|
คำถามจากอเมริกา
Sawasdee kha
Actually I don't know what I should ask. I just want someone to listen my feeling. I just knew that I lost a job. It's not a real job. It's an assistantship. I am now a graduate student in USA.
I got the assistantship last year. Department will pay for tuition fee and also stipend. I thought I would get it. So I will have more time to study. I have a scholarship but it will end this year.
Now I lost the assistantship. So I have time only the end of this year for sure. I am sad. I thought I worked the best I can. I know I made some mistakes but I shouldn't be cut off like this.
It's not only because of money but it's also ...what I call "ego". It's like I am not accepted for my working. But the most of all about money. How can I graduate without assistantship. Now my research is very slow. I am so serious about it.
I called my mom but she can't help anything. I made her worry about me, which made me sad as well. I don't have anyone to talk to. Sorry if my message is too long and confusing.
I will talk to my advisor if he can help me. I don't know what else I can do. Thanks for reading up to this point.
Wish you are good luck and happy.
โดย: IP: 128.173.147.11 วันที่: 17 สิงหาคม 2549 เวลา:4:22:09 น.
พี่ว่าพี่เข้าใจความกังวลของคุณนะ
เพียงแต่พี่ก็ยังอยากแนะนำเหมือนที่เคยเขียนบ่อยๆว่า.. คุณควรแยกความทุกข์ใจ ออกจากปัญหา
ทุกข์ใจ กับตัวปัญหา มันคนละส่วนกัน
ปัญหา ทุกคนมีครับ หนักบ้าง เบาบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง พี่ว่าชีวิตพี่ช่วงนึงก็เคยมีวิกฤติความเชื่อมั่นในตัวเอง กับการเงิน เหมือนที่คุณเป็นอยู่
แต่ต้องเข้าใจว่า .. ความทุกข์ใจ ไม่ช่วยแก้ปัญหา ทุกข์จนช้ำในตาย ปัญหาก็ไม่ถูกแก้ ฉะนั้น อย่าเอาเวลาไปกังวล ไปทุกข์มาก
ทำได้แค่ไหน เอาแค่นั้น ทำให้เต็มที่ ได้แค่ปีนี้ ก็เอาแค่ปีนี้ ถ้าไม่มีเงิน drop ไว้ก่อนได้ไหม ไปทำงานเสิร์ฟอาหารเหมือนที่คนอื่นเขาทำกัน เก็บเงิน มาเรียนต่อ
พี่มีคนรู้จักหลายคน ก็ทำแบบนี้ บ้านเขาไม่มีเงินจะส่ง เขาก็ไปทำโน่นทำนี่ เก็บเงินเรียนด้วย และหาทุนไว้เผื่อกลับมาเมืองไทยตั้งตัวด้วย
บางคนล้างจาน เสิร์ฟอาหาร จนเรียนจบ กลับมาก็ยังเหลือเงินหลายแสน ประทานโทษ บางคนมีเกือบล้านเลย
อันนี้ ถ้าประยุกต์กับเงื่อนไขชีวิตคุณไม่ได้ เช่นคุณเรียนในเงื่อนไขว่า ห้ามทำงานข้างนอก พี่ก็ขออภัยนะครับ พี่มองในภาพรวมๆ ของหลายๆคนที่รู้จัก
ถ้าเป็นพี่ พี่จะเรียนให้ดีที่สุด ในเวลาที่มีอยู่ ไม่มัวเสียเวลาไปกังวล ระหว่างนี้ก็ลองหางานอื่นไปด้วย
แล้วที่สุดแล้วถ้าไม่มีเงินเรียนต่อ พี่ก็จะเริ่มหางานทำอย่างที่ว่า เพราะถ้า drop ไว้ ก็คงไม่ติดเงื่อนไขที่ว่า ห้ามทำงาน
งานที่ทำให้คุณเสีย ego มา มันคงไม่ใช่งานเดียวที่มีในอเมริกาหรอกกระมัง
แล้วชีวิต ก็มีอะไร มากกว่าปริญญาจากเมืองนอกนะ ถ้ามันจะไม่ได้จริงๆ ด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ ก็โปรดอย่าไปคิดว่า นั่นคือที่สุดแล้ว ของชีวิต
ถ้าเป็นพี่ พี่จะคิดว่า การได้ทุนเรียน ได้มีโอกาสไปอยู่ที่โน่น มันเป็นกำไรของชีวิตอย่างนึง
คุณเชื่อไหมล่ะ พี่อยากไปเรียนเมืองนอกแบบคุณตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้ไปสักที และที่มากไปกว่านั้น พี่ไม่เคยไปอเมริกาเลย
พี่ว่า ประสบการณ์มันคือสิ่งที่มีค่าที่สุด ปริญญาถือเป็นโบนัส ได้ก็ดี ไม่ได้ ก็ไม่เห็นเป็นไร
เราต้องการปริญญามาเป็นใบเบิกทางของชีวิต แต่ปริญญาไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
และยิ่งไม่ใช่สิ่งที่คุณควรจะเอามาทำลายความรู้สึกดีๆ ในการมีชีวิตต่อไปในอนาคต ถ้าคุณไม่ได้มันมา
คุณน่าจะลองถามตัวเองว่า จริงๆแล้ว ความสุข หรือคุณค่าในชีวิตเรา มันคืออะไร คนส่วนมากก็ต้องการความสำเร็จ การยอมรับ ความมั่นคงในชีวิต อย่างที่มาสโลว์ว่าไว้
เพราะพี่เชื่อว่า คุณอยากไปเรียนเมืองนอก อยากได้ปริญญา ก็เพราะคุณเชื่อว่ามันจะทำให้คุณได้มาซึ่งสิ่งนั้น
แต่ถ้ามันมีอุปสรรค พยายามจนสุดทางก็ยังแก้ไม่ได้ ก็ไม่ควรคิดว่า แปลว่าคุณล้มเหลวหมดแล้ว
เพราะจริงๆแล้ว โลกนี้ มีหนทางสู่ความสำเร็จมากกว่าหนึ่งวิธีเสมอ ..นะครับ
เมื่อวานนี้ พี่ขับรถไปทำธุระ มีคำๆนึง แว๊บขึ้นมาในหัวพี่ว่า.. Everything Happens For A Reason
ทุกๆอย่างในโลกนี้ ไม่มีอะไรบังเอิญ มันเกิดขึ้นด้วยเหตุอะไรบางอย่าง ทุกอย่างคือผลจากอดีต
บางที เราต้องสูญเสียอะไรอย่างนึง ก็เพราะเราทำเหตุในอดีตไว้ไม่ดีพอ อาจจะเป็นเพราะเรายังพยายามไม่มากพอ ไม่ดีพอ หรือปัจจัยบางอย่าง มันไม่เอื้ออำนวยให้เราทำได้อย่างนั้น
หรืออาจเพราะมันมีบางอย่างที่รอเราอยู่ ซึ่งอาจจะดีกว่าก็ได้ ใครจะไปรู้
สมัยเด็กๆพี่มักจะได้ยินคำว่า.. สอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่องธรรมดา..
ฟังดูเหมือนเป็นสุภาษิต คนขี้แพ้นะ แต่พี่ว่ามันมีนัยยะอะไรบางอย่างที่น่าสนใจซ่อนอยู่ ในเชิงการจัดการทุกข์ทางใจ
พี่เคยเขียนว่า.. ครึ่งนึงของสุขทุกข์ในชีวิตคนเรา มันเริ่มจากมุมมองข้างในใจเรานี่แหละ
คนที่พูดประโยคนั้น เขาแค่ปลอบใจตัวเอง เวลาสอบตก แต่ไม่มีส่วนไหนที่บอกว่า เขาจะยอมแพ้ หรือเขาคิดว่า เขาจะลุกขึ้นสู้ใหม่ไม่ได้
ลองตั้งใจใหม่ อย่าเพิ่งยอมแพ้ อย่าเพิ่งเสียความมั่นใจ หรือรู้สึกดีๆ กับตัวเอง
เคยมีคนบอกว่า.. คนเราเนี่ย เสียเงินเสียทอง เสียบ้านเสียรถ เสียอะไรก็เสียไปเถอะ มันหาเอาใหม่ได้
แต่อย่าเสีย"ใจ" เพราะมีเงินพันล้านก็ซื้อใจ ซ่อมใจเราไม่ได้ รักษา "ใจ" ไว้นะครับ
พี่ขอให้คุณโชคดี.. มีอะไรก็เขียนมาเล่าให้ฟังได้อีกนะครับ
Create Date : 21 สิงหาคม 2549 |
Last Update : 21 สิงหาคม 2549 9:56:07 น. |
|
6 comments
|
Counter : 567 Pageviews. |
|
|
|
โดย: แมลงปอ IP: 133.92.115.221 วันที่: 23 สิงหาคม 2549 เวลา:11:58:37 น. |
|
|
|
โดย: Honey mastard IP: 204.111.159.101 วันที่: 28 สิงหาคม 2549 เวลา:8:11:25 น. |
|
|
|
โดย: nidnoii IP: 58.26.40.3 วันที่: 24 กันยายน 2551 เวลา:17:59:55 น. |
|
|
|
โดย: louis vuitton borse IP: 94.23.252.21 วันที่: 3 สิงหาคม 2557 เวลา:18:26:46 น. |
|
|
|
| |
|
|
มันมีอุปสรรค พยายามจนสุดทางก็ยังแก้ไม่ได้ ก็ไม่ควรคิดว่า แปลว่าคุณล้มเหลวหมด
เพราะจริงๆแล้ว โลกนี้ มีหนทางสู่ความสำเร็จมากกว่าหนึ่งวิธีเสมอ
^
^
เห็นด้วยค่ะ
แต่ก็เข้าใจอารมณ์เลยค่ะ
พอมันท้อ มันหมดก็เหมือนจะมองไม่เห็นทาง
แต่ก็ตัวเราอีกแหละค่ะ ที่ต้องบอกให้ใจเข้มแข็งไว้
โลกนี้ยังมีอะไรอีกตั้งเยอะแยะ ชีวิตเรานี่นะทำได้อีกสารพัน
อะไรๆ ถึงที่สุดแล้วก็ไม่เลวร้ายไปเสียหมดหรอก
แต่อย่างน้อยก็ต้องพยายามแล้วก็ต้องมีความหวัง
เอาใจช่วยให้เจ้าของคำถามผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ใจไปได้เร็วๆ นะคะ
^^