ตายกลางอากาศชดใช้กรรม
ตายกลางอากาศชดใช้กรรม
ยามรุ่งอรุณนกกาก็ส่งเสียงร้องตอบรับกันเพื่อออกไปหากิน ส่วนผู้คนต่างก็เตรียมตัวเพื่อจะออกไปทำมาหากินเช่นเดียวกัน บ้างก็ตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพื่อจะเตรียมอาหารไปใส่บาตรพระ ที่อยู่ยังวิหารต่างๆใกล้บ้านมีภิกษุกลุ่มหนึ่งซึ่งทราบว่าพระพุทธเจ้า มาประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร จึงได้เดินทางมาเพื่อจะไปเฝ้า พระภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ได้เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ในขณะนั้นอาหารบางส่วนยังปรุงไม่เสร็จ ชาวบ้านจึงได้นิมนต์พระภิกษุทั้งหลายเข้าไปนั่งที่โรงฉันอาหาร จากนั้นได้นำข้าวยาคู(ทำจากน้ำนมข้าวอ่อน นำมาบีบเอาเพียงน้ำนมข้าวแล้วกรองให้สะอาดนำมาตั้งไฟเพื่อให้สุก และเติมน้ำตาลลงนิดหน่อย) มาถวาย พร้อมทั้งของขบฉันอีกเล็กน้อย ในเวลานั้น หญิงสาวคนหนึ่งกำลังปรุงอาหารอย่างขะมักเขม้น อยู่ในบ้านของตน เธอกำลังหุงข้าว ทำแกงและอาหารอื่นๆอยู่หน้าเตาไฟที่มีเปลวไฟพวยพุ่ง ทันใดนั้นเปลวไฟก็ได้พุ่งไปติดที่ชายคา และไปติดเสวียนหญ้า (หญ้าแห้งหรือฟางข้าวแห้ง ที่นำมามัดรวมกันเป็นวงกลม เพื่อใช้เป็นฐาน วางหม้อข้าวที่ทำจากดินเผา ไม่ให้หม้อข้าวหกแตก) อันหนึ่งที่อยู่ตรงชายคานั้น เสวียนหญ้าจึงปลิวขึ้นจากชายคาลอยขึ้นไปสู่อากาศ ขณะนั้นเองอีกาตัวหนึ่งบินผ่านมาพอดีกับที่เสวียนหญ้ากำลังไหม้อยู่ จังหวะนั้นเองเสวียนหญ้าก็สอดเข้าไปที่คอของอีกาทันที อีกาพยายามดิ้นรนสะบัดตัวออกจากเสวียนหญ้า ด้วยความร้อนสุดประมาณ แต่ก็หาพ้นไม่ มันส่งเสียงร้อง “กา..กา..กา..กา..า..า..าาาาา” ตลอดเวลาด้วยความเจ็บปวด ในที่สุดเกลียวหญ้าอันเพลิงลุกไหม้ท่วมอยู่นั้นก็พันคออีกาจนมันสิ้นใจตาย และตกลงมาที่กลางลานบ้าน
ฝ่ายพระภิกษุที่นั่งรออยู่ในโรงฉัน เห็นเหตุการณ์ดังนั้น จึงคิดว่า “โอ... นี่คงเป็นกรรมหนักของกา มีพระศาสดาผู้เดียวเท่านั้นที่จะรู้กรรม ที่กานี้ทำแล้ว พวกเราจักทูลถามพระศาสดาถึงกรรมของกานั้น” หลังจากที่ชาวบ้านได้ถวายภัตตาหารแก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว พระภิกษุเหล่านั้นได้พิจารณาอาหารและฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้อนุโมทนา ก่อนที่จะออกเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ เชตวันมหาวิหาร เมื่อพระภิกษุทั้งหลายไปถึงที่เชตวันมหาวิหารได้ทำประทักษิณ ๓ รอบแล้ว เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเมื่อนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าถึง เรื่องเหตุการณ์ตอนเช้าที่โรงอาหารของชาวบ้าน ว่ากาตัวหนึ่งถูกเสวียนพันคอตกลงมาตาย พระพุทธองค์ได้บอกภิกษุทั้งหลายว่า กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วโดยแท้ จากนั้นจึงทรงเล่าถึงบุพกรรมหรือกรรมครั้งเก่าก่อนของกาว่า ในอดีตกาล มีชาวนาผู้หนึ่งได้ฝึกโคเพื่อใช้ไถนา แต่เจ้าโคตัวนั้นไม่สามารถฝึกได้ ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก อยู่มาวันหนึ่งขณะที่เขากำลังฝึกโคเหมือนเช่นเดิม เจ้าโคตัวนี้ยอมเดินไปได้ไม่กี่ก้าว มันก็ล้มตัวลงนอน ไม่ยอมเดิน เขาจึงเฆี่ยนตีเพื่อให้มันลุกเดินต่อไป เจ้าโคลุกขึ้นมาเดินไปได้อีกหน่อย ก็ล้มตัวลงนอนเหมือนเดิมแม้ว่าชาวนาผู้นั้นจะเฆี่ยนตีสักเท่าไร โคตัวนั้นก็ไม่ยอมลุกขึ้นอีกเลย มันยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น
ชาวนารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก จึงได้พูดขึ้นว่า “เอาล่ะ... ถ้าเจ้าต้องการนอนจะอยู่อย่างนี้ก็ได้ เราจะให้เจ้านอนอย่างสบายอยู่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้จนตลอดไป!!” เมื่อชาวนาพูดจบ จึงนำฟางข้าวและหญ้าแห้งมาพันรอบคอของโคตัวนั้น เสร็จแล้วก็จุดไฟที่ฟางข้าว ไฟลุกโชนแดงฉาน คลอกเจ้าโคตายอยู่ตรงนั้นเอง!! ด้วยกรรมอันนี้ชาวนาผู้นั้นได้ตกนรกหมกไหม้อยู่สิ้นกาลนาน และเพราะกรรมเป็นวิบากนั้น เขาได้เกิดเป็นกาถึง ๗ ครั้ง และถูกไฟไหม้อยู่ในอากาศทุกครั้ง พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า คนทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศก็ตาม ไม่พึงพ้นจากความชั่ว หนีไปแล้วในมหาสมุทรก็ตามไม่พึงพ้นจากความชั่ว หนีเข้าไปซอกแห่งภูเขา ก็ไม่พึงพ้นจากความชั่ว..”คนเราทุกวันนี้มักจะมองไม่เห็นกรรมชั่วที่ตัวเองก่อไว้ รวมทั้งยังพยายามปกปิดกรรมชั่วที่ตัวทำไว้อีกด้วย กระนั้นก็ดีแม้ว่าจะมีผู้ใดเห็นหรือไม่ก็ตาม แต่เขาผู้กระทำนั้นย่อมรู้อยู่แก่ใจ และก็ไม่สามารถที่จะหนีกรรมชั่วที่ตัวทำได้เลย เพราะไม่ช้าก็เร็ว กรรมเหล่านั้นต้องส่งผลอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะหนีไปอยู่แห่งหนตำบลใด กรรมเหล่านั้นก็จะติดตามไปทุกหนทุกแห่ง ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ข้างต้นนั่นแล ทางที่ดีเมื่อชาตินี้โชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ควร ประกอบแต่กุศลกรรม คือกรรมอันดีงามไว้มากๆทั้งเรื่องทาน ศีล ภาวนา หมั่นสร้างหมั่นรักษา อย่าให้ขาด เพราะกรรมดีนั้นย่อมจะส่งผลดีแก่ผู้กระทำ น้อมนำไปสู่ชีวิตที่ดีงามเสมอ
อ้างอิง : กฏแห่งกรรมในพระไตรปิฎก โดย...พระมหา ดร. ณรงค์ศักดิ์ ฐิติยาโณ วัดใหม่ยายแป้น
ขอบคุณบทความ คุณปรียาพร :สมาชิกใน icEiCy CoMMuNiTy
|
---|
Icyiceberg.BlogGang.com
lcelcy
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [ ?]
|
|