[R]St. Petersburg - Catherine Palace
ฉันพาตัวเองมาอยู่ที่เมโทร Moskovskayaไม่ใช่เพื่อจะมาต่อรถไฟกลับมอสโก แต่ใช้เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางไปยังเมืองเล็ก ๆ ชื่อว่า 'พุชกิ้น' ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ ไกลจากตัวเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ราว ๆ 25 กิโลเมตร โดยจะต้องมารอขึ้นรถตู้ หรือ ไม่ก็รถประจำทางจากฝั่งเดียวกันนี้อีกหนึ่งต่อ ในช่วงสายของนั้นมีรถตู้สาย K-545 มาจอดรอรับผู้โดยสารอยู่พอดี สังเกตง่าย ๆ คือจะมีคำว่า Pushkin แปะหราอยู่ข้างรถ โดยบริเวณจุดจอดรถตรงนั้นดูไปก็ คล้ายกับวินรถตู้บ้านเรานี่แหละ...เห็นพี่คนขับออกมายืนหน้ารถเรียกลูกค้าด้วย คงจะพูดตามรูปแบบเดียวกันล่ะมั้ง เต็มแล้วออกจ้า เต็มแล้วออก ก็ขึ้นไปนั่งรอจนกว่าคนจะขึ้นมาจนได้จำนวนแล้วก็ถึงจะเคลื่อนล้อออกเดินทาง กันได้ ส่วนค่ารถในตอนนั้น คือ 35 รูเบิ้ล ซึ่งเวลาที่จ่ายเงินให้กับคนเก็บเงิน ก็จะได้ยินคนโน้นคนนี้บอกถึงปลายทางที่จะพวกเขาจะลงกัน เลยพยายามเงี่ยหู ฟังไว้ เผื่อว่าจะมีใครสักคนเป็นที่พึ่งได้เมื่อไปถึงบ้าง
อ้อ...ลืมบอกไปว่ารถคันนี้จะผ่านเมืองนี้เฉย ๆ ไม่ใช่สุดสายนะ ถึงแม้ว่า พุชกิ้น จะเป็นที่ตั้งของพระราชวังที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งก็ตาม แต่ฉันได้ยินมาว่าอาจ ลำบากนิดหน่อยต่อการสังเกต เพราะไม่ได้โดดเด่นแบบ Peterhof ที่มองเห็นได้ จากหน้าถนน แล้วรถตู้คันนี้เวลาวิ่งก็ดูเงียบกริบ ไม่มีหรอกที่จะประกาศบอกชื่อ สถานีข้างหน้าก่อนลงจอด ทุกอย่างดูสงบนิ่งยังกับว่ามีใครสักคนไปกดปุ่ม Mute
ฉันพยายามพูดถามคนที่นั่งด้านข้างถึงพุชกิ้นเอาไว้ เผื่อว่าเธอจะช่วยสะกิดบอก ก่อนนั่งเลยไปไกล ซึ่งเมื่อไปถึงปลายทางก็มีผู้โดยสารคนเดียวที่ลงจากรถล่วง หน้าฉันไปก่อน คนรัสเซียที่นั่งข้าง ๆ จึงหันมาบอกให้ลงตามไป...มันเป็นจุด ลงรถที่มองไม่เห็นพระราชวังเลย เอาเป็นว่า นี่ถ้ามาแบบไม่รู้เรื่องก็คงคิดว่าเป็น ทางเดินเข้าไปยังหมู่บ้านไหนสักแห่งที่อยู่กลางป่าดง
ถัดจากปากทางเข้าด้านหน้าไปไม่ไกล ก็จะได้มีเขตแนวรั้วกั้นสวน ที่เต็มไปด้วย ต้นไม้ใหญ่พร้อมกับใบที่เปลี่ยนสีตามฤดูออกมาอวดตัวให้ได้เจอกันเป็นด่านแรก และเมื่อข้ามทางเดินไปยังฝั่งที่ตั้งของสวนดังกล่าว ภาพโดมหลังคาสีทองและ อาคารสีฟ้าสดก็จะออกมาปรากฏให้เห็นทันที (แหม...ซ่อนเราซะมิดเชียว)
นักท่องเที่ยวกำลังเดินมุ่งหน้าไปที่พระราชวังแคทเธอรีน จากที่ตรงนี้จะสามารถมองเห็นโดมสีทอง ที่มียอดเป็นรูปไม้กางเขน กับตัวอาคารสีขาวตัดสลับสีฟ้าอ่อน
จำนวนนักท่องเที่ยวที่มายืนรอคิวเข้าชมพื้นที่ด้านในพระราชวังในช่วงสิบโมงเช้า ดูเหมือนว่าจะมี มากขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันแทบอยากยกเลิกการเข้าชมสถานที่ตรงนั้นเพราะคงต้องใช้เวลานานมาก
pavilion - Hermitage
ชื่อของพระราชวังนี้ก็คือ Catherine Palace และสถานที่ดังกล่าวนี้เคยใช้เป็นที่ ประทับในช่วงฤดูร้อนของซาร์รวมถึงสมาชิกในครอบครัว และทั้งนี้ยังมีชื่อเรียก อื่นอีกนั่นคือ Tsarskoye selo ที่มีความหมายว่า หมู่บ้านของซาร์ (The Tsars village)
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลไหนกันที่ เป็นแรงจูงใจให้เดินทางมาจนถึงที่นี่ได้ (หนก่อนนี้ ฉันก็บ่นเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ว่าเริ่มดูสวยซ้ำ ๆ ไปมาจน เริ่มตาลาย) ถ้าไม่นับรวมว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าแวะ และต้องมาก็คงอาจเพราะ ชื่อเสียงของห้องอำพันที่โด่งดัง หรือไม่ก็เป็นตัวพระราชวังสีฟ้าที่ดูสวยอย่าง ลงตัวแต่ก็นึกไม่ถึงมาก่อนว่า บริเวณสวนรอบข้างจะมีหนองน้ำที่ดูใหญ่โตและเต็ม ไปร่มไม้และทุ่งกว้างมากมายแบบนี้
ภาพจากบริเวณมุมหนึ่งของสวน ที่หนองน้ำจะมีพวกเป็ดว่ายน้ำให้เป็นตลอด
ร่มไม้รอบ ๆ หนองน้ำที่ตอนนี้กำลังเปลี่ยนสีเต็มไปหมด
Agate Rooms
รูปปั้นของแคทเธอรีนมหาราช บริเวณสวนไม่ใช่ว่าจะเข้าชมฟรีนะคะ จำเป็นที่จะต้องเสียค่าผ่านประตูเสียก่อน ซึ่งบางคนที่มาเที่ยวก็ใช่ว่าพวกเขาจะเข้าไปเยี่ยมชมตัวพระราชวังกันอย่างเดียว บ้างก็มาปิคนิก หรือไม่ก็หาสถานที่ถ่ายรูปแต่งงาน
พอได้เห็นภูมิทัศน์รอบข้างแบบนี้ ฉันก็เริ่มคิดหนักว่าจะเข้าไปชมพระราชวังด้าน ในด้วยดีมั้ย เพราะว่าแถวอันยาวเหยียดที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ต่อรอคิวตรงด้านหน้า และไหนจะยังมีกลุ่มทัวร์ยกธงอีก มันก็ช่างดูมหาศาลจนคำนวนเวลาไม่ถูกว่าจะได้ เข้าในลำดับที่เท่าไหร่กัน
ฉันละจากแถวดังกล่าว ไปยืนเอ้อระเหยมองรูปปั้นของพระนางแคทเธอรีนมหาราช ขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่บนอาคารหลังหนึ่งไม่ไกลไปจากตัวพระราชวัง และดูเหมือนว่า จะได้ยินคนพูดเป็นภาษาไทยแว่วผ่านมา "นี่ไง...คนนี้ที่เป็นเจ้าของ"
หนึ่งในนั้นชี้ไปยังรูปปั้นของพระนางแคทเธอรีน
เอ๊ะ...ผิดนะ ไม่ใช่ 'แคทเธอรีน' นี้ (ก็แค่คิดในใจนะ แต่ไม่ได้พูดกลับไปแบบดัง ๆ)
ไหน ๆ ก็ได้เจอคนไทยแล้ว ฉันเลยถือโอกาสเข้าไปทักพี่ผู้หญิงคนไทยทั้งสองคน ก็จำไม่ได้แล้วว่าคุยอะไรไปบ้าง และก่อนแยกกันพวกพี่ก็ได้ช่วยถ่ายรูปฉันกับ สถานที่นี้ให้เป็นที่ระลึกหลายภาพเลย (แต่ว่าสภาพตัวเองในตอนนั้นดูไม่ค่อยจืด แล้วค่ะเลยไม่ได้มีโอกาสเอารูปที่ว่ามาโพสต์ลงที่ไหนสักที ยังไงก็ขอขอบคุณ ผ่านบล็อกนี้ด้วยนะคะ)
แล้วในที่สุดฉันก็เปลี่ยนใจเดินย้อนกลับมาต่อแถวเพื่อรอเข้าชมภายในพระราชวัง จนได้ เพราะได้ยินว่าพี่ทั้งสองเริ่มไม่อยากเข้าไปกันแล้วและฉันเองก็นึกเสียดายแทน ช่างดูเหมือนจะเป็นเหตุผลที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันซะจริง
ตรงด้านหน้าพระราชวัง ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง จำนวนผู้คนที่มายืนต่อแถวก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉันตัดสินใจกลับไปเข้าแถว เพราะหากว่าคิดช้าไปอีกห้านาที โอกาสที่จะได้เข้าไปก็ยิ่งช้าลงด้วย
ไม่กี่นาทีถัดมาตำแหน่งปลายแถวที่ฉันยืนอยู่ก็มีคนมาต่อท้ายไปอีกเรื่อย ๆ จนมันยาวเป็นหางว่าว พอเมื่อใกล้ถึงลำดับของตัวเองที่จะได้เข้าไปพร้อม ๆ คน อื่น กลุ่มป้าด้านหลังที่ถูกนับหัวไปด้วยก็ถึงกับตะโกน ฮาเลลูย่า! ด้วยความดีใจ เพราะมันช่างเป็นการรอคอยที่นานซะเหลือเกิน เจ้าหน้าที่จะปล่อยให้ผู้ชมเดินเข้าไปเป็นกลุ่มประมาณยี่สิบคน หลังจากได้รับ อนุญาตให้เข้าไปแล้วก็จะต้องตรงเข้าไปซื้อตั๋วเข้าชมก่อนเป็นอันดับแรก และต่อ มาก็ต้องฝากกระเป๋า และรับถุงสำหรับสวมทับรองเท้าให้เรียบร้อยก่อนที่จะทยอย เดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไปด้านใน ผืนที่ดินแห่งนี้ซาร์ปีเตอร์ได้มอบเป็นของขวัญแด่พระนางแคทเธอรีน ผู้เป็นมเหสี เมื่อปี ค.ศ. 1708 โดยพระราชวังสร้างเมื่อปี 1717 พระนางแคทเธอรีนผู้นี้ภายหลัง ได้ขึ้นครองราชย์เป็นประมุขหญิงคนแรกของจักรวรรดิรัสเซีย ต่อจากซาร์ปีเตอร์- มหาราช แต่กว่าที่นี่จะใช้เป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการจริง ๆ ก็คงตกไปอยู่ใน รัชสมัยที่พระนางอลิซาเบธขึ้นครองราชย์ รวมถึงทำการขยับขยายอาคารและตบแต่ง เสียใหม่ให้ดูอลังการกว่าเดิม เรื่องของประวัติความเป็นมาเหล่านี้ หากฟังผิวเผินก็คงดูคล้ายกับหญิงสาวกับ เจ้าชายในฝัน (แต่หากไปหาประวัติศาสตร์มาอ่านกันแบบเต็ม ๆ อาจจะสลายมโน โลกดิสนีย์ไปหมดเกลี้ยง)
ในเอนทรี่นี้จะลงแค่พอคร่าว ๆ ดีกว่าเนอะ พระนางแคทเธอรีน เป็นสามัญชนชาวลิทัวเนียมีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวนา โดยมีนามเดิมว่า Marfa Skavronskaya และเปลี่ยนชื่อเป็น Yekaterina (เขียนแบบ Cyrillic คือ Екатерина) หรือ แคทเธอรีน ในภาษารัสเซีย หลังหันมานับถือ นิกายออโธดอกซ์ เคยมีหน้าที่เป็นหญิงรับใช้โดยทำหน้าที่ซักผ้าในบ้านของ เจ้าชายเมนชิคอฟ (Alexander Donilovich Menshikov) ผู้เป็นนายทหารและ คนสนิทของซาร์ปีเตอร์มหาราช
ระยะเวลาการครองราชย์ของพระนางนั้นถือเป็นช่วงสั้น ๆ คือปี ค.ศ. 1725-1727 ก็ไม่ถือว่ามีบทบาทอะไรนัก เพราะอำนาจการดูแลในยุคนั้นตกไปอยู่ที่ เมนชิคอฟ เสียมากกว่า ทำให้ต่อมารัสเซียก็ตกสู่ยุคสมัยแห่งความยุ่งยากครั้งที่สอง เพราะ เรื่องของการเปลี่ยนอำนาจการปกครองที่ไม่ลงตัว เนื่องจากซาร์ปีเตอร์ฯ เองก็ ไม่ได้ระบุเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทไว้อย่างเป็นทางการไว้ก่อนเสียด้วย
กระทั่งในปี ค.ศ. 1762 เกิดการยึดอำนาจในรัชสมัยของ ซาร์ปีเตอร์ที่ 3 หลังจากรับตำแหน่งไปเพียงหกเดือน โดยพระนางแคทเธอรีน มเหสีผู้มีพื้นเพมา จากเจ้าหญิงจากแคว้นเล็ก ๆ ของเยอรมนี พระนางได้ขึ้นครองราชย์แทนพระสวามี ท่ามกลางการสนับสนุนของเหล่าขุนนาง ทั้งนี้ในยุคสมัยของ แคทเธอรีนที่ 2 หรือ แคทเธอรีนมหาราช (ผู้มีศักด์เป็น หลานสะใภ้) นี่แหละ ที่ถือว่าโดดเด่นและเป็นช่วงยุคทองของจักรวรรดิรัสเซีย พระนางครองราชย์ในปี ค.ศ. 1762-1796
ส่วนเรื่องของพระราชวังแห่งนี้ ถ้าพูดจะถึงแคทเธอรีนคนไหนที่เป็นเจ้าของแต่ ดั้งเดิม คงต้องบอกว่า แคทเธอรีนที่หนึ่ง ถึงจะถูกเนอะ ....บางทีชื่อที่นิยมหยิบมา ตั้งกันซ้ำ ๆ ของคนตะวันตก มันก็ชวนให้น่าสับสนชะมัด
ภาพพื้นที่ด้านในพระราชวังที่ได้เข้าไปชมพร้อม ๆ กับคนกลุ่มอื่น
ภาพเขียนบนเพดาน จะเห็นว่ามีตราสัญลักษณ์ที่แทนนาม พระนางแคทเธอรีนที่ 1 นั่นคือตัวอักษร E และ I ตรงกึ่งกลาง
เครื่องทำความร้อนแบบดั้งเดิมที่เป็นกระเบื้องเคลือบลายคราม
ห้องอาหาร (ที่จริงแล้วก็มีอยู่หลายห้องนะ แต่ถ่ายมาไม่ครบ)
หุ่นจำลองและชุดของจักรพรรดินีอลิซาเบธ
ภาพของการบูรณะซ่อมแซมที่มีติดไว้ให้เปรียบเทียบดูในบางห้อง
ในส่วนของ Amber Room หรือห้องอำพัน ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้ เลยไม่มี ภาพเก็บกลับมาเป็นที่ระลึก แต่บางคนก็พยายามหาวิธีอื่นแทนเช่น ซูมภาพจาก ห้องใกล้ ๆ เอาแต่บางคนก็เล่นทีเผลอ คือเห็นจากคนในกลุ่มที่เข้าไปพร้อมกับตัว เองนั่นแหละ ที่เป็นชาวเอเชียสองรายทำทีเป็นยกกล้องขึ้นมาในช่วงที่ผู้บรรยาย กำลังหันไปหน้าไปพูดทางอื่น ด้วยความที่เป็นกล้องตัวเล็กและยกขึ้นมากดแบบ กะทันหัน
ทำให้คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลตรงจุดนี้เอ็ดว่า 'ห้ามถ่ายรูป' ทั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ กดลบทิ้งไปแต่อย่างใด และทำแก้เก้อหลังจากทำสิ่งผิด ๆ ด้วยการพูดภาษา ของตัวเองโต้ไป โดยทำเป็นเหมือนว่าไม่เข้าใจว่าถูกเจ้าหน้าที่พูดดุเรื่องอะไร...
ในช่วงท้ายของการเดินชมห้องต่าง ๆ ก็จะได้เห็นภาพของตัวพระราชวังในสภาพ ถูกทำลายในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย การทำลายเกิดขี้นในระยะเวลาสั้น ๆ จากเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการหายสาบสูญของห้องอำพันไปด้วย (ทหารเยอรมันได้ทำการแกะรื้อออกเพื่อนำกลับไปยังเมือง Königsberger และ ภายหลังเมื่อมีการเคลื่อนย้ายไปยังที่อื่น ในช่วงขณะนั้น เมืองดังกล่าวก็ถูกโจมตี ทางอากาศอย่างหนักด้วยการทิ้งระเบิดของอังกฤษ และการบุกของกองทัพโซเวียต จนต้องเสียเมืองไปในที่สุด นับจากนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าห้องอำพันหายไปอยู่ที่ไหน)
ห้องอำพัน ในปัจจุบันนี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ปี 1979 โดยใช้เวลานานมากกว่า 20 ปี ด้วยเงินร่วมบริจาคของบริษัทเยอรมัน และสร้างด้วยช่างฝีมือชาวรัสเซีย รูปแบบการสร้างนั้นเลียน แบบมาจากภาพถ่ายของห้องอำพัน(เดิม) กว่าโครงการนี้จะเสร็จสมบูรณ์และให้เข้าชมอย่างเป็น ทางการก็คือปี ค.ศ. 2003 โดยมี Vladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย ในตอนนั้น (และบัดนี้) และ Gerhard Schröder นายกรัฐมนตรีแห่งเยอรมนี มาทำร่วมทำพิธีเปิด ข่าวบางส่วน : https://news.bbc.co.uk/2/hi/europe/3025833.stm
ถุงใส่รองเท้าที่สวมป้องกันพื้นเลอะสกปรก โดยวิธีนี้ทำให้เราไม่ต้องฝากรองเท้าให้วุ่นวายด้วย
หลังจากที่ได้ออกมาจากพระราชวังแล้ว ฉันก็กลับไปเดินเล่นที่สวนอีกครั้งหนึ่ง เพราะมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่โตและมีวิวที่สวยด้วย ดูเหมือนว่าในช่วงฤดูใบไม้ เปลี่ยนสีแบบนี้ จะมีกิจกรรมที่น่าสนุกเล็ก ๆ กัน อย่างเช่นการเดินเก็บใบไม้สี เหลืองทองที่ร่วงจากการผลัดใบ (ไม่แน่ใจว่ามันคือใบอะไร) มานั่งไขว้ก้านเพื่อทำเป็น มงกุฎ ดูแล้วน่าทำบ้างเหมือนกัน :)
Turkish Bath Pavilion และ Chesme Column
ฉันอยู่ที่นี่นานถึงสี่โมงเย็น ช่วงเดินทางออกไปยังประตูก็ได้เห็นที่ตั้งของอาคารสี ส้ม-ขาว ซึ่งเป็นสถาบันเก่าแก่ที่ชื่อว่าลีเซียม ซึ่งก่อตั้งขึ้นในสมัยของ ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาที่คัดเฉพาะพวกหัวกะทิ และบริเวณนั้นก็มีพื้นที่สวนหย่อม ขนาดเล็กอยู่ด้วย มีรูปปั้นของชายผมหยิกผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และทำท่า เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นั่นคือรูปปั้นของ Alexander Sergeyevich Pushkin (ค.ศ.1799-1837) ผู้ที่ได้รับ ยกย่องเป็นให้เป็นกวีเอกผู้ยิ่งใหญ่ ตลอดจนเป็นผู้ริเริ่มงานวรรณกรรมรัสเซียสมัยใหม่ และตัวของ พุชกิ้น เองนั้นก็ได้เข้าเรียนที่สถาบันลีเซียมแห่งนี้ ตั้งแต่อายุ 12 ปี ชื่อของพุชกิ้น ถูกนำไปใช้ตั้งเป็นที่รำลึกในที่ต่าง ๆ อย่างเช่น ชื่อถนน สถาบัน การศึกษา ตลอดจนถึงหมู่บ้านนี้เช่นกัน
ในปี ค.ศ. 1918 Tsarskoye Selo ที่หมายถึง หมู่บ้านของซาร์ ได้ถูกกลุ่มบอลเชวิค ซึ่งมีอำนาจในยุคนั้นเปลี่ยนชื่อไปเป็น Detskoye Selo หรือหมู่บ้านเยาวชน และต่อมาในปี ค.ศ. 1937 ก็ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็น Pushkin เพื่อรำลึกถึงในโอกาสครบรอบร้อยปีหลังการเสียชีวิต
ขากลับหนนี้ ไม่มีเส้นทางไหนให้น่าเลือกกลับที่พักไปมากกว่าทางเดิม (ถึงจะมี เส้นรถไฟให้น่าลอง ก็ไม่อยากคิดถึงการหลงที่ไม่น่าสนุกยามเย็นเผื่อไว้ล่วงหน้าค่ะ) เมื่อใกล้ถึงประตูทางออก ก็มีเสียงเป่าขลุ่ยดังขึ้นมาเบา ๆ จากนักดนตรีผู้หนึ่งที่ แต่งกายแบบคนโบราณ สวมวิกผมลอนสีขาว มายืนบรรเลงเพลงให้ผู้คนที่อยู่ใน สวนฯ ได้ฟัง ผู้ชมบางคนก็ส่งกำลังใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เป็นเงินลงบนหมวกที่วาง อยู่บนพื้น .... มันเป็นบรรยายกาศที่ดีมากจริง ๆ ฉันจึงหยุดความเร่งรีบเอาไว้ และ เดินย้อนมายืนฟังเสียงเครื่องเป่าอยู่ที่ตรงนั้นครู่ใหญ่ส่งท้าย ก่อนที่จะต้องเดินทาง กลับเข้าเมือง
"เพิ่มเติม" ** Catherine II หรือ Catherine the Great มีพระนามเดิมว่า Sophie Friederike Auguste เป็นเจ้าหญิงจากแคว้น Anhalt-Zerbst แห่งปรัสเซีย (หรือเยอรมนี ในปัจจุบัน)
** หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชาย "อเล็กเซ เปโตรวิช" รัชทายาทสายตรงของซาร์ปีเตอร์ ซึ่งถือกำเนิดมาจากมเหสีองค์แรกที่ชื่อว่า ยูโดเซีย (Yudoxia Lopukhina) โดยถูกจับคุมขังคุกที่ Paul and Peter fortress ในฐานะนักโทษการเมือง เพราะมีความเห็นไม่ลงรอบกับพระบิดา
ซาร์ปีเตอร์ฯ จึงเหลือเพียงแค่พระธิดา 2 องค์ คือเจ้าหญิงแอนนา และเจ้าหญิงอลิซาเบธ ที่ถือกำเนิดมาจากพระนางแคทเธอรีน (มีโอรสและพระธิดา 12 องค์ แต่ว่าเสียชีวิตตั้งแต่ แรกคลอด หรือไม่ก็มีอายุอยู่ได้ไม่ถึงกี่ปี)
** ซาร์ปีเตอร์ที่ 3 มีศักดิ์เป็นหลานของซาร์ปีเตอร์มหาราช ** ตำแหน่งประมุขของรัสเซียคือ ซาร์ และ ซารีนา (มเหสี) ถูกใช้เรียกอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1547-1721
แต่ในช่วงปี ค.ศ. 1721-1917 ซาร์ และ ซารีนา จะเป็นคำเรียกแบบไม่เป็นทางการ โดยจะใช้พระอิศริยยศเรียกแทนว่า จักรพรรรดิ และ จักรพรรดินี
สำหรับบล็อกนี้จะขอเขียนคำเรียกตำแหน่งประมุขของรัสเซียทั้งสองแบบนะคะ ** เผื่อคนเข้ามาใหม่ นี่เป็นการเดินทางเมื่อปี 2013 โน่นนนน
Create Date : 22 ธันวาคม 2561 |
Last Update : 24 ธันวาคม 2561 21:23:40 น. |
|
26 comments
|
Counter : 2830 Pageviews. |
|
|
นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมเยอะเลยๆ ขนาดดูจากระยะไกลนะนั่น
บางครั้งเราก็ต้องรีบตัดสินใจ ช้าไปนิดเดียว อะไรหลายๆ อย่างมันก็เปลี่ยนไปทันที
ภายในสวยงามอลังการมาก เหลืองทองงามอร่ามตา
ถุงใส่รองเท้าเดี๋ยวนี้ในไทยหลายๆ ที่ก็ใช้ลักษณะนี้เหมือนกัน เพียงแต่ของไทยต่างกันตรงที่ให้ถอดแล้วใส่ถุงถือเข้าไป
ถ้าเป็นช่วงกลางวันก็น่าลองทางใหม่ๆ แต่เย็นแล้วพอมืดหลายๆ อย่างมันจะดูเปลี่ยนไปทันที ก็ดีแล้วล่ะครับที่ไม่เสี่ยง