ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
 
มีนาคม 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
9 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 
เทพมารสะท้านมิติ ตอนที่ 1

ในมิติอันเวิ้งว้างก่อเกิดเบื้องบนเป็นแดนสวรรค์ เบื้องล่างเป็นแดนบาดาล และ ณ กึ่งกลางระหว่างทั้งสองแดนนั้นคือ เกาะเวียนเกิด อันเป็นที่อาศัยของเหล่ามนุษย์ อารยธรรมของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในเกาะแห่งนี้ ถูกควบคุมมิให้เจริญก้าวหน้าจนเกินไป ถึงแม้จะมีแค่งานโลหะขั้นพื้นฐาน แต่มนุษย์ก็ไม่เคยขาดแคลนอาวุธที่จะใช้นำมาประหัตประหารกันเลย

มิเพียงมนุษย์ แม้แต่แดนสวรรค์ และบาดาลเองก็ทำสงครามรบพุ่งกันอยู่เป็นประจำ เมื่อฝ่ายใดได้รับชัยชนะ ฝ่ายนั้นก็จะได้ขึ้นครองแดนสวรรค์ ส่วนฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็จะถูกขับไล่ให้ไปอยู่ใต้บาดาล เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานจนไม่รู้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายใดแล้ว

เต๋า ยืนเหม่อมองดูท้องฟ้าสีขมุกขมัว ก้อนเมฆสีคล้ำลอยลิ่วไปตามแรงลม พายุขนาดใหญ่กำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเหนือท้องฟ้าของเวียนเกิด ตำนานกล่าวเอาไว้ว่าทุกๆ หนึ่งร้อยปี แดนบาดาลจะยกทัพขึ้นไปรุกรานแดนสวรรค์ ก่อเกิดเป็นพายุเช่นนี้

เขายกมือขึ้นลูบเครายาวที่เป็นสีขาวปนเทาอย่างช้าๆ แม้คนทั่วไปจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงตำนานแต่เขารู้มากกว่านั้น 'ศึกครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่'

#####

สังหารสิ้น ยืนมองกองทัพสวรรค์นับแสนที่อยู่ต่อหน้าราวกับเป็นเพียงตุ๊กตากลุ่มหนึ่ง ส่วน ศีล สมาธิ ปัญญา สามแม่ทัพใหญ่แห่งแดนสวรรค์เองก็มองดูแม่ทัพบาดาลที่ปรากฏกายมาเพียงผู้เดียวนี้อย่างดูแคลน

สังหารสิ้นมีรูปกายไม่ต่างจากมนุษย์ผู้ชายเท่าใดนัก ตลอดทั้งร่างประกอบด้วยมัดกล้าม ไม่มีส่วนขาด หรือส่วนเกินแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปก็คือทั่วร่างของเขาประกอบด้วยเกล็ดแข็งสีดำ ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลที่เหมือนกับเพชร มันทั้งแข็งแกร่ง และแหลมคมในเวลาเดียวกัน

สายตาของเขาสงบนิ่ง เหม่อมองไปยังขอบของแดนสวรรค์ที่อยู่ไกลตา เขาต้องการให้ศึกครั้งนี้จบสิ้นลงโดยเร็ว เขาต้องรอคอยมาเกือบร้อยปีเพื่อให้ถึงวันนี้ และเขาก็ไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว

“เริ่มกันเลยไหม”

ศีลส่งเสียงมาจากหลังแนวทหาร พวกชาวสวรรค์นั้นก็มีรูปร่างคล้ายมนุษย์เช่นกัน แต่พวกเขาไม่มีการแบ่งแยกเป็นชายหญิง ใบหน้ารูปร่างของทุกคนนั้นดูงดงามชดช้อย เสื้อผ้าบางเบาที่พริ้วไหวของพวกเขาเหมือนดังถูกลมพัดอยู่ตลอดเวลา เหล่าทหารนั้นมีใบหน้าที่เกือบจะเหมือนกันทั้งหมด แต่แม่ทัพทั้งสามนั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อย

ศีลมีใบหน้าที่เย็นชากว่าผู้ใด เขาคือผู้คุมกฏแห่งสวรรค์ สมาธินั้นไม่มีใบหู แต่เขาสามารถรับรู้ทุกความสั่นไหวที่เกิดขึ้นไม่ว่าใกล้หรือไกล ส่วนปัญญานั้นไม่มีดวงตา ผิวหน้าตรงส่วนนั้นของเขาเรียบสนิท แต่เขากลับสามารถมองเห็นได้ทุกสิ่ง

“บาดาลขาดแคลนคนถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

สมาธิกล่าวเยาะ แต่ลึกๆ ลงไปเขาก็แอบนับถือชาวบาดาลที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ เพราะแม้จะอยู่ต่อหน้าทหารนับแสน แต่เขากลับสามารถยืนสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้ ปัญญากำลังขยับปากจะกล่าววาจาบ้าง แต่สังหารสิ้นก็ส่งเสียงขัดขึ้นก่อน เสียงของเขากลับทุ้มนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ

“กล่าวพอหรือยัง”

ศีลยกมือขึ้นโบกหนึ่งครั้งทหารนับแสนที่อยู่ตรงหน้าก็บุกเข้าหาสังหารสิ้นทันที เขาวิ่งฝ่าเข้าไปในกลุ่มทหารสวรรค์ พอเกล็ดสีดำบนร่างของเขาสัมผัสถูกร่างผู้ใด อะตอมของร่างกายส่วนนั้นก็แตกสลายลงทันที ทหารสวรรค์นับร้อยนับพันพากันสลายหายไปในชั่วพริบตา

“เกิดอะไรขึ้น”

ศีลเอ่ยถามอย่างตกใจ

“เกล็ดของเขาสั่นสะเทือนด้วยความถี่ที่สูงมาก ไม่รู้ว่าร่างกายของเขาทนรับแรงของมันได้อย่างไร”

สมาธิกล่าวตอบ เขาสามารถรับรู้ถึงความสั่นไหวที่เกิดขึ้นรอบกายสังหารสิ้นได้ พวกชาวสวรรค์ต่างไม่เคยพบเห็นอาวุธเช่นนี้มาก่อนเลย

ชาวสวรรค์ไม่มีใครรู้เบื้องหลังมาก่อนว่าเหตุใดสังหารสิ้นจึงเดินทางมาเพียงผู้เดียว เขามิได้ใช้ชื่อสังหารสิ้นมาตั้งแต่แรก แต่หลังจากการประลองสิ้นสุดลง ชาวบาดาลทุกคนต่างเรียกเขาด้วยชื่อนี้ ไม่มีทหารคนใดกล้าติดตามเขา และเขาก็ไม่ต้องการทหารติดตามเลยแม้แต่คนเดียว

ปัญญามองพลังงานที่ไหลเวียนผ่านร่างของสังหารสิ้นด้วยความตระหนก เขาไม่เคยเห็นพลังงานในรูปแบบนี้มาก่อน มันไหลเวียนเป็นเครื่องหมายเลขแปด 'เป็นวงเวียนแห่งอนันต์ไร้ที่สุด' ไม่เพียงแค่นั้น อัตราการสิ้นเปลืองของมันยังน้อยมาก จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีการสูญเสียพลังงานเกิดขึ้นเลย

“ด้วยอัตราที่เป็นอยู่ในตอนนี้ กองทัพของเราจะสูญสลายจนหมดสิ้นภายในเวลาสิบสามนาที สิบสามวินาที...ยังไม่นับรวมถึงการกำจัดพวกเราทั้งสามคนด้วย”

สามแม่ทัพสวรรค์หันมองหน้ากัน

“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

ศีลหลับตาลงพร้อมกับเร่งเร้าพลังจิตของตนเองให้เข้มข้นขึ้น สังหารสิ้นหันมามองเขาด้วยความสนใจ แต่ฝีเท้าก็ยังคงไม่ยอมหยุด 'ขออัญเชิญท่านเมตตาด้วย'

ทหารสวรรค์ที่เหลือรอดอยู่ต่างรีบถอยห่างออกมาจากร่างของสังหารสิ้น เขาเองก็หยุดยืนนิ่งรอคอยว่าชาวสวรรค์นั้นจะยังมีลูกเล่นอะไรอีก

สามแม่ทัพสวรรค์ต่างค้อมกายลงเมื่อมีร่างๆ หนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา ชาวสวรรค์ผู้นี้ที่มีรูปร่างหน้าตางดงามชดช้อยยิ่งกว่าผู้ใด ค่อยๆ ก้าวออกมาหยุดยืนเผชิญหน้ากับแม่ทัพบาดาลผู้สังหารผลาญชีวิตชาวสวรรค์ไปมากมายอย่างไม่เกรงกลัว

“เรามีนามว่าเมตตา”

“ข้าถูกเรียกว่าสังหารสิ้น”

“นั่นคือนามที่ผู้อื่นเรียกหา แต่ท่านเรียกตัวเองว่าอย่างไร”

“...สูญ”

“นามนี้มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก”

“เจ้าไม่เหมือนนักสู้เลยแม้แต่น้อย”

“เราจำเป็นต้องสู้เพื่อชาวสวรรค์ทั้งมวล”

ศีล สมาธิ ปัญญา ต่างประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน

“เมตตากว้างไกลไร้สิ้นสุด เหนือสวรรค์ เหนือเวียนเกิด เหนือบาดาล ครอบคลุมทั้งสามโลกไร้สิ้นสุด”

“ไร้สาระสิ้นดี”

สังหารสิ้นสบถเสียงดัง

“เราเห็นด้วย”

เมตตาส่งเสียงสนับสนุนเขาพร้อมรอยยิ้ม สามแม่ทัพสวรรค์ต่างหน้าเสียไปตามๆ กัน

“เจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไร หากสัมผัสถูกร่างข้า ร่างของเจ้าก็จะสลายไปทันที”

“เราจะจัดการท่านด้วยสองมือนี้”

เมตตายกมือทั้งสองข้างขึ้น เกิดเป็นสนามพลังที่บิดผันกลายเป็นกระจกมิติขึ้นมา กระจกด้านซ้ายสะท้อนเงามือขวา กระจกด้านขวาสะท้อนเงามือซ้าย กระจกทั้งสองสะท้อนกันเองเกิดเป็นเงาที่ไม่มีที่สิ้นสุด มีเงาของมือมากมายปรากฏขึ้นจนปิดบังผืนฟ้าไปจนหมดสิ้น

“วิชาอนันตหัตถ์”

มือทั้งหมดพุ่งตรงเข้าหาร่างของสังหารสิ้นทันที ใบหน้าของศีลมีรอยยิ้มบางๆ เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นฝีมือของเมตตามาก่อน แต่ตอนนี้เขาไม่สงสัยอีกแล้ว

ปัญญามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของพลังงานในร่างสังหารสิ้นได้อย่างชัดเจน และเขาต้องลอบตื่นตระหนกเมื่อจู่ๆ พลังงานที่มหาศาลนั้นพลันสูญหายไปจนหมดสิ้น เมตตาเองก็มองดูคู่ต่อสู้อย่างไม่เข้าใจเช่นกัน

สังหารสิ้นดึงเกล็ดออกมาชิ้นหนึ่งแล้วโยนขึ้นไปกลางอากาศ มวลของมันหดตัวลงอย่างรวดเร็ว โครงสร้างอันแข็งแกร่งของเพชรถูกทำลายลง อะตอมทั้งหมดของมันเบียดรวมตัวกันอย่างไม่น่าเชื่อ เมตตาถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างชื่นชม อะตอมยังคงหดตัวต่อไปจนกลายเป็นอนุภาคที่เล็กกว่านั้น

มวลที่ถูกอัดจนมีขนาดเล็กจิ๋วก่อให้เกิดแรงดึงดูดมหาศาล มันเริ่มดึงดูดทุกสิ่งให้วนเข้าหาคล้ายกับเป็นวังน้ำวนขนาดยักษ์ รอบๆ ตัวมันกลายเป็นความมืด เพราะแม้แต่แสงก็ยังถูกดึงดูดเข้าไปในตัวมัน แน่นอนว่าอนันตหัตถ์เองก็ไม่ได้รับการยกเว้น

“...จะควบคุมมันได้หรือ”

เมตตาพึมพำเบาๆ ทหารสวรรค์เองต่างถูกดูดเข้าไปเป็นจำนวนมาก แม้แต่สามแม่ทัพสวรรค์ก็ยังต้องพยายามแทบตายกว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ มีเพียงเมตตา กับสังหารสิ้นที่ยังคงยืนอย่างเป็นปกติ

“อนันตหัตถ์ของเจ้าจะถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว เจ้าจะยังทำอะไรได้อีก”

“เรายังมีสองมือนี้”

เมตตาเดินเข้าหาสังหารสิ้นโดยไม่สนใจหลุมดำขนาดเล็กนั้นเลย สังหารสิ้นต้องลอบตื่นตระหนกตอนนี้เขาต้องใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการควบคุมหลุมดำที่เปิดขึ้นมา ไม่อย่างนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็จะถูกดูดเข้าไปด้วย

“หยุดเดี๋ยวนี้”

สมาธิได้ยินความไม่มั่นใจในน้ำเสียงของสังหารสิ้นเป็นครั้งแรก 'การต่อสู้ในครั้งนี้ใกล้จบสิ้นแล้ว'

“ถ้าเจ้าไม่หยุดข้าจะปลดปล่อยสนามพลังให้พวกเราทั้งหมดตกเข้าไปในหลุมดำพร้อมๆ กัน”

เมตตายังคงยิ้ม ก่อนจะส่งเสียงตวาดดังเลื่อนลั่น

“เราคือความเมตตาแห่งราชสีห์ ความเมตตาของเราจะฉีกกระชากอัตตาของเจ้าให้แหลกสลาย ความเมตตาของเราไม่นิ่งเงียบ มันส่งเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวต่อผู้ที่คู่ควร”

สังหารสิ้นร่างสั่นเทิ้ม เมตตาไม่ได้แค่ตวาด ในเสียงของเขามีคลื่นพลังงานที่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนได้ยิ่งกว่าเกล็ดสีดำ และเมื่อปะทะชนกันพวกมันก็แหลกสลายกลายเป็นเศษผงร่วงลงบนพื้น

สมาธิยกมือขึ้นปิดบริเวณหูด้วยความเจ็บปวด เพราะเขาสามารถรับรู้ถึงความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นได้มากกว่าใคร น้ำเสียงของเมตตากลับคืนสู่ภาวะปกติ

“และท่านคือผู้คู่ควรนั้น”

มือเปล่าของเมตตาสัมผัสถูกร่างเปลือยของสังหารสิ้น พลังงานที่ใช้ควบคุมหลุมดำพลันขาดสะบั้น แต่ก่อนที่มันจะเริ่มก่อความเสียหายไปมากกว่านั้น เมตตาก็อ้าปากแล้วดูดมันเข้าไปในร่าง สามแม่ทัพสวรรค์มองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา ร่างของเมตตามีอะไรที่แตกต่างไปจากชาวสวรรค์คนอื่นๆ กันแน่

“สงครามสิ้นสุดลงแล้ว”

เมตตาประกาศก้อง สังหารสิ้นเองก็ยอมรับสภาพของผู้พ่ายแพ้ แม้เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ แต่แพ้ก็คือแพ้ แพ้ก็เท่านั้น เขาหลับตาลงรอคอยวาระสุดท้ายของตน

“นับแต่นี้สังหารสิ้นได้ตายไปแล้ว”

สามแม่ทัพสวรรค์มองหน้ากันอย่างงงงัน ศีลเป็นคนที่เอ่ยปากขึ้นก่อน

“ท่านเมตตา ท่านหมายความว่าอย่างไร”

เมตตายิ้มให้กับทุกคน

“เราจะส่งสูญผู้นี้ไปยังเกาะเวียนเกิด ให้ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง”

“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน”

ศีลรีบคัดค้านทันที

“เราคือเมตตาแห่งราชสีห์ ผู้ใดกล้าคัดค้านเรา”

เมตตาตวาดก้อง น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยพลังงานมหาศาล ศีลได้แต่ปิดปากลงแล้วยืนนิ่ง เมตตามองดูผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง สูญมองหน้าเขาคล้ายอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก

“แล้วท่านจะเข้าใจ เมื่อถึงเวลาท่านจะเข้าใจ”

ร่างของสูญกลายสภาพเป็นดาวตกพุ่งไปสู่เกาะเวียนเกิดทันที เมตตาจากไปแล้ว กลับคืนสู่ที่บำเพ็ญเหมือนที่เคยผ่านมา สามแม่ทัพสวรรค์ต่างประชุมกันอย่างเคร่งเครียด แม้สวรรค์จะได้รับชัยชนะ แต่เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“เอาอย่างไรดี”

ปัญญาเอ่ยถาม

“ต้องถอนรากถอนโคนจัดการให้สิ้น”

สมาธิเอ่ยบ้าง ศีลเองก็พยักหน้าเห็นด้วย ในที่สุดทั้งสามต่างตกลงที่จะจัดการเรื่องนี้ต่อให้เสร็จสิ้น

#####

เต๋าเงยหน้าขึ้นมองฟ้า พายุร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นที่ไม่เคยมีมาก่อนก็สงบลงด้วย สงครามยุติลงแล้ว และดูเหมือนว่าฝ่ายสวรรค์จะได้รับชัยชนะอีกครั้ง แต่จะไปสนใจทำไม เพราะถึงอย่างไรเวียนเกิดก็จะยังคงถูกเหยียบย่ำอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ทันใดนั้นพลันมีแสงสว่างวูบหนึ่งพุ่งตัดผ่านขอบฟ้า ดาวตกดวงหนึ่งพุ่งหายไปในผืนป่าเบื้องล่าง ชายชรายกนิ้วมือขึ้นนับ ใบหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจ 'นี่มันเรื่องอะไรกัน สิ่งที่ตกลงมานี้อาจสามารถพลิกฟ้าคว่ำดินได้เชียวหรือ' ร่างของชายชราพลันดีดพุ่งลงไปสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีเค้าของความชราเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นบนท้องฟ้าเหนือเวียนเกิดยังมีดาวตกตามลงมาอีกดวงหนึ่ง น่าเสียดายที่เต๋ากลับไม่ได้รับรู้ถึงการมาถึงของดาวดวงนี้


Create Date : 09 มีนาคม 2554
Last Update : 9 มีนาคม 2554 10:18:38 น. 4 comments
Counter : 785 Pageviews.

 
ตามปกติ ผมจะอ่านแต่ 'สัญญาจ้าวราชันย์'

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ของคุณ เราไม่เคยอ่าน

แต่วันนี้ ผมบังเอิญ เจอเรื่องใหม่ เป้นเรื่องที่ คุณเขียนว่า กำลังเขียน และชื่อเรื่องสะดุดใจผมยังไงไม่รู้ ก็เลยลองเข้ามาอ่านดู โชคดีที่เป็นบทแรกด้วย และผมเข้ามาในเวลาที่คุณอั๊บเสร็จพอดี แบบคุณอั๊บเสร็จตอน 10:18 แต่ผมเข้ามา 10:20 พอดีแฮะ ถือว่าทันเวลา

พูดถึงเนื้อเรื่อง ก็แปลกดี ไม่เหมือนใคร แถมเข้าใจง่าย รอดูอยู่ว่า เต๋าเป็นใคร แล้วนอกจาก 'สูญ' แล้ว ใครตามมาอีกคน


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:10:47:22 น.  

 
ปล.

อันที่จริง ก็มีนักเขียนหลายท่าน ที่มีงานเขียนแนว 3 โลก สู้กัน แต่ก็น้อยคนที่จะเอาผมอยู่ ซึ่งสังเกตแค่บทแรกก็พอแล้ว แค่บทแรกก็ฟ้องแล้วว่า 'สนุก หรือไม่สนุก'


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:10:51:54 น.  

 
ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ

ตอนแรกผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะลงดีไหม
แต่บอกตัวเองว่าเรื่องนี้คงไม่ยาวนัก น่าจะพอเขียนได้อยู่

และการลงไว้ก่อนก็เป็นการบังคับตัวเองให้เขียนต่อด้วย
ไม่อย่างนั้นมันอาจถูกเก็บรวมไว้ในเรื่องที่ยังเขียนไม่จบต่อไป


โดย: zoi วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:12:00:31 น.  

 
ไม่ยาว...งั้นเหรอ...

แต่ก็จะรอ (กดดัน ๆๆๆๆ)


โดย: อาณาจักรแห่งเรา วันที่: 9 มีนาคม 2554 เวลา:21:18:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.