ที่เที่ยว:ภูเก็ต…เมืองเก่าเล่าเรื่อง… สวัสดีครับ กลับมาวันสุดท้ายของทริบอันดามันแล้ว ทริบล่องทะเลใต้หนนี้จะไม่สมบูณ์อย่างที่เราตั้งใจไว้ได้เลยถ้าขาดเกาะสุดท้ายอย่าง เกาะภูเก็ต ผมเองมีโอกาสมาภูเก็ตหลายๆครั้ง ทุกๆครั้งต้องพักหาดใดหาดนึงเสมอ หนนี้หลังเที่ยวทะเลอันดามันจนช่ำใจแล้ว เราอยากเที่ยวชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่สไตล ์ชิโน-โปรตุกีส แสนเท่และหาดูหาชมได้ยากมากที่จะมีให้ได้เพลิดเพลินเท่าที่นี้ มาครับมา...มาเดินเที่ยวชมยลเมืองเก่าแสนงามแห่งนี้กันดีกว่า ชมภาพตึกเก่าและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองทั้งหมดใส่ gallery ไว้แล้วชมได้ตามอัธยาศัยครับ //blog.one22.com/pics/longtrips/andaman_sea/gallery_phuket_town ตอนที่แล้วเราพาเที่ยวจนถึงหมู่เกาะสุรินทร์ดินแดนแห่งปะการังใต้ท้องทะเลไปแล้ว
หลังรับรถเช่าที่สนามบินและขับเข้ามาพักกันในเมืองภูเก็ตเช้าวันรุ่งขึ้น เราจึงเริ่มต้นท่องเที่ยวกันตามแผนที่วางไว้ เราเริ่มต้นการสำรวจเมืองเก๋ๆกันที่หน้าโรงแรมเก่าแก่ที่สุดของเมืองภูเก็ต โรงแรม ออน ออน โรงแรมสไตล์ชิโน-โปรตุกีสตั้งอยู่ที่ถนนพังงาเปิดกันมารุ่นปู่ย่าตายายกันเลย ปี 2472 ที่นี้ถือเป็นขวัญใจของเหล่าแบ็กแพ็คเกอร์ทั้งหลายที่แวะเวียนมาพักกันตลอดเวลา คนไทยเห็นที่ counter บอกว่าก็มีแต่ไม่มากเท่านักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากโรงแรมสไตล์เท่ๆแห่งนี้แล้ว ยังมีร้านที่นักท่องเที่ยวและคนภูเก็ตรู้จักกันดี ร้าน kopi de phuket ร้านกาแฟเก๋สุดๆอยู่หน้าโรงแรมออนออนพอดี ผมแวะลองชิมชาดูก็อร่อยเข้มข้นไม่เลวทีเดียวได้เครื่องดื่มเย็นๆชื่นใจก็เริ่มต้นได้แล้ว ทริบเที่ยวรอบเมืองนี้เราใช้ทั้งรถขับเที่ยวและเดิน ถนนที่นี่เหมาะกับการเดินมากครับ ยิ่งในย่านถนนหลักๆแล้วเดินเอา มันกว่าเยอะเลยได้สัมผัสบรรยากาศตึกสวยๆหามุมถ่ายรูปได้เรื่อยๆ เดินออกมาปั้บเรามุ่งหน้าเลยผ่านไปยังหนึ่งใน Landmark สำคัญของ City Tour หนนี้ "อาคารพรหมเทพ" หรือจะเรียก "ศูนย์ข่าวพรหมเทพ" ก็ได้ จุดเด่นก็อยู่ตรงหอนาฬิกาด้านบนที่มีหลังคาทรงหมวกตำรวจในสมัยก่อน ที่นี้เคยเป็นสถานีตำรวจมาก่อนจึงยังหลงเหลือเค้าลางกลิ่นอายที่มาของมันอยู่
ผมเริ่มต้นเข้าโดยมุ่งหน้าไปย่านถนนดีบุกก่อน ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยตึกสไตล์ชิโน-โปรตุกีส สีสันตามตึกล้วนดึงสายตาให้เราเหลียวกลับไปมองได้ทั้งนั้น "อั่วม้อหลาว" เป็นชื่อเรียกคฤหาส์นแบบฝรั่งโบราณผมถ่ายรูปนี้ไว้ โดยมาทราบภายหลังว่าเป็นของตระกูลตัณฑเวทย์ คฤหาส์นหลังนี้สังเกตุให้ดียังคงสถาปัตยกรรมงามๆให้ได้ชมอยู่แม้จะไม่อนุญาติให้เข้าไปได้ก็ตาม ผมเดินต่อมาจนถึงสามแยกถนนดีบุก ที่แยกนี้มีร้านอาหารน่าลิ้มลองอยู่ 2 ร้านเป็นร้านดั่งเดิมทั้ง 2 ร้าน เริ่มกันที่ร้านขึ้นชื่อ อย่าง "หมี่แป๊ะเถว" ร้านบะหมี่ที่ได้รับการการันตีจากหลายๆสำนักมาแล้วผมเข้ามาตอนสายๆคนจึงน้อยมาก เช้าๆแบบนี้ยังไม่ได้ทานอะไรต้องของลองชิมซักหน่อยแล้ว ได้โอกาสผมเลยสอบถามพี่ๆน้าๆป้าๆในร้านถึงที่มาของร้าน แกหยิบรูปภาพเก่าแก่ให้ผมดูด้วยพร้อมเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฟัง และ หยิบเมนูอาหารมาให้ซึ่งมีเรื่องราวของแป๊ะเถวให้ผมได้ทราบทุกๆคนลองอ่านดูเองได้เลยครับตามภาพ ผมจึงสั่งตามคำแนะนำของพี่ๆในร้านเมนูดั่งเดิมมาลองดูครับ น่าทานไหมครับ มีทั้งเย็นตาโฟแห้งแป๊ะเถว ... ชิมดูรสชาติผสมผสานกันทั้งรสหวานอมเปรี้ยวของซอลจากสูตรของร้านเข้ากันดีกับของทอดแบบต่างๆที่ใส่เข้ามาอร่อยครับ ลูกชิ้นปลาลวกจิ้มและน้ำจิ้มรสแซ่บ สดและสะอาดดีทีเดียว กุ้งทอดปิดท้าย อาหารอร่อยดีทีเดียวครับใครมาในเมืองอยากทานก๋วยเตี๋ยวอร่ิอยๆ ร้านแป๊ะเถว คือหนึ่งในนั้นที่ควรมาแวะทานกันดูครับ อิ่มกันดีแล้วยังเหลืออีกร้านที่น่าแวะเช่นกัน เห็นร้านนี้คนภูเก็ตเข้ามาทานอาหารกันพอควรจนดึงเราเข้าไปชิมดูกับ "ขนมจีนป้ามัย" ขนมจีนสารพัดน้ำยาที่มีให้ลูกค้าเลือกชิมกันได้เนื่องจากอิ่มกันมาสุดๆขอสั่งทานชิมด้วยกัน อร่อยครับผักสดมากมายมีเติมให้ไม่ขาด วางให้ลูกค้ากินแกล้มกับขนมจีน อิ่มคูณสองขนาดนี้ขอเดินย่อยกันต่อดีกว่าครับ ผมเดินเลี้ยวซ้ายจากแยกดีบุกมาจนถึงสามแยกถนนสตูล มองไปเจอป้ายภัตรคารที่พึ่งเปิดหมาดๆ(ณวันทีเราเดินทางคือ 01/03/10) เราจึงขอเดินเข้าไปชมกันครับ ที่นี้คือ "อั่วม้อหลาว" อีกแห่งของภูเก็ต เป็นคฤหาสน์พระพิทักษ์ชินประชา ที่ปรับเปลี่ยนมาเป็น ภัตตาคาร Blue Elephant และโรงเรียนสอนทำอาหาร ผมเดินสำรวจรอบๆทางเจ้าหน้าที่อนุญาติให้ถ่ายภาพได้วันที่ไปเพิ่งเปิดและยังปรับปรุงส่วนด้านหน้ากันอยู่ คฤหาสน์หลังงามแห่งนี้ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นที่นิยมของคนภูเก็ตและนักท่องเที่ยวได้ไม่ยากเพราะภายนอกดูงดงามดีทีเดียว เดินออกมาจากร้านอาหารผมเดินเลี้ยวกลับไปที่สามแยกและตรงเข้าสู่ถนนสตูล ย่านนี้นับเป็นอีกย่านที่ไม่ควรพลาดเพราะตึกสวยๆแปลกตามีให้ชมตลอดสองฝั่ง ภาพตึกเก่าๆบางทีผมมองว่ามันก็สวยแบบของมันครับ อย่างภาพนี้ถ่ายตอนคุณยายแกเดินระหว่างตรอกของตึกย่านนี้ เดินเลยเข้ามาได้กลางถนนสายนี้ผมก็เจอ "พิพิธภันฑ์ภูเก็ตไทยหัว" พิพิธภันฑ์หลังงามสง่าแห่งนี้อยู่คู่เมืองภูเก็ตมากว่า 75 กว่าปีแล้ว เดินกันต่อครับสองข้างทางทีนี้มีเสน่ห์ให้เก็บภาพได้ตลอดการเดิน ผมยังเก็บภาพไปได้เรื่อยๆก่อนจะเดินยาวไปจนสุดถนนเข้าสู่ถนนเส้นงามอีกเส้นเดินต่อจนมาทะลุที่ถนนเยาวราช และข้ามฝั่งมาเข้าสู่ถนนถลางถนนสายฮิพอีกแห่งที่รวมร้านเก๋ๆไว้เพียบใครอยากเดินชิวๆเส้นนี้ใช่เลยครับ เจอร้านเก๋ๆร้านแรกที่เราจะเริ่มสำรวจกัน ร้าน Larp-yai นี่ผมสะกดตามป้ายหน้าร้านนะครับถ้าผิดพลาดต้องขออภัยด้วย ข้างในตกแต่งเก๋ดีทีเดียวเอาพวกของเล่นโบราณมาตกแต่งไว้เดินดูเพลินดีครับ ด้านหน้าร้านมีเก้า้อี้แนวๆ น่านั่งวางไว้รอบๆ เราเดินกันต่อครับหนทางยังอีกไกลการเดินสำรวจเส้นทางเมือเก่าเรื่องเล่าย่อมมากมาย และที่นี้ยังมีอะไรให้ชมกันอีกมาก ภายในตกแต่งไว้สวยงามดีทีเดียว สีแดงบ่งบอกความเป็นจีนตามชื่อแต่ของตกแต่งผสมผสานกันทั้งจีน-ยุโรบ-ไทยดูน่าสนใจมากๆเลยทีเดียว ด้านหลังจะเป็นร้านอาหารและทางร้านไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพเพราะอาจจะเป็นการรบกวนแขก อันนี้ยิ่งดีครับเป็นความพิถีพิถันของทางร้านในการบริการดี ออกมาเดินชมเมืองกันต่อเดินมาเรื่อยๆ ผมเจอโรงแรมแห่งแรกของย่านนี้ที่เดินเจอครับ เดินต่อมาจนเจออีกร้านนึง "43@talang" เหมือนจะยังไม่เปิดดีสำหรับตอนนี้ เดาว่าน่าจะเปิดในยามค่ำมากกว่า ผมเดินผ่านร้านมาเรื่อยจนเจอร้าน Sin&Lee เมื่อสมัยอดีตหลายๆสิบปีก่อน เป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของเมืองก็ว่าได้ ทุกวันนี้ดูไม่ต่างจากร้านขายของชำทั่วไปแต่ถ้าลองหลับตานึกย้อนไปซัก 20-30 ปี ก่อนคุณอาจจะเห็นห้างขึ้นมาได้ครับ เลยได้ไอติมมากินแก้ร้อนซะ2แท่ง เดินดูดไอติมแก้ร้อนมาไม่ทันหมดดีก็เจอร้านฮิพๆอีกร้านที่ไม่แวะก็กระไรอยู่ "ร้านหนังสือ" ร้านน่านั่งที่นักท่องเที่ยวมักจะแวะมาถ่ายภาพแวะชมไม่ขาด เราเลยแวะตามประสานักท่องเที่ยวที่ดี บรรยากาศภายในตกแต่ง retro สุดๆทั้งเกา้อี้มานั่งหนังสือรวมถึงขอตกแต่งกระจุกกระจิกรวมๆดูแล้วได้บรรยากาศดีจริงๆ ผมนั่งพักแก้ร้อนเห็นเค้กน่าทานเลยสั่งมาชิมกันหน่อยครับ ช็อคเค้กน่าทานชิมแล้วโอเคมากๆเลยทีเดียว ไม่หวานเกินจนเลี่ยน อร่อยมากครับ ชิมจนพุงแทบปริกันดีทั้งคู่ ก็พากันเดินให้มันย่อยกันต่อ มาจนถึงถนนสายสำคัญอีกสายเป็นซอยรมณีย์ ถนนสายฮิตและฮิพสุดๆแล้วในเมืองนี้ ด้านหน้าซอยฝั่งทางเข้าถนนถลางจะมีหลัก กม.โตๆ ใหญ่สุดๆวางอยู่หน้าซอย เดี๋ยวนี้จะให้รู้ว่าแถวไหนฮิตไม่ฮิตเค้าดูกันตรงหลัก กม.แบบนี้ล่ะครับแม้ว่าจริงๆแล้วมันไม่น่าจะมีอยู่ก็ตาม เข้าซอยมานิดนึงก็เข้าใจว่าทำไหมซอยนี้เค้าฮิตกันจัง ในนี้มีทั้งร้านอาหาร และโรงแรมแนวๆอยู่ทั้ง 2ฝั่งถนนสีสันของบ้านทุกหลังก็ไม่ธรรมดา จี๊ดจ๊าดเรียกคนให้เข้ามาชมได้อย่างดี ผมเดินต่อเข้าไปจนเจอร้านแรกที่หยุดแวะถ่ายภาพ ร้าน "Glastnost" ในเวลากลางวันแบบนี้ ที่นี้อาจจะดูหงอยๆบ้างแม้จะมีนักท่องเที่ยวอย่างเราๆแวะมาขอถ่ายรูป หรือสั่งเครื่องดื่มแก้ร้อนเพื่อขอถ่ายภาพบ้างก็ตาม แต่เมื่อยามเย็นย่ำค่ำมืดในวัีนอาทิตย์มาถึง ที่นี้คือแหล่งรวมนักดนตรีแจ๊สและบูลที่นิยมมาร่ายมนต์ให้คนรักชอบในเสียงดนตรียามค่ำได้มานั่งฟังกันอุ่นหนาฝาคั่งเลยทีเดียว เสียดายที่ผมมีเวลาเพียงชั่วอาทิตย์ตกและัวันนั้นไม่ใช่วันอาทิตย์ซะด้วยจึงพลาดที่จะขอเสนาะรับฟังกันดูบ้าง *มุมนี้ขอร้านผมชอบเป็นพิเศษครับ เดินออกมาจนถึงฝั่งตรงข้ามผมเจอมุมสวยๆของร้านที่ชวนให้ถ่ายภาพกันอีกหน่อย ร้านละแวกนี้พยายามแบ่งตัวเองให้เห็นกันชัดๆ ด้วยสีสันของแต่ล่ะร้านอย่างร้านนี้สีสุดจี๊ดจริงๆ ผมเดินลึกเข้าไปต่อด้านในอีกนิดเงยมองขึ้นไปด้านบน ธงไตรรงค์ของเราครับ ขากลับผมวกกลับมาที่เดินเข้ามาผ่านโรงแรมดูดีอีกแห่งนึง ตกแต่งแนวๆอีกเช่นกัน retro ทั้งย่านจริงๆ ขากลับเดินเร็วครับเพราะชมมาตลอดเส้นแล้วไม่นานก็ถึงปากซอยอีกครั้งและเราเดินย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อกลับไปที่รถที่จอดไว้ เดินไปเดินมาเริ่มบ่ายคล้อยแ้ล้ว เราเลยตกลงกันข้ามมาอีกฟากของเมืองกันบ้างมาแถวๆ หอนาฬิกากลางเมืองดูบ้าง ทีนี้มีร้านเก่าร้านแก่น่าแวะทานอยู่ "ร้านหมี่ต้นโพธิ์" ร้านหมี่เก่าแก่อีกแห่งของภูเก็ต มาครั้งสุดท้ายก็แวะทานหนนี้ก็ขอสั่งหมี่ฮกเกี้ยน น่าอร่อยมาทานอีกรอบ หน้าตาก็ประมาณนี้เลย น่ากินไหมล่ะ ผมทานคำแรกรสชาติดูไม่คุ้นเท่าไหร่ เหมือนจะอร่อยน้อยลงกว่าครั้งก่อน จนทานหมดก็ว่าอร่อยดีครับต้องให้มาลองพิสูจน์ด้วยตัวเองดูครับ และสุดท้ายเราจบด้วยชาดำเย็นรสกลมกล่อมพอได้อยู่ และราคาสำหรับพศนี้ครับ ใครมาชิมเลือกเมนูไำด้ตามนี้เลย ข้อดีของร้านอีกอย่างถ้าใครแวะมาคือจะมีศาลเจ้าอยู่ข้างๆครับเข้าไปสักการะกันได้ตามศัทธาเช่นกัน ตั้งแต่เช้าเรายังไม่ได้ลองขนมเด่นขนมดังที่มีให้ทานแค่ภูเก็ตเท่านั้นก็ว่าได้อย่าง "โอ๊เอ๋ว" ขับรถไปยังถนนเยาวราช มองหาซอยสุ่นอุทิศไว้ ชิมทุกอย่างที่อยากมาลองจนหมด ก็ได้เวลาชมรอบนอกเมืองกันแล้ว ผมขับรถมุ่งลงใต้หาทางไปไปยังหาดกะตะไปตามทางหลวงหมายเลข 4233 และจุดชมวิวอันเป็นเป้าหมายของแทบทุกคนจะต้องไม่พลาดชมคือ "แหลมพรหมเทพ" ขับรถจากจุดชมวิวสามอ่าวไปไม่ไกลผ่านหาดในหานแค่อึดใจ ผมแนะนำให้เผื่อเวลามากันด้วย ความงามติดระดับโลกของแหลมพรหมเทพคงไม่ต้องบอกกัน ทุกๆวันจึงมีนักท่องเที่ยวมาแวะชมพระอาิทิตย์ตกที่นี่หนาแน่น แม้จะเสียดายไม่เห็นพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าอย่างที่หวังก็ยังประทับใจครับ นับเป็นการจบวันที่ "พอดี" กับความงามยามอาทิตย์อัศดงค์ได้อย่างดี ขากลับผมอยากได้ภาพสวยๆของชายหาดไว้บ้างก่อนกลับจึงแวะหาดในหาน และได้ภาพๆหาดงามที่มีเรือยอร์ชจอดเทียบท่าอยู่ดูสวยแปลกตากว่าหาดอื่นๆ ยามท้องฟ้าเข้มๆไล่ดวงอาทิตย์หายลับขอบฟ้าไปแล้ว ร่มที่หุบลงบ่งบอกการจบวันบนชายหาดแสนงาม อันเป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของภูเก็ต ภาพสุดท้ายก่อนลาชายหาดงามๆอย่าง หาดในหาน มีโอกาสจะกลับมาใหม่ครับ ก่อนขึ้นเครื่องกลับในเที่ยวบินดึกๆของเรา ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อยที่จะแวะทานอาหารมื้อค่ำสุดท้ายของทริบนี้
มุมโรแมนติกงามๆในคืนพระจันทร์เต็มดวง เหมาะมากๆสำหรับหนุ่มสาวหรือคู่รักที่โหยหาร้านบรรยากาศดีๆแบบนี้ บรรยากาศรอบๆยิ่งงามไม่แพ้กัน พระจันทร์เป็นใจจริงๆครับ วิวสวยๆที่อยากชวนให้มาชมกัน มองรอบๆดูทุกคนดู happy กันทั้งนั้น ไม่ช้าอาหารโต๊ะผมก็ยกมาเราทานอย่างเอร็ดอร่อย ขอบอกว่ารสชาติที่จัดจ้านใช้ได้เลย ไม่ใช่แค่เด่นเฉพาะอาหารอย่างเดียวเท่านั้นครับ รับรองไม่ผิดหวัง เป็นอันจบทริบอันดามันฉันรักเธออย่างอิ่มเอมใจใจเรามากทั้งคู่ จากนี้ก็บึ่งรถขับยาวกลับตรงไปสนามบินกันเลยครับ มีข้อเตือนสำหรับรถเช่าทั้งหลายนะครับ ถ้าคุณๆต้องคืนรถกันที่สนามบินอย่าลืมแวะเติมน้ำมันก่อนถึงสนามบินะครับเพราะปั้มสุดท้ายเป็นปั้มปตท นั้นอยู่ห่างจากสนามบิน ถึง เกือบ 20 กิโลเมตร ถ้าพลาดปั้มนั้นมาคุณอาจจะต้องจ่ายเงินให้กับทางเจ้าหน้าที่เป็นค่าน้ำมันเพิ่มเติม โปรดระวังอย่าลืมเป็นอันขาด เพราะเราโดนมาแล้ว หลายร้อยอยู่ทีเดียวครับ จากนี้เราก็ขึ้นเครื่องกลับกันแล้วครับเครื่องออกตอน 4 ทุ่มกว่าและยังเป็น airasia กับศูนย์บาทสุดท้ายที่จองข้ามปีมาก็หมดลงตรงทริบนี้นั้นเอง ทริบหน้าผมจะเปลี่ยนบรรยากาศเป็นรีวิวที่พักกันบ้าง ยังไงโปรดติดตามไม่นานเหมือนหนนี้ครับ ขอจบท้ายด้วยภาพงามๆของวิวหน้าร้านอาหารแสนประทับใจของเราอีกแห่งครับ ทักทายตอนบ่ายๆ จ้า อิอิ ^__^
โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว
![]() รูปสวยมากครับ
ชอบเนื้อหา ขอบคุณครับ โดย: กิฟท์ (Giuliano) IP: 202.28.21.6 วันที่: 24 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:26:20 น.
วันเดียว เที่ยวคุ้มจริงๆ ค่ะ
เมื่อยไหมเนี่ย !!! โดย: bettygirl
![]() "อั่วม้อหลาว" (คฤหาส์นแบบฝรั่ง)
ควรเป็น "อั่งม้อหลาว" อาจจะพิมพ์ผิด? เพราะ ว-ง อยู่ติดกัน โดย: เหนียว-อวี่ IP: 202.90.6.36 วันที่: 24 พฤษภาคม 2553 เวลา:16:36:24 น.
จอง 0 บาท ของหางแดงได้เหมือนกัน แต่ไปปีหน้า จึงเข้ามาเก็บข้อมูล เจ๋งดีค่ะ เล่าเรื่องได้เยี่ยม ภาพก็สวยสดใสดีค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
โดย: นุช IP: 58.9.89.28 วันที่: 24 พฤษภาคม 2553 เวลา:19:11:02 น.
ขอบคุณคุณ เหนียว-อวี่ พิมพ์ผิดจริงๆด้วยขออนุญาติไปแก้ก่อนนะครับ
โดย: 1twenty2
![]() อ่านแล้วน้ำลายไหลยืดเลย ทั้งรูปและคำบรรยายเหลือรับประทานจริงๆ ต้องยกนิ้วให้เลย ตีตั๋ว Airasia 0 บาท ไว้ ปีหน้าได้ไปตามรอยแน่ ไม่รู้จะเก็บ Blog.นี้ไว้ได้ยังไง ไม่ถูกลบ ช่วยแนะนำด้วยครับ จะขอบคุณมาก
โดย: auditor39 IP: 58.11.73.118 วันที่: 24 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:46:27 น.
ชอบมากค่า เห็นแล้วยิ่งอยากไปภูเก็ตมาขึ้นอีก
ขอบคุณนะค่ะ โดย: joy2city IP: 61.90.42.139 วันที่: 24 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:03:39 น.
ตอบคุณ auditor39 นะครับ ก็กดเข้า friend's blog ไว้ก็ได้ครับ หรือจะbook mark เรื่องที่อยากเก็บไว้ใน browser ก็ได้อีกเช่นกันครับ ดีใจที่ชอบนะครับหวังว่าจะมีประโยชน์กับหลายๆคนครับ
โดย: 1twenty2
![]() ถ่ายภาพได้เก่งจัง ดูแล้วนึกถึงสมัยเราไปฝึกงาน...น่าแปลกที่ตอนนั้น สนใจเที่ยวแต่ทะเล เคยเดินผ่านแถว ชิโน-โปรตุกีส เหมือนกันแต่ไม่รู้สึกสะดุดเท่าเห็นภาพตอนนี้ สวยจริงๆๆ ค่ะ
โดย: Pink dolphin IP: 172.23.6.5, 58.10.146.236 วันที่: 25 พฤษภาคม 2553 เวลา:13:18:18 น.
สวยจริง ๆ เลยค่ะ ชอบภาพยามค่ำคืนของริมทะเล..
ประทับใจจริง ๆ .. โดย: poongie
![]() |
บทความทั้งหมด
|