ชวนไปเที่ยวเบตง (ตอน 2 )
  ชวนไปเที่ยว เบตง  (ตอนที่ 2) 

บล็อกนี้  เป็นบล็อกชวนไปเที่ยวเบตง ต่อจากตอนที่ 1 ซึ่งเขียนถึงตอน
ไปเที่ยว ถ้ำปิยะมิตร ซึ่งเที่ยวในวันที่ 27 ส.ค.
วันนี้จะพาเที่ยวต่อ ซึ่งยังมีที่เที่ยวอีกหลายแห่ง จะเล่าต่อไป ค่ะ  หลังจาก
เที่ยว ถ้ำปิยะมิตร  เราก็เดินทางไปเที่ยว
ที่สวนหมื่นบุปผา  ค่ะ 
 สถานที่ไฮไลท์อีกแห่ง ที่ไกด์กอล์ฟพาไป ก็คือ 
สวนหมื่นบุปผา หรือ สวนไม้ดอกเมืองหนาวเบตง
  เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาวแห่งเดียวในภาคใต้  เบตง เป็นเมืองที่มี
อากาศเหมาะกับดอกไม้เมืองหนาว  เพราะ สภาพภูมิประเทศอยู่ที่สูงจากระดับน้ำทะเล
ราว 800 เมตร มีอากาศเย็น
สบายตลอดปี  มีระบบน้ำเพียงพอ  จึงมีความเหมาะสมกับการปลูก
ไม้ดอกเมืองหนาวนานาชนิดท่ามกลางภูเขา
และเป็นโครงการตามพระราชดำริในสมเด็จพระเทพฯ  มีดอกไม้นานา
พันธุ์บานสะพรั่ง งดงาม มีหมู่หิน แปลก ๆ ให้คนมา
เที่ยวถ่ายรูปกันด้วย ค่ะ  มาชมภาพของพวกเรา ค่ะ 




















 สถานที่ต่อไป  คือ บ่อน้ำร้อนเบตง  เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติขนาดใหญ่
  มีขนาด ประมาณ 3 ไร่  จะมีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน
  ประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ อุณหภูมิของน้ำอยู่ที่ประมาณ 80 องศา
เซลเซียสซึ่งตรงที่มีน้ำเดือดนี้ สามารถต้มไข่ไก่
ให้สุกภายใน10 นาที แต่ละโซนออกแบบได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ 
 มีบ่อน้ำร้อนบ่อใหญ่  บ่อแช่น้ำร้อนใหม่
และอาคารธาราบำบัด  มีความเชื่อว่า  น้ำแร่แห่งนี้  สามารถรักษา
บรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
เช่น โรคเหน็บชา โรคผิวหนัง เป็นต้น จากบ่อน้ำร้อนแล้ว พวกเรา
ไปนั่งแช่เท้า  น่าจะประมาณสักครึ่งชั่วโมง ก็ถ่ายรูป
ที่บ่อน้ำ  และบริเวณบ่อน้ำร้อน  จากนั้น ก็เป็นอาหารมื้อเที่ยง  ค่ะ 









อาหารมื้อเที่ยง  ค่ะ 

 อาหารมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว  พาไปกินเฉาก๊วยเบตง ชามละ 15 บาท 
เป็นไฮไลท์ของกินอีกอย่าง ที่ลือกันว่า อร่อย  คิวยาว
  ไกด์กอล์ฟ ก็พาพวกเราไปชิมด้วย  ของหวานนี้ไม่ร่วมอยู่ในทัวร์ ใคร
กินก็จ่ายเอง ค่ะ  แต่โต๊ะฉันมีคนอื่นในรถคันอื่น
นั่งกินอยู่ด้วย  จอยจ่ายค่าเฉาก๊วยให้ทุกคนเลย  น่าจะร้อยกว่าบาท



เฉาก๊วยเบตง  

 (หมี่เบตง  ที่เอมอรฝากฉันซื้อ  จอยก็ไปเดินหาซื้อมาให้ ซื้อให้ฉัน
ด้วย ถามราคาเท่าไร  ก็ไม่ยอมบอก  บอกไม่
เป็นไร ซื้อฝากเอมและฉัน แถมของตัวเองซื้อไป 2 ห่อจัดใส่กระเป๋า
ไม่หมด เพราะมีทั้งเสาวรส  สละอินโดก็ให้ฉันรับเหมา
เส้นหมี่เบตงของเขาอีก 1 ห่อ  เฮ้อ ! เกรงใจเขานะจะให้เงินที่เขาไป
ซื้อมาก็ไม่ยอมรับ  ฉันก็ได้แต่ขอบใจเขาเท่านั้น 


 อีกสถานที่หนึ่งที่อยู่ในโปรแกรม  คือ  วัดพุทธาธิวาส   เป็นวัดที่ตั้งเด่น
อยู่บนเนินเขา  เราไปไหว้พระธาตุเจดีย์
  พระพุทธรูปธรรมประกาศสีทอง  เป็นศิลปกรรมแบบศรีวิชัยที่สวยงามมาก
  ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ   ได้กราบขอพร
พระพุทธรูปธรรมกายมงคลและยุรเกศานนท์สุพพิธาน พระพุทธรูปทอง
สำริดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้
ยังมีวิหารหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดให้พวกเราได้กราบไหว้  









 จากนั้น ก็พาไปที่ร้านรังนก  มีขายสมุนไพร  ดูรายการราคาขายรังนก
แต่ละรายการ แพงมาก ถูกสุดดูเหมือนจะ 250  บาท
  ฉันไม่ได้สั่งกิน แต่จอยสั่ง 1 ถ้วย เกรงใจเข้ามาร้านแล้ว  ส่วนรัตน์กับ
สามีก็สั่ง 1 ถ้วยใหญ่ เห็นมีโสมด้วยมั้ง 
แพงกว่าของจอย  ส่วนน้องคู่ที่ไปอันนีมูน (เพิ่งแต่งงาน)  เขาก็ไม่สั่งเดิน
ออกจากร้านไปเลย อิอิ  มีเงินกินได้  แต่ว่า ปีหนึ่ง ๆ 
ลูกศิษย์ส่งกระเช้ารังนกมาให้กินอยู่แล้ว อีกอย่าง ก็ไม่ได้มีประโยชน์
อะไร (ตามที่เคยอ่าน)  ส่วนใหญ่กินเพราะเกรงใจ
เข้าร้านมาแล้ว ห้าห้า  ก็มีสั่งบ้างหลายคนอยู่  หลังอาหาร  ก็ไปไปลอด
อุโมงค์ เบตงมงคลฤทธิ์  อุโมงค์นี้ ตั้งอยู่บริเวณ
ถนนอมรฤทธิ์   ตัดกับถนนภักดีดำรง  ผ่านสวนสาธารณะออกสู่ถนน 
เป็นอุโมงค์รถยนตร์ลอดภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย
ที่ขุดทอดโค้งให้รถวิ่งไปมา  ความยาวลอดอุโมงค์ประมาณ 268 เมตร 
และทำเป็นทางเดินตลอดสองข้างทาง  ออกจากอุโมงค์
มีรูปไก่ตัวโต  ตัวเล็ก มีรูปของนักวิ่งที่เป็นนักร้อง  คือ ตูน บอดี้แสลม
  ที่จัดวิ่งพื่อหาเงินให้กับโรงพยาบาล  ตั้งอยู่ให้
นักท่องเที่ยวถ่ายรูป  พวกเราก็ไม่ขัดศรัทธาไปถ่ายด้วยเหมือนกัน  อิอิ 
ใกล้ ๆ กัน  ก็มีสตรีทอาร์ท  แต่มีไม่มาก
 มีรูปไม่มากนัก  ฉัน จอย ถ่ายกัน รูปสองรูป เท่านั้น  มาดูรูปที่พวกเรา
ถ่ายไว้เป็นที่ระลึก ค่ะ 



ถ่ายรูปตรงอุโมงค์ ค่ะ







 ถ่ายกับรูปปั้นของตูน  บอดี้แสลม  ค่ะ 












 เที่ยวที่นี่แล้ว  ผ่านตู้ไปรษณีย์ใหญ่ และหอนาฬิกา  ฉัน จอย และรัตน์
ก็ขอลงไปถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก  โดยไกด์กอล์ฟ
ผู้ใจดี ถ่ายให้พวกเรา ค่ะ 

   ประวัติตู้ไปรษณีย์แห่งอำเภอเบตงที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
และใหญ่ที่สุดในโลก  ตั้งอยู่ที่บริเวณสี่แยก
หอนาฬิกาใจกลางเมืองเบตง  สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2467 ตั้งแต่ก่อนสมัย
สงครามโลกครั้งที่ 2   จุดประสงค์ที่สร้างไว้
  เพื่อใช้เป็นที่กระจายข่าวสารบ้านเมืองให้ชาวเบตงทราบ  ใกล้กับหอ
นาฬิกาคู่บ้านคู่เมืองอำเภอเบตง  ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้าง
เก่าแก่อยู่เคียงคู่กับเมืองเบตงมาช้านาน  เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ที่ตั้ง
อยู่จุดศูนย์กลางของเมือง   สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวล
อันเลื่องชื่อจากยะลา ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องของความแข็งแรง ทั้ง
สวยงามและคงทน   ถ่ายรูปเสร็จแล้ว 



กอล์ฟ ก็พาพวกเรากลับ  โรงแรมที่พักเมื่อคืน  (ดีที่ไม่ต้องย้ายโรงแรม
ให้วุ่นวาย)  นัดเวลา 6 โมงเย็น ขึ้นรถเพื่อพาไป
กินข้าวมื้อเย็นที่ร้านต้าเหยิน (กิตติ)  ถือว่าเป็นอาหารมื้อเย็นที่ค่อนข้าง
สมบูรณ์  คนมากินอาหารที่ร้านนี้มากมายพอสมควร 
อาหารก็เป็นอาหารจีน  มีไก่เบตงนึ่งซีอิ๊ว  ผัดถั่ว รสชาติก็อร่อย ใช้ได้

 
 หลังจากอิ่มแล้ว  ไกด์กอล์ฟบอกว่า  ถ้าใครจะไปเดินเล่น ก็ไปเดินเล่น
และเดินกลับโรงแรม เพราะไม่ไกลจากที่ร้านอาหารนี้ 
ถ้าไม่อยากเดิน  เดี๋ยวคนขับรถกินข้าวอิ่มแล้วจะขับรถไปส่งที่โรงแรม
    ฉันกับเพื่อนอีกหลายคน  ขอกลับโรงแรม
  เพราะก่อนมากินข้าวมื้อเย็นฝนตกหนักมาก  ถนนเฉอะแฉะมาก  อีก
อย่างมันมืด ๆ ไม่อยากเดิน  พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้ามาก
เพื่อจะไปชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง ด้วย  ค่ะ 

  วันที่  28  วันสุดท้ายของทริปนี้  ฉันต้องตื่นประมาณ ตี3 เพราะไกด์
กอล์ฟนัดขึ้นรถ ตี 4  ต้องนั่งรถตู้ของเราเดินทางไปยัง
สถานที่ที่จะไปชมทะเลหมอก ประมาณ 45 นาที  เราไปถึงสถานที่
แห่งนี้  มีรถตู้ของทัวร์อื่น ๆ หลายคันแล้ว 
ท้องฟ้ายังมืด ๆ อยู่ เพราะเพิ่งประมาณยังไม่ถึง ตีห้าเลย  พวกเราลง
จากรถตู้  เดินไปยังลานกว้าง เพื่อเข้าแถว
รอรถรับจ้างสองแถวซึ่งทัวร์อื่น ๆ ก็เข้าแถวกันยาวเหยียด  พวกเรากว่า
จะได้รถสองแถวน่าจะรอไม่ต่ำกว่า  15  นาที่
  ทุกคนต้องเตรียมค่ารถคนละ 30 บาท  เขาจะเก็บตอนเราขึ้นรถไป  รถ
ขับไปน่าจะสิบกว่านาทีเท่านั้น  ก็ถึงสถานที่ที่ตั้ง
ของตึกที่เราจะขึ้นไปชมทะเลหมอก  ตึกก็ยังไม่เปิด  มีไฟดวงเล็ก ๆ
อยู่รอบ ๆ  พวกเราต้องยืนเข้าแถวกันอีกนาน
เป็นชั่วโมง  ก็ถ่ายรูปกัน  แก้เบื่อในการรอ รูปไม่สวย เพราะไฟก็ไม่
สว่าง ดูมัว ๆ ไกด์กอล์ฟ น่ารัก  บอกว่า เพื่อไม่ให้
เสียเวลาในการไปซื้อรองเท้าผ้าที่ทุกคนต้องใส่เวลาขึ้นไปที่
สกายวอร์คคู่ละ 30 บาท  พวกเราก็ส่งเงิน 30 บาท
ให้กอล์ฟไป  ตามจำนวนลูกทัวร์   ไกด์คนนี้  บริหารจัดการดี  ใส่ใจ
ลูกทัวร์ และจะอยู่กับลูกทัวร์   เขาคงชำนาญ
ทำงานมานานดูคล่องแคล่ว และน่าจะมนุษยสัมพันธ์ดีด้วย  สังเกตจาก
เวลาเขาพูดคุยกับไกด์คณะทัวร์อื่น ที่แสดงความ
ไม่พอใจต่อไกด์อื่น  เขาก็ได้พูดปลอบประโลมว่า  ให้ใจเย็น ๆ  ยังไง
ก็ได้ขึ้นไปชมทะเลหมอก  ไม่ต้องแย่งรถกันหรอก
อะไรประมาณนั้นรูปร่างเขาสูงใหญ่  แข็งแรง  ใครเรียกให้ถ่ายรูป  เขาก็
ยินดีถ่ายให้อย่างใส่ใจ  กระเป๋าที่ขึ้นจากสายพาน
ของสนามบิน  เขาก็ช่วยลากมารวม ๆ กัน เช็คกระเป๋า เรียกว่า ทำ
หน้าที่ไกด์ได้ดีมาก ให้คะแนนเต็ม 10 ค่ะ อิอิ 
 เรามาทราบประวัติของ ทะเลหมอก อัยเยอร์เวง  สักหน่อย ค่ะ  ทะเล
หมอกอัยเยอร์เวง  ตั้งอยู่ที่บริเวณ บ้านธารมะลิ
  ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นจุดชมวิวทะเลหมอก
ยอดฮิตของเบตงที่เดินทางสะดวกรถถึง และมี
ทะเลหมอกให้ชมตลอดทั้งปี ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง  ไฮไลท์ของทะเล
หมอกอัยเยอร์เวง คือ สกายวอล์คสูงจำนวน 6 ชั้น
ที่สามารถชมวิวทะเลหมอกในมุมสูงเหมือนกำลังยืนเหนือทะเลหมอก
และขุนเขาเขียวที่เรียงรายสลับซับซ้อน มีทางเดินลอยฟ้า
ทอดยาวไปจนสุดระเบียงกระจกวงกลมที่กลายเป็นจุดถ่ายภาพที่
สวยงามแปลกตา  เป็นทะเลหมอกขนาดใหญ่
และสวยงามมากอีกด้วย  สามารถมองเห็นความสวยงามของยอดเขา
ไมโครเวฟได้แบบชัดๆ เลย จุดชมวิวแห่งนี้
เป็นเหมือนสวรรค์บนดินก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะได้ชมวิวหมอกสวยๆ 
แล้ว ก็ยังได้สัมผัสอากาศอันบริสุทธิ์อีกด้วย

  ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง  ตั้งอยู่บนระดับความสูงกว่า 2,038 ฟุต ใช้งบ
ในการก่อสร้างมากกว่า 91 ล้านบาท สร้างขึ้นมา
เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวทิวทัศน์ได้รอบทิศทางแบบ 360
องศาเลยค่ะ แต่ยิ่งกว่าไฮไลท์ คือ พื้นระเบียงทางเดินนั้น
เป็นพื้นกระจกใส ยาว 61 เมตร นับว่าเป็นสกายวอล์คที่ยาวที่สุดใน
อาเซียนอีกด้วยค่ะ สำหรับช่วงเวลามาชมทะเลหมอก
พระอาทิตย์ที่นี่ขึ้นประมาณ 6.00.6.30 น.แต่หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น
แล้ว ทะเลหมอกยังคงอยู่ไปจนถึงเกือบ 8 โมง
เมื่อมาถึงสกายวอลค์ เข้าไปข้างในเพื่อชำระเงินค่ารองเท้าผ้าสำหรับ
เดินบนพื้นกระจก คู่ละ 30 บาท หรือหากไม่รับรองเท้าผ้า
สามารถถอดรองเท้าฝากไว้ในล๊อคเกอร์(ไม่มีค่าใช้จ่าย) แล้วเดินด้วย
เท้าเปล่าไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าเข้าไปจากนั้นกดลิฟท์
ไปยังชั้นต่างๆ ได้เลย มีรถเข็นให้บริการสำหรับผู้สูงอายุด้วย 

สกายวอล์คเป็นหอคอยสูง มีทั้งหมด 6 ชั้น เริ่มตั้งแต่ชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นที่
มีทางเดินทอดยาวไปยังระเบียงวงกลม ส่วนชั้น 4-6
เป็นจุดชมวิวแบบสี่เหลี่ยมที่มีที่กระจกยกสูงเป็นระเบียงชมวิวสำหรับกัน
ไม่ให้ตกลงไป จะเลือกไปยังชั้นไหนก็ได้
แต่แนะนำให้ขึ้นมาชั้น 6 ก่อน เพราะเป็นจุดชมวิวสูงสุด มองลงมาจะ
เห็นทางเดินสกายวอลค์พื้นกระจกอยู่ข้างล่าง
ได้แบบชัดเจนที่สุด สกายวอล์ค 6 ชั้น ที่สามารถชมวิวทะเลหมอกใน
มุมสูง วิวแบบ 360 องศา  ในภาพถ่ายจากจุดชมวิว
ชั้น 6  เรามาถึงประมาณเกือบ 7.00 น. ซึ่งพระอาทิตย์ขึ้นสูงไปพอ
สมควรแต่ความอลังการของทะเลหมอกยังคงอยู่
และได้ความสดใสของท้องฟ้าสีฟ้าเข้ามาช่วยเสริมให้สวยงาม
ยิ่งขึ้น วิวทะลเลหมอกที่ลอยคลอเคลียอยู่บริเวณทิวเขา
 ไล่ระดับเลเยอร์  ( สิ่งที่เป็นชั้น, ระดับ) สวยงาม 

 พวกเราได้รับรองเท้าผ้าที่ไกด์กอล์ฟช่วยไปซื้อให้แล้ว  เราจึงไม่ต้อง
เสียเวลาไปซื้อรองเท้า  ได้รองเท้าแล้ว ยังต้องรอ
ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง  โดยยืนเข้าแถวยาวเหยียด เพื่อรอเจ้าหน้าที่
มาเปิดตึกตามเวลาที่เขากำหนด  ตอนนั้นน่าจะ 6.00 น. ได้แล้ว พวกเราต้องรอลีฟต์ขึ้น
ไปแถวยาวเพราะขึ้นได้เที่ยวละ
น่าจะ 10 คน ฉันกับจอย และในกลุ่ม ตกลงไปลงที่ชั้น 3 ก่อนเพราะ
ชั้นนี้เป็นชั้นสกายวอล์ค  คนเยอะมากเลย
 ฝนที่ตกเมื่อคืน ก็ยังเฉอะแฉะ  เดินต้องระวัง  พวกเราถ่ายรูปกันไม่กี่รูป
แล้วก็เดินไปที่ลีฟต์เพื่อไปชมทะเลหมอกที่ชั้น 6
ซึ่งจะเป็นทะเลหมอกที่มองได้รอบ 360 องศา  สวยมาก  สมกับคำ
เล่าลือ ค่ะ ฉัน จอย ผลัดกันถ่ายรูปมากที่สุดที่ชั้นนี้
 พักใหญ่  รัตน์และสามีเขาก็ขึ้นมาที่ชั้นนี้  เลยได้ถ่ายรูป ด้วยกัน ค่ะ มา
ชมภาพ ค่ะ 

























ไกด์กอล์ฟ นัดเวลา เจอกันชั้นล่างของตึก  น่าจะประมาณ 7.30  น.
พวกเราไม่อยากรอรถสองแถว  มีมอเตอร์ไซด์
คนละ 20 บาทเท่ากับรถสองแถว  เพียงแต่รถสองแถวต้องรอคน
ครบก่อนส่วนมอเตอร์ไซด์สองคนซ้อนกันไป
ก็ได้แล้ว  ต้องเลือกไซด์เล็ก ๆ ฉันกับแต๋วไป 1 คัน  จอยไปกับเพื่อน
ของแต๋ว  จ่ายคนละ 20 บาท สองคน ก็ได้ 40 บาท
พวกเราบอกคนขับว่า  ขับดี ๆ ไม่ต้องเร็วนะ ป้า ๆ แก่แล้ว  อิอิ คนขับ
ก็น่ารัก ไม่ขับซิ่ง  ประมาณ 10 นาทีก็ถึงด้านล่าง
ที่รถตู้ของพวกเราจอดอยู่  ก็รอกันพร้อม ๆ ค่อยออกรถตู้  บริเวณด้าน
ล่างก็มีร้านค้ามากมายของของเสื้อผ้า  ของกิน
  สะตอก็มีขายเยอะมาก  พวกใหญ่ ๆ ถามแล้ว ขาย 500 บาท  ไม่มีใคร
ซื้อหรอก เพราะไม่รู้จะหอบขึ้นเครื่องบินอย่างไร  อิอิ 
 ไกด์กอล์ฟ พาพวกเรามากินอาหารร้านมุสลิม  ทางทัวร์คงจองไว้แล้ว 
ทุกคนกินได้ทุกอย่าง กินจนกว่าจะพอใจ
ไม่จำกัดอาหาร  ฉันกินข้าวต้มกุ้ง 1 ชาม  จอยเอาไข่ต้มมาให้และมี
ข้าวยำอีก 1 จาน ก็อิ่มแล้ว  คนอื่น ๆ มีไก่ย่าง 
ข้าวเหนียว ขนม ฯลฯ  สักพักใหญ่ ๆ ก็มีคณะอื่น ๆ มากินด้วย  พวกเรา
น่าจะกินกันประมาณ ครึ่งชั่วโมง  ก็ขึ้นรถเพื่อ
ไปเที่ยวที่อื่นต่อ ค่ะ  



ร้านที่เรามากินอาหารเช้า ค่ะ  เป็นร้านมุสลิม ค่ะ 





รถตู้ทั้ง 4 ค้นมุ่งหน้าไปยังจังหวัดปัตตานี  ซึ่งจากเบตงไปปัตตานี  ใช้
เวลา ประมาณ 2.30 น.  บางช่วง เจอทิวทัศน์ข้างทาง
สวยงาม  ก็จดรถลงไปถ่ายภาพบ้าง ค่ะ จอดให้เข้าห้องน้ำบ้าง   แล้ว
พวกเราก็มาถึง ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวหรือศาลเจ้า
เล่งจูเกียง  ถือเป็นศาลศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดปัตตานีมาแต่
โบราณ  ชาวบ้านให้ความนับถือ  เดินทางมาสักการบูชา
 ขอพรเพื่อให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา  ขอโชคลาภ การ
ค้าขาย  หรือแม้แต่การเจ็บป่วย มีความเดือดร้อน
เรื่องใด จะมาขอพร  บนบานกับเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว  ก็จะได้รับความ
สำเร็จในสิ่งที่ขอเสมอ ๆ พ้นจากความเดือดร้อน  
   มาถึงที่นี่  ไกด์กอล์ฟได้เล่าประวัติของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวให้พวก
ลูกทัวร์ฟังก่อนจะเข้าไปศาลเจ้าไหว้ สักการบูชา
ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นน้องสาวของลิ้มโต๊ะเคี่ยม ผู้เป็นโจรสลัดในจีนราช
วงศ์หมิงที่ตั้งถิ่นฐานในอาณาจักรปาตานี
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ไม่มีใครรู้ว่าเธอมีตัวตนจริงหรือไม่และชื่อเธอ
ก็ไม่กระจ่างพอ (กอเหนี่ยว แปลว่า "พรหมจารี"
หรือ "หญิงสาว") ข้อมูลบางส่วนอ้างว่า เธอมีชื่อว่าสี่เจิน (慈貞) แต่อีก
เรื่องหนึ่งที่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมออกจากไต้หวันบันทึกชื่อเธอ
พี่ชายว่าชื่อจินเหลี่ยน (金蓮) ตามตำนาน เมื่อแม่เธอป่วย ลิ้มกอเหนี่ยว
จึงตามหาลิ้มโต๊ะเคี่ยม โดยสาบานว่าจะไม่กลับมา
จนกว่าจะนำพี่ชายกลับมา เธอพบลิ้มโต๊ะเคี่ยมที่ปาตานี โดยเขา
แต่งงานกับพระราชธิดาของสุลต่าน เข้ารับอิสลาม
และกำลังสร้างมัสยิดให้ราชินี  เขาไม่ยอมกลับบ้าน เป็นเหตุให้เธอฆ่า
ตัวตายโดยการแขวนคอบนต้นมะม่วงหิมพานต์ 
ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต เธอสาปให้มัสยิดที่พี่สร้าง (เชื่อว่าเป็นมัสยิดกรือ
เซะ) ไม่มีวันเสร็จ ด้วยความอาลัย ชาวจีนท้องถิ่น
ยุคหลังได้สร้างรูปสลักจากต้นไม้ที่เธอแขวนคอ สร้างศาลเจ้าขนาด
เล็กและสักการะเธอเพื่อแสดงถึงความกตัญญู
และความรู้สึกรักชาติต่อประเทศจีน  และมีคนกล่าวว่า  พี่ชายของนาง
สร้างสุสานให้เธอใกล้กับมัสยิดกรือเซะใน ค.ศ. 1574 
แต่จริง ๆ มันอาจถูกสร้างในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เชื่อกันว่า ที่ฝัง
ศพของเธอจริง ๆ อยู่ริมท่าเรือ ซึ่งถูกน้ำทะเลท่วมแล้ว
ทำให้ต้องย้ายสุสานไปตั้งข้างมัสยิดกรือเซะในช่วง ค.ศ. 1919

  ศาล เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนปัตตานี ตั้งแต่
สมัยโบราณเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวขึ้นชื่อเรื่อง
ความศักดิ์สิทธิ์ใครเจ็บไข้ได้ป่วย ไปขอ ก็จะหายป่วย หรือค้าขายไม่มี
กำรี้กำไรอยากได้เงินทุนก็ไปเสี่ยงเซียมซีเพื่อขอ
บอกกล่าวกับเจ้าแม่ และก็จะได้สมใจหวัง หากใครเดือดร้อนและบอก
ขอพ้นทุกข์ก็จะคลายตั้งแต่สมัยอดีตจนถึงปัจจุบัน
งานสมโภชเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จัดขึ้นทุกปีที่จังหวัดปัตตานี โดยเริ่ม
ต้นในวันปีใหม่จีนในวันที่ 14 กุมภาพันธ์
ของทุกปี ต่อมาในวันที่ 15 ชาวบ้านจะยกภาพไม้ของลิ้มกอเหนี่ยว 
กับเทวรูปอื่น ๆ 17 รูปในศาลเจ้าเป็นขบวนใหญ่
ให้ผู้คนในย่านต่าง ๆ สักการะ ภาพเหล่านี้จะถูกยกข้ามแม่น้ำปัตตานี
ผ่านการแช่ในน้ำ และในวันต่อมา ผู้ที่ถือก็จะเดินลุยไฟ
   การสักการะลิ้มกอเหนี่ยวเริ่มเผยแผ่นอกพื้นที่ปัตตานีในปี 1950 และ
ศาลเจ้าในปัตตานีกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว
สำหรับผู้ที่มาจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์มาตั้งแต่ปี 1960
 เป็นต้นมา   ( สรุปจากการเล่าเรื่องของไกด์
และเรียบเรียงบางส่วนจากอินเตอร์เน็ต)   

 พวกเราเข้าไปที่ศาลเจ้านี้  และซื้อธูปเทียน เป็นกำใหญ่มาก  แล้วก็นำ
สิ่งที่ซื้อนั้นไปให้เจ้าหน้าที่ ในศาลเจ้า  เขาจะ
แนะนำว่า  แต่ละจุด (ซึ่งมีหมายเลขติดอยู่) จะต้องปักธูปกี่ดอกจุดไหน
ต้องจุดเทียนด้วย  พวกเราก็ทำตาม  แต่ละจุด 
มีทั้งอยู่ในศาลและนอกศาล  แดดตอนนี้ ร้อนมาก  กว่าจะไหว้ครบทุก
จุด ก็น่าใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีได้นะ 
ไหว้ถึงจุดสุดท้ายเขาก็ให้ไปตีกลองและฆ้องซึ่งมีเจ้าหน้าที่ยืนรอและ
บอกด้วย  ในศาล   มีเจ้าหน้าที่ให้พวกเราเขียนชื่อ
ทำบุญด้วย  ฉัน เยาว์ และจ๋า เขียนชื่อ ทำบุญบำรุงศาลเจ้าแม่ลิ้มกอ
เหนี่ยว คนละ 100 บาท  อธิษฐานให้ตัวเอง 
เยาว์ และจ๋า  ให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ  ค่ะ  
         
ออกจากที่นี่  พวกเราเดินซื้อขนมใกล้ ๆ ศาลเจ้า  ฉันซื้อลูกหยี 3 ถุง
100 บาท ซื้อ มะม่วงหิมพานต์ครึ่งกิโล  250 บาท 
สำหรับศาลเจ้าที่อยู่ใกล้เคียงไม่ได้เข้าไปชมเลย เพราะอากาศร้อนมาก
  อีกอย่าง เราใช้เวลาในการไหว้เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ศาล  นับเป็น 10 จุด เดินไปวนไป เมื่อย
มากเหมือนกัน ค่ะ 



ไกด์กอล์ฟ  อธิบายประวัติความเป็นมาของ เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว







  อาหารมื้อเที่ยงวันนี้  เรามากินที่เดิม  ที่เรากินมื้อแรก นั่นเอง  ร้าน
อาหารที่อยู่ใน วัดมะกรูด  อาหารร้านนี้  ก็อร่อยใช้ได้ ค่ะ  
 กินอาหารมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว  พวกเราก็เดินทางต่อไป  ได้ไปชม มัสยิด
กลาง  ปัตตานี  ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลลาเนาะรู  อ.เมือง
จ. ปัตตานี  เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจ. ปัตตานีเป็นมัสยิด
ที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมอย่างสวยงาม
  มีความโดดเด่น  เป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในภาค
ใต้ที่สำคัญแห่งหนึ่ง รูปทรงภายนอกของ
มัสยิดมีต้นแบบมาจาก ทัชมาฮาล  นักท่องเที่ยวจะมาชมมัสยิด นี้ ค่ะ 
มัสยิดแห่งนี้ได้ชื่อว่า  เป็นมัสยิดที่สวยงามมากที่สุด
แห่งหนึ่งในประเทศไทย ค่ะ   น่าเสียดาย  เขาไม่เปิดให้เข้าไปชมใน
มัสยิด ค่ะ  ได้แต่ลงไปยืนถ่ายรูปกับ ตัวมัสยิด เท่านั้น  ค่ะ 







 จากมัสยิด  ไกด์ก็พาพวกเราไปร้าน DELISH  MARAS CAFE   ซึ่ง
เป็นร้านที่ชาวเมืองปัตตานีชอบมาเยือน   มีขาย
ทั้งเครื่องดื่ม อาหาร ชา และไอศกรีม  มีการจัดร้านเป็นสไตล์ประเทศ
ตุรกี  จัดสิ่งของต่าง ๆ ของตุรกี  เช่น พวกตาปีศาจ
  พรมของตุรกี  เครื่องตกแต่งหลากหลายสีสัน  เหมือนตอนที่ฉันไป
เที่ยวตุรกีเมื่อหลายปีที่ผ่านไป ค่ะ เลยไม่ค่อนตื่นเต้น ค่ะ
พวกเราสั่งขนมของตุรกี 1 ชุด เป็นชิ้นเล็ก ๆ หลายชิ้น ตามสไตล์
หวานๆ เลี่ยน ๆ  ให้กินกับชาของตุรกี 
ชาก็หอมดี ราคาแพงพอสมควร  แพงเพราะบรรยากาศและภาชนะ
ที่ใส่ขนมกาน้ำชา  ถ้วยน้ำชา  เพราะสวยงามวิจิตรทีเดียว 
พวกเราเดินถ่ายรูปในมุมต่าง ๆ ผลัดกันถ่ายรูป มีฉัน จอย  รัตน์ น้อง ๆ
คู่ที่ไปอันนีมูน  มาชมภาพ เราค่ะ 





ขนมของตุรกีที่เราสั่งมากินกัน ค่ะ 









บรรยากาศในร้าน  ค่ะ 





พักผ่อนจิบน้ำชาไปน่าจะประมาณ ชั่วโมงเศษ ๆ  พวกเราก็ออกเดิน
ทางต่อ เป็นที่เที่ยวสุดท้าย  ใช้เวลาอีกประมาณ
หนึ่งชั่วโมงครึ่ง  ก็ถึงหาดใหญ่  ยังพอมีเวลา ก็ให้พวกเราไปเดินที่
ตลาดกิมหยง  หาซื้อของกิน ของฝาก  ฉันได้
มะม่วงหิมพานต์อีกครึ่งกิโล  300 บาทเอง  ถูกกว่าที่ซื้อจากร้านแถว
ศาลเจ้าลิ้มกอเหนี่ยว 200 บาท พวกเรามีโอกาส
เดินดูหลายร้านเลยต่อได้ราคาถูกที่สุด  รัตน์เขาซื้อของเก่ง ต่อราคา
เก่ง  จอยก็ซื้อหลายอย่าง จนต้องไปซื้อถุงธงชาติใส่ของเพิ่ม อิอิ 

จากนั้น  ไกด์กอล์ฟก็พาไปซื้อไก่ย่าง ร้านที่ว่าอร่อยของสงขลา  ก็
น่าจะจริงนะ  เพราะคนที่ร้านเยอะมาก 
แล้วยังมีที่สั่งกลับบ้านอีก   ขืนนั่งสั่งกินที่นี่ ก็คงจะไม่ทันขึ้นเครื่องบิน
แน่นอน  พวกเราจึงใช้วิธีสั่งเป็นชุด ๆ ชุดละ น่าจะ 65 บาท
ถ้าจำไม่ผิด  กว่าจะถึงคิวเรา ปรากฏ บางชุด ข้าวเหนียวหมด   ต้องเป็น
ข้าวสวยแทน  เฮ้อ ! กว่าจะได้ครบทุกคน  เวลาก็
  
ริบหรี่  มาถึงสนามบิน  กระหืดกระหอบกันเช็คอินแล้วนำกระเป๋าเข้า
เครื่องเอ็กซเรย์ เรียบร้อย  ก็เหลือเวลาที่จะต้อง
ขึ้นเครื่องไม่ถึงชั่วโมง  จอย รัตน์ น้อง ๆ ก็นั่งกินข้าวกัน แต่ฉันไม่กิน
หอบกลับบ้านกินดีกว่า เพราะขี้เกียจมือเลอะและมัน ๆ ด้วย 


  ไฟล์บินของเราคือ 20.45น.ถึงกรุงเทพฯ 22.15 น.เที่ยวบิน  SL  721 
 มาถึงกรุงเทพฯ ก็รับกระเป๋าจากสายพานกันแล้ว 
จอยโทรหาทูลซึ่งนัดกันมารับที่สนามบิน  จอยใจดีชวนรัตน์และแฟน
และน้องคู่ที่มาฮันนีมูลกลับด้วย  โดยให้พวกเขาจ่ายค่าทิบ
ให้ทูลคนละร้อยบาท ได้ส่งถึงบ้าน  รัตน์บ้านอยู่อ่อนนุช 50  ส่วนหนุ่ม
สาวคู่นั้นอยู่สมุทรปราการทางเดียว
กับบ้านของจอย  จอยเขาเป็นคนมีน้ำใจดี  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดี  ครั้งนี้ ทูล
ก็ได้ทิบ 500บาท รวมฉันด้วย  ทูลมาส่งฉัน
ที่บ้านก่อน  เพราะบ้านฉันถึงก่อนเพื่อน  ทูลช่วยหิ้วกระเป๋าและของที่
ซื้อ เข้ามาในบ้านให้ฉันอย่างเรียบร้อย 
ขอบใจจอย และทูล ที่อำนวยความสะดวกในเรื่องรถมาส่งที่บ้านอย่างดี
เรียบร้อย  อำลากันแล้ว  ก็จากกันไป  ถึงบ้านนั้น
ประมาณ ห้าทุ่มกว่า ๆ  กว่าจะรื้อของ เก็บของ  อาบน้ำ เข้านอนก็เที่ยง
คืนพอดี  ค่ะ  ทริปเที่ยว เบตง ก็จบลงไปอีกทริปหนึ่ง
  มีความสุขท่ามกลางเพื่อนร่วมทริปก็น่ารัก ไม่มีปัญหา  ได้เพื่อนใหม่
หลายคน ก็คือ เพื่อนที่นั่งรถตู้คันเดียวกันนั่นแหละ ค่ะ 
ทริปนี้อิ่มสุขด้วยการได้ชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวงอันสวยงาม อันเป็น
ไฮไลท์ของการไปเที่ยว  ประหยัดรายจ่าย เพราะใช้สิทธิ์
ทัวร์เที่ยวไทย  เราจ่ายเพียง 60% อิ่มบุญ เพราะได้ไปไหว้หลวงปู่ทวด
และเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว  ซึ่งไม่ได้ไปไหว้ขอพร
นานมากแล้ว  นอกจากนี้  ยังได้ไปชมสถานที่ดัง ๆ ของเบตงและ
ปัตตานี ดังที่ได้เขียนไปแล้ว ค่ะ 
หวังว่า  เพื่อนและผู้อ่านที่ได้เข้ามาอ่าน  คงจะได้รับความเพลิดเพลิน 
ได้ความรู้ตามไปด้วยพอสมควร  สวัสดี ค่ะ  



Create Date : 14 พฤศจิกายน 2565
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2565 20:29:52 น.
Counter : 850 Pageviews.

22 comments
นั่งรถม้าเจ้าหญิง สายหมอกและก้อนเมฆ
(22 เม.ย. 2567 10:43:45 น.)
5 วัน 4 คืน สิงคโปร์ สีสันแห่งมหานครสิงโตพ่นน้ำ (ตอนที่ 2: Mandai Nature Reserve + Botanic gardens) เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
(22 เม.ย. 2567 22:04:22 น.)
»FFF#94« "กินเพลินเกินห้ามใจ" ขนมปังคีโตฯ สูตรบ้านคุณแม่ตุรกี nonnoiGiwGiw
(19 เม.ย. 2567 14:29:33 น.)
ทริปอเมริกา #2 - ต่อเครื่องที่มะนิลา+ผ่านตม.แบบ fast trackที่นิวยอร์ค ฟ้าใสทะเลคราม
(18 เม.ย. 2567 18:15:13 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณSweet_pills, คุณกะว่าก๋า, คุณร่มไม้เย็น, คุณtoor36, คุณเริงฤดีนะ, คุณkae+aoe, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณชีริว, คุณอุ้มสี, คุณSertPhoto, คุณtuk-tuk@korat

  
ตามมาเที่ยวด้วยคนคราบ


พักนี้บอลไม่ได้ออกไปเที่ยวเลยครับ หลานสาวจะสอบเข้า ม.1 ครับ โค้งสุดท้ายแล้ว ต้องนั่งติวกันทุกๆวันครับ กะว่าจะไปพาไปพักผ่อนสมองซักหน่อย คงไม่ไปไหนไกลหรอกครับ
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 17 พฤศจิกายน 2565 เวลา:21:03:28 น.
  

อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์

เจอไกด์ดี
เป็นโชคอย่างยิ่งครับ
เพราะเขาจะอำนวยความสะดวกให้กับคณะทัวร์ได้มากจริงๆ

เบตงเป็นเมืองที่น่าเที่ยวมากๆ
อาหารก็อร่อย
ผมเองก็อยากกลับไปเที่ยวอีกครับ

รวมทั้งปัตตานีด้วย
ตอนที่ผมลงไปก่อนหน้าหนึ่งวัน
ก็มีระเบิดที่สงขลา
แต่เมืองจริงๆก็เงียบสงบ
ผมชอบสามจังหวัดชายแดนใต้ครับ
เมืองสวยงาม

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 พฤศจิกายน 2565 เวลา:4:57:13 น.
  
จริงๆ บรรยากาศดีมากเลยนะครับ ถ้าไม่ติดเรื่องปัญหาการก่อการร้าย น่าจะรุ่งและทำเงินได้เยอะ ก็ได้แต่หวังว่าปัญหาจะถูกคลี่คลายในเร็ววันก่อนที่เราจะจากโลกนี้ไป

มีภาษาจีนด้วย ต่อเนื่องจากตอนที่ 1 จำได้คุ้นๆ มีเกี่ยวกับพวกพรรคคอมมิวนิสต์ด้วย
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2565 เวลา:16:41:07 น.
  

Street art เบตงสวยงามไปค่ะ
เห็นด้วยค่ะ..รังนกไม่ได้มีประโยชน์อะไร
ชอบๆๆที่มีคนเดินออกจากร้านไปเลย
ไม่ต้องเกรงใจ
อจ.ก็มีทีาลูกศิษย์ลูกหา
เอามาสวัสดี

เคยมาค่ะ..กราบศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว


มัยยังไม่มีน้าสDELISH MARAS CAFE
ซึ่ง
เป็นร้านที่ชาวเมืองปัตตานีชอบมาเยือน
ได้มาshopping ตลาดกิมหยง
อ้อชอบค่ะ
เดินได้นาน. ๆ สำหรับซื้อขนม
ซื้อร่ม yamada


อ่านเพลินและสนุกกับทริป เบตง ตอน 2
vote
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 18 พฤศจิกายน 2565 เวลา:18:53:39 น.
  
วันนี้ผมก็อยู่นอกบ้านเกือบทั้งวันครับ
ไปส่งลูกทำกิจกรรมต่างๆ
เชียงใหม่รถก็ติดมากๆ
เสาร์-อาทิตย์
เห็นบอกว่าเมืองจะแตกครับ
เพราะมีกิจกรรมเยอะมาก
ทั้งสอบข้าราชการ สอบนักเรียน
คอนเสิร์ต แข่งวิ่ง ฯลฯ
ดูแล้วท่าทางผมจะต้องอยู่บ้านครับ 555

วันนี้ไม่ได้ดูข่าวเลยครับ
เพิ่งมาเปิดบล็อกตอนสามทุ่มกว่าๆนี่ล่ะครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 พฤศจิกายน 2565 เวลา:21:52:01 น.
  
ผมไปอยู่มาสองปีเลยครับ แทบจะเป็นบ้านที่สองเลย เป็นเมืองที่เงียบสงบ ผมชอบนะเดินทางสะดวกไม่ค่อยวุ่นวายด้วย
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 18 พฤศจิกายน 2565 เวลา:22:25:53 น.
  
ต้องมาเที่ยวชัยนาทบ้างแล้วครับ
ที่พักสวยนอนสบายและที่สำคัญวัดเยอะมากๆเลยครับ

นายแว่นขยันเที่ยว ><
โดย: นายแว่นขยันเที่ยว วันที่: 18 พฤศจิกายน 2565 เวลา:23:34:55 น.
  
สวัสดีค่ะอาจารย์

เมื่อวานต๋าใช้มือถือเลยได้แต่โหวตค่ะ

แต่ละสถานที่ที่อาจารย์พาเที่ยวน่าไปมากค่ะ
วิวทะเลหมอกอัยเยอร์เวงอาจรอคิวบ้างแต่สวยคุ้มค่าจริงๆนะคะ

บันทึกของอาจารย์น่าประทับใจทุกครั้ง
ขอบคุณอาจารย์ที่แบ่งปันเรื่องราวดีๆกับภาพสวยๆค่ะ

งานธาตุทองคืนถิ่นเดือนหน้าคงสนุกมาก
ต๋าจะติดตามอ่านนะคะอาจารย์

อาจารย์นอนหลับฝันดีคืนนี้ค่ะ

โดย: Sweet_pills วันที่: 19 พฤศจิกายน 2565 เวลา:0:39:01 น.
  

สวัสดียามเช้าครับอาจารย์

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:54:52 น.
  
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

งานชุดนี้ผมเขียนจากประสบการณ์ตอนที่ทำงานอยู่
เขียนไว้ก่อนโควิดหลายปีเลยครับ
แล้วก็ลองเทคนิคการเขียนแบบให้ดูคิดลบแบบสุดๆ
แล้วก็ค่อยมาคิดด้านบวกในแผ่นสุดท้าย
ตอนเขียนก็รู้สึกว่าสนุกดีครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 พฤศจิกายน 2565 เวลา:17:43:11 น.
  
ชอบครูจัง ได้ไปเที่ยวเยอะเลย
โดย: kae+aoe วันที่: 19 พฤศจิกายน 2565 เวลา:18:19:45 น.
  

อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:21:21 น.
  
ตามมาเที่ยวเบตงต่อครับ เป็นโซนนึงของประเทศไทยที่คิดว่าคงไม่ได้ไปเองในเร็วๆ นี้แน่ ไม่รู้เมื่อไหร่สถานการณ์ภาคใต้จะสงบเสียทีนะครับ

เห็นสวนดอกไม้เมืองหนาวในแผนที่แล้วก้แปลกใจนะครับ ภาคใต้เนี่ยนะ?? พออาจารย์บอกว่าอยู่บนที่สูงก็อ๋อเลย

บ่อน้ำร้อน 80 องศานี่แช่ไม่ไหว จะมีบ่อที่ผสมให้น้ำเย็นลงด้วยแล้วใช่ไหมครับ
เฉาก๊วยชากังราวเดี๋ยวนี้หากินตามปั๊มได้แล้ว แต่เฉาก๊วยเบตงนี่คงต้องลงไปกินถึงที่
วัดพุทธาธิวาส ก็สวยงามครับ ไม่ค่อยได้เห็นวัดพุทธใหญ่ๆ ในสามจังหวัดภาคใต้เลย
รังนกถ้าถูกสุดถ้วยละ 250.- ผมก็คงไม่กินเหมือนกัน
พวกร้านฝากทัวร์นี่ถ้าลูกทัวร์ใจแข็งไม่อุดหนุนก็ดีเหมือนกันนะครับ จะได้พัฒนาสินค้าให้น่าซื้อมากกว่าซื้อด้วยความเกรงใจ

ตู้ไปรษณีย์กับหอนาฬิกาน่าถ่ายรูปมากครับ เก่าแก่ตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกเลยทีเดียว มีความเป็นมาจากยุคนั้นด้วย
เสียดายไม่ได้ชมภาพเมนูที่ร้านต้าเหยิน

เพิ่งรู้ว่าสกายวอล์คที่ทะเลหมอกยะลาเป็นสกายวอล์คที่ยาวที่สุดในอาเซียนเลยนะครับ
คนกลัวความสูงคงไม่ได้เห็นวิวงามๆแบบนี้

ส่วนปัตตานีเคยไปครั้งนึงครับ ทั้งศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวและมัสยิดกลาง
ถึงจะเป็นที่เที่ยวสำคัญ แต่กลับไม่ค่อยมีคนเลยครับ คนไม่ค่อยกล้าลงไปสามจังหวัดจริงๆ

ไก่ย่างสงขลาเจ้าไหนอร่อยนะครับ จะตามไปกิน อิอิ
ปกติไปหาดใหญ่มุ่งหาไก่ทอดอย่างเดียว
โดย: ชีริว วันที่: 20 พฤศจิกายน 2565 เวลา:10:42:07 น.
  
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

รอชมห้องพักในทริปนี้ของอาจารย์ครับ
เดาว่าน่าจะสวยมากๆ
และอาหารอร่อยครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 พฤศจิกายน 2565 เวลา:20:01:01 น.
  
สวัสดีค่ะอาจารย์สุวิมล
อ้อแวะมาส่งการบ้านเมนูที่ 2 ค่ะ
โจทย์ เริงฤดีนะ เองด้วย
ต้องพยายามร่วมกิจกรรม..555





โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 20 พฤศจิกายน 2565 เวลา:20:14:37 น.
  

อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 พฤศจิกายน 2565 เวลา:4:39:04 น.
  
ตามครูมาเที่ยวด้วยคนค่ะ
ภาพสวยสวยทั้งนั้นค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 21 พฤศจิกายน 2565 เวลา:10:06:06 น.
  
น่าตามไปเที่ยวครับ
โดย: SertPhoto วันที่: 21 พฤศจิกายน 2565 เวลา:10:35:50 น.
  
สวัสดีค่ะอาจารย์
หนูยังไม่เคยไปเที่ยวที่นี่เลยค่ะ
หนูตุ๊ก
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 21 พฤศจิกายน 2565 เวลา:13:20:30 น.
  
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ทางสายกลาง
สามารถปรับใช้ได้กับทุกๆเรื่องของชีวิตเลยครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 พฤศจิกายน 2565 เวลา:13:46:27 น.
  
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 พฤศจิกายน 2565 เวลา:5:03:49 น.
  
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 ธันวาคม 2566 เวลา:5:24:28 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Suvimol.BlogGang.com

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]

บทความทั้งหมด