Bye...Nubra Valley...แล้วจะกลับมาตามหาดอกไม้ ![]() 5 กค. 2552 7.30 น. พร้อมกันเพื่อทานอาหารเช้า อาหารเช้าวันนี้ค่อนข้างถูกปากอีกแล้ว เพราะปลาให้พ่อเลิฟต้มข้าวต้ม ปลามีเครื่องกระป๋องพวกผักกาดดอง หอยลาย หมูหยอง แล้วก็มีหมูฝอยที่เราติดไป เจ้าแบงค์แสดงฝีมือทอดไข่เจียวอีกครั้ง มื้อนี้เลยอิ่มอร่อยกันอีกมื้อ ![]() ทิวทัศน์แถว Sand Dunes ![]() ทิวทัศน์แถว Sand Dunes ![]() ทิวทัศน์แถว Sand Dunes เสร็จแล้วพวกเราก็มุ่งหน้าไปที่ Sand Dunes เพื่อดูอูฐหลัง 2 หนอก (Bactrian camels) ที่หลงเหลือมาจากสมัยที่ขบวนคาราวานยังผ่านไปมาในเส้นทางสาย Trans-Karakoram อันเก่าแก่ พวกเราไปถึงที่แต่ยังไม่เห็นมีอูฐสักตัว รออยู่พักหนึ่งก็ยังไม่มีทั้งอูฐทั้งคน ปลาบอกว่ายังไม่ถึงเวลา หันไปดูป้าย อ้อ อูฐจะเริ่มทำงานตอน 9 โมงเช้า เราไปถึง 8.30 ยังไม่ถึงเวลาทำงานของอูฐ ![]() เวลาทำงานของอูฐ ![]() ผมมารอทำหน้าที่แล้วคร๊าบ ![]() หนูยังเด็กอยู่ เอ็นดูหนูเต๊อะ ![]() คาราวานอูฐเริ่มออกเดินทาง ![]() ให้บรรยากาศเหมือนกองคาราวานจริงๆแฮะ แต่ไม่นานเราก็เห็นอูฐเดินฝ่าแดดเช้ามาแต่ไกล คนขับรถของเรานี่ทำหน้าที่ดีสุดยอด เดินไปตามอูฐให้มาทำงาน ตอนนี้อูฐเดินขบวนมากันเป็นฝูง ใครอยากขี่ตัวไหนเลือกเอาตามสบาย ตอนแรกมีเพียงคนสองสามคนเท่านั้นที่จะขี่ ไปๆมาๆชักแม่น้ำทั้งห้ามาชวนกันก็เลยขี่ทุกคน โดยเหตุผลก็คือว่า ไหนๆก็มาแล้ว ครั้งหนึ่งในชีวิตลองขี่ซะหน่อยจะเป็นไร พวกเราเลือกขี่แบบพาเดินไปชมทะเลทรายวนหนึ่งรอบ เวลาประมาณ 30 นาที ในราคา 400 รูปี เมื่อทุกคนประจำที่อูฐของตน ตอนนี้เสียงวี๊ดว๊าดก็ดังขึ้นเป็นช่วงๆปนกับเสียงหัวเราะ ก็จะไม่ให้วี๊ดว๊าดได้ยังไง ตอนที่อูฐลุกขึ้นยืนหวาดเสียวมากเลย เพราะอูฐนั้นตัวสูงมาก พอลุกขึ้นโดยใช้ขาหลังลุกขึ้นมาก่อน ตัวคนนั่งก็จะเอนไปข้างหน้าพร้อมกับความสูงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนสุดความสูงของขาอูฐ ถ้าไม่จับไว้ให้แน่นๆมีหวังหน้าคะมำตกจากหลังอูฐแน่ๆ ![]() เสียวนะเนี่ย ![]() คู่หวีท 2500 ![]() ผลัดกันถ่าย แต่อย่าหวังความสวยนะ มันเสียวนี่ เมื่อทุกคนพร้อมขบวนอูฐก็ออกเดินไปตามเนินทะเลทรายในละแวกนั้น บางช่วงพื้นดินมีเนินสูงบ้าง ลงต่ำบ้าง ทั้งที่อูฐก็เดินช้าๆเรื่อยๆแต่คนนั่งก็เสียวไม่เลิก นั่งไปได้สักพักก็เริ่มชินและรู้สึกสนุก กว่าจะรู้สึกสนุกก็หมดเวลา เมื่อครบรอบพวกเราก็ขอคนจูงอูฐถ่ายรูปหมู่บนหลังอูฐ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้หน้าที่ดีอยู่แล้ว โดยแต่ละคนต้อนอูฐของตนเข้ามาให้ยืนเรียงหน้ากระดาน แล้วก็เข้ามารับกล้องจากพวกเราทีละคน แต่ด้วยตำแหน่งที่ยืนอยู่นั้นย้อนแสง พวกเรากลัวว่ารูปออกมาต้องหน้ามืดแน่ๆ ปลาจึงขอว่าจะลงจากอฐมาถ่ายเองแต่คนจูงอูฐไม่ยอม พวกเราก็ต้องเลยตามเลย ![]() บริเวณวัด Hunder ![]() ชอบสีจังเลย ![]() บริเวณวัด Hunder ![]() ชอบผนังเป็นการส่วนตัว ต่อจากนั้นก็มุ่งหน้าไปวัด Hunder ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ขนาดเล็ก แต่วันที่ไปวิหารไม่ได้เปิดให้เข้า พวกเราจึงเดินเล่นและถ่ายรูปกันอยู่ข้างนอก สมควรแก่เวลาก็เคลื่อนขบวนไปต่อ ที่สุดท้ายคือ วัด Samstanling Gompa ในหมู่บ้าน Sumur เป็นวัดนิกายหมวกเหลืองที่มีอายุเพียงร้อยกว่าปี คือสร้างเมื่อ ค.ศ. 1841 ปลาเล่าว่าเป็นสาขาของวัดดิสกิต และวัดนี้เป็นที่เลื่อมใสที่สุดในหุบเขานูบรา ![]() วัด Samstanling Gompa ![]() ![]() ประตูสวยดี เมื่อถึงวัดเราเห็นมีรถนักเรียนจอดอยู่ จึงถามกับคนขับรถว่าใช่คันเดิมที่เจอเมื่อวานที่วัดดิสกิตหรือไม่ คนรถบอกว่าใช่คันเดียวกัน เราจึงมองหาเด็กหญิงคนเดิมจะขอที่อยู่เธอเพื่อส่งรูปมาให้ ดูเหมือนเด็กๆเองก็จะจำพวกเราได้ หลายๆคนโบกมือทักทายพวกเรา แล้วเราก็เห็นเด็กหญิงคนนั้นจึงกวักมือเรียกมาให้จดชื่อที่อยู่ ทีนี้เด็กคนอื่นๆก็เริ่มมามุง เรากลัวว่าเดี๋ยวจะบานปลายต้องส่งให้ทุกคนล่ะแย่เลย จึงร่ำลาแล้วเดินตามคนอื่นๆเข้าไปชมวัด วัดนี้ดีหน่อยที่เดินขึ้นบันไดเพียงไม่กี่ขั้นก็ถึงห้องบูชา สถานที่ค่อนข้างกว้างขวางและมีความเป็นสมัยใหม่มาก ตัวตึกและกุฏิวัดเป็นปูนฉาบเรียบตามแบบการก่อสร้างสมัยใหม่ ไม่ใช่ผนังก้อนดินฉาบดินเหมือนที่วัดอื่นๆ เที่ยวชมถ่ายรูป พักเหนื่อยกันเรียบร้อยก็เดินทางต่อเพื่อหาที่กินมื้อกลางวันกัน ![]() สองคนนี้เดินมาขอถ่ายรูป ![]() รักเด็กกันอีกรอบ ![]() รถนักเรียนคันที่เด็กๆนั่งมา มาจากเลห์ ก่อนออกจากวัดมีเด็กหญิงสองคนกลุ่มนักเรียนเดิมเดินตรงมาหาเรา แล้วบอกว่า ขอถ่ายรูป 1 รูปได้ไหม นางงามรักเด็กมีหรือจะปฏิเสธ พอได้ดูรูปจากกล้องเธอก็ดีใจกันใหญ่ เดินถึงประตูวัดปรากฏว่าก็มีนักเรียนอีกกลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามาขอถ่ายรูปอีก ชักรูปกันอีก 2-3 รูปพวกเราก็ต้องลาจากเด็กๆมา ![]() แวะเก็บดอกไม้ข้างทาง ออกจากวัดได้ไม่นานรถของพวกเราก็จอด เพราะมีหลายคนอยากเก็บดอกไม้ สองข้างทางกว้างโล่งที่เต็มไปด้วยกรวดหิน มีต้นไม้ ต้นหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ สาวๆเริ่มหามุมเก็บดอกไม้ของตัวเอง แต่เราเห็นตาลกับปลาถ่ายรูปเลยเข้าไปร่วมด้วย ถนนตรงนี้สวยเป็นเส้นยาวคดโค้ง สองข้างโล่งเหมาะกับการถ่ายรูปมาก น้องต่ายเก็บดอกไม้เสร็จออกมาเล่าว่า ห้องน้ำหนูดีมากมีกลิ่นหอมฟุ้ง ดอกไม้ก็สวย นับว่ายังดีที่ได้เก็บดอกไม้ที่หุบเขานูบราก่อนกลับไม่ให้เสียชื่อที่มาเที่ยวหุบเขาแห่งดอกไม้ อิอิ ![]() เด็กน้อยที่ร้านอาหาร เรามาหยุดกินมื้อกลางวันกันที่หมู่บ้านเดิม ร้านเดิม อาหารกลางวันแบบเดิมๆแต่ดูเหมือนจะแย่กว่า เพราะแทนที่จะเป็นแซนวิชขนมปัง กลับเป็นแผ่นแป้งปิ้งตามแบบอินเดีย ปกติแล้วเวลามื้ออาหารถ้ากินในร้านหรือโรงแรมเราจะชอบกินพวกแผ่นแป้งปิ้งของอินเดียมากกว่ากินข้าว เพราะข้าวที่อินเดียหุงสวยมากๆ ข้าวค่อนข้างแข็งและร่วน บางมื้อยังมีไตๆข้างในอยู่เลย ฉะนั้นการได้กินแป้งปิ้งมาร้อนๆหอมๆนุ่มๆย่อมรู้สึกดีกว่าสำหรับเรา แต่แผ่นแป้งนี้เมื่อมันไม่ร้อนความนุ่มหอมก็ไม่มีเช่นกัน ก็เหมือนกินแป้งแห้งๆแข็งๆ มื้อนี้เราจึงกินแค่เพียงไข่ต้ม กล้วยและน้ำผลไม้ หลังจากอิ่มกันแล้วทุกคนก็พร้อมสำหรับการนั่งรถอันยาวไกลอีกครั้ง เส้นทางกลับเราผ่าน Khardung La อีกครั้ง คราวนี้ไม่ลืมที่จะแวะซื้อเสื้อยืด พอลงจากรถก็แยกย้ายกัน บ้างไปห้องน้ำ บ้างถ่ายรูป เราถ่ายรูปได้สองสามรูปก็เตรียมมุ่งหน้าไปร้านขายของที่ระลึก แต่พอเดินไปถึงก็ต้องผิดหวัง วันนี้วันอาทิตย์ร้านปิด พวกเราเดินกลับออกมาแต่ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แล้วเราก็เหลือบไปเห็นว่ามีทหารถือกุญแจเดินมาเปิดร้าน นับว่าจังหวะเหมาะจริงๆ เพราะวันนี้มีทหารที่คงจะมาเที่ยว 1 รถบัส คงต้องการซื้อของที่ระลึก ทหารด้วยกันพูดกันง่ายอยู่แล้ว พวกเราเลยได้โอกาสแจมไปด้วย แต่กว่าเหล่าทหารจะซื้อกันเสร็จก็รอจนเบื่อเหมือนกัน เพราะเลือกซื้อกันไม่รู้จักเสร็จสักที พวกเราจะเข้าไปก็สู้ไม่ไหว เนื่องจากร้านเป็นห้องสี่เหลียมเล็กๆไม่มีหน้าต่าง เปิดไว้เพียงประตูบานเดียว แล้วเหล่าทหารแต่ละนายยังสูบบุหรี่กันอยู่ในนั้นอีก แค่โผล่หน้าเขาไปก็ทนไม่ไหวแล้ว อากาศที่ Khardung La นั้นเบาบางอยู่แล้วยังมาเจอควันบุหรี่เข้าไปอีก ตอนแรกถอดใจว่าจะไม่ซื้อแล้ว เพราะเกรงใจคนที่ไม่ซื้อและรออยู่ในรถ แต่ปลา น้อยและตาลลุยเข้าไปก่อน เรารอจนพวกทหารออกจนหมดจึงเข้าไป ส่วนใหญ่ทุกคนได้เสื้อยืดมาเป็นที่ระลึก เพราะเสื้อยืดเนื้อผ้าดีสกรีนสวยและไม่แพง เราเองอยากได้ไว้ใส่เองแต่ว่าอดเพราะไม่มีขนาดเล็กเลย ได้มาฝากหลานชายสองตัว ![]() กลับถึงโรงแรมกันประมาณ 4โมงกว่า ก่อนที่จะย้ายไปพักผ่อนพวกเรานัดกันว่าเย็นนี้จะไปช็อปปิ้งกันอย่างเต็มที่เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะค้างที่เลห์แล้ว บางคนตั้งใจจะไปซื้อเสื้อกันหนาวที่ไม่ได้คราวก่อนและคนขายให้ความหวังไว้ว่าให้กลับมาดูอีกครั้ง บางคนจะไปซื้อกระเป๋าสตางค์ใบเล็กๆที่ทำจากหนังจามรีเพื่อเป็นของฝาก และเกือบทุกคนอยากได้ยาแก้ท้องอืดของอินเดียที่ทำจากมินต์ ซึ่งทั้งพี่นุชและปลานำมาเผยแพร่ และพวกเราแทบทุกคนได้กินในระหว่างทริปแล้วติดใจ 5.30 ทุกคนเตรียมพร้อมกับการช็อปปิ้ง ต่างคนมุ่งมั่นกับของที่ตนเองจะซื้อ เดินไปด้วยกัน หลังๆเริ่มหดหาย น้อยนั้นพวกเรารู้กิตติศัพท์ความเป็นนักช็อปอยู่แล้ว จึงมักแวบหายไปกับหมอต่วน คงแวะแทบทุกร้าน เราเห็นท่าว่าถ้ารอกันจะได้ของกันไม่ครบ ต่ายจึงอาสารอน้อยและหมอต่วน ให้เรา คุณพ่อบ้านและพี่อ๋อยล่วงหน้าไปร้านเสื้อกันหนาวก่อน แล้วจะตามไปทีหลัง แต่เมื่อไปถึงก็ต้องผิดหวังเพราะร้านปิด วันนี้วันอาทิตย์ มีร้านอื่นๆเปิดอยู่บ้าง แต่ร้านนี้ราคาค่อนข้างถูกกว่าร้านอื่น พวกเราจึงเดินกลับสมทบกับน้อย ต่าย และหมอต่วน คราวนี้มุ่งหน้าไปหาร้าขายยาเพื่อซื้อยามินต์ แก้ท้องอืด แต่ก็ต้องผิดหวังอีกรอบ เพราะไม่มีของ แล้วเราได้เสื้อยืดปักลายด้วยจักรเป็นรูปจามรีมากฝากหลานสาว กับลายลาดักที่คุณพ่อบ้านจะฝากหัวหน้ามาอย่างละตัวจากร้านข้างๆร้านขายยา น้อยแวะซื้อหมวกถักกว่าจะต่อราคากันได้ก็ใช้เวลาพอควร คนขายฟังพวกเราพูดกันก็ถามว่ามาจากเมืองไทยเหรอ เพราะเขามีเพื่อนเป็นคนไทยที่แต่งงานกับชาวลาดัก เลยจับได้ว่าเป็นภาษาไทย จากนั้นก็พาพี่อ๋อยและน้อยไปดูกระเป๋าสตางค์จากหนังจามรี ตกลงก็เป็นน้อยอีกที่ได้ของ แถมต่อราคาได้ถูกกว่าที่เราซื้อซะอีก จากนั้นก็เดินกลับโรงแรม แต่ระหว่างทางน้อยก็แวะเกือบตลอดทาง สุดท้ายพวกเราก็มาจบที่ร้านขายเสื้อยืดปักลายที่ร้านใกล้โรงแรม เราได้เสื้อยืดของตัวเองและฝากพี่สาว น้อยก็ได้หนึ่งตัว กลับเข้าโรงแรมคนอื่นๆลงมือกินข้าวเย็นไปก่อนแล้ว เราและคุณพ่อบ้านเลยให้ข้อมูลเพื่อนๆว่า ตอนไปอูย่ที่บ้านเรือ ยกให้น้อยเป็นทัพหน้าในการต่อราคาผ้า Pasmina กับแขกนะ เพราะเธอมีความสามารถในการต่อราคาสุดยอด บอกว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แรกๆก็ให้เราช่วยแปลให้ ต่อไปต่อมาไม่ต้องใช้ล่ามแล้ว ต่อเองจนได้ในราคาที่ตัวเองต้องการ มื้อเย็นวันนั้นปลาแสดงฝีมือทำกับข้าวเอง แค่เราเห็นซุปไก่ต้มฟักก็ถูกใจแล้ว ยังมีไก่ผัดพริกรสชาดจัดจ้านอีก เสียแต่แทบไม่พอกินเพราะโดนผจกโรงแรมขอไปเสริฟแขกฝรั่งหน้าตาเฉย ปลาเลยให้พ่อครัวของโรงแรมไปผัดมาใหม่เพิ่มให้พวกเรา เพราะตอนผัดรอบแรกสาธิตไว้ให้ดูแล้ว แต่แขกผัดจะสู้คนไทยผัดได้ยังไง ความอร่อยสู้กันไม่ได้อยู่แล้ว อิ่มแล้วก็แยกย้ายกันไปเก็บข้าวของ พรุ่งนี้เราจะต้องไปจากเมืองเลห์กันแล้ว ติดตามตอนอื่นๆ Leh ดินแดนแห่งขุนเขา และ...วัด - ทัวร์ไหว้พระ 9 วัด ...I Leh ดินแดนแห่งขุนเขา และ...วัด - ทัวร์ไหว้พระ 9 วัด ...II Pangong Tso ทะเลสาบพันกอง - พันกอง...จริงๆนะ Nubra Valley หุบเขาแห่งดอกไม้ ...ไม่ยักกะเห็นดอกไม้ Kargil ระยะทางสั้นๆแต่ช่างยาวนาน Sonamarg ดินแดนแห่งเทพนิยาย จากทะเลสาบดาล (Dal Lake)..สู่..กุลมาร์ค (Gulmarg) Pahalgam กำเนิดนางเอกหนังแขกดวงใหม่ บอกลาศรีนาการ์ ..ชม นครแห่งรัก - จบการเดินทาง ตามมาอ่าน บันทึกได้ละเอียดดีจัง อ่านไปนึกว่าเป็นเรื่องของตัวเองเลย อิ อิ
โดย: พี่อ๋อย IP: 118.173.122.139 วันที่: 19 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:42:36 น.
วันนี้ดูสดชื่นกันทุกคนเลยนะคะ สงสัยยิ่งอยู่หลายวันคงไม่อยากกลับกันแน่ๆเลย
โดย: ปู&อุ้ย IP: 125.27.21.168 วันที่: 19 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:35:28 น.
คุณแพทคะ ขี่อูฐสนุกจริงๆค่ะ เรื่อง emal เดี๋ยวตามไปตอบให้ที่บล็อคนะคะ
พี่อ๋อย ก็เป็นเรื่องที่เราเจอมาร่วมกัน ก็ต้องเป็นของพี่อ๋อยเหมือนกัน ปู ใช่แล้วยิ่งวันหลังๆเที่ยวแบบสบายๆ ช็อปปิ้งเพลินๆไม่อยากกลับกันเลยล่ะ โดย: Cookie Nim
![]() เจ้าของกลับมา up blog แล้ว ตามอ่าน ๆ
โดย: V V IP: 124.121.106.166 วันที่: 19 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:11:10 น.
|
บทความทั้งหมด
|
อูฐเด็กน่ารักดี หวังว่าเค้าคงยังไม่ต้องทำงานหนักนะคะ
คุณตุ๊กเขียนมาตั้งหลายตอนแล้ว เดี๋ยวต้องตามไปดูย้อนหลังให้หมดเลยค่ะ
เด็กๆคงดีใจที่จะได้รับรูปถ่ายจากคนสวยใจดี
คุณตุ๊กคะ ... พี่รบกวนถามเรื่อง Emal 28 CTN ที่ใช้ทำน้ำยาล้างจานหน่อยนะคะ
พี่โทร.ไปถามฮงฮวด ที่จตุจักรแล้วเค้าบอกว่าที่นี่ขายเฉพาะหัวน้ำหอมค่ะ
ไม่มีหัวแชมพูใสแบบนี้ คุณตุ๊กพอจะทราบมั้ยคะว่าหาซื้อที่ไหนได้อีก
ไปจักรวรรดิไม่ถูกค่ะ ไม่ทราบว่าอยู่แถวไหนคุณตุ๊กพอจะแนะนำได้มั้ยคะ
ขอบคุณมากค่ะ