บันไดกี่ขั้นสู่ความมั่งคั่งทางการเงิน – ขั้นแรก เก็บเงิน10%ทุกเดือน(1)
ตอนแรกตั้งใจว่าเขียนเป็นเรื่องเดียว แต่คิดไปคิดมา ในแต่ละหัวข้อก็มีเรื่องราวให้เขียนเยอะแยะไปหมด แล้วถ้าเขียนๆไปเกิดมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจแทรกเข้ามาอีกล่ะ เลยสรุปว่าเป็น “บันไดกี่ขั้น” ก็ไม่รู้ เลยเอาชื่อประหลาดๆมันแบบนี้แหละ อันที่จริงหลักการก็ไม่แตกต่างจากการแนะนำทางการเงินฉบับมาตรฐานเท่าไหร่นัก แต่ผมพยายามที่จะใส่ข้อเท็จจริงที่ที่เกิดขึ้นที่ผมได้พบเจอเข้าไปด้วย และในบางกรณีผมจะใส่ไอเดียของผมเข้าไปว่าในส่วนไหนบ้างที่ผมไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำทางการเงินฉบับมาตรฐาน ซึ่งในการอ่านทุกๆเรื่องโปรดพิจารณาว่านี่คือ “ข้อคิดเห็น” ทางการเงินของผมนะครับ

สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะเห็นหลายคนรอบตัว หรือในกระทู้ที่เกี่ยวกับการเงินต่างๆมีคนถามกันมากว่า จะเริ่มต้นออมเงินและลงทุนอย่างไรดี ปกติก็ตอบกันตามแต่จะถามมา ผมเลยมาคิดว่า เออถ้าเราเขียนบทความเป็นลำดับๆไปว่าน่าจะทำแบบนั้นแบบนี้ 1-2-3 มันน่าจะง่ายขึ้นสำหรับคนที่ไม่เคยศึกษาด้านนี้มาก่อน ผมเองจะพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายที่สุด เพื่อให้คนที่อาจจะกลัวเรื่องการเงิน แต่อย่างน้อยยังมีความพยายามจะได้เข้าใจได้ครับ

สำหรับบันได้ขั้นแรกนี้ คือ การเก็บเงินให้ได้อย่างน้อยๆ 10%ทุกเดือน นี่คืออย่างน้อยนะครับ ใครที่ทำได้มากกว่านี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับคนส่วนใหญ่การเก็บเงินเพียงแค่10%ยังเป็นเรื่องที่ยาก หากให้ก่อหนี้เดือนละ10%ของรายได้อันนั้นจะสบายกว่า (ฮา)

การนำรายได้มาลงทุนทุกเดือนถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเซียนเหยียบเมฆทางการลงทุนก็สามารถทำให้เรามีเงินล้านได้ครับเพราะว่าหากเราเริ่มต้นลงทุนหลังจากจบการศึกษาเมื่ออายุ 22 ปี แล้วเก็บเงินเดือนละ 1 บาททุกเดือนลงทุนไปเรื่อยๆจนกระทั่งเกษียณตอนอายุ 60 ปี หากเรานำไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนต่อปี 5%ทบต้น เราจะมีเงิน 1,327.52 บาท แต่หากว่าเราลงทุนได้ผลตอบแทนทบต้น 7%ต่อปีเราจะมีเงิน 2,149.25บาท และหากเราลงทุนได้ผลตอบแทนทบต้น 10%ต่อปีเราจะมีเงินทั้งสิ้น 4,605.15บาทตอนเกษียณ นั่นหมายความว่าหากเราเก็บออมเงินเพียงแค่เดือนละ 1,000 บาทตั้งแต่เดือนแรกที่เข้าทำงานเราจะมีเงิน (1,000*4,605.15) = 4,605,150 บาทเลยทีเดียว นี่ขนาดเก็บเงินแบบเท่าๆกันนะครับ ลองคิดดูว่าหากเราเก็บเงินเพิ่มตอนที่มีรายรับเพิ่มขึ้น เราจะมีเงินเท่าไหร่ แหม่คิดแล้วหนาวเลย แล้วถ้าเรามีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000บาทแล้วเก็บ10%ของรายได้ เราจะมีเงินในวันทำงานวันสุดท้ายเกือบๆ 7 ล้านบาทแน่ะ!!!

ก่อนที่จะไปถึงว่าจะเก็บไว้ที่ไหน เรามาเริ่มกันที่ว่าจะเก็บอย่างไรก่อนดีกว่า โดยส่วนตัวแล้วผมแนะนำให้ “หักออก” จากรายได้ที่เข้ามาในทันทีไม่ว่ารายได้นั้นจะมาจากทางไหนก็ตาม เงินเดือน คอมมิชชัน โบนัส ดอกเบี้ย เงินปันผล พอเงินถึงมือหรือเข้าบัญชีปุ๊บ หักออกไปไว้ในที่เฉพาะปั๊บเลย ส่วนใครที่ถ้าหากว่ายังไม่สามารถหักเงินเก็บได้ การจะฝันถึงความมั่งคั่งหรืออิสรภาพทางการเงินก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝันไปสักนิดนึงนะครับ หากว่าไม่ได้ทำธุรกิจหรือลงทุนอยู่แล้ว(แต่ปกติคนที่ทำธุรกิจและลงทุนก็เป็นคนที่เก็บเงินมาก่อนแล้ว) หรือเป็นคนที่ได้รับมรดกตกทอด(อันนี้รู้อยู่แก่ใจกันดีว่ามีหรือไม่มี แต่คนส่วนใหญ่จะไม่มี – ฮา)

ทีนี้จะมีบางคนบอกว่าทำไม่ได้หรอก เพราะว่าภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนสูงมาก (ทีภาระรายรับละน้อยนิดเดียว - ฮา) ผมจะลองอธิบายปรากฏการณ์ที่ว่าภาระค่าใช้จ่ายสูงนี่มันสูงจริงหรือเปล่า หรือเป็นปรากฏการณ์ “จมไม่ลง” คือคนส่วนใหญ่เท่าที่ผมได้รู้จักหรือได้ยินมักจะมีวิถีการครองชีพที่ผมเองยังสงสัยว่า “ทำไปได้อย่างไร” แล้วเราลองมาดูกันว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเก็บเงินไม่ได้หรือเปล่า ในที่นี้ผมขอยกตัวอย่างหากว่าเรามีเงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000บาท ทำไมเราถึงเก็บเงินไม่ได้เลย (คนที่เงินเดือนน้อยกว่านี้ ปกติค่าครองชีพก็จะน้อยกว่าตามไปด้วย ดังนั้นอย่าให้เงินเดือนที่น้อยมาเป็นข้อแก้ต่างเรื่องการเก็บเงินไม่ได้เลยนะครับ)

ลดรายจ่ายวิธีแรก หอพักหรือวิมาน

หลายคนที่ต้องทำงานต่างจังหวัด คือเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายจำเป็นและมากที่สุดสำหรับหลายๆคน คือ ค่าเช่าหอ โดยปกติแล้วเราควรระมัดระวังไม่ให้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยมากกว่า 30%ของรายได้รวม(ใครกำหนดวะเนี่ย) สำหรับผมจำนวนนี้มันมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่เชื่อไหมครับ ว่าหลายคนพักหอพักที่มีค่าเช่า 4,500-5,500 บาทต่อเดือนโดยไม่รวมค่าน้ำค่าไฟ!!! แม่เจ้านั่นหมายถึง (6,000/15,000)*100= 40%ต่อเดือน หรือหมายความว่าเราจ่ายเฉพาะค่าที่อยู่ 6,000*12=72,000 บาทต่อปี 0_o!!!

ส่วนใหญ่จะบอกว่ามันใกล้ที่ทำงานบ้างล่ะ ซื้อความสะดวกสบายบ้างล่ะ คำถามคือ มันเหมาะสมแล้วหรือไม่ หลายคนนอกจากเช่าหอแล้วยังมีเรื่องของค่าเดินทางอีก หอต้องกินอยู่สะดวก ใกล้รถไฟฟ้า(แพงขึ้นไปอีก) เวลาผมเห็นหอพวกเค้าแล้วยังคิดเลยว่านี่เช่าอยู่หรือซื้อขาดเนี่ย อุปกรณ์ในห้องต้องครบชุดเลย ทีวี ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ ไม่รู้หมดไปอีกเท่าไหร่

ถ้าใครจะบอกว่าอ้าวนี่มัน เมืองกรุงเทพ เมืองฟ้าอมรนะ ราคามันก็ประมาณนี้แหละ พี่น้องครับผมทำงานอยู่บนถนนสาธร และผมเองก็เช่าหออยู่ไกลจากที่ทำงานประมาณขี่จักรยาน 10 นาที(รู้หมดเลยว่าผมไปทำงานยังไง) คิดดูว่าหอกลางเมืองแบบนี้ผมมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ 10,000ต่อเดือนรึ 7,000 หรือ 5,000บาท เดือนล่าสุดที่ผมจ่ายค่าหอรวมค่าน้ำค่าไฟคือ 3,425 บาทถ้วนครับ นั่นแหละไม่ผิดหรอกค่าเช่าหอกลางเมืองที่ว่ากันว่าแพงมหาโหดนั่นแหละ จริงๆแล้วที่พักราคาถูกนั้นมีอยู่ทุกที่ครับ แถวลาดพร้าวใกล้ๆรถไฟฟ้าราคา2,000บาทยังมีเลย ทีนี้ต้องมาดูกันแล้วว่า ”เราเช่าหอเพื่ออยู่ หรือเพื่อบอกฐานะ”

หลายคนต้องอยู่หอที่มีอุปกรณ์ครบ มีเคเบิลทีวี(ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้ดูหรอก) มีอินเตอร์เน็ท(เอาไว้โหลดบิท – ฮา) คือยอมจ่ายเงินโดยไม่ยอมคิดว่าจริงๆแล้วมันจำเป็นไหมกับความต้องการของชีวิต และมันเหมาะสมไหมกับรายได้ที่มี หอผมเองมีแค่เตียงนอนกับตู้เสื้อผ้าเท่านั้น เพราะปกติผมใช้ชีวิตกับคอมพิวเตอร์และหนังสือ ดังนั้นสิ่งนอกเหนือจากนี้ที่จะทำให้ผมต้องจ่ายมากขึ้น ผมจะเอามาทำไม

จำไว้นะครับ ทุกๆ500บาทที่ลดลงได้ในแต่ละเดือน นั่นหมายถึงเงินเก็บที่มากขึ้น6,000บาทในแต่ละปีครับ

ลดรายจ่ายที่สอง น้ำมันขึ้นราคา พาเอาปวดตับ

ผมเองก็ปวดตับครับเวลาที่มีคนมาบ่นเรื่องเงินเดือนไม่พอใช้ แล้วพอซักไปซักมา อ้าวขับรถมาทำงาน “ซะงั้น” จริงๆการขับรถก็ไม่ผิดหรอกครับถ้าเรารู้จักการประเมินและวางแผนอย่างเหมาะสม แต่ว่าการที่มีเงินเดือน 15,000บาทแล้วต้องมาจ่ายค่าน้ำมันเดือนละ 3,000-4,000บาทต่อเดือนนี่ผมว่ามันยังไงๆอยู่นะ เพราะเรากำลังใช้จ่ายเงินไป 36,000-48,000บาทต่อปีเลยทีเดียว ซื้อทองใส่ได้2-3บาทเลยนะนั่น

บางคนบอกว่า ทำยังไงได้ก็ที่พักมันไกลจากที่ทำงานนี่นา ขับรถไปทำงานสะดวกกว่าเป็นไหนๆ ผมเองก็งงนะ ตอนบอกว่าแพงมันบอกว่าสะดวกกว่า แต่พอพูดเรื่องรถติดมันดันบ่นขับรถเหนื่อย สรุปว่ามันดีหรือไม่ดีแน่เนี่ย ผมงง บ้างก็ว่าแถวบ้านไม่มีรถประจำทางผ่าน แม่เจ้า นี่ผมอยู่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรหรืออยู่หมู่บ้านเล็กๆแถวตะเข็บชายแดนกันเนี่ย มีตรอก ซอก ซอยไหนที่ไม่มีรถไฟฟ้า รถเมล์ สองแถว แมงกะไซผ่านเลยจริงๆหรอ แล้วเพื่อแก้ปัญหานั้น คือการซื้อรถหรือนี่ ทำไมตอนผมอยู่บ้านผมเลือกขี่จักรยานมาขึ้นรถเมล์หว่า

แล้วคนที่ขับรถมาทำงาน เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้มีแค่ค่าน้ำมันอย่างเดียวแน่นอน ไหนจะค่าซ่อมบำรุง ค่าประกัน ภาษี บางออฟฟิศมีค่าจอดรถอีกด้วย บางคนจ่ายเองไม่ไหวก็เป็นภาระที่บ้านให้ช่วยด้วยในบางส่วน(ทั้งหมดสำหรับบางคน) อันที่จริงการใช้รถก็เป็นเรื่องที่ถูกที่ควรครับ หากนำมาใช้เพราะเหตุผลที่ถูกที่ควร แต่ที่เห็นใช้กันส่วนใหญ่เพราะเท่ห์ เพราะจะได้ไปเที่ยวต่อได้ เพราะจะได้กลับบ้านดึกได้ เพราะจะเอาไปส่งแฟน แล้วก็มาบ่นว่า ไม่มีเงินเก็บ

เอาละเพิ่งผ่านไปสองหัวข้อเอง ลองเทียบกับตัวเองดูสิครับว่าแค่สองข้อนี้เราใช้เงินไปทั้งหมดเป็นกี่เปอร์เซ็นของรายได้เราแล้ว และเราจะลดลงได้บ้างหรือเปล่า เพราะว่าค่าใช้จ่ายที่ลดลงทุกๆ1บาท ก็คือเงินเก็บที่เพิ่มขึ้น 1 บาทนั่นเอง



Create Date : 02 สิงหาคม 2553
Last Update : 2 สิงหาคม 2553 0:48:01 น.
Counter : 3312 Pageviews.

1 comments
  
สวัสดีปีใหม่ครับ
โดย: nuyect วันที่: 27 ธันวาคม 2553 เวลา:14:42:50 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Longkiddoo.BlogGang.com

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]

บทความทั้งหมด