|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | |
|
|
|
|
|
|
|
ดื่มน้ำวันละเท่าไรดี
น้ำพลังมหัศจรรย์ สิ่งที่ควรรู้หากยังมีลมหายใจอยู่
ดื่มน้ำวันละเท่าไรดี
เป็นเรื่องยากที่จะระบุปริมาณน้ำที่แน่นอนที่แต่ละคนต้องการ เพื่อทำให้ทุกอวัยวะในร่างกายยังคงทำงานได้ตามปกติ ทั้งนี้เพราะปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สภาพภูมิอากาศ ฤดูกาล กิจกรรม ชนิดของอาหารที่กิน ปริมาณของเครื่องปรุงรสและเครื่องเทศที่ใช้ในการปรุงอาหาร ปริมาณน้ำในอาหาร รวมถึงปริมาณของเกลือที่ได้รับในแต่ละวัน
โดยปกติเราจะได้รับน้ำราว 2 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจึงแนะนำว่า เราควรดื่มน้ำเพิ่มอีก 8-10 แก้ว ทุกวัน เพื่อให้ได้รับน้ำในปริมาณที่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ และอาจจำเป็นต้องดื่มน้ำมากขึ้นเมื่อรู้สึกเหนื่อยหรือเสียเหงื่อมาก
เราควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำระหว่างการกินอาหาร เพราะมันส่งผลกระทบต่ออาหารที่กำลังเคี้ยวอยู่และการหลั่งของน้ำลาย น้ำจะไหลผ่านกระเพาะอาหารไปภายใน 5-10 นาที หลังการดื่ม ซึ่งอาจทำให้อาหารบางส่วนที่กินเข้าไปไหลผ่านไปพร้อมกับน้ำ นอกจากนี้น้ำจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง และอาหารไม่ได้รับการย่อยอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเราจึงควรดื่มน้ำเมื่อกระเพาะอาหารว่าง คือดื่มในช่วง 1-1.5 ชั่วโมงก่อนอาหาร หรือ 3 ชั่วโมงหลังกินอาหาร
การสังเกตสีของปัสสาวะก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่นิยมนำมาใช้ในการวิเคราะห์ว่าควรดื่มน้ำมากเท่าไร่ จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ถ้าปัสสาวะเป็นสีเกือบใส หมายถึงร่างกายทุกส่วนของเรามีน้ำเพียงพอแล้ว แต่หากมีสีออกไปทางสีเหลือง แสดงว่าไตต้องทำอย่างหนักเพื่อขจัดของเสีย เนื่องจากเลือดมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำว่าควรจิบน้ำทีละน้อย แล้วอมไว้ในปากสักครู่เพื่อให้ผสมกับน้ำลาย แล้วค่อยกลืน
ความเครียดกับระดับน้ำในร่างกาย
ความเครียดจะส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนหลายชนิด ฮอร์โมนเหล่านี้จะเพิ่มปริมาณความข้มข้นมากขึ้นจนกว่าความเครียดจะจางหายไป ด้วยเหตุที่ร่างกายไม่สามารถแยกแยะชนิดของความเครียดได้ จึงหลั่งฮอร์โมนชนิดต่างๆ ออกมามากเกินไป ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ต่อไปนี้ฮอร์โมนส่วนหนึ่ง ที่ร่างกายหลั่งออกมาในปริมาณมากเมื่อเกิดความเครียด
เอนดอร์ฟิน (Endorphins) ฮอร์โมนกลุ่มนี้จะถูกหลั่งออกมาจากต่อมพิทูอิทารี การหลั่งฮอร์โมนกลุ่มนี้ออกมามากเกินไป จะมีผลทำให้เกิดความผิดพลาดในการตอบสนองต่อความเจ็บปวดของร่างกาย
คอร์ติโซน (Cortisone) เป็นสารประกอบที่สังเคราะห์ขึ้นภายในตับ การปล่อยให้มีการหลั่งคอร์ติโซนออกมาเป็นเวลานานๆ จะมีผลทำให้อาหาร และน้ำที่สำรองไว้ในร่างกายลดลงอย่างมาก
โปรแลกติน (Prolactin) โปรแลกตินเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมพิทูอิทารี และมีหน้าที่ช่วยสร้างน้ำนมภายหลังการคลอดลูก ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การหลั่งฮอร์โมนโปรแลกตินออกมาในปริมาณที่มากเป็นระยะเวลานาน สามารถก่อให้เกิดเนื้องอกในเต้านมของหนูทดลองได้ นักวิชาการทางการแพทย์บางท่านเชื่อว่า ในกลุ่มผู้หญิงซึ่งมีการหลังฮอร์โมนโปรแลกตินเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากภาวะขาดน้ำเรื้อรังจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเนื้องอกในเต้านม
วาโซเพรสซิน (Vasopressin) เป็นกลุ่มฮอร์โมนที่หลั่งจากต่อมพิทูอิทารี มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรปันส่วนน้ำไปตามลำดับความสำคัญของอวัยวะ ในกรณีที่เกิดภาวะขาดน้ำ เซลล์ประสาทจะสร้างวาโซเพรสซินมากกว่าเซลล์อื่นๆ ของร่างกาย
เมื่อไรที่ควรดื่มน้ำมากกว่าปกติ
นอกเหนือจากการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพที่ดีที่ได้กล่าวไปแล้ว เราควรดื่มน้ำมากๆในกรณีต่อไป
เพื่อเพิ่มปริมาณเลือด เราจำเป็นต้องดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดระหว่างวันเราควรดื่มน้ำตามมากๆ เพื่อเพิ่มปริมาณเลือด ระหว่างวันเราควรดื่มน้ำมากที่สุดราว ?-1 แก้ว ในแต่ละครั้ง และให้บ่อยเท่าที่เป็นไปได้ น้ำปริมาณนี้จะมีค่าเท่ากับ 130-138 มิลลิลิตร ในแต่ละครั้ง
เป็นไข้ เมื่อเป็นไข้เราควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว ทุกชั่วโมง เพื่อชดเชยกับปริมาณน้ำที่สูญเสียไปจากการระเหยออกไปทางผิวหนัง การที่น้ำระเหยออกไปจะช่วยลดความร้อนจากอาการไข้ ทำให้ร่างกายเย็นลง นอกจากนี้ยังช่วยลดอัตราการเปลี่ยนแปลงสารอาหารเป็นพลังงานและโปรตีนในร่างกายลดการสร้างความร้อน และเพิ่มอัตราการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย
ติดเชื้อในทางปัสสาวะ การดื่มน้ำมากๆระหว่างที่มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะจะช่วยเพิ่มการผลิตปัสสาวะและล้างเอาเชื้อโรคออกไปได้เร็วขึ้น
เมื่อเป็นโรคปวดตามข้อหรือกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีอาการเกี่ยวข้องกับการบวมของข้อต่อ กล้ามเนื้อข้อต่อ จะทำให้รู้สึกปวด เคลื่อนไหวไม่สะดวกหรือรุนแรง จนทำให้กล้ามเนื้อหรือข้อต่อเกิดการเสื่อม ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรดื่มน้ำมากๆ เพราะจะช่วยเจือจางเลือดและระดับของกรดยูริก (ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเปลี่ยนแปลงสารอาหารเป็นโปรตีน) ที่ปะปนอยู่ในเลือดให้ถูกขับออกไปพร้อมปัสสาวะ
เกร็ดความรู้
เราสามารถรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบและอาการจุกเสียดได้ด้วยตนเอง โดยการเพิ่มปริมาณน้ำที่ได้รับในแต่ละวันให้มากขึ้นอีก 2.5 ลิตร โดยปกติหากท่านทำตามคำแนะนำนี้ อาการจุกเสียด แน่นท้อง และปวดท้องจะหายไปภายในเวลา 2-3 วัน แต่สำหรับบางราย กว่าจะเห็นผลอาจต้องใช้เวลา 2-3 อาทิตย์ ในกรณีของโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือโรคที่เกี่ยวข้องกับถุงน้ำดี แพทย์มักแนะนำให้เพิ่มอาหารประเภทผักสด ผลไม้ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
อ่านต่อเรื่องอื่นๆ
- ทำไมน้ำที่รับพลังแม่เหล็กจึงเกิดประโยชน์สุขภาพ ของมนุษย์ตอนจบ
- ทำไมน้ำที่รับพลังแม่เหล็กจึงเกิดประโยชน์สุขภาพ ของมนุษย์ ตอนแรก - ที่มาของพลังแม่เหล็ก (Magnenetic energy)
- น้ำดื่มในอุดมคติ โดย ศ.ดร.นพ.สมศักดิ์ วรคามิน
- สัญญาณของการขาดน้ำ
- พลังบำบัดของน้ำ
ที่มา //www.thebestinsure.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=389558
Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2553 11:53:14 น. |
|
0 comments
|
Counter : 992 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]
|
แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
|
|
|
|
|
|
|
|