[R]ตะลอนนั่งรถไฟไปรัสเซีย 18 - ณ จุดหมาย ที่(ยัง)ไม่ใช่ปลายทาง
เราไม่เคยบอกให้ใครเอาชนะความกลัวด้วยการเดินทาง
ดังนั้นฉันจึงไม่มีภาษิตใด ๆ ที่จะยกมาเขียนถึง
เช้ามืดในวันที่ 4 บนรถไฟ ขณะที่ยังไม่มีใครตื่นนอน และบนรถไฟยังก็คงมืดอยู่
ฉันตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงประหลาดจากเตียงล่างดังขึ้น แชะ...แชะ
บวกกับการรื้อค้นอะไรบางอย่างเพื่อเก็บข้าวของ ...
ต้นเสียงนั้นมาจากลุงวิตารี่ ที่อยู่เตียงล่างฝั่งเดียวกับฉันนั่นเอง
เย้ยย...นี่แกคงไม่คิดจะเอาไฟแช็คนั่นมาจุดบุหรี่สูบในตู้ขบวนหรอกนะ!?
"เอาไฟฉายไปใช้ไหม?"
ฉันโผล่หน้าไปทักพร้อมกดแสงจากกระบอกไฟฉายให้ลุงดู
มันน่าจะง่ายกว่าใช้วิธีโบราณแบบนั้นตั้งเยอะ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ยอมใช้
โทรศัพท์มือถือของแกร่วงลงไปในอยู่ที่หัวเตียง กว่าจะรื้อออกมาได้ก็ง่อนแง่น
ฉันดูเขากำลังนั่งประกบชิ้นส่วนที่แยกเปิดออกและทดสอบการโทรออก
วันนี้วิตารี่จะลงจากรถไฟแล้วเขาอาจมีความจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับใครสักคน
เออ...เท่าที่จำได้ก็เมื่อวันก่อนแกเอาโทรศัพท์ไปเสียบชาร์จไว้ตรงขอบหน้าต่าง
หน้าห้องน้ำ ที่ ๆ ดันมีปลั๊กไฟสาธารณะใช้ในตำแหน่ง สู๊ง สูงงงง แล้วด้วยความที่รถไฟมันกะยึกกะยักด้วย มือถือแกก็เลยร่วงกระจายหนนึง
วันนั้นเลยไปหาถุงพลาสติกที่พกติดกระเป๋ามาห้อยแขวนโทรศัพท์ชั่วคราวให้ ตำแหน่งปลั๊กสูงมั้ยล่ะ? แต่ดันมีคนมาใช้งานมันต่ออีก เราก็เลยไม่ได้เอาลง แต่สักพักพนักงานทำความสะอาดสาวสวย คงเห็นว่ามันดูไม่เจริญหูเจริญตาล่ะมั้ง เลยปลดมือถือในนั้นออกมาวางที่ขอบเหล็กเหนือหน้าต่าง แล้วก็เอาถุงไปทิ้งลงถังขยะซะ
หลังทดสอบการโทรออก ดูเหมือนว่าผลลัพท์นั้นจะออกมา ไม่ค่อยได้ความเท่าไหร่ โทรศัพท์อาจใกล้เจ๊ง หรือสัญญาณฯ บนรถไฟไม่ค่อยดี ...
วิตารี่ งัดไม้ตายสุดท้ายมาใช้โดยการเอามือถือไปเคาะกับขอบโต๊ะ
เพื่อหวังให้อาการมันเลิกรวน
โป๊ก! โป๊ก! โป๊ก!
ก่อนจะลงจากรถไฟเราต้องม้วนฟูกและเอาหมอนไปวางไว้ที่ชั้นวางเหนือเตียงชั้นบน ซึ่งเตียงที่ไร้เจ้าของนี้ ก็จะดูว่างเปล่าไม่มีเบาะรองนอน
วันนี้จะมีผู้คนเดินทางลงจากรถไฟไปมากพอสมควร ฉันเห็นใครหลายคน เริ่มทำการ ถอดปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ หลังจาก ที่คุณปราว้าดนิก เดินมาแจ้งบอกให้รู้เวลาล่วงหน้าก่อนที่จะถึงสถานีปลายทาง ของแต่ละคน ทั้งนี้ตั๋วโดยสารรถไฟของรัสเซียมันจะมีจำนวนสองแผ่นซ้อนกัน
โดยเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลตู้ขบวนจะฉีกส่วนหน้าไว้เก็บเป็นข้อมูล
คาดว่าคงไม่มีใครคิดลักไก่ หรือนั่งเลยไปจากสถานีปลายทางของตนได้แน่
แม้ว่าพวกเขาจะเข้มงวดในเรื่องของลำดับที่นั่ง (เตียง) แค่ไหนก็ตาม
มันก็มีเรื่องพลาดจนได้ ที่ฉันจะต้องมาเจอกับแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ
ที่แฝงมากับการถือวิสาสะตีเนียน
ช่วงสายของวันตามของนาฬิกา หรืออาจจะยังเช้าอยู่ตามเวลาท้องถิ่น
แต่ก็ช่างเหอะ ฉันเลิกพะวงกับการเทียบเวลาไปแล้วล่ะ บนรถไฟเริ่มเหลือ ผู้โดยสารเพียงไม่กี่สิบคน รวมไปถึงเตียงล่างของวิตารี่ก็ด้วย ที่ตอนนี้ มันอยู่ในสถานะว่างไปพักใหญ่...
ฉันคงไม่มีความคิดที่จะไปสลับที่สลับเตียงนอนแทนหรอก
ยังไงเสีย มันก็จะมีคนขึ้นมาแทนในอีกไม่ช้าอยู่ดี
และที่สำคัญ คงไม่มีใครอุตริคิดอยากแลกมาอยู่เตียงชั้นบนแน่ ๆ
ตอนที่แอบย้ายตัวมานั่งที่ซีกมุมหนึ่ง ป้ารัสเซียที่เดินทางมากันสองคนก็ทำแซนวิชมาให้กิน
สักพักก็ตามมาด้วยขนม ลูกอม และชีส ที่วางไว้ข้างหน้าอย่างที่เห็น
ฉันปลีกตัวมานั่งยังฝั่งริมหน้าตรงข้ามกับเขตนอนตามเคย
ดีใจมากที่วันนี้มันโล่ง และมีอีกหลายที่ให้เลือกด้วย
มีสายตาจากใครคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ตรงเตียงล่างหันเหลือบมามองอยู่บ่อยครั้ง
เขาสวมเสื้อเชิ้ตท่าทางดูดีและแอบท้วมลงพุงตามฉบับคนดื่มจัด
แต่ก็ไม่ได้คิดระแวงอะไรนัก นี่ก็เข้าสู่วันที่สี่แล้ว...ฉันเริ่มชินกับสายตา ของคนบนนี้ ที่มักจะหันมามองเวลาที่ลุกเดินไปกดน้ำร้อน หรือเดินผ่าน ไปยังที่อื่น ๆ เพราะหน้าตาที่ดูต่างจากพวกเขาแค่นั้น...
แม้ว่าทางเลือกส่วนใหญ่ของนักท่องเที่ยว มักจะหันเหไปเลือกจอง ตู้โดยสารที่เป็นห้องหับมิดชิด (Kupe) มากกว่าที่จะมาอยู่รวมกับคนรัสเซียล้วน ๆ เช่นตู้โดยสารชั้นสาม ที่ไร้ซึ่งความเป็นส่วนตัว แต่ก็แน่นอนว่าราคาค่าโดยสาร มันถูกลงกว่าตั้งครึ่ง
ไม่นานนักชายคนนั้นก็เดินมาคุยกับลุงนิโคไล ...พวกเขาอาจรู้จักกันอยู่แล้ว และลองขอทำการย้ายที่มายังเขตนอนของฉันแทน ตรงเตียงเก่าของวิตารี่
เนื่องจากที่นั่งเดิมของเขามันเป็นเตียงล่าง ดังนั้นการแลกเปลี่ยนระหว่าง เตียงล่างกับเตียงล่าง จึงดูไม่น่ามีปัญหา เพราะยังไงก็ใกล้จะถึงมอสโกพรุ่งนี้เช้า อยู่แล้วด้วย
เจ้าหน้าที่ หยิบนำเอกสารการขอแลกเตียงมาให้เขากรอก และเซ็นรับทราบ
เพื่อแจ้งให้คนที่จะขึ้นมาใหม่ได้ย้ายสลับมายังเตียงล่างที่ย้ายออกแทน
และจากนั้นเขาก็มาเป็นส่วนหนึ่งของเขตนอนนี้ แขกผู้ไม่ได้รับเชิญที่ชื่อ
นายปาเวล หรือ ปาช่า (ในชื่อเล่น) แต่ฉันอยากจะเรียกว่า ป่าช้า มากกว่า
พอย้ายที่นั่ง และทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง จากที่เห็นการถอดเสื้อออก
เพื่อสร้างความเป็นกันเอง แล้วก็ตั้งวงดื่มในระหว่างเดินทางเหมือนเช่นเคย
พวกเขาเรียกให้ฉันกลับมายังเขตนอนเพื่อทำความรู้จักพูดคุยตามประสา คนคุ้นหน้าค่าตาบนรถไฟ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรนัก
อ้อ...ตั้งแต่เขียนเล่ามาเนี่ย ฉันไม่เคยร่วมดื่มด้วยสักหนหรอก
ถึงลุงนิโคไล จะเคยถามตามมารยาทว่าจะเอาด้วยไหม พอฉันส่ายหน้าว่าไม่
แกก็ไม่เคยคะคั้นคะยอ (ไม่เหมือนกับหมูสามชั้น) แถมบอกว่า "ดีแล้ว" เสียอีก
ดังนั้นฉันจึงไม่คิดระแวงนิโคไล จนกระทั่งถึงในตอนนี้
แต่สิ่งที่ทำให้เราเริ่มเงียบลงในวันนั้น กับคนที่มาใหม่นี่สิมันช่างแย่ซะจริง
หลังเหล้าเข้าปากนานเข้านายปาช่าก็เริ่มหมา เขาพูดในสิ่งที่ฉันฟังไม่รู้เรื่อง
โดยสีหน้าและท่าทางได้แสดงออกถึงอะไรบางอย่าง ...จากนั้นก็หัวเราะร่วน และเป็นเช่นนี้อยู่นานเชียว ฉันหาคนช่วยแปลไม่ได้ว่ามันคืออะไรกัน?
ในขณะที่สีหน้าของเพื่อนคนสุดท้ายที่ฉันมีอยู่ กำลังส่งสัญญาณว่า
ประโยคเหล่านั้น ดูไม่ใช่ใจความที่ดีเลย ...
นิโคไล เบือนหน้าไปจาก ปาช่า นานพอควรและไม่พูดอะไรอีก
หลังจากนี้ ฉันไม่เห็นรอยยิ้มของลุงอีกแล้ว... ในขณะที่ หมอนั่นยังคง เอิ๊กอ๊าก อยู่เพียงลำพัง
หนักเข้าฉันแยกตัวหนี ให้พ้นจากที่ตรงนั้นเพื่อไปยังที่นั่งอื่นแทน
ในขณะที่มันยังว่างอยู่ ... และอาจจะต้องกระเถิบย้ายไปเรื่อยหากเจ้าของที่นั่งปรากฏตัวหลังจากนี้
นายป่าช้า กลับตามมานั่งพูดอะไรด้วยก็ไม่รู้จนน่ารำคาญ ในท่าทางที่ไม่รู้ว่า จะมาดีหรือร้าย? ฉันมานั่งอยู่ไกลจากเขตนอนตัวเองพอควร แต่ที่เตียงฝั่งตรงข้ามของเขตนอนนั้น ยังมีชายรัสเซียคนหนึ่งนั่งมองอยู่
นั่นก็ทำให้ตัวเองแอบเบาใจลงได้บ้าง ตราบใดที่พื้นที่บนนี้มันไม่มีที่ลับตาคน
รถไฟชั้นสามที่หลายคนมองว่ามันไม่ปลอดภัย
มาจนวันนี้ มันคือที่ปลอดภัยสำหรับฉัน
หากย้อนเวลากลับไปได้ฉันก็ยังคงเลือก Platskart นะ
คิดดูสิถ้าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นในห้องโดยสารที่มิดชิด ฉันคงคุ้มคลั่งตายแน่!
เรื่องนี้จบลงอย่างคลุมเครือ พร้อม ๆ กับความขุ่นเคือง
กับชีวิตการเดินทางที่อาจไม่ได้ผูกร้อยเป็นเรื่องราวอันสวยงามเสมอไป
บนพื้นที่หลากชีวิตก็ย่อมมีความแตกต่างให้ได้เรียนรู้ไปกับสิ่งเหล่านี้
ถ้าจะมัวคิดแต่เรียกร้องให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจนึก
ฉันคงอาจไปไหนได้ไม่ไกลเกินหน้าบ้าน
การขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปตามทางราง
ช่วงบ่ายแก่ของวันสุดท้าย
รถไฟก็ยังคงวิ่งสู่ตะวันตกด้วยความเร็วในอัตราเท่าเดิม
แสงอาทิตย์ในวันนี้น่าจะสว่างนานอยู่ แม้ว่าจะมีฝนเทลงมาเกือบตลอด
เราหลุดเข้ายุโรปและออกจากทวีปเอเชียมาตั้งแต่เมืองเยคาเตรินเบิร์กแล้ว
สู่เส้นเวลาวิ่งถอยหลังย้อนร่นลงช้ากว่าเดิม ผู้คนบนรถไฟหากเป็นหน้าเก่า
ที่ขึ้นมารอนแรมอยู่บนนี้นับตั้งแต่วันแรก ๆ ไม่ว่าจะเมาหรือไม่ได้เมามาย
พวกเขาต่างเริ่มเอนตัวหลับกันตั้งแต่หัววัน คงเพื่อปรับเวลาสำหรับวันพรุ่งนี้
นอกจากอาการหัวเสียที่เกิดขึ้นจากเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว
บนหัวของฉันมันก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่า หลายวันที่ผ่านมา
มันขาดการสระล้างอย่างที่ควรเป็นมาตลอด เส้นผมที่ร่วงจากหนังศีรษะ ที่มันย่อง มันจะหลุดออกเป็นกระจุกเมื่อเอามือมาสาง
ไหนอาการคันที่เผลอเอามือไปขยี้แรง ๆ จนหัวถลอกอีก
ยังไงซะ ฉันจะไม่ยอมไปถึงเมืองหลวงในสภาพกระเซอะกระเซิงอยู่แล้ว
โอกาสที่จะได้ใช้ห้องน้ำนาน ๆ ได้โดยไม่มีใครมายืนรอต่อคิว ก็เห็นจะเป็นตอนนี้ล่ะ ฉันไปตรวจดูเวลาการเข้าสถานีใหญ่ที่ตาราง เผื่อว่าพนักงานทำความสะอาดสาว จะไม่มาทุบประตูเรียกให้ออกมา และทำการล็อคประตูช่วงระหว่างนั้นได้
ฉันจะสระผม
เมื่อเดินกลับมายังเขตนอนตัวเอง ที่ตอนนั้นกลับน่าชังเพราะใครบางคน
คนทั้งสองต่างฝ่ายต่างนอนหลับกันอย่างเงียบเชียบ
ฉันปีนขึ้นไปหยิบแชมพู และผ้าขนหนูที่อยู่ในเป้เล็กบนเตียงนอน
และหยิบแก้วน้ำของตัวเองจากโต๊ะด้านล่างที่วางนิ่งอยู่หลังการกินดื่มสิ้นสุดลง
มันถูกหยิบยืมเอาไปใช้ชั่วคราว โดยยังคงมีน้ำอยู่ในนั้นราวค่อนแก้วได้
จากนั้นก็มุ่งตรงไปยังห้องน้ำที่ในขณะที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาแย่งใช้
ก๊อกน้ำโลหะ จะติดตั้งไว้ตรงอ่างล้างหน้า ซึ่งการเปิดใช้มันอาจดูยากหน่อย
เพราะมันไม่ได้ใช้วิธีบิดหมุนวาล์ว แต่ต้องใช้มือดันจุกที่อุดอยู่ขึ้นตรงที่ปล่อยน้ำ
วิธีเดียวที่จะง่ายต่อการสระผมในอ่างล้างหน้า และป้องกันไม่ให้พื้นเปียกแฉะ
ก็เห็นจะเป็นต้องใช้แก้วน้ำรองนี่แหละ
ในเมื่อก๊อกน้ำมันเปิดลำบากนัก น้ำที่ยังคงค้างเติ่งในแก้วนั้น
จึงถูกราดลงเป็นน้ำแรกของพิธีสระผมในรอบสี่วัน
แต่แทนที่การชำระล้างจะเต็มไปด้วยความละมุนละไม
มันกลับกลายเป็นอาการแสบร้อนแทน
เมื่อรอยถลอกที่เกิดจากการเผลอเกาหัวแรง ๆ
ได้มาเจอกับ วอดก้า
"!!!!!"
สีวอดก้ามันใสกริบเสียแบบนั้น และฉันก็ไม่ได้ดมตรวจก่อนนี่นา
เรื่องของการสระผมบนรถไฟ จึงใช้เวลานานมากกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว
.....
เช้ามืดของวันที่ 5 ฉันตื่นขึ้นมาเป็นครั้งที่สองพร้อมกับแสงไฟบนรถไฟ เปิดขึ้นท่ามกลางความมืด ประมาณตีสามครึ่ง พร้อมกับมองเห็นใครบางคนกำลังนอนหลับ อยู่ที่เตียงบน ฟากตรงข้ามกับฉัน เขาเป็นผู้โดยสารที่มาใหม่พร้อม ๆ กับคนหลายคน
ที่เพิ่งมาขึ้นรถไฟเมื่อช่วงเย็นของเมื่อวานนี้ ทำให้ตู้ขบวนเต็มไปด้วยผู้คนที่มี จุดหมาย ของการเดินทางไปที่ กรุงมอสโก ทั้งหมด
ทุกคนต่างต้องลุกตื่นโดยบังคับ เพราะอาจต้องไปใช้ห้องน้ำหรือไม่ก็เก็บข้าวของ และส่งปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ส่งคืนให้เจ้าหน้าที่ ฉันตื่นไปล้างหน้าตั้งแต่ ตีสามล่วงหน้าแล้วกลับมาหลับต่อ ดังนั้นพอถูกปลุกอีกหนก็จึงไม่มีปัญหากับ การที่ต้องไปแย่งใช้ห้องน้ำกับคนอื่น นอกเสียจากเก็บกระเป๋าเตรียมพร้อมเท่านั้น
หลังจากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเป็นที่เรียบร้อย ก็ต้องลงมานั่งรอเวลาที่เตียงล่าง ฉันขอสลับที่นั่งมาอยู่ยังฝั่งของนิโคไล กับชายคนนั้นที่เพิ่งมาใหม่ แทนที่จะนั่ง ตรงเตียงล่างฝั่งที่ตัวเองนอน เพราะไม่ชอบหน้านายคนนั้นเอาเสียแล้ว
มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายกับความรู้สึกวันสุดท้าย ที่เราไม่ได้จากลาด้วยดีเท่าไหร่
ณ ปลายทางของเช้าวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว ในเวลาตี 4.41 น. เมื่อรถไฟเข้าเทียบชานชาลาตรงตามเวลาไม่ผิดเพี้ยน
ยังสถานีรถไฟคาซานสกาย่า (Kazanskaya) กับความหนาวเย็น ที่ไม่อาจ คาดเดาได้ว่ามันคือความผิดปกติของฤดูกาล หรือเพราะร่างกายของเราเอง
ฉันยังคงนั่งเก็บตัวอยู่ในสถานี รอคอยให้เวลาผ่านไปสักพักก่อน ด้านนอกยังดูมืดอยู่ ส่วนตั๋วรถไฟสำหรับเดินทางต่อไปยังที่หมายสุดท้ายในรัสเซีย
นั่นก็คือ เมืองเซ็นต์ปีเตอร์สเบิร์ก ก็ยังไม่ได้ทำการซื้อไว้
เพราะคุยถามจุดจำหน่ายตั๋วกับคนแถวนี้ไม่เข้าใจ เลยกะว่าหลังจากนี้
คงไปตั้งหลักยังที่พักก่อนแล้วค่อยออกมาใหม่ก็คงจะดีกว่า
เป็นเรื่องดีที่เครือข่ายรถไฟใต้ดินในมอสโก มันโยงใยครอบคลุมเกือบทั่วเมือง จน แทบจะโผล่ไปถึงทุกที่ กระทั่งนักท่องเที่ยวซื่อบื้อแบบฉันเองก็ยังไปถูก
สหพันธรัฐรัสเซีย มีเมืองหลวงที่ชื่อว่า มอสโก
โดยอิงตามการสะกดของราชบัณฑิตยสถาน
ส่วน มอสโคว์ คือชื่อเรียกทับศัพท์จาก Moscow
หรือถ้ามาถึงรัสเซียแล้วจะใช้เรียกแบบคนที่นี่ว่า "มัสกวา" (บางคนก็เขียนว่า มาสควา ) ก็ได้นะ
จากสถานีรถไฟ จะมีเมโทรที่ชื่อว่า Komsomolskaya ตั้งอยู่ใกล้ ๆ
และค่าเดินทางก็น่ารักเพราะไม่ว่าใกล้ไกล ก็แค่ 30 รูเบิ้ลเท่านั้น (ปี 2013)
เกือบเจ็ดโมงเช้า ฉันมาโผล่ที่ เมโทร Kropotkinskaya ที่น่าจะใกล้กับทางไปที่พักที่สุด โดยจะมีวิหาร Cathedral of Christ the Saviour ตั้งอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม... ฉันไปเดินหลงเลยหาทางข้ามถนนแถว ๆ สถานทูต มาดากัสการ์ อยู่พักหนึ่ง จนรถที่วิ่งมาชะลอหยุดและโบกมือให้ข้ามเดิน
สภาพแวดล้อมช่วงนั้นยังคงมืดตึ๊ดตื๋อยังกับตีห้าบ้านเรา และหนาวจัดตามอย่างที่ การพยากรณ์อากาศบอกไว้ในรายการโทรทัศน์ ขณะนั้น มีคนออกมาวิ่งออกกำลัง ในตอนเช้า แถวทางเดินเลียบแม่น้ำมอสโคว์ แค่คนสองคน ที่อุณหภูมิ 2 ํc พอมองไปรอบ ๆ ก็ยังไม่ค่อยมีใครออกมาเดิน เพ่นพ่านเท่าไหร่นัก
ก่อนที่ฉันจะหาสะพานเดินข้ามไปยังเกาะ Bolotny ที่เป็นที่ตั้งของโฮสเทล ที่จองไว้ ก็ได้หยิบกล้องออกมาเก็บภาพแรกของมอสโก ที่ตั้งตระหง่านอยู่ใน ความมืด เป็นที่ระลึก จำได้ว่ามือไม้มันแข็งไปหมดหลังถอดถุงมือออก ...
และความเย็นนี้คงมีมากพอที่จะทำให้มือนิ่งได้โดยไม่ต้องพึ่งขาตั้งกล้องล่ะมั้ง
VIDEO
credit
เพลงประกอบ
Complete History Of The Soviet Union, Arranged To The Melody Of TetrisYoutube > pigwiththefaceofaboy
Create Date : 18 สิงหาคม 2560
Last Update : 31 สิงหาคม 2560 19:07:22 น.
16 comments
Counter : 1874 Pageviews.
เอาวอดก้าราดหัวแบบนี้กว่าจะล้างเสร็จนี่เหลือเลย