Sonamarg ดินแดนแห่งเทพนิยาย ![]() 7 กค. 2552. 5.30 น. วันนี้เราออกเดินทางกันแต่เช้ามืด ด้วยเหตุผลของคนขับรถว่า ถ้าสายเราจะเจอกับขบวนคอนวอยของทหาร ซึ่งที่นี่จะแย่กว่าที่เราเจอมา เพราะรถทหารที่นี่จะไม่จอดแอบให้เราแซงไปก่อนเหมือนที่ลาดัก และอีกเหตุผลหนึ่งคือเผื่อเวลาให้ผมหลงหน่อย (อ้าว ไหง๋งั้นละ) เพราะผมยังไม่เคยเข้าศรีนาการ์ เมื่อก่อนทางศรีนาการ์จะไม่อนุญาตให้รถจากเขตอื่นวิ่งเข้าไปส่งนักท่องเที่ยวในเมืองด้วยเหตุว่ากลัวจะไปแย่งงานคนในศรีนาการ์ จะต้องให้รถจากศรีนาการ์ตีรถมารับนักท่องเที่ยวที่การ์กิล แต่คราวนี้ปลาลดความยุ่งยากโดยการยอมจ่ายค่าธรรมเนียมให้รถจากลาดักข้ามเขตไปส่งเราจนถึงศรีนาการ์เลย ทุกคนพร้อมกันที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารเช้าวันนี้ค่อยเรียกน้ำย่อยหน่อย เพราะมีออมเลทหน้าตาน่ากิน มีขนมปังปิ้งที่ค่อนข้างนุ่มกับแยม มีคอนเฟลกให้ใส่นมกิน พร้อมด้วยชา กาแฟหอมๆ ใช้เวลาไม่นานในการกำจัดอาหารตรงหน้าก็ออกเดินทาง จุดหมายแรกของวันนี้ก่อนเข้าถึงเมืองศรีนาการ์ (Srinagar) เราจะแวะเที่ยวที่โซนามาร์ค (Sonamarg) เมืองที่ได้ชื่อว่า ประตูสู่ลาดัก (Gateway to Ladakh) ทางออกจากการ์กิลถนนค่อนข้างแคบ และช่วงที่เราออกมานั้นเจอกับเหล่ารถบรรทุกที่วิ่งเข้าและออกเกือบตลอดเวลา รถจึงทำเวลาไม่ได้เลย ต้องคอยจอดหลบหลีกกัน จนมาถึงจุด Check Point ที่มีทั้งรถนักท่องเที่ยว และรถบรรทุกจอดเพื่อทำเรื่องผ่านทาง ![]() รถบรรทุกจอดรอที่จุด Check point ออกจากจุด Check point ก็เข้าสู่ถนนสายใหญ่ที่ยังคงวิ่งลัดเลาะไปตามไหล่เขา ถนนดีบ้างไม่ดีบ้างเป็นบางช่วง แต่ถนนเส้นนี้สวยมาก เพราะมีต้นไม้เมืองหนาวขึ้นเต็มไปหมดทั้งไม้ดอกไม้ใบ มีต้นสนที่ยอดสูงเสียดฟ้า มองไปแล้วนึกว่าอยู่แถบยุโรป มีลำธารน้ำที่เรียบไปกับถนน น้ำเป็นสีฟ้าเทอควอยซ์อ่อนๆ ใสจนน่าลงไปเล่น แต่คงเย็นจับใจเพราะเป็นน้ำที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็ง ใครที่จะไปผ่านเส้นทางสายนี้ขอแนะนำว่า ห้ามหลับเด็ดขาด เพราะความงามของทิวทัศน์สองข้างทางนั้นเปลี่ยนไปทุกๆวินาที ห้ามพลาดช๊อตหนึ่งช๊อตใดทีเดียวนะคะ ![]() ![]() เมือง Drass ตอนสายๆ แดดแรงมาก ประมาณ 8.30 น. รถของพวกเราถึงเมือง Drass เมืองที่หนาวเป็นอันดับสองของโลก คนขับรถของเราแวะกินข้าวเช้ากันบ้าง พวกเราก็เลยเดินเตร็ดเตร่ถ่ายรูปกันอยู่แถวนั้น ใช้เวลาไม่นานนักคนขับรถก็พร้อมออกเดินทางต่อ ![]() ไม่เคยเห็นแพะ แกะ กันรึไงไม่รู้ ![]() แม่ลูกอิงแอบไออุ่น ตอนนี้สองข้างทางเปลี่ยนเป็นภูเขาหิน ที่มีหญ้าสั้นๆเตียนๆขึ้นเรียบตามเชิงเขายังกับมีใครมาตัดไว้ สงสัยจังว่าทำไมหญ้าแถวนี้มันถึงไม่ยาวๆรกๆเหมือนบ้านเรา เริ่มเห็นกระโจมของคนเลี้ยงแแพะ อยู่เป็นช่วงๆ มีฝูงแกะ ฝูงแพะเล็มหญ้าอยู่ไม่ไกลจากกระโจมเท่าไหร่ เราเจอกระโจมหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆริมถนน แล้วอีกฝั่งของถนนก็ปล่อยแกะ และแพะกินหญ้าอยู่ พวกเราจึงจอดรถลงไปถ่ายรูปกัน เขาคงสงสัยเหมือนกันเนอะว่าคนพวกนี้ไม่รู้จักแกะกับแพะรึไงถ่ายรูปกันอยู่ได้ ![]() ![]() ถนนนี้เป็นของข้า ![]() เราคือเจ้าของถนนสายนี้ รถวิ่งไปได้อีกสักพักขบวนรถของเราก็จอด ตอนแรกคิดว่าใครจะแวะเด็ดดอกไม้ซะอีก แต่พอลงจากรถได้เราก็แทบจะกรี๊ด เพราะวิวตรงหน้าสวยมากๆ ยังกับสวิสเซอร์แลนด์ที่เคยเห็นในหนังสือหรือปฏิทิน ปลาบอกว่าตรงนี้เป็นที่ของนุ้ย นุ้ยเป็นผู้ค้นพบที่สวยๆตรงนี้ ต้องยกนิ้วให้สายตาอันแหลมคมของนุ้ยจริงๆ พวกเราเริงร่าถ่ายรูปกันอยู่ตรงนี้นานพอดู บางคนก็แอบไปเด็ดดอกไม้ หลังจากที่เราถ่ายรูปจนพอใจและเห็นว่าเตรียมจะเคลื่อนขบวนกันแล้วก็เลยวิ่งไปเด็ดดอกไม้บ้าง แล้วก็อยากจะร้องกรี๊ดอีกรอบ เพราะพอเดินเข้าไปใกล้ๆตีนเขา ตรงนั้นมีต้นหญ้าที่มีดอกเล็กๆน่ารักๆเต็มไปหมด ทั้งสีเหลือง สีม่วง สีชมพู สงสัยดอกไม้จะหนีจากหุบเขานูบรามาขึ้นอยู่ตรงนี้แทน อิอิ เสียดายที่จะออกเดินทางต่อกันแล้ว ไม่งั้นเราคงใช้เวลาถ่ายรูปดอกไม้พวกนี้อีกนานเลย ![]() ถนนเส้นนี้ถ่ายรูปยากมาก รถโขยกเขยกตลอด ยื่นกล้องออกไปก็ไม่ได้ พยายามกดอยู่หลายภาพ อยากให้เห็นสีของน้ำ ![]() ทิวทัศน์แถบนี้สวยแปลกตามาก ![]() จุด check point จุดสุดท้ายก่อนเข้าโซนามาร์ค มีคุณพ่อบ้านคนเดียวที่เดินไปถ่ายได้ทัน เส้นทางจากนี้จนถึงโซนามาร์ค ยังคงสวยงามแบบไม่ควรคลาดสายตา ราวๆ 11 โมง พวกเราก็เดินทางมาถึงโซนามาร์ค (Sonamarg) ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาชิน (Sindh) เป็นจุดที่มีน้ำตกที่เกิดจากการละลายของธารน้ำแข็ง (Garcier) เราตกลงกันว่าจะขี่ม้าเข้าไปเที่ยวก่อนจึงค่อยออกมากินมื้อกลางวันกัน การขี่ม้ามี 2 ช่วงอยู่ที่เราจะตกลงกับคนเลี้ยงม้าและราคาก็ต่างกัน คือจะไปถึงที่น้ำตกหรือว่าจะขึ้นไปถึงจุดที่ดูธารน้ำแข็ง แต่ปลาบอกว่าขึ้นไปแล้วมักไม่ค่อยได้เห็นธารน้ำแข็งอากาศร้อนละลายหมด และพวกเราก็ยังไม่เคยขี่ม้ายังไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่า จึงตกลงไปถึงแค่น้ำตกก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที ![]() ![]() ![]() ![]() แล้วความสนุกวุ่นวายก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงวี๊ดว๊าดมีแค่พอเบาะๆหอมปากหอมคอ ม้าเริ่มออกเดินข้ามฝั่งถนนเลาะไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย คงเป็นเส้นทางที่มันเดินทุกวันจนเกิดเป็นเทาง แรกๆพวกเรายังไม่คุ้นเคยกับมันนัก ยังมีความกลัวกันอยู่มากเกาะกันแน่นไม่กล้าปล่อยมือจากอานม้าเลย เพราะทางที่เดินก็ขึ้นๆลงๆไปตามเนินเขาเตี้ยๆ เป็นหลุมเป็นบ่อ บางช่วงก็เข้าไปเดินบนถนนราดยางที่เป็นทางรถยนต์ ถึงตอนนี้เราถึงรู้ว่ารถมันเข้าถึงได้นี่นา แต่เอาเถอะถ้านั่งรถมามันก็ไม่สนุกไม่ได้บรรยากาศสิ ม้าเดินเรื่อยๆเข้าไปในหุบเขา วิวข้างหน้าค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้สายตาทีละนิดๆ เหมือนวิวที่เราเคยเห็นในหนังเทพนิยายยังไงยังงั้น มีฝูงแกะที่กระจัดกระจายเล็มหญ้าอยู่ อีกด้านก็มีม้า 2-3 ตัวเล็มหญ้าอยู่ พอถึงตรงพื้นเรียบๆก็กล้าปล่อยมือออกข้างเดียว ถึงได้มีโอกาสถ่ายรูปแบบไม่ต้องเล็ง ทีนี้รู้แล้วว่าการขี่ม้าเข้ามาต่างจากนั่งรถเข้ามายังไง ![]() ![]() ![]() ![]() เด็กคนนี้รู้ตัวว่าตกเป็นดารา เลยโพสท่าให้ถ่ายรูป ม้าไปหยุดตรงจุดที่เป็นธารน้ำตกให้พวกเราลง ทีนี้ก็แยกย้ายกันถ่ายรูปไป ทริปนี้สงสัยจะถูกกับเด็ก เจอเด็กนักเรียนที่มาทัศนศึกษากันอีกแล้ว พวกเราไปถ่ายรูปกันตรงไหนเด็กๆก็จะเฮโลตามพวกเราไปชนิดที่เรียกว่าเกาะขอบจอ คือพวกเขาจะเข้ามาอยู่ในเฟรมของพวกเราตลอด จนตอนหลังเริ่มต้องเสียมารยาทเชิญให้พวกเขาออกนอกเฟรมกันบ้าง ใช้เวลาพอสมควรแก่เวลาก็เดินทางกลับ และไปกินมื้อกลางวันกันที่ห้องอาหารในโซนามาร์ค เป็นอาหารกล่องอีกเช่นเคย แต่ปลาสั่งอาหารจากร้านมาเพิ่ม มีไก่ผัดคล้ายๆเปรี้ยวหวานบ้านเรา และมีผักชุบแป้งทอดแบบแขกๆของหมอต่วน อิ่มอร่อยอีกแล้วมื้อนี้ จากนั้นก็เคลื่อนขบวนกันต่อ ![]() สาวๆเก็บขี้แพะอยู่บนเขา ระหว่างนั่งรอในรถตรงจุด Check point ก่อนเข้าศรีนาการ์ ดีที่ติดซูมไว้พอดี ![]() มากันเป็นกลุ่ม ![]() เจอจิ๊กโก๋คุมถนนด้วย รถเข้าถึงศรีนาการ์ประมาณ 4.30 น. แต่กว่าคนขับรถจะหาท่าเรือชิคาร่าที่เราต้องลงเจอ ก็พาพวกเราวนซะรอบทะเลสาบดาล (Dal Lake) ที่ท่าเรือ มิสเตอร์ดีน คุณพ่อบ้านของ Boat House ที่เราจะพักมายืนรอรับอยู่แล้ว วุ่นวายขนกระเป๋าลงจากรถ ลงเรือกันสักพักพวกเราก็พร้อมลงเรือชิคาร่ากัน จากท่าเรือเราได้พบวิถีีชีวิตของแขกแท้ๆคือวุ่นวายจอแจ แต่เมื่อเรือพายพาลัดเลาะลึกเข้าสู่ทะเลสาบดาลความสงบก็เข้ามาแทนที่ เราถึงบ้านเรือขณะที่แดดยามเย็นในศรีนาการ์เริ่มอ่อนแสงลงเล็กน้อย น้ำในทะเลสาบกระทบแสงแดดเป็นสีทองสวยงาม ถึงบ้านเรือ ปลาจัดสรรแบ่งห้องนอนโดยมีคู่เราและคู่ต่ายนอนในเรือลำเล็ก ส่วนคนอื่นๆนอนที่เรือใหญ่ จากนั้นก็แยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย แต่ได้ไม่นานก็กลับมารวมตัวกันอีกที่ห้องนั่งเล่นในบ้านเรือลำใหญ่ (Crystal Palace) พูดคุย กินขนม ถ่ายรูป จนได้เวลาอาหารค่ำ อาหารเย็นมื้อนี้เพียงแค่เห็นทุกๆคนก็ร้องอู้ฮู้กันแล้ว มีข้าวผัดใส่แครอทที่ส่งกลิ่นหอม แกงแพะที่คล้ายๆแกงมัสมั่นบ้านเรา เนื้อนุ่มๆไม่มีกลิ่นเหม็นสาบเลย แล้วก็ผักต้มที่มีแค่กระหล่ำปลีและแครอทหน้าตาก็ดูจืดๆแต่หอมหวานอร่อยมาก ![]() แสงสุดท้ายของวัน หน้าบ้านเรือ หลังอาหารรายการช็อปปิ้งเริ่มขึ้น พ่อค้าขายผ้า Pasmina มานั่งรอพวกเราอยู่เป็นชั่วโมงแล้ว ก็เริ่มรายการแนะนำสินค้าของเขาโดยมีพวกเราล้อมวงอยู่ตามเก้าอี้ คอยดูคอยฟังอันไหนหน้าสนใจก็เข้าไปจับๆดู แล้วทัพหน้าของเราคือน้อยก็ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน การต่อราคาอย่างเมามันส์ก็เริ่มขึ้น แรกๆยังคงต้องใช้ล่ามอยู่ ต่อไปๆก็ต่อเองโดยไม่ต้องผ่านล่ามแล้ว กว่าจะจบการช็อปปิ้งคืนนั้นก็เล่นเอาดึก หัวเราะกันจนเหนื่อย สุดท้ายน้อย และปลา ได้ผ้า Sunday Monday มาคนละโหล ส่วนเราได้มา 3 ผืน คนอื่นๆนั้นยังขอดูลาดเลาไปก่อน เพราะว่ายังค้างที่บ้านเรือนี้อีกหลายคืน คืนนี้นอนหลับไปพร้อมกับศัพท์คำใหม่จากพ่อค้าผ้า ที่วนเวียนอยู่ในสมอง "...กุรุ กุรุ กุรุ" ติดตามตอนอื่นๆ Leh ดินแดนแห่งขุนเขา และ...วัด - ทัวร์ไหว้พระ 9 วัด ...I Leh ดินแดนแห่งขุนเขา และ...วัด - ทัวร์ไหว้พระ 9 วัด ...II Pangong Tso ทะเลสาบพันกอง - พันกอง...จริงๆนะ Nubra Valley หุบเขาแห่งดอกไม้ ...ไม่ยักกะเห็นดอกไม้ Bye...Nubra Valley...แล้วจะกลับมาตามหาดอกไม้ Kargil ระยะทางสั้นๆแต่ช่างยาวนาน จากทะเลสาบดาล (Dal Lake)..สู่..กุลมาร์ค (Gulmarg) Pahalgam กำเนิดนางเอกหนังแขกดวงใหม่ บอกลาศรีนาการ์ ..ชม นครแห่งรัก - จบการเดินทาง พี่ตุ๊กจ๋า มาให้อิดสาอีกแล้วววววว
โดย: Tiny IP: 124.121.141.142 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:06:23 น.
วิวสวยดีจริงๆเลยนะครับ บรรยากาศคงจะสดชื่นดีอ่ะ
![]() โดย: sak (psak28
![]() อ่านมาถึงวันนี้ เริ่มไม่อยากให้จบแล้วสิ
นี่ก็เกินครึ่งของการเดินทางแล้วใช่ไหมคะ เสียดายจัง โดย: ปู& อุ้ย IP: 125.27.0.121 วันที่: 21 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:39:00 น.
|
บทความทั้งหมด
|