Group Blog
 
All blogs
 
คำถาม : วิธีจัดการกับจิตใต้สำนึก




วันนี้ผมงดมื้อเที่ยง ด้วยความสมัครใจ
เลยมีเวลาแวะเข้าไปย้อนอ่านสมุดเยี่ยม

มีคำถามอันนึง จากคุณส้มโอ ที่ผมลืมตอบ
ขอถือโอกาสยกมาตอบไว้ตรงนี้นะครับ
คุณส้มโอเขียนไว้แบบนี้ครับ

แอบเอาเรื่องการรู้ การเข้าใจ เรื่องก้อนหินที่คุณแอสตันเขียนไว้ ไปแบ่งปันให้เืพื่อนคนอินโดที่เค้ากำลังมีปัญหาครอบครัวค่ะ

อธิบายไปแบบพยายามที่สุดเท่าที่เราเข้าใจ และแปลให้มันได้เรื่องเป็นภาษาอังกฤษ
เพื่อนส้มโอก็เป็นคริสต์เหมือนกัน แปลกที่เค้าบอกว่า เค้าก็แอบศึกษาแนวทางพุทธอยู่ เค้าสบายใจขึ้นค่ะ ถึงแม้รู้เลยว่า เราคงถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่าไหร่ จริงๆถ้าไม่ได้มาอ่านเมื่อคืน คงไม่ได้ให้คำตอบเพื่อนแบบนี้

เคยไปถามจิตแพทย์ว่า ทำไงจะชนะใจตัวเองได้ คุณหมอบอกเรื่องนี้แหละยากที่สุด เพราะจริงๆคือการเอาชนะจิตใต้สำนึก จิตเหนือการควบคุม เวลาที่เราขาดสติ

การรู้ว่าเราสุข การรู้ว่าเราทุกข์ อันนี้คือตอนเรามีสติถูกมั๊ยคะ แล้วจิตใต้สำนึกละคะ จะทำกับมันยังไงดี

เป็นคนช่างสงสัยค่ะ คงได้เข้ามาทักทายกันบ่อยๆนะคะ หวังว่าจะไม่เืบื่อซะก่อน ขอบคุณค่ะ

โดย: ส้มโอ


ท้าวความให้ท่านอื่นทราบนิดนึงว่า.. คุณส้มโอนับถือศาสนาอื่นอยู่ครับ

แต่ผมก็บอกไปแล้วว่า.. ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นของสากล

พุทธเรามีข้อดีตรงที่เราไม่หวงความรู้ เราไม่เดียดฉันท์คนต่างศาสนา

เรามองว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมสังสารวัฏเหมือนกัน

พระพุทธเจ้าสรรเสริญศิษย์ที่ปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านสอน
ไม่ได้สรรเสริญเพราะเขามากราบไหว้

อย่างที่เคยเล่าว่า.. ท่านเป็นศาสดา Alternative
เป็นองค์เดียวของโลกมั้ง ที่บอกลูกศิษย์ บอกคนต่างศาสนาว่า

อย่ามาเชื่อเรา.. แต่จงมาพิสูจน์สิ่งที่เราสอน
เราเป็นแค่ผู้บอกทาง แต่ท่านต้องเป็นผู้เดินบนทางนั้นเอง

ไม่ได้แปลว่ามีพระห้อยคอร้อยองค์ พันองค์ แล้วจะบรรลุธรรมได้
จะพ้นโลก พ้นทุกข์ ได้จริงๆ ต้องลงมือ ต้องทำ ต้องสร้าง ต้องสะสมปัญญากันเอง

ถามว่าแล้วจะเริ่มสร้างยังไง
ท่านไม่ได้บอกให้เราไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหน
ท่านบอกให้เราเพียงแต่ย้อนเข้ามาทำความรู้จักตัวเอง

ตัวเอง.. ซึ่งมีแค่ กาย กับใจ สองอย่างนี่แหละ
รู้แค่สองอย่าง แล้วจะรู้จักตัวเอง รู้จัก ธรรมชาติ รู้จักชีวิต รู้จักโลก

ธรรมะ คือธรรมชาติ นะครับ

ท่านให้เราศึกษาธรรมชาติ ของตัวเราเอง ไม่ต้องไปอยากรู้อะไรนอกตัว
เพราะเวลาสุข เวลาทุกข์ มันก็สุขทุกข์ ที่ตัวเรา ใจเรา

จะเข้าใจทุกข์ ก็ต้องเข้าใจกาย และจิตของเราเอง

ทีนี้ มาถึงคำถามเรื่องจิตใต้สำนึก ของคุณส้มโอ

เรื่องจิตใต้สำนึก พระพุทธเจ้าเคยแจกแจงเรื่องจิตไว้ละเอียดละออ
บางที ท่านอาจจะเป็นศาสดาองค์เดียว ที่มีความรู้แจ้งในเรื่องจิต มากกว่าใคร

ท่านบอกไว้ตั้งแต่สองพันกว่าปีก่อนว่า.. จิตมันไม่ใช่ตัวเรา
มันทำงานของมันเอง มันไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามเหตุปัจจัย
และที่สำคัญคือ.. มันบังคับไม่ได้

น่าเสียดายที่นักปฏิบัติในศาสนาพุทธเอง จำนวนมาก
พยายามทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับหลักการนี้

พระพุทธเจ้าบอกว่า จิตบังคับไม่ได้ ก็ไปพยายามฝึกสมถะเพื่อบังคับจิต

ท่านสอนว่า จิตมีธรรมชาติปรุงแต่ง ก็ไปพยายามฝึกให้จิต ไม่ปรุงแต่ง

บางคนฝึกจนเก่ง บังคับจิตได้ แต่ก็โดยอาศัยพลังของสมาธิ
พระท่านเคยเปรียบว่า เหมือนเราเอามือไปปิดปากเครื่องฉายหนัง
ภาพบนจอก็ดับไป แต่ถามว่าเครื่องฉายหนังหยุดไหม ไม่นะ

จิตก็ยังปรุงแต่ง ยังทำงาน แต่มันแค่ถูกกัก ถูกกด ถูกข่มไว้
รอเวลาให้เครื่องกัก เครื่องกั้น มันหมดกำลังเท่านั้นเอง

งั้นถามว่า แล้วจะเอาชนะมันยังไง
ก็ตอบว่า ต้องฝึกรู้สึกตัวบ่อยๆ ให้สติมันเจริญขึ้น

สติในขั้นแรก มันยังเป็นสติตัวปลอม
เป็นความรู้สึกตัว ที่เราต้องอาศัยการจงใจ เข้าไปรู้

แต่ก็ต้องฝึกอย่างนั้น เหมือนฝึกให้เด็กเรียนภาษา
ช่วงแรกๆ ก็ท่องเอา อาศัยการฝึกฝน จงใจ

แต่พอเรียนไป ใช้บ่อยๆ จนคล่อง
อีกหน่อยมันคิดเป็นภาษานั้นได้โดยอัตโนมัติ
ไม่ต้องมานั่งสะกด ทีละตัว

หรืออย่างเราหัดขับรถ ช่วงแรกๆ ใครยังจำได้บ้าง
ว่ามันขลุกขลัก เกร็ง ไม่เป็นธรรมชาติอย่างไร

ช่วงเริ่มต้นหัดรู้สึกตัว ก็เป็นเหมือนกันครับ

แต่พอฝึกบ่อยๆ ขับบ่อยๆ จนคล่อง จนชิน
มันหลับตาขับยังได้เลย ว่าเกียร์อยู่ไหน เบรกอยู่ไหน คันเร่งอยู่ไหน

สติที่เจริญแล้ว ก็คล้ายกัน
ถึงจุดที่มันสุกงอม เขาจะทำงานของเขาเองโดยอัตโนมัติ

ที่ครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่าจิต "ตื่น" แล้ว เป็นอย่างนั้นเอง
มันจะว่องไว คล่องแคล่ว เบา สบาย ร่าเริง

ถึงเวลานั้น จิตใต้สำนึก จะทำงานอย่างไร
ก็จะมีสติเป็นตัวช่วย เป็นตัวคุมหางเสือ ไม่ให้มันหลงทาง

ถ้าไปถึงจุดนั้น กระบวนการสะสมปัญญา ระดับสู้กิเลสได้จริง จะเริ่มต้นขึ้นครับ

มันจะเห็นการเกิดดับของจิต และอารมณ์ต่างๆ สืบเนื่องกันบ่อยๆ
จิตจะเริ่มเข้าสู่ความเป็นกลาง
เริ่มให้ค่ากับสุข กับทุกข์น้อยลง

บางคนถามว่า.. แล้วยังจะมีสุข มีทุกข์ไหม
มีสิครับ มีอีกเยอะเลย มีเหมือนคนปกตินั่นแหละ

แล้วจิตมันก็จะหยิบมันมาถือเหมือนเดิม
เพียงแต่จากเดิมที่เคยถือสุขไว้นานๆ กอดมัน จูบมัน
ก็จะเห็นว่า มันไม่ใช่ของดี ของวิเศษมากมายเท่าเดิม

จากที่เคยหยิบทุกข์มาแบก แล้วเอาแต่เกลียดมัน เบื่อมัน แต่ก็ยังแบก
ก็จะเห็นว่า มันไม่ใช่เรื่องต้องแบก ต้องบ่น
เพราะมันมา แล้วเดี๋ยวมันก็ไป

ที่เราทุกข์มากๆเวลามีทุกข์ มักจะเป็นเพราะทุกข์แล้วดิ้น
อยากหนีทุกข์ อยากกำจัด อยากบังคับใจ ไม่ให้ทุกข์

ยิ่งทุกข์ ก็ยิ่งดิ้น ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งทุกข์
ทุกข์ที่เคยมีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ก็กลายเป็นภูกระดึงขึ้นมาซะงั้น

ไม่รู้จะตอบคำถามคุณส้มโอชัดเจนไหม
แต่อยากให้ลองทำดู

แล้วจะเข้าใจว่า.. คนที่ไม่ค่อยศรัทธาอะไรง่ายๆอย่างผม
ทำไมถึงยอมกราบพระพุทธเจ้าหมดหัวใจ







Create Date : 12 กรกฎาคม 2550
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 13:33:13 น. 24 comments
Counter : 1242 Pageviews.

 
พี่เอ๊ดสวัสดีค่ะ @^_^@


กลับมาแล้วเจ้าค่ะ
แต่เดี๊ยวมาใหม่น๊า

ไปแปรงฟันก่อน เพราะกิน

ส้มตำปลาร้ามา

อิอิอิ


โดย: Kimi o ai X eru วันที่: 12 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:32:46 น.  

 

..
เข้าใจสิ่งที่กำลังสงสัย
ขึ้นมาอีกนิดแล้วค่ะ
ขอบคุณนะคะคุณแอสตัน


โดย: azamiya IP: 203.120.37.251 วันที่: 12 กรกฎาคม 2550 เวลา:14:05:06 น.  

 
ขอบคุณค่ะ เป็นประโยชน์มากเลย
ชอบเผลอสติอยู่บ่อยๆค่ะ ^^


โดย: printcess of the moon วันที่: 12 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:38:11 น.  

 
อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มขึ้นครับ


โดย: Takeaway วันที่: 12 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:57:34 น.  

 
ตามมาอ่าน
เป็นพวกสุขนิยมค่ะ เลยชอบดิ้นหนีทุกข์
คงต้องฝึกตรงนี้บ่อยๆ


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:51:45 น.  

 


มันเป็นเช่นนี้นี่เอง...

เวลาเราทุกข์..เราก็จะคิดและจมอยู่กับทุกข์ค่ะ

เหมือนที่คุณเอ๊ดบอก..ว่าพยายามดิ้น..

แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งจมอยู่กับมัน..

เข้ามาอ่านทีไร..ได้อะไรดีดีกลับไปทุกครั้งเชียวค่ะ

ขอบคุณมากๆนะคะ



โดย: ฟากฟ้าฝั่งฝัน วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:34:19 น.  

 


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำที่ดีค่ะพี่เอ๊ด


โดย: ยิ้มหวานฯ (joyaccy ) วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:01:32 น.  

 
เข้ามาอ่านค่ะ

ดีจังนะคะ ขอเอาไปใช้บ้างดีกว่า
ช่วงนี้ จิต ไม่ค่อยปกติ


โดย: ใครกัน...นั่งอยู่ตรงนี้ วันที่: 13 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:42:24 น.  

 
เมื่อต้นสัปดาห์.....มีเรื่องทำให้อารมณ์เสียมากๆ แบบที่ไม่เคยอารมณ์เสียขนาดนี้มาก่อน

กำลังจะสติแตกอยู่แล้ว โชคดี นึกถึงเรื่องการวิปัสสนาที่พี่เอ๊ดเขียนขึ้นมาได้พอดี

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า น้ำที่มันร้อนๆอยู่ กลับอุ่นลงได้ในเวลาไม่นาน

จิต นี่มันระงับไม่อยู่แบบที่พี่ว่าจริงๆครับ เพียงแต่เราสามารถรู้ตัวได้

ปล.พรุ่งนี้ขอลารายการ 1 วันนะครับ จะหนีไปเที่ยว อิอิอิ

สุขสันต์วันเสาร์ครับ


โดย: Tony KooN (tk_station ) วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:41:35 น.  

 
ก๊อกๆๆ

after sell service แวะมาดูแลลูกค้าหลังการขายค่ะ

ขอบคุณที่แวะไปทักทาย


โดย: Q.NUH วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:0:57:13 น.  

 
เข้ามาเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆครับผม


โดย: getterTu วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:16:02:08 น.  

 
^
^
^
คุณเอ็ดคะ...คุณQน่าจะมีรับประกันซ่อมฟรีด้วยเน๊อะ

ขอบคุณนะคะ เรื่องจิตนี้ไซร้ยากแท้หยั่งถึง

ถ้ากำลังจะขุ่นมัว

ก้อปรี๊ดซักรอบท่าจะดีน๊าพี่ว่า


โดย: พี่แหม๋ว...ฟ้าสั่ง:) (ฟ้าคงสั่งมา ) วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:16:03:35 น.  

 
ขอคุณสำหรับสิ่งดีๆที่เอามาฝากกันนะคะ
ได้รู้คิดอะไรอีกมากมายเลยคะ
ขอบคุณอีกครั้งคะ


โดย: snpk (snpk ) วันที่: 15 กรกฎาคม 2550 เวลา:23:33:49 น.  

 
เหมือนที่ อ.สุรวัฒน์ กับหลวงพ่อปราโมทย์พูดไว้เลย


โดย: wwee IP: 125.26.28.116 วันที่: 20 สิงหาคม 2550 เวลา:17:40:47 น.  

 
เป็นคนไม่ค่อยอยากทะเลาะกับใคร แต่กับคนบางคนพยายามจะพูดปรับความเข้าใจ แต่เขาไม่ยอมฟัง เขาจะพูดของเขาจนจบแล้วพอเราจะพูดความรู้สึกของเรา เขาบอก จบ ๆๆ ไม่ฟังความคิดเราเลย ถ้าเราพยายมพูดก็จะทะเลาะกัน จะทำยังไงดี แนะนำหน่อย


โดย: อ้อม IP: 58.8.73.126 วันที่: 26 มกราคม 2551 เวลา:17:31:36 น.  

 
มาขอรบกวนถามคำถามซักข้อนะคะคุณพิทยากร
มีน้องที่ทำงานมาถามว่า ทำไมการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน จึงถือเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็เคยถูกลูกสาวถามว่า ทำไมต้องคอยบอกให้เค้าสวดมนต์ เพราะเค้าเชื่อว่าการคิดดี ทำดี ช่วยเหลือผู้อื่น ก็เป็นการทำบุญที่มากพอแล้ว เหมือนเป็นการทำบุญที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เข้าใจได้น่ะค่ะ แต่เค้าไม่เข้าใจว่า การนั่งสวดมนต์ หรือปฏิบัติธรรม จะเป็นกุศลต่อตัวเองและคนอื่นได้ยังไง
คุณแม่ก็รู้แค่ว่า ทำให้จิตใจเราสงบ มีสมาธิ แต่ก็ยังไม่ทราบจริงๆว่า เมื่อเรานั่งสมาธิแล้ว ได้ผลบุญอะไรที่ทำให้เราสามารถแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้น่ะค่ะ


โดย: chaamaa IP: 124.121.206.184 วันที่: 29 มกราคม 2551 เวลา:14:34:49 น.  

 
ตอบคุณอ้อมก่อนนะครับ

ปัญหาเรื่องทะเลาะกันนี่ ผมไม่ถนัดเลยครับ
แต่ถ้ากรณีของคุณอ้อม น่าจะลองใช้วิธีเขียนเอา

ถ้าพูดแล้วทะเลาะกัน ก็เขียนเอาให้เขาอ่าน
แต่ความพลาดของคู่รักเวลาทะเลาะกันคือ เรามักจะอยากให้อีกฝ่ายเข้าใจเรา มากกว่าพยายาม(จริงๆ)จะเข้าใจอีกฝ่าย

บางทีเราไม่ค่อยได้ฟังอีกฝ่ายจริงๆว่าเขาพูดว่าอะไร มากกว่าพยายามจะฟังว่า เขาพูดอะไรผิด เพื่อจะได้หาช่องพูดให้เหนือเขา

อันนี้ไม่ได้กำลังบอกว่า คุณเป็นนะ ผมพูดกรณีทั่วๆไป ลองสังเกตตัวเองดูก็ได้ ว่าเป็นหรือเปล่า เผื่อมันจะช่วยให้คุณเข้าใจจริงๆว่า คนเราควรจะปรับความเข้าใจของตัวเองมากกว่าพยายามไปปรับคนอื่น

เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำเรื่องยากด้วยการเปลี่ยนความคิดคนอื่น มากกว่าเปลี่ยนความคิดตัวเอง

ลองดูนะครับ


คุณ ชามา ผมยกไปตอบในบล็อคต่างหากเลยนะครับ



โดย: aston27 วันที่: 30 มกราคม 2551 เวลา:0:47:36 น.  

 
รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองมีสมาธิสั้นลง อยู่กับสิ่งไหนนานๆไม่ได้ กลายเป็นคนสมาธิสั้น ทำอะไรแค่ 15 นาที ก็รู้สึกว่านานเหมือน 1 ชม.แล้ว ทำอะไรก็ขัดใจไปหมด หงุดหงิดง่าย เครียด กลัวจะทำงานไม่ทันอยู่ตลอดเวลา
.... จิตใจหาความสงบไม่ได้เลย
อยากจะใจเย็นลง แล้วก็ไม่เครียดเหมือนแต่ก่อน จะทำยังไงดีคะ เหมือนตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จากที่สนใจธรรมะก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องเสียเวลา ไม่อยากเป็นแบบนี้เลยค่ะ
แต่ละรู้สึกเหมือนต้องแข่งกับเวลาอยู่ตลอดเวลา


โดย: felta IP: 203.131.212.11 วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:05:56 น.  

 
สาธุค่ะ


โดย: ฟ้าฤดูร้อน (ฟ้าฤดูร้อน ) วันที่: 1 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:21:34:17 น.  

 
แวะมาอ่านค่ะ ให้สาระดีค่ะ ชอบๆ


โดย: nene IP: 203.146.139.179 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:19:57 น.  

 
เพิ่งเห็นคำถามของคุณ felta ครับ ขออภัย

ผมไม่ทราบว่าคำแนะนำจะได้ผลไหม แต่จะลองดู

ผมเข้าใจว่าตอนนี้คุณ felta จะมีภาวะเครียดสะสม เพราะงานที่ทำอาจจะต้องแข่งกับเวลามาก
จนกลายเป็นคนกังวล ตลอดเวลา

คำแนะนำคือ ลองแบ่งเวลา ไปทำงานอดิเรกอะไรก็ได้ ที่คุณเคยทำแล้วชอบมากๆ

ไปให้อาหารปลา ไปร้องคาราโอเกะ ไปพายเรือ ถักนิตติ้ง ฟังเพลง ฯลฯ

ทำอะไรก็ได้ ที่เป็นการพักสมองจากเรื่องงาน ให้คุณผ่อนคลายก่อน

แล้วกลับบ้านไหว้พระ สวดมนต์
ตอนก้มลงกราบพระ ให้ลองน้อมใจระลึกว่า ตอนนี้เราจะกราบลงแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า

กราบให้นานเท่าที่อยากกราบ

แล้วเอาจิตไปพักตรงความรู้สึกสบายตอนที่กราบ

หลังจากนั้น คุณจะถนัดเดินจงกรม นั่งสมาธิ ก็ทำด้วยความสบาย อย่าเครียด อย่าเกร็ง

อาจารย์ผมท่านสอนว่า ให้ทำเล่นๆ อย่าเพ่ง อย่าจริงจังมาก

ทำเหมือนตอนคุณให้อาหารปลานั่นแหละ

ไว้สบายๆเมื่อไหร่ ค่อยมาบอกผมนะ แล้วจะแนะนำให้ว่าขั้นต่อไปทำอะไร



โดย: aston27 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:25:32 น.  

 
ชอบบลอคนี้จังพี่เอ๊ด
ตรงปิดเครื่องฉายหนังนี่เห็นภาพเลยค่ะ


โดย: Hobbit วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:22:24:18 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณเเอชตัน
ชอบอ่านบทความมาก อยากถามปัญหาเรื่องความรัก แต่เข้าไม่ถูกทำไงดีค่ะ ขอถามปัญหาสั้นๆ เผื่อคุณจะได้อ่าน คือว่าดิฉันถือศีล 5 อยู่ค่ะ เลยรักคนมีแฟนไม่ได้ ทั้งๆที่ ดิฉันมาก่อนคือเจอเขาก่อน แต่ขี้อาย ผู้ชายเด็กหนุ่มรุ่นน้องเรื่องเบื่อเรา คุยแล้วไม่สนุก สดใส เขาเลยหนีไปมีแฟนแล้วมาบอกเรา แต่ดิฉันก็เลยตัดใจไม่ยุ่งด้วย ทั้งๆที่อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน แต่ที่นี่เขาก็กลับมาสนใจ มองดิฉันอยู่อีกตลอดเวลา เหมือนอยากคบหากับเราอีกทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว ปัญหาดิฉันก็คือ ดิฉันตัดใจจากเขาไม่ขาด เเต่ไม่ยุ่งด้วย เขาอ่อนกว่า 8ปีค่ะ รูปหล่อมีพร้อมทุกอย่าง แต่ดิฉันก็ทำเฉยๆมาตลอด ก็อาศัยดูจิตเอา ขณะที่มันทุกข์แสนสาหัส เพราะกิเลสความอยากได้คนหล่อ หนุ่ม และรวยมากๆๆๆๆๆ
ดิฉันเชื่อหลวงพ่อปราโมทย์ค่ะ ที่ให้ถือศีล ทั้งๆที่ใจดิฉันเจ็บและหวั่นไหวมาตลอด เพราะไปยึดถือด้วยว่า เราเป็นคู่กัน เนื่องจากมีคนบอกว่าหน้าตาเหมือนกัน และ มีบุคคลิกลักษณะ การเดินและการพูดก็เหมือนกัน ทำให้เกิดอุปาทานมากๆๆๆ ไม่รู้จะเเก้สัญญาใจตัวนี้อย่างไรดีค่ะ อยากให้คุณช่วยตอบปัญหาดิฉันด้วย เพราะเดือนร้อนใจมาก
ด้วยความเคารพอย่างสูง
เอ๋


โดย: รมิดา ศรีดามา IP: 61.47.115.2 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2552 เวลา:14:47:16 น.  

 
ขอบคุณ


โดย: Dove IP: 125.27.56.208 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:2:10:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.