บริเวณหน้าอาคารแห่งหนึ่ง คาดว่าน่าจะเป็นตึกเดียวกับโฮสเทลที่จองไว้
จากหมายเลขที่อยู่ติดบอก ซ้อนกันหลายตัวตรงหน้าทางเข้าที่มีประตูปิด
แน่นอนว่า ฉันยังติดแหง่กอยู่ตรงนั้นอยู่นานเพราะไม่รู้รหัสกดเข้าไป
ลุงยามที่นั่งอยู่ด้านในก็คงสงสัย ว่าทำไมฉันถึงไม่กดหมายเลขห้องเพื่อให้
คนอาศัยกดเปิดสักที ทำตัวน่าสงสัยมาก (เอาเป็นว่า ฉันยังคงไม่เข้าใจระบบที่ว่า
...วอนเหล่านักเดินทางรุ่นเก๋าทั้งหลาย โปรดอย่าได้หัวเราะจนหงายหลัง)
สุดท้ายฉันหยิบเอาใบจองฯ ออกมาโชว์ให้เห็น และพยายามบอกว่าจะขึ้นไปยัง
ที่อยู่นี้ ลุงยามจึงยอมปลดล็อคประตูนั้นให้
เมื่อขึ้นลิฟท์มาถึงชั้นบน ตรงหน้าหมายเลขห้องดังกล่าว
ฉันมองเห็นสัญลักษณ์ที่ติดบอกว่านี่คือ 'โฮสเทล' เอาไว้บนประตู
หลังกดออดเรียกไปสามหนก็มีคนมาเปิดประตูให้เข้า เธอเป็นชาวฮ่องกง
ที่เดินทางมาเที่ยวกับเพื่อนอีกสี่คนและเข้าพักอยู่ที่นี่มาสองวันแล้ว...
ฉันรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ได้มาเจอกับชาวเอเชียด้วยกัน
เพราะมัวคิดว่าการแบกเป้เที่ยวมันเป็นกิจกรรมปกติของคนตะวันตก
ช่วงระหว่างที่รอเวลาเข้าพัก ฉันก็จัดแจงวางข้าวของลงบนโซฟา
และคุยสัพเพเหระไปกับสาวฮ่องกงเหล่านี้ไปก่อน
"พวกเรานั่งเครื่องบินไปลงที่ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
แล้วเที่ยวที่นั่นกันก่อน จากนั้นก็นั่งรถไฟมาที่มอสโก"
แน่นอนว่า พวกเธอต่างก็ถามเรื่องการเดินทางของฉันด้วย
"ฉันเพิ่งมาถึงมอสโกตอนเช้ามืด นั่งรถไฟมาจาก irkutsk
เมืองที่อยู่ทางฝั่งตะวันออก"
แถมยังไม่ได้อาบน้ำมาตั้งหลายวันอีกต่างหากนะ อิอิ
กว่าคนดูแลที่พักจะตื่น ก็เกือบ 9 โมงโน่น
กลุ่มสาวฮ่องกงออกไปเที่ยวข้างนอกกันต่อ
ยังดีที่เธอบอกรหัส wifi ให้ฉันได้ใช้ฆ่าเวลาในช่วงเช้านี้
ติดต่อ พูดคุย กับคนที่บ้านเสียทีหลังจากที่หายไปกับรถไฟ
เมื่อหลายวันก่อน
อืม...ที่เมืองไทยเวลาไวกว่ามอสโก 3 ชั่วโมง
ป่านนี้คงกินข้าวเที่ยงกันแล้วสินะ
ความจริงแล้ว ฉันอาจไม่มีแผนเที่ยวในมอสโกมากเท่าไหร่ แต่ที่แวะมา
เพราะคิดว่าคงอีกนานกว่าจะมีโอกาสได้มาเที่ยวไกล ๆ แบบนี้อีก
ด้วยภาพลักษณ์ที่ทะมึนทึมของอดีตศูนย์กลางของสหภาพโซเวียต
และสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนี้ก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกันเท่าไหร่ ดังนั้นตาม
เป้าหมายที่ตั้งไว้แต่แรก ระยะเวลาสามวันสองคืนในมอสโกก็น่าจะมากพอแล้ว
ส่วนเรื่องห้องพักในมอสโก มันก็ยังคงเป็นดอร์มเหมือนเดิมนั่นแหละ
โดยห้องที่ว่านี้ถูกจัดแบ่งพื้นที่เอาไว้สำหรับ 4 เตียง ที่เป็นเตียงสองชั้น
จำนวนประชากรในห้อง ก็มีทั้งชาวฮ่องกงสองรายที่เป็นคู่สามีภรรยา
ยังมีแขกรายอื่นที่ระบุสัญชาติไม่ได้อีกหนึ่งเพราะยังหลับอยู่ที่เตียงบน
มุมขวาติดผนัง รวมถึงคู่รักชาวรัสเซีย (พวกเขาเป็นคนของโฮสเทลนี้)
ที่นอนกอดคุยกันมุ้งมิ้งอยู่ที่เตียงล่างตรงฟากที่อยู่ใกล้ประตู
ชายชาวเนปาล ที่มีหน้าตายังกับคนไทยรายหนึ่งกำลังนอนเอกเขนก
คุยโทรศัพท์อยู่ตรงเตียงด้านบน ซึ่งนั่นก็เป็นตำแหน่งเตียงเดียวกับฉัน
เรื่องการที่ต้องมาอยู่รวมกับคนหลากหลายเช่นนี้ บอกตรง ๆ ว่า
ฉันอาจจะไม่ชิน แม้ว่าเราต่างจะไม่ก้าวก่ายวุ่นวายต่อกันก็เถอะนะ
แต่ว่าบางวัฒนธรรมของคนบางพื้นที่มันมีเรื่องที่รู้สึกดูขัดหูขัดตามากมาย
อย่างเช่น การเปลือยบนและสวมเพียงแค่กางเกงในตัวเดียวของนักท่องเที่ยว
ตะวันตกคนหนึ่ง ที่ออกมาเดินป้วนเปี้ยนต้มน้ำร้อนและทำอาหารเช้าตรงพื้นที่
ตรงครัวนั่นก็ด้วย (ดีใจมากที่เขาพักอยู่คนละห้องกับฉัน!)
ภาระกิจแรกของฉันที่ต้องทำในมอสโก หลังจากอาบน้ำ กินข้าวและงีบหลับ
ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการจองตั๋วรถไฟไป 'เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก' ยังไงล่ะ
ฉันแอบหวั่น ๆ ว่าตั๋วชั้นสามมันเต็มไปแล้วหรือยัง? เพราะถ้าไม่ได้เป็นไปตาม
คาดแล้วล่ะก็...โรคทรัพย์จางคงถามหาก่อนถึงจุดหมายสุดท้ายแน่นอน
ที่จุดจำหน่ายตั๋วรถไฟ
สถานีรถไฟ Leningradsky
ฉันทำการแลกเงินบางส่วนติดกระเป๋าเผื่อไว้ เพราะยังไม่รู้ว่า
จะได้รถไฟชั้นโดยสารประเภทไหน และต่อมาเรื่องมึน ๆ กับจุดซื้อตั๋วทั้งหลาย
ก็ทำให้ฉันต้องปวดหัวอีกครั้ง ไม่มีป้ายภาษาอังกฤษและเจ้าหน้าที่ประจำจุดนั้น ๆ
ต่างก็ตอบกลับมาเป็นภาษารัสเซีย...เอาเถอะ ถึงฉันจะพยายามเขียนชื่อจุดหมาย
และ วัน เวลา ลงกระดาษ ตลอดจนออกเสียงเรียกว่า 'ซานต์ปีตีร์บรู้ก' ก็แล้ว...
มันก็ยังไม่เป็นผลดีนัก
คนที่นี่ใช่ว่าจะใจร้าย เพียงแค่ฉันฟังไม่รู้ภาษาของเขา
ผ่านไปก็เกือบครึ่งชั่วโมง จากช่องจำหน่ายโน้นนี้
ที่ชี้โบ้ยให้ไปติดต่อจุดอื่น ฉันเดินวนเสียจนมั่วไปหมด
กระทั่งไปยืนต่อคิวในแถวที่เห็นคนรัสเซียไปยืนถามกัน
ก็เดาว่าที่ตรงนี้คงเป็นจุดประชาสัมพันธ์
โพยกระดาษใบเดิมได้ถูกนำมาคลี่เตรียมไว้ให้กับเจ้าหน้าที่
ส่วนผู้ติดต่อแต่ละคนกำลังยืนอยู่ตรงคิวหน้า ต่างก็ได้คำตอบที่ต้องการ
จนผ่านไปเรื่อย ๆ ทีละคน ๆ เมื่อใกล้ถึงตาฉัน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมายืนต่อหลัง
เขาตัวไม่สูงมากและตัดผมทรงอันเดอร์คัท เดาว่าน่าจะชอบดนตรีแนวพั๊งค์
"ตั๋วไป เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก สามารถซื้อจากที่นี่ได้หรือปล่าว"
ฉันลองหันไปถามดู แม้จะเดาไม่ถูกว่าเขาจะพูดกลับมาเป็นภาษาอะไร
"ไม่แน่ใจนะ แต่เดี๋ยวจะถามให้"
เขาตอบกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ ดีใจมาก...ที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้!
ฉันจึงบอกให้เขาลัดคิวสอบถามก่อน เพราะยังไงตัวเองคงเดินเรื่องช้ากว่าแน่
เมื่อชายรัสเซียผู้นั้นได้ติดต่อสอบในธุระของเขากับพนักงานเป็นที่เรียบร้อย
ก็มาถึงตาฉันบ้างที่จะสอบถามเรื่องเที่ยวรถไฟไปยังเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
สำหรับรอบกลางคืนของวันที่ 2 ตุลาคม
"ยังมีตั๋วชั้นสามว่างอยู่ แต่เป็นรอบตีหนึ่ง" เขาช่วยแปลให้ฟัง
"มันค่อนข้างดึก...เธอจะเลื่อนเป็นวันถัดไปดีกว่ามั้ย?"
ฉันบอกไปว่าเอาวันนี้แหละ แม้ว่าจะรู้สึกว่าชายคนนี้ดูกังวลกับอะไรบางอย่าง
ก็เถอะนะ สุดท้ายแล้วเจ้าหน้าที่ก็เขียนราคาค่าโดยสารที่ต้องเตรียมเผื่อไว้
1,600 รูเบิ้ล รวมถึงเวลา หมายเลขขบวนรถไฟ และปลายทางของฉันลงบน
กระดาษ
เขาพาฉันไปยืนต่อแถวที่จุดจำหน่ายแห่งหนึ่ง (ในอาคารนั้นมีช่องจำหน่ายมาก
กว่าหนึ่งที่) โดยแน่ใจว่า ฉันจะติดต่อกับพนักงานจำหน่ายตั๋วเองได้ไม่ยาก...
จากนั้นเขาก็โบกมือบ๊ายบายและหายไป
เอาเถอะ...ถึงแม้ว่าฉันจะมั่นใจว่าหนนี้พนักงานออกตั๋วจะไม่บอกปัด
ให้ไปติดต่อตรงอื่นอีก แต่ว่าความกังวลมันก็ยังคงติดอยู่ในความคิด
ยิ่งใกล้เข้าถึงคิวเรื่อย ๆ ฉันก็ยิ่งประหม่า เพราะพวกเขาเหล่านี้
มักไม่ค่อยออกตั๋วกันแบบง่าย ๆ น่ะสิ ... โดยมากแล้วก็จะซักถาม
หรือพูดอธิบายอะไรบางอย่างให้ฟัง (ราวกับว่าฉันฟังเข้าใจ)
เหลืออีกสองคิวข้างหน้า!
ฉันสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ เตรียมรับสภาพกับ
ภาษารัสเซียที่กำลังพุ่งเข้าใส่ในอีกไม่กี่นาที
ก่อนที่จะถึงคิวในอีกสองคน ตาหนุ่มร็อคนั่นก็เดินกลับมาหาฉันซะงั้น
หลังจากหายไปพักหนึ่ง เขาบอกฉันว่าขืนปล่อยให้ติดต่อเองคงวุ่นวาย
เมื่อถึงตาของฉัน พนักงานออกตั๋วฯ สาวรัสเซียก็ได้ทำการกรอกข้อมูล
ทวนถามถึงรอบที่จะไป ตลอดจนตำแหน่งเตียงที่ฉันต้องการระบุ
"เตียงล่างค่ะ" ฉันตอบกลับ โดยอาศัยการแปลของชายหนุ่มคนนั้น
"เป็นเตียงบนดีกว่ามั้ย?" พนักงานสาวพูด พร้อมกับบอกเหตุผล
ผ่านล่ามจำเป็นผู้นั้นให้ช่วยอธิบายด้วย "เตียงล่างมันอาจไม่ปลอดภัย
ถ้าเดินทางคนเดียวในชั้นโดยสารแบบนั้น"
ผลของการหว่านล้อม ฉันจึงอดได้เตียงล่างดังที่หวังไว้
แต่ว่า...วิวทิวทัศน์ระหว่างทางในยามตีหนึ่งจนถึงแปดโมงเช้า
มันก็คงจะไม่ได้เห็นอะไรมากนักหรอก
จากนั้นพนักงานฯ ก็ทำการกรอกข้อมูลต่าง ๆ ลงในใบออกตั๋ว
ชายหนุ่มนั้นก็ได้บอกลาอีกรอบ "ทีนี้ก็เรียบร้อยแล้ว...โชคดีนะ"
และเมื่อตั๋วของถูกพิมพ์ออกมา พนักงานสาวก็ได้ทำหน้าที่ของเธอต่อ
เธอพูดออกไมค์ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม พลางชี้บอกหมายเลขรถไฟ
ชื่อของสถานีที่ต้องมารอ แล้วก็ปลายทางที่ระบุบอกกำกับในนั้น
ขณะที่เธอยื่นตั๋ว พาสปอร์ต และเงินทอนส่งคืนมา
ก็มีเรื่องถามนอกรอบกับฉันด้วยประโยคภาษาอังกฤษง่าย ๆ
"คุณรู้จักคนรัสเซียคนนั้นหรือเปล่าคะ?"
"ไม่รู้จักเลยค่ะ เขาแค่มาช่วยเป็นล่ามให้"
"โอ้...ดีจริง ๆ"
แล้ววันนี้ ฉันก็ได้เห็นรอยยิ้มของคนรัสเซียอีกครั้ง
...
ฉันมาถึงมอสโก ในเช้าวันจันทร์ ...
แน่นอนสิ มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดแผกไปจากความคาดหมายเสียหน่อย
หลังจากได้ตั๋วรถไฟมาครอบครองแล้ว และมันก็ไม่ได้แพงเกินงบที่ตั้งไว้
ก็ถึงเวลากระดี๊กระด๊าได้แบบไม่กังวลถึงค่าใช้จ่ายมากเท่าตอนเริ่มเดินทางแล้ว
พื้นที่จอดรถยนต์ และวิหารเซนต์บาซิล กับเครนที่ดูเกะกะในฉากหลัง
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันดันลืมคิดไปสำหรับวันจันทร์
นั่นก็คือพิพิธภัณฑ์หลายแห่งมักจะปิดเกือบหมด!
ฉันกลับมาที่จตุรัสแดงเพราะคิดใช้เป็นทางผ่านในการตั้งหลักเที่ยว
และไม่ได้คิดแวะเข้าไปดูทั้ง เครมลิน กับวิหารเซนต์บาซิล วันนี้ด้วย
ทั้งนี้...ฉันมัวแต่ไปถ่ายรูปวิหารทรงหัวหอมสีลูกกวาดที่ด้านหลัง
จนลืมไปว่า จุดที่ควรถ่ายเนี่ยมันตั้งอยู่อีกฝั่งที่ซึ่งมีอนุสาวรีย์ของ
คอสมา มินิน กับ ดมิทรี โปซาร์สกี้ ที่อยู่อีกด้านมุมถึงจะถูกตามหลัก
ถึงอย่างไร ที่พักของฉันก็อยู่ไม่ไกลจากจตุรัสแดง จะเดินข้ามสะพาน
กลับมาถ่ายรูปอีกทีตอนไหนก็ได้ แถมยังมีเวลาอีกสองวันนับจากนี้
ว่าแล้วฉันก็เดินเลยเถิดไปยังห้างกุม (Gum) ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลต่อ
ช่วงครึ่งวันหลัง
ฉันน่าจะมองหาสถานที่ไหนสักแห่งไปเที่ยวชมเมืองสักหน่อย
ทั้งนี้คงต้องขอบคุณการคมนาคมขนส่งที่แสนสะดวกอย่างรถไฟใต้ดิน
ที่มันสามารถพาเราไปโผล่ยังสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าเจ้าเมโทรที่ว่าจะตั้งอยู่เสียลึก แบบว่าหาวรอไปสามหนแล้ว
ก็ยังลงไปไม่ถึงพื้นเสียที อีกทั้งเสียงของมันก็ยังดังลั่นประมาณรถ F1
ในช่วงที่ออกตัววิ่งจนน่าปวดหู
ภาพบางส่วนของสถานีรถไฟใต้ดิน (จำไม่ได้ว่าชื่อเมโทรอะไร - แต่มีเหลือเก็บแค่รูปเดียวแล้ว)
ในส่วนของรถไฟฟ้าใต้ดินของรัสเซีย ก็คงมีคนไปตะลุยเที่ยวชม
และพูดถึงการตกแต่งที่สวยงามไม่ซ้ำกันของแต่ละสถานีกันเยอะมาก
ถึงฉันจะไม่ได้ทำการสำรวจ แต่ก็ขอแทรกข้อมูลบางส่วนแทนไว้แล้วกัน
* เรื่องโครงการก่อสร้าง Metro มอสโก เกิดขึ้นในช่วงปี 1930
จากแผนเศรษฐกิจ 5 ปี ของสตาลิน (ผู้นำของสหภาพโซเวียตในยุคนั้น)
การวางแผนสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินนั้น โดยแรกเริ่มพวกเขาจะสร้างในแบบเยอรมัน
(หรือแบบเปิดช่องโล่ง) แต่ก็ถูกคัดค้านจากวิศวกรหนุ่มผู้มีชื่อว่า มาคอฟสกี้
ซึ่งกล่าวว่าวิธีนี้ไม่เหมาะกับเมือง...เขาเสนอให้เปลี่ยนไปเป็นแบบอังกฤษ
(หรือที่เรียกว่าแบบปิดอุโมงค์) ซึ่งจะต้องขุดลึกกว่า เผื่อเวลาข้างหน้าหากเกิด
สงครามก็ย่อมจะได้ใช้ประโยชน์จากมันเป็นหลุมหลบภัยได้
และถัดมาในปี 2015 รถไฟฟ้าใต้ดินของมอสโก
ก็ได้ฉลองครบรอบ 80 ปี เป็นที่เรียบร้อย
บ่ายวันนั้นฉันไปลงที่สถานี VDNKh
เพื่อหวังจะเข้าชมพิพิธภัณฑ์อวกาศ (Space Museum)
ก็ชื่อเสียงของ USSR ในยุคสำรวจอวกาศ ใช่ว่าจะน้อยหน้า
ฝั่งสหรัฐอเมริกา เสียทีไหนภายในนั้นคงมีการจัดแสดงชิ้นส่วน
หรือไม่แบบจำลองฯ ที่น่าสนใจอยู่เยอะเลย
แต่ว่าวันนี้เป็นวันจันทร์ มันจึงปิดตามระเบียบ..
เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก!
ฉันเดินเล่นดูพื้นที่รอบนอกอาคารไปก่อนก็ได้
แล้ววันมะรืนค่อยกลับมาเก็บตกอีกรอบ
ที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์อวกาศ
Yuri Alekseyevich Gagarin (1934 1968)
บุคคลที่เราน่าจะคุ้นเคยที่สุด...มนุษย์คนแรกที่ได้มองโลกจากนอกอวกาศ
ด้วยยานอวกาศวอลสตอก1 ในปี 1961 ซึ่งก็ถือเป็นชัยชนะของสหภาพโซเวียตที่
ส่งคนออกนอกโลกได้สำเร็จเป็นชาติแรก (และมีชีวิตกลับมายังพื้นโลกได้ด้วย)
Sergei Pavlovich Korolev (1906-1966)
บิดาแห่งความสำเร็จด้านอวกาศแห่งสหภาพโซเวียต
ผู้ออกแบบจรวดวอลสตอค (จรวดยุคแรกของโครงการอวกาศฯ)
รับผิดชอบโครงการสปุคนิกที่ส่งนักบินอวกาศออกเดินทางรอบนอกโลก
เป็นครั้งแรก...ตลอดจนไปถึงการพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีปในรุ่นแรก ๆ
ของสหภาพโซเวียต
Konstantin Eduardovich Tsiolkovsky (1857-1935)
บิดาทางด้านอวกาศ (Father of Cosmonautics) ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการ
ผลักดันโครงการสำรวจอวกาศของสหภาพโซเวียต
ส่วนพื้นที่ที่อยู่ถัดไปจากพิพิธภัณฑ์อวกาศ
ก็คือ All Russian exhibition centre ที่มีเครื่องเล่นต่าง ๆ
คอยเปิดให้บริการอยู่ มองโดยคร่าว มันน่าจะเป็นสถานที่
สำหรับพักผ่อนหย่อนใจและเที่ยวเล่นของชาวเมือง
ประตูทางเข้าสวน VDNKh (ไม่มีค่าผ่านประตู)
บรรยากาศภายในพื้นที่สวนสนุก
รูปปั้นสีทองคำบริเวณลานน้ำพุ (เดาว่าเป็นลานน้ำพุก็แล้วกัน)
ป้ายแสดงรายการอาหารจากร้านแถวนั้น (ราคาจากปี 2013 ค่ะ)
พื้นที่เล่นเกมยิงเป้า ยิงปืน คีบตุ๊กตา และอื่น ๆ
และต่อมาเป้าหมายของสถานที่เที่ยวแห่งสุดท้ายของวันนี้ ก็คือมหาวิทยาลัย
มอสโก ฉันชอบบรรยากาศของเมโทรสายนี้มาก ตรงช่วงระหว่างรอยต่อสถานี
แห่งหนึ่ง มันจะโผล่ออกมาวิ่งผ่านแม่น้ำมอสโกและได้เห็นบรรยากาศภายนอกได้
แม้จะเป็นเป็นแค่ครู่เดียว แต่มันก็น่าสนใจกว่าแนวผนังมืด ๆ ทึม ๆ ใต้ดินนี่เนาะ
เมื่อมาถึง Metro Universitat พอหลุดจากทางออก ฉันยังได้ยินคนเล่นกีตาร์
ที่ร้องเพลงคลอผ่านเครื่องขยายเสียงขนาดเล็ก ของนักดนตรีวัยรุ่นที่มายืนเล่น
เปิดหมวก ฉันรู้สึกว่าแถบถิ่นนบริเวณนี้ดูคึกคักกว่าจุดอื่นที่ผ่านมา อาจเพราะอยู่
ใกล้กับมหาวิทยาลัยด้วยมั้ง
มหาวิทยาลัยมอสโก
ชื่อเต็มของมหาวิทยาลัยมอสโก ก็คือ Lomonosov Moscow State University
(MSU) สร้างขึ้นเมื่อปี 1755 ประกอบไปด้วยอาคาร 7 หลัง และห้องต่าง ๆ รวม
740,000 ห้อง และยังมีห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซียอีกด้วย
บริเวณทางเดินเข้ามหาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของรัสเซีย และถือว่าเป็นหนึ่งในสถาบันที่มีอาคารเรียน
สูงที่สุดในโลกคือ 32 ชั้น ( 262.46เมตร ) ซึ่งตรงส่วนนี้ถูกสร้างเมื่อปี 1949-1953
มันเป็นวันที่ดูเหมือนจะไม่ปกติเท่าไหร่นักกับบรรยากาศฟ้าครึ้มและมีเกล็ดหิมะ
ร่วงตกลงมาเป็นระยะ อันที่จริงมันก็เริ่มตกปรอย ๆ ลงมาตั้งแต่ช่วงที่ไปซื้อตั๋ว
รถไฟแล้วล่ะ ในสภาพอากาศ 2 ํc ของวันนั้นบวกการเดินเที่ยวในที่แจ้ง ก็ทำให้
ฉันยกธงขาวยอมแพ้ตอนที่เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยในช่วงเย็น...
ฉันไปไม่ถึงบริเวณที่เรียกว่า Sparrow Hills (หรือในอีกชื่อก็คือ Lenin Hills)
ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดชมวิวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งหลาย อย่าว่าแต่ขากลับ
ที่จะคิดแวะไปเดินแกร่ว ๆ แถวย่านถนนอารบัตเลย เพราะรู้สึกหนาวเกินทน
ช่างดูเป็นการประมาทไปเสียหน่อยกับคำว่า 'ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งเยอะ'
แต่ทั้งนี้ ฉันเองก็มัวคิดเคืองอยู่ในหัวเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ...
ข้าไม่น่ามาถึงมอสโกวันจันทร์เลย
ว่าพลาดอะไรไป
^^"