ชวนไปเที่ยวจังหวัดเชียงราย ตอนที่ 3
ชวนไปเที่ยวจังหวัดเชียงราย  ตอนที่ 3

 บล็อกนี้มาตอนปิดทริปเชียงราย  ค่ะ  ตอนที่ 2 ฉันเล่าถึงน้องภูษี  มา
เยี่ยมฉันที่โรงแรม อัมรินทร์  รีสอร์ท  วันนี้ ก็จะเป็น
วันที่ 30 พ.ย. เรามีโปรแกรมเที่ยวอีกหลายแห่ง ค่ะ 

       
เช้านี้  โรงแรมนี้ มีอาหารเช้าให้พวกเราด้วย  พวกเราเลยไม่ต้องไปหา
อาหารมื้อเช้ากินกัน  ฉันกับมอมแต่งตัวเสร็จ
ก็ออกไปที่ห้องอาหารซึ่งอยู่ใกล้กับห้องที่พักของเรา เป็นอาหาร
บุฟเฟ่ มีไม่กี่อย่าง ผัดผักกับหมู ไข่ดาว ไส้กรอก
ขนมปังทาแยม  มีข้าวต้มด้วย ฉันชอบกินข้าวต้มมากกว่าเพื่อน มีน้ำส้ม
ให้ด้วย อาหารพอใช้ได้ สมราคา

    พวกเราออกเดินทาง ประมาณ แปดโมงกว่า  ระหว่างทาง ฉันโทรหา
น้องษี  ถามว่า เขาออกจากที่พักกลับเชียงแสนหรือยัง 
ปรากฏว่า  เขาออกจากที่พักในตัวเมืองตั้งแต่ตี  5 ตอนนี้ถึงบ้านแล้ว
  โห!  เยี่ยมจริง  ๆ  รู้ว่า  เธอกลับถึงบ้านที่เชียงแสนแล้ว
ก็สบายใจ หายห่วง ค่ะ 

ที่เที่ยวเช้านี้ของเรา คือ วัดร่องขุ่น  ซึ่งฉันเคยมาแล้ว น่าจะสองครั้ง
ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 3 ได้เดินชมความสวยงาม
ถ่ายรูปนานที่สุด  ค่ะ มาทราบประวัติของวัดร่องขุ่นสักเล็กน้อย  นะค่ะ 

ประวัติวัดร่องขุ่น 
         
  วัดร่องขุ่น  (Wat Rong Khun) อยู่ในท้องที่ตำบลป่าอ้อดอนชัย
อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นวัดบ้านเกิด
ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ วัดร่องขุ่นอยู่ก่อนตัวเมืองเชียงราย
ประมาณ13 กิโลเมตร  ตรงสามแยกไฟแดงทางเข้า
น้ำตกขุนกรณ์ จะเป็นที่ตั้งของวัดร่องขุ่น ซึ่งห่างถนนใหญ่เพียง100
เมตร เท่านั้น
           
 ในปี พ.ศ. 2540 อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินแห่งชาติ ที่มีชื่อ
เสียงของไทยสร้างขึ้นด้วยแรงปณิธานที่มุ่งมั่น
รังสรรค์งานศิลปะที่งดงามแปลกตา  ผสานวัฒนธรรมล้านนาได้อย่าง
กลมกลืน ทั้งลวดลายปูนปั้นประดับกระจก
และจิตรกรรรมฝาผนังขนาดใหญ่  อาจารย์ ได้เห็นว่าวัดร่องขุ่นเดิม  อยู่
ในสภาพทรุดโทรม จึงมีความคิดที่จะสร้างวัดร่องขุ่น
ขึ้นมาใหม่ โดยได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างมาจาก 3 สิ่ง  คือ  เพื่อ
ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์  กล่าวคือ 
ชาติ : ด้วยความรักบ้านเมือง รักงานศิลป์ จึงหวังสร้างงานศิลปะที่
ยิ่งใหญ่ไว้เป็นสมบัติของแผ่นดิน
ศาสนา : ธรรมะได้เปลี่ยนชีวิตของท่าน  จากจิตที่ร้อนกลายเป็นเย็น จึง
ขออุทิศตนให้แก่พระพุทธศาสนา
พระมหากษัตริย์ : จากการเข้าเฝ้าฯ ถวายงานพระองค์ท่านหลายครั้ง
ทำให้ท่าน รักพระองค์ท่านมาก จากการพบเห็น
พระอัจฉริยะภาพทางศิลปะและพระเมตตาของพระองค์ท่านจนบังเกิด
ความตื้นตันและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
จึงปรารถนาที่จะสร้างงานพุทธศิลป์ถวายเป็นงานศิลปะประจำรัชกาล
พระองค์ท่าน  (รัชกาลที่ 9 )
         
 อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมือง
สวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้  จากเดิมมีเนื้อที่3 ไร่
ได้ซื้อที่ดินเพิ่มและมีผู้บริจาค คือคุณวันชัย วิชญชาคร จนปัจจุบัน
มีเนื้อที่ 9 ไร่ และมีพระกิตติพงษ์ กัลยาโณ
รักษาการเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน
         
 ด้านหน้าทางเข้าจะเจอสระน้ำขนาดใหญ่ มีสะพานทางเดินเข้าสู่ตัววัด
หมายถึง การเดินข้ามวัฏสงสารมุ่งสู่พุทธภูมิ 
ครึ่งวงกลมเล็ก หมายถึง โลกมนุษย์วงใหญ่ที่มีเขี้ยวเป็นปากของพญา
มารหรือพระราหู หมายถึง กิเลสในใจแทนขุมนรก
คือทุกข์ ผู้ที่จะเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าใน พุทธภูมิต้องตั้งจิตปลดปล่อย
กิเลสตัณหาของตนเองลงไปในปากพญามาร
 เพื่อเป็นการชำระจิตให้ ผ่องใสก่อนที่จะเดินผ่านขึ้น ไปพบกับพระราหู
อยู่เบื้องซ้าย และพญามัจจุราชอยู่เบื้องขวา
 สระน้ำด้านล่าง หมายถึง สีทันดรมหาสมุทร มีสวรรค์ตั้งอยู่ด้วยกัน 6
ชั้น  ผ่านสวรรค์ 6 เดินลงไปสู่พรหม 16 ชั้น
แทนด้วยดอกบัวทิพย์ 16 ดอก รอบพระอุโบสถ โบสถ์ เนรมิตวัดให้
เหมือนเมืองสวรรค์ เป็นวิมานบนดินที่มนุษย์สามารถ
สัมผัสได้ โบสถ์ เปรียบเหมือนบ้านของพระพุทธเจ้าสีขาว แทนพระบริ
สุทธิคุณของพระพุทธเจ้า กระจกขาว
 หมายถึง พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่เปล่งประกายไปทั่วโลก
มนุษย์และจักรวาล  ความงดงามของอุโบสถสีขาว
ประดับด้วยกระจกสีเงินแวววาว และลวดลายปูนปั้นอันวิจิตร  เป็น
เอกลักษณ์ รวมถึงประดับด้วยภาพจิตรกรรม
ฝาผนังที่งดงามประณีตที่เห็นแล้วต้องตะลึง
         
ความหมายของอุโบสถ
สีขาว : พระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า
สะพาน : การเดินข้ามจากวัฎสงสารสู่พุทธภูมิ
เขี้ยว หรือ ปากพญามาร : กิเลสในใจ
สันของสะพาน : มีอสูรอมกันข้างละ8ตัว 2 ข้างรวมกันแทนอุปกิเลส16
กึ่งกลางของสะพาน : เขาพระสุเมรุดอกบัวทิพย์ : มี 4 ดอกใหญ่ตรงทางขึ้นด้านข้างอุโบสถแทนซุ้มพระอริยเจ้า 4 พระองค์
คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
บันไดทางขึ้น : มี 3 ขั้นแทน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา       
       วัดร่องขุ่น มี หอศิลป์ฯ และ ห้องแสดงภาพ เปิดให้เข้าชม
วันจันทร์-ศุกร์  เวลา : 08.00 – 17.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา : 08.00 – 17.30 น.
       
 วัดร่องขุ่น จึงเป็นหนึ่งในคุณค่าแห่งศิลปะไทยสมัยใหม่ มรดกแห่ง
แผ่นดินซึ่งฝากคุณค่าชีวิตทดแทนคุณแผ่นดิน
เพื่อสร้างสรรค์วัดแห่งนี้ให้กลายเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่ระดับนานาชาติ







ภาพบน เจ้าหน้าที่กำลังตกแต่งรูปปั้นของอาจารย์เฉลิมชัย ค่ะ 























ถ่ายกับรูปของอาจารย์เฉลิมชัย ค่ะ 















 พวกเราอยู่ชมวัดร่องขุ่น ประมาณ ชั่วโมงกว่าน่าจะได้  ฉันซื้อของที่
ระลึก คือ ที่ติดตู้เย็น 3 อัน  อันละ 30 บาท 
 จากนั้น  พวกเราก็เดินทางต่อ  มุ่งไปที่ร้านข้าวซอยที่แดงบอกว่า
อร่อยที่สุดในโลก  ชื่อร้าน เฒ่าแก่เอก
(เดิมชื่อ ร้านวิจิตรา)  กินแล้วก็โอเค นะ อร่อยพอสมควร   สั่งกินกัน
หลายอย่าง  ร้านนี้ มีให้จ่ายคนละครึ่งด้วย
  ถ่ายรูปมาให้ชม ค่ะ 



อาหารที่สั่งมากินกัน ค่ะ อร่อยใช้ได้ 

   
บรรยากาศที่ร้าน เฒ่าแก่เอก ค่ะ 
 
กินเสร็จ  มีสั่งอาหารร้านนี้ เตรียมไว้เป็นอาหารมื้อเย็นด้วย  สั่งคนละ
อย่างตามแต่ชอบ 
 ขับรถกลับมาแถววัดร่องขุ่นเพื่อซื้อพิซ่า ขนมเค้ก  น้ำ เพราะเป็นร้านที่
เข้าโครงการคนละครึ่ง นั่นเอง  แถวนั้น มีร้านเสื้อผ้า
ที่ใช้คนละครึ่งได้ด้วย ฉันเลยได้เสื้อมาอีก 3 ตัว ใช้คนละครึ่ง เป็นเงิน
250 บาท  อิอิ  เป็นเสื้อยึด มีปักคำว่า เชียงราย  ด้วย 
ได้เสบียงพร้อมแล้ว  ก็เดินทางต่อ เพื่อขึ้นดอยช้าง คืนนี้  เราพักที่ดอยช้างเป็นโฮมสเตย์  เรามาถึง ประมาณ บ่ายสอง
  เข้าห้องพักแล้ว  ก็นอนพักผ่อนกัน  นัดกัน สี่โมงเย็นจะขับรถไปเที่ยว
ในดอยช้าง  เมื่อถึงเวลา เอียดขับรถไปตามถนนในหมู่บ้าน
ดอยช้าง  ไปดูความสวยงามที่ดอยช้าง  มีดอกไม้  มีที่ทำการ
การเกษตร เราเดินเล่น  และถ่ายรูปสวย ๆ 
งาม ๆ บริเวณที่พวกเราเดินผ่าน ค่ะ  มาชมรูปพวกเรา ค่ะ 



ที่ดอยช้าง บรรยากาศสดชื่น อากาศเย็น ต้นไม้เขียวขจี งดงาม ค่ะ 



มีตากล้องเขียด ช่วยถ่ายรูปให้ ค่ะ 









ห้องนอนที่ดอยช้าง  ค่ะ 



รอบ ๆ ที่พักที่ดอยช้าง  ค่ะ 

 เราเที่ยวอยู่บริเวณดอยช้าง  น่าจะประมาณ 1 ชั่วโมง  ก็กลับที่พัก 
ประมาณ 5 โมงเย็น  อากาศเริ่มเย็นมาก  เรานำอาหาร
ที่ซื้อมา  นั่งกินกันนอกที่พัก ซึ่งเป็นระเบียงกินเสร็จ  ต่างคนต่างเข้า
ห้องนอน  เพราะอากาศเย็นมากขึ้นทุกที
  ลมก็พัดแรงด้วย  คืนนี้อากาศคงหนาว แน่นอน และก็หนาวมากจริง ๆ 
   


กินข้าวมื้อเย็นที่ซื้อมาจาก ร้านเฒ่าแก่เอก  ค่ะ 

วันที่ 1 ธ.ค. 
   
 กินข้าวมื้อเช้าที่ซื้อมาจาก ร้านเฒ่าแก่เอกซึ่งเหลือจากมื้อเย็น
เมื่อคืน  ค่ะ โดยมอม อุ่นอาหารที่เหลือจากเมื่อคืนนี้ ด้วยน้ำร้อนที่ต้ม
จากกาน้ำชงกาแฟ นำอาหารมาแช่ในอ่างล้างหน้า ค่ะ
มอม เป็นแม่บ้านที่น่ารัก เสมอ ค่ะ 



อาหารมื้อเช้า  ที่ดอยช้าง ค่ะ 

 ลงจากดอย  เราได้ไปเที่ยวและสักการะ ศาลสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช  มีคนไปถวายรูปปั้นไก่มากมาย
  ตั้งแต่ใหญ่ ๆ ตัวกลาง ๆ และ ตัวเล็ก เรียงลำดับการไป เราเข้าไป
กราบสักการะพระองค์  ขอพรจากท่านให้คุ้มครอง
พวกเราอยู่เย็นเป็นสุข  เดินทางโดยสวัสดีภาพ ค่ะ มาชมรูปภาพ ค่ะ 



ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ค่ะ 



กราบขอพร สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ค่ะ 





มีคนมาถวายไก่มากมาย ทั้งตัวใหญ่ ตัวเล็ก หลาย ๆ ขนาด

      จากที่ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้ว  เราก็ไปเที่ยวอีกวัดหนึ่ง
ซึ่งมีความสวยงามมาก  คือ  วัดแสงแก้วโพธิญาณ 
อยู่ที่แม่สรวย เชียงราย  เป็นวัดที่มีต้นไม้มากมาย สิ่งก่อสร้าง ต่าง ๆ
งดงาม ร่มรื่น  มีเสียงประกาศว่า ใครต้องการ
กราบท่านเจ้าอาวาส ให้ไปที่ศาลาตอนนี้ ซึ่งมีคนมากราบท่านอยู่กลุ่ม
ใหญ่  ท่านกำลังคุยกับแขกกลุ่มนี้อยู่ พวกเรา
ก็เข้าไปและกราบสักการะท่าน  แดง ยกกล้องจะถ่ายรูปท่านไว้เป็นที่
ระลึก  ท่านพูดเสียงดุ ๆ ว่า ขออนุญาตหรือยัง
ที่จะถ่ายรูปท่าน  ทุกคนเงียบ ฉันเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก ทำไมต้องดุ
ด้วยหนอ  (ใครจะไปรู้ว่า เวลาถ่ายรูปจะต้องไปขออนุญาต
เพราะว่าเราก็อยู่ไกลจากท่าน  จะไปขออนุญาตก็ยากอยู่  คนถ่ายรูปก็
คงต้องการได้รูปท่านไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น
น่ะนะ  พวกเราก็นั่งฟังเจ้าอาวาสคุยกับแขกของท่านอย่างเงียบ ๆ อยู่
ท้ายสุด  นั่งอยู่ประมาณสักครึ่งชั่วโมงได้
เห็นใกล้เพลแล้ว พวกเราก็กราบท่าน แล้วก็ออกจากที่ศาลานี้  ไป
ชมสวนดอกไม้ และสิ่งก่อสร้างสวย ๆ งาม ๆ
ของวัดนี้ ค่ะ   เรามาทราบประวัติของวัดนี้ สักเล็กน้อยเป็นความรู้ ค่ะ 
     
ประวัติวัดแสงแก้วโพธิญาณ 
      วัดพระธาตุแสงแก้วโพธิญาณ  แปลว่า แสงแก้วโพธิญาณ แปลว่า
ดอกบัวที่ผุดโผล่ขึ้นพ้นน้ำ แล้วมีแสงสว่างเรืองรอง
เหมือนแสงแก้ว  วัดนี้ ตั้งอยู่บนดอย “ม่อนแสงแก้ว” ตั้งอยู่ที่เลขที่
191 ม.11 บ้านป่าตึง ตำบลเจดีย์หลวง อำเภอแม่สรวย
จังหวัดเชียงราย ขนาดพื้นที่ประมาณ 29 ไร่เศษ  ตั้งอยู่บนเนินดอย
ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1.5กิโลเมตร
มีทัศนียภาพที่สวยงามมองลงมาเห็นทั้งตัวอำเภอแม่สรวย และหลาย
ตำบลของอำเภอแม่สรวย มีถนนลาดยางถึง 
     วัดแห่งนี้เกิดขึ้นมาจากนิมิตของ “พระครูบาอริยชาติ อริยจิตโต” ได้
นิมิต ว่า เห็นฝนตกหนัก เดินหลงทาง ก็ได้เห็นป่า
ทั้งป่าบนภูเขา มีดอกบัวบานเต็มไปหมด มีแสงสว่างไสวสวยงาม 
แสงเรืองรองเหมือนแสงแก้วกลายเป็นดอกบัว
อีกนัยหนึ่งคือ โพธิญาณ หมายถึง หยั่งรู้ เหมือนบัวที่ผุดโผล่ขึ้นมาพ้น
น้ำ แล้วเปล่งแสง คล้ายแสงแก้ว
   หลังจากที่ท่าน นำเรื่องนิมิตไปบอกกล่าว กับพ่อหลวงยา ศรีทา และ
เริ่มเดินทางค้นหาสถานที่ตามนิมิต จนได้พบยอดเนิน
บนบ้านป่าตึงงาม จึงได้จุดธูปเทียนพร้อมทั้งกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วน
กุศลและตั้งจิตอธิษฐานว่า “หากสถานที่แห่งนี้
แม้เป็นสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่อันเป็นมังคละคู่บารมีท่านในการ
ที่จะได้จรรโลงพระพุทธศาสนาต่อไป แล้ว
 ขอให้ได้ที่ดินผืนนี้มา”  ผลจากการตั้งจิตอธิษฐานของพระครูอริยชาติ 
อริยจิตโต  เป็นผลสำเร็จ  เจ้าของที่ดินตามนิมิต 
พอทราบเรื่อง จึงได้ถวายที่ดินประมาณ 19 ไร่เศษให้กับท่านครูบา
อริยชาติ อริยจิตโต เพื่อสร้างวัด เป็นศูนย์รวม
จิตใจและทำนุบำรุงพุทธศาสนาสืบไป การก่อสร้างจึงเริ่มมีขึ้นตั้งแต่
วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2549  
ตรงกับเดือนแปดเป็งของล้านนา ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา วันเพ็ญเดือน
หก  โดยท่านครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต
ได้ร่วมกับคณะศรัทธาปรับปรุงพื้นที่ พร้อมระบบสาธารณูปโภค รวมทั้ง
ศิษยานุศิษย์ คณะศรัทธาและผู้ที่นับถือ
ท่านครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต ทราบข่าวการสร้างวัด ได้แสดงความ
จำนงในการร่วมสมทบทุน สร้างวัดเป็นจำนวนมาก
และกลายมา  เป็นพุทธสถานที่เป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจของ
พุทธศาสนิกชนจนถึงปัจจุบันนี้พุทธศิลป์และศิลปะต่างๆ ที่อยู่ภายใน
วัดแสงแก้วโพธิญาณนั้นออกแบบ
สถาปัตยกรรม โดย พระครูบาอริยชาติ อริยจิตโต วัดแสงแก้วโพธิญาณ
ซึ่งผสมผสานระหว่าง โลกธรรม แสดงออกถึง
ความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวพุทธในดินแดนล้านนาอย่างชัดเจน
แล้วยังมีการผสานงานศิลป์ 3 รูปแบบไว้ด้วยกัน
อย่างกลมกลืนคือ ศิลปะล้านนา ศิลปะไต (ไทยใหญ่) และศิลปะพม่า
ซึ่งล้วนมีนัยที่สื่อความหมายในเชิงธรรมะ
และแฝงหลัก "พุทธธรรม" อันลึกซึ้งเอาไว้ แทบทุกองค์ประกอบ
ของวัด  หากเดินเข้ามาถึงภายในวัด
ก็จะสามารถมองเห็นความงดงามของสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่ถูก
ออกแบบโดยพระครูบาอริยชาติ อริยจิตโต
ซึ่งจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นชั้น ๆ และสถาปัตยกรรมภายในวัดนั้นก็จะ
ผสมผสานระหว่างศิลปะล้านนา ศิลปะไทยใหญ่
และศิลปะพม่า แสดงออกถึงความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวพุทธใน
ดินแดนล้านนาอย่างชัดเจน แฝงความหมาย
ในเชิงธรรมะและแฝงหลักพุทธรรมอันลึกซึ้งไว้ในทุกองค์ประกอบ
      ชั้นแรกเมื่อเข้ามาจะเห็นรูปเหมือนแทน
พระพุทธเจ้า 4 พระองค์ คือ พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธ
เจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้า
มีสิงห์คู่ตัวใหญ่ และบันไดนาค เมื่อเดินขึ้นบันไดผ่านซุ้มประตูเข้ามา
ก็จะเป็นชั้นที่สอง เป็นพุทธาวาสเป็นเขตของ
พระพุทธเจ้า เป็นที่ทำสังฆพิธีต่าง ๆ มีอุโบสถ วิหาร หอไตร มีปราสาท
16 หลัง แทนพรหม 16 ชั้น มีศาลา 16 ห้อง แทน 16 ชั้นฟ้า
      ชั้นสองนี้ จะเห็นยักษ์และเทวดาซึ่งเป็นปริศนาธรรมของพระครูบา
อริยชาติ หากสังเกตดี ๆ ที่ยักษ์สองตนด้านขวานั้น
ในมือก็มีทั้งบุหรี่และเหล้า ทำสัญลักษณ์มือบอกรัก ส่วนที่เท้าก็มีทั้ง
รองเท้าแตะและรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์ส
เรียกได้ว่าเป็นปริศนาธรรมที่ผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับวัตถุ
สมัยนิยมในยุคนี้ ซึ่งยักษ์ทั้ง 2 ตนนี้ได้ถูกกล่าวขานถึง
อย่างกว้างขวางจุดสำคัญของบริเวณชั้นสองก็คือ “วิหารหลวงลายคำ”
ที่งดงามเป็นอย่างมาก หากเดินขึ้นมาด้านบนวิหาร
แล้วมองกลับไปด้านหลังก็จะเห็นวิวมุมกว้างของดอยม่อนแสงแก้ว 
ส่วนภายในวิหารประดิษฐาน “พระแสงแก้วโพธิญาณ”
พระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน ทรงเครื่องล้านนา
     ชั้นที่ 3 เป็นชั้นที่ตั้ง กุฏิ ของพระครูบาอริยชาติ และเป็นที่ตั้งขอพร
จากท่านเทพทันใจ แม่นางกวัก แม่กระซิบ
อีกทั้งยังเป็นที่ให้เช่าบูชา วัตถุมงคลต่างๆ ของทางวัด มีศาลา
เอนกประสงค์ไว้สำหรับพักผ่อน กับบรรยากาศที่ร่มรื่น หอฉัน
ห้องน้ำ ก็อยู่ในชั้นนี้ด้วย
       ชั้นที่ 4 เป็นการจำลองเรื่องโลกและจักรวาลด้านหน้าของทาเข้ามี
เทพนพเคราะห์ 9 องค์ แทนด้วยวันทั้ง 9
มีอาทิตย์, จันทร์, อังคาร, พุธ, พฤหัสบดี, ศุกร์, เสาร์, ราหู, เกตุ, 
พระตรีมูรติแทนด้วย โลกทั้งสาม ก่อนเข้าวงเวียนเจอ
ยักษ์หลับและยักษ์ตื่น แทนกลางคืนและกลางวัน อันนี้คือความหมาย
ทางโลก แต่ถ้าเป็นความหมายทางธรรม จะหมายถึง พุธโธ
 คนเราทำอะไรให้มีสติ เช่น เวลาเราเจริญสติ จะมีพุทโธ ถ้ามีพุทอยู่ โธ
ก็หาย ถ้าพุทหาย โธก็อยู่ คือให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลา
ตรงกลางแทนด้วยเขาพระสุเมรุ ข้างบนสุดบนเขาพระสุเมรุประดิษฐาน
พระศรีอริยเมตไตรย หมายถึง ผู้ที่มีบารมีเต็มเปี่ยม
จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เหนือสิ่งอื่นใดในโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ และ
โลกชั้นพรหมถัดจากพระศรีอริยเมตไตรยลงมา
 มีมหาเทพต่างๆ คือ พระพรหม พระนารายณ์ พระศิวะ พระอินทร์ ท้าย
จตุโลกบาลทั้ง 4 เทพประจำทิศ
ทิพยาธรกินนร ยักษา ยักษี ฤาษี และสัตว์ป่าหิมพานต์ รอบๆ เข้า
พระสุเมรุเป็นเทพ 12 ราศี แทนด้วย 12 นักษัตร
รอบนอกเป็นสระน้ำพุแทนด้วย วัฏสงสาร หมายถึง การเวียนว่ายตาย
เกิด คนเราการจะข้ามพ้นวัฏสงสารได้ ต้องข้ามฝั่ง
มหาสมุทรก็คือ ห้วงวัฏสงสาร ถ้าพ้นก็จะถึงฝั่งคือ พระนิพพาน เขา
พระสุเมรุมีน้ำ 3 สาย แทนห้วงน้ำพุทธมนต์แห่งพระรัตนตรัย
ผ่านโลกและจักรวาล ผ่านบารมี 3 ครูบา
       
วัดพระธาตุแสงแก้วโพธิญาณ  นับว่าเป็นวัดที่มีความสวยงามมากวัด
หนึ่งของจังหวัดเชียงราย เป็นวัดราษฎร์
สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย  ค่ะ 
(รวบรวมและเรียบเรียง จาก อินเทอร์เน็ต )





กราบสักการะพระประธานในโบสถ์  ค่ะ 







ต้นไม้นานาพันธุ์ในวัด ค่ะ 









ในสวนของวัด มีน้ำตกจำลอง ทำให้ร่มเย็น มากยิ่งขึ้น จ้ะ 











ตัวมอม สวยงามมาก ค่ะ




       
ออกจากวัดนี้แล้ว เป็นช่วงเลยเที่ยงไปมากพอสมควร  เราแวะร้าน
ขายเลือดหมูระหว่างทางกินกันคนละชาม 
รสชาติก็อร่อยดี  ค่ะ  จากนั้น ไปหาซื้อขนม  เสื้อผ้า จากร้านที่เขา
ร่วมโครงการคนละครึ่ง   แดงอยากจะซื้อ
ข้าวซอยร้านเฒ่าแก่ เอกนำกลับบ้านไปกินอีก  เฮ้อ ! ชอบกินข้าวซอย
มาก จริง ๆ ผ่านไปตามถนน เห็นมีร้านขายของ
ที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง เราก็แวะดูสินค้า  ร้านนี้ เขามีมะม่วงแช่อิ่ม
  มะขามแช่อิ่ม  กล่องละ 60 บาท ฉันชอบกินพวกนี้
อยู่แล้ว เลยจัดการซื้อมะม่วงและมะขามแช่อิ่มอย่างละกล่อง 

  ประมาณบ่ายสองโมง  เราไปรอเพื่อนของมอม ที่ทำงานธนาคารอยู่ที่
เชียงราย  เพื่อนั่งคุยกัน  นัดเจอกันที่ร้าน
คาเฟ่และร้านอาหาร ชื่อ ร้าน ชีวิตธรรมดา  พวกเราสั่งเค้ก สองอย่าง
มีน้ำผลไม้ตามแต่จะสั่งคนละแก้ว และสั่งยำวุ่นเส้น
อีกจานด้วย  รสชาติอาหารอร่อยใช้ได้  เรานั่งรอเป็นชั่วโมง  คุณเมธี 
จึงมาตามนัด มีการแนะนำให้เขารู้จักฉันด้วย 
เป็นคนพูดเก่งสมแล้วเป็นผู้จัดการฝ่ายชายของธนาคาร  อิอิ คุยได้
พักใหญ่ ก็อำลาจากกัน  ไปที่รถของเขาเพื่อเอากล่อง
กระดาษ  แดง จะแพ็คของที่ซื้อโหลดเครื่องบินกลับบ้าน  นั่นเอง 

เราขับรถไปสนามบิน และโทรให้เจ้าของรถเช่ามารับรถที่เราเช่าคืน
เราต้องรอขึ้นเครื่องเป็นชั่วโมง เพราะเรามาถึง
สนามบินเร็ว นั่นเอง    เครื่องบิน บินชั่วโมงเศษ ๆ ก็ถึงดอนเมือง 
เราจ้างแท็กซี่กลับบ้านเหมือนเดิม  โดยไปกันที่บ้านของแดง  มอม ขับ
รถที่จอดไว้ที่บ้านแดง กลับบ้าน  ส่วนฉัน แดงก็ขับรถ
มาส่งฉันที่บ้านเหมือนทุกครั้งที่ไปเที่ยว
  ทริปเชียงราย  3 คืน 4 วัน ก็จบลงไปอีกทริปหนึ่ง  สนุกสนาน มีความ
สุข และขอขอบใจ ลูกศิษย์แดง ศิษย์เขย และมอม
ด้วยที่คอยให้ความช่วยเหลือ ห่วงใย ตลอดทริป
ขอให้ทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ๆ  และมีโอกาสได้เที่ยวด้วยกันอีก นะ  สวัสดี ค่ะ 



    



Create Date : 13 เมษายน 2565
Last Update : 5 กันยายน 2565 11:00:48 น.
Counter : 270 Pageviews.

1 comments
5 วัน 4 คืน สิงคโปร์ สีสันแห่งมหานครสิงโตพ่นน้ำ (ตอนที่ 1: Marina Bay + Clarke Quay) เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
(20 เม.ย. 2567 14:37:09 น.)
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ Wat Phrasri Rattana Mahathat, Phitsanulok. nanakawaii
(21 เม.ย. 2567 07:36:08 น.)
ตลาดเช้า, สถานีรถไฟพินอูลวิน สายหมอกและก้อนเมฆ
(18 เม.ย. 2567 17:06:42 น.)
봄 처녀(Virgin spring) by 홍난파(NanPa Hong) ปรศุราม
(17 เม.ย. 2567 10:09:12 น.)

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณกะว่าก๋า

  
ผมเคยไปวัดร่องขุ่นตั้งแต่ยังไม่ถูกบูรณะ
เป็นวัดเล็กๆ ต่อมาถูกพัฒนาจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับประเทศไปเลย
เป็นวัดที่ถ่ายรูปสนุกมากเลยครับ

แต่วัดพระธาตุแสงแก้วโพธิญาณได้แต่ขับผ่าน
ไม่เคยได้แวะเข้าไปครับ


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กันยายน 2565 เวลา:18:43:48 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Suvimol.BlogGang.com

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]

บทความทั้งหมด