ที่เห็นและเป็นไป: ของฝากจากลิสบอน ![]() ภาพประกอบสวยๆโดย SevenDaffodils ครับ ไปโปรตุเกสรอบนี้ มีเรื่องกลับมาเล่าได้หลายเรื่องครับ อย่างที่มีคนร้องขอมาทาง Twitter บอกว่าอยากอ่านเรื่องที่ผมทวิตไว้ว่า ไม่ว่าคนชาติไหนภาษาใด ก็มีอัตตาตัวตนของตัวเอง ปกติเวลาไปต่างประเทศ ถ้าเลือกได้ ผมจะเลือกการบินไทย ไม่ใช่เพราะแอร์สวย แต่เพราะรู้สึกคุ้นเคย เหมือนเรายังอยู่บ้าน แม้ว่าหลายๆอย่างจะไม่แฟนซีหรูหรา เหมือนสายการบินอื่นก็ตาม ยกเว้นว่าประเทศที่จะไป ไม่สะดวกในการเลือกนั่งการบินไทย หรือเพราะผมไม่ได้เลือกเองอย่างคราวนี้ ที่ต้องนั่ง British Airways ส่วนหนึ่งเพราะเวลานั่งสายการบินฝรั่ง จะรู้สึกเสมอว่า สายตาที่ฝรั่งมองเรา จะเป็นอย่างหนึ่ง แต่คนเอเชียจะมองกันอีกแบบ เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นคนอื่นว่าแตกต่างจากเรา นั่นแหละ อัตตามันโผล่แล้ว ว่านี่เรา นั่นเขา จะรู้สึกเหนือกว่า ด้อยกว่า หรือเสมอกัน ก็ชื่อว่าเป็นอัตตาทั้งนั้น ผมมีโอกาสนั่งขอความรู้จากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล เมื่อไม่นานมานี้ ท่านบอกว่า มนุษย์เรามีธรรมชาติที่จะมองส่วนที่คนอื่นต่างกับเรา มากกว่าจะมองส่วนที่คนอื่นเหมือนกับเรา คนที่ไปเชียร์บอลตีกัน เพราะมองเสื้อที่ใส่ว่าคนละสี คนละทีม ทั้งๆที่มันก็คนชอบดูบอลเหมือนๆกัน คนไทยเลือดสีแดงๆ เหมือนกัน ยิวกับอาหรับ ฆ่ากัน ก็เพราะมองที่ความเป็นยิว เป็นอาหรับ แต่ลืมว่าต่างก็สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม นับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน ลึกไปกว่านั้น ต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ต่างกันก็ด้วย "อัตตา" ตอนที่ไปประชุมที่ลิสบอน ผมมีโอกาสได้ดูตอนแรกของมินิซีรีส์เรื่องใหม่ ผลงานร่วมกันสร้างของ ทอม แฮงค์ และสตีเว่น สปิลเบิร์ก อีกเรื่อง ที่จะออกฉายใน HBO เร็วๆนี้ ชื่อเรื่อง The Pacific เป็นเรื่องจากมุมมองของทหารอเมริกันกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกส่งไปรบ ในสงครามโลกครั้งที่สอง บนสมรภูมิในแถบหมู่เกาะในแปซิฟิค หนังพยายามบอกว่า แต่ละคนที่ถูกส่งไป ต่างก็มีครอบครัว มีคนรัก มีพี่น้องเพื่อน ไม่ต่างกับทหารญี่ปุ่นที่พวกเขาถูกมอบหมายให้ฆ่านั่นแหละ เพราะตอนท้ายของตอนแรก ทหารอเมริกันคนหนึ่ง ไปค้นศพทหารญี่ปุ่น ก็เจอรูปคู่ของทหารคนนั้นกับคนรัก เหมือนกับรูปที่ตัวเองพกติดตัวเสมอ ดูแล้วผมรู้สึกว่า สงครามคือการสังเวยชีวิตคนจำนวนมาก เพื่อสนองอัตตาคนไม่กี่คน บนทะเลน้ำตาของคนข้างหลัง ระหว่างที่เดินทางกลับ ผมมีเวลารอต่อเครื่องหลายชั่วโมง ปกติเวลาว่างๆ ของอย่างหนึ่งที่ผมชอบดูคือนาฬิกาข้อมือ เมื่อก่อนนี้ ผมจะไฝ่ฝันมาก ว่าจะได้นาฬิกาสวยๆ แพงๆ ประเภทบุลการี หรือรุ่นบ๊อบ ดีแลนที่ผมเคยเล่าถึงทำนองนั้นทีเดียว แต่เที่ยวนี้ ไปยืนดูแล้วก็ดูจิตไปด้วย อย่างที่ทำบ่อยๆในช่วงหลัง ผมกลับรู้สึกต่างออกไปจากเดิม เพราะสังเกตว่า จิตผมมันไม่อยากได้แฮะ ในทางตรงข้าม กลับรู้สึกว่า ไอ้ของที่อยู่ในตู้โชว์อันละเป็นแสนนี่ ถ้ามันมาอยู่บนข้อมือเรา มันจะเป็นภาระมากเลยนะ.. แอสตันเอ๋ย ไหนจะต้องระวังรักษา ไหนจะเป็นเป้าสายตามิจฉาชีพ ยิ่งสุวรรณมัจฉาปลาทองเรียกพี่แบบผม เกิดไปถอดลืมไว้ในห้องน้ำ เสียดายตายเลย อัตตาของมนุษย์ก็คล้ายกันนะครับ ยิ่งเราสร้างเปลือกไว้สวยหรูดูดีเท่าไหร่ มันก็เป็นภาระที่จะต้องแบกหนักรักษาไว้เท่านั้น ถ้าวันไหนมีเหตุจะต้องหมองปริ มีตำหนิอย่างไร ก็ยิ่งลำบาก ที่ทุกข์โทรมโทมนัสกันถึงขั้นคิดสั้นไป ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ เห็นได้อย่างนั้น แล้วก็เริ่มเห็นประโยชน์ของการภาวนา ที่ครูบาอาจารย์บอกว่า เจริญสติไว้ ถึงเวลาปัญญามันจะมาเองเน้อ แล้วปัญญาที่ว่า ก็ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมอัตตา แต่เพื่อทำลายอัตตาให้บางลงๆต่างหาก ยิ่งอัตตาบางเบาลงเท่าไหร่ จิตใจก็โปร่งโล่งสบาย เป็นสุขขึ้นเท่านั้น สุขสันต์วันที่ยังมีคำสอนเพื่อทำลายอัตตาให้เราได้เรียนนะครับ จะCommentก็ยังเห็นอัตตาเลยครับ อิอิ
โดย: หนึ่ง IP: 119.31.126.141 วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:11:00:12 น.
ขอบคุณ สำหรับอีกบทความดีๆครับ
โดย: ทวีเกียรติ IP: 183.89.107.92 วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:15:50:49 น.
ขอบคุณครับ คุณเขียนได้กระทบกระเทือนใจอีกแล้ว ฝีมือไม่ตกเลยจริงๆ
ขอบคุณอีกครั้งที่ทำให้อ่านแล้วได้สติกลับมาทุกที โดย: ธนัช IP: 203.144.144.164 วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:8:40:05 น.
ที่บ้านเมืองเราเป็นอย่างนี้อยู่ ก็เพราะเรื่องของอัตตาอย่างเดียวแท้ๆ
ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆนี้ค่ะ โดย: ณพารี IP: 180.183.227.53 วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:12:51:05 น.
หายไปนานนะคะ
ได้อ่านอะไรดีๆแบบนี้อีกแล้ว ขอบคุณนะคะ โดย: มุทิตา IP: 203.144.144.164 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:7:44:45 น.
สวัสดีค่ะพี่เอ๊ด
เป็นของฝากที่มากไปด้วยคุณอนันต์เลยค่ะ อัตตาที่คนเรามี พิจารณาดีดีตัวเราเองก็ฝังมันไว้แน่นหนา เพราะยังขาดการภาวนาอย่างต่อเนื่องจริงๆ ขอบคุณค่ะ โดย: หญิง IP: 125.25.92.48 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:19:25:33 น.
สาธุครับ
ตามอ่านอยู่เนืองๆ โดย: สุริยา IP: 203.144.144.164 วันที่: 15 มีนาคม 2553 เวลา:23:01:47 น.
ชอบค่ะ ที่บอกว่าคนเรามักมองเห็นคนอื่นแตกต่างมากกว่าเหมือน
มีเหตุการณ์หนึ่งคือ ตัวเองกำลังจะต้องออกเรือนไปอยู่กับครอบครัวอเมริกันชนที่เป็นยิว แม่เราเป็นห่วงกลัวว่าจะเป็นลูกสะใภ้ที่มีปัญหากับแม่สามีและยายสามี แต่เรากลับคิดว่า ถ้าเราแสดงความชอบ ความรักออกไปก่อนเลย ก็ไม่มีคนมาเกลียดเรา หรือตั้งแง่กับเราหรอก เพราะได้บทเรียนกับตัวเองสมัยสอนหนังสือ ถ้าห้องไหน เรารู้สึกว่าไม่ชอบเด็กห้องนี้เลย ไม่อยากไปสอน เพราะเด็กไม่ฟัง พอเข้าไปสอนเด็กก็จะ(ยัง)ไม่ฟัง ทำให้ไม่รู้สึกสนุกกับงานที่ทำ ตอนหลังเลยเปลี่ยนทัศนคติเลยค่ะ คิดไปเลยว่าชอบเด็กทุกห้องที่สอน ทุกห้องมีเด็กที่ยังฟังเราอยู่ ....ได้ผลค่ะ คือ เด็กฟังมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเด็กก็ดีขึ้น เลยชอบใช้เทคนิคนี้ คือ มองหาความเหมือน มากกว่ามองหาความต่าง ไม่ก็มองหาข้อดีกลบไปเลย ![]() ขอบคุณที่มีข้อคิดดีๆมากระตุกอีกแล้วค่ะ โดย: anchesa
![]() สวัสดีคุณastonอีกครั้งครับ
ติดตามอ่านเนืองๆ อย่างที่โพสต์เมื่อวันก่อน บางทีเวลาเรา "ปฎิบัติ" ไปมากๆ มันเหมือนเราไปหลงกับการปฎิบัติเสียดื้อๆ ปีนี้เลยไปไม่ไปที่วัดไหนเลย ลองใช้บทเรียนจริงๆ กับชีวิตประจำวัน มันก็พบว่ามีบางอย่างเรา (ดูเหมือน) ฉลาดขึ้น แต่มันก็มีข้อบกพร่อง/จุดอ่อนที่ละเอียดอ่อนขึ้นกว่าเดิม ความจริงมันคงจะเป็นอย่างที่ผมว่ามานี่ใช่ไหมครับ? หากเรารู้จักความทุกข์มันมากขึ้น ความทุกข์เองก็ดูเหมือนจะมีพัฒนาการเพื่อความอยู่รอดในใจเราเหมือนกัน ...ถ้าเป็นอย่างที่ว่านี่จริงๆ เราคงประมาทมันไม่ได้เลยทีเดียวสิครับ? คงน่ากลัวมากครับ โดย: สุริยา IP: 203.144.144.165 วันที่: 17 มีนาคม 2553 เวลา:18:41:38 น.
คุณสุริยา
จริงๆมันก็คนละส่วนกันครับ เรื่องภาวนาที่วัด มันเหมือนเข้าค่ายฝึกเข้ม แต่ออกจากวัด มันเหมือนเข้าสู่สนามรบจริง ดังนั้น จะฟันธงว่า เข้าค่าย อยู่วัดแล้วหมกมุ่น หรือไปหลงกับการปฏิบัติก็อาจจะไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพื่อเวลาออกมาข้างนอก มันจะได้ไม่หย่อนมากจนเกินไป ประเด็นสำคัญคือ ต้องหาวัดที่เหมาะกับจริตเรานะครับ เพราะบางที่ก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับเรา ไปเจออาจารย์บางท่านตรวจการบ้าน ด้วยตำราอีกอย่าง บางทีก็เป๋ไปได้เหมือนกัน แต่กิเลสในใจเรา เขาจะเก่งกว่าเราขั้นหนึ่งเสมอ พอเรารู้ทันเขาอย่างหนึ่ง เขาจะมีวิธีใหม่ๆมาหลอกล่อเรา ประมาทไม่ได้หรอกครับ ![]() โดย: aston27
![]() ![]() แวะมาอ่านเรื่องอัตตาอีกครั้ง หลังจากได้อ่านในธรรมะใกล้ตัวค่ะ :)
ของฝากแบบนี้ได้ประโยชน์ดีจริงนะคะ มาเอาได้ตลอด ถึงไม่ใส่สารกันบูด ก็ไม่มีวันหมดอายุด้วย ^^ โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 58.8.40.144 วันที่: 20 มีนาคม 2553 เวลา:17:56:29 น.
แวะมาอ่านในวันที่กรุงเทพฯ ระอุไปด้วยอัตตาค่ะ
อ่านแล้วก็นึกไปถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัย เรานั่งอภิปรายกันในห้องเรียน สงครามเกิดเพราะเรามองว่าเขาแตกต่าง เขาคือคริสต์ เขาคือมุสลิม เขาคือยิว เขาคือ ... ฯลฯ เราไม่ได้มองว่าเขาก็คือมนุษย์เหมือนกับเรา เราเลยอคติ เราเลยไม่ฟังเขา เราเลยทะเลาะกัน ...เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นคนอื่นว่าแตกต่างจากเรา นั่นแหละ อัตตามันโผล่แล้ว ว่านี่เรา นั่นเขา จะรู้สึกเหนือกว่า ด้อยกว่า หรือเสมอกัน ก็ชื่อว่าเป็นอัตตาทั้งนั้น... ข้อความที่ยกมานี้ ต้องจำไว้เตือนตัวเองเสมอๆ แล้วล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะ ![]() โดย: gluhp
![]() คุณเอ๊ดน่ารัก ...
โดย: แจง-เจมี IP: 183.89.20.191 วันที่: 26 มีนาคม 2553 เวลา:1:33:20 น.
ทุกครั้งที่เข้าไปในพิพิธภัณฑ์สงคราม ไม่ว่าที่ไหนๆ จะรู้สึกสลดทุกครั้ง
ต่างคนต่างหาวิธีทำลายล้าง ฝ่ายตรงข้าม จนหลงลืมความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เห็นด้วยค่ะ ว่าเป็นการสนองอัตตาของคนไม่กี่คน ที่ไม่รู้มาเกิดในโลกนี้ได้ไง โดย: HoneyLemonSoda
![]() |
บทความทั้งหมด
|