็ผิดวัตถุประสงค์

พยายามเลี่ยงคำว่า "พี่ไม่ชอบ..... " แต่บอกว่า "นี่เป็นงานที่ดีนะ พี่รู้ว่าเราตั้งใจทำงานดีมาก แต่เสียดายที่มันยังไม่ตอบโจทย์ ความตั้งใจของพี่คือ......."

พูดตรงๆ ให้ชัดเจนนะครับ อย่าไปอ้ำอึ้งมาก เดี๋ยวเขาจะเข้าใจว่าเขาทำงานไม่ดี

ต้องชี้ประเด็นว่าเขาทำงาน ดี ไม่ใช่ไม่ดี แต่ ยังไม่ตอบโจทย์ที่เราต้องการเท่านั้น

แค่นี้เขาคงไม่เสียความมั่นใจมากนะ หรือถ้าจะเสีย ก็ห้ามไม่ได้อีก ก็ต้องทำใจกันไป

ลองดูนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:2:18:31 น.  

 
มาขอบคุณคร้าบ..คุณครู

จัดการไปแล้ว ด้วยวิธีละมุนละม่อมตามที่บอก แต่สงสัยไม่ค่อยเนียน แหะ แหะ...แต่เอาเถอะ...

ปล. เค้าหลังไมค์กันทางไหนไม่รู้ ถ้าไม่ได้เข้าไปในพันทิบ แบบว่าเกรงใจแฟนคลับท่านอื่น


โดย: Life's like that วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:22:44:44 น.  

 
สวัสดีค่ะ
เมื่อวานได้คุยกับเพื่อน ว่าคุณกลับมาจัดรายการเพลงอีกที่ 99.5 ปกติเคยฟังคุณที่ love fm แต่ไม่ได้ฟังประจำ (ไม่เหมือนเพื่อนคนที่บอก เค้าเป็นแฟนรายการคุณเหนียวแน่นมาก) และเลยได้รู้ว่าคุณมี Blog ส่วนตัว หากสงสัยความเป็นตัวคุณให้ลองเข้ามาอ่านดู วันนี้ได้โอกาสแวบจากการทำงานเลยเข้ามาดูเสียหน่อย แล้วได้อ่านข้อความเกี่ยวกับความรักของคุณวันนี้ ประจวบกับพอดีอยู่ในช่วงที่ไม่เข้าใจตัวเอง เลยอยากถามคุณ ว่าอาการแบบนี้มันแก้ได้อย่างไร

ขอบอกว่า พยายามทำใจให้มีสมาธิอยู่หลายวันแล้ว แต่ยังทำไม่ได้สักที โดยเรื่องเกิดจาก
เรื่องมีอยู่ว่า มีคนคนหนึ่งเข้ามาในวงจรชีวิตของเรา ได้พูดคุยรู้จักกันแค่ผิวเผิน แต่ตัวเองรู้สึกว่าเค้าชอบมองเรา เราก็อึดอัด และขัดเขินเหมือนกัน แล้วบางครั้งก็เข้ามาพูดกับเราเวลาที่เราไม่ได้ตั้งตัว (เริ่มสักเกตเขาเหมือนกัน) พฤติกรรมอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรมาก เคยคิดว่าถ้าเค้าชอบเรา เค้าคงหาเรื่องมาชวนคุย หรือโทรมาหา แต่ก็เปล่า มีแค่มองแล้วยิ้มให้ ได้โอกาสปะทะหน้ากัน เขาถึงจะพูดด้วย เคยโทรมา 2 ครั้ง ส่ง sms มาเพียงครั้งเดียวในช่วงเทศกาล
เขาทำให้เกิดสิ่งที่เราเกลียดขึ้นมาอีกครั้ง คือ อาการสงสัยใคร่รู้ว่าเขาคิดยังไงกันแน่ และค่อนข้างจะ concentrate อยู่ที่ความคิดเรื่องของเขาคนนี้ ทำให้มีอาการค่อนข้างซึมเศร้าอยู่ภายใน ...เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบเลยจริงๆ เพื่อนๆ ที่คอยห่วงใย บอกว่าให้เราทำเฉยๆ อย่าคิดมาก เราก็อยากทำ พยายาม แต่ช่วงนี้ยังทำไม่ได้เลย
บางครั้งเราก็เกลียดเขาที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เราเป็นอย่างนี้ แต่พอคิดแล้ว เราล้วนทำตัวเองทั้งนี้น
เราควรทำอย่างไร ให้สติและความสงบ สบายใจที่เราเคยมีมาตลอดกลับมาเสียที คุณช่วยแนะเราได้หรือเปล่าคะ


โดย: micha IP: 202.12.118.36 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2549 เวลา:11:15:22 น.  

 
สวัสดีอีกครั้ง
คุณไม่ต้องตอบคำถามเราแล้วก็ได้ค่ะ เมื่อวานนี้เราได้ทบทวนความไร้สติของเราอีกครั้ง โดยคิดถึงความเป็นจริงว่า การรู้จักคนเพียงผิวเผิน ได้พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย ทำไมจึงต้องไปรู้สึกลึกซึ้ง หรือครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ถึงคนคนนี้ ทั้งๆ ที่มีเรื่องต้องคิดและต้องทำมากพออยู่แล้ว ที่สำคัญถ้าเราไม่คิดจะสานต่อความสัมพันธ์จริงจัง ก็ไม่ควรต้องไปคาดหวังอะไรกับอนาคต ก็เลยสบายใจขึ้นอย่างอัตโนมัติ
มันก็เป็นเรื่องตลกปนเศร้าในชีวิตของเราอีกครั้งหนึ่ง ที่ตัวเองเป็นได้ขนาดนี้
ได้อ่านมุมมองของคุณวันนี้ ยิ่งคิดถึงคนที่รักเราอย่างในเพลงที่คุณพูดถึง ทำให้ต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้พวกเขา (แม่และพ่อ) เสียใจ ไม่สบายใจ หรือผิดหวังในตัวเราเป็นอันขาด
แล้วเราจะฟังรายการช่วงที่คุณจัดวันพรุ่งนี้นะ ถ้าไม่พลาด
โชคดีกับการจัดรายการค่ะ ขอให้รายการที่คุณจัดเป็นไปอย่างใจคุณต้องการนะคะ
แต่ถ้าจะให้ดีช่วยเปิดเพลง Over My Head ของ Bryan Listtrel (เขียนถูกหรือเปล่าไม่รู้ค่ะ) ให้เราด้วยแล้วกันนะคะ






โดย: micha IP: 202.12.118.36 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2549 เวลา:13:10:58 น.  

 
มาเห็นข้อความคุณ micha แล้วตกใจมากเลย

คือผมแวะเข้ามาที่นี่ทุกครั้ง จะไม่มีใครเขียนอะไรเพิ่มมานานแล้ว
เลยปล่อยไว้โดยไม่ได้แวะมาตรวจ เป็นความประมาท อันนี้ต้องขออภัย

ขออภัยอีกเรื่องที่ผมไม่ได้เปิดเพลงของ Brian Littrel (เขียนแบบนี้ครับ) เพราะมัน "ใหม่" เกินไปครับ


โดย: aston27 วันที่: 2 ธันวาคม 2549 เวลา:21:10:47 น.  

 
ยังถามได้อยู่มั้ยคะเนี้ย..

เราอยากรู้มุมมองของคุณในเรื่องของเกรดอ่ะค่ะ
เกรดมันสำคัญกะชีวิตนักศึกษาปริญญาโทมากมั้ยคะ

คือเราไม่ค่อยสนใจเรื่องเกรดเพราะเราคิดว่าเรามาเรียนโทต่อเพื่อจะเอาความรู้ไปทำงานให้ดีขึ้น..แต่ดูในมุมมองของคนอื่นๆ..ดูมันสำคัญจัง..

เลยอยากรู้มุมมองของคุณบ้าง


โดย: วุ้นเส้นย้อมสี IP: 203.149.12.234 วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:9:28:07 น.  

 
ถามได้สิครับ ..

แต่ผมจะขอถือโอกาสเอาไปขึ้นเป็นบล็อคใหม่เลย
คงไม่ว่ากันนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 1 เมษายน 2550 เวลา:0:23:33 น.  

 
ถามนะคะ
ในระยะหลังนี่ บลอคที่เขียนไว้แต่ละเรื่อง
แต่ละวัน เปลี่ยนจากการคอมเม้นท์เป็น
เฉพาะสมาชิกของเวปนี้เสียแล้วละคะ
มีปัญหาอะไรกับเพื่อนนอกบ้านอ่ะคะ
คนที่นิยมอ่าน เข้ามาเป็นครั้งคราว
อยากเขียนคอมเม้นท์บ้างเล็กๆ
เลยไม่ได้เขียนเลยน่ะค่ะ
แอบงอนกลับไปเล็กๆ ด้วย


โดย: moodee IP: 124.120.223.78 วันที่: 14 เมษายน 2550 เวลา:10:33:09 น.  

 
555 ขออภัยที่ทำให้งอนครับ

ผมมีความจำเป็นครับ เนื่องจากมีเหตุบางอย่างเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่การงาน
ถ้าไม่กันไว้เสียเลย อาจจะมีข้อความที่ต้องมาตามลบทีหลัง

สมัครสมาชิกไว้สิครับ


โดย: aston27 วันที่: 15 เมษายน 2550 เวลา:8:17:28 น.  

 
เห็นคุณaston27ชอบคุยเรื่องหนังออกแนวธรรมะ เลยอยากถามเรื่องฮอตฮิตตอนนี้ค่ะว่า คุณเห็นด้วยมั๊ยกับการบัญญัติศาสนาพุทธไว้ในรัฐธรรมนูญ เพราะอะไรคะ โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธยังไม่รู้จัการรักษาศีล 5 วัดในชุมชนยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ก็ยังไม่ควรบัญญัติเพื่อให้เกิดความแตกแยกค่ะ แล้วจะคอยอ่านในบลอคนะคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: ยาเขียว วันที่: 26 เมษายน 2550 เวลา:4:50:30 น.  

 
อีกคำถามนะคะ คุณaston เคยบวชมั้ยหรือว่าเคยไปปกิบัติธรรมเฉยๆ ถ้าเคยบวชทำไมถึงสึกล่ะคะ อยากรู้จังค่ะ


โดย: ยาเขียว วันที่: 26 เมษายน 2550 เวลา:4:58:35 น.  

 
55555 ถามอะไรทันสมัยจริงเชียว

ไว้เดี๋ยวว่างแล้วผมจะมาตอบให้นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 28 เมษายน 2550 เวลา:12:13:18 น.  

 
อยากถามว่ามีวิธีไหนที่จะเอาชนะใจผู้ชายเจ้าชู้ได้อยย่างแนบเนียนที่สุดค่ะ


โดย: apple IP: 124.157.154.219 วันที่: 24 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:50:07 น.  

 
ถามเจาะจงเป็น "วิธี" ผมคงตอบลำบากนะครับ

ที่จริงถ้าจะตอบคำถามนี้
คงต้องเริ่มจากการให้นิยามคำว่า "เจ้าชู้" ก่อน
ไม่งั้นมันอาจจะคุยกันในกรอบความคิดต่างกัน

ผมอนุมานเอาว่า คนเจ้าชู้ ในความหมายของคุณ
คือผู้ชายที่พอใจจะมีผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกัน

ไม่ได้แปลว่า ผู้ชายที่มีความรู้สึกพอใจที่เห็นผู้หญิงสวย
เช่นเดินไปด้วยกัน เห็นคนสวยแล้วอดมองไม่ได้

เพราะอันนั้น เป็นนิยามที่ทำให้ผู้ชายบางคนพูดได้ว่า
ผู้ชายทุกคนเจ้าชู้ทั้งนั้น

ทีนี้ถ้านิยามได้แล้ว ว่าเจ้าชู้คืออะไร
ตอบคำถามคุณว่า วิธีการ ไม่สำคัญ

สำคัญที่เขาอยากมีหลายๆคนเพราะอะไร
ต้องเข้าใจแรงจูงใจเขาหน่อย

เช่นบางคนไม่อยากผูกมัดกับใคร
แค่อยากสนุกไปวันๆ อันนั้นก็พวกนึง

บางคนยังไม่เจอคนที่เขาถูกใจจริงๆ
อาจจะเจอคนดีแต่ไม่สวย
หรือคนสวยแต่ยังไม่ดี

หรือดีด้วย สวยด้วยแต่ยังขาดคุณสมบัติบางอย่าง
เช่น พูดภาษาเดียวกัน ฉลาดทันกัน
เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอธิบายซ้ำๆซากๆ

ในเมื่อยังไม่เจอ แต่ก็ไม่ปิดตัวเอง
ที่จะคบหาดูใจคนที่เข้ามา
ก็เลยกลายเป็นมีตัวเลือกหลายคน

อันนั้นก็อีกพวกนึง

หรือพวกที่มีความเชื่อว่า ตัวเองเก่ง ตัวเองแน่
การมีแฟนหลายคน ก็เพื่อสนองอัตตาตัวเอง
อันนี้ก็อีกแบบนึง

โดยส่วนตัว.. ผมว่าวิธีอะไรก็ไม่สำคัญ
สำคัญที่ใจเขามากกว่า

ถ้าเขาเห็นความสำคัญของคุณมากพอ
เขาก็หยุดเอง

ยกเว้นแต่กรณีของคนที่ป่วยทางจิต เท่านั้น
เช่นพวกที่ต้องเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ
อันนี้ฟังรายการทีวีอะไรสักอย่าง มีหมอมาพูด

คือถ้าเขารู้สึกว่า เขามีความสุขที่ได้อยู่กะคุณ
โดยไม่ต้องไปแสวงหาอะไรเพิ่มจากที่อื่น

เขาก็จะหยุดเอง
ไม่ใช่เพราะคุณขอร้อง หรือบังคับ

คือถ้าเขายังไม่คิดว่า คุณคือคนคนนั้น
วิธีอะไรก็ไม่ได้ผลหรอก

โชคดีนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 26 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:27:53 น.  

 
เราจะรู้จักตัวเองเมื่อไหร่ ????
ทำไมยังไม่เข้าใจตัวเองสักที
งง งงมากๆๆๆๆๆ
อยากรู้ๆ

มันเศร้านะ ถ้าหากว่ารู้ว่าตัวเองไม่มีจุดหมาย




โดย: meyu IP: 58.8.75.74 วันที่: 12 มิถุนายน 2550 เวลา:20:57:46 น.  

 
เสียใจ รู้ว่าเสียใจ..
แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อไป........
เพราะไม่ว่าทำอะไร..ก้อไม่หายเสียใจ..แม้แต่วินาทีเดียว


โดย: เสียใจ IP: 58.8.189.135 วันที่: 15 มิถุนายน 2550 เวลา:12:50:28 น.  

 
ผมขอเอาสองคำถามนี้ ไปขึ้นบล็อคใหม่นะครับ

รออ่านนะ


โดย: aston27 วันที่: 16 มิถุนายน 2550 เวลา:22:08:26 น.  

 
ตอนนี้จิตใจผมอับเฉามากๆ ต้องคิดอย่างไรชีวิตถึงจะมีความสุขครับ
ผมมีปัญหาขอคำปรึกษาครับ คือผมมีอัณฑะข้างเดียว(ผ่าตัดแล้ว)และอวัยวะเพศยาว5*4นิ้ว
ผมมักจะย้ำคิดย้ำทำเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลาจนผมเป็นโรคซึมเศร้า จนต้องทานยารักษาโรคซึมเศร้า
จากปัญหานี้ทำให้ผมentไม่ติด เกรดตก ไม่เป็นตัวของตัวเอง และมีวืถีชีวิตผิดแผกไปจากที่ควรจะเป็น
ไม่ร่าเริงเหมือนเก่า กลายเป็นคนเก็บตัวไม่อยากพูดจากับใคร ไม่มั่นใจในตัวเอง
โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ผมอายุ24แล้วแต่ยังไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิงเลยเพราะผมมัวกังวลเรื่องนี้(เรื่องอัณฑะกับขนาดอวัยวะเพศ) ผมรู้สึกดดันจากเรื่องนี้มากครับ(เรื่องอัณฑะกับขนาดอวัยวะเพศ) บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระนะครับ ผมก็คิดว่าผมปกติ แต่ก็ยังคงคิดอยู่ได้ว่าตัวเองผิดปกติและมีปมด้อยอยู่นั่นแหละ
ผมเป็นโรคจิตหรือเปล่าครับ ต้องไปปรึกษาจิตแพทย์มั้ยครับ หรือผมคิดมากเกินไปหรือเปล่าครับ ช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ (ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆครับ)


โดย: มืดมน IP: 125.24.142.0 วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:2:54:53 น.  

 
เพิ่งเห็นคำถามนี้ครับ ขออภัยที่ตอบช้า

พี่แนะนำให้ไปปรึกษาจิตแพทย์ดีกว่าครับ
คือถ้าขนาดต้องทานยาเพราะเป็นโรคซึมเศร้า
การทำวิปัสสนาอย่างเดียว อาจจะไม่ทันการณ์

แต่ถ้าถามว่า ต้องคิดอย่างไรถึงจะมีความสุข
พี่อยากบอกว่า... การมีอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใด
ขาดหรือเกินไปจากคนอื่นๆ
มันไม่เกี่ยวอะไรกับการมีความสุข หรือไม่มีความสุข

คนมีทุกอย่างปกติ แต่ไม่มีความสุข ก็มีเยอะแยะ

สุขทุกข์ มันเป็นเรื่องของจิตใจ อยู๋ที่ใจ
เกิดที่ใจ ดับลงก็ที่ใจ
ไม่ได้เกี่ยวกับจำนวนอวัยวะ หรือขนาด

แต่ถ้าคิดแบบนี้ แล้วเอาไม่อยู๋
ก็ไปปรึกษาหมอรักษาจิตใจด้วยยาก่อนดีกว่าครับ
ก่อนเถอะครับ


โดย: aston27 วันที่: 22 กรกฎาคม 2550 เวลา:23:25:02 น.  

 
จะทำอย่างไรกับทุกข์จาก"ความคิดถึง"คะ??

ถึงจะ"รู้ตัว"ว่าคิดถึง..แต่ก้อ"รู้ถึงความทุกข์"ที่เกาะติดกันมา
ที่รู้ว่าทุกข์..เพราะรู้สึกเจ็บแปลบข้างในใจ
ไม่ว่าจะคิดถึงสิ่งดีๆ หรือไม่ดี..ก้อทุกข์เช่นกัน
แม้จะยอมรับความจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว..ก้อยังทุกข์อยู่ดี

อาจจะดูไม่น่าเป็นไปได้..แต่เกิดขึ้นทุกวัน
อาการเรื้อรังมาหลายปีแล้วค่ะ
รบกวนขอคำแนะนำค่ะ



โดย: เรื้อรัง IP: 58.8.196.210 วันที่: 30 กรกฎาคม 2550 เวลา:21:52:33 น.  

 
รู้ว่าคิดถึงแล้ว
ลองสังเกตดูต่อไปอีกสิครับ

ว่ามันทุกข์
แล้วอยากหลุดจากทุกข์ก้อนนั้นหรือเปล่า

เมื่อวานผมก็เจอภาวะนี้ขึ้นมา
คิดถึงใครบางคนแล้วก็น้อยใจในโชคชะตา
โอ้โห.. ทุกข์โผล่มาเต็มอก

เห็นว่ามีทุกข์ เห็นว่ามันดิ้นแล้ว แต่ก็ไม่หาย
นึกถึงสิ่งที่เรียนมา.. พระท่านว่า
ให้รู้ทุกข์โดยไม่อยากละทุกข์

ถ้าอยากละ ให้ย้อนไปดูที่ตัวอยาก
ผมย้อนขึ้นไปดู แล้วก็เห็นตัวอยากหลุด
อยากให้หายทุกข์

เห็นตัวนี้ปุ๊บ จิตเบาขึ้นมาทันตาเห็น
โล่ง โปร่ง สบาย

รู้อาการอย่างเดียว อาจจะไม่พอนะครับ
ต้องรู้ไปถึงสาเหตุ ของมันด้วย

คือรู้ "ความอยาก" นั่นเองครับ
ลองดูนะครับ



โดย: aston27 วันที่: 1 สิงหาคม 2550 เวลา:0:08:09 น.  

 
"ถ้าอยากละ ให้ย้อนไปดูที่ตัวอยาก
ผมย้อนขึ้นไปดู แล้วก็เห็นตัวอยากหลุด
อยากให้หายทุกข์

เห็นตัวนี้ปุ๊บ จิตเบาขึ้นมาทันตาเห็น
โล่ง โปร่ง สบาย "

ไม่เข้าใจแล้วค่ะ..
อยากหลุดจากทุกข์ค่ะ...



ดีจังที่คุณสามารถจัดการกับความทุกข์ได้ง่ายและเร็ว


โดย: เรื้อรัง IP: 58.8.189.60 วันที่: 1 สิงหาคม 2550 เวลา:10:26:04 น.  

 
คุณลองไปอ่านบล็อคที่ผมเขียนเรื่อง อยาก=ไม่ได้ สิครับ

ยิ่งอยากหลุด จะไม่หลุด

คนเราจะหลุดจากทุกข์ได้ เพราะรู้ทุกข์
แล้วจิตปล่อยวาง(เอง)

ไม่ใช่เพราะอยาก มันจึงหลุด
ถึงบอกว่า ยิ่งอยากหลุด จะไม่มีทางหลุด
จึงต้องหัดเจริญสติ รู้ความอยากก่อน
เพื่อละความอยาก

เรามีหลักอยู่ว่า ทุกข์มีไว้รู้ ไม่ได้มีไว้ละ
ความอยากต่างหาก คือสิ่งที่ควรละ

แต่ความอยากเอง ก็ไม่สามารถละได้ด้วยการ"อยากละ"
แต่ให้รู้ทันจิตตัวเองที่อยาก

เพราะความอยาก ก็เป็นอารมณ์หนึ่งของจิต
อารมณ์ของจิตเป็นสิ่งไม่ถาวรอยู่แล้ว
มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เหมือนๆกัน

เมื่อความอยากก็ไม่ถาวร ถึงเวลาหมดเหตุให้อยากมันก็ดับ
เมื่อมันดับได้เอง ตามเหตุและปัจจัย

เราจึงไม่มีความจำเป็นจะต้อง "อยาก" ละความอยาก

แค่รู้ว่าอยาก ก็เพียงพอแล้วครับ


โดย: aston27 วันที่: 3 สิงหาคม 2550 เวลา:14:19:15 น.  

 


โดย: chronic missing syndrome IP: 58.8.196.182 วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:11:20:37 น.  

 
หวัดดีค่ะคุณ.....Aston27

มีคำถามค่ะ....ถ้ามีคนมาทักเราก่อน.....มาชวนเราคุยเหมือนกับอยากเป็นเพื่อน....แล้วเวลาเรามาคุยที่บ้านเค้า....เค้าไม่เคยคุยอะไรเลย....เหมือนกับไม่เห็น....ไม่รู้จัก....แบบนี้ตีความไปทางในได้บ้างคะ......

ตอนแรกคิดว่าตัวเอง....จิตแตก....ชอบคิดไปเอง....แต่คราวนี้....กระทั่งอวยพรวันเกิด....ก็เหมือนเช่นเคยค่ะ.......

บางทีอยากบอกเค้า....ให้ลบ comment เราด้วยซ้ำไปค่ะ....ไม่อยากให้ต้องมาเกรงใจกัน....ไม่โกรธด้วยค่ะ....

ขอบคุณล่วงหน้านะคะ....สำหรับคำตอบค่ะ


โดย: Nankipooh (My_Sanctuary ) วันที่: 25 สิงหาคม 2550 เวลา:15:36:55 น.  

 
อันนี้ผมว่าต้องถามเจ้าตัวเขาเองตรงๆนะครับ

คำว่า "บ้าน" นี่หมายถึงบล็อคเหรอครับ

แบบนี้จะถามในหลังไมค์ก็ได้
จะได้แน่ใจว่าเราไม่ได้เข้าใจอะไรผิด

หลังไมค์มีข้อดี ตรงที่มันเป็นส่วนตัวกว่า
ไม่ประเจิดประเจ้อ ในกรณีเป็นคำถามที่อาจะชวนอึดอัด

ถ้าเป็นในบล็อค ก็ต้องแน่ใจก่อนว่า
คนที่เป็นเจ้าของบล็อค กับคนที่ไปทักคุณ
คือคนๆเดียวกัน

และอะไร ทำให้คุณคิดว่า..เขาไปคุย เพราะอยากเป็นเพื่อน? อันนี้ต้องเช็คดูดีๆ

บางทีมีคนมาคอทเมนท์ในบล็อค อาจไม่ได้แปลว่าเขามาชวนคุย เพราะอยากเป็นเพื่อนจริงๆจังๆ

อาจจะเพราะเขาผ่านไปเห็นสิ่งที่คุณเขียน
แล้วอยากออกความเห็น อะไรทำนองนั้น ก็เป็นไปได้

มีหลายคน หรืออย่างผมเองช่วงหลังๆ ก็ไม่ค่อยคุยในบล็อคนะครับ

อาศัยกลับไปเยี่ยมบล็อคคนที่มาคอมเมนท์เอา
หรือไม่ก็ไม่มีเวลา ก็อ่านอย่างเดียว

หลักสำคัญ คืออย่าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์เดียว
ในการทำความเข้าใจคนอื่น

เพราะเราอาจจะเข้าใจอะไรไปได้สารพัด
ถามเลยตรงๆดีกว่าครับ

ผมตอบตามที่ผมเข้าใจ และพอจะนึกออก
หวังว่าคงพอช่วยได้นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:7:33:54 น.  

 
ขอบพระคุณมากค่ะ...คุณ aston27

หมายถึง blog นี่หล่ะค่ะ...คงจะคนเดียวกันเพราะใช้ชื่อ log in ตอนส่ง comment...ไว้ใน blog ของเรา....


สำหรับการเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ในการทำความเข้าใจคนอื่น....เราก็คงจะไม่ใช่วิธีคิดแบบนี้อีกต่อไปแล้วค่ะ....


เพราะตัวเอง....ถ้าไปคุย...ไปทัก...ใครใน blog บ่อยๆ...แปลว่า...อยากเป็นเพื่อนจริงจัง...ตอนนี้รู้แล้วค่ะ...ว่าคนอื่นไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเรา......



อืม....หลังไมค์....เป็นความคิดที่ดีค่ะ....ไว้จะบอกให้เค้าลบ comment _เราออกทางนั้น่าจะดีกว่า

ขอบพระคุณมากค่ะ


โดย: Nankipooh (My_Sanctuary ) วันที่: 26 สิงหาคม 2550 เวลา:12:51:40 น.  

 
อยากทราบมุมมองของคุณ aston ค่ะ
ว่าถ้าให้เลือกได้ ถ้าแต่งงานแล้วอยากมีลูกหรือเปล่าคะ

กำลังรู้สึกว่าคนเราเกิดมาก็มีทุกข์
อย่ากระนั้นเลย ถ้าไม่ได้เกิดมาก็น่าจะดีกว่า
เพราะไม่มีทุกข์ เพราะงั้นลูกเกิดมายังไงก็ต้องรู้สึกถึงความทุกข์ พ่อแม่ก็คงยิ่งเป็นทุกข์ตามลูก


โดย: เสือกุมภ์ IP: 87.112.94.190 วันที่: 4 ธันวาคม 2550 เวลา:8:27:41 น.  

 
ถ้าให้เลือกได้ ไม่อยากมีครับ

แต่ต้องบอกก่อนว่า ผมเคยแต่งมารอบนึงแล้วและมีลูกแล้ว 2 คน

ผมเห็นไม่ต่างจากคุณเสือกุมภ์มากนัก
เพียงแต่อยากบอกว่า.. เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
และเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนที่เราแต่งงานด้วย
ว่าเขาจะเห็นพ้องกับเราหรือเปล่า

ไม่ใช่เรื่องที่เราจะเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้งฝ่ายเดียว

ผมเองตั้งใจว่า.. ถ้าได้แต่งงานอีกที ผมจะคุยกับเธอ
ถ้าเธอเข้าใจวิธีคิดของผม เธอมีศีล มีธรรม มีความเป็นแม่ที่ดี
แล้วเธอยังอยากมีลูกจริงๆ ผมก็จะมีนะ

เพราะถ้าเธอเสียสละชีวิตโสดของเธอมาแต่งงานกับผม
ผมก็น่าจะเสียสละหลักการบางอย่างของตัวเองบ้างเหมือนกัน



โดย: aston27 วันที่: 5 ธันวาคม 2550 เวลา:1:36:41 น.  

 
ขอบคุณค่ะ ที่สละเวลามาตอบคำถาม
และให้ข้อคิดดีๆ ค่ะ

ส่วนตัวก็คิดแนวๆ นี้ค่ะ คงตามใจคู่ชีวิต
ถ้าเหตุผลที่อยากมีดีพอ และคิดว่าคงเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีได้ ก็คงแล้วแต่ธรรมชาติค่ะ
ถ้าเค้าจะมาเกิด ก็คงได้มีสมใจ
แต่ถ้าไม่มีใครเลือกมาเกิด ก็ดีไปอีกแบบค่ะ



โดย: เสือกุมภ์ IP: 87.112.83.79 วันที่: 5 ธันวาคม 2550 เวลา:9:23:38 น.  

 
กำลังมีเรื่องรบกวนใจคือตอนนนี้รู้สึกว่า ชีวิตของตัวเองทำไมจะทำอะไรมันช่างยากเย็นเหลือเกิน กว่าจะได้มาในแต่ละสิ่งต้องใช้ความพยายามและความสามารถ ความอดทนล้วนๆ แต่กับบางคนกลับรู้สึกว่าชีวิตช่างง่ายดายทำอะไรทุกอย่างก็ดูช่างง่ายดายนัก จนทำให้ชีวิตตอนนี้ท้อแท้ละสิ้นหวังมากจนไม่อยากจะทำอะไรเลยค่ะ อยากจะปล่อยมันไปเรื่อยๆไม่สนใจอะไรแล้ว บางครั้งตอนนอนกลางคืนก็ทำให้รู้สึกเกิดความอิจฉาในตัวบุคคลอื่นๆ ช่วยแนะนำทีค่ะ


โดย: Hanna IP: 58.9.188.179 วันที่: 24 ธันวาคม 2550 เวลา:10:05:18 น.  

 
ขออนุญาตคุณ Hanna เอาไปขึ้นบล็อคใหม่นะครับ

รออ่านในหัวข้อตอบคำถามนี่แหละครับ


โดย: aston27 วันที่: 29 ธันวาคม 2550 เวลา:15:32:29 น.  

 
ถึงรู้ตัวก็ยังรู้สึกทุกข์....
รัก คนที่ไม่ควรจะรักต่อไป
คิดถึง คนที่ไม่ควรจะคิดถึงอีกแล้ว

ทำไมรู้ตัวก็ยังทุกข์มากๆคะ


โดย: *** IP: 58.8.186.4 วันที่: 31 ธันวาคม 2550 เวลา:10:33:26 น.  

 
เพราะคุณ *** ยังรู้ตัวไปพร้อมๆกับกิเลส

คือความอยากจะไม่รัก อยากจะไม่คิดถึง

หรือไม่ก็ยังอยากคิดถึงแบบให้เขาคิดถึงด้วย
และยังอยากจะรักแบบให้เขารักด้วยไงครับ

มันเป็นสติที่เจือด้วยกิเลส
ไม่เป็นกลาง

วิธีแก้ ไม่มี มีทางเดียวคือรู้ความอยาก
รู้ความไม่เป็นกลาง

อยากเป็นกลางก็ดูลงปัจจุบัน ให้รู้สิ่งที่จิตเป็นตอนนั้น
ไม่ใช่เข้าไปพยายามทำให้จิตเป็นอย่างที่เราอยาก

จิตเป็นอนัตตานะครับ อย่าพยายามไปบังคับ
ให้รู้ทัน ไม่ทำอะไรเกินไปกว่านั้น

พออยู่แค่รู้
แล้วจะเห็นของดีครับ


โดย: aston27 วันที่: 2 มกราคม 2551 เวลา:9:28:57 น.  

 
สวัสดีครับคุณเอ็ดดี้

ผมเป็นแฟนรายการคนหนึ่งของคุณ ขอเป็นกำลังใจให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นครับ
อยากขอบคุณสำหรับความสุขที่มอบให้ผ่านคลื่นวิทยุ และขอบอกว่ายังรอคุณและพวกกลับมาอยู่เสมอครับ

ส่วนคำถามที่อยากถามก็คือ วันเสาร์ หรือ อาทิตย์ (ไม่แน่ใจ) ที่คุณเอ็ดดี้จัดรายการเป็นครั้งสุดท้าย ได้เปิดเพลงญี่ปุ่นเพลงนึง ที่มี เื้่นื้อีร้องภาษาอังกฤษว่า ไอ เลิฟ ยู ด้วย อยากรบกวนถามคุณเอ็ดดี้ว่าเป็นเพลงของใคร ชื่อเพลงว่าอะไร ขอบคุณมากครับ


โดย: ตัวยุ่ง IP: 58.8.24.233 วันที่: 2 มกราคม 2551 เวลา:23:45:05 น.  

 
ขอบคุณครับ คุณตัวยุ่ง (ชื่อคุ้นมากเลยนะครับนี่ 555)

เพลง I Love You ที่เปิด เป็นเพลงของ Ippudoo เขาอ่านกันว่า อิ๊พ ปู ดู้ น่ะครับ

ไม่แน่ใจว่าสะกด doo หรือ du นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 3 มกราคม 2551 เวลา:16:17:29 น.  

 
คุณaston27ช่วยแนะนำเพลงหน่อยได้ไหมคะพรุ่งนี้จะไปเสนอลูกค้าค่ะ จะเอาไปประกอบโฆษณาที่มีแมวแสนซนวิ่งไปมาค่ะ ขอบคุณมากค่ะ


โดย: panna IP: 125.24.32.8 วันที่: 4 มกราคม 2551 เวลา:0:51:01 น.  

 
หา??? มาถามเอาตอนตีหนึ่ง แล้วจะตอบทันไหมครับนี่ ^^"

แล้วบอกไปคุณจะหาได้ทันเหรอ

จริงๆ เพลงประกอบโฆษณา มันต้องดูภาพประกอบหน่อยนึง ว่ามัน quick cut หรือน่ารักอ้อยสร้อย

หวาน หรือ กุ๊กกิ๊ก

ให้นึกสดๆเลย นึกภาพตามไม่ถูกครับ ต้องขออภัย

แต่ผมนึกถึงเพลง Jambalaya ฉบับของ Lisa Ono นะ

แล้วลิซ่า โอโนะ มีอีกเพลงนึง ในอัลบั้ม ปกขาวๆ จำชื่อเพลงไม่ได้ (ตอนนี้อยู่ที่ทำงาน)

ชุดเดียวกับที่เคยมีคนเอาเพลงไปประกอบโฆษณาการทอท. การท่าอากาศยานน่ะครับ



โดย: aston27 วันที่: 4 มกราคม 2551 เวลา:18:25:12 น.  

 
ถ้าเราไปอยู่ดาวอังคาร แล้วจะโรแมนติกเท่าบนโลกไหม?

นึกถึงเวลาเราโทรศัพท์คุยกะแฟนบนโลก สามารถคุยกันได้ว่า

"เธอ...เธอเห็นพระจันทร์คืนนี้มั้ย เวลามองพระจันทร์แล้วทำให้เราคลายความคิดถึงเธอได้ แม้วเราสองคนจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กัน แต่พระจันทร์ทำให้เราสองคนได้มองสิ่งเดียวกัน พร้อมๆ กันอยู่"

ถ้าอยู่บนดาวอังคาร คงจะมีคำถามต่อ... แบบว่า...

"เอ่อ คุณหมายถึงพระจันทร์ดวงไหนอ่ะ"

เพราะดาวอังคารมีพระจันทร์ 2 ดวง...


โดย: 84p IP: 210.203.186.233 วันที่: 5 มกราคม 2551 เวลา:20:42:34 น.  

 
หุหุ เราหาเพลงไม่ทันจริงๆด้วย แต่ก็ได้เพลงคลาสสิคที่คุ้นๆหู ที่ลูกค้าเค้าชอบไปค่ะ แต่เราก็ชอบเพลง Jambalaya ของลิซ่า โอโนะนะ(เสียดายที่มาถามกระทันหันไปหน่อย) ขอบคุณมากๆค่ะ


โดย: panna IP: 125.24.4.236 วันที่: 7 มกราคม 2551 เวลา:23:16:52 น.  

 
ดาวอังคารมีพระจันทร์ 2 ดวง...

อ้าวเหรออออออ

ไม่รู้จริงๆนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 8 มกราคม 2551 เวลา:1:47:18 น.  

 
ขออนุญาตถามเรื่องเขียนบลอคได้ไหม
ทำอย่างไร แต่ละหน้าถึงจะแสดงหลายๆเรื่องถัดๆกันโดยเรียงตามลำดับ เหมือนบลอคคุณ

เพราะปกติ มันแสดงเรื่องเดียวต่อหนึ่งหน้าและท้ายเรื่องก็มีคอมเมนท์

อยากให้หน้าแรกแสดงๆ เรื่องหลายๆเรื่องค่ะ
ไม่มีคอมเมนท์ งงๆไหมคะ ?

ช่วยแนะนำด้วยนะคะ หากไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร
ขอบคุณมากค่ะ


โดย: ฟ้าฤดูร้อน วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:48:58 น.  

 
สวัสดีค่ะ
แอบตามอ่านบลอคนี้มานาน ตามมาจากคอมเม้นต์ในกระทู้เรื่อง the radio ค่ะ
เพิ่งได้ทราบว่าเป็นคุณเอ็ดดี้ตัวจริงเสียงจริง
และก็เพิ่งทราบอีกว่านอกจากจะเชี่ยวชาญเรื่องเพลงแล้ว ยังศึกษาธรรมด้วย ดีจังเลยนะคะ (ขอชื่นชม)

ก็เลยขออนุญาตฝากคำถามไว้ ต้องขอโทษที่ไม่มีสมาชิกค่ะ เพราะสมัครไปแล้วไม่ได้ใช้นานมากๆ ไม่รู้ยังใช้ได้อยู่ไหม และก็ไม่ได้สมัครใหม่อีกค่ะ

สิ่งที่อยากถามก็คือ คุณคิดว่า ความรักกับความเห็นแก่ตัวนี่มันจะไปกันได้ไหมคะ?
เพราะเชื่อแน่ว่า ในบรรดามนุษย์ในโลกที่มีความรัก มันก็ย่อมต้องมีคู่ของคนที่เห็นแก่ตัวอยู่

ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ เมื่อเร็วๆนี้ เพิ่งทะเลาะกับคนที่คบกัน
แล้วเค้าพูดมาคำนึงว่า เค้าเป็นคนเห็นแก่ตัว คิดถึงตัวเองก่อนอันดับแรก
ถ้าเค้าคบกับเราแล้วทำให้เค้าเครียดหรือหงุดหงิด เค้าก็ไม่อยากคบ....เราก็อึ้งไปเลยคะ

ถึงตอนนี้เราจะยังคบกันอยู่ แต่ทุกครั้งที่คิดถึงคำพูดนี้ที่เค้าเคยพูด ทำให้เราไม่มีความสุขเอาซะเลย เพราะรู้สึกว่า เค้าทำไมรักเราน้อยจัง...
แถมต้องกลายเป็นคนยอมเค้าซะส่วนใหญ่

นึกแล้วมันเศร้าจังอ่ะค่ะ


รบกวนคุณเอ็ดตอบให้ด้วยนะคะ


โดย: Silver Lining IP: 125.24.31.81 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:2:51:25 น.  

 
รบกวนกวนพี่เอ็ดดี้ช่วยแนะนำ
ซีดีรวมฮิตของ Alan Parson
ที่มีเพลงดังๆครบให้ผมหน่อยครับ




โดย: blue magic IP: 203.113.37.7 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:45:31 น.  

 
คุณฟ้าฤดูร้อน
ผมไปตอบคำถามให้ถึงในบล็อคคุณเลย ลองไปเช็คดูนะครับ


คุณSilver Lining
คำถามคุณผมขอยกไว้เป็นบล็อคใหม่นะครับ
ท่าทางจะตอบค่อนข้างยาว


blue magic ครับ
Alan Parson Project มีอัลบั้มรวมฮิตที่ค่อนข้างสมบูรณ์มาก เป็นซีดีแผ่นคู่ ออกมาเมื่อสัก ปีสองปีก่อน ดูเหมือนจะชื่อ The Definitive collection

ร้านโดเรมี สยามแสควร์น่าจะมีขายครับ

แต่ที่ครบและสมบูรณ์กว่า ชื่อ The Essential Alan Parsons Project
อันนี้เป็นซีดี 3 แผ่น เพลงเลยมีเยอะกว่า

แต่ถามว่าจำเป็นไหม แค่ definitive ก็เหลือเฟือแล้ว และผมไม่คิดว่า พอเข้ามาเมืองไทย เขาจะยังทำเป็นสามแผ่น ผมคิดว่าเขาน่าจะลดลงเหลือแค่สอง

ลองไปดูๆ นะครับ เพลงที่สำคัญและควรจะต้องมี ก็คือ eye in the sky, prime time, don't answer me, games people play, amonia avenue, the turn of a friendly card (part 1) , old and wise, Mammagamma

ถ้ามี lime light กับ sooner or later ก็ต้องอุทานว่า แหล่มเลย ครับ



โดย: aston27 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:41:56 น.  

 
ลืมเพลง Time ไปอีกเพลงครับ ส่วน Sirius ก็มักจะถูกใช้ประกอบพวกสารคดี presentation หลายๆงาน



โดย: aston27 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:51:12 น.  

 
ขอบคุณพี่เอ็ดดี้มากครับโอกาสหน้าผมจะเข้ามาขอคำแนะนำอีกนะครับ



โดย: blue magic IP: 203.113.36.9 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:55:44 น.  

 
เป็นน้องใหม่ที่เข้ามาอ่านบล็อกผ่านทาง เวปดังติณค่ะ..มีเรื่องขอถามแนวความคิดค่ะ
ถ้าเราเจอผู้ชายที่ดีในเรื่องแนวความคิด การใช้ชีวิตการมองโลกเป็นเรื่องเดียวกัน อยู่ด้วยแล้วสบายใจ แต่ยังไม่มีงานทำเป็นเรื่องเป็นราว ไม่มีเงิน (ที่บ้านมีฐานะทำมาค้าขายแต่ไม่เข้าบ้านเพราะเคยมีปัญหาครอบครัวเลิกกับภรรยาเก่า) เราช่วยเรื่องเงินในเรื่องการลงทุนแต่เริ่มไม่ไหวแล้ว ไม่รู้ว่าจะทนให้ผ่านอุปสรรคไปหรือจะทำยังไงดี ให้ข้อคิดด้วยนะค่ะ อยากได้มุมมองที่หลากหลายค่ะ ก่อนตัดสินใจอะไรไป...


โดย: aoi IP: 202.133.154.247 วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:36:13 น.  

 
คุณ aoi ครับ

ถึงจะบอกผมว่า คุณสบายใจในเรื่องอื่น แต่เห็นได้ชัดว่าคุณกำลังไม่สบายใจเรื่องการเงินของเขา กลัวว่าเราจะลำบากเดือดร้อนเพราะเขา

เห็นไหมว่า มันมีความรักตัวเองโผล่ออกมา :)
ถึงจะบอกว่ารักเขา แต่พอถึงคราวตัวเองต้องลำบาก เราก็เริ่มไม่อยากแล้ว

ผมไม่ทราบว่าลงทุนของคุณ aoi มันใช้เงินมากขนาดไหน แต่เอาเป็นว่า ถ้าคุณเริ่มไม่สบายใจ มันก็ไม่สบายใจนั่นแหละ

ที่จริง ถ้าเขาจะไปหางานหาการทำ โดยไม่ต้องลำบากคุณเรื่องเงินทุนอะไร ก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง

โดยส่วนตัวถ้าคิดแบบผู้ชาย ถ้าคนรักไม่มีงานทำ แล้วถ้าลงทุนแล้วขาดทุนจะกระเทือนสถานะการเงิน ผมจะให้เขาอยู่เฉยๆ ดูแลบ้านช่องเป็นแม่บ้านแม่เรือนไป

ใครคิดว่าการเป็นพ่อบ้านพ่อเรือน แม่บ้านแม่เรือน ดูแลปัดกวาดบ้านช่อง อาหารการกิน เสื้อผ้า ซักล้าง เป็นงานสบาย ผมเถียงขาดใจ

แต่อันนี้ คุณ aoi เป็นผู้หญิง เขาเป็นผู้ชาย และเป็นเรื่องในครอบครัว ผมเป็นคนนอก

ใจจริง ผมอยากตอบเฉพาะปัญหาเรื่องการภาวนามากกว่า ไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องทางโลก

ตอบแบบชี้ชัดอะไรมาก มันจะมีเวร มีกรรม กลับมาเข้าตัวผมได้ หรือพูดตรงๆเกินไป ถ้าคนถามขุ่นเคืองใจ ก็จะมีเวรมีกรรมต่อกันอีก

ถ้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย ต้องขออภัยนะครับ

แต่อยากแนะนำให้ลองไปถามในเว็บอีกเว็บนึงดู ชื่อ //www.star4life.com เขาให้ถามปัญหาชีวิตโดยตรวจดวงชะตาให้คุณเสร็จสรรพ

คนตอบปัญหา เป็นคนเรียนวิปัสสนาทุกคน ก็มีผมนี่แหละคนนึง

ยังไงถ้าปัญหาทางโลกๆ รบกวนทางโน้นจะดีกว่านะครับ


โดย: aston27 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:8:30:12 น.  

 
ถ้าคุณได้ทำบางสิ่งบางอย่างลงไปอย่างเต็มที่แล้ว แต่คุณยังต้องเสียใจ และรู้สึกท้อ เพราะผลลัพธ์ของเรื่องนั้น ไม่ได้มีคุณเป็นตัวแปรเดียว คุณจะทำอย่างไรต่อไปคะ ?

ขอคำตอบแบบทางโลก แล้วค่อยตบท้ายด้วยทางธรรมได้มั้ยคะ คุณแอสตั้น

เข้าใจว่าคุณแอสตั้นชอบที่จะให้มุมมองทางธรรมมากกว่า แต่เราคิดว่าในขณะที่คุณมองโลกด้วยจิตใจที่เป็นกลาง คุณน่าจะสามารถให้มุมมองอีกมุมหนึ่งซึ่งเราอาจจะมองไม่เห็นก็ได้น่ะค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ


โดย: Sunnie IP: 161.200.255.162 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:18:40:36 น.  

 
คุณเอ็ดคะพอดีว่าไปอ่านเรื่องที่คุณตอบคำถาม เกี่ยวกับวิปัสสนา เลยอยากจะถามเรื่องการสวดมนต์บ้าง อยากทราบว่าการสวดมนต์อย่างที่แม่สอนไว้ ว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สวดแล้วได้บุญ คุณเอ๊ดมีความเห็นว่าอย่างไรคะ
หรือการที่มีหลวงพ่อท่านหนึ่งสอนให้คนสวดมนต์แล้วอธิษฐาน เช่นสวดอิติปิโสเท่าอายุแล้วขอพรเนี่ย ความมุ่งมั่นในการสวดมันมีส่วนให้ความปรารถนาของเราเป็นจริงได้หรือเปล่า แล้วเราจะมีบุญได้อย่างไรคะ (ดิฉันคิดว่ามาจากจิตเราที่เป็นสมาธิถูกหรือเปล่าคะ) มีบางคนบอกว่าก็เหมือนกับคนที่นับถือศาสนาคริสต์แล้วขอพรพระเจ้าบ่อยๆ เค้าก็เชิ่อว่าทำแบบนี้แล้วพระเจ้าจะช่วยให้สมปรารถนา คุณเอ๊ดมีความคิดเห็นอย่างไรช่วยตอบทีนะคะ


โดย: กวาง IP: 124.120.172.184 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:57:13 น.  

 
ตัวเองกำลังเริ่มฝึกหัดทำวิปัสสนา มีข้อส่งสัยอยู่ว่า ที่ว่ารู้ รู้ตามจิตเนี่ย มีขอบข่ายของการรู้แค่ไหนคะ เช่น ตัวเองเพิ่งเลิกกับแฟนได้ซักพักนึงแล้ว เพราะเขาไปมีคนอื่น รู้สึกว่าทำใจได้เยอะขึ้นมาก แต่ก็จะมีช่วงเวลาที่รู้สึกฟุ้งซ่านอยู่บ้าง เช่น เวลาจินตนาการว่า เขาจะมีความสุขกับคนใหม่ยังไง อารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่คิด ก็จะมีทั้งอารมณ์โกรธ เกลียด และ พยาบาท ระคนกันไป คำถามก็คือ 1. ในเวลาที่จิตนาการมันโผล่ขึ้นมา เห็นภาพคนสองคนเดินจูงมือกันความรู้ของเราเองรู้ชัดเลยว่าโกรธ ถึงตอนนี้ให้รู้ว่าอะไรคะ ให้รู้สึกตัวว่ากำลังโกรธเฉยๆ หรือลงไปในรายละเอียดด้วยว่า รู้ตัวว่ากำลังโกรธโกรธอยู่นะ โกรธด้วยเรื่องอะไร คือในเวปแสงดาว คุณกรเคยตอบคำถาม (ของคนอื่นนะคะ)ว่า เอาแค่รู้ว่าโกรธ ไม่ต้องรู้ว่าโกรธเรื่องอะไร


โดย: ตั้งต้น IP: 69.109.45.93 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:5:35:23 น.  

 
ต่อนะคะ-- บางทีก้อฟุ้งซ่านว่าถ้าบังเอิญไปเจอเขาสองคนเดินจูงมือกันมา เราจะทำหน้ายังไง--ตอนที่มีความคิดอย่างนี้ขึ้นมา ให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน แล้วควรจะต่อด้วยไหมคะว่าฟุ้งซ่านด้วยเรื่องอะไร ยังไงรบกวดพี่เอ็ดดี้ --ที่เรียกว่าพี่เพราะแอบทราบอายุ ช่วยกรุณาให้ความกระจ่างด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะคะ


โดย: ตั้งต้น IP: 69.109.45.93 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:5:42:43 น.  

 
จะเบื่อไหมคะ
ถ้าเป็นอีกคนที่มีปัญหาหัวใจ
ใช้เวลามาหลายเดือนแล้ว
มันผ่านไปและเริ่มเดินตามเส้นทางของตัวเองไม่ได้สักที
เรื่องราวคงลงไม่ได้
มันเลวร้าย น่าอับอายเกินกว่าจะให้ทุกคนรับรู้


โดย: ying IP: 203.121.140.250 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:10:31 น.  

 
พี่ครับผมอยากรู้ว่าเพลง dayo ของ harry belafonte ที่มีนักร้องไทยเอามาร้องเป็นเพลงแปลง ชื่อว่า เพลงอะไรครับ ? ใครร้อง?
(ที่เนื้อหาเพลงเกี่ยวกับข้าวต้มกุ๊ย)
ตอนนี่จะหาฟังได้ที่ไหนบ้าง
ขอบคุณครับ


โดย: pom IP: 125.25.89.136 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:40:45 น.  

 
เป็นเพลงชื่อ ม้วยโอ ของคุณ นคร มงคลายนต์ ครับ

หาฟังที่ไหน.. ไม่ทราบจะตอบยังไง เดาว่าไม่มีนะครับ



โดย: aston27 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:13:10 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ ก็จะสวดมนต์ต่อไปเพื่อรำลึกถึงพระพุทธคุณค่ะ


โดย: กวาง IP: 125.24.67.128 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:32:24 น.  

 
สงสัยนอกเรื่องได้เปล่าครับ คือ สงสัยว่า aston นี่มันมาจากอะไรอะครับ เห็นหลายท่านข้างบนเรียกคุณ aston ว่า เอ็ด แสดงว่า เอ็ด น่าจะเป้นชื่อเล่น ส่วน aston นี่เป้นชื่อเล่นอีกชื่อเหรอครับ

(ถามไร้สาระไปเปล่าเนี่ย )


โดย: keng IP: 203.147.39.161 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:07:36 น.  

 
ตอบแบบธรรมะ จะตอบว่า จะรู้ไปทำไม แค่สมมติบัญญัติ

แต่กลัวคุณจะเคือง .. งั้นตอบว่า มาจากชื่อทีมฟุตบอล ที่ผมชอบมาตั้งแต่เด็กๆ aston villa

แล้วตั้งแต่เริ่มเล่นพันทิพ ลานธรรม ก็ใช้ชื่อ aston27 มาตลอด

เป็นชื่อในโลกไซเบอร์ครับ แต่รู้จักในหมู่เพื่อนนักเรียนวิปัสสนาร่วมวัด แบบนั้น

เพราะอาจารย์ผมท่านรู้จักผมตั้งแต่ในลานธรรม ท่านเลยเรียกแอสตั้น มาตลอด ก็เลยเรียกต่อกันมาเป็นทอดๆ


โดย: aston27 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:26:02 น.  

 
อะนะ คือ ถ้าคุณแอสตันตอบแบบธรรมะจริงๆ ผมก็คงจะเคืองจริงๆนั่นแหละ


"รู้สมมติบัญญัติ เพื่อละสมมติบัญญัติ" ครับอันนี้จำมา แต่ยังทำไม่ได้

พอผมตอบแบบนี้ก็เจอประโยคนี้ต่อ(ประจำ)
"ไม่ต้องทำ ทำไม่ได้"

ผมเป็นแฟนหงส์ครับ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้บ้าเท่าไหร่แล้ว

ขอบคุณครับที่ตอบคำถามไร้สาระของผม (แต่คำตอบของคุณไม่ไร้สาระนะ confirmed)


โดย: keng IP: 203.147.39.161 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:43:25 น.  

 
มีคำถามมาสอบถามคุณเอ๊ดครับ

หลายเดือนที่ผ่านมา กำลังสงสัยกับชีวิตมาก ๆ ว่าสิ่งที่ทำอยู่ สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ใช่รึเปล่า ควรที่จะกำหนดเส้นทางของชีวิตยังไงดี อะไรเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับชีวิต

ผมคิดว่าคุณเอ๊ดน่าจะเคยรู้สึกแบบนี้บ้าง เลยอยากจะขอคำแนะนำว่าควรจะทำยังไงดีครับ

ปล. 1 คิดถึงบรรยากาศ เดอะ รีวายเดอร์ จริง ๆ
ปล. 2 พึ่ง อายุผ่าน 25 มา รึว่านี่เป็นวิกฤตของการผ่านเข้าสู่อายุ 30 ครับ


โดย: llm IP: 203.149.46.168 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:16:11:57 น.  

 
คุณ llm ครับ (ชื่ออ่านว่าอะไรหนอ)

ผมขอยกคำถามคุณไปขึ้นบล็อคใหม่นะครับ มันน่าสนใจดี


โดย: aston27 วันที่: 1 มีนาคม 2551 เวลา:0:43:43 น.  

 
หวัดดีค่ะ พี่แอสตั้น
(ขออนุญาตตีสนิท นับญาติกันเลยนะคะ)

เคยได้รับคำแนะนำจากพี่ในเวปแสงดาวหลายครั้งแล้ว แต่ยังมีข้อสงสัยบางประการค่ะ

ในตอนแรกที่เริ่มปฏิบัตินี่ เหมือนจะไปไวมาก รู้ไปหมด เกิดภาวะอะไรก็รู้ รู้ อารมณ์ต่าง ๆ เกิด ดับ ก็รู้ พอปฏิบัติไปได้สักพัก รู้สึกเหมือนว่ามันอึ้ง ๆ พอจะดูภาวะอะไร มันเหมือนไม่มีให้ดู มันซ่อนอยู่ลึก ๆ หลังจากนั้นก็จะเหนื่อย ๆ (สงสัยจะเพ่ง) หลัง ๆ มานี่ไม่ค่อยจะรู้ตัวเลยค่ะ เผลอตลอด บางครั้งเผลอไปเป็นครึ่งวัน ค่อนวัน เพิ่งจะรู้ตัวว่า "อ้าว เผลอไปคิดแล้วเรา"

อาการอย่างนี้แสดงว่าเราไม่ได้ตามรู้ด้วยจิตใช่ไม๊ค่ะ แต่เป็นการรู้ด้วยความคิด อย่างนี้จะปฏิบัติอย่างไรดีคะ? งงค่ะ


โดย: begin IP: 58.137.129.220 วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:9:10:43 น.  

 
อาการไม่มีอะไรให้ดู ต้องลองสังเกตว่ามันนิ่งๆไปหมดหรือเปล่า

ถ้านิ่งๆไปหมด แปลว่าพอคุณเริ่มดูได้ดี ก็ไปเพ่งไปกดสภาวะเข้า เพราะกลัวเผลอนั่นแหละ

ลองดูสบายๆนะครับ หลวงพ่อสอนเสมอว่า ดูเป็นแล้วให้ใจถึงๆ อย่ากลัวหลง เราจะรู้ไม่ได้ถ้ามันไม่หลง

ส่วนอาการที่หลงไปแล้วพอรู้ตัวขึ้น มีคำบรรยายหรืออุทานตามมา ก็ปกติครับ

มันมีสองส่วนคือตอนที่รู้ว่าเผลอไป อันนั้นก็รู้ถูกต้อง แต่ที่จิตมันเผลอไปบรรยาย ไปอุทานเป็นความคิดขึ้นมา อันนี้ห้ามยาก ทำได้แค่รู้ทันว่าคิด

ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ทุกอย่างที่เกิดมันคือธรรมชาติ คือธรรมะที่จิตเขาแสดงให้เราเห็น

ว่าจิตก็ดี ความรู้สึกตัวก็ดี มันเจริญได้ มันก็เสื่อมได้

เราจะได้เห็นว่า สติ ความรู้สึกตัวมันก็เป็นอนิจจัง ทุกขังนะ มันเคยรู้ตัวได้ดี แต่ก็ไม่ได้ดีไปตลอด เพราะมันเองก็คงอยู่ในสภาพเดิมๆไม่ได้

มันเป็นอนัตตา คือเราบังคับมันไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา

พยายามดูสบายๆครับ อย่าเกร็ง อย่าจ้องแรงเกินไป ^^


โดย: aston27 วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:22:46:36 น.  

 
ขอบคุณค่ะ





โดย: begin IP: 58.137.129.220 วันที่: 12 มีนาคม 2551 เวลา:8:40:44 น.  

 
เห็นพี่เอ็ดชอบเขียนเกี่ยวกับการฝึกหรือขณะที่ทำวิปัสสนามาเยอะมาก อยากให้พี่ช่วยแชร์ความรู้สึกหลังจากฝึกมาได้ซักระยะนึง มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงขึ้นกับพี่บ้างคะ คือค่อนข้างสนใจเกี่ยวกับอุปนิสัยแย่ ๆ ในตัวเองมันดีขึ้นมากไหมคะ สภาพจิตใจพี่เป็นยังไงบ้างคะ ดีขึ้น นิ่งขึ้น รึเปล่า มุมมองเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิต หรือต่อเหตุการณ์ร้าย ๆ ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตเป็นยังไงบ้างคะ.. หวังว่าคงไม่รบกวนจนเกินไปนะคะ


โดย: ตั้งต้น IP: 69.109.44.115 วันที่: 20 มีนาคม 2551 เวลา:22:40:41 น.  

 
คุณตั้งต้น ขอบคุณที่ถามครับ
ไว้พี่ขอเอาไปขึ้นบล็อคใหม่ก็แล้วกันนะครับ ^^


โดย: aston27 วันที่: 21 มีนาคม 2551 เวลา:8:04:37 น.  

 
ถาม ปฏิบัติธรรมแล้วพูดน้อยลง เพราะไม่อยากพูดถึงคนอื่น สนใจภายนอกน้อยลง เลยรู้สึกสงสารคนรัก เพราะเวลาที่คุยโทรศัพท์กัน หรือนั่งรถไปด้วยกัน จะไม่ค่อยมีเรื่องอื่นๆ คุย ถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเองหรือของเขา ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวานัก อย่างนี้ควรทำอย่างไรคะ ขอบพระคุณในคำแนะนะค่ะ


โดย: s_anyada IP: 58.10.149.212 วันที่: 25 มีนาคม 2551 เวลา:17:28:57 น.  

 
คุณ s_anyada ได้แบ่งปันประสบการณ์การปฏิบัติให้คนรักฟังบ้างหรือเปล่าครับ

คนที่ปฏิบัติไปช่วงนึง บางคนมีอาการเหมือนอยากอยูในโลกส่วนตัวเยอะขึ้น คล้ายๆว่า อยู่กับตัวเองแล้วสบายใจ อยู่กับโลกข้างนอกมันวุ่นวาย

อันนี้เป็นปกติ แต่ถามว่าดีไหม ไม่ดีนัก ถ้าคนรอบข้างไม่เข้าใจ

หลวงพ่อเคยบอกว่า คนที่ปฏิบัติเก่งๆจริงๆ เขาอยู่ในโลกไหนก็ได้ ไม่แบ่งแยกว่าอยู่กับตัวเองแล้วเป็นสุข อยู่กับโลกแล้วเป็นทุกข์

เพราะถ้ายังเป็นฆราวาส ยังไงก็ยังต้องอยู่กับโลก ยังต้องทำงาน ต้องเจอผู้คน

แต่อยู่กับโลกภายนอกแล้วก็รู้ทัน โลกภายในของตัวเอง รู้ทันความปรุงแต่ง เห็นกิเลสที่เกิด เห็นอัตตาตัวตน แล้วจะเข้าใจโลกมากขึ้น

เข้าใจโลกมากขึ้น แล้วจะไม่แบ่งแยก ว่าอันนี้ดีกว่าอันนั้น เพราะจะข้างใน ข้างนอก มันก็เสมอกันหมด

เพียงแต่ถ้ามีเวลาน้อย หรือฟุ้งซ่านง่ายก็ต้องไม่คลุกคลีกับผู้คนหมู่มาก มากจนเกินไป แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องปลีกตัวออกมาโดยไม่สมาคมกับใครเลย

ตอบคำถามว่า ควรทำอย่างไร ก็แนะนำว่า พูดคุยกับคนรัก ชวนเขาให้มาสนใจเรื่องบาปบุญ เรื่องกรรมเวร แล้วทำบุญ ทำทาน ถือศีล สุดท้าย ก็ภาวนา

คนรักกัน ถ้าช่วยกันเป็นเพื่อนทำบุญ กุศล ยิ่งร่วมกันภาวนา จะรักกันผูกพันมากขึ้น

อีกคำแนะนำนึง ก็คอยสังเกตใจตัวเอง เวลา "ไม่อยากพูดถึงคนอื่น" รู้ทันว่า "ไม่อยาก" นะครับ

สงสาร รู้ทันว่าสงสาร

กังวล รู้ทันว่ากังวล

การสนใจภาวนา ถ้าได้ความสนับสนุนจากคนรัก ถือเป็นบุญอย่างนึงนะครับ ถ้าไม่มีเลย ก็ถือเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้ามี ก็ได้แต่เอาใจช่วยให้เขาเข้าใจ

พระพุทธเจ้าถึงเคยแนะวิธีเลือกคู่ครองว่า ควรมี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เสมอกัน ปัญหาจะหมดไปครับ




โดย: aston27 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:11:13:31 น.  

 
ขออนุโมทนา ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำ จะคอยภาวนาให้รู้ทันใจของตัวเองนะคะ
จริงๆ หลังจากปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ไม่ได้เป็นคนเงียบไปเลยหรอกค่ะ เพียงแต่ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรที่มันเป็นเรื่องของคนอื่นเท่านั้นเอง (เม้าท์) เพราะพอคิดจะพูด ใจมันก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ดี แถมยังไม่เกี่ยวกับตัวเองอีกจะพูดทำไม บางทีมันก็เลยเงียบๆ น่ะคะ
เมื่อวานกับวันนี้ ลองฟังซีดีของหลวงพ่อปราโมทย์ ได้ข้อคิดในการปฏิบัติเพื่อดูใจตัวเอง จะพยายามปฏิบัติตามให้รู้เท่าทันค่ะ
ขอแสดงความนับถือ


โดย: s_anyada IP: 58.10.149.74 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:18:55:31 น.  

 
ขอเพิ่มเติมอีกนิดค่ะ จริงๆ แล้วคนรักดิฉันเขาก็เป็นคนอ่านและฟังธรรมะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยปฏิบัติจริงจังค่ะ เคยชวนเหมือนกัน แต่เขายังไม่พร้อมค่ะ


โดย: s_anyada IP: 58.10.149.74 วันที่: 26 มีนาคม 2551 เวลา:19:00:57 น.  

 
ที่จริงคำว่าปฏิบัติธรรม มันมักจะหลอกเราให้เข้าใจผิดว่า ต้องทำอะไรสักอย่าง ที่ผิดมนุษย์มนา

แต่ถ้าเข้าใจหลักจริงๆ จะไม่ต้องทำอะไรวุ่นวายเลยครับ

ไว้ผมเขียนบล็อกให้ใหม่นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:11:16:12 น.  

 
อนุโมทนาค่ะ ได้อ่านบล็อกแล้ว ขอบคุณมาก รู้สึกตัวเลยว่าสงสารคนรัก (นึกถึงพ่อด้วย เพราะเป็นเหมือนกัน) และอยากจะส่งให้เขาอ่าน ขอบพระคุณมาก จะติดตามงานเขียนไปเรื่อยๆ นะคะ


โดย: s_anyada IP: 58.10.149.146 วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:18:54:05 น.  

 
พี่เอ็ดคะ....
หนูอยากรบกวนให้พี่ช่วยเขียนอะไร ยาว ๆ (หนูชอบมุมมองของพี่หนะคะ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีพี่ชายมายืนคอยตักเตือนอยู่ข้าง ๆ เสมอเลย) เพี่อเป็นการสั่งสอน ดุด่า ว่ากล่าว เตือนสติ ให้หนูซึมซับกับการให้อภัย ลด ละ ความพยาบาทในใจที่มีต่อแฟนเก่าสักทีซิคะ หนูทราบดีว่าถ้าหนูฝึกทำวิปัสสนาให้นานกว่านี้จนมองว่า ความพยาบาทก้อเป็นอีกสภาวะนึง ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไป หนูคงจะดีขึ้นมาก แต่ก้อยังอยากจะอ่านอะไรที่จรรโลงใจช่วยสำหรับการทำสมาถะไปด้วยหน่ะคะ.....


โดย: ตั้งต้น IP: 69.224.167.69 วันที่: 6 เมษายน 2551 เวลา:0:52:56 น.  

 
มีคำถามค่ะ แต่ส่งไปหลังไมค์แล้ว
เส้นทางนั้นใช้ส่งคำถามได้มั๊ยคะ
สุขสันต์วันหยุดนะคะ


โดย: MaewDuZa IP: 222.123.153.154 วันที่: 7 เมษายน 2551 เวลา:15:49:30 น.  

 
คุณ MaewDuza ผมไม่เห็นได้รับคำถามเลยนะครับ :)

แวะมาบอก เดี๋ยวจะเข้าใจว่าผมไม่ยอมตอบนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 11 เมษายน 2551 เวลา:15:44:53 น.  

 
มีคำถามเกี่ยวกับวิปัสสนามารบกวนถามหน่อยนะคะ...คือกำลังสงสัยว่าตัวเองเพ่งหรือไม่

ขอตั้งโจทย์โดยใช้เหตุการณ์เป็นคำถามนะคะ...ในขณะที่ตัวเองกำลังดูทีวีอยู่แล้วเผอิญจิตเห็นความโกรธขึ้นมาแว้ป ๆ ก็รู้ว่าโกรธ. และก้อรู้อย่างเป็นกลางนะคะ..แต่บางครั้งความโกรธยังไม่หายไปหนูก็จะคอยเฝ้าดูอย่างเป็นกลางจนกระทั่งเห็นความโกรธมันลดลงและก็หายไป ช่วงที่เฝ้าดูอยู่เนี่ยเรียกว่าเพ่งรึเปล่าคะ?

ซึ่งในบางครั้งความโกรธเกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้(คือดูทีวีอยู่) ก็รู้ทัน ว่าโกรธ แต่ก็กลับไปดูทีวีต่อทันที ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อจิตไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น ความรู้สึกอื่นก็จะเข้าแทนที่ความโกรธอย่างฉับพลันเพราะเราไปใส่ใจกับสิ่งอื่นแทน....

หนูไม่แน่ใจว่าแบบที่ 1 หรือ 2 มันถูกต้องผิดถูกยังไง...คืออยาก (ฮั่นแน่ความอยาก
) จะปฏิบัติให้ถูกทางหนะคะ...รบกวนอาจารย์ ช่วยชี้แนะข้าน้อยด้วยนะคะ


โดย: ตั้งต้น IP: 69.108.24.60 วันที่: 28 เมษายน 2551 เวลา:9:07:52 น.  

 
ไอ้เพ่งไม่เพ่ง ถ้าอธิบายด้วยภาษาพูดหรือเขียนนี่ ตอบยากครับ

ถ้าจะเอาชัวร์ๆ ะต้องไปส่งการบ้านกับครูบาอาจารย์ให้ท่านเช็คดูจิตคุณตอนนั้น

แต่ที่แน่ๆ ผมว่าคุณสอบตกเรื่องนึงชัวร์ๆ

คือตอนที่คุณสงสัยว่าเพ่งหรือเปล่า คุณได้รู้ทันความสงสัยหรือเปล่า

ท่าทางจะไม่นะ

คือถ้าว่ากันตามตัวอักษร การเฝ้า ถ้าไม่ใช่นั่งจ้อง แต่คอยตามรู้ รู้แล้วปล่อย แล้วปล่อย ก็ไม่ใช่เพ่งครับ

แต่คนที่เพ่ง คือไปจดจ้องที่จิต ชนิดไม่ให้คลาดสายตา หรือจ้องเพ่งไปที่ความโกรธ แทนที่จะเพียงแค่ คอยรู้สึก

อีกอย่างนะ.. คอยเฝ้าดูอย่างเป็นกลาง นี่ต้องระวัง เพราะจะบอกว่า ความเป็นกลาง ก็ไม่ใช่สภาวะที่จงใจทำขึ้นได้

ความเป็นกลาง จะเกิด ก็เกิดเอง เพราะมีสติระลึกรู้ถึงสภาวะอันใดอันหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในใจขณะนั้น

รู้ทันว่าจิตมีการหลงไป คิด พอมีสติ ความเป็นกลางก็จะเกิดเอง ถ้าไม่เป็นกลาง แล้วรู้ทัน ก็จะเป็นกลางขึ้นมาอีกแว้บ

หน้าที่เราไม่ใช่ไปจงใจสร้าง "ความเป็นกลาง" ขึ้นมา แต่ให้รู้ทันตรงที่มัน "ไม่เป็นกลาง" นั่นต่างหาก

ตอบคำถาม แบบที่หนึ่ง ถ้าทำถูก จะเป็นวิปัสสนา คือตามรู้ ตามดู แล้วเห็นตามความเป็นจริง เห็นไตรลักษณ์

แบบที่สองนี่เป็นอุบายแล้วครับ ออกแนวสมถะ



โดย: aston27 วันที่: 29 เมษายน 2551 เวลา:0:58:23 น.  

 
มีชีวิตยุ่งเหยิงอยู่หลายวัน เลยไม่ได้เข้ามาดูคำตอบเสียที...แต่ขอบคุณมากนะคะพี่เอ็ด...รู้สึกกระจ่างขึ้นมากเลยค่ะ....และค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว....สงสัยอยู่นิดเดียวว่าเวลาส่งการบ้านให้อาจารย์เขาตรวจดูจิต เขาทำกันยังไงคะเนี่ย...


โดย: ตั้งต้น IP: 69.226.57.238 วันที่: 5 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:06:51 น.  

 
รบกวนถามคุณ aston 27 หน่อยนะค่ะ
หมอดูจิตสัมผัส ที่คุณเคยพูดถึง
ใช่หมอดูพีร์ รึเปล่าค่ะ
ช่วยตอบมาที่หลังไมค์ ด้วยนะค่ะ
ถ้าไม่ใช่ ขอชื่อหมอ กับเบอร์ติดต่อได้มั้ยค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ


โดย: mega_okii IP: 124.120.166.154 วันที่: 12 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:11:23 น.  

 
คุณตั้งต้น ลองไปฟังไฟล์เสียงที่หลวงพ่อเทศน์ และตรวจการบ้าน ในเว็บ วิมุตติ ที่ผมทำลิงค์ไว้ให้สิครับ

จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร

คุณ mega ผมส่งข้อมูลไปให้แล้วนะครับ



โดย: aston27 วันที่: 14 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:23:18 น.  

 
ขอบคุณค่ะ
เคยไปดูกับหมอพีร์ มาแล้วค่ะ
เมื่อประมาณ เกือบ 2 ปี
เธอบอกว่า ถ้าเปลี่ยนตัวเอง
แล้วถ้ามีจิตใจเข้มแข็งกับกิเลส
ลองมาดูกับเธอใหม่ได้ค่ะ

ยังไงก็ขอบคุณนะค่ะ


โดย: mega_okii IP: 124.120.159.205 วันที่: 14 พฤษภาคม 2551 เวลา:2:55:14 น.  

 
ขอบคุณคะพี่เอ็ด


โดย: ตั้งต้น IP: 69.226.59.104 วันที่: 19 พฤษภาคม 2551 เวลา:6:57:26 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณแอสตั้น มีคำถาม เราจะเชื่อสัญชาตญาณได้สักแค่ไหนคะ หรือมันเป็นแค่ความคิดปะติดปะต่อและความระแวงเท่านั้น ขอบคุณค่ะ


โดย: s_anyada IP: 58.10.149.77 วันที่: 20 พฤษภาคม 2551 เวลา:12:21:28 น.  

 
คำว่าสัญชาตญาน มันมีนัยหลายระดับนะ

ถ้าเป็นสัญชาตญานที่จะมีชีวิตรอด อันนี้เชื่อได้
เช่นเห็นคนถืออาวุธ ยืนหลบๆซุ่มๆ ในเงามืดๆ
ก็ต้องอนุมานไว้ก่อนว่า มันไม่ปลอดภัย และไม่ปกติ

แต่ถ้าคุณ s_anyada หมายถึงการตัดสินใครสักคนที่เพิ่งรู้จักกันจากความรู้สึก ว่าคนๆนี้ เป็นคนอย่างไร อันนี้อาจจะเชื่อได้สัก 1 ใน 3

ฝรั่งเขายังบอกว่า don't judge a book by its cover อย่าด่วนตัดสินคุณค่าหนังสือจากปก

ผมก็ต้องบอกว่า ก็ต้องค่อยๆดูกันไป คบกันด้วยความจริงใจ อย่าระแวง แต่ให้ระวัง รอบคอบ

แต่ถ้าเป็นกรณีคนใกล้ตัว ผมก็ยังอยากให้เชื่อใจไว้เป็นทุน จะไม่ไว้ใจก็ได้ ระวังได้แต่ต้องเชื่อใจนะ

ระวัง กับระแวงมันต่างกันนะครับ อย่าให้ระแวงนะ ให้เชื่อใจกัน อย่าคอยจับผิด อย่าคิดมาก

ผมว่าความคิด หรือสัญชาตญาน จะเคยแม่นขนาดไหน มันก็ยังเป็นการเดาอยู่วันยังค่ำ

การเดา มันก็มีโอกาสผิด มีโอกาสถูก แต่มันยากตรงที่เราไม่รู้ว่าเราเดาผิด หรือเดาถูก แล้วไอ้ระหว่างที่ไม่รู้นี่แหละ ที่ทุกข์ล่ะ

คนเราถ้ามันรู้เช่นเห็นชาติกันไปเลย ว่าดีหรือชั่ว จริงหรือมั่ว มันไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก แต่มันลำบากตอนคลุมๆเครือๆมากกว่า

ฉะนั้น ที่บอกให้ระวัง แปลว่าอย่าประมาท อย่าคาดหวังว่าเขาจะรัก จะดีกับเราตลอดไป

ต้องเชื่อว่า เราสามารถมีชีวิต หายใจได้เป็นปกติ เหมือนมนุษย์ทั่วไป ไม่ว่าจะในวันที่มีเขา หรือไม่มี

ต้องหัดมีสติ รู้กาย รู้ใจ บ่อยๆ ให้มากที่สุด แล้วเราจะไม่รู้สึกขาด ไม่รู้สึกลำบาก จะต้องไประแวง ไปจิก ไปกัด ไปจับผิดใครให้วุ่นวาย

เขาจะอยู่ก็เพราะ เขาอยากอยู่ เขาเห็นเราดี มีคุณค่า ไม่ใช่เพราะเราอยากหรือไม่อยาก

แต่ถ้าอยากให้เขาอยู่ ก็ทำได้แค่เป็นคนรักที่ดีของเขา ดูแลกัน เอื้อเฟื้อ เมตตากัน เกินจากนี้ เราหวังอะไรไม่ได้แล้วครับ ต้องให้อิสระเขานะ ให้เขาอยู่ด้วยความสบายใจ อย่าผูกมัด แม้ว่าเขาจะเคยตกปากรับคำจะอยู่ดูแลเราไปจนตายก็ตาม

ก็ตอนที่เขาบอกเรา เขามีความสุข เขาสบายใจนี่นา เขาก็เลยบอกอย่างนั้น แต่ถ้าตอนนี้เขาไม่สุข ไม่สบายใจ ที่เขาจะอยู่ เราจะไปรั้งเขาทำไม ให้อึดอัดทั้งสองฝ่าย

คนเราช้าเร็ว ก็ต้องพลัดพรากจากกัน ไม่วันใด ก็วันหนึ่ง

สุภาษิตจีน บอกว่า ส่งกันพันลี้ ก็ยังต้องแยกจาก ไยมิสู้ ส่งกันตั้งแต่ตรงนี้

บางที ถ้าเราให้อิสระ ไม่ห้ามไม่กักกัน กีดกัน เขาอาจจะรู้สึกดีมากกว่า และอยากจะอยู่ เพราะสบายใจน่ะ

แต่ต้องดูแลกันนะครับ ไม่ใช่อยู่แบบซังกะตาย ต่างคนต่างอยู่

เอาใจใส่ ห่วงใย แต่อย่าระแวงเลย
เอาแค่ระวังตัวเอง อย่าเอาความสุขในชีวิตเรา ไปผูกมัดไว้กับชีวิตคนอื่น

ตอบคำถามไหมครับนี่ ^^"


โดย: aston27 วันที่: 23 พฤษภาคม 2551 เวลา:13:30:54 น.  

 
ถามว่าคนเราทุกคนต้องมีเนื้อคู่แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนคือเนื้อคู่ของเราช่วยตอบด้วยนะครับเพราะต้อนนี้อกหักอยู่ด้วย


โดย: อ็อฟ IP: 222.123.75.210 วันที่: 26 พฤษภาคม 2551 เวลา:23:12:05 น.  

 
ขออนุโมทนาในคำตอบค่ะ
ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ


โดย: s_anyada IP: 58.10.149.236 วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:09:27 น.  

 
คุณอ็อฟ เรื่องเนื้อคู่ผมตอบไม่ได้แบบนั้นหรอก เพราะผมไม่ใชหมอดู

แต่ผมเคยเล่าถึงวิธีเลือกคนรักไว้ในหัวข้อบล็อคชื่อ "คู่แท้"

ลองไปหาอ่านดูนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 31 พฤษภาคม 2551 เวลา:1:04:33 น.  

 
เพื่อนถามเราว่า มีแฟนแล้ว แล้วคุยกับผู้ชายอีกคนที่แม่อยากให้แต่งด้วยผ่านทางมือถือกับเมล บาปหรือเปล่า ถ้าบาปจะส่งผลอย่างไร


โดย: s_anyada IP: 58.10.149.134 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:11:59:56 น.  

 
แหม... คำถามยากนะเนี่ย

หลักของบาป มันวัดกันที่
1 เจตนา
2 การลงมือกระทำ
3 ผลสำเร็จของการกระทำนั้น

อีกอย่าง เรื่องบุญเรื่องบาป มันวัดง่ายๆ ตรงที่ใจเรานี่แหละ

สวรรค์ นรก มันขึ้นลงกันได้ต่อหน้าต่อตานี่เอง ไม่ต้องรอให้ตายก่อนค่อยไป

อย่างตอนนี้ เพื่อนคุณท่าทางจะตกนรกอยู่นิดๆ เพราะไม่สบายใจ กระสับกระส่าย รู้สึกผิด ที่ไปคุยกับผู้ชายอีกคน

ถ้าให้ผมแนะนำ ก็ต้องบอกว่า ถ้ายังแฮปปี้กับแฟนดีอยู่ ดูแล้วเขาเป็นคน มีศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา เสมอกัน ก็ต้องบอกแม่ไปตามตรง ว่าเราไม่อยากเลิก

แต่ถ้าเห็นว่าแฟนปัจจุบัน ไม่ใช่คนที่เราควรจะเลือกใช้ชีวิตด้วย เพราะเหตุใดก็ดี ใคร่ครวญถ้วนถี่ดีแล้ว ก็ควรจะคุยกัน ขอปรับสถานะเป็นเพื่อนให้ถูกต้อง และชัดเจน

คนเราถ้าคบกันดีๆ ปรารถนาดีต่อกัน เรื่องแบบนี้มันพอจะเข้าใจ ใช้เหตุผลทำใจกันได้ครับ

ดีกว่าไปกั๊ก ไปรักษาหน้า กลัวเป็นคนเลว ปากก็บอกว่ายังเหมือนเดิม แต่ใจไม่อยู่แล้ว

ที่จริงการมีแฟน ไม่ได้แปลว่ามีเพื่อนไม่ได้ คุยกับใครไม่ได้เลย

เป็นแฟนนะ ไม่ใช่นักโทษ

แต่สำคัญที่เจตนาครับ คือต่อให้เป็นคนที่แม่ปลื้ม แม่ชอบ อยากให้แต่งด้วย แต่เราไม่ได้คิดเกินเพื่อน เท่ากับเราไม่ได้เบียดเบียนแฟนเรา ก็คุยได้ ไม่มีปัญหา

แต่ถ้าคุยกันแบบกิ๊ก มีใจให้กันในทางชู้สาว อันนี้ต้องระวัง ต้องรักษาระยะห่างไว้ เพราะอย่าลืมว่า คนเราเลิกกันเพราะความเข้ากันได้ของเราสองคนมันน้อยเกินไป หรือเหมาะจะเป็นเพื่อนมากกว่าแฟน กับมีมือที่สาม มันวุ่นวายต่างกันมากนะครับ

เรื่องแบบนี้ sensitive ครับ ผมไม่ชอบตอบเลย


โดย: aston27 วันที่: 4 มิถุนายน 2551 เวลา:13:04:04 น.  

 
อนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณในคำตอบ
และขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ


โดย: s_anyada IP: 58.10.149.89 วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:14:43:45 น.  

 
อย่าคิดมากนะครับ ^^

ที่ว่าไม่ชอบตอบ เพราะว่า มันเกี่ยวกับเรื่องบุพการี

ถ้าผมตอบแล้วคุณวางใจผิดนิดเดียว ผมก็บาปแล้ว


โดย: aston27 วันที่: 16 มิถุนายน 2551 เวลา:23:32:17 น.  

 
ช่วงนี้วุ่นวายใจนิดหน่อยค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสามีค่ะ คือ สามีค่อนข้างเป็นคนจมไม่ลงค่ะ ทำงานอะไรก็มักไม่เอาจริง หรือตั้งใจทำ ก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด โชคดีที่ดิฉันมีกิจการเองที่ค่อนข้างจะมั่นคง จึงเป็นเสาหลักเรื่อยมา ตอนนี้สามีจะตกงานอีกแล้วค่ะ ทนทำไม่ไหวบอกว่าอึดอัดใจเลยลาออก แต่พอตัดสินใจแล้ว ก็จิตตกกลัวไม่มีเงินใช้จ่าย ได้แต่ปลอบใจและให้กำลังใจว่า คงไม่ตกงานตลอดหรอก ค่อย ๆ คิดและ ประหยัดกันดู ดูเขาไม่ค่อยยอมรับ คิดแต่จะทำโน้น ทำนี่ เคยบอกว่าให้ทำอะไรที่เรารัก เราชอบ ก็ติว่าไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ยอมรับว่าเหนื่อยใจค่ะ เค้าค่อนข้างยึดติดกับเงินทอง บอกว่า จะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเงิน ดิฉันแย้งว่าไม่ใช่ไม่มี ดิฉันมีเงินเดือน เราลองมาจัดสรรดู ก็ดูเค้าหงุดหงิดมากเวลาพูดถึงเรื่องนี้ค่ะ หลัง ๆ นี้เลยไม่อยากพูด ให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินเค้าค่ะ ดิฉันรักเค้า เห็นเค้าไม่เป็นทุกข์เราก็ทุกข์ด้วยค่ะ


โดย: แม่ลูก 3 IP: 125.25.146.201 วันที่: 18 มิถุนายน 2551 เวลา:16:52:03 น.  

 
เรื่องคู่ เรื่องคนรัก เรื่องการครองเรือน เป็นเรื่องละเอียดอ่อน
และเป็นเรื่องยากมากๆ ผมเห็นใจคุณแม่ลูก 3 นะครับ

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ขอให้คุณแม่ลูก 3 มีสติไว้
สามีจะหงุดหงิดยังไง ก็ค่อยๆพูดกัน ใจเย็นๆ

บางที บางจังหวะคุณแม่อาจจะต้องปล่อยให้เขาบ้าไปเองสักพัก ไม่ต้องสนใจมาก

และทำใจให้ร่มเย็น ให้เขาอยู่ใกล้แล้วได้อาศัยความร่มเย็นของใจคุณได้

ถ้าเขาจะทุกข์ เราก็ต้องมีสติ ไม่ไหลไปทุกข์กับเขา
แต่เป็นหลักยึดเหนี่ยวให้เขา

หวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 21 มิถุนายน 2551 เวลา:23:49:54 น.  

 
อยากทราบชื่อเติมของมาสโลว์

















โดย: ชโรชา IP: 125.27.29.230 วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:14:31:30 น.  

 
มาสโลว์ มีชื่อเต็มๆว่า Abraham Harold Maslow (อับราฮัม แฮโรลด์ มาสโลว์)
ครับ


โดย: aston27 วันที่: 30 มิถุนายน 2551 เวลา:14:58:08 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ แอสตั้น
ติดตามอ่านบล็อกของคุณมาสักพัก รู้จักบล็อกนี้จากนิตยสารธรรมะใกล้ตัว รู้สึกว่าสบายๆ แต่ไม่ไร้สาระดีค่ะ ปกติเป็นคนไม่ค่อยโกรธใครง่ายๆนะคะ (คนรอบข้างบอก) แต่มีอยู่คนนึงที่ตอนแรกเคารพ นับถือมาก จนขอให้เขามาเป็นประธานกรรมการวิทยานิพนธ์ เพราะเขาดูเหมือนจะทุ่มเทดูแลนักศึกษาดี ตอนหลังนี้กลับมาเปลี่ยนไป ไม่มีเวลาจะให้คำแนะนำ หรือพอให้ก็ให้แบบมั่วๆ ส่งๆ จนเราหลงทางเสียเวลา ส่งงานไปให้ก็ไม่อ่าน บอกไม่มีเวลา สารพัดข้ออ้าง แต่ก็มาพบภายหลังว่ามีเวลาทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การอ่านงานของเรา ตอนนี้ก็เลยมีแต่ความรู้สึกเกลียดสุดๆ เพราะเขาไม่มีความรับผิดชอบเอาเลย
ปัญหาสำหรับตนเองคือพอเวลาเกิดเกลียด ก็จะไม่มีสมาธิ เพราะมัวแต่ไปเกลียด ได้ลองพยายามแก้หลายวิธีนะคะ เช่น
* แผ่เมตตาให้ตัวเอง เพราะเกลียด แล้วร่างกายก็ไม่ค่อยสบาย ปวดหัว มึน รู้สึกดีไปพักนึง ก็กลับมาเกลียดอีก
* พยายามดูความเกลียด แต่รู้แล้วความเกลียดก็ไม่หยุด รู้แล้วปล่อยไม่เป็นค่ะ
* ท่องพุทโธ เมื่อรู้ว่าเกลียด ท่องๆ ไป ก็คล้ายกับการแผ่เมตตา คือ ดีพักนึง แล้วก็กลับมาเกลียดอีก

ขอความกรุณาช่วยให้คำแนะนำทีนะคะ
ขอบคุณมาล่วงหน้าค่ะ


โดย: กะทิ IP: 130.207.70.118 วันที่: 7 สิงหาคม 2551 เวลา:10:31:09 น.  

 
สวัสดีครับ คุณกะทิ

อนุโมทนาในความตั้งใจจะแก้ปัญหา โดยเริ่มที่จิตใจของตัวเองก่อนนะครับ

ก่อนอื่นต้องอธิบายหลักของการวิปัสสนา ในหมวด จิตตานุปัสสนาก่อนว่า

เราไม่ได้ทำเพื่อวัตถุประสงค์จะดับอกุศล (ในที่นี้คือความเกลียด) ตรงๆนะครับ

วิปัสสนา เราทำเพื่อพ้นทุกข์เบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ที่พ้นทุกข์ได้ เพราะว่าวิปัสสนา เราเรียนรู้ความจริงของกายและจิต ด้วยการสังเกต เพื่อให้เกิดความรู้สึกตัว หรือที่เรียกว่า "สติ"

สติ แปลว่าความระลึกได้ สติเกิดเพราะจิตมันจดจำสภาวะได้

ฉะนั้น วิปัสสนาจึงเริ่มด้วยการหัดรู้สึกตัว
จะถนัด รู้กาย รู้จิตก็ได้ แต่เท่าที่ฟังครูบาอาจารย์มา คนยุคเราส่วนมาก โดยเฉพาะปัญญาชน นักคิดทั้งหลาย จะเหมาะกับการดูจิต มากกว่าดูกาย

ถ้าเรียงลำดับขั้นของการปฏิบัติ คือเริ่มจากหัดรู้สึกตัว
รู้สึกตัวแล้วจิตจำสภาวะได้ ก็จะเกิดสติ
สติตัวจริง เกิดได้แล้ว จะตั้งมั่น เห็นสภาวะต่างๆในใจเป็นไตรลักษณ์

เห็นไตรลักษณ์แล้วจะเกิดปัญญา เกิดปัญญาแล้วจะเห็นความจริง แล้วเบื่อหน่าย
เบื่อหน่ายแล้วจึงค่อยปล่อยวาง โดยจิตปล่อยวางเอง

จะเห็นว่า ไม่มีขั้นไหนเลยที่พระพุทธเจ้าให้เราทำอะไร มากไปกว่าการตามรู้สภาวะ ด้วยการมีสติคอยรู้สึกตัว

ที่แน่ๆ ไม่มีขั้นไหนเลย ที่ท่านบอกว่า ให้เราปล่อย
เพราะเราไม่ใช่คนยึด เราไม่ใช่คนเกลียด
จิตต่างหากที่เป็นคนเกลียด และจิตไม่ใช่เรา

จิตไม่ใช่เรา คือความจริง 1 ใน 3 ของไตรลักษณ์นะครับ ในข้ออนัตตา

ฉะนั้น ถ้าจิตจะปล่อย หรือจะเกลียด ก็เรื่องของจิต ไม่ใช่เรื่องของเรา

จิตจะเกลียด เพราะมีเหตุให้เกลียด จะปล่อยก็เพราะมีเหตุให้ปล่อย

ไม่เกี่ยวกับเรื่องเราชอบ หรือไม่ชอบ อยากหรือไม่อยาก

อันนี้เป็นวิธีแบบวิปัสสนา

ส่วนการแผ่เมตตา หรือท่องพุทโธ เป็นการเจริญสมถะกรรมฐานวิธีหนึ่ง
เป็นการหนีกิเลส เหมือนขาหักแล้วฉีดยาชา
พอยาหมดฤทธิ์ ก็กลับมาปวดอีก เพราะเหตุของความปวดมันยังมี

วิธีดูความเกลียด นั่นแหละดีแล้ว แต่ปรับอีกนิดนึง
คือให้ดูที่ความ "อยากหายเกลียด" ตัว "ไม่ชอบความเกลียด" ดูอาการที่จิตมันผลักไส

หน้าที่เราคือ "รู้" ไม่ใช่ให้ไปแก้ไข แทรกแซง หรือพยายามจะเอาชนะอะไร

จิตเป็นยังไง รู้ว่าเป็นอย่างนั้น

ถ้าจะทำพุทโธก็ได้ แต่ภาวนาสบายๆ อย่าเครียด อย่าเร่ง อย่าเกร็ง

พุทโธเล่นๆ แล้วคอยสังเกตใจที่เคลื่อนไหวออกไปทำงาน
แว้บบบไปก็รู้ แว้บบบบไปก็รู้

รู้แล้วไม่ทำอะไรเพิ่มเกินกว่ารู้

ทำได้ไหมครับ




โดย: aston27 วันที่: 8 สิงหาคม 2551 เวลา:2:05:10 น.  

 
สวัสดีค่ะ มีคำถามสองข้อ
1.เจ้ากรรมนายเวรของ ก จะมาทำร้ายเรา (ที่ไม่ได้เป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน เพียงแค่รู้จักกับ ก เท่านั้น) ได้หรือไม่คะ เพราะเหตุใด
2.ถ้าหากก่อนสวดมนต์ เราไม่บอกสิ่งมีชีวิตในภพภูมิอื่น เช่น เปรต ผี ว่าเราจะสวดมนต์แล้วนะ เขาจะได้รับความทุรนทุราย ใช่หรือไม่ อย่างไร
ขอบพระคุณมากค่ะ


โดย: s_anyada IP: 58.136.126.86 วันที่: 15 สิงหาคม 2551 เวลา:11:06:38 น.  

 
ทั้งสองข้อ เป็นเรื่องเหนือความสามารถที่ผมจะรู้เห็นได้
ผมไม่มี และไม่ได้สนใจจะมีความสามารถในการยุ่งกับพลังที่เรามองไม่เห็น

ผมเพียงแต่เชื่อในกฏแห่งกรรม ว่าทุกอย่างไม่มีความบังเอิญ
คืออยู่ๆจะไม่มีมะม่วงหล่นใส่หัว ถ้าเราไม่ไปยืนใต้ต้นมะม่วง

ถ้าจะตอบตามความเข้าใจแบบของผม ผมว่ามันเป็นไปไม่ได้ทั้งสองข้อครับ

ในข้อแรก ผมทักไว้นิดหน่อยว่า คุณนิยาม "เจ้ากรรมนายเวร" ไว้อย่างไร

เจ้ากรรมนายเวร ในความเข้าใจของคนส่วนมาก เป็นผี
แต่เท่าที่ผมได้ฟังมา เจ้ากรรมนายเวร ส่วนมากคือผลของกรรมที่เราทำไว้นะครับ

เช่น นาย A ไปฆ่านาย ก. นาย ก. ก็ตาย แล้วไปจุติใหม่ในภพอะไรสักอย่าง ตามกรรมที่นาย ก. สร้างไว้

นาย A เอง ถ้ายังมีกรรมดีที่ตัวเองรับผลอยู่ หรือยังไม่ถึงคิวที่กรรมจากการฆ่านั้นจะให้ผล ก็ยังไม่มีอะไร

แต่เมื่อถึงคราว กรรมนั้นจะตามมาให้ผล นาย A อาจจะถูกฆาตกรรม ตายตกไปตามกัน หรือถูกประหาร หรือต้องได้รับทุกขเวทนา ป่วยเป็นโรคร้าย เรื้อรัง ตามสัดส่วนที่กรรมจะจัดสรร

ไม่ใช่แปลว่า นาย ก. จะเป็นผี ตามมาจัดการนาย A นะครับ
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ประเทศนี้ไม่ต้องมีตำรวจ ไม่ต้องมีศาลก็ได้

เพราะพอใครฆ่าคนนึง เดี๋ยวคนที่โดนฆ่า ก็ตามมาเอาคืนเองอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่นะ

ยิ่งข้อสอง ที่คุณถาม ยิ่งแล้วใหญ่
บทสวดมนต์ ปกติจะเป็นการสรรเสริญพระรัตนตรัย
ไม่ได้เป็นการไปทิ่มแทงทำร้ายใคร

เว้นแต่คุณจะสวดมนต์ ประเภทที่แฝงมิจฉาทิฎฐิ
พวกมนต์ดำ ไสยเวทย์ อันนั้นถึงจะมีคนเดือดร้อน

อันนี้ตอบตามที่เข้าใจ เพราะไอ้แบบที่คุณว่ามา ก็ไม่เคยเห็น

เลยไม่รู้จะถามเขายังไง


โดย: aston27 วันที่: 16 สิงหาคม 2551 เวลา:9:29:16 น.  

 
สวัสดีคะ พี่แอสตั้น

ช่วงนี้เหมือนมีชีวิตส่วนตัวสงบราบเรียบดี
แต่ชีวิตการงานเหมือนมีมรสุมทั้งลูกเล็ก
ลูกใหญ่ซัดเข้ามาไม่หยุดเลยคะ

มันเหมือนจังหวะเวลาสักอย่าง เดี๋ยวนี้ผิด
เดี๋ยวนั้นไม่ทัน เดี๋ยวลูกค้าไม่พอใจ มาพร้อมๆ
กัน ถ้ามาแล้วหยุดให้พักหายใจก็ยังพอทำเนา
แต่ช่วงนี้เหมือนมาพร้อมๆ กัน เล่นเอามึนเบลอ
ไปเลย ไม่รู้พี่เคยหรือเปล่า เหมือนลูกเหล็ก
ตกใส่หัวหลายๆ ลูก น๊อกเห็นดาวไปเลย

บางทีรู้สึกท้อจนอยากละวางทุกอย่าง แล้วหนี
ไปเลยไม่ต้องรับรู้ปัญหา

อาการแบบนี้ จะกลับไปตั้งหลักยังไงดีคะ


โดย: นู๋ปิ๋มมี่ IP: 58.8.83.25 วันที่: 18 สิงหาคม 2551 เวลา:11:13:02 น.  

 
อ่านบล็อกพี่มาขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องแนะนำเพิ่มแล้วล่ะ

แค่อยากบอกว่ามีสติไว้ คอยรู้คอยตามดูจิตใจตัวเองไว้

อย่ามัวแต่โฟกัสที่ปัญหา จะมองหาทางออกไม่เจอ

และอย่างที่บอกไว้บ่อยๆว่า อย่าขาดสติ เพราะทุกข์มันจะครอบเรา

เพราะที่จริงปัญหาก็ส่วนปัญหา ทุกข์ก็ส่วนทุกข์
คนเรามีปัญหาใหญ๋ แต่ทุกข์น้อยได้ ถ้ามีสติ
หรือถ้ามีปัญหาน้อย แต่ทุกข์ใหญ่ก็ได้ ถ้าขาดสติ



โดย: aston27 วันที่: 18 สิงหาคม 2551 เวลา:21:20:49 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ aston27

คราวก่อนมาถามปัญหาความเกลียด ก็เลยลองไปทำตามคำแนะนำของคุณดู ขอรายงานผลค่ะ

รู้สึกได้ว่า ทันทีที่รู้ว่าเกลียด ความรู้สึกผลักไสไม่พอใจความเกลียดนี่มันมาเร็วมากนะคะ สังเกตได้จากที่รู้สึกว่ามันอัดๆ แน่นๆ ในอก เลยลองใช้การถอนหายใจ ตอนที่รู้ตัวขึ้นมา ถ้านึกถึงพุทโธได้ ก็พุทโธไป

บางครั้งความรู้สึกอัดๆ แน่นนี่อยู่นาน ต่อเนื่อง ไม่ทราบว่าเกิดจากความเพ่งหรือเปล่าคะ หรือว่ามาจากความผลักไสความเกลียดนั้น

ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับมันเหนื่อยหน่ายเจ้าความเกลียดนี่แล้วน่ะคะ คล้ายกับไม่รู้จะเกลียดไปทำไมอะไรทำนองนี้น่ะค่ะ แล้วก็มารู้สึกสงสัยต่อไปอีกว่าทำไมมันไม่เกลียด

งงค่ะ แต่ก็รู้ว่างงนะคะ

ขอบคุณค่ะ



โดย: กะทิ IP: 130.207.70.118 วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:6:03:20 น.  

 
ขอบคุณที่มารายงานผลให้ทราบครับ

ที่เห็นความผลักไส ไม่พอใจ นั่นดีแล้วครับ ดีมากด้วย

แต่ที่รู้ความอึดอัด แน่นๆในอก แล้วไปพยายาม "ทำอะไรสักอย่าง" เช่นถอนหายใจ
อันนี้คลาดเคลื่อนไปหน่อย

ไอ้ความรู้สึกอัดๆแน่นๆต่อเนื่อง เป็นทั้งผลจากการเพ่งจิต และความอยากผลักไสความเกลียด สองอย่างผสมกัน

เหนื่อยหน่าย ก็รู้ว่าเหนื่อยหน่ายนะครับ ^^

งง รู้ว่างง อันนี้ดีแล้วครับ


โดย: aston27 วันที่: 7 กันยายน 2551 เวลา:1:00:34 น.  

 
มีคำถามมาถามค่ะ คือเป็นคนชอบตอกย้ำตัวเอง เช่นเวลาทำอะไรผิด อย่างตอนสอบสัมภาษณ์เรียนต่อ ดันไปเถียงอาจารย์สอบ แถมเถียงแบบข้างๆคูๆ คือ รู้ว่าผิดแต่อยากเอาชนะ กลายเป็นโชว์ความโง่ของตัวเองซะงั้น จากนั้นมาก็ไม่สบายใจ ตอกย้ำตัวเองเรื่อยว่า ไม่น่าทำแบบนั้นเลย อาจาย์จะโกรธไหม เป็นแบบนี้ตลอด ขนาดเรื่องที่ทำผิดไปเมื่อหลายปีก่อน อยู่ดีๆ ยังเก็บมาคิดว่าตอนนั้นไม่น่าทำแบบนั้นเลย
อยากให้ช่วยบอกวิธีเลิกตอกย้ำตังเองซักที ทำอย่างไรจึงจะหยุดคิดได้
พยายามรู้ตัวเราเราตอกย้ำตัวเองอยู่ อาจจะคลายการตอกย้ำไปได้บ้าง แต่ก็เกิดเป็นความกังวล และสุดท้ายก็กลับเป็นตอกย้ำตัวเองอีก เฮ้อ แต่ว่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งถ้าได้อ่านธรรมะ จะดีขึ้น แต่ก็จะกลับมาคิดอีกอยู่ดี


โดย: SmallCalypo วันที่: 13 กันยายน 2551 เวลา:23:43:04 น.  

 
รอสักครู่นะครับ ผมงานยุ่งมาก แล้วจะรีบมาตอบให้ครับ

แต่อาจจะเอาขึ้นบล็อกใหญ่เลย ลองตามอ่านดูนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 15 กันยายน 2551 เวลา:18:27:31 น.  

 
ขอบคุณค่ะ แล้วจะคอยติดตามนะค่ะ


โดย: SmallCalypo วันที่: 15 กันยายน 2551 เวลา:18:47:06 น.  

 
อยากอ่านเล่มสอง แล้วละค่ะ

ช่วยรวบรวม บรรดาปัญหา และวิถีทางนำการวิปัสสนาเข้ามาคลี่คลายด้วยก็เป็นกุศลนะคะ เพราะ เริ่มฝึกอยู่และต้องการ การนำทางที่กระจ่างค่ะ

ตะลุยย้อนอ่านบล็อกอยู่ จนแสบตาไปหมดแล้ว


รอเล่มสองอย่างจรดจ่อค่ะ


โดย: bambino IP: 124.120.222.147 วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:4:11:25 น.  

 
มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการวิปัสสนาค่ะ
การนั่งสมาธิก้อเป็นการวิปัสสนาแบบหนึ่งใช่มั้ยค่ะ
แต่ปกติเป็นคนนั่งสมาธิแล้วจะรู้สึกว่าตัวเองต้องฝืนมากๆ แล้วอ่านblog พี่แล้วเข้าใจว่าการรู้สึกตัวเองตลอดก้อเปนการวิปัสสนาอย่างนึงอย่างนี้เราก้อไม่ต้องนั่งสมาธิแล้วเหรอค่ะ หรือถ้าการนั่งสมาธิกับการรู้สึกตัวมันไม่เหมือนกันก้อช่วยอธิบายหน่อยนะค่ะ แล้วการฝึกรู้สึกตัวต้องรู้สึกตัวในขั้นไหน เช่น แค่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ หรือต้องรู้ว่าเรากำลังรู้สึกหรือว่าอยู่ในอารมณ์ไหนเช่นทุกข์หรือสุข แล้วความถี่ในการรู้สึกต้องบ่อยแค่ไหนหรือก้อคือรู้ทุกครั้งที่มันเปลี่ยนแปลงแต่ปัญหาก้อจะมีอยู่ว่ามันไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลง เอ๋หรือมันเปลี่ยนแล้วเราไม่รู้ตัว....

อาจดูเป็นคำถามแบบงงๆแต่ก้อสงสัยจริงๆนะค่ะช่วยให้ความกระจ่างกับดอกบัวที่ยังอยู่ใต้คอนกรีตหน่อยเถอะค่ะ


โดย: The dog IP: 125.24.207.149 วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:23:13:13 น.  

 
SmallCalypo ผมเอาคำถามคุณไปขึ้นบล็อกใหม่
แต่อยู่ในหมวด "ถามปัญหา เชิญที่นี่ครับ" หมวดนี้แหละนะครับ

คุณ bambino จะพยายามนึกถึงเรื่องนี้ ตอนคัดบทความเล่มสองนะครับ

ขอบคุณที่เสนอแนะมาครับ

คุณ The Dog ผมว่าคำถามคุณน่าจะมีคนสงสัยเยอะ

ผมเอาไปตอบในบล็อกใหญ่เลยก็แล้วกันนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 21 กันยายน 2551 เวลา:23:46:07 น.  

 
พยายามตามดูจิตมาสักพักแล้วค่ะ มีทุกข์จากความรัก อยากหาย อยากลืมคนที่เค้าไม่รักกัน ฟังเทปของหลวงพ่อปราโมทย์ ก็มองเห็นลางๆนะคะว่าต้องทำอย่างไร พยายามตามดูตามรู้ซื่อๆ พยายามไม่ตีความ ไม่ปรุงแต่ง..

แต่วันนี้เจอบททดสอบ มีเรื่องต้องทำให้เสียใจจากเค้าคนนั้น เสียใจ ร้องไห้อย่างหนัก พยายามตามรู้ว่าตอนนี้ใจมันทุกข์ น้ำตาไหล ร้องไห้ ตามเรื่อยๆ จนหยุดร้องไห้ไปเอง พอหยุดร้องไห้ ก็พยายามตามดูจิตว่ารู้สึกยังไง หลังร้องไห้ จิตตึงๆ แต่ก็ไม่ทุกข์หนักเท่าตอนแรก พยายามค่ะ พยายามตามรู้ตามดูเรื่อยๆ พยายามแบบนี้มานานแล้ว...แต่จิตก็ยังไม่เห็นธรรมอยู่ดี แทนที่จะเห็นว่า "รัก" ทำให้เป็นทุกข์ และหยุดรักเค้าเสียที แต่กลับกลายเป็นว่า พอใจมันไม่ทุกข์แล้ว มันให้อภัยเค้า และยินยอมพร้อมใจรักเค้าต่อไป...

ไม่อยากเป็นอย่างนี้เลยค่ะ พยายามดูจิตมาเป็นปีๆแล้ว แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า กลับรู้สึกว่าที่ตัวเองตั้งใจทำมานั้นไม่เป็นผลเลย...

อยากขอคำแนะนำจากคุณแอสตันค่ะว่า
- ดิฉันเดินมาถูกทางหรือยัง? ถ้าไม่ถูกต้องขอคำแนะนำด้วยค่ะ
- ดิฉันเห็นแค่ว่า ร้องไห้เดี๋ยวก็หยุด ทุกข์เดี๋ยวก็หาย สภาวะที่เป็นอยู่เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนไป..แต่สิ่งที่รู้มาไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่มาจากการคิด โดยมีผลมาจากการฟัง อ่านธรรมะหรือว่า เป็นเพราะจิตเรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆค่ะ
- บางครั้งดิฉันก็รู้สึกเบื่อกับความรักครั้งนี้เหลือเกิน ทุกข์ และเหนื่อยใจ แต่เมื่อใดที่คิดถึงความโรแมนติก ความรัก ครอบครัว ดิฉันก็จะคิดถึง จินตนาการถึงเค้าทุกครั้ง และถ้าดิฉันหยุดรักเค้าไม่ได้ หรือหลุดออกจาก รัก โลภ โกรธ หลงไม่ได้ นั่นก็หมายความว่าดิฉันต้องรักเค้าต่อไป และท้ายที่สุด ดิฉันก็ต้องทุกข์จากรักที่ไม่สมหวังจากเค้าอีกครั้งสิคะ จะมีวิธีใดที่ช่วยมนุษย์ที่ยังหลงอยู่ในทุกข์แห่งรักได้ไหมคะ?

สุดท้ายนี้ ต้องขอโทษคุณแอสตันด้วยที่คำถามอาจจะทำให้งงๆ และขอบคุณล่วงหน้าถ้าจะมีเวลาตอบคำถามด้วยค่ะ

สุขสันต์วันสุดสัปดาห์ค่ะ


โดย: กะทะทองคำ IP: 83.152.235.149 วันที่: 27 กันยายน 2551 เวลา:5:03:56 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ aston

อยากขอคำแนะนำ ในการอยู่ร่วมกับสามีที่ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่มีหัวคิดก้าวหน้า หรือความเป็นหัวหน้าครอบครัวเลย

8 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ความรักระหว่างเราลุ่มๆ ดอนๆ มาก ดิฉันอดทนอยู่เพื่อลูกชายวัย 6 ขวบกว่าๆ เท่านั้น ดิฉันเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างในครอบครัว (แม้ว่าเขาจะมีงานทำแต่ค่าจ้างที่ได้รับนั้น ลำพังตัวเขาคนเดียวก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว) แต่เรื่องการดูแลครอบครัวก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาเท่าไหร่ เพราะดิฉันคิดเสมอว่า เราเป็นคนเก่ง เราทำเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องได้ผู้ชายที่มีเงิน ร่ำรวย ขอให้รักเราก็พอ...

แต่มาถึงวันนี้ ดิฉันรู้แล้วว่า คำว่ารักคงยังไม่พอจริงๆ เพราะ บ้าน รถ ของใช้ และ อื่นๆ อีกมากมาย ทุกอย่างดิฉันเป็นคนหามาทั้งสิ้น มากไปกว่านั้น เขาไม่ให้ความเคารพคุณแม่ ไม่เกรงใจท่าน ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นเจ้าของทุกอย่าง ทำเหมือนกับว่า ตัวเองมีสิทธิเสรีภาพทุกอย่างในบ้านหลังนี้ อยากจะว่าใครก็ด่าว่า อยากจะบึ้งตึงใส่ใครก็ทำ อยากจะปึงปัง หาเรื่องคนนั้นคนนี้ก็ทำได้ทุกเมื่อ และเรื่องจุกจิกเล็กน้อยเหล่านี้ก็เป็นปัญหา และ เป็นภาระที่ทับถมเป็นดินพอกหางหมูมานานมาก จนวันนี้ ดิฉันเริ่มรับไม่ไหว แต่ก็คิดไม่ออกว่า ควรทำอย่างไร เพราะลูกรักเขามาก ติดเขามาก (เขามีความดีอยู่เรื่องเดียวคือ ดูแลเอาใจใส่ลูกได้ค่อนข้างดี เหมือนลูกสัมผัสได้ว่า เขารักลูกมาก แม้ว่า เวลาที่เขาอารมณ์ไม่ดี จะตะคอกและพูดเสียงดังกับลูกก็ตาม)

ลืมบอกไปค่ะว่า ดิฉันเคยมีครอบครัวมาก่อน แล้วมีอันต้องเลิกร้างกันไป แล้วเขาก็เป็นคนที่เข้ามาในจังหวะชีวิตช่วงนั้น แล้วเราก็มีลูกด้วยกัน ด้วยความเต็มใจ

อย่างไรก็ตาม ดิฉันเปิดเผยทุกอย่างให้เขารับรู้ และเราก็เคลียร์กันตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งตอนนั้นต่างก็รับรู้และเข้าใจกันดี แต่แล้ว เขาก็เป็นคนที่คอยขุดคุ้ย เปรียบเทียบกับคนเก่าๆ ของดิฉันตลอดเวลา

ดิฉันควรจะทำอย่างไร กับผู้ชายห่วยๆ คนนี้ ดีคะ ใจจริงอยากให้เขาไปเจอคนที่ใช่มากกว่าดิฉัน มีคนอื่นไปเลย แต่เขาก็ไม่ทำ อ้างแต่ว่า รักลูกมาก แต่หลายครั้งดิฉันรู้สึกว่า เขาแค่ลดศักด์ศรีความเป็นผู้ชายลงหน่อย ก็อยู่ดีกินดี อยู่สบายกินสบาย บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ เงินเดือนก็ไม่ต้องให้ อยากทำตัวยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ทำได้ แถมได้อยู่กับลูกอีกต่างหาก ก็เท่านั้น

คุณ aston คะ ช่วยบอกทางสว่างให้ด้วยเถอะค่ะ ดิฉันต้องทำอย่างไร ทำงานหาเงินเลี้ยงทุกคนในครอบครัวก็เหนื่อยมากพอแล้ว กลับมาบ้านยังต้องเหนื่อยใจกับผู้ชายเฮงซวยคนนี้อีก รู้สึกว่า ตัวเองซวยมากจริงๆ ที่เลือกคนๆ นี้มาเป็นพ่อของลูก

ช่วยดิฉันด้วยนะคะ

ขอขอบคุณล่วงหน้าไว้เลยค่ะ


เพราะ


โดย: A Pity Mom IP: 124.121.232.184 วันที่: 5 ตุลาคม 2551 เวลา:21:52:42 น.  

 
ผมเอาไปขึ้นบล็อกใหม่ให้เลย ทั้งสองท่านนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:22:03:28 น.  

 
สวัสดีครับคุณพิทยากร
เมื่อเสาร์ที่แล้ว (25 ตค.08) ผมเพิ่งได้รู้ว่าคุณพิทยากรก็เป็นแฟนทีม Aston Villa เหมือนกัน ผมเป็นแฟนทีมนี้ตั้งแต่ปี 1975 ตอนที่ทีมได้แชมป์ ลีกคัพในปี1975 ตอนนั้นผมอายุ 10 ขวบ ถ้าคุณพิทยากรไม่รังเกียจ email มาคุยกันเรื่อง Villaก็ได้นะครับ ผมเองยังไม่เคยรู้จักใครที่ชอบ Villa เลยครับผมมีของสะสมของ Villa ค่อนข้างมากพอสมควรครับ email ของผมครับ
thanesssean@hotmail.com
ขอบคุณครับ
ธเนศร์


โดย: ธเนศร์ IP: 58.8.197.195 วันที่: 27 ตุลาคม 2551 เวลา:15:09:16 น.  

 
5555 คุณธเนศร์ สวัสดีครับ

จริงๆมีน้องคนนึงเป็น blogger ในนี้ ก็เชียร์วิลล่าเหมือนกัน

แต่ต้องหาก่อนนิดนึง ว่าชื่ออะไรหนอ ^^"

ถ้าเป็นแฟนตั้งแต่ปี 75 ตอน 10 ขวบ งั้นคุณธเนศร์ ก็เป็นพี่ผมอยู่หลายปีอยู่นะครับ

เพราะผมเชียร์ตอนปี 81 ที่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ น่ะครับ

:)


โดย: aston27 วันที่: 28 ตุลาคม 2551 เวลา:18:07:09 น.  

 
เคยอ่านหนังสือธรรมะ พระบอกให้มีสติ, รู้ตัวอยู่ตลอด ที่สำคัญที่สุดคือ "มรณานุสติ" โดยเฉพาะก่อนนอน เพื่อให้ละวางเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต ทั้งปัญหา, การวางแผนการต่าง ๆ สำหรับวันพรุ่งนี้, ฯลฯ

แต่เคยพยายามทำแล้ว โดยการคิดว่า เราอาจหลับไปในคืนนี้ แล้วไม่ตื่นมาเจอพรุ่งนี้อีกเลย ปรากฎว่า แทนที่จะมีสติ กลับเป็นคิดโน่นนี่ ว่าถ้าเราไม่ตื่นมา ลูกจะเป็นยังไง, สามีจะมีแฟนใหม่มั้ย, แล้วเค้าจะดูแลลูกได้ดีมั้ย ฯลฯ ... สารพัด เลยกลายเป็นนอนไม่หลับเลยค่ะ

เลยเปลี่ยนเป็นตั้งสติใหม่ ว่านี่เป็นเวลานอน รีบนอนซะ เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า มีภาระให้ต้องทำอีกเยอะ นอนเอาแรงดีกว่า แล้วก็หลับไปเลยค่ะ ไม่ฟุ้งซ่าน

คำถามคือ งงตัวเองค่ะ ไม่รู้เรียกว่ามีสติหรือไม่มีสติคะ


โดย: mama-space IP: 124.122.167.226 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:07:25 น.  

 
ขอเรียนปรึกษาหลังไมค์จะได้ไหมค่ะ


โดย: Destiny IP: 203.155.165.23 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2551 เวลา:8:35:06 น.  

 
ได้ครับ คุณ destiny เมล์มาที่ aston27@gmail.com ก็ได้ครับ

แต่ขอสงวนสิทธิ์ว่า อาจจะเอาคำถามมาลงในบล็อก แบบไม่เปิดเผยชื่อ เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมนะครับ แต่ไม่ได้ทำทุกกรณี จะดูเป็นกรณีๆไป ว่าเรื่องของคุณเป็นความลับขนาดไหน อ่านแล้วจะรู้ไหมว่าเป็นใคร

ถ้าอ่านแล้วเดาได้ ก็ไม่เอามาลงครับ


โดย: aston27 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2551 เวลา:17:07:34 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณพิทยากร
เป็นแฟนรายการเพลงคุณพิทยากรมานานนนน...มาก...... เพราะเป็นคนยุค 70 ก็เลยชอบเพลงที่คุณเปิดมากๆ
เมื่อวานได้อ่านเรื่องแผลเป็นของซีลแต่อ่านไม่จบวันนี้จะมาอ่านต่อแต่หาไม่เจอเพราะเป็นคน low tech
ก็เลยขอถามคำถามเลยก็แล้วกันว่าเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตชีวิตมา ตอนนี้สุขภาพแข็งแรงเป็นปรกติแล้ว แต่แผลในใจไม่จางหายไปเลย เมื่อเห็นอะไรที่เกี่ยวกับการรักษาตัวโดยเคมีบำบัด หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเจ็บป่วย โรงพยาบาล ข่าวการไม่สบายของใครก็ตาม ใจจะฝ่อ กลัว บางครั้งน้ำตาไหล พยายามคิดว่าเราผ่านมาได้แล้ว ลืมอดีต ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แต่ก็ยังทำไม่ได้ ทุกวันนี้สวดมนต์ นั่งสมาธิ จากที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย เรียกว่าพบธรรมะเมื่อพบวิกฤตชีวิตใจเย็นลงเยอะมากๆ ขอถามคำถามคร่าวๆ ก่อนค่ะ
1. แผลในใจมีวิธีรักษาให้จางได้บ้างหรือไม่คะ หรือไม่ต้องรักษา
2. เวลานั่งสมาธิจิตใจชอบวอกแวกคิดไปเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องงานถ้าตอนนั้นงานเยอะจะคิดว่าจะทำอะไรก่อน เรื่องทำความสะอาดบ้าน แต่ไม่ได้คิดไปเรื่องในอดีต แต่บางครั้งสวดมนต์แล้วน้ำตาไหลออกมา เพราะคิดไปถึงน้อง พ่อ แม่ที่ทุกคนช่วยให้ผ่านพ้นวิฤกตชีวิตมาได้ (เขียนคำถามนี้ก็น้ำตาไหลออกมาแล้วเช่นกัน แต่กลั้นไว้) มีวิธีใหนที่จิตใจจะไม่วอกแวกเวลานั่งสมาธิได้บ้างหรือไม่คะ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบนะคะ จะรออ่านค่ะ แล้วจะเขียนมาใหม่ค่ะ

Ratchanee


โดย: Ratchanee IP: 119.46.72.113 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:29:39 น.  

 
สวัสดีครับ คุณรัชนี

ที่จริงสองคำถามของคุณรัชนี สามารถอธิบายรวมกันได้เป็นข้อเดียวเลยครับ

เพราะเป็นเรื่องของจิตเหมือนกัน

จิตเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็น "ตัวเรา" ถูกไหมครับ
แต่จิตเองกลับมีความจริงที่แสดงให้เราดูบ่อยๆ แต่เราไม่ค่อยเห็น หรือสังเกต หรือเห็นแล้วแต่ไม่ยอมรับ ว่า

"จิตเป็นของปรวนแปร มีทุกข์บีบคั้นตามธรรมชาติ และไม่ไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้"

แผลในใจที่คุณเจอ ที่จริงก็คือการทำงานของจิตในส่วนที่เป็นความจำได้ หมายรู้ บวกกับความคิดนึก ปรุงแต่ง

อาจจะฟังดูโหดร้าย ถ้าต้องบอกว่า จิตมันจะฝังใจกับอะไร เราก็บังคับมันไม่ได้นะครับ

จิตก็เหมือนต้นมะม่วง ลำไย หรืออะไรสักอย่างที่ทำงานเป็นปกติสามัญตามธรรมชาติของมันเอง

การที่เรา "คิดเอา" โดยการสมมติตามกฏหมาย ตามเอกสารโฉนด
ว่าเราเป็นเจ้าของต้นมะม่วงทั้งสวน ไม่ได้ให้อำนาจเราตรงไหนเลยที่จะ "สั่ง" ให้มันออกลูกได้

มะม่วงมันก็ออกลูกตามธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาอันควร เมื่อมีเหตุอันควร เมื่อมีปัจจัยอันควร

เช่นได้ดินดี น้ำพอเหมาะ แดดพอเพียง แร่ธาตุสารอาหารครบถ้วน อุณหภูมิเหมาะสม มะม่วงจึงออกดอก ออกผลเอง

คนเราทำได้เพียงแค่สร้างเหตุและปัจจัยให้พอเหมาะ พอดี สมควรแก่การเติบโตของมะม่วง

จิตใจก็เหมือนกัน เราบังคับ เราสั่งเขาไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่ตัวเรา หรือในระดับคนที่ยังไม่เห็นได้อย่างนั้น ก็พอเห็นได้ว่า เขาไม่ได้อยู่ใต้อาณัติบัญชาคำสั่งของเรา

วิธีการจะเห็นจริงได้ว่า จิตไม่ใช่เรา เราใช้วิธีการเจริญสติ หรือเรียศัพท์เทคนิคแบบแขกๆว่า วิปัสสนา

วิปัสสนา จึงไม่ใช่การไปนั่งสมาธิหลับตาปี๋ เหมือนกลัวผีมาหลอก แต่เป็นการคอยมีสติคอยรู้สึกตัว รู้กาย รู้ใจตัวเองลงปัจจุบัน ตามความเป็นจริง

ในหมวดกาย พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้รูปกายที่ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ได้บอกว่าให้นั่งสมาธิอย่างเดียว

พูดแบบง่ายๆ กายมันเป็นอย่างไร ให้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น เช่นมันนั่งรถเมล์อยู่ก็รู้การมีรูปนั่ง

เห็นว่ารูปนั่งเอนไปไหวมาตามแรงซิ่งของคนขับนี้เป็นส่วนหนึ่ง ใจที่ไปรู้กายก็เป็นอีกส่วน อยู่ด้วยกันแต่เป็นคนละส่วนกัน

พูดแบบซื่อๆ เห็นว่ากายเป็นส่วนหนึ่ง จิตเป็นอีกส่วน อันนี้เรียกว่าจิตมันมีปัญญาเบื้องต้น

นั่งๆไป รถเมล์เบรกกระทันหัน หน้าเราทิ่มเกือบกระแทกเบาะหน้า จิตตกใจ รู้ทันว่าตกใจ หลังจากนั้น จิตปรุงความโกรธ ก็รู้ทันว่าโกรธ

จากจิตที่เคลิ้มๆ พลิกเป็นจิตที่มีความตกใจ แล้วก็เปลี่ยนเป็นจิตที่โกรธ

ถ้าเห็นว่าความตกใจ ความโกรธไม่ใช่จิต แต่ความตกใจ ความโกรธล้วนเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาในจิต เหมือนน้ำเน่าที่ถูกรินลงในแก้ว

แก้วก็ไม่ใช่น้ำเน่า น้ำเน่าก็ไม่ใช่แก้ว แต่มันเป็นสิ่งที่มาอาศัยในแก้ว ทำให้แก้วเหม็นได้

วิปัสสนาเราดูเพื่อให้เห็นความจริงเหล่านี้ ดังนั้นเราจะดูแบบยอมรับความจริง ดูแบบที่มันเป็นจริง ไม่ดัดแปลง ไม่ปรุงแต่ง ไม่เสแสร้ง

กลัว รู้ว่ากลัว ไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ โกรธ รู้ว่าโกรธ
ไม่ห้าม ไม่บังคับ ไม่กด ไม่ข่ม แต่ยกเว้นว่าต้องไม่ผิดศีล 5 นะครับ

ศีล 5 คือรั้วที่กั้นเราไม่ให้ละเมิดผู้อื่นด้วยกาย ด้วยวาจา แต่ใจนี่เอาไว้ดู เอาไว้เรียนรู้ครับ

ถ้าเห็นความจริงของกาย ของจิตใจบ่อยๆ จิตเองนั่นแหละ จะค่อยๆฉลาดขึ้น จะมีสติสัมปชัญญะมากขึ้นตามลำดับ เพราะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นสภาวะแบบไหน จะดีหรือร้าย ล้วนแต่เป็นของชั่วคราว ผ่านมาแล้วผ่านไป

ความกลัว ก็ไม่ได้กลัวตลอดเวลา กลัวชั่วครู่ ชั่วคราว
ใจฝ่อ ก็ไม่ได้ฝ่อ 24 ชั่วโมง ฝ่อได้ ก็ฟูได้ เหมือนที่มันเปลี่ยนจากเคลิ้ม เป็นตกใจ เป็นโกรธ แล้วก็หายโกรธ

จิตใจที่ว่อกแว่ก ก็เหมือนกันนะครับ มันเป็นธรรมชาติของจิต ที่จะปรวนแปร เคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ถ้าจะทำให้มันนิ่ง มันสงบ ก็ทำได้ เรียกว่าปฏิบัติสมถะกรรมฐาน เช่นดูลม ดูท้องพองยุบ เดินจงกรมดูเท้า บริกรรมพุทโธ หรือสวดมนต์ จิตก็จะนิ่งได้ สงบได้ ชั่วคราว

แต่ถ้าจะเอาปัญญา สู้กับทุกข์จริงๆ เห็นจะต้อง ขยับไปทำวิปัสสนา

ฉะนั้น ที่นั่งสมาธิแล้วเห็นว่ามันเคลื่อนไหว ว่อกแว่ก นั่นแหละดีแล้วนะครับ เห็นอนิจจัง เห็นทุกข์ เห็นอนัตตา นี่แหละวิปัสสนาแท้ๆ

ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ วางใจให้ถูก เชื่อในการเรียนรู้จักตัวเอง แล้วจะเห็นว่า

จิตที่ว่อกแว่ก ไม่ใช่ปัญหา
ปัญหาอยู่ที่จิตอีกดวง ที่ไม่ชอบความว่อกแว่กนั้นอีกทีครับ



โดย: aston27 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:40:21 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณaston27

เมื่อวานนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาทำความรู้จักกับสหายธรรมทุกท่านที่นี่ เพราะมีกระทู้ขึ้นว่าภรรยาควรกราบสามีก่อนนอนไหม อ่านคำตอบของแต่ละท่านแล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว เพราะถ้าย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้วฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กราบสามีก่อนนอน.ไม่ได้บ่อยมากแต่ก็ทำด้วยความปิติในใจ..ด้วยความให้เกียรติและเคารพ.. ตอนนี้ทุกคนต่างยุติลงด้วยการอโหสิกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด....และทำให้เรามองธรรมเรื่องความรักได้ดียิ่งขึ้นว่า บุญจะทำให้เราพบเจอสิ่งที่ดีและถ้ายุติลงด้วยการอโหสิกรรมความสุขจะเกิดกับใจจริงๆ
ได้พบคุณ aston27ที่ศาลาลุงชินเมื่อวันอาทิตย์ที่16พ.ย.ที่ผ่านมาหลวงพ่อปราโมชท์มาสอนธรรมฉันนำอาหารไปถวายท่านแต่เจ้าหน้าที่ที่น่ารักก็กล่าวว่าท่านฉันอาหารมาแล้วเลยขอความกรุณาสอบถามคุณaston27ได้ไหมค่ะว่าปัจจัยที่ท่านยังต้องการตลอดจนอาจจะนำไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ยังขาดสิ่งใดบ้างปกติเวลาไปทำบุญที่วัดอื่นฉันจะนำเป็นของใช้ที่จำเป็นในวัดไปถวายแต่ถวายกับหลวงพ่อท่านโดยตรงยังไม่เคยถวายค่ะช่วยแนะนำด้วยนะคะขาดปัจจัยอะไรบ้าง
ฉันได้ฝึกดูจิตมาระยะหนึ่งแต่ยังไม่เข้าใจมากนักขออนุญาตสอบถามนะคะ มีช่วงหนึ่งที่ฝึกแล้วรู้สึกว่าเห็นตนเองเดินคนเดียวชัดเจนและเวลาสวดมนต์ฉันดูตนเองเป็นหลักมีครั้งหนึ่งที่เหมือนเห็นร่างนั่งอยู่แต่กลัวเลยไม่กล้าตั้งจิตต่ออย่างนี้มาถูกทางหรือเปล่าค่ะแต่ได้ธรรมจากหลวงพ่อเรื่องหนึ่งว่าเราฝึกแล้วไม่ควรซึมทำให้กระเด็นออกมาว่าตนเองอาจจะทำผิดและได้ธรรมมาอีก1ข้อแต่ยังฝึกได้ไม่ดีนักหลงอยู่ตลอดแต่หลงแล้วก็จะบอกตนเองว่า"หลงหนอ"ก็จะได้สติแต่แป๊บนึงก็เป็นอีกมีวิธีชี้แนะบ้างไหมค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำตอบล่วงหน้าค่ะหากมีโอกาสขอตั้งจิตสร้างมหากุศลเพื่อเดินทางข้ามสังสารวัฏด้วยคนนะคะสิ่งใดที่ดีงามขอให้เกิดแก่คุณและครอบครัวตลอดจนผู้อ่านทุกท่าน จิตใจดีกันทุกคนทำดีกันทุกคนนะคะ

ด้วยความเคารพ
Serendipity...


โดย: Serendipity IP: 124.120.188.189 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2551 เวลา:20:05:17 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณพิทยากร

วันนี้ได้อ่านคำตอบของคุณพิทยากรแล้ว ทำให้ได้เข้าใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามจะ print ไว้อ่านอีกหลายๆ รอบ จะได้เข้าใจได้ลึกซึ้งขื้นอีก ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำตอบที่มีประโยชน์มาก
แล้ววันเสาร์นี้พี่ (ขอเรียกตัวเองว่าพี่ก็แล้วกันนะคะ เพราะเป็นวัยรุ่นยุค 70 นี่ก็ปาเข้าไปจะ 50 อยู่อีกไม่กี่ปีนี้แล้วล่ะค่ะ) จะรอฟังเพลง 70 ค่ะ
และจะเขียนมารบกวนถามใหม่ค่ะเมื่อกลั่นกรองคำถามได้แล้ว

Thank you again for your kindness.
รัชนี


โดย: Ratchanee IP: 119.46.72.113 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2551 เวลา:10:22:37 น.  

 
อาทิตย์หน้า คุณแม่จะต้องไปทำบอลลูน เพราะเส้นเลือดหัวใจตีบ โดยส่วนตัวเอง ไม่มีความรู้สึกกังวลอะไร เพราะคิดว่า คุณหมอที่จะทำให้น่าจะเป็นระดับท็อปของประเทศแล้ว ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณแม่ ก็คงแล้วแต่กรรม แต่พอพูดไป เหมือนเราเป็นคนไม่รักแม่ ไม่มีหัวจิตหัวใจเลย ทำไมไม่วิตกกังวลบ้าง

คือ คิดว่าตัวเองได้ผ่านเหตุการณ์ที่ต้องฝึกให้รู้ว่า ทุกข์ก็ไม่นาน สุขก็ไม่นาน มาหลายเหตุการณ์ เลยรู้สึกเหมือนตัวเองจิตใจด้านชายังไงก็ไม่รู้ มันจะรู้สึกเฉย ๆ เวลามีปัญหาอะไรเข้ามาน่ะค่ะ ก็หาทางแก้กันไป เคยอ่านหนังสือของใครสักคน เค้าว่า ปัญหามี 2 อย่าง คือ ปัญหาที่แก้ได้ เราก็หาทางแก้ไป กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ เค้าไม่นับว่าเป็นปัญหา เพราะมันแก้ไม่ได้ไงคะ ก็ต้องปล่อยมันไป มาทำใจเราอย่างเดียว

เวลาได้รับรู้เรื่องของคนอื่นที่กำลังทุกข์ เราก็ไม่ได้แสดงความเห็นอกเห็นใจเท่าที่ควรมั้งคะ ก็จะพูดอะไรให้เค้ามีสติ ไม่ฟูมฟายไปกับทุกข์ แต่คงเป็นเพราะเราเป็นคนตรง ๆ เกินไป การพูดเลยเหมือนไม่แสดงความเห็นใจเค้าเลย ยากจังเลยนะคะที่จะตอบปัญหาใครได้อย่างคุณเอ๊ดดี้


โดย: mama-space IP: 124.120.79.150 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:11:52 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณพิทยากร

วันนี้มีคำถามเฉพาะกิจมาถามคุณพิทยากร
เมื่อวานพี่ไปหาหมอเพื่อ follow up ตามปรกติมา ผลการตรวจเป็นปรกติดี พอดีช่วงที่ผ่านมาพี่ปวดหัวเข่า และปวดตามข้อบ้างก็เลยบอกหมอว่าปวดหัวเข่า อาจารย์หมอก็เลยให้ตรวจ bone scan พอต้องไปตรวจอีกวันที่ 12 นี้ ก็เกิดใจฝ่อ จิตใจปรุงแต่งไปต่างๆ นานา ถึงเหตุการณ์ในอดีต นับตั้งแต่เมื่อวาน จนถึงเวลานี้ยังไม่เกิดปัญญาว่าจะทำยังไงให้จิตใจไม่ปรุงแต่งไปต่างๆ นานาได้ เวลานึกรู้สึกตัวก็รู้สึกแต่ว่ากลัว ในขณะที่น้องที่ช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตชีวิตมาได้ด้วยกัน ก็บอกว่า เราผ่านมันมาได้แล้ว และก็ให้พี่คิดถึงแต่สิ่งที่ดีๆ แบบใน the secret น้องก็พูดให้สติมาหลายรอบแล้ว แต่ในใจก็รู้สึกใจฝ่อและกลัวอยู่ตลอดเวลา กลัวเหตุการณ์อดีต พี่อยากจะได้คำแนะนำในมุมมองของคุณพิทยากรว่าพี่ควรจะมีวิธีคิดอย่างไรดีคะ ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบค่ะ
และวันนี้เห็นคุณพิทยากรได้นำคำถามพี่ไปขึ้น blog ใหม่ ขอบคุณค่ะที่เห็นว่าคำถามพี่มีประโยชน์

รัชนี


โดย: Ratchanee IP: 119.46.72.113 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:58:32 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่aston
ขอคำปรึกษานิดนึงนะคะ คือหนูเพิ่งแต่งงานกับแฟนชาวต่างชาติมาสักพัก ตลอดเวลาที่คบกันเป็นแฟน ทุกอย่างราบรื่นค่ะ เพราะการใช้ชีวิตเราคล้ายๆกัน เค้าทำงานเป้น โปรแกรมเมอร์อยู่ที่เมืองไทยมาครึ่ง ปีค่ะ หลังจากคบกับมา 2 ปี เค้าก็อยากให้หนูย้ายมาอยู่ด้วย แต่หนุบอกเค้าว่า ที่เมืองไทย ถ้าไม่แต่งงานกันก่อน ก้อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะถ้าอยู่ก่อนแต่งพ่อแม่หนูก็ไม่ยอม เค้าก้เลยโอเคค่ะ

หลังจากที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่คอนโด หนูไม่ชินเลยค่ะ รุ้สึกได้ว่า ต้องปรับตัวเยอะมากกก พักหลังนี้ เค้าเอางานกลับมาทำที่บ้านทุกวัน แบบกลับมาบ้าน กินข้าวเย็นเสร็จแล้วก้เปิดโน๊ตบุคเข้าห้องทำงานเลยค่ะ แล้วก้ทำงานจนถึงเข้านอน เราแทบจะไม่มีเวลาคุยกันเลยค่ะ เหมือนกับว่าเราอยู่คนเดียวตลอด เหงาค่ะ บางทีก้รู้สึกเหมือนเค้าไม่ได้สนใจเรา ก็คุยกับเค้านะคะ แต่เค้าบอกว่า เค้ายังสนุกกับการทำงาน ช่วงนี้เป้นช่วงที่เค้ายังทำงานหาเงินได้ ก็อยากทำให้เต็มที่ แล้วมันก้คงต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ พอพูดมากๆก้จะกลายเป้นหนูขี้บ่นและเรียกร้องเค้ามากเกินไป

ขอคำแนะนำจากพี่ aston นะคะ ทำยังไง ถึงจะมองเรื่องการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาได้คะ ไม่อยากเป้นคนขี้น้อยใจ คิดมาก ฟุ้งซ่านเลยค่ะ ทำยังไงดีค่ะ ทุกวันนี้หนูก็พยายามอยู่กับปัจจุบัน ไม่คิดถึงอดีต แต่มันก็น้อยใจอ่ะค่ะ เหมือนเค้ารักหนูน้อยลง แล้วก็เผลอไปคิดถึงตอนเป้นแฟนกันอีก เพราะช่วงนั้นทุกอย่างดีมาก เค้ามีเวลาให้ตลอด พอนึกถึงสมัยก่อน หนูก็เศร้าทุกที่ค่ะ บางทีก็แอบคิดว่า ถ้ายังงี้ไม่แต่งดีกว่า เพราะยอมรับว่า ตอนที่เป็นแฟนกันมีความสุขกว่าเยอะเลยค่ะ


โดย: Jasmine IP: 61.47.1.194 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:11:09 น.  

 
คุณ Serendipity ครับ

ปัจจัยที่วัดไม่ขาดหรอกครับ มีญาติโยมนำไปถวายเยอะแยะ ขนาดท่านเองยังเหลือใช้จนต้องนำไปแจกจ่ายต่อให้วัดทางอีสาน ที่ยากจน และลำบาก

ฉะนั้น ของอะไรที่ใช้ประโยชน์ได้ จะเป็นข้าวสารอาหารแห้ง กะปิ น้ำปลา ผ้าไตร สามารถนำไปถวายได้ตามศรัทธาของเราครับ

ถ้าไม่สะดวกจะซื้อเป็นของ ก็มีทางให้ทำทานอย่างอื่น เช่น ถวายปัจจัย ค่าสื่อธรรมะ พวก หนังสือ หรือซีดี ก็ได้ เพราะวันๆหนึ่งมีผู้มาขอรับเป็นร้อยๆคน

มีช่วงหนึ่งที่ฝึกแล้วรู้สึกว่าเห็นตนเองเดินคนเดียวชัดเจนและเวลาสวดมนต์ฉันดูตนเองเป็นหลัก มีครั้งหนึ่งที่เหมือนเห็นร่างนั่งอยู่แต่กลัวเลยไม่กล้าตั้งจิตต่ออย่างนี้มาถูกทางหรือเปล่า

อาการนี้เป็นปกติมากครับ มีคนเห็นได้แบบคุณเยอะแยะ ไม่ผิดปกติ ไม่มีอะไรน่ากลัว ผมเองเดินเล่นๆ ยังเห็นได้บ่อยๆ ว่ากายที่เดิน เหมือนเป็นก้อนๆหนึ่ง ไม่ใช่ตัวเรา มีใจอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ดู อยู่ต่างหาก

ถ้าเห็นแบบนั้นแล้วเกิดกลัว ก็ให้รู้ทันความกลัวนั้นนะครับ แต่จะบอกว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลยครับ อันนั้นแหละเป็นปัญญาเบื้องต้นสำหรับทุกคนที่จะขึ้นวิปัสสนา คือการเห็นว่า นาม กับ รูป หรือ จิต กับกาย มันเป็นคนละส่วนกัน

ยังฝึกได้ไม่ดีนักหลงอยู่ตลอดแต่หลงแล้วก็จะบอกตนเองว่า"หลงหนอ"ก็จะได้สติแต่แป๊บนึงก็เป็นอีกมีวิธีชี้แนะบ้างไหมค่ะ

อ่า... ถ้าเมื่อไหร่เราไม่หลงเลยนี่ แปลว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้วนะครับ

คนธรรมดา ยังมีจิตที่คู่กับความหลงกันทั้งนั้นครับ หลงไปในรูป ในแสงที่มองเห็น หลงไปในเสียงที่ได้ยิน หลงไปในกลิ่นที่ได้ดม หลงไปในรสที่ได้ลิ้ม หลงไปในสัมผัสที่ได้แตะต้อง

พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนว่า "อย่าหลง" แต่ท่านบอกว่า เมื่อจิตหลงไปก็ให้รู้

เราไม่ได้ฝึกเพื่อห้ามไม่ให้จิตหลงนะครับ แต่เราฝึกเพื่อจะได้รู้ทันว่า จิตที่หลงไปมันหลงเอง เราไม่ได้บังคับให้หลง และห้ามก็ไม่ได้ จิตที่หลงก็ไม่เที่ยง พอหมดเหตุของความหลง ก็ดับไป

เราฝึกดูความจริงเหล่านี้แหละครับ เพื่อจะได้เห็นความจริงว่า ทุกอย่างที่ผ่านมา เป็นแค่ของชั่วคราว จิตที่หลงก็ชั่วคราว มีสติรู้สึกตัวก็ชั่วคราว เหมือนความสุข ความทุกข์ ก็ล้วนแล้วแต่ของชั่วคราวเหมือนๆกัน

mama-space
แหะ แหะ.. อันนี้มันแล้วแต่คนจะตีความนะครับ

ครูบาอาจารย์บางท่าน ถึงกับสอนว่า เวลาพ่อแม่ตาย ต้องเบิกบานนะ

เพราะความหมายของท่านคือ การตายนั้น เป็นการแสดงธรรมอย่างหนึ่งจากพ่อแม่ ให้เราเห็นว่า การแตกดับของสังขาร เป็นเรื่องธรรมดา เห็นว่าอนิจจังความไม่เที่ยงในขันธุ์มีจริง ให้เห็นว่าตัวตนที่เป็นของเราจริงๆไม่มี มีแต่ก้อนธาตุที่สมมติเอา ยึดเอา เชื่อเอา ว่าเป็นของเรา แต่พอตายแล้วถึงรู้ว่า กายนี้ไม่ใช่หรอก

ฉะนั้น เมื่อพ่อแม่เราท่านแสดงให้เห็นประจักษ์อย่างนั้น เราก็ควรจะยินดีในธรรมที่ท่านแสดง

คนอื่นจะเข้าใจอย่างไร อันนั้นก็ว่าเขาไม่ได้ล่ะ

พี่รัชนีครับ
วิปัสสนา เราฝึกให้คุ้นเคยกับการมีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่ด้วยการคิดเอาน่ะครับ

ถ้าจะใช้วิธีคิด ก็ต้องรู้ตัวว่า เรากำลังจะทำสมถะ พี่ก็คิดได้ว่า กายนี้ไม่ใช่ตัวเรา เป็นแค่ก้อนธาตุที่เรายืมโลกมา มันย่อมมีความเสื่อมของสังขารเป็นธรรมดา

ถ้าเห็นว่าความเสื่อมก็เป็นของธรรมชาติ ธรรมดา เราไม่ได้สั่ง ไม่ได้เป็นคนกำหนด แต่เราก็บังคับไล่ให้มันไปไม่ได้ อันนี้ก็รู้ได้ด้วยการเจริญสติ จะคิดเอาก็พอได้ แต่มันก็เป็นจินตมยปัญญา คือปัญญาจากการคิด ไม่ใช่จากวิปัสสนา รู้กาย รู้ใจตามความเป็นจริง

เวลานึกถึงแล้วกลัว ก็ให้เจริญวิปัสสนา ดูความกลัว รู้สึกตัวไว้ ฝ่อก็รู้ว่าฝ่อ เห็นว่าจิตมันมีปกติธรรมชาติ ในการวิ่งไปคิดฟุ้งซ่าน เรื่องโน้น เรื่องนี้ โดยไม่มีใครมาบังคับ และจะห้ามก็ไม่ได้อันนี้ก็หัดมีสติ

คุณ Jasmine

แหม ปัญหาครอบครัวนี่ ผมก็ตอบลำบากนะครับ

แต่เห็นได้อย่างหนึ่งคือ ความปกติของชีวิตมันไม่เสมอกัน เขาก็อย่าง คุณก็อย่าง

วิธีที่ช่วยได้ในเรื่องความไม่สบายใจ ก็คือทำใจครับ ต้องยอมรับให้ได้ว่า เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ ส่วนตัวเอง ก็ย้อนมาดูความหงุดหงิด ไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่สบายใจ น้อยใจของตัวเองไว้

เรียกว่าคอยย้อนมาดูจิตใจตัวเอง ว่าเราก็เป็นของเราแบบนี้เหมือนกัน แล้วจะไปโทษอะไรเขานักหนา

มนุษย์เราก็มีพื้นฐานในการรักตัวเอง เหมือนๆกัน จะมากบ้าง น้อยบ้าง ก็แล้วแต่บุญแต่กรรม ว่าใครทำมาอย่างไร

เขาทุ่มเวลาให้งาน ก็เพราะเขารักตัวเอง เห็นว่างานสำคัญสำหรับเขา เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เพื่อจะได้เงินเยอะๆ แล้วจะได้มีความสุข

คุณเองก็อยากให้เขาให้เวลากับคุณ ก็เพราะอยากเป็นคนสำคัญในชีวิตเขา นั่นก็เพราะคุณรักตัวเอง อยากให้ตัวเองมีความสุข และคิดว่า ถ้าเขาสนใจคุณมากขึ้น แล้วคุณจะมีความสุข

เรากับเขาก็ไม่ต่างกัน ถ้ามองในมุมนี้ เห็นไหมครับ


โดย: aston27 วันที่: 2 ธันวาคม 2551 เวลา:18:11:03 น.  

 
ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำค่ะ ตอนนี้ก็ทำใจค่ะ อยู่กับตัวเองมากขึ้น อยู่กับปัจจุบัน และหากิจกรรมทำให้ตัวเองมีความสุข ก้ดีขึ้นค่ะ

ปล. หนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยให้หนูฟุ่งซ่านน้อยลงก้ เข้ามาอ่านบล็อคของพี่นี่แหละค่ะ อ่านแล้วหนูสบายใจขึ้นมากค่ะ จะติดตามเรื่อยๆนะคะ


โดย: Jasmine IP: 61.47.1.194 วันที่: 8 ธันวาคม 2551 เวลา:9:21:34 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณเอ๊ดดี้

เท่าที่ติดตามอ่านมา หลัง ๆ นี้มักจะเป็นเรื่องอกหักรักคุดนะคะ ซึ่งคุณเอ๊ดดี้ก็ย้ำให้คนที่มาปรึกษาพิจารณาและพยายามรู้เท่าทันจิตตัวเองโดยไม่ต้องใช้เหตุผลมากมายมาประกอบ

โดยส่วนตัว เห็นด้วยกับแนวทางนี้แน่นอนค่ะ แต่อยากนำเสนอแนวทางอื่น เช่น การพิจารณาว่า มีคนอื่น ๆ ที่มีความทุกข์มากกว่าเราอยู่เสมอ เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ความทุกข์ของเรา (คนอกหัก) อาจจะเล็กน้อยมาก

อีกอย่างคือ อยากจะแนะนำให้คนที่กำลังมีความทุกข์ ลองใช้เวลาที่เศร้าสร้อย ไปคัดเลือกข้าวของที่มี แล้วไม่ค่อยได้ใช้ นำไปบริจาค ถ้าสามารถตัดใจจากข้าวของที่เราคิดว่าเป็นของเราไปให้คนอื่นได้ มันจะได้ความรู้สึก 2 อย่างพร้อมกันเลยค่ะ คือ หนึ่ง อะไรใด ๆ ก็ไม่ใช่ของเรา และ สอง ความรู้สึกโล่ง ตัวเบา มีความสุขที่สิ่งของนั้น ๆ สามารถเป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ ที่จำเป็นมากกว่าเรา ความสุขที่ได้มา สามารถทำให้เราคลายความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอื่น ๆ ได้ แม้แต่คนรักที่จากไป

ไม่รู้นะคะ ว่าจะช่วยได้มั้ย แต่จากประสบการณ์ (อกหัก) ในเวลานั้นก็ทำทุกอย่างที่คิดว่าจะช่วยได้ มั่นใจว่า การที่เราสามารถตัดใจจากวัตถุรอบตัว (ที่มากเกินความจำเป็น) และการอยู่กับปัจจุบันขณะ เป็นสิ่งที่ทำให้เราผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้

อย่างที่เค้าบอกว่า "แปรวิกฤติให้เป็นโอกาส" ประสบการณ์ที่ได้ผ่านพ้นวิกฤติ "อกหัก" เป็น "โอกาส" ที่ดีที่สุดในชีวิตเลยค่ะ เปลี่ยนมุมมองในชีวิตหลายอย่าง และดีใจที่เกิดเหตุการณ์นี้ในชีวิตค่ะ


โดย: mama-space IP: 124.122.170.159 วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:22:55:29 น.  

 
ขอบคุณที่ช่วยแบ่งปันประสบการณ์และคำแนะนำดีๆครับ

ผมเห็นด้วยกับคุณ mama-space ครับ :)

โดยเฉพาะที่ว่า "อกหัก" เป็นโอกาสดีที่สุดในชีวิตของหลายคน ที่จะได้เรียนรู้อะไรดีๆ เปลี่ยนมุมมองในชีวิตหลายอย่าง

ผมดีใจด้วยที่คุณไม่เพียงแต่ผ่านมันมาได้ หากยังได้ประโยชน์จากมันอย่างสูงค่าอีกต่างหาก

ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ทุกข์ในชีวิตคนเรา ถ้ามีสติ มีปัญญา มันก็เหมือนปุ๋ยที่ทำจากของเน่าเหม็น มันช่วยเร่งการเติบโตให้จิตและสติปัญญาได้ครับ :)


โดย: aston27 วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:12:57:45 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณพิทยากร

พี่หายไปนาน ขอบคุณค่ะสำหรับคำตอบ ผล bone scan ร่างกายเป็นปรกติดีค่ะ ไปฟังผลมาตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม ช่วงนี้งานเยอะมากเลยไม่ได้เข้ามาเลย หลังจากเทศกาลปีใหม่ ก็เพิ่งจะได้เข้ามานี่ล่ะค่ะ แต่ก็ฟังรายการคุณพิทยากร ทุกวันเสาร์ค่ะ มีคำถามอีกเยอะอยู่ในใจต้องประมวลออกมาก่อนแล้วจะเขียนมาใหม่ค่ะ
คุณพิทยากรจะไปดู Rod Stewart หรือเปล่าคะ

Ratchanee


โดย: Ratchanee IP: 119.46.72.113 วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:14:53:31 น.  

 
อ่า... ยินดีด้วยที่ผลการตรวจออกมาดีนะครับพี่

Rod สจ๊วต ผมเพิ่งทราบว่าเขาจะมาเนี่ยล่ะครับ

จะมาเมื่อไหร่เหรอครับ


โดย: aston27 วันที่: 19 มกราคม 2552 เวลา:17:13:46 น.  

 

ขอบคุณค่ะ พี่ก็ดีใจมากเช่นเดียวกันค่ะ

วันพุธที่ 4 มีนาคม ค่ะ พี่จองบัตรแล้วค่ะ

Ratchanee


โดย: Ratchanee IP: 119.46.72.113 วันที่: 20 มกราคม 2552 เวลา:15:11:22 น.  

 
สวัสดีครับ คุณaston27

คุณบาอาจารย์ท่านสอนเราเสมอๆ ว่าให้เราหมั่นดูจิตอยู่เสมอ ที่นี้ก็เกิดคำถามหล่ะครับว่า การดูจิต มันคือการดูความคิด และมันคือการดูอารมณ์ หรือไม่ - ใช่ - หรือต่างกัน - จิต/ ความคิด/ อารมณ์???

คุณaston27 มีมุมมองเรื่องนี้อย่างไรบ้างครับ


โดย: pongpanda IP: 58.64.91.137 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:36:09 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณพิทยากร

พี่งานเยอะมาก แวะเข้ามาอ่าน blog ได้แป๊บนึง น่าสนใจมาก จะเข้ามาบอกว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 14 คุณพิทยาเปิดเพลงได้ถูกใจวัยโจ๋มั่กๆ ค่ะ เวลาเพลงถูกใจจะยิ้มไปด้วยทุกครั้ง (หน้ากากเสือ) ส่วนเสาร์ที่แล้วก็ถูกใจตอนช่วงแรก เช่น Hawaii five o ช่วงท้ายๆ เพลงพี่ไม่ค่อยรู้จักค่ะ และเพลง CSI ก็ชอบด้วย เพราะพี่เป็นแฟนตัวยงของ CSI ทั้ง 3 ภาค รวมทั้ง 24 และ nip/tuck ไม่ทราบว่าคุณพิทยาได้ดูทั้ง 2 เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า และ damages ด้วย สนุกมั่กๆ ค่ะ

วันนี้มีปัญหามาถาม 1 ข้อ ถามว่า เวลาพี่สวดมนต์ พี่จะร้องไห้แทบทุกครั้ง (ทุกวัน) บางวันเช่นวันนี้ร้องไห้มาก จนต้องเลิกสวดมนต์ไปแต่งหน้าแต่งตัวก่อนแล้วค่อยกลับมาสวดใหม่ เป็นเพราะว่าเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นแผลในใจ หรือว่าเป็นเพราะอะไรคะ

ขอขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบค่ะ
แล้วจะไปดู Rod Steward หรือเปล่า
พี่ Ratchanee ค่ะ




โดย: Ratchanee IP: 119.46.72.113 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:13:16:13 น.  

 
คุณ Pongpanda

การดูจิต คือการเรียนรู้ธรรมชาติของจิต รู้ความจริงว่าจิตนั้น แท้ที่จริงมีลักษณะสันดาน หรือธรรมชาติ ตามที่เป็นจริงอย่างไร

แต่เนื่องจากจิตไม่มีรูปให้เห็น เราจึงดูจิตตรงๆไม่ได้ ต้องอาศัยการดูสิ่งที่เรียกว่า "เจตสิก" อีกทีครับ

เจตสิก คืออะไร เปรียบง่ายๆว่า จิตเป็นตัวมนุษย์ล่องหน เรามองไม่เห็น จะมองได้ ก็ต้องมองเสื้อผ้าที่เขาใส่ เจตสิก ก็คือเสื้อผ้าของจิตนะครับ

หรือจะเรียกว่าสภาวะอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดนึก ปรุงแต่ง เป็นเหมือนสีที่ถูกฉีดเข้าไปในตัวมนุษย์ล่องหนก็ได้

เจตสิก จึงไม่ใช่ตัวจิตหรอกครับ แต่เป็นสิ่งที่มาแปะอยู่บนจิตอีกที เราจึงสามารถเรียนรู้การเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลง คือรู้ธรรมชาติของจิตได้ จากเจตสิกอีกที

พี่ Ratchanee ครับ เรื่องร้องไห้นี่ผมไม่แน่ใจนะครับ และไม่ทราบว่าพี่ร้องแบบ น้ำตาไหลเฉยๆ หรือว่าสะอึกสะอื้น

ลองดูความรู้สึกตอนนั้นก็ได้ว่า จิตมันอยู่ในอารมณ์ไหน เพราะร้องแล้วเศร้า ก็อย่างนึง ร้องแล้วสุขใจ ก็อีกอย่าง

ถ้าร้องแล้วเป็นสุข ก็อาจจะเพราะจิตมีปีติ ที่ได้ความสุขความสงบจากการสวดมนต์ อันนี้ปกติครับ

ถ้าร้องไห้แบบเศร้า หรือหดหู่ อาจจะเพราะจิตมีปัญญา รู้สึกสลดสังเวชกับโลก

ผมไม่มีพลังพิเศษอะไร เลยบอกไม่ได้ว่ากรณีของพี่เป็นแบบไหน แต่ที่เคยได้ยินคนมาส่งการบ้านกับหลวงพ่อปราโมทย์ ท่านจะบอกว่า มีอะไรเกิด ก็ไม่ต้องสนใจ ให้รู้ลงปัจจุบันไปลูกเดียว

ถ้ามีสติรู้ปัจจุบัน จะเห็นว่า จิตมันร้องไห้ มันก็ร้องเอง เราไม่ได้สั่ง มันร้องก็คงด้วยเหตุและปัจจัยอะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องของมันนะ ไม่ใช่เรื่องของเรา

หน้าที่ของเรา ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าแค่คอยรู้ทันลงปัจจุบัน รู้แล้วใจชอบ ก็รู้ว่าชอบ ใจไม่ชอบ ก็รู้ว่าไม่ชอบ กลัว ก็รู้ที่ความรู้สึกกลัว

ลองแบบนี้นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:15:58:17 น.  

 
"เจตสิก คืออะไร เปรียบง่ายๆว่า จิตเป็นตัวมนุษย์ล่องหน เรามองไม่เห็น จะมองได้ ก็ต้องมองเสื้อผ้าที่เขาใส่ เจตสิก ก็คือเสื้อผ้าของจิตนะครับ"

เอาหล่ะครับ พี่ท่าน งงเลยครับ เพิ่งเคยได้ยิน คำนี้เป็นครั้งแรก "เจตสิก"

ที่นี้จะทำยังงัยดีหล่ะครับ ผมขอถามใหม่ว่า เจตสิกคือยังรับรู้อารมณ์ และ ความคิด

เช่น ณ ขณะนี้ที่รู้สึกว่า งงคำว่าเจตสิก ผมก้อรับรู้และรู้สึกอยู่ว่า งง งง งง งง ถูกต้องไหมครับ

ขอโทษนะครับ ที่ถามจู้จี้ ช่วยสงเคราะห์ คนที่มีปัญญาตื้นเขินอย่างผมหน่อยนะครับ



โดย: Pongpanda IP: 58.64.91.254 วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:57:13 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณพิทยากร
ขอบคุณที่ตอบคำถามพี่ค่ะ เวลาที่ร้องไห้ ร้องแบบสะอึกสะอื้นค่ะ เช่น แค่แว๊บไปว่า วันนี้ดีไม่ร้องไห้เท่านั้น ก็เริ่มเลยค่ะ วันนี้ ก็ยังสวดมนต์ไม่จบเพราะร้องไห้เสียก่อน พี่คิดเอาเองว่า หรือว่าเป็นเพราะ ความรู้สึกที่ว่า ชีวิตนี้ยังโชคดีที่ได้พบธรรมะ เรียกว่าไม่พบทุกข์ก็คงไม่ได้พบธรรม พี่ก็ถามตัวเองอยู่บ่อยๆ เวลาที่ร้องไห้ตอนสวดมนต์ว่า นี่เศร้าหรือว่าสุข ก็ตอบว่า เศร้าเมื่อคิดถึงอดีตตอนพบวิกฤตชีวิต แต่สุขเมื่อรอดชีวิตมาได้และได้พบธรรมะ (เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ชีวิตเปลี่ยนไปมากเมื่อได้พบธรรมะ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ลึกซึ้ง แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่ได้พบเลย) อย่างนั้น ก็เป็นจิตมีปัญญา และจิตมีปีติในขณะเดียวกันใช่หรือเปล่าคะ จะอย่างไรก็ตาม พี่ก็จะพยายามทำตามคำแนะนำของคุณพิทยาให้รู้ทันลงปัจจุบันค่ะ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำตอบค่ะ
พี่ Ratchanee


โดย: Ratchanee IP: 119.46.72.113 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:14:42:19 น.  

 
รบกวนถามคุณ aston27 หน่อยค่ะ เคยฟังเทศน์หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านเคยตอบคำถามคนที่ถามท่านเรื่องดูจิต ว่าดูทันไม่ได้นะ ให้ตามรู้ อยากให้ช่วยชี้แนะว่าถ้าดูทันแ้ล้ว ควรปฏิบัติอย่างไร ให้เป็นตามรู้ มีคำแนะนำ มั๊ยคะ


โดย: presenta IP: 61.19.219.191 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:16:20:05 น.  

 
คุณ Pongpanda เอาล่ะสิ กลายเป็นผมไปทำให้คุณสับสนมากกว่าเก่าอีก

เอาแบบนี้นะครับ คุณ pongpanda อย่าคิดมาก ไม่ต้องรู้ก็ได้ว่าตัวนั้น ตัวนี้ เรียกว่าอะไร

งง แล้วรู้ว่างง แค่นี้ก็พอแล้ว
กลุ้มใจ รู้ว่า กลุ้มใจ
อยากรู้ รู้ว่า อยาก
ใจมันเป็นทุกข์ เพราะอยาก ก็รู้ว่าใจเป็นอย่างนั้น

ดูความเปลี่ยนแปลงของจิตใจไปเรื่อยๆ เห็นว่ามันทำงานได้เอง โดยที่เราไม่ได้สั่ง

เช่น จิตงง ก็เพราะมีเหตุของมันอย่างนั้น เราไม่ได้สั่งให้มันงง

จิต กลุ้ม ก็เพราะมีเหตุของมันอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะเราอยากกลุ้ม

จิตมีความอยาก ก็อยากโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่เราสั่งให้อยาก

เห็นว่าจิตทำงานได้เอง ไม่อยู่ใต้การสั่งงานของเรา เรียกว่าเห็นอนัตตา

เห็นว่า ความงง ความทุกข์ ความกลุ้มใจ ความอยาก ฯลฯ ล้วนเป็นของชั่วคราว เหตุปัจจัยเปลี่ยน มันก็เปลี่ยนไป ไม่คงที่ อันนี้เรียกว่าเห็นอนิจจัง

ดูเท่านี้ พอแล้วครับ เรื่องทฤษฎี ไม่ต้องสนใจมาก จะล่าช้าเปล่าๆ


คุณ presenta ที่ว่าดูจิตทันน่ะ คงเข้าใจผิดน่ะครับ

ในความเป็นจริง ถ้าดูจิตเป็นแล้ว จะรู้ว่า คนธรรมดาไม่มีใครดูจิตทันหรอกครับ

ยกตัวอย่าง ตอนที่จิตโกรธ แล้วรู้ทันว่าโกรธ อันนี้ก็คือการตามรู้นั่นแหละ

คือจิตต้องโกรธก่อน แล้วรู้ตามไปว่ากำลังโกรธนะ

แบบนี้ ไม่เรียกว่ารู้ทันแบบที่คุณกังวลครับ
ที่หลวงพ่อพูด ท่านหมายถึง อย่าไปดักรู้ อย่าไปพยายามรู้ให้พอดีกับสภาวะที่กำลังโผล่

แม้แต่คนที่ฝึกมาดีแล้ว จิตว่องไวมาก รู้ทันตั้งแต่ตอนจิตกระทบเสียง แสง(ภาพ) อะไรแล้วกำลังเริ่มให้ค่า เริ่มขุ่นใจ ยังไม่ทันโกรธ ก็ยังนับว่าเป็นการรู้ตามหลัง การทำงานของจิตน่ะครับ

คือจิตก็ยังต้องคิด จึงจะให้ค่า แล้วเริ่มขุ่นใจ พูดง่ายๆ คือเขาก็ทำงานไปแล้วแหละ เรารู้ตอนนั้น ก็คือตามรู้อยู่ดี เพียงแต่สั้นกว่า ไวกว่าเมื่อก่อน

ฉะนั้น ให้ถือหลักแค่ รู้เท่าที่รู้ได้ รู้ลงปัจจุบัน ไม่ดักรู้ ไม่ไปรอสภาวะ ก็จะเป็นการตามรู้ได้เองครับ


โดย: aston27 วันที่: 2 มีนาคม 2552 เวลา:12:48:45 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณเอ๊ดดี้

อยากจะรบกวนขอปรึกษาเรื่องน้องชายหน่อยค่ะ คือตอนนี้น้องชายอายุ 30 ปีแล้วค่ะ เป็นน้องชายคนเล็กและคนเดียว ตั้งแต่เล็กจนโตมาเค้าก็เป็นเด็กดี, สุภาพ, พูดน้อย

เค้าทำงานเป็น Freelance งานโฆษณามาได้ 6-7 ปีแล้วค่ะ ก็เป็นคนขยันทำงานดี แต่ไม่รู้ยังไง จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ เค้าค่อย ๆ กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แล้วก็เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ มักคิดแต่ว่า มีแต่คนเอาเปรียบเค้า, โลกนี้ไม่แฟร์ เค้าคิดว่า เค้ามีความสามารถมากกว่าบางคน, ซื่อสัตย์กว่า, ไม่หลอกลวงเหมือนบางคน แต่ทำไมคนเหล่านั้นกลับได้ดีกว่าเค้า ไป ๆ มา ๆ เลยไม่ค่อยยอมรับงาน จนตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีคนให้งานแล้ว

กับครอบครัว เนื่องจากมีพี่สาว 3 คน เค้าก็ดูจะรำคาญเวลาพี่สาวพูดสอนอะไร แต่หลัง ๆ นี้เป็นหนักข้อมาก ๆ ใครถามอะไรเรื่องหน้าที่การงาน เค้าก็จะทำหน้าเบื่อแล้วเดินหนีไปเลย

ไม่นานมานี้ พี่สาวคนนึงก็พยายามพูดแบบเปิดอกเลยว่า มีปัญหาอะไรให้บอกมา จะได้ช่วยกันคิดแก้ไข น้องชายเค้าบอกว่า เค้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า เหมือนว่า เค้าไม่มีความก้าวหน้าในการงาน ไม่รู้จะต้องพยายามไปทางไหน (แต่ในครอบครัวสรุปกันว่า เค้ายังไม่ได้พยายามมากพอ รู้สึกว่าเหมือนเด็กสมัยนี้ ที่คาดหวังการประสบความสำเร็จที่รวดเร็วและง่ายดาย โดยไม่ได้ทำงานหนักอย่างจริงจัง)

ตอนนี้ เค้าคิดอยากจะบวช แต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะช่วยให้อะไรดีขึ้นหรือเปล่า

เคยเอาหนังสือธรรมะอย่างที่อ่านง่าย ๆ ให้เค้าไปลองอ่านดู แต่มันเหมือนคนกำลังอยู่ในวังวนน่ะค่ะ เค้าอ่านแล้วก็ไม่สนใจเลย ไม่เชื่อ เคยคุยกับเค้าเรื่องพลังของการคิดบวกว่าจะนำสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต เค้าก็ไม่เข้าใจ

จริง ๆ แล้ว ถ้าเค้าเป็นคนอื่น แม้แต่เป็นเพื่อน ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็คงไม่ไปสนใจมากนัก คิดว่า เราคงไม่มีความสามารถไปช่วยอะไรเค้าได้ ถ้าเค้าไม่คิดช่วยตัวเองซะก่อน แต่นี่เป็นน้องชาย แล้วพ่อแม่ก็กลุ้มใจเรื่องเค้ามาก ไม่รู้จะทำยังไงดี

คุณเอ๊ดดี้มีคำแนะนำอะไรมั้ยคะ


โดย: PP IP: 124.120.82.108 วันที่: 27 มีนาคม 2552 เวลา:20:59:21 น.  

 
คุณ PP ครับ

ไม่ทราบว่า เขาเคยอ่านหนังสือผมหรือเปล่าครับ

ไม่ทราบผมประเมินถูกไหม ว่าเขาน่าจะเหมาะกับหนังสือผมไม่มากก็น้อย

การที่เขาอยากบวช เป็นเรื่องดีนะครับ ดีกว่าเขาคิดจะแก้ปัญหาด้วยการเที่ยว ดื่มเหล้า เมายา บ้าผู้หญิง

เพียงแต่ต้องเลือกวัดให้เกิดประโยชน์หน่อย แล้วบวชเพื่อปฏิบัติภาวนาจริงๆ เขาจะได้คำตอบอะไรดีๆหลายอย่างในชีวิต

ถ้านึกไม่ออกว่าจะบวชวัดไหน ที่ไว้ใจได้ ผมแนะนำให้ลองดูเว็บของ บุญญาวาส นะครับ //www.watboonyawad.com/


แต่ผมไม่ทราบเรื่องหลักเกณฑ์ที่ทางวัดจะพิจารณารับให้บวชนะครับ ต้องลองสอบถามดูเอง

อนุโมทนาครับ


โดย: aston27 วันที่: 30 มีนาคม 2552 เวลา:17:55:43 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ จะลองเอาหนังสือให้เค้าไปลองอ่านดู (ไม่แน่ใจว่าเค้าจะอ่านหรือเปล่า) ส่วนเรื่องบวช ก็ยังไม่รู้ว่าเค้าอยากบวชแน่หรือเปล่า กลัวจะไปทะเลาะกับพระน่ะสิคะ เพราะเค้าไม่ค่อยจะเชื่อใครเลย

แต่ยังไง ก็ขอขอบคุณคุณเอ๊ดเป็นอย่างสูงอีกครั้งนะคะที่แนะนำ


โดย: PP IP: 124.122.133.192 วันที่: 31 มีนาคม 2552 เวลา:22:41:29 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณแอสตัน

เมื่อต้นปีที่แล้ว สามีขอหย่าเนื่องจากดิฉันจับได้ว่ากำลังคบกับลูกน้องที่ทำงานค่ะ แต่ทางแม่สามีไม่ยอมให้หย่าเนื่องจากมีลูกที่ยังเล็กอยู่ด้วยกัน 1 คน จึงแยกกันอยู่ ต่อมาอีกสามเดือนสามีกลับมาอยู่ที่บ้านด้วยกัน ตอนนั้นจำไม่ได้ว่ากลับมาอยู่ด้วยเหตุอะไรค่ะ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ยังมีความรู้สึกว่า ยังไม่สามารถให้อภัยในสิ่งที่เขาทำกับเราค่ะ และคิดอยู่เสมอว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นยังคงคบกันอยู่ เพราะยังคงทำงานด้วยกัน ความระแวงมีอยู่ตลอดเวลา เคยถามเขา เขาก็บอกว่าให้ไว้ใจเขา และมักจะจบด้วยการทะเลาะกันค่ะ ทุกวันนี้ เลยแยกกันอยู่ในบ้าน ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน พูดคุยกันน้อยมากพูดเท่าที่จำเป็น เฉพาะเรื่องลูก จนความรู้สึกตอนนี้เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเกลียด และบางครั้งคิดอยากให้เขาตาย ปัญหาจะได้จบ บางครั้งตัวเราเองก็คิดอยากมีใครซักคนที่เรารู้สึกอบอุ่นใจค่ะ

บางวันจิตก็คิดดีกับสามี บางวันจิตก็คิดแย่ๆกับสามีค่ะ รู้สึกว่าชิวิตคู่ตอนนี้ มันคาราคาซัง หาจุดลงตัว หรือจุดจบไม่เจอค่ะ เคยคิดบ่อยๆ ว่าถ้าหย่ากันตั้งแต่แรก ตอนนี้เราก็คงจะสบายใจ บางครั้งก็คิดว่าหย่ากันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเลยดีไหม จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องคอยระแวงแบบนี้ อยู่ด้วยแล้วอึดอัดค่ะ เวลาเขาไปต่างจังหวัดรู้สึกว่ามีความสุขกว่าตอนที่เจอหน้ากันค่ะ ขอรบกวนคุณแอสตันแนะนำด้วยค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ


โดย: Marked Rider Kabuto IP: 125.24.32.154 วันที่: 24 เมษายน 2552 เวลา:20:47:06 น.  

 
คุณ Marked Rider Kabuto ครับ

ผมคงแนะนำได้เฉพาะเรื่อง อยู่อย่างไรให้ทุกข์น้อย หรืออยู่ในสถานการณ์ลำบากได้โดยไม่ลำบากเกินไป

อนุมานเอาว่า คุณเคยอ่านบล็อกผม และสนใจเรื่องปฏิบัติมาบ้างแล้ว

ผมก็อยากให้คุณใช้โอกาสนี้ ในการภาวนา

คนที่ภาวนาได้ดี เห็นธรรมส่วนมาก ล้วนแต่เป็นคนมีทุกข์มากนะครับ
พวกที่ชีวิตดี สุขสบาย เขาจะชิลๆ เพลินๆ ทำไปเรื่อยๆ น้อยคนจะเห็นไตรลักษณ์เวลามีความสุขกับโลก

แต่พวกที่ชีวิตมีโจทย์ยากๆ อุปสรรคเยอะๆ แต่มีสติคอยรู้ทันจิตใจตัวเอง พวกนี้ภาวนาดีมากครับ

ยืนยันได้ ก็เพราะผมก็เป็นหนึ่งในกลุ่มนี้มาหลายหน

สำหรับมือใหม่ เบื้องต้นหาอะไรทำให้จิตใจสบายสักหน่อย
เช่นเดินเล่น ชมนกชมไม้ ให้อาหารปลา ง่ายที่สุด ก็ไหว้พระทำบุญ

พอใจสบายขึ้น ไม่เครียด ก็เริ่มหัดฝึกรู้สึกตัว
ฝึกด้วยการคอยนึกถึง "พุทโธ" จะพร้อมลมหายใจเข้า พุท หายใจออก โธ
หรือนึกถึง พุทโธ อยู่ในใจเฉยๆก็ได้ทั้งนั้นครับ

สำคัญที่เวลาจิตมันเคลื่อนไป คิดโน่นคิดนี่ ก็ให้คอยรู้ทัน
ถ้าเผลอไปคิดจบแล้ว จิตปรุงทุกข์ขึ้นมา ก็ไม่ต้องแก้อะไร เพียงแค่คอยรู้ทัน ว่ามันเป็นอย่างนั้น

ถ้าไม่มีเวลาระหว่างวัน ให้ทำวัตรสวดมนต์ตอนเช้า และก่อนนอน วันละห้านาที สิบนาที

สวดมนต์ไป ก็คอยดูจิตไป ดูสบายๆนะครับ อย่าเพ่งจ้องเอาเป็นเอาตาย หมายจะบังคับไม่ให้มันเคลื่อนไปไหนเลย ไม่ทำอย่างนั้นนะ

แต่สวดมนต์ไปสบายๆ จิตใจสบาย ผ่อนคลาย ก็รู้ สวดแล้วมีปีติ ขนลุกซู่ขึ้นมา ก็รู้

สวดแล้วจิตมันเคลื่อนไหวอย่างไรก็รู้ เช่นนึกถึงหน้าใคร ก็รู้ว่าจิตมันคิดอยู่ คิดถึงเรื่องอะไร ก็แค่รู้

รู้ว่ามันคิด แต่ไม่ต้องสนใจว่าคิดเรื่องอะไร คิดถึงใครนะ

เราดูเพื่อให้รู้ว่า จิตมันมีธรรมชาติคิดนึกปรุงแต่งของมันอย่างนั้นเอง มันทำงานได้เอง มันบังคับไม่ได้จริง เพราะมันไม่ใช่ตัวเรานะ

ไม่ได้ดูเพื่อให้มันไม่คิด ไม่รู้สึก ไม่โกรธ ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ใช่นะครับ ต้องตั้งหลักดีๆ

ฉะนั้น วิปัสสนา จึงไม่ใช่การฝึกห้าม การฝึกบังคับให้กาย ให้ใจเป็นอะไรทั้งนั้น แต่คือการเรียนรู้ความจริง ตามที่มันเป็น ด้วยสติ ความรู้สึกตัว

พอรู้สึกตัวบ่อยๆ จะเกิดความระลึกได้เองของจิต ที่จำสภาวะต่างๆได้ทีละตัวสองตัว เรียกว่า
สติตัวจริง

เมื่อมีสติตัวจริง จิตใจจะตั้งมั่น เกิดสมาธิช่วงสั้น เห็นกายเห็นใจทำงานตามความเป็นจริง เรียกว่าเห็นกาย เห็นใจ มันแสดงไตรลักษณ์ให้ดู

ว่ามันไม่เที่ยง มันมีสิ่งบีบคั้นให้มันต้องเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว และมันไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเข้าใจว่าคือ "ตัวเรา" หรอกนะ

วันไหนจิตคิดดีต่อสามี ก็รู้ทันว่าคิด วันไหนคิดแย่ ก็รู้ทันไปอย่างนั้น

ทำไปอย่างนี้ แล้วคุณจะมีความสุขขึ้น ไม่ว่าจะมีใครอยู่ในบ้าน หรือไม่มี ไม่ว่าสามีจะทำตัวดี หรือแย่

แต่เรื่องจะตัดสินหย่าไม่หย่า อันนั้นคุณต้องไปว่ากันเองนะ ผมขอไม่แตะในส่วนนั้น

เพราะมันเป็นเรื่องความสุข ความทุกข์ของชีวิตคุณเอง ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย คนที่เป็นคู่กรณีก็ต้องไปตัดสินใจกันเอาเอง

แต่ถ้ายังจำเป็นต้องอยู่ ก็ควรอยู่ด้วยความปรารถนาดีต่อกัน มีสติ มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา

คนอยู่บ้านเดียวกัน ถึงจะไม่ใช่ในฐานะสามีภรรยา จี๋จ๋า แต่ก็เป็นกัลยาณมิตรกันได้

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สำหรับอีกคนหนึ่ง
ต้องเรียนรู้จะเชื่อใจ ให้อภัยในเรื่องที่เป็นอดีต และอยู่กับปัจจุบัน

ถ้าคุณภาวนาไปของคุณ เปิดซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ฟังเวลาอยู่บ้าน เขาก็จะได้อานิสงส์ ได้ฟังไปด้วย

ซีดีไปขอได้ที่ห้องสมุดบ้านอารี หรือที่สวนสันติธรรม

ดูรายละเอียดทั้งสองที่ หรือโหลดมาฟังในคอมก็ได้ ที่ //www.wimutti.net นะครับ

วันนึงต่อให้ไม่รักกันมากพอจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้ว ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ของลูก เหมือนเดิม

โชคดีนะครับ




โดย: aston27 วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:10:35:08 น.  

 
ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ จริงๆแล้วฟังซีดีหลวงพ่อปราโมทย์อยู่ และไปทำบุญที่ศาลาลุงชินประจำค่ะ แต่รู้ตัวว่าความเพียรน้อยมาก เพราะว่าใจฟุ้งซ่านและรู้ไม่ทันซักที วันไหนที่สามีไม่ทำตัวให้ระแวงก็จะจิตดี ตามดูตามรู้ได้ดีค่ะ แต่วันไหนที่สามีทำพฤติกรรมที่ส่อไปในทางนอกใจ จิตก็ตกทันที และไม่สามารถตามดูตามรู้ได้เลยค่ะ ตรงส่วนนี้เองจะมีวิธีแก้ไขยังไงดีค่ะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

(ส่วนปัญหาเรื่องหย่า ติดอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องลูกค่ะ จึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ทุกวันนี้ ไม่ทราบทางออกจริงๆค่ะ)

ขอบพระคุณค่ะ


โดย: Marked Rider Kabuto IP: 125.24.63.190 วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:11:21:23 น.  

 
คุณ Marked Rider Kabuto ครับ

พระพุทธเจ้าสอนว่า ในการเจริญสติวิปัสสนานั้น
จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน จิตตกก็รู้ว่าตก

ไอ้รู้ไม่ทันนั้น ไม่มีหรอกครับ เพราะแค่จิตฟุ้งซ่านแล้วคุณรู้ ก็ชื่อว่ารู้ทันแล้ว

ปัญหา อยู่ที่คุณไม่เป็นกลางในการรู้ เพราะคิดว่า ถ้ารู้ได้ถูกต้อง จิตต้องไม่ฟุ้งซ่าน หรืออยากรู้ตัวได้โดยที่จิตไม่ฟุ้ง จิตต้องดี ไม่มีตก

อันนั้นแปลว่า ยังภาวนา เพื่อจะเอา "ดี" ไม่ได้จะภาวนาให้ "รู้ความจริง"

ลองดูใหม่นะครับ ภาวนาด้วยความเป็นกลาง คือไม่แทรกแซง ไม่ปรุง ถ้าจิตมันไม่เป็นกลางเอง ก็คอยรู้ทัน ไม่แก้ จิตมันแทรกแซง อยากแก้ ก็รู้ทันอีก

ตลอดสายของการปฏิบัติ ไม่มีการปฏิบัติที่เกินกว่าการ "รู้" อย่างที่มันเป็นนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 26 เมษายน 2552 เวลา:22:39:04 น.  

 
เมื่อมีสติตัวจริง จิตใจจะตั้งมั่น เกิดสมาธิช่วงสั้น เห็นกายเห็นใจทำงานตามความเป็นจริง เรียกว่าเห็นกาย เห็นใจ มันแสดงไตรลักษณ์ให้ดู

ว่ามันไม่เที่ยง มันมีสิ่งบีบคั้นให้มันต้องเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว และมันไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเข้าใจว่าคือ "ตัวเรา" หรอกนะ

ทำไปอย่างนี้ แล้วคุณจะมีความสุขขึ้น

...
ดิฉันได้ตามรู้ความรู้สึกคิดถึงคนที่ดิฉันรักมาเป็นปีๆ
แม้สติเกิด แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีความสุขค่ะ
สติเกิด ยิ่งทำให้รู้สึกจิตตกว่าเขารังเกียจดิฉันแม้แต่จะคุยด้วย
สติเกิด ยิ่งทำให้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป...ทุกข์เกิดทันทีค่ะ

ดิฉันคงมีกรรมมากใช่ไหมคะ


โดย: till IP: 58.8.198.240 วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:0:50:23 น.  

 
ช่วงนี้ใจหดหู่จึงเข้ามาอ่านกระดานชีวิตกับธรรมะ อ่านกระทู้นึงมีคนที่เข้าไปตอบเค้าลง link Blog นี้ไว้
เลยลองมาอ่านดู มีหลายคำตอบที่ช่วยคลายความสงสัยเกี่ยวกับการตามรู้ความรู้สึกได้
(เพราะเพิ่งเริ่มศึกษาวิธีดูจิตของพระอาจารย์ปราโมทย์ได้ไม่มาก จึงยังไม่ค่อยเข้าใจค่ะ)
พิมพ์คำตอบคุณ Aston กลับไปอ่านที่บ้านหลายอันแล้ว (ขออนุญาตนะคะ)
สำหรับคนที่ไม่เคยฝึกจิตมาก่อน ถ้าไม่ทำสมถะเลย แล้วเราตามดูความรู้สึกอย่างเดียว (จนจิตจำสภาวะได้) สติจะเกิดได้เองโดยอัตโนมัติหรือคะ
(แต่ตอนนี้ก็นั่งสมาธิทุกวันค่ะ ประมาณครึ่งชั่วโมง-40นาที ยังไม่เกิดสภาวะใดใดค่ะ)
เพิ่งหัดตามดูความรู้สึกได้ 2-3วัน แต่ส่วนใหญ่จะเผลอนานกว่าจะรู้ตัว เพราะตอนนี้กำลังทุกข์อยู่ ใจมันก็เลยจะจมแช่อยู่ในทุกข์นั้น(อินน่ะค่ะ)
เมื่อวานอ่านคำตอบคุณ Aston ที่ตอบคนอื่น ยังรู้สึกดีอยู่เลย แต่วันนี้จิตมันหดหู่แต่เช้า เพราะกลับไปคิดเรื่องเดิมๆอีก
มันยากจริงๆ แค่เฝ้าดูอย่างเดียวเนี่ย เพราะใจมันจะไหลไปรวมกับความรู้สึกบ่อยๆเลยค่ะ
ขอแชร์ความรู้สึกนะคะ...

เมื่อ 6 เดือนก่อนคบกับคนนึงในบริษัทโดยไม่รู้ว่าเค้ามีแฟน(ที่คบกันมา 4 ปี)อยู่แล้ว
เพราะเค้าโกหกตลอด โกหกทั้งเราและแฟนเค้า จนเราเชื่อใจ ทั้งที่เห็นเค้าไปและกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน (เราสามคนอยู่บริษัทเดียวกันแต่คนละฝ่าย)
เป็น 6 เดือนที่เหมือนฝัน เค้าทำให้เรารู้สึกดีมากๆอย่างที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนใหญ่จะไปทำบุญ ปล่อยปลา ทำแต่สิ่งดีๆร่วมกัน
500 msg กับ mail 120 หน้าที่เค้าส่งมา มีแต่คำที่ให้ความหวังเรื่องอนาคตร่วมกัน
จนวันวาเลนไทน์เค้านัดไปทะเลกันสองคนและไม่ได้ทำลายเรา บอกว่าถ้าเป็นคืนแรกที่ได้แต่งงานกันเค้าจะมีความสุขมาก...เรายิ่งรู้สึกดีๆกับเค้ามากขึ้นไปอีก
แต่กลับมาเราก็ได้รู้ความจริงจากแฟนของเค้า เราสองคนต่างเสียใจ เราถามฝ่ายชายครั้งสุดท้ายว่าเค้าเป็นแฟนกันหรือเปล่า เค้าก็ยังโกหกเป็นคำสุดท้าย
เราจึงถอยออกมาเพราะรู้ว่าเค้าอยู่ด้วยกันแล้ว คงไม่ต้องบอกว่าเราเสียใจ...แค่ไหน
แต่เค้าก็มาขอคืนดีโดยที่โกหกแฟนเค้าว่าเลิกติดต่อกับเราแล้ว เราก็ยอมเพราะรักเค้ามาก(จริงๆคือหลงอะนะ)
2 เดือนที่ผ่านมา เราต้องคบกับเค้าแบบหลบๆซ่อนๆ แต่ไม่เคยเจอกันข้างนอกอีก (เพราะพอเค้าจะนัดเจอทีไร จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไปไม่ได้ทุกที)
เป็น 2 เดือนที่เราอยู่อย่างทุกข์ทรมานมาก จิตเศร้าหมองแทบตลอดเวลา รอๆๆๆเวลาที่เค้าจะโทรมา (ไม่กล้าโทรไปเพราะกลัวเค้าอยู่กับแฟน)
และต้องเห็นเค้าเดินอยู่ด้วยกัน เช้า กลางวัน เย็น
เราเริ่มหันมาสวดมนต์ นั่งสมาธิเอง(แป๊บเดียว) และอธิษฐานขอให้ตาสว่างเลิกหลงผิด เพราะลำพังตัวเราเองยังตัดใจไม่ได้ แม้จะรู้ว่าผิด
เราไปปฏิบัติธรรมที่วัด แต่กลับมาก็ยังพร่ำเพ้อถึงเค้า เราคิดว่าคงต้องรอให้เค้าแต่งงานกันไปจึงจะเลิกติดต่อเค้าได้ (ไม่อยากคิดว่าถึงตอนนั้นเราจะถลำลึกไปแค่ไหน แล้วเราจะมีสภาพยังไง)
แต่พอเราอ่านหนังสือ(แนวธรรมะ)เล่มนึงจบ เราก็ตัดสินใจจะหยุดการกระทำแบบเดิมเสียที
คิดอยู่นานระหว่างความถูกต้องดีงาม กับความสุขชั่วคราวที่จะดึงจิตวิญญาณของเราให้ตกต่ำลง
คิดว่าถ้าหวังดีกับเค้าจริงเราก็ต้องเลิกติดต่อเค้า ไม่รู้อุปาทานไปเองหรือเปล่า ตั้งแต่เค้าคบกับเรา เค้าเข้ารพ.บ่อย (อายุยังไม่มาก เพิ่ง 28)
แต่เป็นทั้งสมอง หัวใจ ไต..หาหมอหลายท่าน(อาจารย์หมอ) ก็รักษาไม่หาย และวินิจฉัยไม่ตรงกัน (เค้าให้เราไปนั่งในห้องตรวจด้วยทุกครั้งถึงรู้ว่าเค้าป่วยจริง)
เค้าปวดหัวแบบทรมานมาก บางทีนั่งทำงานอยู่เข้าร.พ.อีกแล้ว
เรากลัวว่าจะเป็นการผิดศีลข้อ 1 ที่ติดตัวมา แล้วเค้าไม่ค่อยทำบุญ แถมมาผิดศีลข้อ 4 กับแฟนเค้าบ่อยๆ (เห็นแฟนเค้าบอกว่าเค้าทะเลาะกันเรื่องเราบ่อย แต่เค้าจะโกหกตลอดว่าไม่ได้ติดต่อเราแล้ว)
มันจึงยิ่งทำให้วิบากส่งผลเร็วหรือเปล่า..ก็ไม่รู้
ตอนแรกเค้าไม่ยอมจบ แต่เราเปลี่ยนเบอร์โทร เค้าจึงส่ง mail มา เหมือนจะจากกันด้วยดี (ยังมีคำว่ารักละเป็นห่วงอยู่)
และเราก็โทรไปหาแฟนเค้าบอกว่าจะไม่ยุ่งกับเค้าอีก(แต่เราไม่ได้ลง detailนะ) พอแฟนเค้ารู้ว่าเรายังติดต่อกันก็ว่าเราพูดอย่างทำอย่าง
เพราะ 2 เดือนที่ผ่านมาแฟนเค้าโทรมาหาเราหลายครั้งว่าเค้ายังติดต่อหาเราหรือเปล่า พอเค้ารู้ว่าแฟนเค้ารู้เรื่องจากเรา เค้าก็ส่ง mail มาบอกว่าเรื่องทั้งหมดเค้าผิดคนเดียว
อย่าไปยุ่งกับแฟนเค้า แฟนเค้าไม่รู้เรื่องด้วย และบอกว่า บุญต่างๆที่เราเคยให้เค้าอนุโมทนา เค้าขอคืนให้ คงรับไว้ไม่ได้…. (มันดังก้องในหูเราทั้งวันเลย)
รู้ซึ้งถึงความไม่เที่ยงเลยแหละ แม้แต่ทุกข์ก็ยังไม่เที่ยงเลย

คุณ Aston อยู่ตรงนี้ คงเจอเรื่องราวที่ผิดหวังในความรักมาเยอะนะคะ เรารู้ว่าเมื่อเทียบกับความทุกข์ของคนอื่น(เช่น วงเวียนชีวิต ไม่มีแม้ข้าวจะกิน) มันก็เป็นเรื่องนิดเดียว
แต่ก็อย่างที่คุณ Aston บอก เพราะเราไม่อยากให้เรานี้ทุกข์ เราจึงทุกข์มาก
แต่ที่ยังคาใจอยู่ (แม้จะรู้ว่าถามไปก็ไม่เกิดประโยชน์กับจิตใจ แต่มันยังค้างใจอยู่น่ะค่ะ)
ที่เราโทรไปเคลียร์กับแฟนเค้าเราทำถูกหรือผิด?? เราคิดว่าเราได้ทำในสิ่งที่สมควรทำแล้ว เค้ามองว่าเรื่องที่เกิดเป็นเรื่องของเรากับเค้าสองคน
แต่ถ้าแฟนเค้าไม่โทรมาหาเราหลายครั้ง ถ้าเราไม่รับรู้ว่าแฟนเค้าระแวงและเป็นทุกข์เรื่องเรา เราก็คงไม่โทรไปคุยด้วยหรอก เราไม่มีเจตนาจะให้เค้ามีปัญหากัน เพราะยังไงเราก็ตั้งใจจะจบอยู่แล้ว
ถึงแฟนเค้าจะเสียใจก็เป็นครั้งสุดท้าย แต่ต่อไปเค้าจะไม่ระแวงหรือคิดมากเรื่องเราอีก (เพราะตอนเค้าโทรมา เค้าบอกว่าเค้าสังหรณ์ว่าเรา2คนยังติดต่อกันอยู่)
ใครจะอยากให้เค้ามาว่าๆๆๆๆเรา ใครจะอยากทำให้คนที่เรารักเกลียดไปตลอดชีวิต ใครๆก็อยากจากกันด้วยดีทั้งนั้นแหละ
คุณ Aston คะ คนที่เคยรู้สึกดีๆกับเรา เค้าจะโกรธเกลียดเราไปตลอดเลยหรือเปล่า???? ตอนรู้ความจริงครั้งแรก เรายังอภัยให้เค้าได้เลย
(เราไม่ได้คิดจะคืนดีกับเค้า แต่เราไม่สบายใจ)
นั่งสมาธิเสร็จ เราจะแผ่เมตตาให้เค้า 2 คนทุกครั้ง จะทำให้ดีขึ้นหรือเปล่า คงไม่เกิดการผูกเวรทางวิญญาณ จนเป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกันใช่มั้ยคะ
ตั้งแต่เกิดมา เราไม่เคยมีปัญหากับใครขนาดนี้
กับแฟนเก่าทุกคนก็จากกันด้วยดี กับเพื่อนก็แค่งอนกันนิดหน่อยแล้วก็มาคืนดี
ไม่ใช่แพราะเป็นเค้าเท่านั้นหรอก ไม่ว่าจะเป็นใคร (ที่เรารู้จัก) แล้วมาโกรธกันขนาดนี้ เราก็ไม่สบายใจเหมือนกัน
ทุกวันนี้เราต้องคอยหลบเค้าสองคน จะเลี่ยงถ้าเห็นไกลๆ เพราะเรายังเข้าหน้าไม่ติด
ขอบคุณคุณ Aston มากนะคะที่อ่านเรื่องยาวๆของเรา จิตหดหู่ตั้งแต่เช้าจนจะเที่ยงแล้ว ก็ยังวนเวียนคิดแต่เรื่องเดิมๆ
เรามีเพื่อนสนิทน้อย (2-3คน)เพราะที่ผ่านมาก็มีแต่แฟนๆๆๆและแฟน (ที่ผ่านมามีทั้งที่เค้าบอกเลิกและเราบอกเลิก แต่เราไม่เคยเป็นทุกข์ถึงขนาดนี้เลย)
ตอนนี้เราไม่อยากสร้างกรรมผูกพันกับใครอีกแล้ว เราจะสามารถอยู่คนเดียวไปได้ตลอดชีวิตหรือเปล่า (เพราะวันนึงเรากับพ่อแม่ก็ต้องจากกัน)
เราอยู่หอพักหญิงคนเดียว ไม่เที่ยวที่ไหน (กลับบ้าน 2 อาทิตย์ครั้ง) กลับหอก็นั่งสมาธิ อ่านหนังสือที่ช่วยยกระดับจิตใจตัวเอง และคอยตามดูความรู้สึก (อยู่เนืองๆ)
แต่ส่วนใหญ่จะเผลอนาน
เมื่อก่อนเราใช้ชีวิตไปตามอารมณ์ความรู้สึก พูดเพ้อเจ้อ ขี้น้อยใจ หงุดหงิดง่าย ไม่สนใจเรื่องปฏิบัติธรรมเลย แต่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี (555)
ที่จริงเค้าก็เป็นครูของเราเนอะ ถ้าไม่มีเค้า เราคงไม่สนใจที่จะพัฒนาจิตใจของตัวเองขนาดนี้ เหตุการณ์ที่เกิดถือว่าชดใช้หนี้กรรมกันไป
แต่ระหว่างที่เรายังเจริญสติไม่กล้าแข็งนี้ ขอคำแนะนำที่จะทำให้เราเข้มแข็งกว่านี้ได้มั้ย เมื่อกี้ลงไปกินข้าวกลางวันก็เห็นเค้าทั้งคู่ไกลๆ
แต่เราหลบทัน
เรายังอ่าน Blog คุณ Aston ไม่หมด ไม่แน่ใจว่ามีใครถามหรือยังคะ ระหว่างอยู่เป็นโสด (แต่คงเหงา)
กับแต่งงาน (ก็คงมีทุกข์บ้างจากลูกและสามี) แบบไหนทุกข์น้อยกว่ากันคะ
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ขวัญ


โดย: ขวัญ IP: 61.47.11.66 วันที่: 30 เมษายน 2552 เวลา:14:00:40 น.  

 
ลืมบอกไปค่ะว่า ความรักครั้งก่อนที่ผ่านมาอยู่กันคนละบริษัท ไม่ต้องเจอกันแทบทุกวันเหมือนครั้งนี้ แถมเค้ายังเดินเป็นคู่ตลอด
ยังดีที่เพื่อนที่ทำงานเป็นกำลังใจให้ตลอด ทั้งที่เค้าก็เคยเตือนเสมอเรื่องที่เราจะไปเป็นมือที่สาม ไปแย่ง...ชาวบ้าน...แต่ตอนนั้นเรายังหลงอยู่น่ะค่ะ


โดย: ขวัญ IP: 61.47.11.66 วันที่: 30 เมษายน 2552 เวลา:14:20:27 น.  

 
ขอถามคุณ aston27 ในฐานะที่เป็นผู้ที่ปฎิบัติธรรมได้ก้าวหน้าระดับหนึ่งค่ะ เขาบอกกันว่าพอปฎิบัติไปได้ซักระยะ ความอยากเช่น ฟังดนตรี ดูหนัง ดูทีวี จะลดลง อย่างนี้เราควรความอยากลดลงเอง หรือเราช่วยด้วยการบังคับให้ทำกิจกรรมดังกล่าวน้อยลง เผื่อจะช่วยลดความฟุ้งซ่านแ ละ ก้าวหน้าเร็วขึ้นค่ะ ขอถามคำถามแรกก่อนแล้วจะแวะมาถามใหม่ค่ะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: ฟ้า IP: 58.181.157.122 วันที่: 13 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:28:44 น.  

 
คุณขวัญครับ

เรื่องในโลกมันก็วุ่นวายอย่างนี้เองครับ

ที่น่ากลัวกว่านั้น คือมันไม่ได้เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก คนที่มีปัญหายุ่งอีรุงตุงนัง แบบคุณขวัญ มักจะเคยสร้างปมแห่งกรรม ใช้กรรม แล้วสร้างกรรมใหม่อีก วนเวียนแบบนี้มานานแสนนาน

ปัญหาของคุณ ถึงเวลานี้ มันเป็นแค่อดีตนะครับ ถ้าคุณใส่ใจมันถึงจะยังเป็นปัจจุบัน

สิ่งที่คุณควรทำคือ ฝึกมีชีวิตเพื่อการเรียนรู้จักธรรมะ เพื่อจะได้รู้จักตัวเองที่แท้จริง อยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเอง

เลิกใส่ใจได้แล้ว ว่าเขาจะเป็นยังไง เขาจะทำอะไร เขาจะไปกับใคร

แต่หันกลับมามีสติอยู่เนืองๆ บ่อยๆ รู้สึกตัวไปเรื่อยๆ ว่ากายเรา จิตใจเรานี่แหละ มันเป็นยังไง ทำอะไรอยู่ และแว้บไปเมื่อไหร่บ้าง

ความสุข ความทุกข์ ในชีวิตของคุณ ไม่ได้ขึ้นกับว่า เขาจะทำอะไร

แต่ขึ้นกับว่า คุณจะมีสติ ปัญญา เข้าใจความจริงได้เมื่อไหร่ ว่าโลกนี้ ไม่มีอะไรให้คุณยึดเหนี่ยว พึ่งพิงได้จริงจัง นอกจากธรรมะ

จะมีธรรมะในใจได้ ก็ต้องมีปัญญา
จะมีปัญญา ได้ก็ต้องมีสติ เห็นความจริงของกาย ใจ บ่อยๆ
จะมีสติได้ ก็ต้องหมั่นคอยรู้สึกตัว รู้จักสภาวะทีละตัวๆ

ผมแนะนำได้แบบนี้ เพราะผมเลิกตอบปัญหารักๆใคร่ๆมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากค้นพบว่า ถ้าคนเราเข้าใจธรรมะ ทุกข์มันจะหล่นหายไปเอง โดยไม่ต้องพยายามแก้อะไร

ภาวนายังไม่กล้าแข็ง ก็หาเวลาให้ตัวเองมากๆ อยู่คนเดียว ยุ่งเกี่ยวกับผู้คนน้อยๆ แล้วคอยมีสติรู้กาย รู้ใจตัวเองไปเรื่อยๆนะครับ



โดย: aston27 วันที่: 15 พฤษภาคม 2552 เวลา:14:27:20 น.  

 
ขอถามหน่อยค่ะ
ช่วงนี้จิตใจว้าวุ่น ไม่อยากไปทำงาน ไม่อยากคุยกับใคร รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจเรา อยู่ทื่ทำงานก็รู้สึกว่าอยากกลับบ้าน หรือว่าเราทำงานมากเกินไป วันๆ ทำงาน 9 ชม.รวมพัก และ OT อีก วันละ 3.5 ชม. เป็นแบบนี้ 6 วัน/สัปดาห์ วันหยุดก็ไม่รู้จะไปทำอะไร หยุดมา 2 วันแล้วอยากอยู่บ้าน อยากคิดบวกกับชีวิต และความคิดลบๆ ก็ชอบเข้ามาในสมองเสมอๆ จะทำให้ชีวิตมีชีวาได้อย่างไรค่ะ สับสนตัวเองมากค่ะ ไม่รู้จะปรึกษาใคร รบกวนด้วยนะค่ะ


โดย: jay IP: 124.122.155.248 วันที่: 15 พฤษภาคม 2552 เวลา:14:49:55 น.  

 
การที่เรารักใครโดยไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ คนที่เรารักจะมีแฟนใหม่ไปแล้วกี่คน
ความรู้สึกรักก็ไม่เคยลดลง ทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รักเรา

เป็นการสอบตกในทางปฏิบัติธรรมหรือไม่คะ
ถือเป็นการยึดมั่นถือมั่นในความรักที่มีต่อคนๆนึงเกินไปหรือเปล่าคะ

ถามว่าทุกข์มั้ย......ทุกข์ค่ะ

แล้วควรจะต้องปฏิบัติอย่างไรคะ รบกวนแนะนำด้วยค่ะ


โดย: ไม่เปลี่ยนแปลง IP: 58.8.198.195 วันที่: 16 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:48:47 น.  

 
คุณ jay และคุณไม่เปลี่ยนแปลง

ผมว่าบล็อกที่ผมเพิ่งเขียนวันนี้ เรื่อง "ปัญหา พายุ กับความจริงว่าด้วยทุกข์" น่าจะตอบอะไรคุณได้ไม่มากก็น้อยนะครับ

ลองไปอ่านดูนะครับ

ถ้าจะสอบตก ก็สอบตกตรงที่ คุณมัวแต่สนใจสิ่งที่อยู่นอกกาย คือคนอื่น แต่ไม่ได้ย้อนกลับมาดูตัวเองนั่นแหละครับ


โดย: aston27 วันที่: 18 พฤษภาคม 2552 เวลา:7:44:11 น.  

 
ขอคำตอบ 1 ประโยคสั้นๆ นะครับ

"พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรครับ"

ขอบคุณครับ


โดย: PG IP: 58.64.90.238 วันที่: 18 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:23:00 น.  

 
คุณ PG

เอาแบบสั้นๆไหมครับ

"รู้แจ้งอริยสัจครับ"


โดย: aston27 วันที่: 19 พฤษภาคม 2552 เวลา:7:29:08 น.  

 
ขอบคุณสำหรับการแบ่งปันสิ่งดีดีนะค่ะ ^0^


อยากถามพี่astonว่าถ้าเราเริ่มมาปฏิบัติแบบทำสมาธิเพื่อให้ใจไม่ฟุ้งซ่าน เราจะรู้ได้ยังไงว่าจะสามารถก้าวไปสู่ขั้นวิปัสสนาได้รึยัง แล้วต้องเริ่มยังไงค่ะ ถ้าแบบที่เข้าใจคือการมีสติรู้ตัวใช่มั๊ยค่ะ ได้ฟังcd หลวงพ่อปราโมชค่ะ (คือที่พี่บอกในblog ว่าบางคนก็ติดอยู่แต่สมถะ สงบ แต่ไม่ก้าวขึ้น เลยสงสัยค่ะว่จะรู้ได้ยังไงว่าสงบพอแล้ว หรือว่ายังไม่พอต้องทำสมาธิต่อ)



โดย: nicky IP: 124.121.110.246 วันที่: 27 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:59:20 น.  

 
คุณ nicky

เรื่องทำสมาธิเพื่อให้ใจไม่ฟุ้งซ่าน เป็นเรื่องของสมถะกรรมฐาน

มีประโยชน์และดี แบบสมถะ เพราะทำให้จิตสงบ จิตดี มีกำลัง

ทีนี้ถามว่าจะรู้ได้ไงว่าจะสามารถก้าวไปขั้นวิปัสสนาได้รึยัง

ตอบว่า .. ตามที่ผมเข้าใจโดยการฟังและทดลองปฏิบัติมาจากที่ครูบาอาจารย์สอน

ผมพบว่า เราไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิ"ก่อน"จะเจริญวิปัสสนา

ไม่ได้แปลว่าวิปัสสนาเป็นขั้นกว่าหรือขั้นถัดไปของการทำสมาธิ เพราะบางทีการทำวิปัสสนานั่นแหละ เป็นจุดเริ่มของสมาธิได้เอง

ดังนั้นผู้ทำสมาธิ สามารถเจริญวิปัสสนาควบคู่ไปกับการทำสมาธิก็ได้ เช่นนั่งดูลมหายใจเข้าออก แล้วจิตฟุ้งซ่าน รู้ว่าฟุ้งซ่าน จิตมันไปเพ่งลมอยู่ รู้ว่าจิตเพ่ง จิตสงบ รู้ว่าสงบ จิตมีปีติรู้ว่ามีปีติ

อีกทางหนึ่ง คือเจริญสมถะไปจนสงบนิ่ง แล้วตอนถอนออกจากสมาธิ ก็คอยดูกายและเวทนาที่ปรากฏ เช่นความปวดความเมื่อย การขยับตัว เคลื่อนไหวต่างๆ

ผมเองไม่ค่อยได้นั่งสมาธินานแล้ว เพราะเวลากลับไปนั่ง ก็ยังติดเพ่งอยู่ เพราะจิตมันเคยชิน เนื่องจากทำแบบนั้นมาหลายปี

ทุกวันนี้อาศัยการทำสมถะแบบกองโจร คือสวดมนต์เอาสั้นๆ บางทีแค่นั่งหลับตาแล้วพุทโธ บางทีก็รู้ลมออก ลมเข้าจนสุดลมแล้วกลั้นหายใจไว้สักห้าวินาที มันจะมีภาวะนิ่งๆอยู่ชั่วขณะ เอาจิตไปพักไว้ตรงนั้น

แค่ห้าวินาที มีแรงขึ้นมาเยอะนะครับ หรือบางที ก็นึกถึงพระพุทธเจ้าขึ้นมา หายเหนื่อยก็ออกไปรู้กาย รู้ใจใหม่

ผมสังเกตว่าหลายๆครั้งที่จิตไม่มีแรง แล้วผมตามรู้ไปอย่างที่มันเป็น ไม่ปฏิเสธ ไม่ดิ้นรน บ่อยครั้งที่มันกลับแช่มชื่นขึ้นมาได้นิดๆหน่อยๆ แปลว่าสติที่เกิดขึ้นเอง ด้วยจิตที่เป็นกลาง มันมีขณิกะสมาธิเจืออยู่จริง ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะครับ

ไม่ทราบจะตอบคำถามไหมนะ แต่ถ้าจะเอาในรายละเอียดกว่านี้ น่าจะไปหาอ่านในหนังสือของหลวงพ่อนะครับ




โดย: aston27 วันที่: 28 พฤษภาคม 2552 เวลา:6:58:13 น.  

 
การที่เรารักใครคนหนึ่งมากมายและยึดเค้าเป็นที่หนึ่งในใจตลอดมาและคิดว่าเค้าคงมีเราเป็นที่หนึ่งในใจของเค้าเหมือนกันแต่พอมาวันนึงเรากลับพบว่าสิ่งที่เราคิดมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้เลยจึงรู้สึกเป็นทุกข์และรู้สึกน้อยใจบางครั้งก็รู้สึกระแวงว่าเค้าไปทำอะไรที่ไหนกับใครบ้าง บางครั้งก็อยากหนีเค้าไปให้ไกลๆๆ
ดิฉันไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้เลยพยายามที่จะเลิกคิดและทำจิตใจให้เข้มแข็งและยอมรับในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแต่ก็ทำได้เพียงบางเวลาเท่านั้นสุดท้ายก็ต้องนั่งร้องให้เป็นทุกข์ทุกครั้ง
ขอโทษนะค่ะที่เขียนวกวนไปมาดิฉันอยากได้คำแนะนำจากคุณค่ะ


โดย: .ใบปอ IP: 125.25.47.152 วันที่: 31 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:32:24 น.  

 
ชีวิตมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจค่ะ
เพิ่งเรียนจบและอยากเติบโตในสายงานสื่อสารมวลชน ซึ่งถ้าทำงานในกทม.คิดว่าน่าจะมีโอกาสที่ดีกว่า (ทำงานในกทม.มา 5 ปีแล้ว) แต่เนื่องจากเป็นคนต่างจังหวัดพอเรียนจบ พ่อแม่คาดหวังให้กลับไปทำงานที่บ้านเกิด ไปรับราชการ หรืออาชีพที่มั่นคงยามแก่เฒ่า เพราะที่บ้านรับราชการกันหมด และอยากให้อยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว แต่ดิฉันไม่อยากรับราชการ แต่ในใจก็อดห่วงบุพการีไม่ได้ เพราะอายุใกล้เกษียณกันแล้ว คุณแอสตันคิดว่าคนเราควรเลือกเดินตามความฝัน หรือว่าควรรับผิดชอบหน้าที่ของการเป็นลูกที่ดีดีค่ะ ถ้าเลือกทำความฝัน ก็รู้สึกอกตัญญูเหมือนไม่ได้อยู่ดูแลท่าน แต่ถ้าตัดสินใจรับราชการ ก็คงไม่มีความสุขเพราะใจมันไม่อยากทำ ชีวิตเป็นเรื่องยากจังนะคะ รู้สึกว่ามันไม่มีความพอดีเลย


โดย: แพม IP: 118.174.193.215 วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:9:29:42 น.  

 
คุณใบปอครับ

โลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของเราแบบถาวรหรอกนะครับ
และทุกสิ่งที่ได้มา ทุกอย่างที่เราเชื่อว่าเรามี เป็นของเรา
ไม่ช้าก็เร็วต่างก็จะแสดงอนิจจังความไม่เที่ยง ไม่แน่นอนให้เราได้เห็น ในรูปแบบต่างๆ

ที่น่าสนใจก็คือ เราทำให้มันเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ เพราะเราบังคับไม่ได้

อย่าว่าแต่จะบังคับให้ใครเป็นไปอย่างที่เราหวังเลย
ใจของเราเอง เวลามันไปยึดมั่นอะไรเข้าจนทุกข์ เรายังบังคับให้มันสุขไม่ได้เลย

จริงไหมครับ

พระพุทธเจ้าสอนให้เราเรียนรู้ทุกข์ คือรู้กาย รู้ใจของเราเอง ก็เพราะด้วยเหตุนี้

เพื่อวันหนึ่งเราจะได้เข้าใจโลก เข้าใจตัวเอง เข้าใจชีวิต เข้าใจธรรมชาติของโลก และเข้าใจธรรมะ

ผมเขียนบล็อกมากมายไว้ เรื่องนี้ ลองอ่านแล้วหาทางศึกษาดูนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 8 มิถุนายน 2552 เวลา:22:48:27 น.  

 
คุณแพมครับ

ผมจะเอาคำถามคุณไปแยกตอบไว้เป็นบล็อกต่างหากในหมวดคำถามนี่แหละนะ

รออ่านนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 9 มิถุนายน 2552 เวลา:8:11:48 น.  

 
สวัสดีค่ะ...คือหลังจากอ่านหนังสือ " เกิดเพราะกรรมหรือความซวย" จบเมื่อคืน มีคำถามในหนังสืออยู่สองข้อน่ะค่ะ

อยากจะขอรบกวนคุณ aston ช่วยไขข้อข้องใจให้หน่อยน่ะค่ะ ( จริงๆมีหลายข้อ แต่ขอยกมาสองข้อค่ะ..เกรงใจค่ะ )


ข้อแรก มีข้อความนึงที่บอกว่า " กระบวนการเปลี่ยนจากภวังคจิต >> จุติจิต>>ปฏิสนธิจิตไวมาก ไวกว่าหนึ่งส่วนล้านล้านของวินาที จนเรียกได้ว่าคนเราเมื่อตายแล้วจะเกิดใหม่ทันทีโดยไม่มีช่วงเวลาใดๆมาคั่น"


ขอความนี้มันไม่ขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องชีวิตในภพภูมิหลังความตายเหรอคะ อ่านดูแล้วเหมือนกับว่าเราไปเกิดในทันที ตามภพภูมิต่างๆกันไป ( เช่นกรรมมากก้อไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ ) แล้วที่เรื่องที่เล่ากันมานมนานเรื่องรับใช้กรรมในนรกอะไรแบบนี้ สรุปว่ามันมีจริงมั๊ยล่ะคะ


แล้วข้ออีกนิดนึงค่ะ ( จริงๆมีสงสัยอีกเยอะ ) ที่ว่า " สิ่งที่ใช้วัดความแรงของกรรมได้คือ "เจตนา" ถ้าเราเคยทำกรรมที่สร้างไว้โดยขาดเจตนา การสนองของผลกรรมก้อจะเบาบางมาก ฯลฯ "


แล้วทำไมเคยได้ยิน ( ทั้งได้ยินคนมาเล่าโดยตรง และในรายการทีวี )และได้อ่านมาบ้าง บางคนทำกรรมโดยที่ไม่ได้เจตนาเลยแม้แต่นิดเดียว เช่นผู้หญิงท้องคนนึงที่เคยขับเหยียบงูท้องแก่จนตาย และเธอก้อรู้สึกตกใจมาก รีบไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล ขออโหสิกรรม ด้วยความที่เธอไม่ได้ตั้งใจเลยแม้แต่นิดเดียว



แต่หลังจากนั้น เธอได้รับผลกรรมอะไรต่ออะไรมากมาย ที่เธอบอกว่าเป็นผลมาจากงูตัวนั้น ( เธอแท้งลูก..อุบัติเหตุ เจ็บป่วยจนแทบเอาชีวิตไม่รอดฯลฯ ) และเธอเคยไปหาพระรูปนึง และพระรูปนั้นบอกเธอว่า มีวิญญาณพยายาทของงูตัวหนึ่งกำลังแก้แค้นเอาคืนเธออยู่


ผู้หญิงคนนี้ทำกรรมโดยไม่ได้ " เจตนา" แต่ทำไมผลกรรมเธอถึง " หนักหนาสาหัส" ล่ะคะ


ข้อสุดท้าย ( อันนี้แถม..ขอโทษนะคะ) แล้วการเจตนา..ตัดเยื้อใยกับคนที่เราไม่ได้ชอบพอ แต่เค้ามาจีบมาตื้อเรา เราเห็นนะคะว่าเค้าทุกข์ เค้าเสียใจ แล้วแบบนี้เราจะได้รับกรรมจากการเจตนาแบบนี้ เบาบาง หรือหนักหนาคะ ( เพราะลึกๆคือเราหวังดีไม่อยากให้เค้ามาเสียเวลาไปมากกว่านี้ เลยต้องใจแข็ง ไม่ให้โอกาส เพราะเคยบอกว่ายอมคุยแบบเพื่อน แต่เห็นคิดเกินเพื่อนทุกที )



โดย: MeJayya วันที่: 20 มิถุนายน 2552 เวลา:21:05:23 น.  

 
คุณ MeJayya

ไม่แย้งกันหรอกครับ เพราะภพภูมิหลังความตายที่ว่า ก็ถือว่าเป็นการเกิดใหม่เหมือนกัน

อย่าไปเข้าใจว่า เกิดใหม่ จะต้องเป็นคนเสมอไปนะครับ มันไม่แน่หรอก

อย่างเป็น สัตว์นรก ผีเปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เทวดา ก็คือภพภูมิหลังความตายเหมือนกัน

ส่วนเรื่องกรรม มันซับซ้อนน่ะครับ ผมก็มองไม่เห็น แต่บอกได้แค่ว่า ทุกอย่างที่เกิด มันสมควรแก่เหตุแล้ว

ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเคยทำกรรมอะไรหนักๆไว้ ที่เธอจำไม่ได้ เช่นเกิดเมื่อชาติก่อนๆ แล้วเพิ่งจะมาให้ผลตอนนี้ก็ได้ครับ

เรื่องตัดสัมพันธ์ อันนี้มันมีสองส่วน คือส่วนเจตนา กับการกระทำ

ถ้าคุณมีเจตนาดี ไม่เคยให้ความหวังอะไรใคร อันนั้นก็เป็นธรรมดา ที่สามารถดำเนินชีวิตของคุณไปตามครรลองได้ โดยที่ใครมาว่าอะไรไม่ได้

การที่มีคนมาชอบ มารักเรา ไม่ใช่ความผิดของเรานะครับ แต่ถ้าเขามาชอบ เพราะเรามีใจจะหว่านเสน่ห์ เจตนาจะให้คนชอบ หลงไหลได้ปลื้ม แล้วถึงเวลาเราไปตัดเขา อันนั้นก็บาป

อีกส่วนคือวิธีการครับ ก็ต้องพยายามใช้วิธีที่สุภาพ แต่ชัดเจนและหนักแน่น เช่นอธิบายเจตนาของเรา ว่าเราไม่ประสงค์แต่แรกจะมีความสัมพันธ์ฉันอื่น แต่เมื่อมันเกินเลยไป เราก็ต้องขอรักษาความเป็นส่วนตัวของเรา

ทั้งนี้ ไม่ได้เจตนาจะทำให้ใครเสียใจ แต่เพื่อความสบายใจของเราเอง ก็หวังว่าเขาจะเข้าใจ ถ้าเขาปรารถนาดีกับเราจริงๆอ่ะนะ

พยายามหลีกเลี่ยงคำพูดเสียดแทง เชือดเฉือน ไม่ด่าทอ ใช้คำหยาบคาย

น้องสาวผมที่หน้าตาพาจน (สวยเกิน) ส่วนมากก็ใช้วิธี นิ่ง สงบ สยบ ความเคลื่อนไหว คือไม่รับโทรศัพท์ จนกว่าจะเลิกโทรครับ

เท่านี้ก็น่าจะใช้ได้แล้วครับ


โดย: aston27 วันที่: 24 มิถุนายน 2552 เวลา:15:16:49 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำตอบมากๆนะคะ




แล้วจะติดตามอ่านตลอดไปค่ะ ( ตั้งใจไว้แล้วค่ะ ว่ากลับกรุงเทพเมื่อไหร่ จะไปหาธนาคารความสุขมาอ่านทันที )


โดย: MeJayya วันที่: 24 มิถุนายน 2552 เวลา:17:47:09 น.  

 
สวัสดีครับ คุณ Aston ได้อ่านเรื่องของคุณ MeJayya แล้ว ก็มีเรื่องคล้าย ๆ กันมาขอความเห็นคุณ Aston ครับ

ก็อย่างที่ คุณ Aston เคยเล่าไว้ว่า เรื่องของความสัมพันธ์มีไม่กี่อย่าง กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่เราชอบเขา ก็เขาชอบเรา

กรณีของผมเป็นแบบหลังครับ แต่ที่ทำให้รุ้สึกแย่มากกว่าปกติทั่วไป ก็คือ เค้าเป็นคนใกล้ตัว ที่เห็นกันมาแต่เรียน ปีสามปีสี่ จนเดี๋ยวนี้ก็เกือบสิบปีได้แล้ว ไม่เคยคิดในเชิงชู้สาวกับเค้าเลย มากที่สุดก็พี่น้อง

อย่าหาว่าเข้าข้างตัวเองเลยครับ ถึงเจ้าตัวไม่เคยบอก แต่การกระทำมันเห็นอยู่ ไหนจะลูกคู่ทั้งหลายที่ช่วยกันส่งเสริมอีก

เคยประกาศชัดเจนไปแล้วว่ายังไม่คิดจะมีใคร ทั้งไม่เคยที่จะให้ความหวัง แต่บรรยากาศแบบที่เป็นอยู่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมา

จะทำอะไรซักทีก็ต้องคิดแล้วคิดอีกกลัวจะไปเป็นการให้ความหวัง ถ้าจะห่างหายไปก็เสียดายความสัมพันธ์ฉันพี่น้องที่มีมา

วางตัวไม่ถูกจริง ๆ


โดย: LLM IP: 125.25.125.157 วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:11:21 น.  

 
คุณ LLM ครับ

โบราณมีสำนวนว่า ตบมือข้างเดียวไม่ดัง
ฉะนั้น อย่าไปกังวลว่าใครจะคิดอะไรกับเรา

หน้าที่เราเพียงแค่มีสติอยู่กับปัจจุบัน เราไม่ทำให้เขามีความหวัง แต่ไม่ทำร้ายด้วยคำพูด ด้วยการกระทำต่อเขาตรงๆ ก็พอแล้ว

ไอ้เรื่องที่เขาจะหวังเอง แล้วไม่สมหวัง อันนั้นมันปัญหาของเขา เรารับผิดชอบไม่ได้นะครับ

ถ้าวางตัวชัดเจน ก็สบายใจเถอะครับ ว่าทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆ


โดย: aston27 วันที่: 8 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:57:36 น.  

 
ไม่รู้ว่าจะถามอะไรคุณ Aston ครับ แต่อยากจะเล่าเรื่องการปฏิบัติของตัวเองครับ ผมอาศัยฟังซีดีของหลวงพ่อปราโมทย์มานานหลายเดือนครับ ครั้งแรกที่ได้ฟังรู้สึกเลยว่า นี่แหล่ะ ๆ ที่เรารอคอยมานาน ผมเป็นคนชอบนั่งสมาธิครับ พอได้มาฟังหลวงพ่อทำให้รู้ทันทีว่าที่ทำมาตลอดนั้นผิด มีแต่กดกับเพ่ง วันไหนนั่งแล้วฟุ้งซ่านก็หงุดหงิดไม่พอใจคิดว่าปฏิบัติได้ไม่ดี
ตอนนี้จิตผมเปลี่ยนแล้วครับ มันก็มีเพ่งบ้าง เผลอบ้างไปตามเรื่อง เมื่อ ๒ วันก่อนก็ตามดูจิตตัวเองเห็นความเบื่อและ ความอึดอัดอย่างรุนแรง ถ้าเป็นแต่ก่อนก็คงพยายามจะทำให้มันหายไป แต่ระยะหลังนี่ผมก็ดูมันไป ให้มันอยู่กับความรู้สึกนั้นให้เต็มที่ มันไม่หายก็ช่างมัน ทุกข์มันก็น้อยลงครับ อะไรที่เคยแบกๆไว้ก็วางลงไปได้บ้าง สภาวะบางตัวก็เห็นชัดเช่น ความโกรธ ความไม่พอใจ หลงคิด
ผมคิดว่าอย่างน้อยผมก็เริ่มเดินขึ้นภูเขาถูกลูกแล้วล่ะครับ


โดย: TW IP: 203.146.197.126 วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:09:06 น.  

 
เรื่องเส้นสายในที่ทำงาน เรามองเป็นเรื่องปกติว่าที่ไหน ๆ ก็ต้องมี แต่สิ่งที่ทำให้เราสามารถยืนหยัดและมีความสุขกับงานจนถึงทุกวันนี้ ก็คือ
การได้ทำงานเต็มความสามารถ มีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รวมไปถึงสามารถช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ มีเพื่อนร่วมงานที่ดี และความภูมิใจที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนมีเส้นสายอะไร แต่ก็ได้รับความไว้วางใจจากผู้หลักผู้ใหญ่ มันเป็นผลพลอยได้ที่ไม่ได้คาดคิดไว้เลย ... ความสุข ความสุข แล้วก็ความสุข ที่ได้ทำงานก็เท่านั้นเอง (รวมถึงโบนัสเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย)

แต่พอมีหัวหน้าใหม่เข้ามา ตามมาด้วยลูกน้องจากบริษัทเดิมที่เคยทำอยู่ด้วยกัน งานทุกอย่างที่สร้างรายได้ให้กับบริษัท จะถูกโยกย้ายจากมือเราไปสู่ลูกน้องเค้าทุกครั้งไป โดยที่เราต้องทำหน้าที่เป็นล่ามให้ระหว่างลูกค้ากับลูกน้องของหัวหน้าตลอด ในใจเราก็คิดนะว่า งานนี้เราก็ทำได้ ทำไมไม่ให้เราทำ แถมเรายังไม่ต้องให้ใครมาเป็นล่ามให้อีกต่างหาก ทำงานฟรีอีกแล้วเรา แต่ก็คิดอีกที เค้าอาจจะทำงานนี้ได้ดีกว่าเราก็ได้ ....

คือ ที่บริษัทจะต้องมีการลงเวลาทำงานว่าใน 8 ชม. สามารถทำงานที่เก็บเงินจากลูกค้าได้กี่ชม.
เพื่อนำไปคำนวณเป็นโบนัสทุก 3 เดือน และคำนวณประสิทธิภาพในการทำงาน ... เรื่องนี้ในใจเราก็คิดแย้ง ๆ เหมือนกันนะ เพราะจะทำให้พนักงานไม่อยากทำงานที่เก็บเงินลูกค้าไม่ได้ แล้วจะเกิดการเกี่ยงงานกันขึ้นมา แต่เท่าที่ผ่านมา ทุกคนก็จะได้งานปน ๆ กันไป เก็บเงินได้บ้างไม่ได้บ้าง

เศร้าจัง !!! ตอนนี้ เราต้องคอยแก้ไขงานเดิมที่คนเก่าเคยทำเอาไว้ โดยที่เราก็ไม่รู้ Process งานของ Project นั้นมาก่อน ก็มานั่งนับ 1 ใหม่ ค่อย ๆ ศึกษาแก้ไขกันไป ตอนนี้ตารางลงเวลาทำงานของเราที่เก็บเงินได้ก็เลยเป็น 0 ชม.
มาเกือบ 3 เดือนแล้ว นับตั้งแต่หัวหน้าใหม่เข้ามา ... เศร้ากว่าเดิม โบนัสหายไปในพริบตา ...
เอาน่า !!! ดีกว่าไม่มีงานทำ เราโชคดีกว่าคนอีกต้องหลายคน ..... สู้ สู้

งานใหม่สด ๆ ร้อน ๆ เข้ามาแล้ว และตารางของเราก็กำลังเริ่มว่างพอดี ในขณะที่ลูกน้องของหัวหน้ายังไม่ว่าง ... อิอิ ... งานนี้ได้แน่นอน

เริ่มประชุมเพื่อวางแผนว่าใครจะเป็นคนทำ ....
ทำไม ??????? หัวหน้าตัดสินใจจะให้ลูกน้องของเค้าเป็นคนทำ ทั้ง ๆ ที่อาทิตย์หน้าเราก็ว่างแล้ว สามารถทำได้เลย ความคิดด้านลบเริ่มย่างกรายเข้ามาซะแล้ว .... เอาวะ สลัดมันออกไป ไอ้ความคิดแบบนี้ เค้าคงจะมีเหตุผลสิน่า ถึงได้ตัดสินใจแบบนี้

วันศุกร์ที่สุขตามชื่อ อยู่ ๆ งานชิ้นนั้นก็หล่นมาใส่มือเรา เนื่องจากว่าลูกน้องเค้ามีเรื่องด่วนทางบ้านที่จะต้องลาไป 3 วัน ซึ่งกำหนดการของงานให้ทำเสร็จภายใน 7 วัน เวลา 4 วันทำไม่ทันแน่นอน เนื่องจากจะต้องมีการไป servey ที่ไซต์ลูกค้า 2-3 วันเพื่อเก็บรายละเอียดด้วย
ความสุขมาประเดี๋ยวเดียวก็จะไปซะแล้ว ... หัวหน้าดันพูดประมาณว่า น่าจะทำทันนะ 4 วัน อาจจะขอเลื่อน plan ลูกค้าไปอีก 2-3 วัน
แต่โชคดีที่พี่อีกคนเค้าไม่ยอมเลื่อน plan ... นี่มันอะไรกันเนี่ย ตอนนี้ความมืดเข้าครอบงำไปเกิน 50% แล้ว ... ใจเย็น ๆ เดินออกมาสูดอากาศซักหน่อย แล้วค่อย ๆ ไล่เงามืดออกไป

วันแรกของการทำงานที่ไซต์ลูกค้า หัวหน้ายังไม่วายโทรมาพูดในทำนองว่า ให้เราเก็บข้อมูลไปก่อน แล้ววันรุ่งขึ้นให้มาอธิบายให้ลูกน้องเค้าฟังด้วย เพราะพรุ่งนี้เค้ามีงานอีกชิ้น (งานฟรีนะจ๊ะ) ให้เราทำพรุ่งนี้ ทั้งที่เราได้เริ่มงานไปแล้วนะเนี่ย ส่วนงานที่หัวหน้าจะให้ทำ ก็เป็นงานภายในบริษัทที่ไม่ได้รีบร้อนอะไร สามารถรอต่อจากงานที่เราทำอยู่ได้ ... เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ !!! ... พรุ่งนี้จะหมู่จะจ่า ก็คงรู้กัน

พยายามคิดในแง่ดีไว้ตลอด จนไม่สามารถคิดได้ต่อไปแล้วค่ะ รู้สึกแย่จัง


โดย: JJ IP: 58.8.106.152 วันที่: 13 กรกฎาคม 2552 เวลา:21:40:59 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ aston
มีปัญหาเหมือนชาวบ้านค่ะ
แต่อ่านเกือบทุก blog แล้ว
ได้คำตอบแล้ว เลยไม่ต้องถามอีก
แต่ขอถามละกันค่ะ
หนังสือ เล่ม 2 ออก เมื่อไหร่ค่ะ
และชื่ออะไรคะ
รออยู่ และขอบอกว่า up blog ด้วยค่ะ
รออ่านอยู่นะคะ


โดย: milk IP: 119.42.72.226 วันที่: 14 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:56:48 น.  

 
คุณ TW

ซีดีของหลวงพ่อปราโมทย์ ช่วยนักเพ่ง นักกดข่มบังคับมาเป็นพันๆคนแล้วมังครับ

ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้ประโยชน์มหาศาล จากซีดีของท่านเช่นกันครับ

ยินดีและอนุโมทนาด้วยนะครับ ที่พบทางปฏิบัติแล้ว ขอให้ถึงยอดเขาตามสมควรแก่บารมีในที่สุดนะครับ


คุณ JJ ครับ อาจบางทีมันเป็นช่วงที่เราต้องเจอวิบากของกรรมเก่าอยู่กระมังครับ

ยังไงก็ต้องอดทนหน่อย และหวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีนะครับ

ถ้ามีโอกาส ก็ลองเปิดใจเข้าไปสนทนากับหัวหน้าใหม่บ้างนะครับ ว่าเรามีอะไรบกพร่องในสายตาเขาหรือเปล่า ทำไมเขาไม่ไว้ใจเรา

ถ้าคุยด้วยเหตุและผล ก็อาจจะช่วยให้เขารู้ตัวบ้างก็ได้นะครับ

คุณ Milk
หวังว่าบล็อกใหม่คงตอบคำถามให้แล้วนะครับ เรื่องหนังสือเล่ม 2


โดย: aston27 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:42:54 น.  

 
บังเอิญได้อ่านหน้งสือธนาคารความสุข (ความจริงตั้งใจไปซื้ออ่านค่ะ) สงสัยอยู่ว่าที่คุณเอ๊ดบอกว่าจิตบังคับไม่ได้ ปรุงไม่ได้ แต่การปฏิบัติธรรม (ในที่นี้หมายถึงนั่งสมาธิ) เป็นการฝึกบังคับจิตชนิดหนึ่งไม่ใช่หรือคะ อยากให้คุณเอ๊ดอธิบายหน่อยค่ะ เพราะเป็นคนหนึ่งที่สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรม เนื่องจากเคยทุกข์ใจมากจากคนรอบข้าง (แต่ไม่ใช่เรื่องความรักนะคะ) และการฝึกรู้ตัวบ่อยๆ คุณเอ๊ดอธิบายวิธีได้ไหมค่ะ อยากทราบจริงๆ ไม่ได้ลองภูมิค่ะ


โดย: aor IP: 58.9.174.251 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:22:23 น.  

 
คุณ aor ครับ

ผมเขียนเรื่องที่พอจะอธิบายข้อสงสัยคุณอ้อไว้ในหลายบล็อก

ลองหาเวลาค่อยๆนั่งอ่านดูนะครับ ^^

ลิงค์อันนี้เป็นแค่หนึ่งในนั้นครับ https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=aston27&date=03-05-2009&group=10&gblog=113



โดย: aston27 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:49:13 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเมื่อวันก่อนค่ะ

คุณเอ๊ดดี้มีวิธีการรับมือกับคนงกอย่างไรคะ งกมากด้วยนะคะ ไม่ใช่ธรรมดา หมายถึงอยู่ร่วมกับเขาได้อย่างไม่รบกวนใจเรามากนัก เพราะไม่สามารถหนีจากสิ่งแวดล้อมนี้ไปได้ค่ะ


โดย: aor IP: 58.9.176.142 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:18:14:37 น.  

 
รบกวนช่วยขยายความอาการ "งก" ที่คุณว่าหน่อยสิครับ ว่ามันเป็นยังไง

เพราะอาการแต่ละแบบมันก็ต้องรับมือต่างกัน น่ะครับ


โดย: aston27 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:0:02:08 น.  

 
อ้อหมายถึง
1. ยืมเงินไปแล้ว คืนช้ามากๆๆๆๆ ทำเป็นเฉยๆ ไม่บอกว่าทำไมยังไม่คืน มีเงินนะคะ (นานจนไม่กล้าทวง)
2. ฝากซื้ออะไรไม่ค่อยให้เงิน ตอนฝาก บอกฝากซื้อนะคะ ไม่ใช่ซื้อฝาก ถ้าซื้อฝากทำใจได้ค่ะ
3. สมมุติว่าอ้อซื้อของกินมากินด้วยกัน เราก็ไม่ว่าอะไร แต่เวลาลูกเค้าซื้อมา แล้วลูกเรากินด้วย ต้องไปซื้อที่ลูกเรากินมาคืนลูกเขา
เป็นต้นค่ะ


โดย: aor IP: 58.9.176.247 วันที่: 24 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:42:34 น.  

 
คุณ aorครับ

1. เรื่องยืมเงิน ผมจะถามสามครั้ง ถ้ายังไม่คืน ผมจะตัดเป็นหนี้สูญ แล้วก็บอกเขาว่า ผมไม่ทวงแล้วนะ

แต่ครั้งต่อไปถ้าจะยืม ผมก็จะยกเรื่องนี้มาอ้าง ว่า คืนของเก่าก่อนละกัน แล้วค่อยมาคุยเรื่องของใหม่

2. ฝากซื้อแล้วไม่ให้เงิน ครั้งต่อไป ก็บอกเลยว่า ถ้าฝากซื้อ ช่วยฝากเงินด้วยครับ

3. อันนี้ผมไม่ซีเรียสครับ ถือว่าทำบุญ แต่เลี่ยงได้ ก็ไม่กินของเขาเลยดีกว่า


โดย: aston27 วันที่: 26 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:09:50 น.  

 
ต้อนรับกลับเมืองไทยค่ะ คุณเอ๊ดดี้ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเมื่อวันก่อน ทำให้คิดว่าบางทีการแก้ไขปัญหามันอยู่ตรงหน้า เรามัวแต่หมกมุ่นกับมันจนมองไม่เห็น คุณเอ๊ดดี้อาจจะคิดว่าง่ายจะตาย
วันนี้อยากชวนคุณเอ๊ดดี้คุยเฉยๆ ค่ะ เพราะว่าในวันที่มีปัญหา เราไม่ได้คุยให้ใครฟังเลย หมายถึงเล่าปัญหาต่างๆ ให้ใครฟัง ก็เลยเซ็งค่ะ คิดวนไปมา จนถึงขนาดว่าคิดว่าไม่ไหวแล้วหล่ะ คิดจะไปให้ไกลๆ พอเวลามันผ่านไปทำให้ทำใจได้ว่า เราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของคนอื่น ให้เขามาคิดเหมือนเราได้
ระหว่างที่คุณเอ๊ดดี้ไม่อยู่ ก็เลยได้โอกาสเปิดดูกระทู้ต่างๆ ที่คุณเอ๊ดดี้โพสต์ไว้
เชื่อไหมคะว่า ธรรมะจัดสรรค่ะ บางอันอ่านแล้วร้องไห้เลยค่ะ โดนอัตตาในตัวเองเข้าเต็มๆ
ขอขอบคุณคุณเอ๊ดดี้นะคะ ในความเป็นกัลยาณมิตรค่ะ


โดย: aor IP: 58.9.175.179 วันที่: 1 สิงหาคม 2552 เวลา:16:02:34 น.  

 
คุณ aor ครับ

ไม่ได้คิดเลยว่ามันง่ายครับ


ตรงกันข้าม ผมรู้มันยากมากที่ผมแนะนำอะไรไปแล้วจะมีคนทำได้ทันที

ที่เป็นอย่างนั้น เพราะเวลาเรามีปัญหา มันจะยากเสมอเพราะเราจะรู้สึกตลอดเวลาว่า มันเป็น "เรื่องของเรา"

ผมเคยเขียนไว้ในหลายบล็อกว่า ปัญหาทั้งหลายมันเริ่มมาจากการมี "ตัวเรา"

มีตัวเรา ก็มี "ของเรา" ปัญหาของเรา ทุกข์ของเรา

ฉะนั้น ก็ต้องฝึกภาวนาเจริญสติ รู้ทัน ตัวเองไปเรื่อยๆ จนใจมันมีอัตตาบางลงๆ แล้วจะค่อยๆรู้สึกเองว่า "ตัวเรา" มันเป็นแค่ความคิด

สิ่งที่แนะนำไปจะได้ผล ไม่ได้ผล ขึ้นกับว่า เรามีปัญญา หรือความรู้เกี่ยวกับความจริง ว่าด้วยตัวเราเองมากแค่ไหน

แต่เวลามีคำถามมา ผมก็จะตอบให้ซื่อๆ ว่าผมคิดอย่างไรน่ะครับ


โดย: aston27 วันที่: 2 สิงหาคม 2552 เวลา:14:26:26 น.  

 
คุณ Aston คะมีคำถามอยากขอคำปรึกษาหน่อยค่ะ

คือคุณแม่ของเราเค้าเหมือนจะเป็นใหญ่สุดในบ้าน แล้วเรารู้สึกว่า เค้าไม่ค่อยทำอะไรในบ้าน แบบอยากได้อะไร แบบเล็กๆน้อยๆก็จะใช้พ่อใช้ลูก นอกจากไม่มีใครอยู่ให้ใช้ก็จะทำเอง แต่ที่เราทนไม่ได้คือ เค้าก็ใช้ ย่าของเรา เช่น ให้อุ้มหมา (ตัวเล็กๆ) ไปฉี่ที่สนามหน่อย ซึ่งย่าเราก็แก่มากแล้ว ตอนนี้ 91 ก้มก็ไม่ค่อยไหว แต่ย่าเราก็เป็นคนแบบขี้กลัวๆ ไม่กล้าบ่นอะไร บางทีแต่ก่อน เวลาเค้ามาถึงบ้าน ทั้งๆที่รู้ว่าย่าอยู่บ้านคนเดียว เค้าก็ไม่เคยลงจากรถมาเปิดเอง ต้องบีบแตร

เรารู้สึกโมโหทุกครั้งที่แม่ใช้ย่าให้ทำอะไร เราอยากให้แม่ทำอะไรเองบ้าง เพราะเราว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วก็จะได้เป็นการออกกำลังกายไปในตัว เพราะแม่เรานี่ไม่ยอมออกกำลังเลย

เราอยากจะบอกแม่ ว่าที่แม่ทำมันบาป และอาจทำให้ไม่เจริญ หรือต้องมีกรรมอะไรในอนาคต แต่พูดแบบนี้แม่คงจะโกรธ เราจะพูดยังไงให้แม่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำมันไม่ถูกดีคะ พูดแรงไป เค้าก้อาจจะเป็นโมโห แล้วก็ไม่เข้าใจเรา คิดว่าเราจะหาเรื่องหรือว่าเค้า

แม่เราไม่ได้ไม่ชอบย่าถึงทำแบบนี้นะคะ แต่ด้วยความที่ขี้เกียจทำเอง ทำให้เค้าลืมไปว่า ไม่ควรใช้คนแก่ให้ทำอะไรแล้ว

ขอบคุณค่ะ


โดย: ขนม IP: 124.122.250.215 วันที่: 8 สิงหาคม 2552 เวลา:18:35:20 น.  

 
คุณขนมครับ

ปัญหาแบบนี้ จะว่าไปมันก็พูดลำบากนะครับ

พ่อแม่ส่วนมาก จะมีอัตตาของตัวเอง ถ้าลูกมาชี้ความผิด ความควรไม่ควรให้ มักจะโกรมากกว่ายินดี

ผมเองก็ไม่ทราบนิสัยใจคอของคุณแม่ของคุณ จะให้แนะนำแบบแม่นๆเลย ก็คงลำบากเหมือนกัน

คำแนะนำอย่างแรกคือ บางทีคุณอาจจะต้องอุเบกขาในเรื่องความผิดของคนอื่นบ้าง

อย่ามัวแต่ไปมองความไม่ดี ไม่สมบูรณ์ของคนอื่น แต่เอาเวลามาคอยสังเกต เรียนรู้จักตัวเอง

สิ่งที่แม่คุณทำ อาจจะไม่ถูกใจคุณ แต่ก็ไม่แน่นะ บางทีหลายอย่างที่คุณทำ ก็อาจจะไม่ถูกใจแม่เช่นกัน

ไม่ได้บอกว่าแม่ทำถูกแล้วนะครับ แต่เรื่องที่คุณว่ามา มันเป็นปัญหาเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตขนาดจะต้องสละชีพเพื่อชาติขนาดนั้น

คนเรา ถ้าไม่ถูกใจสิ่งที่คนอื่นทำ อันนี้มันเป็นปัญหาของเรา ที่คงไปแก้คนอื่นลำบาก แก้ที่ตัวเองง่ายกว่านะ

ดูจิต ดูใจตัวเองไว้นะครับ ไปคิดเรื่องแม่ รู้ว่าคิด
เห็นแม่ทำไม่ถูกใจ ใจมันไม่ชอบ รู้ว่าไม่ชอบ

โมโห รู้ว่าโมโห กังวลรู้ว่ากังวล

คนเราคิดดี เจตนาดีอย่างเดียวไม่พอ มันต้องทำในสิ่งที่สมควรด้วย

ดูตัวเองไว้ดีกว่านะครับ ปัญหาของแม่ ให้คุณพ่อท่านแก้เถอะ


โดย: aston27 วันที่: 8 สิงหาคม 2552 เวลา:22:16:42 น.  

 
ไม่มีคำถามหรอกค่ะแต่ขออนุญาตเขียนนะคะ แค่อยากได้เขียนออกมา ก็รู้นะคะว่าเขียนลงสมุดก็ได้ แต่คงเป็นธรรมชาติของคนที่ยังอยากได้รู้สึกว่ามีคนฟังอยู่ข้างๆ

อายเค้าน่ะคะที่จะมานั่งบอกใครๆ ว่า "ฉันทุกข์" ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ได้มีใครมาทำทุกข์ แต่เพราะไม่ยอมวางหรือหยุดคิดสิ่งที่ทำให้ทุกข์ซะเอง และก็อายเค้าค่ะที่อายุจะเกือบเกษียณแล้วแต่ยังวาง หรือปลงกับความว้าวุ่นในใจไม่ได้ สุดท้ายก็เลยเก็บมันไว้กับตัวเอง

เหมือนคนที่จมน้ำทุกวัน บางวันถึงกับอาเจียนออกมา พยายามอย่างยิ่งที่จะมองและเข้าใจในสิ่งที่เป็นปัจจุบันอย่างที่มันเป็น แต่มันยากจังค่ะ อ่านเกี่ยวกับการตามสติ ก็ลองฝึกแต่ยังไม่เคยตามสติทัน มันหลงหายไปตลอด

ลองมาหลายวิธีแล้วค่ะ คุยกับจิตแพทย์ หรือที่ปรึกษา ก็มีความคิดต่อต้านว่าเขาจะเข้าใจเราอย่างไร วิ่งหาอะไรทำให้ตัวเองไม่ว่างคิด ก็เหมือนกับเป็นลูกข่างที่หมุนไม่ยอมหยุด จนรู้สึกเหนื่อยมาก ตอนนี้ก็เลยปิดตัวเองกับการพูดกับบุคคลจริงๆ เพราะกลัวผู้คน กลัวจริงๆ ค่ะ มีแต่ความคิดในทางลบว่าจะโชคร้าย เหลือแต่การเขียนที่ยังเป็นการได้ระบายออกมา

ขอบคุณค่ะได้เปิดที่ให้ได้เขียน แค่หวังว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมาพรุ่งนี้ อย่างน้อยก็ไม่ฝันร้ายสักคืนเท่านั้นเอง สวดมนต์ก่อนนอนค่ะแต่คงเพราะไม่มีสติและสมาธิพอ คงต้องพยายามมากขึ้น

แค่เหนื่อยเหลือเกินกับความรู้สึกหลงทางในชีวิตตัวเองค่ะ

ขอบคุณนะคะที่รับฟัง วันนี้รู้สึกว่ามีเพื่อน แล้วก็โชคดีที่บังเอิญได้เจอบ้านคุณ aston ค่ะ




โดย: AG IP: 66.97.144.10 วันที่: 9 สิงหาคม 2552 เวลา:2:15:07 น.  

 
ขอบคุณมากเลยนะคะ คุณ Aston พูดแล้วมันก็จริง เรารู้สึกโมโหอยู่นานเลย กว่าจะเย็น ซึ่งมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย


โดย: ขนม IP: 124.122.250.247 วันที่: 9 สิงหาคม 2552 เวลา:18:47:10 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณแอสตั้น
เคยอ่านเจอว่า ผู้ที่ได้มาเกิดเป็นคนนี่เป็นเพราะว่าตอนตายมีศีลครบถ้วน
ถามว่า
- ศีล 5 ครบใช่หรือไม่ หรือตัองกี่ข้อ
- แล้วสัตว์จะมาเกิดเป็นคนได้อย่างไร เพราะไม่ได้รักษาศีล
- หรือการเกิดเป็นอะไรก็ตามนั้น เป็นไปตามแรงของกรรมที่เคยทำ
ขอบคุณค่ะ


โดย: s_anyada IP: 202.183.148.123 วันที่: 13 สิงหาคม 2552 เวลา:11:32:19 น.  

 
สวัสดีค่ะ รู้สึกเหนื่อยและท้อค่ะ เป็นแม่ลูกหนึ่งที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว และ ทำงานควบคู่กันไป

อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้รับผลการประเมินคุณภาพของงาน มันผิดหวังค่ะ เพราะผลออกมาไม่ดีเลย ทั้งๆ ที่ก็ไม่เคยเกเร เหลวใหล และตั้งใจทำงานมาก ผลประเมินอันนี้ จะส่งผลให้ดิฉันอาจจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่งตามวาระ

พยายามปล่อยวาง แต่ก็เผลอคิดและทุกข์ตลอด มักจะโทษตัวเองว่าหมดคุณค่า และก็เริ่มสูญเสียความมั่นใจ พาลไม่อยากทำงานเลยค่ะ

ชีวิตที่บ้านก็เหนื่อยมาก ๆ เพราะต้องทำหน้าที่แม่ คนเดียว ไม่มีเวลาส่วนตัวเลยค่ะ

ดิฉันจะเลิกทุกข์จากความผิดหวังจากเรื่องงานและครอบครัวยังไงคะ สับสน ท้อแท้จริง ๆคะ


โดย: single mom IP: 116.58.231.242 วันที่: 20 สิงหาคม 2552 เวลา:12:30:52 น.  

 
คุณAG

ไว้เหนื่อยๆวันไหน ก็มาบ่น มาระบายได้อีกนะครับ
แต่อย่าลืมหัดรู้สึกตัวไว้ เบื่อๆ รู้ว่าเบื่อ ท้อรู้ว่าท้อ
อยากระบาย รู้ว่าอยาก ระบายแล้วโล่งใจ รู้ว่าโล่ง

ฝึกไปอย่างนี้นะครับ

คุณ s_anyada

ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องนี้มากหรอกครับ เพราะตัวเองก็ไม่ทราบว่า ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชาตินี้ไปทำอะไรไว้

แต่ผมไปหาบทความจากหนังสือ "เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน" ของคุณดังตฤณมาตอบให้แทนครับ


//dungtrin.com/whatapity/03.htm

copy address ข้างบนนี้ ไปใส่ในช่อง httP: ข้างบนของ internet explorer นะครับ แล้ว Enter

คุณsingle mom

บล็อกอันล่าสุดนี่ น่าจะตอบคำถามคุณแม่ได้นะครับ


โดย: aston27 วันที่: 21 สิงหาคม 2552 เวลา:8:41:18 น.  

 
คุณ aston คะ แค่อยากให้คุณอ่าน
เพราะนึกถึงใครไม่ออก

คืออยากเลิกกับสามี เพราะเค้าเจ้าชู้ เราเหนื่อยใจและ
ไม่อยากเลิก เพราะเรายังรักเค้า อยู่ด้วยกันมานาน (เราติดเค้าค่ะ) แต่เค้าก็บอกว่ารักเรานั่นแหละ แค่นิสัยผู้ชาย

หาเพื่อนปรึกษา เค้าบอกให้เลือกเอาคือ ระหว่าง ต้องทำใจ เพราะ มนุษย์ผู้ชายเป็นแบบนี้ หรือเลิกไปเลย ไปคบคนดี ๆ (ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีรึเปล่า)

รักเค้ามากค่ะ รักครั้งแรก ผู้ชายคนแรก และคิดว่าจะไม่รักใครอีกแล้ว เพราะ รู้สึกว่ามันยากจังค่ะที่จะต้องเริ่มกับคนใหม่อีก ต้องแต่งงานใหม่อีก และก็อาจจะต้องเจอแบบนี้อีก
ก็ขอเลือกคบกับคนเดิมดีกว่า เพราะยังไงก็จะต้องเจอแบบเดิมอยู่แล้ว สรุปแล้ว ทนดีกว่ามั๊ย
เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ

เราเป็นผู้หญิง ไม่อยากคบผู้ชายหลายคน ไม่กล้ามีคนอื่นอีก เป็นคนหัวโบราณค่ะ คุณอาจเรียกว่าโง่ก็ได้ค่ะ

ขอบคุณนะคะที่สละเวลาอ่าน
อยากหายไปจากโลกนี้ค่ะ


โดย: คนโง่ IP: 61.7.129.180 วันที่: 31 สิงหาคม 2552 เวลา:11:33:24 น.  

 
คุณคนโง่ครับ

ผมแวะมาอ่านแล้ว ตามความตั้งใจของคุณ
ถ้าไม่ลืม อาจจะเอาสิ่งที่คุณเขียน ไปขึ้นบล็อกใหม่ น่าจะมีประโยชน์สำหรับใครหลายคน

อ้อ.. ถ้ายังไม่ได้เรียนธรรมะให้แจ้ง อย่าเพิ่งหายไปจากโลกนี้นะครับ

เสียดาย..


โดย: aston27 วันที่: 2 กันยายน 2552 เวลา:12:54:36 น.  

 
มีปัญหาเพราะต้องคอยเป็นคนกลางระหว่างแม่กับน้องคนเล็กค่ะ คุณแม่ก็รักและห่วงน้องคนเล็กมาก (อายุไม่น้อยแล้วนะคะ) ห่วงไปซะทุกเรื่อง ส่วนน้องก็สร้างเรื่องให้แม่กลุ้มได้อยู่เรื่อย ๆ ไอ้น้องก็รำคาญแม่ ก็ไม่พูดคุยกับแม่ดี ๆ ไม่เคลียร์ ไม่ตอบคำถามอะไรที่คุณแม่ค้างคาใจ มักจะปิดมือถือหนี คุณแม่ก็ให้เราจัดการคุยให้เคลียร์ เป็นอย่างนี้มานานแล้วค่ะ

แต่พักหลัง ๆ นี่มันเครียดกันไปหมดแล้วไงคะ คุณแม่ก็น้อยใจน้อง แล้วพาลมาน้อยใจเรา ถ้าเราบอกว่า อย่าไปยุ่งกับน้องมาก แม่ก็จะว่าว่าเราไม่ห่วงน้อง พอบอกน้อง (ใช้ส่งอีเมล์ไปเพราะเค้าไม่ยอมรับโทร.) ว่าอย่าทำอย่างนี้กับแม่ มันบาปกรรม มีอะไรก็พูดให้แม่เข้าใจ หลาย ๆ ครั้งเข้า ล่าสุดเลยโดนน้องตอบกลับมาว่า ให้เลิกยุ่งกับชีวิตเค้าได้แล้ว เพราะว่าเรานี่แหละทำให้ชีวิตเค้าแย่ ฟุ้งซ่าน ไม่เป็นอันทำงาน

ถ้าไม่บอกน้องตามที่แม่ให้บอก แม่ก็จะว่าเรา พอบอกไปก็โดนน้องว่ามาอีก นี่ยังไม่กล้าเล่าให้แม่ฟังเลยค่ะ ว่าน้องว่ามาอย่างนี้ กล้วแม่เสียใจว่า พี่น้องทะเลาะกัน

ตัวเองเสียใจมากนะคะ แต่พยายามใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ ก็พยายามตามดูอารมณ์ ความคิด ความเสียใจ น้อยใจของตัวเอง ทีแรกรู้สึกแย่มาก ร้องไห้ แต่ตอนนี้ ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่ไม่รู้จะทำยังไงก็สถานการณ์ที่ต้องเป็นคนกลางดี มันเหมือนสุภาษิตที่บอกว่า เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง เอากระดูกมาแขวนคอ อะไรประมาณนี้เลยค่ะ


โดย: พี่คนกลาง IP: 124.120.81.115 วันที่: 5 กันยายน 2552 เวลา:21:00:44 น.  

 
พี่คนกลางครับ

ธรรมะ ที่เหมาะและจำเป็นสำหรับคุณตอนนี้ คืออุเบกขาธรรมนะครับ

ถ้าน้องเขาอายุไม่น้อยแล้ว ก็ต้องให้เขาดูแลจัดการชีวิตตัวเอง รวมไปถึงความสัมพันธ์กับแม่ด้วย

คนเราจะจัดการอะไรให้ใครได้ดี เราต้องดำเนินชีวิตตัวเองให้ดี ให้แข็งแรงก่อน

จะช่วยอะไรใคร ก็ต้องดูว่า เขายินดี เขาพร้อมใจจะให้เราช่วยขนาดไหน

อย่าเอาแต่ความหวังดีเป็นที่ตั้ง เพราะการไปยัดเยียดความหวังดีให้คนอื่น โดยเขาไม่อยากได้ มันก็ทำให้เขาอึดอัดได้เหมือนกัน

ส่วนที่เกี่ยวกับแม่ ก็ต้องทำใจก่อน ว่ามันเป็นกรรมของเรา ที่ต้องตกที่นั่งแบบนี้ แล้วก็ยิ้มสู้ไว้

ถ้าเป็นผม ผมก็จะบอกแม่ตามความจริง แต่ใช้คำพูดให้มันเหลือแต่เนื้อๆ ตัดเอาโทสะออกไป บอกแบบไม่ใส่สี ไม่ปกป้องแต่ไม่ซ้ำเติม

ผมจะบอกว่า ผมคุยกับน้องแล้ว โดยอีเมล์ เพราะโทรแล้วเขาไม่รับ เขายืนยันว่าเขาไม่อยากให้ผมเข้ามายุ่งในเรื่องระหว่างเขากับแม่ ซึ่งอันนี้เขาโตแล้ว ผมก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขา

ผมว่าแม่เอง ก็ต้องพัฒนาวิธีการสื่อสารกับลูกคนเล็กบ้างนะครับ อันนี้อาจจะต้องใจเย็นๆ ค่อยๆบอกแม่ไป ว่าไปรีบเร่ง ไปจุกจิกมาก เขาก็จะยิ่งถอยห่างจากเรา

บอกแม่ให้ใจเย็นๆ และมีอุเบกขาไว้บ้าง บางทีเรื่องมันอาจจะไม่มีอะไร ยิ่งไปสาดน้ำมันเข้ากองไฟ ก็จะยิ่งไปกันใหญ่

ตอนนี้เขาอาจจะแค่โกรธ แล้วงอนกันน่ะครับ


โดย: aston27 วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:10:11:16 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่แอสตั้น

พลอยติดตามอ่านบล็อคนี้มาได้ซักพัก เริ่มมาจากเมื่อประมาณช่วงปีที่แล้ว โดยที่มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งแนะนำให้รู้จักค่ะ หลังจากอ่านเรื่องราวต่างๆที่พี่ได้นำมาเขียนนี้ ก็ลองนำเอาวิธีต่างๆมาฝึกปฏิบัติดูค่ะ
แต่มีข้อสงสัยอยู่ตรงที่ว่า ช่วงเวลาพลอยตามรู้จิตของตัวเองอยู่....มันมีอยู่หลายๆครั้งที่ เราไม่ได้รับรู้ความรู้สึกนั้นขึ้นมาแบบทันทีทันใด แต่มักจะรับรู้ได้เมื่อมันเกิดขึ้นซักพัก หรือรับรู้ได้ทันทีเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจบลงแล้วค่ะ เช่นเวลาที่โกรธ หรือหงุดหงิดใครบางคน จะรู้ตัวอีกทีก็พูดตวาดเค้าไปแล้ว พอพูดจบประโยคถึงนึกขึ้นมาได้ว่า เออนะ...เมื่อกี้จิตกำลังมีอารมณ์ของความหงุดหงิดอยู่

เลยงงว่า ไอ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้...พลอยมาถูกทางรึปล่าวคะ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำล่วงหน้าค่ะ


โดย: พบพลอย IP: 203.188.44.29 วันที่: 10 กันยายน 2552 เวลา:20:19:52 น.  

 
คุณพบพลอยครับ

การภาวนาด้วยการรู้ การดูจิต ที่เรียก จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น เป็นการรู้ ด้วยวิธี "ตามรู้" ครับ

เพราะฉะนั้น จิตต้องมีสภาวะ หรือความเคลื่อนไหว มีอารมณ์อะไรปรากฏให้เราดูก่อน เราถึงจะตามไปรู้ได้

ช่วงแรกๆ อย่าเพิ่งกังวลมากครับ เรื่องรู้ช้ารู้เร็ว
เอาเป็นว่า คอยตามรู้ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะรู้สึกตัวได้

วิธีจะรู้ได้ไว มันต้องฝึกซ้อมเอานะครับ วิธีง่ายๆคือสวดมนต์ แล้วคอยรู้สึกกายที่เคลื่อนไหวเวลากราบพระ

กราบๆอยู่ ใจแว้บไปคิด ให้รู้ทันว่าคิด
สวดๆอยู่ ใจแว้บไปคิด ให้รู้ทันว่าคิด

ไม่ได้รู้เพื่อจะห้ามนะครับ อันนี้ตั้งหลักดีๆ
แต่รู้เพื่อจะให้เห็นว่า จิตมันแว้บได้เอง เราไม่ต้องสั่ง ห้ามก็ไม่ได้ เพราะธรรมชาติจิตมันเป็นของมันอย่างนั้น

จะเผลอนานไปบ้างก็ช่วยไม่ได้ ไม่ต้องคิดมาก
คิดก็รู้ว่าคิด สงสัยว่าเอ๊..แบบนี้ถูกมั้ยน๊า รู้ว่าสงสัย
ไม่ชอบที่จิตเป็นแบบนี้ รู้ว่าไม่ชอบ

ภาวนาด้วยการ รู้สึกกาย รู้สึกใจ ตามที่เป็นจริง ณ ปัจจุบัน
รับรองไม่หลงทางครับ


โดย: aston27 วันที่: 11 กันยายน 2552 เวลา:14:59:33 น.  

 
คุณastonค่ะ
สามีดิฉันยอมรับว่าได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปโดยที่ตัวเค้าไม่ตั้งใจและพยายามจะแก้ไขให้ดีขึ้นจริงๆว่าดิฉันเองก็สังเกตุเห็นเคยถามเค้าแต่ตอนนั้นเค้าก็ไม่ยอมรับความจริงดิฉันก็ได้แต่คาดเดาเรื่องไปต่างๆนาๆจากพฤติกรรมและคำพูดที่เค้าหลุดหรือข้อความในโทรศัพท์ที่เห็นโดยบังเอิญทำให้ดิฉันคิดมากและเสียใจตลอดมาเป็นเวลานานหลายเดือนจนดิฉันรู้สึกเก็บกดเพราะไม่สามารถที่จะบอกหรือพูดกับใครได้เพราะไม่อยากทำให้กลายเป็นเรื่องราวให้ผู้ใหญ่ได้รับรู้ก็เลยเก็บปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดไว้กับตัวเองตลอดมาจนวันนี้เค้าได้ยอมรับและได้เล่าให้ฟังทั้งหมดแล้วและขอให้ดิฉันอย่าโกรธและจากเค้าไป หลังจากได้ฟังความจริงทั้งหมดความรู้สึกทึบๆๆหนักๆก็หายไปเหมือนดิฉันได้รู้สึกว่าที่เราได้รู้และเห็นมานั้นเราคิดถูกมาตลอดไม่ได้เกิดจากการคิดไปเองอย่างที่เค้าว่ามาตลอด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เค้าไม่เคยรู้เลยว่าช่วงที่เรามีปัญหากันดิฉันเสียใจคิดมากและร้องไห้ทุกวันและทุกครั้งที่อยู่คนเดียวตลอด หลังจากร้องไห้ดิฉันจะรู้สึกดีขึ้นจนเหมือนดิฉันเสพติดการร้องไห้ไปแล้ว ดิฉันไม่แน่ใจตัวเองว่าเป็นโรคทางจิตไปแล้วรึปล่าว ดิฉันอึดอัดกับปัญหาที่เกิดขึ้นและไม่แน่ใจตัวเองจริงๆว่าอยากจะอยู่กับเค้าต่อไปรึปล่าวหรืออยากอยู่คนเดียวโดยไม่มีเค้าอีกต่อไป
ขอบคุณนะคะที่ให้เขียนระบายความอึดอัดในใจ


โดย: MONIC IP: 58.136.74.195 วันที่: 18 กันยายน 2552 เวลา:12:05:58 น.  

 
สวัสดีครับ
ผมมีลูกสาว อายุ 7 ขวบ และช่างซักถาม และคำถามก็เริ่มยากที่ผมจะตอบเช่นถามว่า "การที่ผู้หญิงแต่งงานแล้วจะไม่มีความสุขหรือคะคุณครูที่โรงเรียนบอก" บางทีก็มาบอกสิ่งที่ผมตกใจเช่นว่า "เพื่อนที่โรงเรียนมีการหอมแก้มกันด้วยล่ะคุณพ่อ" ผมการศึกษาน้อย ประสบการณ์ชีวิตน้อย และปัญญาก็น้อย ผมกับภรรยาเพิ่งเริ่มศึกษาธรรมะได้ไม่นาน ผมเกรงว่าจะไม่ทันการณ์ หากจะนำธรรมะ หรือเรื่องราวดีๆ มาสอนลูกที่อีกไม่กี่ปีก็จะเป็นวัยรุ่นและเติบโตในสังคมกรุงเทพที่น่าเป็นห่วง ผมเคยเป็นเด็กไม่ดีในอดีต แต่นั่นเป็นความทะโมนแบบเด็กผู้ชาย ผมสอนลูกสาวไม่ค่อยเป็น แต่ผมก็เป็นห่วงลูกมาก ผมอยากสอนให้เค้าหัดรู้สติ แต่เริ่มไม่เป็นคงเพราะเห็นเค้าเป็นเด็ก กลัวว่าเค้าจะไม่เข้าใจ คำถามของผมก็คือ มีธรรมะสำหรับสอนเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพบ้างมั้ยครับ ช่วยสอนพ่อ-แม่ที่เพิ่งเริ่มศึกษาธรรมะทีครับ ผมควรจะเริ่มจากตรงไหนดี ผมสอนได้แค่เรื่องติ้นๆพื้นๆ แต่จะทำอย่างไรให้ลึกซึ้งจนปลุกจิตสำนึกของลูกได้ตั้งแต่วันนี้ รบกวนด้วยครับ ขอบคุณมากครับ


โดย: พ่อ-แม่ IP: 125.25.242.206 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:17:23:35 น.  

 
คุณ Monicครับ

ผมยกเรื่องของคุณไปไว้ในหน้าบล็อกรวมนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:18:43:31 น.  

 
คุณพ่อ-แม่ครับ

ธรรมะสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ผมยังนึกไม่ออกครับ

แต่แนะนำได้ว่า ให้พาไปวัดที่สวยงาม ร่มรื่น ร่มเย็นไว้บ่อยๆ

ให้เขาคุ้นเคยกับการเห็นพระ ไหว้พระ สวดมนต์ ทำบุญ ทำทาน ฟังธรรม

อาจจะไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งเหล่านี้ มันจะซึมเข้าไปในใจ

โตขึ้นเขาจะคุ้นเคย และนึกถึงธรรมะ ในเวลามีวิกฤต ชีวิตจะรู้สึกว่ายังมีที่พึ่งได้

อีกวิธี คือไปห้องสมุดบ้านอารีย์นะครับ ที่นั่นมีกิจกรรมทุกวันอาทิตย์ หรือสองอาทิตย์ครั้ง ผมไม่แน่ใจ เป็นกิจกรรมสำหรับเด็กเล็กนี่แหละ มีพระอาจารย์วิวัฒน์ เป็นผู้สอนให้

เขาจะฝึกให้เด็กมีสติ หัดนั่งสมาธิ และวาดรูป ฯลฯ ลอง search หาคำว่า "ห้องสมุดบ้านอารีย์" นะครับ

นอกจากนั้นก็ลองหาซีดีของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช ไปเปิดเวลานั่งรถ หรือก่อนเขานอน ให้เขาฟังเล่นๆ

ที่แน่ๆ อย่าบังคับเขานะครับ เอาแค่เขาชอบไปวิ่งเล่นในวัด ก็ดีถมแล้ว


โดย: aston27 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:22:49:51 น.  

 
1.ถ้าต่างคนต่างมีแฟนโดยยังไม่ได้แต่งงาน แต่แอบคบกันโดยทางแฟนไม่รู้ ผิดศีล 5 หรือเปล่าค่ะ
2.ถ้าใจเราเมื่อเจอคนที่เกลียด แล้วนิ่ง ไม่สนใจ มองไม่เห็น แบบนี้ เรียกว่า อโหสิกรรมได้ไหมค่ะ กลัวว่า จะเป็นการเก็บกดหัวใจตัวเอง


โดย: tammy IP: 58.64.81.211 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:16:32:59 น.  

 
คุณ tammy ครับ

คำถามข้อแรกของคุณ จะตอบตัวเองได้ง่ายมาก ถ้าคุณลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา

ถ้าผมถามคุณว่า ถ้าแฟนคุณไปคบกับหญิงอื่น โดยคุณก็ไม่รู้ คุณจะทุกข์ไหม

เรื่องผิดศีลไม่ผิด นี่ไม่ต้องถามนะครับ มันผิดแน่ๆ

อย่าไปยึดติดกับเรื่องแต่งงานมากนะครับ
เอาแค่คนสองคนตกลงจะผูกสัมพันธ์ เป็นคนรักกัน เท่านี้ ก็ถือว่ามีพันธะต่อกันแล้ว

การจะไปทำอะไร ที่เขาจะเสียใจได้ในภายหลัง ย่อมถือเป็นการละเมิดครับ

2. อโหสิกรรม คือการให้อภัย ยกโทษให้อีกฝ่าย "ด้วยใจจริง" ไม่ใช่แค่ปาก หรือการนิ่งเฉย ไม่สนใจ ไม่มอง

แบบของคุณมีสำนวนเรียกว่า "คว่ำบาตร" ไม่ใช่อโหสิ แล้วก็มีโอกาสจะเป็นทั้งผลบวกหรือลบ

คือถ้าเรานิ่ง ไม่สนใจ ไม่มอง เพื่อหลีกเลี่ยงจะสร้างกรรมใหม่ หลีกเลี่ยงการปะทะ อันนี้ก็ถือเป็นทางออกอย่างหนึ่ง

แต่ก็ยังไม่ใช่การอโหสิกรรมนะครับ เพราะยังผูกใจเจ็บกันอยู่

แต่บางกรณี เราแกล้งนิ่ง แกล้งไม่มอง เพื่อกดดันอีกฝ่าย เป็นการกลั่นแกล้ง อันนี้ก็เป็นการสร้างกรรมเวรต่อกันล่ะครับ



โดย: aston27 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:0:15:42 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ แม้ว่าคนหาเช้ากินค่ำอย่างผม จะทำงานกลับดึกมาไม่ทันลูกเข้านอนมาหลายปีแล้วครับ ผมก็จะนำคำแนะนำของคุณแอสตันไปลองดูให้จงได้นะครับ ยังโชคดีที่ผมมีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ แม้ส่วนมากผมจะยกเวลาให้พ่อที่อายุ 70 กว่าก็ตาม ขอบคุณครับ


โดย: พ่อ-แม่ IP: 220.232.58.247 วันที่: 30 กันยายน 2552 เวลา:12:40:45 น.  

 
เพื่อนกับแฟน....... กลุ้มค่ะ
คือว่า หลายเดือนก่อนทะเลาะกับแฟนค่ะ เรื่องร้ายแรงพอสมควร เพื่อนเข้าข้างเราหัวชนฝา คอยอยู่ดูแลเราตลอด และคอยให้เราได้ระบายความอัดอั้นตันใจได้ดีมาก ๆ เพื่อนเค้าดีกับเรามาก ๆ ค่ะ รักเพื่อนคนนี้มาก(เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิท)

ตอนนี้เคลียร์กับแฟนได้แล้ว เกือบ ๆ จะกลับไปคบกัน (มีเปอร์เซนสูงค่ะ)แต่พื่อนกลับมาแอนตี้เรากับแฟนมากเลยค่ะ
กลายเป็นว่า เรื่องที่เราระบายให้ฟัง เพื่อนก็เอามาแขวะเราได้ตลอดเวลาเลย พยามระงับความโกรธไว้ตลอด เขาแขวะ เราก้ยิ้ม จนบางทีอึดอัด แอบโกรธ แต่ไม่เคยโต้ตอบ พยามคิดว่า เพราะเพื่อนเป็นห่วงเรา เค้ารักเรา ไม่งั้นเค้าคงไม่แขวะเราขนาดนี้ พยามอภัยให้ตลอด เพราะช่วงที่มีปัญหา เพื่อนคนนี้เค้าก็ดีมาก ๆ
แต่เค้าก็ไม่เลิกแขวะซีกที ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เวลาโดนแขวะ ก็ต้องตามดูตามรู้กายใจ อย่างที่คุณสอนน่ะค่ะ แต่วันนึงมันโดนหลายครั้งน่ะค่ะ บางทีก็ตามได้บ้าง บางทีมันก็ไหลไปอีก พยายามรู้สึกตัวมาก บางครั้งรู้สึกว่าเราพยายามรู้กายใจมากไปรึเปล่า แทนที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้น แตมันกลับเครียดค่ะ แบบนี้ทำไม่ถูก ใช่มั๊ยคะ มาผิดทางแล้วใช่มั๊ยคะ
ตอนนี้เพื่อนกับแฟนเข้ากันไม่ได้เลย ทั้งที่แต่ก่อน แฟนเข้ากับเพื่อนเราได้ดีมาก กลุ้มค่ะ
กลับไปอ่าน blog บทเรียนของคู่รัก ที่คุณเขียนก็เออนะ จริงนะ ระหว่างเพื่อนกับแฟน ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกว่าใครดีกว่าใครเลย ตลอดเวลาที่อยู่กับเพื่อน คือจันทร์-ศุกร์ และแฟนเจอแค่เสาร์อาทิตย์ เพราะต้องทำงานค่ะ เราก็ไม่เคยไม่มีเวลาให้นะคะ ไม่ใช่ว่ามีแฟนแล้วไม่เห็นหัวเพื่อน เราเหมือนเดิมทุกอย่าง(เราคิดนะคะ) สำหรับเพื่อน ให้ไปไหนทำอะไร เราได้หมด เฮฮาเที่ยวได้ตลอด (บางทีต้องแอบแฟนไป เพราะกลัวเพื่อนโกรธ) เราก็ต้องตามใจทั้งเพื่อนทั้งแฟน เหนื่อยค่ะ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนคาดหวังอะไรจากเรา ตอนนี้กลายเป็นว่า พอเรามีเรื่องไม่สบายใจ ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเลยค่ะ เข็ดไปเลย
ตอนนี้ก็เลยไม่รู้จะใช้ชีวิต ยังไงอ่ะค่ะ ถ้าจะกลับไปคบกับแฟนอีก กลุ้มจัง
ประเมินสถานการณ์ให้หน่อยสิค่ะ ว่าคืออะไร เราไม่ดีเองใช่มี๊ยคะ คุณ aston


โดย: กลุ้มค่ะกลุ้ม IP: 61.7.138.246 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:12:51:48 น.  

 
พี่แอสตันคะ เห็นว่าจะเข้าใกล้เทศการกินเจ ที่เค้าโฆษณากันว่า กินเจทำให้ได้บุญ สงสัยอ่ะคะว่าการที่เราละเว้นเนื้อสัตว์ สิบวันจะทำให้เราได้บุญเพิ่มขึ้นหรอคะ หนูยังไม่เคยลองกินเจเลยค่ะ คิดอยู่ว่าปีนี้จะลองดู แล้วพี่แอสตันกินเจมั้ยคะ


โดย: น้องปอย IP: 125.24.115.181 วันที่: 11 ตุลาคม 2552 เวลา:18:19:19 น.  

 
สวัสดีค่ะ Aston อยากขอคำปรึกษาหน่อยค่ะ เรื่องที่เรากลุ้มอยู่นี่อาจจะแปลกไปนิดนึง คือเราเป็นคนที่กลัวกล้องค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่ชอบถ่ายรูปนะคะ คือเวลาถ่ายรูปเช่นไปงานอะไรที่มีตากล้องแล้วมีคนมาดูตอนเราถ่ายเราจะเกร็งมากๆ แล้วไม่สามารถยิ้มได้ค่ะ แบบปากจะสั่นๆ แต่ถ้าให้แม่ถ่ายรูปให้ หรือถ่ายรูปเองก็ยิ้มได้เป็นปกติ เหตุมันคงเริ่มมาจากมีเหตุการณ์ครั้งนึงที่รู้สึกเกร็ง พอหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเหตุการณ์ไหน พอคนจะมาถ่ายรูปเราจะกลัวว่าเราจะมีอาการแบบนั้นรึเปล่า พอกลัวก็ทำให้มันมีอาการแบบนี้จริงๆ จะไปเล่าให้ใครฟังเค้าก็คงจะคิดว่าเราบ้า

แบบนี้พอจะมีวิธีทางธรรมะหรือการทำสมาธิอะไรที่จะช่วยลดการตื่นกลัวนี้ได้รึเปล่าคะ ก่อนหน้านี้ไม่เป็นนะคะ มันเพิ่งมาเป็นช่วงปีหลังๆนี่แหละคะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: nun IP: 124.122.148.104 วันที่: 18 ตุลาคม 2552 เวลา:19:12:05 น.  

 
คุณกลุ้มค่ะกลุ้ม

ไม่ใช่เราดีหรือไม่ดีหรอกครับ

เพียงแต่เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนพึงพอใจได้เสมอกันเท่านั้น

ปัญหาอยู่ที่คุณวางใจผิดไปหน่อย ว่าคุณอยากให้ทุกคนแฮปปี้มีสุข กับสิ่งที่คุณเลือกคุณทำ

เรื่องคนอื่นจะคิดยังไง อันนี้ก็ปัญหาของเขานะครับ
คนเราจะคบกันได้ ก็ต้องยอมรับในสิทธิส่วนตัวของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย

ถ้าเป็นผม ผมจะชั่งใจเรื่องแฟนเก่า โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องเพื่อน
สมควร ไม่สมควรจะคบ ก็เพราะเราเอง ไม่ใช่เพราะเพื่อนจะพอใจหรือไม่พอใจ

ขณะเดียวกัน ผมจะคุยกับเพื่อนว่า คนเรามีเพื่อนที่ห่วงใยปรารถนาดีนั้นเป็นบุญที่เราเจอ

แต่ความปรารถนาดี ความห่วงใย ถ้าใส่ pakaging มาผิด มาในรูปแบบของการจิกกัดแขวะ มันก็เป็นผลเสียได้นะ

การมีธรรมะในใจ ไม่ได้แปลว่า เราต้องนิ่งเฉยเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ใครจะว่าจะทำอะไรก็เฉยนะครับ

ธรรมะ เอาไว้แก้ทุกข์ทางใจ เอาไว้ให้มีสติ จะได้แก้ปัญหาทางโลกให้มีประสิทธิภาพอีกที

แปลว่า สมควรพูดก็ต้องพูด สมควรบอกก็ต้อบอก ชมคนที่ควรชม เตือนคนที่ควรเตือนและเตือนได้

ถ้าพูดไม่ได้ เตือนไม่ได้ ก็ค่อยคอนเวิร์สกันไป ตัวใครตัวมันนะ


น้องปอย
การกินเจได้บุญแบบกินเจครับ

ที่เรียกบุญ มีหลายแบบนะ การทำทานก็เป็นบุญอย่างนึง
แต่ก็ต้องประกอบด้วยศีล และจิตที่บริสุทธิ์

คือถ้ากินเจแล้วนั่งเหล่คนข้างๆที่ไม่ได้กินเจ ว่าไอ้พวกไม่กินเจนี่ไม่ได้เรื่อง อันนี้ก็ไม่ค่อยได้บุญหรอกครับ

แต่ถ้าเรากินของเราไป เพราะตั้งใจทำกุศลที่ทานอาหารอันไม่เบียดเบียนชีวิตอื่น และฝึกตัวเองไม่ให้ตามใจกิเลส ความเคยชินในการกินเนื้อ

อันนี้ก็ได้บุญตามสมควรครับ

ส่วนตัวพี่ พี่ชอบทานผักมากกว่าเนื้อสัตว์อยู่แล้ว แต่พี่ไม่ได้ประกาศว่าผมทานเจ เพราะอยากเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย

เดินไปตรงไหนเขามีเจ เราก็ทานได้ ไม่มีเราก็ทานได้ แบบนี้สบายตัวกว่า

ถ้าไม่ได้ทานเจ แต่ไถ่ชีวิตโคกระบือ ปล่อยปลาบ่อยๆ ก็บุญเดียวกันนะครับ

หรือถ้าทานเนื้อสัตว์ แต่หัดเจริญสติภาวนา วิปัสสนา อันนี้บุญใหญ่กว่าทานเจครับ

คุณ Nun

บางคนจะแนะนำให้หายใจเข้าออกแล้วรู้ลม แต่ผมเคยทำแล้วไม่ได้ผล อันนี้คงแล้วแต่จริตคน

ผมจะแนะนำให้รู้ไปซื่อๆ ว่าจิตมันเกร็ง จิตมันเครียด แล้วดูว่าอยากหายมั้ย รู้ว่าจิตอยาก

เคล็ดอยู่ที่รู้ตามความเป็นจริง รู้ด้วยใจยอมรับ ไม่ปฏฺิเสธ แล้วรู้แบบคนนอก คือรู้ว่าจิตกลัว จิตเกร็ง จิตไม่ชอบ ไม่ใช่รู้ว่าเรากลัว เราเกร็ง เราไม่ชอบ อันนี้ต่างกันนะครับ เพราะรู้แบบคนนอกจะรู้ได้สบายๆ ครับ


โดย: aston27 วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:9:48:55 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ Aston
คือรู้สึกสับสนระหว่างการ รู้สึกตัว กับการเพ่งน่ะค่ะ สมมุติเรานั่งอยู่เฉยๆ เรารู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก และรู้สึกเฉยเฉย แต่ทำไมเวลาเรารู้สึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถึงกลายเป็นเพ่งล่ะคะ ก็ถ้าเราไม่ได้คิดอะไรเลย รู้ไปอย่างนี้เรื่อยๆ จะไม่ได้เป็นการเพ่งไม่ได้หรือคะ
ขอบคุณค่ะ


โดย: DeeNee IP: 58.64.58.237 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:18:31 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ดิฉันได้อ่านหนังสือของคุณ aston เพราะเพื่อนแนะนำในช่วงที่ชีวิตมีปัญหาครอบครัวและติดหนังสือเล่มนี้มากค่ะ พกติดตัวไว้ตลอด มีคำตอบที่กระทัดรัดชัดเจนให้ในหลายๆเรื่อง สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำได้และได้แนะนำให้เพื่อนๆอ่าน จนเพื่อนที่อ่านนำหน้าไปซื้อเล่ม 2 แล้วค่ะ มีเรื่องรบกวนสอบถามค่ะ ว่าดิฉันได้แต่งงานมา 11 ปี มีลูก 2 คน ตลอดเวลาก็รักเขามาก แต่ชอบเขาโกหก ไม่รักษาคำพูด เวลามีปัญหา ดิฉันจะเป็นคนจัดการเสมอจนเขาเคยชิดมีเรื่องอะไรก็จะโทรให้จัดการตลอด รู้สึกเหนื่อย และก็เป็นแบบนี้มาตลอด จนเมื่อประมาณปลายปี 51 ทราบว่าเขามีภรรยาน้อยและมีลูกสาว 1 คนทั้งๆที่เรายังลำบากอยู่ เสียใจมากก็ร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตาแล้ว หมดแรงที่จะทำอะไรต่อไป ขอให้เขาเลิก เขาก็ไม่เลิก แต่ขอให้เรารับผู้หญิงคนนั้นกับเด็ก จึงตัดสินใจออกจากเขามา อยู่แบบแกนๆ แต่ก็ยังโทรหาเขาอยู่ แต่เขาก็รับบ้างไม่รับบ้าง ไม่ให้เจอลูก แล้วเขาก็ย้ายไปอยู่บ้านผู้หญิงคนนั้นอยู่กันได้ประมาณ 3 เดือน เขาก็กลับมา ตอนที่ไม่ได้อยู่กับเขาดิฉันได้มีโอกาสรู้จักใกล้ชิดกับผู้ชายคนหนึ่งเพราะต้องทำงานร่วมกัน และก็ได้คบกันมาเรื่อยๆ เพราะรู้สึกสบายใจและอบอุ่นเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องกลัวเหมือนอยู่กับเขาเพราะเขาชอบเสียงดังถ้าความคิดขัดแย้งกันแต่สุดท้ายเราก็เป็นคนที่ต้องรับภาระทุกครั้ง รู้สึกเหนื่อยมานานแล้วค่ะ ดิฉันก็รู้ว่าที่ทำอยู่นี้มันผิดมาก แต่ก็รู้สึกดีและผูกพันธ์กับผู้ชายคนใหม่นี้มาก และอยากใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน โดยที่จะเลิกกับเขา แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ เพราะมีลูก ยังอยากให้ครอบครัวสมบูรณ์ แต่ทุกวันที่อยู่กับเขาก็รู้สึกฝืนค่ะอยากทราบว่าควรทำอย่างไรดีคะ อยากได้คำแนะนำและมุมมองค่ะ

ขอบคุณค่ะ


โดย: พลอย IP: 118.175.196.223 วันที่: 15 มกราคม 2553 เวลา:14:24:54 น.  

 
คุณ DeeNee

ผมเอาปัญหาคุณไปตอบในบล็อก "คำถาม: เพ่ง งง สงสัย จะภาวนาไปทำไม" แล้วนะครับ

ไม่ทราบได้อ่านหรือยัง

คุณพลอย

บางครั้งบางคราว เราก็ต้องเลือกระหว่างสิทธิกับหน้าที่ใช่ไหมครับ

สิทธิ หมายถึง สิทธิในการมีชีวิต มีคู่ครองที่เราสบายใจ
หน้าที่ หมายถึง หน้าที่ในฐานะแม่ของลูก

ถ้าสองอย่างนี้ ไปด้วยกัน มันก็ง่าย แต่ถ้ามันขัดแย้งไปกันคนละทาง มันก็ปวดหัวอยู่

เรื่องของคุณในส่วนที่ว่าด้วยพฤติกรรมของสามี
ผมแนะนำให้ไปอ่านบล้อก "เรื่องไม่คาดคิด" ดูก็แล้วกันนะครับ

แต่ในส่วนของผู้ชายที่มาใหม่ อันนี้อย่างที่ผมบอก
ว่าเราจะให้น้ำหนักของอะไรมากกว่า ระหว่างสิทธิ กับหน้าที่

ผมแนะนำว่า ควรจะมีทั้งสองส่วนที่สมดุลกัน แต่ถ้าทำไม่ได้ หน้าที่ควรจะมาก่อนสิทธินะครับ

คือถ้าพ่อแม่ รักษาสิทธิของตัวเองในการไปหาความสุข แต่ภาระไปอยู่ที่ลูก อันนี้ก็ไม่ถูก

จะบอกว่า เพราะพ่อทำตัวเลว แม่ไม่มีความสุขก็เลยต้องทิ้งลูกไปหาความสุข มันก็ฟังลำบากนะครับ

แต่ถ้าต่างคนต่างมีชีวิตส่วนหนึ่งของตัวเอง แล้วให้เวลากับลูกมากพอได้ด้วย ลูกเข้าใจ ยอมรับ และยินดีที่พ่อกับแม่ จะเป็นอย่างนั้น อันนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร

เรื่องของคุณ ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง The Bridge of Medison County หนังที่กำกับโดย Clint Eastwood

นางเอกของเรื่อง เล่นโดยเมอริล สตรีพ เป็นแม่ที่ต้องเลือกตัดสินใจคล้ายๆคุณนี่แหละ

ตอนท้าย แม่ก็เลือกจะทำหน้าที่ของแม่ สละความสุขส่วนตัว ชนิดน้ำตาตกใน แต่ก็ยอมกัดฟัน

ผมไม่ได้ฟันธงว่าควรจะเลือกอย่างไรนะครับ ชีวิตเป็นของคุณพลอยเอง ผมไม่กล้าชี้นำใครขนาดนั้น

ได้แต่อวยพรให้เลือกด้วยสติ และโชคดีกับทางเลือกที่คุณเลือกครับ


โดย: aston27 วันที่: 29 มกราคม 2553 เวลา:14:55:21 น.  

 
ดิฉันเริ่มเข้าการปฎิบัติธรรม ทำสมาธิ ฝึกกำหนดลมหายใจและอ่านหนังสือธรรมะและจิตวิทยาในแนวทางกับพุทธศาสนา เริ่มใจเย็นลงฟังคนอื่นเป็น คิดบวกเป็น เข้าใจผู้อื่นบ้างแต่บางครั้งดิฉันติดตัวตนของตัวเองตรงที่ว่าทำไมคนนี้คิดแบบนี้คิดได้ไงทำไมไม่คิดแบบที่เราคิดล่ะทำให้รู้สึกไม่ชอบใจในสิ่งที่เขาเป็น กลายเป็นทุกข์ของตัวดิฉันเองคงเป็นเพราะอารมณ์ไม่ถูกใจในสิ่งที่เขาเป็นโดยเฉพาะคนใกล้ตัวของดิฉันเราควรฝึกยังไงดีให้รู้จักระงับอารมณ์และใช้สติให้มากกว่านี้


โดย: วันของเรา IP: 203.144.144.164 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:41:51 น.  

 
หวัดดีค่ะ พี่aston

ปุ๊กกี้ฟังCD หลวงพ่อปราโมทย์มาพักใหญ่ แต่ด้วยความขี้เกียจ เพิ่งจะเริ่มดูจิตอย่างไม่จริงจังมาไม่นาน กะว่าจะเริ่มจากศีล 5
ไม่ได้อยากจะยอตัวเอง คิดว่าปุ๊กกี้ก็เป็นคนดีอยู่ในระดับนึง คิดว่าตัวเองมีศีล5 อยู่แล้ว แต่มีคำถามเกี่ยวกะมุสาค่ะ
คือว่าปกติจะชอบซื้อของตามตลาดนัดแถวที่ทำงาน แล้วไปเผลอซื้อของ coppy มาโดยที่ไม่รู้ (จริงๆก็มีทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว ที่ไม่รู้ตัวก็คือ ไม่รู้ว่าอันที่ซื้อมาน่ะ มันเลียนแบบยี่ห้อดัง ซื้อเพราะชอบแบบ แต่มารู้ภายหลังค่ะ)

คือของพวกนี้มันเริ่มกวนใจตลอด ว่าเรากะลังหลอกคนอื่นอยู่ ก็พยายามไม่ใช้ แต่บางอันมันก็แอบแพง วางทิ้งไว้เฉยๆก็เสียดาย ให้คนอื่นก็น่าจะยิ่งบาปหนัก

ทำไงดีคะ ถ้าใช้ของจนพัง แล้วไม่ซื้อของผิดมาเพิ่ม จะหายบาปไหมคะ

อ้อ อีกอย่าง ถ้าของที่ดูก็รู้ว่าตั้งใจเลียนแบบเห็นๆแต่แปะยี่ห้อเป็นอย่างอื่น อันนี้ซื้อได้ไหมคะ

ขอความกรุณาด้วยนะคะ


โดย: Pooky IP: 203.146.145.190 วันที่: 22 มีนาคม 2553 เวลา:9:01:54 น.  

 
คุณวันของเราครับ

ที่คุณทำมาถือว่าได้สร้างพื้นฐานให้ตัวเองได้ดีแล้วครับ
การนั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ อันนั้นเป็นสมถะกรรมฐาน

ข้อดีของสมถะคือ ช่วยให้เราสงบ ให้จิตใจมีกำลัง
แต่ผลพลอยได้ที่น้อยคนจะเห็นคือ เรามักจะรู้สึกว่าตัวเรา มันดีกว่าคนอื่น

อันนี้เป็นอัตตา เป็นกิเลสของผู้ปฏิบัติที่เป็นกันมาก
ดังนั้น ที่คุณรู้ตัวว่ามีจุดอ่อนตรงนี้ ผมอนุโมทนาด้วยนะครับ
มีไม่มากนักหรอกที่จะเห็น และยิ่งน้อยที่เห็นแล้วยอมรับ

คำแนะนำคือ ให้คุณฝึกรู้ทันการทำงานของจิตไว้บ่อยๆครับ

จิตมันจะทำงานสองอย่าง คือ คิดนึกปรุงแต่ง อันนี้หนึ่ง
อีกอย่างคือ มันจะแสดงอารมณ์ เช่น สุข ทุกข์ รัก ชอบ ชัง เกลียด โกรธ เบื่อ ยินดี ยินร้าย ฯลฯ

เมื่อไหร่ที่คุณเห็นมันขยับไปทำงาน เช่น คิดถึงสิ่งที่คนอื่นทำ ให้รู้ทันว่าจิตมันคิด

เห็นว่า จิตหลงไปคิดแล้ว มันให้ค่าขึ้นมาว่าอันนี้ ไม่ดี ไม่ชอบ ก็รู้ทันว่าจิตมันไม่ชอบ

จิตเป็นอย่างไร รู้ตามความเป็นจริง ว่ามันเป็นอย่างนั้น

มันมีอัตตา ถือดี ถือว่าเราเหนือกว่าคนอื่น ก็รู้ทัน ว่ามันเป็นอย่างนั้น

เบื้องต้น ฝึกอย่างนี้ไปก่อน สักเดือนหนึ่ง ได้ผลอย่างไร ค่อยมาเล่าให้ผมฟังนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 29 มีนาคม 2553 เวลา:0:02:04 น.  

 
คุณปุ๊กกี้

ของก๊อป ของเลียนแบบ ถ้าเราไม่รู้มาก่อนว่าอันนั้นเขาไปก็อปมา ก็ไม่บาปหรอกครับ

เรื่องเลียนแบบเจ้าอื่น มันขึ้นกับว่า เจ้าของเขายินดีไหม

อย่างสมมติ ผมทำขาหมูใส่โอวัลติน แล้วผมขายดี มีคนเอาไปเลียนแบบบ้าง ผมก็ไม่ว่า อันนี้เขาก็ไม่ผิด คนซื้อก็ไม่ผิด

อาจจะต้องเจาะจงมากกว่านี้น่ะครับ ว่าของเลียนแบบที่ว่า คืออะไร



โดย: aston27 วันที่: 29 มีนาคม 2553 เวลา:0:07:52 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ aston

น้องแต่งงานแล้วค่ะ ตอนนี้ มีปัญหานิดหน่อยกับแม่สามี คือว่า น้องกับแม่สามีมีความเห็นเรืองการเมืองต่างกัน แม่สามีเป็นคนที่สนับสนุนและชอบพวกเสื้อแดงมาก มากจนขนาดที่น้องทนไม่ได้ เพราะว่าบางเรื่องมันเกิดขอบเขตที่คนไทยอย่างน้องจะรับได้ ตอนนี้น้องไม่อยากไปบ้านสามีเท่าไหร่(โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ต้องไทบุญกับที่บ้านเขา) เพราะว่าไม่อยากได้ยินและไม่อยากเห็นเวลามีข่าวการเมือง ถ้าเสื้อแดงได้เปรียบ แม่สามีจะดีใจจนออกนอกหน้าหรือถ้ารัฐบาลได้เปรียบก็จะแสดงอารมณ์ จะทำอย่างไรดีคะ เพราะว่าถ้าเลี่ยงไม่ไปบ้านเขาบ่อย ๆ ก็จะผิดสังเกต (จริง ๆ แล้วแม่สามีท่านก็ดีกับน้องนะคะ แต่ว่าความเห็นเรื่องนี้ไม่ตรงกัน) เวลาเจอแบบนี้น้องเองกลัวจะเก็บอาการไม่อยู่ ไม่อยากเถียงหรือพูดอะไรมากเพราะว่าจะกลายเป็นผิดใจกัน (ส่วนพ่อสามีก็อยู่ฝ่ายเสื้อแดงแต่ไม่ออกอาการมากค่ะ แต่ว่าสามีอยู่ตรงข้ามกับที่บ้าน) ขอบคุณที่ให้คำแนะนำค่ะ


โดย: น้อง IP: 210.86.135.46 วันที่: 10 เมษายน 2553 เวลา:10:34:00 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณ aston

ขอบคุณมากค่ะ ที่ได้ให้แนวทางในการตัดสินใจ แต่ไม่รู้ว่าจะสายไปมั๊ย ถ้าตอนนี้จะเริ่มทำใหม่ เนื่องจากได้มีความสัมพันธ์กับคนใหม่ไปแล้ว ผิดศีลไปแล้วรู้สึกแย่กับตัวเองที่ทำลงไป เพราะตอนนี้สามีเขาก็กลับตัวมาเป็นคนดีแล้ว เราเสียอีกที่กลับเป็นคนทำไม่ดี สับสนนะ จะต้องทำอย่างไรต่อไปดี หากเราจะหยุดความสัมพันธ์แบบนี้กับคนใหม่ แต่ยังโทรคุยกันอยู่บ้าง แต่จะไม่ไปไหนด้วยกันแล้วผิดหรือป่าวคะ เพราะรู้สึกดีและอบอุ่น เวลาเรามีปัญหาก้อเราสามารถคุยปรึกษาได้ ถ้ายังคบกันในกรณีแบบนี้ได้หรือไม่คะหรือว่าควรเลิกกันไปเลย รบกวนขอคำแนะนำด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ
พลอย


โดย: พลอย IP: 118.175.196.223 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:13:03:17 น.  

 
คุณน้อง

ลองตั้งสติแล้วนึกดูดีๆนะครับ

ตกลงที่รับแม่สามีไม่ได้นี่ เพราะเขาชอบเสื้อแดง
หรือเพราะ "เราเกลียดเสื้อแดง"?

จริงๆ แม่สามี ท่านก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เรา
เพราะท่านก็ชอบก็เชียร์ของท่าน

เราต่างหาก ที่เอาความชอบ ไม่ชอบ ความคิดความเห็นของเรา ไปตัดสินสิ่งที่ท่านคิด ท่านชอบ

แล้วเราก็ทุกข์เอง เห็นมะ :)

ประเทศนี้ ไม่ได้มีปัญหา เพราะมีเสื้อแดง เสื้อเหลือง หรือเสื้ออะไรหรอก

เรามีปัญหา เพราะเราไม่ชอบใจ เราอยากให้คนอื่นเห็นด้วยกับเรา เรารับไม่ได้ที่คนอื่นทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่ถูกใจ

ถ้าลองย้อนกลับไปอ่านย่อหน้าข้างบนใหม่ ปัญหามันมักจะเริ่มด้วยคำว่า "เรา"

ถ้าเรา ยังเริ่มมองคนอื่นด้วยการเพ่งโทษ ด้วยการเอา "เรา" เป็นเกณฑ์ ก็เท่ากับเรากำลังสร้างปัญหา สร้างทุกข์ให้ตัวเองครับ

พระพุทธเจ้า ถึงสอนว่า ใจนี่แหละ เป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ

ถ้าคิดดี ก็มีสุข คิดไม่ดี ก็มีทุกข์ มันเป็นธรรมะ เป็นความจริง นะครับ

ถามว่า แล้วจะให้ทำไง ตอบว่า ก็ต้องสร้างเหตุที่จะให้ตัวเอง มีสติ รู้ทันอติมานะ การยึดเอาความคิด ความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่

ด้วยการหัด เจริญสติ คอยรู้สึกตัว ยืน เดิน นั่งนอน รู้สึกตัว รู้สึกว่ามีกายเคลื่อนไหว รู้สึกถึงจิตใจ ที่เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน

การรู้ ในขั้นแรก เราฝึกเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยที่จะมีสติ รู้สึกตัว จนสติมันเกิดเอง โดยไม่ต้องสั่ง

แต่ขั้นที่สอง เราจะอาศัยสติ คอยรู้ทันความเคลื่อนไหว ปรุงแต่ง ด้วยความเป็นกลาง

กระทั่ง ใจไม่เป็นกลาง ต่อสิ่งที่ปรากฏ ก็ให้รู้ลงไปด้วยความเป็นกลาง เห็นว่า กระทั่งความเป็นกลาง ไม่เป็นกลาง ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน ตัวเรา อยู่ในนั้น

อยู่ที่บ้าน หัดรู้สึกตัวบ่อยๆ ครั้งต่อไป ไปบ้านแม่สามี ลองคอยสังเกตใจตัวเองไว้ จะเห็นว่า ความไม่พอใจ มันก็มาเอง ความอึดอัด มันก็เกิดเอง

เราทำอะไรไม่ได้ ไม่มีอะไรต้องทำ นอกจากคอยรู้สึกๆๆๆ

ลองดูนะครับ


โดย: aston27 วันที่: 20 เมษายน 2553 เวลา:21:16:14 น.  

 
คุณพลอยครับ

อะไรที่แล้วไปแล้ว ก็ต้องให้มันแล้วไปนะ
จะผิดชอบชั่วดียังไง มันก็เป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว

อย่าไปลำบากปริวิตกอกร้อน ให้ลำบากเลยครับ
เอาแค่เราตั้งต้นใหม่ แล้วรู้ว่าเราทำอะไรผิดคิดพลาดไป ก็ตั้งใจไว้อย่าทำซ้ำเดิม

จริงๆ ถ้าไม่คิดเรื่องศีล คุณก็มีเหตุจูงใจให้มีสัมพันธ์ใหม่ได้
แต่ผมตอบในกรอบของธรรมะ ก็ต้องเอาศีลมาเป็นข้อพิจารณา

คือถ้าคุณหย่าขาดจากกันไปแล้ว จะไปมีแฟนใหม่ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้

แต่ในเมื่อ ผิดศีลไปแล้ว ก็ต้องแล้วไปครับ
เรามีปัจจุบันไว้เป็นที่ตั้งนะ อย่าพะวงเรื่องอดีตมาก

เมื่อคุณตั้งใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับสามี
ก็ต้องพิจารณาดูว่า คุณจะสามารถเกี่ยวดองข้องแวะกับคนใหม่ได้ โดยไม่พลั้งใจได้หรือ

ถ้าคำตอบมันได้ ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ได้ หรือเขาเองก็ไม่มีทีท่าจะเคารพความตั้งใจจะรักษาศีลของคุณ อันนี้ก็ควรหลีกเลี่ยงนะ

บุญจากการรักษาศีล ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือความตั้งใจจะงดเว้นการละเมิด ผิดศีล แม้ในเวลาที่มันเย้ายวนที่สุด และสุ่มเสี่ยงที่สุด ที่จะผิดศีลได้นี่แหละ

บุญรักษาครับ


โดย: aston27 วันที่: 20 เมษายน 2553 เวลา:21:31:45 น.  

 
พี่แอสตัน

น้องมีทุกข์เพราะรัก ครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะแฟนที่คบกันมา 8 ปี โทรมาบอกว่าทำผู้หญิงท้อง
โดยที่เรากันมากและน้องเองไม่เคยระแวงเรื่องนี้มาก่อนเลย แฟนไปทำงานต่างจังหวัด ประมาณ
3 ปี ตอนแรกที่ถามเค้าบอกว่า ไม่ได้จริงจังอ่ะไร แต่เค้าสับสนผู้หญิงโทรบอกเค้า เค้าแทบล้ม
เมื่อเรื่องเกิดขึ้นทางผู้ใหญ่บ้านน้องไม่ยินยอม ให้จดทะเบียนสมรสไว้ก่อน และเราเองก็ทำใจไม่ได้ในตอนนั้น
เราเชื่อว่าเค้าไม่ได้ตั้งใจ และจะกลับมา
แต่เราก็ดูและทำเข้าใจว่าไม่เหมือนเดิม เค้าก็บอกความจริงว่า เค้าอยู่กันมานานเป็นปี และผูกพันกัน
เค้าให้น้องยอมรับได้ไหมถ้าเค้ามีอีกคน และบอกว่าไม่เป็นไร เราก็อยู่ส่วนเรา เค้าก็อยู่ส่วนเค้า
ซึ่งเราก็เจ็บปวดกับเรื่องนี้มากร้องไห้อย่างหนักและคิดฆ่าตัวตายด้วย แต่ได้ครอบครัวและเพื่อน รวมทั้งBlogพี่เป็นกำลังใจ
จนมาวันนี้เราเริ่มทำใจยอมรับมัน แต่ติดที่ว่าครอบครัวน้องต้องการให้เค้ารับผิดชอบ
โดยเรียกเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเค้าก็บอกว่าจะหาให้ซึ่งแต่เค้าก็โทรมาอ้อนวอนต่าง ๆ ถึงความลำบาก
ในการใช้ชีวิตของเค้าเมื่อให้เงินเราแล้ว ต่าง ๆ นานา
อยากถามพี่แอสตันว่า
1. การที่เราเรียกร้องค่าเสียหาย ที่เราเสียชื่อเสียงเป็นบาปไหมคะ
2. พรุ่งนี้น้องจะพบเค้าเพื่อเจรจาถ้าจบไม่ได้คิดว่าต้องฟ้องร้อง
ซึ่งไม่อยากให้เกิดเนื่องจากเราก็ยังก็จิตใจ ไม่เข้มแข็งและอีกอย่างก็เป็นคนที่เคยรัก
3. เค้ายังอยากให้เรายังคงพูดคุย และเมื่อเค้าลำบากก็ให้การช่วยเหลือ (อยากให้พูดจาเหมือนแฟนกัน)
น้องลำบากใจมาก เราควรมีวิธีวางตัว วางใจอย่างไรในเรื่องนี้ เพราะเราก็ติดใจว่าเราเอาเงินเค้ามา
(แต่ผู้ใหญ่คงไม่ให้เก็บเองกลัวน้องเอาไปคืน)

ปัญหาเรื่องนี้เป็นการอกหักครั้งแรกและเจ็บปวดอย่างมากอยากทราบว่าน้องมาถูกทางแล้วหรือยัง
น้องก็อ่านปัญหาที่ลงในBlog ของพี่แอสตันเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้และรักษาจิตใจตัวเองมาโดยตลอด
แต่ครั้งนี้ ถ้ามีคดีความเราเองก็อยากให้ใจตัวเองเข้มแข็งเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ได้

ขอบคุณพี่แอสตันมากนะค่ะ


โดย: น้อง IP: 203.146.179.146 วันที่: 26 เมษายน 2553 เวลา:17:22:27 น.  

 
สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณ aston

ขอบคุณสำหรับข้อคิดค่ะ จะพยายาม แต่ว่า บางที เห็นพวกนั้นแล้วก็อารมณ์ปรี๊ดแตก

วันก่อนมีเหตุต้องเจอกับพวกเสื้อแดงบนทางด่วน อดใจไม่ไหว เปิดกระจกไปด่า..ก็รู้นะคะ ว่ามันไม่ดี เราก็ทุกข์เอง แต่ว่า มันไม่ไหวจริงๆ ค่ะ
ทนไม่ได้

เวรกรรม ไม่มีจริงหรือคะ ทำไม พวกเขาไม่ได้รับกรรมในสิ่งที่เขาทำให้ประเทศเดือดร้อน ทำให้คนอื่นไม่มีความสุข


โดย: น้อง IP: 210.86.135.42 วันที่: 4 พฤษภาคม 2553 เวลา:18:59:29 น.  

 
คุณAston คะ

ดิฉันเป็นหมอผิวหนัง ออกมาทำคลินิกเองได้สักพัก เป็นคลินิกเล็กๆอยู่ต่างจังหวัด มีความสุขตามสมควร และภาวนาตามแนวหลวงพ่อปราโมทย์ไปเรื่อยๆ ปัญหาคือ คลินิกผิวหนังสวยงามเดี๋ยวนี้กลายเป็นการทำธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบไปแล้ว ไม่ต้องใช้หมอเฉพาะทาง แค่ลงทุนแต่งร้านสวยๆ จ้างหมอทั่วไปมานั่งเป็นแม่ย่านางกันสาสุขจังหวัด จ้างเด็กมาคอยต้อนขายของคนไข้ อัดโฆษณาให้จำชื่อคลินิกกันได้ คนส่วนใหญ่ก็มักเข้าใจว่า มีมากสาขายิ่งดี ยิ่งเก่ง บางทีรู้สึกเหมือนเป็นปลาตัวเล็กๆที่พยายามว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่ในสังสารวัฏ ท่ามกลางปลาฉลาม
รู้สึกเบื่อกับการต้องอยู่ในกระแสของธุรกิจที่เต็มไปด้วยความโลภ คุณAston มีข้อแนะนำอะไรดีๆบ้างไหมคะ ว่าเราจะอยู่ในกระแสแบบนี้ยังไงดี นอกจากการดูจิตดูใจของเรา

ขอบคุณมากค่ะ



โดย: Dawnduck IP: 125.25.103.149 วันที่: 8 พฤษภาคม 2553 เวลา:17:28:23 น.  

 
แวะมาดูว่ามีคำถามค้างไหม

ดูเหมือนจะเอาไปตอบในบล็อกหมดแล้ว :)


โดย: aston27 วันที่: 3 ตุลาคม 2553 เวลา:10:44:49 น.  

 
สวัสดีค่ะ
คุณ aston เราจะมีวิธีการจัดการอย่างไรกับ
ความทุกข์ ความกังวลใจ ความเครียด ที่เราไม่ได้เป็นคนก่อคะ
คนอื่นทำกันเองแท้ ๆ แต่เราต้องมาร่วมรับผิดชอบ น่ะค่ะ
กลุ้ม เซ็งจริงๆ ค่ะ


โดย: เฮ้อ...... IP: 119.42.124.253 วันที่: 19 ตุลาคม 2553 เวลา:13:23:59 น.  

 
สวัสดีคะคุณaston
เคยพิมพ์ปัญหาอยู่แล้วไม่รู้มือกดโดนอะไรหายไปเฉยเลย ก็เลยขอรบกวนถามใหม่นะคะ คือว่าน้องชายเพิ่งเสียไป เรารู้สึกจิตใจไม่สงบเลยรู้สึกแย่ เพราะรู้สึกว่าเราดูแลเค้าดีแล้วหรือยัง คือว่าแต่ก่อนเราทะเลาะกับน้องบ่อยคะ มีแต่เรื่องขัดแย้ง ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องหนี้สินเงินทอง ทำให้เราห่างเหินกับน้อง เราตัดสินใจไปหางานทำที่อื่น รู้สึกว่าตัวเองอยากอยู่ห่างจากปัญหาเพราะคิดว่าเราจัดการปัญหาไม่ได้แล้ว บางทีก็ทะเลาะกับแม่ เค้าสองคนมีปัญหาเรื่องเงินเราก็ให้ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีก็ไม่ได้ให้เพราะเราก็มีหนี้สินอยู่ บางทีก็รู้สึกว่าเรามีหลายปัญหาต้องจัดการ แต่บางทีปากบอกว่าไม่มีแต่ก็หาให้ แต่บางทีก็ทำให้โดยที่่ไม่ได้พูด บางทีก็มีทิฐิไม่พูดไม่คุย น้องป่วยมาได้สักพัก แต่เพิ่งมาหนักเมื่อไม่นานมานี้ เราก็ทำงานที่อื่นกลับมาดูได้บางครั้ง ก็มาเยี่ยมมาคุยบ้างเพราะมีลูกที่ต้องดูแลด้วย เคยคิดว่าจะช่วยเรื่องหนี้สินของแม่ให้หมดได้ยังไง แต่ตัวเองก็ไม่มีเงินเยอะ ก็ได้แต่คิดว่าเราจะทำยังไงให้พึ่งตัวเองได้ก่อนก็จะได้ช่วยเค้าได้ หรือจะไปกู้เงินมาช่วยแม่ ก็กลัวตัวเองจะไม่ไหว ทำให้ต้องทะเลาะกับแม่บ่อยช่วงก่อน น้องเคยโทรมาขอเงินบางทีเราก็บ่นแล้วค่อยให้ บางทีก็พูดว่าไม่มีก่อน เพราะอยากให้เค้าคิดว่าเราก็ไม่ได้มีมาก แต่ก็หาทางเอาให้บ้าง แต่บางทีโดนแม่ว่าเราก็ทิฐิไม่ขอโทษ แต่ก็ยังช่วยบ้างตามโอกาส ตอนนี้รู้สึกแย่มากว่าตัวเองผิดหรือเปล่า ทำอะไรพลาดไปบ้าง รู้สึกว่าเราไม่ได้ดูแลเค้า ตอนนี้พยายามคิดให้ได้ว่าเราต้องดูแลแม่ให้ดีที่สุด แต่ตอนนี้น้องเค้าก็ไม่อยู่แล้ว เราตั้งใจจะดูแลแม่ให้ดีที่สุด ตอนนี้ก็ทำงานที่อื่นแต่ก็โทรหาแม่ตลอด กำลังคิดว่าจะหาทางไปทำงานใกล้บ้านดีไหม ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองรู้สึกแย่มาก คุณaston กรุณาแนะนำด้วยเถอะคะว่าควรทำอย่างไรดีให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะให้ได้ เรารู้สึกว่าทุกข์มากคะนึกว่าช่วยคนไม่รู้เอาบุญเถอะคะจะเป็นพระคุณมาก
ขอบคุณคะ


โดย: คิดไม่ตก IP: 118.175.52.238 วันที่: 2 พฤศจิกายน 2553 เวลา:20:24:11 น.  

 
สวัสดีคะ คุณaston
ไม่ได้เข้ามาให้แก้ปัญหา แต่เข้ามาเพื่อให้กำลังใจกัน ช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ แต่เราต้องปล่อยวางด้วย แต่คิดว่าคุณ aston คงจะปล่อยวางได้เยอะแล้ว อย่าพึ่งท้อถอย สู้ต่อไปเพื่อมวลชน เป็นกำลังใจให้คะ


โดย: ฟ้าใส IP: 192.168.5.168, 203.113.102.18 วันที่: 21 มกราคม 2554 เวลา:16:17:19 น.  

 
ทำไมเค้าไม่รักเราคะ จะทำยังไงเราถึงจะตัดใจได้ซะที ยอมรับความจริงให้ได้ซะทีว่าเค้าไม่รักเรา เมื่อไรจะผ่านกองทุกข์นี้ไปได้ ดูเป็นคำถามโง่ๆมั้ยคะ


โดย: คำถามสั้นๆ IP: 180.180.128.8 วันที่: 17 มิถุนายน 2554 เวลา:1:13:03 น.  

 
สงสัยคุณเอ็ดคงยุ่งนะคะ ไม่ได้เข้ามาอ่านคำถามเลย ก็เลยขอฝากอีกข้อต่อเลยคะ พยายามที่จะยอมรับความจริงลืมเค้าให้ได้แต่ยากมาก ที่บอกว่าไม่ต้องไปฝืน เสียใจก็ให้รู้ว่าเสียใจ ก็คือให้เรายอมรับความจริงตามนั้น อยากร้องไห้ก็ร้อง ไม่ต้องไปฝืนสิ่งที่ตัวเองรู้สึกเหรอคะ ให้รูุ้ว่าเรารู้สึกอย่างไรก็พอเหรอคะ แล้วมันจะดีขึ้นหรือเปล่า รู้สึกว่าทุกข์เหลือเกิน เหมือนตัวเองเป็นคนโง่ที่ไม่ยอมขึ้นจากน้ำทั้งที่มันกำลังจะท่วมตัวเองจนตาย หวังว่าคุณจะช่วยไขปัญหาให้ อยากเจริญสติตัวเองให้เป็นคะ ขอบคุณคะ หวังว่าคุณคงสบายดีนะคะ


โดย: คำถามสั้นๆ IP: 180.180.132.200 วันที่: 20 กรกฎาคม 2554 เวลา:9:00:21 น.  

 
ขอรบกวนคุณหน่อยนะคะ ถ้าแม่ของเราเที่ยวไปเป็นหนี้ตลอด เราช่วยหลายครั้งญาติๆช่วยหลายครั้ง ในขณะที่ช่วยเราก็ต้องไปเป็นหนี้มาเพื่อช่วยแม่ ในขณะที่แม่ของเราเอาเงินไปใช้ในทางอบายมุข คบคนที่ไม่ควรคบนำพาไปในทางไม่ดี เราบอกขอร้องพูดยังไงก็ไม่เลิก ตอนนี้ญาติไม่ยอมช่วยแล้ว เราเองก็ไม่มีเงินเก็บจากตรงไหนเพราะเอามาช่วยเค้าตลอด จนกระทั้งแม่ถึงกับขโมยของเรา แอบเอาเงินเราไป เราไม่เข้าใจว่าทำไมแม่เป็นแบบนี้ เมื่อก่อนเค้าเป็นคนทำมาหากิน แต่ตอนหลังไม่เลย โทรหาเราจะเอาเงินอย่างเดียว จนเรารู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้า อยากให้แม่เป็นกำลังใจให้เราเก็บเงิน ถ้าตอนนี้เราไม่อยากเป็นหนี้เพิ่มเพื่อมาช่วยเค้าอีกแล้ว เราจะหยุดให้ความช่วยเหลือในเรื่องหนี้สิน แต่จะให้เค้าเพื่อเลี้ยงดูบุพการีตามหน้าที่สมควร เราจะบาปไหมคะ รู้สึกสับสมและเป็นทุกข ว่าถ้าเราปล่อยทุกอย่างให้มันเป็นไปตามเรื่องตามกรรมเราจะบาปไหมคะ ทั้งญาติทั้งเพื่อนสนิททั้งแฟนบอกว่าเราควรหยุดได้แล้วเพราะถ้าเราไม่หยุดเรานั้นแหละจะไม่ไหว ขอรบกวนคุณด้วยนะคะ ขอบคุณคะ เหตุการณ์แบบนี้ยาวนานมาร่วมสิบปีจนทุกคนระอาแล้วคะ


โดย: แบบนี้บาปไหม IP: 180.180.133.185 วันที่: 13 ตุลาคม 2554 เวลา:5:42:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.