ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
2 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 

เทพมารสะท้านมิติ ตอนที่ 9

“เหตุใดท่านถึงห้ามมิให้นางติดตามมา”

“ข้าย่อมมิอาจทำเช่นนั้นได้”

เด็กน้อยงงงันกับคำตอบที่ได้รับ

“...แต่เมื่อครู่นี้”

“หากนางติดตามมาจริง เจ้าคิดว่าข้าจะทำอย่างไรได้ อย่างเช่น...หากข้าบอกมิให้เจ้าติดตามต่อไป เจ้าจะทำอย่างไร”

“เราย่อมมิได้ติดตามท่าน เราเพียงเดินไปตามทางของเรา ที่พอดีเป็นเส้นทางเดียวกันเท่านั้น”

“นั่นก็ถูกแล้ว หากนางต้องการติดตามมาจริง ข้าย่อมไม่อาจห้ามได้”

เด็กน้อยนิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า แล้วไม่กล่าวอะไรอีก ทั้งสองเดินไปตามเส้นทางสายเดียวของเมืองน้อยแห่งนี้ หนึ่งเดินนำหน้า หนึ่งเดินตามหลัง ดูเหมือนความวุ่นวายที่ถูกก่อกวนขึ้นในตลาดเมื่อเช้าจะจางหายไปแล้ว ผู้คนกลับคืนสู่ช่วงจังหวะชีวิตที่คุ้นเคย ต่างคนต่างทำหน้าที่การงานของตนเอง

เด็กหนุ่ม และสาวน้อยคู่หนึ่งเดินผ่านมา มือของทั้งสองจับกันเอาไว้ ทั่วทั้งเกาะเวียนเกิดคล้ายมีพวกมันเพียงสองคนเท่านั้น แสงอาทิตย์เจิดจ้า สายลมพัดพลิ้ว รอยยิ้มที่ไม่เคยจางหายไปของทั้งสอง ดุจดอกไม้ที่เบ่งบานไปทั่วท้องทุ่ง

“หากเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะหามาให้ทุกอย่าง”

“ท่านพี่กล่าวเกินไป”

“ข้าหมายความตามนั้น”

“แค่มีท่านพี่อยู่เคียงข้างข้าก็มีความสุขที่สุดแล้ว”

เมื่อคู่รักทั้งสองเดินห่างไป สูญก็เอ่ยถามเด็กน้อยโดยมิได้หันกลับมา

“เหตุใดทั้งสองจึงต้องพูดจากันเช่นนั้นด้วย”

เธอยิ้มจ้องมองดูแผ่นหลังของเขา

“เพราะทั้งสองมีความรักต่อกัน”

“...ความรักคือสิ่งใด”

เป็นคำถามเช่นนี้อีกแล้ว เด็กน้อยได้แต่คิดว่าหากต้องคอยหาคำตอบให้กับเทพวานรเช่นนี้ สักวันหนึ่งเธอคงต้องอึดอัดใจตายแน่

“ความรัก...คือความรู้สึกชอบพอที่มีต่อกันระหว่างคนสองคน พวกเขาเริ่มต้นจากทำความรู้จัก พูดคุยจนคุ้นเคย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความห่วงใย จนเกิดเป็นความรักขึ้น จากนั้นก็ครองคู่ใช้ชีวิตร่วมกัน มีทายาทเพื่อสืบตระกูลต่อไป”

เด็กน้อยตอบไปเท่าที่ตนเองคิดออก เธอแน่ใจว่าแต่ละคนย่อมมีคำอธิบายที่แตกต่าง และมันทำให้เธอเกิดคำถาม 'เหตุใดสิ่งที่ทุกคนต่างรู้จัก กลับไม่อาจอธิบายให้เหมือนกันได้' เธอคิดหาคำตอบให้กับตัวเอง 'อาจเป็นเพราะแต่ละคนต่างเข้าใจมันได้ไม่เหมือนกัน แต่มันคือสิ่งเดียวกันชัดๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้'

“ทุกคนต่างคิดว่าความรักเป็นดังเช่นที่เจ้าว่า”

“...ไม่ใช่”

“ข้าก็คาดไว้เช่นนั้น”

“ท่านรู้แล้วว่าความรักคือสิ่งใด”

“ย่อมไม่ แต่ข้ารู้อยู่อย่างหนึ่ง”

“ท่านรู้อะไร”

“การได้พบเจอกับผู้คนเพียงไม่กี่วันมานี้ ทำให้ข้าเข้าใจเรื่องราวประการหนึ่ง เจ้าไม่อาจเข้าใจความคิดของผู้อื่น เพราะแม้แต่ความคิดของตนเอง คนส่วนใหญ่ยังไม่อาจเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้เลย”

“...เราไม่อาจเข้าใจทั้งตนเอง และผู้อื่นได้เลยจริงหรือ”

“อาจบางทีคำตอบของข้าเองก็ผิด อาจบางทีเป็นเพราะมันไม่มีความสำคัญ”

“ไม่มีความสำคัญ เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตทั้งสิ้น”

“การพยายามหาความหมายให้กับมันต่างหาก ที่ข้าคิดว่าไม่สำคัญ”

เด็กน้อยไม่เข้าใจคำพูดเหล่านี้ของเขา อาจบางทีคงเป็นดั่งคำพูดที่เขาพึ่งกล่าวไปก่อนหน้าที่ว่า ไม่มีใครสามารถเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้อย่างถ่องแท้นั่นเอง

สองข้างทางมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เด็กๆ วิ่งเล่น หนุ่มสาวและผู้เฒ่า บ้างทำงาน บ้างพักผ่อน บ้างพูดคุย และทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ภาพทั้งหมดนี้คือชีวิตที่ทุกคนต่างต้องเดินผ่าน เป็นภาพของชีวิตทั้งหมดที่สามารถมองเห็นได้พร้อมๆ กันในคราเดียว

ทั้งสองมองเห็นภาพที่เหมือนๆ กัน แต่ความคิดที่ผุดขึ้นมาเพราะภาพเหล่านั้นกลับไม่เหมือนกัน ความหมายของภาพเหล่านั้นก็ไม่เหมือนกัน นั่นเป็นเพราะคนเรานั้นแตกต่าง นั่นเป็นเพราะแต่ละคนล้วนมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

ทั้งสองเดินต่อไปจนได้พบเจอกับผู้เฒ่าคู่หนึ่ง เพียงมองก็ทราบว่าทั้งสองต้องใช้ชีวิตร่วมกันมาเนิ่นนานอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเดินห่างกัน และมิได้จูงมือเหมือนดั่งคู่หนุ่มสาวเมื่อครู่ แต่ไม่ว่าใครก็คงสามารถบอกได้ถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่ทั้งสองมีต่อกัน

“เย็นนี้ข้าทำเต้าหู้ผัดที่เจ้าชอบเป็นอย่างไร”

ผู้เฒ่าเพียงพยักหน้าไม่กล่าวอะไร ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินผ่านไป เด็กน้อยหันมองตามผู้เฒ่าทั้งสอง ในใจทบทวนถึงความหมายของความรักที่ตนพึ่งกล่าวออกไปเมื่อครู่

“เช่นนี้ก็เป็นความรักใช่หรือไม่”

เขาส่งเสียงถาม

“อืม ย่อมใช่แน่นอน”

ทั้งคู่เดินต่อไปจนพ้นออกจากเมืองน้อย เย็นวันนั้นทั้งสองเก็บหาผลไม้ในป่ากินก่อนขึ้นไปนอนบนต้นไม้เหมือนเช่นเดิม เด็กน้อยยังคงเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับข้อมูลที่ถูกบรรจุเอาไว้ในตำราฟ้าดิน ในขณะที่สูญนอนเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เธอค่อยๆ ขุดลึกลงไปก่อนที่จะพบกับทางตันเหมือนกับที่เคยเจอ 'ข้อมูลมีการป้องกัน โปรดบอกรหัสผ่าน'

เขาส่งเสียงถามโดยไม่หันมามอง

“เจ้าค้นพบความลับยิ่งใหญ่อันใดจากตำราเล่มนั้นหรือไม่”

“มันมีความรู้ต่างๆ บรรจุอยู่มากมาย แต่ความลับทั้งหลายล้วนไม่อาจเข้าถึงได้”

“ปู่ของเจ้ามิได้บอกเงื่อนงำอันใดเอาไว้เลยหรือ”

“...ไม่ ท่านเพียงบอกให้เราศึกษาเอาเอง”

“เหตุใดสำนักฟ้าดินจึงหวงแหนสิ่งนี้นัก แล้วเหตุใดปู่ของเจ้าจึงขโมยมันออกมา”

“เราไม่ทราบ...เราเองก็อยากรู้เช่นกัน”

ตอนแรกเขาไม่รู้สึกสนใจในตำราฟ้าดินเลย แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น เขาก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ตำราเล่มนี้จะต้องมีความเกี่ยวพันกับความลับที่เขาต้องการค้นหาคำตอบนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ทั้งคู่ออกเดินทางต่อไป โดยอาศัยเก็บกินผลไม้ บางครั้งก็จับสัตว์เล็กๆ มาทำอาหาร เด็กน้อยเอาแต่สนใจกับตำราฟ้าดิน ส่วนเขาเองก็นิ่งเงียบอยู่กับความคิดของตนเอง แม้ทั้งสองจะร่วมทางกันมาพักหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่รู้จักกันเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย

แนวป่าหดหายไป เขตชายฝั่งที่รกร้างค่อยๆ ปรากฏให้เห็น ดูเหมือนว่าในที่สุดทั้งสองจะเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการแล้ว เขาเหม่อมองไปไกลสุดตา ณ ที่ซึ่งขอบฟ้ากับน้ำทะเลมาบรรจบกันเป็นหนึ่งเดียว โดยมีเพียงเส้นบางๆ ที่เลือนลางคอยแบ่งแยกทั้งสองสิ่งออกจากกัน

ภาพที่เห็นนั้นมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง แต่เขาไม่อาจบอกได้ว่าเป็นสิ่งใด เด็กน้อยมองดูคลื่นลูกใหญ่น้อยที่ทยอยพัดเข้าสู่ฝั่ง นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นมันด้วยตาของตนเอง หลังจากที่ได้เห็นภาพเคลื่อนไหวของพวกมันในตำราฟ้าดินมาหลายครั้ง

“เราจะไปที่ใดต่อดี”

“ที่นั้น”

เด็กน้อยมองตามทิศทางที่เขาชี้มือไป มันคือทะเลกว้างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง เธอหันมองทะเล เหลียวมองดูเขา สลับไปมาอยู่อย่างนั้นก่อนทอดถอนใจเบาๆ

“...หากท่านคิดท่องทะเล เราคงต้องการเรือสักลำ เสบียงอาหาร น้ำดึ่ม และผู้คนที่มีความสามารถในการล่องเรือ”

“ข้าไม่ต้องการเรือ”

เด็กน้อยหันไปมองหน้าเขา

“ท่านคิดจะว่ายน้ำข้ามทะเลไป เราจึงไม่อาจกระทำได้”

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รออยู่ตรงนี้”

เขาก้าวเดินไปข้างหน้า ท่าทางคล้ายดั่งตัดสินใจจะว่ายน้ำข้ามทะเลไปจริงๆ เธอได้แต่ยืนมอง นึกไม่ถึงว่าการเดินทางสู่ตะวันตกอันน่าตื่นเต้นกลับต้องพบกับจุดจบที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ ทะเลกว้างไกลไร้ขอบเขต หากคิดว่ายน้ำออกไปรับรองว่าต้องไม่อาจรอดชีวิตกลับมาอย่างแน่นอน

“ท่านเสียสติไปแล้วหรือ โปรดหยุดก่อน”

เขาหยุดยืนนิ่ง แต่ไม่ใช่เป็นเพราะเสียงเรียกของเด็กน้อย เบื้องหน้าของเขาห่างไปไม่ไกลนักมีบุรุษในชุดขาวสะอาดตาผู้หนึ่งยืนอยู่ ก่อนหน้านั้นชายหาดแห่งนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน ไม่ทราบว่ามันผู้นี้เป็นภูติผีที่ผุดขึ้นมาจากผืนทรายหรืออย่างไรกัน

ใบหน้าฉลาดสุขุมของมันสะอาดเกลี้ยงเกลา ชุดสีขาวที่สวมใส่ไร้ตำหนิ สิ่งที่ห้อยอยู่ข้างเอวนั้นเป็นอาวุธบางอย่างที่ไม่ใช่ดาบ กระบี่ ที่สำคัญคือ เขาไม่รู้ว่าคนผู้นี้มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร มันคล้ายกับยืนอยู่อย่างนั้นมาเนิ่นนานแล้ว แต่พึ่งปรากฏกายออกมาให้ทุกคนได้เห็น หากเมื่อครู่มันลงมือจู่โจมในทันที เขาคงต้องเสียท่าไปแล้ว

ตลอดมาไม่ว่าต้องเผชิญหน้ากับผู้ใด เขาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะพ่ายแพ้ แต่คราวนี้กลับแตกต่างออกไป รอบกายของบุรุษชุดขาวคล้ายมีพลังกดดันแผ่ออกมาโดยรอบ มันผู้นี้ต้องมีฝีมือเหนือล้ำยิ่งกว่าเหล่าศัตรูที่เคยพบเจอมา 'ก่อนหน้านี้ข้าเคยแพ้ให้กับคนผู้หนึ่ง ข้ารู้ทั้งที่จำไม่ได้ และตอนนี้ข้าอาจจะต้องพบกับความพ่ายแพ้อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้'

“เด็กน้อยกล่าวถูกต้องแล้ว เจ้าไม่อาจไปได้”

แม้แต่น้ำเสียงของมันก็ฟังดูสุภาพนุ่มนวล แต่ตอนนี้เด็กน้อยเริ่มมีลมหายใจที่ติดขัดจากแรงกดดันไร้สภาพนั้น เธอทราบดีว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าต้องมีวรยุทธไม่ด้อยไปกว่าปู่ของเธอ บางทีอาจเหนือล้ำยิ่งกว่าด้วยซ้ำ

“ข้ามีนามว่าผู้กล้า ผู้กล้าจ้าวอินทรี ผู้พิทักษ์แห่งสำนักฟ้าดิน”

มันยืนกล่าววาจาด้วยท่าทางปลอดโปร่ง แต่คู่สนทนาทั้งสองของมันต่างพยายามบังคับจังหวะของลมหายใจที่ปั่นป่วนให้สงบลงโดยเร็ว

“ข้าคือสูญ”

“ข้าทราบแล้ว ส่วนเด็กน้อยผู้นั้นมีนามว่ากรุณา ซึ่งท่านเต๋าอุปการะเลี้ยงดูเอาไว้”

“เจ้ารีบหลบไปก่อน”

เขาโบกมือให้เด็กน้อยถอยห่างออกไป คู่ต่อสู้ในครั้งนี้นับว่าตึงมือเป็นอย่างยิ่ง เธอเองก็รู้ในข้อนั้นดี จึงไม่ยอมถอยเพราะต้องการจะอยู่ช่วยเขาอีกแรงหนึ่ง บุรุษชุดขาวส่งยิ้มให้กับทั้งคู่

“เรามิได้ต้องการต่อสู้กับพวกเจ้า”

มันหันไปทางสูญ

“ขอเพียงเจ้าถอยหลังกลับไป แล้วสัญญาว่าจะไม่ย้อนกลับมายังสถานที่แห่งนี้อีก ข้ารับรองว่าเจ้าจะอยู่อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว”

มันหันไปทางกรุณาบ้าง

“เจ้าเองก็เช่นกัน แต่ต้องคืนตำราฟ้าดินมาก่อน ตำราเล่มนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนัก หากเจ้าปฏิเสธ ข้าคงจำเป็นต้องลงมือ”

บุรุษชุดขาวยืนรอคอยคำตอบจากทั้งสอง ท่าทางของมันไม่มีความรีบร้อนแม้แต่น้อย คล้ายกับสามารถรอคอยเช่นนี้ได้ชั่วชีวิต

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่เอง”

หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาทั้งหมด ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้เลยว่าที่ตรงนี้กำลังเกิดเรื่องราวอันใดขึ้น

“ขาเป็นของข้า เส้นทางก็มิใช่ของพวกเจ้า ต่อให้ห้ามอย่างไร ตอนนี้ข้าก็มาถึงแล้ว...”

เสียงของหญิงสาวขาดหายไป ดูเหมือนว่ามายาแม่ค้าขายขนมจะรับรู้ถึงแรงกดดัน และเข้าใจถึงความหวาดเสียวรุนแรงของสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ได้แล้ว

“ข้าคือผู้กล้าจ้าวอินทรี ผู้พิทักษ์แห่งสำนักฟ้าดิน ผู้ไม่เกี่ยวข้องให้ถอยออกไป”

มันรอคอยการตัดสินใจของทั้งสองได้อย่างสงบ แต่ดูเหมือนจะไม่อาจทนกับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องได้ เด็กน้อยกลัวนางจะถูกลูกหลงไปด้วย จึงรีบออกปากเตือน

“รีบกลับไป เรื่องนี้มีอันตรายถึงชีวิต”

ไม่ต้องรอให้เด็กน้อยบอก นางก็ทราบดีแล้ว นางมองดูผู้กล้า เหลียวมองดูสูญ ก่อนปลดดาบที่สะพายอยู่บนหลังลงมา แล้วโยนให้กับเขา

“เจ้าไม่มีอาวุธ ดาบเล่มนี้เป็นของพ่อข้า เป็นดาบที่ดีเล่มหนึ่ง”

นางหันกายเดินจากไป แต่ปากยังกล่าววาจา

“ข้าเพียงให้เจ้ายืมเท่านั้น ใช้เสร็จเมื่อไรให้รีบนำไปคืน ข้าจะรอเจ้าอยู่ทางด้านโน้น”

เขารับดาบโค้งไร้ฝักเล่มนั้นเอาไว้ ก่อนจะทอดถอนใจ เขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย แต่คำตอบที่ต้องการรออยู่ตรงหน้าห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาย่อมไม่อาจตัดใจถอยหลังกลับได้

“นั่นคือคำตอบของเจ้า”

เขาพยักหน้ารับ มันจึงหันไปหาเด็กน้อย

“แล้วคำตอบของเจ้าเล่า”

กรุณายกสองมือขึ้นตั้งท่าต่อสู้อย่างรัดกุมทันที มันพยักหน้าว่ารับทราบคำตอบของเธอแล้ว ตำราเล่มนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ท่านปู่ทิ้งเอาไว้ให้ และความลับที่อยู่ในนั้นก็ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา เธอจึงไม่อาจสูญเสียมันไปได้

บุรุษชุดขาวปลดอาวุธของมันลงมา ที่แท้พวกมันเป็นตะขอสองชุด แต่ละอันแบ่งเป็นตะขอสามบน หนึ่งล่าง โค้งเข้าหากันเลียนแบบกรงเล็บของนก ปลายตะขอแต่ละอันแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง มันถูกเรียกว่า 'กรงเล็บอินทรี' นั่นเอง

เมื่อสวมใส่อาวุธลงบนมือทั้งสอง ตะขอทั้งสามด้านบนนั้นยื่นออกมาคลุมหมัด ส่วนตะขออันล่างอยู่แนบไปกับท่อนแขนด้านใน ซึ่งดูเหมือนจะใช้ประโยชน์ได้ยาก แต่เด็กน้อยมั่นใจว่ามันต้องสามารถใช้ออกได้แน่ อาวุธยิ่งสั้น ยิ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ใช้ อาวุธยิ่งพิสดาร ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความพลิกแพลงที่ไม่สิ้นสุด

สูญมองดูดาบในมือคล้ายกับไม่เคยใช้อาวุธเช่นนี้มาก่อน มันเองก็จ้องมองดูดาบเล่มนั้นเช่นกัน ตัวดาบนั้นโค้งมากกว่าปกติ ประกายดาบกลับหม่นหมองอย่างแปลกประหลาด มันพลันนึกถึงดาบโค้งที่มีชื่อเสียงอื้อฉาวเล่มหนึ่ง แต่หากเป็นดาบเล่มนั้นจริง เหตุใดหญิงสาวผู้นั้นจึงบอกว่ามันเป็นดาบของบิดา

“เจ้าถอยไปก่อน”

คำพูดไม่ทันจบ คนก็ลงมือแล้ว สูญพุ่งเข้าใส่บุรุษชุดขาวพร้อมกับฟันดาบลงมาตรงๆ มันมั่นใจในทันเมื่อได้เห็นประกายหม่นมัวที่วาดเป็นวงเข้ามา ดาบเล่มนี้คือ 'วัชระสีนิล' ดาบที่มีชื่อเสียงอื้อฉาวเล่มนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันไม่มีเวลามาขบคิดให้มากความอีกต่อไปแล้ว 'สยบคู่ต่อสู้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง'

พอกรงเล็บทั้งสองของมันเริ่มเคลื่อนไหว กรุณาเองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน ขอเพียงมีช่องว่างรอยโหว่ปรากฏขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย การต่อสู้ในครั้งนี้ก็จะจบลงทันที




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2554
3 comments
Last Update : 2 พฤษภาคม 2554 11:55:31 น.
Counter : 730 Pageviews.

 

มาทักทายๆๆๆนะจ่ะ

 

โดย: ตะวันเจ้าเอย 2 พฤษภาคม 2554 12:43:52 น.  

 

มารับคำทักทายครับ

 

โดย: zoi 2 พฤษภาคม 2554 15:41:39 น.  

 

ติดตามอยู่เช่นเดิมครับ บทนี้ไม่รู้จะคอมเมนท์อะไร

 

โดย: อาณาจักรแห่งเรา 3 พฤษภาคม 2554 16:24:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.