SPITI (ปี 1) เมื่อฉันจะไปหุบเขาสปิติ
(จะขอเล่าย้อนถึงที่มาที่ไปของเรื่องสักนิด)
"ก่อนหน้าที่จะมาเยือนริชชิเกช เธอได้ไปที่ไหนมาบ้าง?"
ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ ฉันได้เปิดเรื่องคุยกับเพื่อนใหม่ร่วมอาศรม ที่มานั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน พวกเราก็เพิ่งจะทำความรู้จักกันในตอนที่มานั่งรอ เข้าคลาสเรียนโยคะ จากนั้นฉันก็ชวนมาดูพิธีอารตีในตอนเย็น และออก มาหามื้อค่ำกินกันต่อนี่แหละ
"หุบเขาสปิติ" นายหยอง ตอบฉันกลับมาอย่างไว
อืม...เหมือนว่าฉันจะเคยได้ยินชื่อของที่นั่น แต่ไม่รู้ว่า หน้าตาของมันจะเป็นยังไง แล้วเดินทางไปได้ยังไงกัน
"แล้วเธอเดินทางมาอินเดีย เพื่อค้นหาจิตวิญญาณใช่มั้ย" เขาถามกลับ
มันช่างเป็นประเด็นที่น่าสนใจดีแฮะ จะว่าไปแล้ว สำหรับใครคนอื่นน่ะอาจใช่ แต่กับฉันเนี่ยสิ มันไม่ใช่เลยสักนิด ...
โมฮัมหมัด หรือที่ฉันแอบเรียกว่า "หยอง" ตามลักษณะทรงผมหยิก ๆ ฟู ๆ ของเขา เป็นชาวปาเลสไตน์ อาศัยอยู่ที่เมือง ramallah นายหยองเดินทาง มาที่อินเดียเป็นครั้งแรก จากความคลั่งไคล้ส่วนตัวในเรื่องโยคะ จิตวิญญาณ การแสวงหา ฯลฯ อะไรทำนองนี้เป็นทุนเดิม
เขาได้เล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนอยู่ที่หุบเขาสปิติ ก็รู้สึกได้ถึงความเงียบสงบ กระทั่งได้ยินเสียงของเลือดที่วิ่งในร่างตัวเอง และยามค่ำคืนก็เป็นอะไรที่ ยอดเยี่ยมสุด ๆ กับการมองเห็นภาพทางช้างเผือกกับหมู่ดาวที่เต็มท้องฟ้า เขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานถึงสองอาทิตย์
จนกระทั่งมีคนแนะนำว่า ถ้าหากอยากจะค้นหาจิตวิญญาณของตัวเอง ก็ให้เดินทางมายังเมืองริชชิเกชแห่งนี้
ในขณะที่ฉันกำลังตั้งใจฟัง อาหารที่สั่งไว้เมื่อสิบนาทีก่อนก็ได้ถูกนำมาวาง ไว้ตรงหน้า และความหิวที่แทรกมาก็ได้ขัดจังหวะการสนทนาไปอย่างดื้อ ๆ แต่ก่อนที่เราจะเอื้อมมือไปหยิบจาปาตีมาฉีกกินกับซุปเขียว ๆ ที่ชื่อว่า ปาลักปาเนีย ฉันก็ยังไม่วายแอบถามถึงการเดินทางไปเจ้าหุบเขานั้นต่อ ว่ามันสามารถไปได้เอง หรือว่าต้องผ่านตัวแทนนำเที่ยวเท่านั้น
"เข้าไปเอง ด้วยตัวคนเดียวเลยนี่แหละ พวกกลุ่มทัวร์นำเที่ยวอะไรนั่นไม่ได้แอ้มฉันหรอก"
ฮี่ ๆๆ ...
เขาเผลอฉีกยิ้มด้วยความภูมิใจ จนไม่ทันคิดว่าเมนูผักโขมใส่ชีส อาจเป็นภาพบาดตาต่อคู่สนทนาฝั่งตรงข้ามได้ ถ้าหากไม่ระวัง
แล้วฉันก็ลืมคำถามสำคัญไปเลยว่า ควรเริ่มเดินทางจากเมืองไหนดี? แต่มาคิดอีกที อาจเพราะตัวเองนั้นก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก ส่วนเวลา ที่เหลืออยู่ในอินเดียก็มีอีกไม่เท่าไหร่ ใครมันจะบ้าอยากทำอะไรเสี่ยง ๆ
SPITI (ปี 1) เมื่อฉันจะไปหุบเขาสปิติ
บันทึกการเดินทางในอินเดีย ครั้งที่ 2 : ตุลาคม 2014 (ได้ทำการเรียบเรียงเนื้อหาใหม่อีกครั้งในปี 2018)
ฉันเสียเวลาไปกับเมืองหน้ายุโรปอย่างชิมลา ก็เพราะแอบหวังว่ามันจะเป็น พื้นที่เชื่อมต่อไปยังหุบเขาสปิติได้ แต่ว่า...นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่คาดเดาผิดอะไรนะ เส้นทางที่ว่ามันสามารถเข้าไปถึง(คนเดียว)ได้ก็จริงอยู่ ถ้าฉันเป็นคนอินเดีย!
ได้ยินมาว่าเขตพื้นส่วนนั้นค่อนข้างอ่อนไหวเพราะติดกับพรมแดนของทิเบต ซึ่งมันก็ยากที่จะให้คนต่างชาติเดินทางเข้าไปโดยลำพังอย่างอิสระได้ โดยกฏนั้นก็ได้กำหนดเอาไว้ว่า จำเป็นต้องมีผู้ร่วมเดินทางอย่างน้อยสี่คน และอยู่ภายใต้การดูแลของตัวแทนนำเที่ยวที่ได้รับการรับรองของรัฐฯ เท่านั้น
ฉันเกือบจะถอดใจทิ้งไปแล้วเชียว เพราะมันช่างยุ่งยากวุ่นวาย แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีความหวังอยู่เล็ก ๆ อยู่นะ เมื่อรู้ว่ายัง มีอีกเส้นทางที่ไม่เข้มงวดขนาดนี้หากไปเริ่มที่เมืองมะนาลี
ภาพของเมืองกุลลู ระหว่างการเดินทางไปมะนาลี
จากชิมลา - มะนาลี ราว 8 ชั่วโมงกว่าเห็นจะได้ที่ฉันต้องนั่งรถอ้อมโลกมา ลงยังเมืองที่ว่าอย่างรีบเร่ง ใจหนึ่งก็กลัวจองเที่ยวรถจี๊ปไม่ทัน ใจหนึ่งก็กลัวว่า ทุกอย่างจะไม่เป็นตามแผน (เพราะเส้นทางอาจปิดในไม่ช้า) และอีกใจหนึ่งก็โทษ ความหลงลืมของตัวเอง ที่ไม่ยอมถามนายหยองไว้ตั้งแต่แรก
หากไม่อย่างนั้น ฉันคงเลือกที่จะมุ่งตรงมาที่นี่ หลังออกมาจากดารัมซาลาแน่นอน
ที่ท่าจอดรถโดยสารเมืองมะนาลี ช่วงประมาณห้าโมงเย็น มาหนนี้ฉันจำเป็น จะต้องมาหาที่พักค้างแรมหนึ่งคืน แถว ๆ ฝั่งมะนาลีใหม่ ที่ดูอึกทึกวุ่นวาย และ ไม่ค่อยจะเงียบสงบดีเท่าไหร่ ก็เพราะต้องตื่นมาขึ้นรถรอบเช้าจากฝั่งนี้
แต่เดี๋ยวก่อนนะ กิรัน เกสท์เฮาส์ มันอยู่ตรงไหนกัน? ฉันต้องพยายามเดินหาที่พักดังกล่าวให้เจอ ก่อนจะมืดค่ำลง เพื่อจองเที่ยวรถที่จะวิ่งตรงไปที่ Kaza ตามโพยที่ได้จดมา
หลังจากถามทางคนแถวนั้นไปเรื่อย จนได้มาเจอกับที่ตั้งของเกสท์เฮาส์ดังกล่าว บริเวณลานด้านหน้าของที่พักนั้น ไม่ได้มีหน้าตาเป็นสวนหย่อมสวย ๆ ไว้รับแขก แต่กลับมีรถจี๊ปจอดกันเต็มไปหมด พอเดินเข้าไปอีกหน่อยจะพบซุ้มเล็ก ๆ ตั้งอยู่ (มันอาจเป็นซุ้มหัวหน้าวินรถรับจ้างเหล่านี้) มีลุงอินเดียคนหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น เขากำลังกางสมุดเพื่อขีดเขียนบางอย่างลงในช่องตารางการเดินรถ และคุยกับ หนุ่มหน้าตี๋ ที่ดูยังไงก็ไม่น่าใช่ทั้งคนอินเดียหรือคนทิเบต
"ไปกาซ่าใช่มั้ย?" หลังจากโผล่หน้าไปให้เห็น ชายหนุ่มคนนั้นก็ได้ยิงคำถามมาอย่างไว ก่อนที่ฉันจะเปิดปากถามซะอีก ก็เลยบอกว่าจะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้เช้า ยังจะพอมีเที่ยวรถหรือปล่าว?
จากนั้น เขาก็พาฉันมายังรถจี๊ปตัวเองเพื่อจดหมายเลขทะเบียนให้ พร้อมกับนัด- เวลาขึ้นรถพรุ่งนี้เช้าตอนหกโมงครึ่ง ส่วนค่ารถ 1,000 รูปี ให้ไปจ่ายหลังจบงาน และบอกเงื่อนไขบางเรื่องที่ฉันควรจะรู้ไว้ก่อน
"แต่เธอต้องนั่งที่ด้านท้ายนะ พื้นที่เบาะข้างหน้าเต็มหมดแล้ว"
บริเวณลานถนนคนเดินฝั่งมะนาลีใหม่
กลุ่ม Hare Krishna ที่ออกมายืนร้องรำทำเพลงกัน
ค่ำคืนนั้น ฉันได้ใช้เวลาเดินเที่ยวบน mall road ย่านมะนาลีใหม่เป็นครั้งแรก มันดูต่างไปจากฝั่งเมืองเก่าค่อนข้างมากจริง ๆ มีผู้คนพลุกพล่านเต็มไปหมด ฉันกดเงินมาจำนวนหนึ่ง ที่คิดว่าน่าจะเพียงพอกับค่าเดินทาง และซื้อเสื้อกัน- หนาวเพิ่มอีกตัว เข้าใจว่าพื้นที่ในหุบเขานั้นคงน่าจะหนาวเย็นกว่าเมืองมะนาลี และเรื่องสำคัญที่สุดก็คือ ต้องส่งข่าวบอกทางบ้านให้รู้ว่าอาจจะขาดการติดต่อ ไปพักหนึ่ง
คงเป็นเรื่องโชคดีนิด ๆ ที่ไม่ได้โดนซักถามเยอะเท่าไหร่ว่าจุดหมายที่พูดถึง คือที่ไหน ไปยังไง อันตรายมั้ย ฯลฯ เพราะมันคงจะฟังดูแย่แน่นอน หากฉันจะพูดไปตามความเป็นจริงว่า...ไม่รู้เหมือนกัน!
หรือไม่อย่างงั้นฉันก็คงอาจส่งรูปภาพ Monastery เก่าแก่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเขา เวิ้งว้างจากแผ่นภาพโปสเตอร์ ที่พวกเอเจนต์ท่องเที่ยวนิยมนำมาแปะโชว์และ โปรโมทถึง Spiti Valley ให้ดูแก้ขัดแทนการอธิบายไปก่อนก็น่าจะดี
แต่ว่า ข้อความที่ทางบ้านตอบกลับมานั้น ดูเหมือนไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า "การรับทราบ" ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะเลย โล่งใจ ที่ไม่มีใครนึกว่าตัวเองจะไปทำอะไรพิลึกอีกไง :)
....
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันได้ออกมารอรถตามนัดไว้ บรรดารถจี๊ปทั้งหลายต่างก็เตรียม ติดเครื่องยนต์รอกันแล้ว เห็น "โกร่า" หรือหนุ่มหน้าตี๋ ผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นสารถี ก็ได้เอาหมวกโม่งมาใส่คลุมหน้าเพื่อกันหนาวไว้ เขาเรียกให้ฉันมายืนรอตรงรถ ที่จอดอยู่ ซึ่งในตอนนั้น โกร่ากำลังเตรียมมัดสิ่งของบางอย่างเอาไว้บนหลังคารถ พร้อมกับนำล้ออะไหล่อีกสามเส้นผูกติดไปด้วย และนี่ก็คือรถจี๊ปที่ฉันจะต้องนั่ง ร่วมไปกับใครคนหลายคน
นายโกร่า ผู้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถจี๊ป กำลังจัดระเบียบสัมภาระต่าง ๆ ที่จะเอาขึ้นไปไว้บนหลังคา
บรรยากาศการรอรถ ที่หน้า กิรัน เกสท์เฮาส์ และรถคันอื่น ๆ ที่กำลังจะเตรียมออกเดินทางไปพร้อมกัน
คือมันดูแปลกเกินคาดไปหน่อยนะ เพราะฉันมัวแต่นึกว่าผู้ร่วมทางที่เข้าไปยัง หุบเขาสปิติจะมีเฉพาะชาวต่างชาติน่ะสิ...ฉันเริ่มรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก หลังจากได้รู้ว่างานนี้มีแต่ชาวบ้านทั้งนั้น
ฉันได้แต่เอากระเป๋าไปวางจองที่ไว้ยังเบาะซีกซ้าย โดยตำแหน่งที่นั่งท้ายรถนี้ จะจัดวางแบบหันหน้าเข้าหากัน และออกมาเดินเล่นฆ่าเวลาสักพัก แต่ไม่นานเท่าไหร่ หลังจากที่คนขับบอกพร้อมแล้ว ทุกคนต่างก็พากันขึ้นไป รอบนรถอย่างไว คงเพราะอากาศที่เมืองมะนาลียามต้นฤดูหนาวของเช้าวันนั้น มันหนาวเย็นแบบได้ใจเสียจริง ๆ ถึงอย่างนั้น ฉันก็ได้แต่สวมแจ็คเก็ตคลุมกันหนาวไปตัวเดียว และเก็บพับ เสื้อ light down กับสเวตเตอร์ ที่เพิ่งซื้อเพิ่มจากเมื่อคืนนี้เอาไว้ในกระเป๋า เพราะคิดว่าหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ช่วงสายของวันก็คงจะร้อนขึ้น และฉันก็ไม่อยากถอดเสื้อกันหนาวจัดเก็บเข้าเป้ให้ดูวุ่นวายอยู่บ่อย ๆ
ก่อนขึ้นรถเพื่อออกเดินทางนั้น เห็นว่ามีผู้โดยสารผู้ชายอีกสองคน จะมานั่ง ตรงท้ายรถเช่นเดียวกับฉัน คนหนึ่งใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนัง ส่วนอีกคนหนึ่งสวม ชุดวอร์มยังกับจะเตรียมตัวไปเล่นกีฬาและใส่หมวกแก็ป
ในตอนนั้น พี่แจ็คเก็ตหนังได้ขึ้นมานั่งอยู่ยังเบาะตรงข้ามนานแล้ว ส่วนพี่หมวกแก็ป ก็กำลังจะขึ้นรถไปนั่งยังตำแหน่งของตัวเองที่ได้จองไว้ ฉันจึงรีบเดินไปสะกิดบอกจากด้านหลังทันทีก่อนโดนแย่งที่ ว่าได้จองมุม ด้านในเอาไว้ พร้อมชี้ให้เห็นเป้ที่วางเก็บไว้ใต้เบาะเป็นหลักฐานอีกด้วย พอรู้ดังนั้น เขาจึงได้ย้ายตัวไปนั่งกับพี่แจ็คเก็ตหนังแทน จากเรื่องดังกล่าว หากมองผิวเผินคงเหมือนว่าไม่มีอะไรแปลกใช่มั้ย??? ผิดเลย...นี่คือความแปลกประหลาดมาก ๆ ในอินเดีย เพราะเท่าที่เจอมา ไม่ว่าเขาคนนั้นจะมาดีเชิงเป็นมิตร หรือมาร้ายแบบแอบแฝงก็ตาม หากไม่มาทำตัวประกบแจ ก็คงจะหาเรื่องมานั่งใกล้ชิดติดเราตลอดเวลาอยู่ดี อย่างไรก็ตาม นี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีถึงความปลอดภัย และที่ดีเยี่ยมไปกว่านั้น ฟากเบาะของฉันก็มีพื้นที่ว่างเหลืออีกเยอะแยะ แต่จะมาแอบวิตกนิด ๆ ตรงที่ต้องนั่งหันหน้ามาจ้องกับพวกพี่สองคนนี่แหละ
ผู้โดยสารบนรถ (รวมคนขับและเด็ก) มีจำนวนทั้งสิ้น 10 คนด้วยกัน
เส้นถนนที่จะมุ่งไปยัง Rohtang pass (หรือ Rohtang la) ถ่ายไว้เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2014 ขณะที่ออกมาเดินสำรวจเส้นทางลัดไปน้ำตก
เจ็ดโมงเช้า เหล่าขบวนรถจี๊ปก็ได้เริ่มออกตัวมุ่งเดินทางไปพร้อมกันยังกับ กองคาราวาน หากจำไม่ผิดรถของโกร่า คือคันแรกที่ต้องออกตัวไปก่อน โดยเส้นทางนั้นจะมุ่งตรงไปที่ Rohtang la และฉันก็ได้แต่มองทางไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่า ถัดจากนี้ไปแล้วจะไปโผล่ที่ไหนกัน ฉันเคยเฝ้ามองภูเขาหิมะที่ตั้งเป็นฉากหลังของมะนาลีอย่างไม่รู้เบื่อ ตั้งแต่หนแรก เมื่อได้มาเยือน และไม่นึกว่าอีกไม่กี่เดือนให้หลัง ฉันจะได้ขึ้นไปเห็นพื้นที่บนนั้น
รถของเราได้ขับไปยังพื้นที่ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ เส้นถนนดังกล่าว มีทางโค้งที่วกเลี้ยว ไปมาอย่างไม่จบสิ้น ทั้งยังมีรถบรรทุก,รถยนต์ คันอื่นที่วิ่งตรงไปยังทางเดียวกัน ส่วนภาพทิวทัศน์รอบข้างก็เป็นเนินหญ้า ไม้พุ่มเตี้ย และต้นไม้ใหญ่ที่ต่างกำลัง ผลัดใบและเปลี่ยนสีไปตามฤดู
เมื่อได้เห็นภูเขาในระยะใกล้ และดูเหมือนจะใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
เส้นทางถนนที่จะพาเราขึ้นไปบนเขาสูง
สภาพการจราจรบนไหล่เขา ที่ในช่วงเวลานี้จะเปิดให้รถวิ่งเพียงแค่ทางเดียว
อีกไม่นานรถของเราก็จะย้ายข้ามไปอยู่ที่ถนนซีกโน้นเช่นกัน
และนับจากนี้ไปอีกสิบชั่วโมง เราก็จะไปถึงที่หมายกันประมาณสี่โมงเย็นโน่น ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาที่ดู ยาวนานจนน่าเบื่อพอสมควร อย่างไรเสีย มันจะถึงช้าหรือไวก็ช่างละคราวนี้ ฉันขอเพียงแค่ให้รถที่นั่งมาไม่พลัดร่วงตกเขาก็พอ
Create Date : 28 ธันวาคม 2557 |
Last Update : 16 มกราคม 2561 11:25:21 น. |
|
40 comments
|
Counter : 1024 Pageviews. |
|
|
ใครว่า 18+ บล็อก อ.เต๊ะ นี่36+ ของจริงเลยแหละ 555
สมัยเขียนบลอกใหม่ๆ ถึงพริกถึงขิง กางเกงลิงหลุด ยิ่งกว่านี้อีกน้า จะบอกให้555
ทริปนี้ อ่านทีแรกนึกว่า ไปวนาลี ซะอีก เมืองนี้ ชื่อคล้ายๆละครเลยเนอะ
แล้วก็ การเดินทาง 10 ชั่วโมงด้วยรถโดยสารท้องถิ่น นี่
โอ้โห ถ้าเป็น อ.เต๊ะ ละก็ กรี๊ดดด เกสเฮ้าส์แตกแน่ๆ 555
ยังนึกภาพ น้องฟ้านั่งท้ายรถ ข้างสุ่มไก่ ชะลอมเป็ด
ข้างหน้ารถมีเด็กอ้วกเป็นสาย ติดตาอยู่เล้ยนะ ขอบอก อิอิ
แต่คราวนี้ดุรถหรูขึ้นมาหน่อย แต่อัดกันไป 7-8 คนนี่
เกิดมีคนปล่อยปู้ดดด มาละก้กลิ่นโรตี แกงกะหรี่ หอมโชย ชื่นใจไปทั้งรถ แหงๆ555
ครวหน้า น้องฟ้าจะไปไหน ต้องจำไว้เลยน้า
เชื่อใครก้ได้ แต่ห้ามเชื่อพี่หยองเด็ดขาด 555
วันใกล้ปีใหม่นี้ ขอให้น้องฟ้ามีสุขภาพแข็งแรง โตเร็วๆ มีอิสระเสรี ได้เที่ยวไปทุกที่ ตามใจฝันเลยจ้า
ขอบคุณสำหรับคำอวยพรด้วยน้า