Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
24 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 
Rishikesh - บุก อาศรม The Beatles




บันทึกการเดินทางในอินเดีย ครั้งที่ 2 : ตุลาคม 2014
(ได้ทำการเรียบเรียงเนื้อหาใหม่อีกครั้งในปี 2017)



มีช่วงหนึ่ง ฉันใช้เวลาไปกับการไล่หาบทเพลงต่าง ๆ ของวงดนตรีชื่อดัง
แห่งอังกฤษอย่าง The Beatles ผ่านทาง Youtube ก็เพื่อต้องการที่จะหา
ความเชื่อมโยงในงานดนตรีของพวกเขากับอินเดียให้เจอ แม้ว่ามันจะดูขัดแย้ง
ไปหน่อยหากภาพลักษณ์แรกที่นึกออก  ในมาดของนักดนตรีที่แต่งตัว
อยู่ในชุด
สูทผูกไทสภาพเนี้ยบและตัดผมกะลาครอบเหมือนกันทั้งวง




หากต้องย้อนเวลาไปสำรวจสภาพแวดล้อมในช่วงยุคสมัยนั้น ที่ฟากส่วนของโลก
ตะวันตกโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มมีปรากฏการณ์
ของวัฒนธรรมย่อยที่
เรียกว่า
ฮิปปี้ เกิดขึ้น และค่านิยมเหล่านี้ก็เผยแพร่ไปยังที่อื่น ๆ อีกด้วย และใน
ขณะเดียวกันก็เริ่มมีกระแสของการเดินทางอย่างล้นหลาม
ด้วยทางรถ หรือ
overland ผ่านประเทศต่าง ๆ จนไปถึงจุดหมายยอดนิยมตามที่
ทุกคนก็รู้กันว่า
"ไปอินเดีย" และเส้นทางนี้ก็ได้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการภายหลังในนามของ
The Hippie trail

ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะอยู่ในประมาณกลางยุค 60s 



ในเดือนสิงหาคม ปี 1965 
ระหว่างที่ The Beatles ได้เดินทางไปเล่น
คอนเสิร์ตใหญ่ในสหรัฐอเมริกา จอร์จ แฮร์ริสัน ได้เริ่มหัดเล่นซีตาร์เป็นครั้งแรก
และนำมาใช้บรรเลงเป็นเมโลดี้สั้น ๆ ประกอบเพลง Norwegian wood (The
bird has 
flown) : อัลบั้ม Rubber Soul  จากนั้นเขาก็ได้เรียนอย่างจริงจังกับ
ราวี ชังการ์ ปรมาจารย์ซีตาร์ชื่อดังแห่งยุค

ซึ่งกลิ่นอายและท่วงทำนองดนตรีแนวตะวันออกนี้
ก็ได้ถูกนำมาใส่ในบทเพลงอื่นถัดมา อาทิเช่น :

- Love you to และ Tomorrow never knows อัลบั้ม Revolver (1966)

- Within you and without you อัลบั้ม Sgt. Pepper's lonely hearts club
band (1967)

*** ซึ่งในช่วงปลายปี 1967 นี้เองที่ พวกเขาเริ่มสนใจเรื่องการนั่งสมาธิในรูปแบบที่เรียกว่า 
Transcendental Meditation (หรือ เรียกสั้น ๆ  ว่า TM) และได้พบกับ"มหาฤาษี มเหศ โยคี"
ผู้เป็นคนเผยแพร่ศาสตร์อันโด่งดังนี้เป็นครั้งแรกที่กรุง
ลอนดอน ในขณะที่มาบรรยาย (เว้นแต่เพียง
ริงโก ผู้เป็นมือกลอง ที่ไม่ได้ไปเข้าฟังในเวลานั้น) 
พวกเขาจึงก็ได้รับการเชื้อเชิญให้ไปอบรมการ
ทำสมาธิกันที่ประเทศอินเดียในปีถัดมา


- The inner light ในหน้า B-side ของซิงเกิ้ล Lady Madonna (1968)
(หรือแม้แต่เพลง Across the universe ที่ประพันธ์โดย จอห์น เลนนอน ที่อาจ
ไม่ได้มีกลิ่นตะวันออกจัดจ้านเท่าตัวอย่างเพลงที่เอ่ยมา ทว่ามันก็ยังมีเนื้อร้องที่
เป็นมนตราแทรกขึ้นเบา ๆ อย่าง 'Jai Guru Deva Om' ให้ได้ยินอีกด้วย)

และในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกันนี้เอง หลังจากที่เข้าห้องอัดบันทึกเสียงเสร็จสิ้น
พวกเขาก็พากันเดินทางไปยังเมืองริชชิเกช ประเทศอินเดีย ทั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะแค่
สมาชิกในวงเท่านั้นแต่รวมไปถึงคู่รักของพวกเขา ผู้จัดการวง  และตลอดจนคน
อื่น ๆ 



ภาพจาก : https://americantribune.org/?cat=682

ในส่วนของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น หากมองตามความเข้าใจแบบคนนอกแล้ว
คงอาจจะสาธยายให้ถึงแก่นแบบฮิปปี้ผู้ร่วมยุคสมัยได้ไม่ดีเท่า ดังนั้น ฉันจึงขอคัด
บทความบางส่วนที่เคยได้กล่าวเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ที่ซึ่งเคย
ใช้ชีวิตตามรูปแบบดังกล่าวมาเพื่อขยายมุมมองของบุปผาชนฝั่งตะวันตกให้ได้ชัด
แจ้งขึ้น

"...ความคลั่งศาสนาได้เกิดขึ้นในหมู่ฮิปปี้ พวกเขาจะขับรถไปประเทศอินเดีย
แสวงหาที่จะเข้าสู่นิพพาน พวกเขาพยายามยึดความสุขไว้โดยการเล่นโยคะและ
นั่งสมาธิ มันกลายเป็นการ "เข้าสู่" การนมัสการกูรู (เกจิอาจารย์ หรือ ผู้รู้ ผู้นำฝ่าย
วิญญาณของอินเดีย) และรูปเคารพ เรานั่งสมาธิกันในที่ซึ่งอวลด้วยควันธูป พี้ยา
กันจนถึงจุดสูงสุดและนั่งในท่าดอกบัว ร่างกายและผมเผ้าของเราโอนเอียงไปมา
ในขณะที่เราเปิดตัวให้กับสิ่งในฝ่ายวิญญาณที่จะเกิดขึ้น ทุกคนเริ่มแต่งตัวด้วยชุด
ของชาวอินเดีย มีเครื่องประดับตกแต่งตามแขน หู คอ จมูก หน้าผาก และที่ว่าง
อื่น ๆ เท่าที่มี 
     ทูตแห่งการเคลื่อนไหวทางศาสนาครั้งนี้คือเหล่านักร้องเพลงป๊อบ แม้แต่วง
สี่เต่าทอง (The Beatles) ก็เดินทางไปอินเดียเพื่อปรึกษากูรูส่วนตัวของเขา 
เวลานั้นแนวดนตรีของสี่เต่าทองเต็มด้วยเสียงซีตาร์-เครื่องดนตรีอินเดีย และ
อิทธิพลของตะวันออกไกลอย่างเต็ม ๆ ..."


จากหนังสือ Help (ใครช่วยฉันที),
ผู้เขียน : วอลเตอร์ ไฮเด็นไรค์ 



....



ต้นเดือน ตุลาคม 2014  หรือจะเรียกว่า 46 ปีผ่านไปนับตั้งแต่ที่เหล่าสี่เต่าทอง
เคยได้มาเยือนก็ได้  ฉันเดินทางกลับมายังเมืองริชชิเกชอีกครั้งก็เพราะยังคงชอบ
บรรยากาศแวดล้อมของที่นี่ แน่นอนว่าในเรื่องของที่พักย่านรามจุฬา ฉันเลือกที่จะ
ตรงไปยัง Sri Ved Ashram ตามที่มีคนชี้แนะไว้เมื่อครั้งก่อนทันที 

ที่พักในรูปแบบอาศรมเนี่ย มันก็คงต่างไปจากที่พักแบบทั่วไปมากทีเดียว
ตามความคิดแรกเห็นที่รู้สึกคือมันดูเรียบง่าย และคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เคร่งครัด
ต่อการดำรงชีวิตจนฉันเข้าไม่ถึง ไม่ว่าจะคนตะวันตกหรือ
ตะวันออกก็ตาม บางครั้ง
พวกเขาจะพากันนั่งสมาธิตามมุมต่าง ๆ ไม่ก็เข้าชั้นเรียน
โยคะกันที่ห้องโถงตาม
ตารางเรียนที่มีกำหนดไว้ 
ทั้งนี้ยังมีกฏข้อห้ามต่าง ๆ เขียนบอกติดเต็มไปหมด แต่
ถึงอย่างนั้นฉันกลับชอบที่นี่มากกว่าเกสท์เฮาส์
ทั่วไปเพราะความเงียบสงบ และ
อย่างน้อยก็ไม่มีพวกนักท่องเที่ยวนิสัยแย่ที่ชอบตั้งกลุ่มพากันเสียงดังไงล่ะ

ส่วนในอีกเหตุผลหนึ่งที่กลับมายังเมืองนี้เพราะเรื่องของ The Beatles ด้วย 
แม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่แฟนเพลงพวกเขา แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็อยากจะเข้าไปดู
อาศรมนั้นให้เห็นกับตาสักหน



บริเวณประตูทางเข้า Chaurasi Kutiya Ashram อันโด่งดังในอดีต ที่เหล่า The Beatles
เคยมาพำนักในปี 1968 และภายหลังอาศรมนี้ก็ได้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ The Beatles Ashram 


หากเริ่มจากหน้าอาศรมของฉัน มันก็จะห่างกันแค่ 200 เมตร แต่ก็แอบดูลึกลับ
และเปลี่ยวไปหน่อย เพราะเมื่อถัดไปจากปากทางเข้าจะดูไม่มีผู้คนผ่านไปมานัก
ใจหนึ่งก็แอบคิดว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าไป เพราะมันดูน่ากลัวพอสมควร

ช่วงที่ฉันเดินไปถึงนั้นเป็นเวลาเที่ยง ที่ประตูทางเข้าด้านหน้าถูกปิดล็อคเอาไว้
ฉันได้รับข้อเสนอบางอย่างจากคน ๆ หนึ่งที่ยืนอยู่แถวนั้น ว่าหากอยากเข้าไปก็
จ่ายแค่ 50 รูปี แต่มันก็ดูแปลกตรงที่เขาไม่สามารถเปิดประตูให้ฉันได้

"คนเฝ้าพักเที่ยงอยู่ เธอต้องเดินเข้าไปอีกทางหนึ่ง"

ชายคนนั้นได้ชี้บอกทางลับให้ดู ที่ตรงนั้นมันเป็นป่าทึบ มองไม่ออกว่ามันจะทะลุ
เข้าไปถึงอาศรมยังไงได้
และคงไม่ดีเท่าไหร่หากต้องเดินไปตามลำพัง

ฉันจึงไม่ตกลงตามที่ว่าและเดินย้อนกลับออกมาตรงพื้นที่ลานหน้าทางเข้าที่ติด
กับแม่น้ำ
กะว่าคงจะนั่งรอดูกลุ่มนักท่องเที่ยวคนอื่นที่แวะเลี้ยวไปยังอาศรมดัง-
กล่าว แต่แล้วก็กลับได้มาเจอกับชาวต่างชาติ
สามรายที่มาด้วยกัน เป็นผู้หญิงสอง
คนและผู้ชายอีกหนึ่ง
ที่กำลังด้อม ๆ มอง ๆ หาป้ายทางไปยังอาศรมฯ อยู่พอดี

หลังบอกทางให้รู้ว่าต้องเดินต่อไปอีกหน่อย จากนั้นก็เลยขอร่วมเดินทางไปยัง
ด้านในพร้อมกับพวกเขาด้วย 
ฉันบอกพวกเขาไปตรง ๆ ล่ะว่าไม่กล้าเข้าไปคนเดียว 

ระหว่างเดินไปด้วยกันเราก็ไถ่ถามกันพอให้รู้จักเล็กน้อยนะ
ว่ามาจากที่ไหน แต่มันก็ติดตลกตรงที่ชายคนนั้นบอกฉันว่า


"อิสราเอล ก็เหมือนกับทุกคนนั่นแหละ"

จะว่าไปแล้ว ฉันเห็นคนจากอิสราเอลมาเที่ยวอินเดียเยอะมาก ๆๆๆๆ
กระทั่งแป้นพิมพ์ในอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายแห่งก็มีตัวอักษรภาษาฮิบรู
และพอพวกเขารู้ว่าฉันมาจากไทยเท่านั้นก็ถึงกับถามว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง
ในอีกสองสัปดาห์พวกเขาจะเดินทางไปประเทศไทย

(เอ๊ะ นี่มันเส้นทางยอดนิยมหรือไงเนี่ย? ได้ยินมาเป็นหนที่สองแล้วนะ)

"พวกเธออยากไปภูเขา หรือทะเล หรือว่าเล็งที่ไหนไว้บ้างแล้ว?"
โดยปกติ มันก็ต้องมีเป้าหมายหลักให้พอแนะนำได้สิ 

"ไม่รู้สิ พวกเราไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับที่นั่น" เขาตอบมาอย่างหน้าตาเฉย

เฮ้ย ...มันมีการเดินทางแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย!?


พอเดินมาถึงหน้าอาศรมฯ แล้ว พวกเราก็ได้จ่ายเงินให้กับคนเฝ้าคนละ 50 รูปี 
และขณะนั้นก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่เข้ามาพร้อมกับเราอีก 4-5 คน 
คนที่เก็บ
เงินได้ชี้บอกทางเข้าให้เราเดินไปทางป่าข้างกำแพงตามเดิม 
เพราะหากจะรอให้
คนดูแลมาไขกุญแจประตูหน้าให้ก็อีกนาน

แต่มองดูแล้ว ยังไงมันก็ไม่น่าจะเดินเองไปได้หรอก พอมีคนทักท้วงว่าไหน ๆ
ก็จ่ายเงินไปแล้วทำไมไม่คิดช่วยนำเลยหรือไง 
ตาคนเฝ้าจึงยอมให้คนของเขา
เดินนำไปแบบเสียไม่ได้ 



ทางเข้าอาศรม(ภาคพิสดาร) ที่ต้องใช้วิธีเดินลัดเลียบป่าและแนวกำแพง

พวกเราเดินลัดเข้าป่าเรียงเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งมันเป็นพื้นที่รกชัฏไปด้วยสุมทุม
พุ่มไม้ และมีเศษแก้วแตกตกหล่นอยู่ประปรายตามทางด้วย คนนำได้พาเรามาเดิน
ถึงแนวกำแพง
และจากนั้นเขาก็ให้ไปต่อเอง ซึ่งไม่นานก็เจอกับช่องทางเข้าที่ว่า
จริง ๆ 
เราพากันมุดลอดแนวไม้เข้าไปยังด้านในกำแพงที่ผุพังและก้าวเท้าเข้าสู่
อาศรมในตำนานแห่งนี้จนได้ 




อาคารสถานที่บางส่วนที่ถูกทิ้งร้างและปกคลุมไปด้วยร่มไม้ที่ขึ้นอย่างรก ๆ



เดินตามหาเรือนพักทรงโดม ซึ่งมันเคยถูกใช้เป็นที่พำนักสำหรับผู้เข้าอบรม



โดมแต่ละหลังจะมีหมายเลขติดกำกับเอาไว้ และพื้นที่ด้านในแบ่งเป็นสองชั้น 





ห้องสุขา ที่อยู่ในโดม



ที่ตั้งของตู้ไปรษณีย์เก่า ภายในอาศรม

พื้นที่ด้านในดูกว้างใหญ่พอสมควรและมีอาคารเก่ารกร้างอยู่ในนั้นหลายหลัง
หากประเมินจากสายตาโดยคร่าวแล้ว รูปแบบของสิ่งก่อสร้างก็ดูไม่น่าจะเป็น
อาศรมแบบคร่ำครึเลย หากเทียบกับเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้มันคงเป็นอีกหนึ่ง
สำนักที่เจริญรุ่งเรืองน่าดู





แนวกำแพงและทางเดินที่ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียว



ดูเหมือนว่า ผู้คนที่เข้ามาเที่ยวในพื้นที่นี้จะนับได้ไม่ถึงสิบราย นาน ๆ ทีถึงจะมี
การเดินสวนกันบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก และบรรยากาศมันก็เงียบดีซะจริง นี่ถ้าหาก
ไม่มีเสียงขู่จากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลดังขึ้นมา เราก็อาจเข้าใจว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ที่
น่าจะไม่เป็นอันตรายนัก

"หยุด อย่าเพิ่งตรงไปทางนั้น!"

ฉันได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง พอหันไปก็เจอกับชาวอินเดียสองคน
กำลังเดินตรงเข้ามาห้ามปรามในขณะที่พวกเราและคนอื่น ๆ จะมุ่งไปยังอาคาร
แห่งหนึ่ง  
ฉันและนักท่องเที่ยวอีกสองคนจึงหยุดรอ แต่กลุ่มอิสราเอลที่มาด้วยกัน
ดันไม่หยุด แต่แล้วพวกเขาก็ต้องมาชะงักเมื่อ
เห็นชายคนหนึ่งถือปืนยาวอยู่ในมือ 

"ผมบอกว่าให้หยุดก่อน ที่ตรงนั้นมันมีสัตว์อันตราย!"

ต่อมาเมื่อพวกเขาได้เข้าไปยังอาคารเก่าตรงนั้นและตรวจตราความเรียบร้อยจน
แน่ใจว่าปลอดภัย จึงยอมให้
เราได้ไปต่อ แม้ว่าจะแอบสงสัยกับการเข้ามาเยือนผิด
เวลา
ของพวกเราอยู่บ้าง  



"พวกคุณเข้ามาในนี้กันได้ไง ในเมื่อประตูมันยังปิดอยู่"

อ้าว แล้วพวกที่มายืนเก็บเงินเมื่อครู่นี้คือ ???

มีคนอธิบายให้คนดูแลได้รู้ว่า เราเดินเข้ามาทางด้านข้าง หลังจากที่จ่ายเงินค่าเข้า
ให้กับใครบางคนที่มายืนเฝ้าหน้า
ทางเข้าในช่วงพักเที่ยงที่ผ่านมา... 

"พวกเขาเก็บเงินคุณเท่าไหร่?" คนดูแลถาม

"คนละ 50 รูปี" หนุ่มอิสราเอล ตอบ

"โอ้ ... เป็นราคาที่ดีนะเนี่ย"
แม้จะไม่มีคำตอบว่าเราถูกหลอกหรือปล่าว
มันก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยไปมากกว่าปืนยาวของคนดูแลที่พกเข้ามานี่แหละ? 

"โทษทีนะ ที่นี่มีตัวอะไรที่น่ากลัวนัก?" 


ส่วนคำตอบที่ได้ฟังมาครั้งนั้นก็คือ ช้างป่า!
หนแรกก็ไม่มีใครเชื่อเท่าไหร่นะเพราะดู ๆ แล้ว
มันน่าจะเป็นคำขู่เสียมากกว่า 

ภายหลังจากนี้เมื่อได้ลองสอบถามกับผู้คนพื้นที่ หลายคนต่างก็ยืนยันว่าพวกช้าง
มักจะพากันเดินลงมาจากเขาเพื่อมาหาอาหารเป็นประจำ ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกหรอก
หากว่าจะหลงเข้าไปอยู่ในเขตนั้นได้เพราะมันติดกับบริเวณตีนเขานั่นเอง 





: The 
Beatles Cathedral Gallery



The Beatles Cathedral Gallery กับภาพกราฟิตี้ต่าง ๆ มันได้ถูกแต่งแต้มขึ้นเมื่อ ปี 2012
โดยการนำของศิลปินแนว street art ที่ชื่อ Pan Trinity Das และที่มาของแรงบันดาลใจก็
มาจากการที่ได้เห็นร่องรอยการขีด ๆ เขียน ๆ บนผนังด้วยถ่านจากผู้ที่เคยแวะมาเยือน และใน
ขณะนั้นก็มีเพียงไม่กี่จุดที่เป็นภาพลงสี 



อีกมุมยอดนิยม ของ The Beatles Cathedral ที่คนมักจะมายืนถ่ายรูปกัน
ที่มุมหนึ่งมีคำจากเนื้อร้อง "Jai Guru Deva" ใน Across the universe
และภาพของ "มหาฤาษี มเหศ โยคี" ตั้งอยู่กึ่งกลาง 



ชั้นวางถ้วยชามดินเผา คาดว่าน่าจะเป็นของเก่าที่ยังหลงเหลือให้เห็น



จากนั้นเราก็ได้เดินตรงไปยังอาคารที่เรียกกันว่า "
The Beatles Cathedral
Gallery" (น่าจะเป็นชื่อที่เรียกกันเองภายหลัง) มันเป็นห้องโถงกว้าง ๆ และมีแนว
โน้มว่าฝ้าหลังคาอาจจะร่วงถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้  ฉันไม่รู้ว่ามันเคยได้ถูกใช้งาน
สำหรับอะไรในอดีต
แต่ปัจจุบันนี้มันกลับเต็มไปด้วยภาพกราฟฟิตี้เต็มไปหมด ซึ่งก็
ทำให้สถานที่รกร้างนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง



คนที่เข้ามาต่างก็พากันถ่ายภาพ ไม่ก็หามุมนั่งเอกเขนก
สูบมวนอะไรบางอย่างที่
พกมาเอง (ไม่สามารถฟันธงได้ว่ามันคืออะไร) 
หรือไม่ก็หาทำเลดี ๆ ในการปลีก
วิเวกกันซักระยะหนึ่ง...
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถใช้เวลาในนี้ได้นานเท่า
ไหร่ เพราะมีศัตรูตัวฉกาจ
เจ้าถิ่นคอยเข้ามาโจมตีผู้มาเยือนอย่างเรื่อย ๆ คราวนี้
ไม่ใช่ช้างป่าหรอกนะ แต่มัน
คือ "ยุงป่า" นั่นเอง

ฉันกะจะเงื้อมตบมันสักฉาด แต่ก็เกรงว่าจะขัดต่อกฏในพื้นที่อภัยทาน 
และในขณะเดียวกัน สาวอิสราเอลสองคนต่างก็เกิดอาการแพ้ยุงอย่างจัง
พวกเธอเริ่มมีรอยแดงจากผื่นขึ้นเต็มไปหมด เว้นแต่ผู้ชายคนเดียวในกลุ่ม
ที่ดู
ไม่มีร่องรอยอะไรสักอย่าง เขาจึงหันมามองเราอย่างแปลกใจและแอบแซว
ได้อย่างน่าหมั่นไส้ซะจริง

"สงสัยเพราะฉันอาบน้ำทุกวัน ดูสิยุงมันถึงไม่กัด" 






เราใช้เวลาในอาณาเขตนั้นนานพอควร จนไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้น่าสำรวจต่อได้อีก
และฉันเองก็ไม่อยากบริจาคเลือดให้กับยุงไปมากกว่านี้แล้ว
จึงได้พากันเดิน
ออกไปทางประตูที่เป็นทางเข้าด้านหน้า ซึ่งในตอนนั้น
มีคนนั่งเฝ้าตัวจริงมาเปิดไข
กุญแจให้ พร้อมกับเห็นนักท่องเที่ยวรายใหม่ต่าง
พากันเดินสวนเข้ามาแทนที่ 
(แน่นอนว่า พวกเขาเหล่านั้นอดได้ไปผจญภัยกับเส้นทางสุดพิลึกแบบเรา)


...


ส่วนการเดินทางมาเยือนอินเดียของสี่เต่าทองนั้น ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น
ดังเช่นว่าหลังจากที่เข้าถึงสมาธิฯ กันพร้อมหน้าแล้ว พวกเขาก็ได้พากันประพันธ์
บทเพลงอันบรรเจิดเลิศล้ำยิ่งกว่าอัลบั้มเก่าก่อน 

ไม่เลย ... มันไม่ใช่เรื่องราวที่สวยงามขนาดนั้น !!! 

เพราะช่วงเวลาเข้าอบรมสมาธิของพวกเขานั้น 
หลังจากผ่านไปสิบวัน มือกลอง
อย่าง ริงโก สตารร์ และภรรยา 
ก็ได้ออกจากอาศรมเป็นคู่แรก, ถัดมาคือ 
พอล แมคคาร์ทนีย์ ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานราว 5 สัปดาห์  ส่วน จอห์น เลนนอน
และจอร์จ แฮร์ริสัน ได้ใช้เวลาอยู่นานถึง 6 สัปดาห์ จะแปลกันง่าย ๆ ก็คือ
พวกเขาไม่ได้อยู่กันจนจบหลักสูตรฯ เต็มรูปแบบ  และทั้งนี้
ก็ได้มีข่าวลือที่ไม่ดี
เกี่ยวกับพฤติกรรม
บางอย่างของ มหาฤาษี มเหศ โยคี เกิดขึ้นตามมา...
จากการที่ จอห์น เลนนอน ได้นำมาถ่ายทอดลงในเพลง "Sexy Sadie" เอาไว้

ซึ่งเรื่องที่ว่านั้นจะเป็นจริงหรือเท็จก็ตามแต่
เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ได้ออกมาขอโทษต่อหน้าสาธารณชน
และพูดแก้ต่างถึงเรื่องความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นในภายหลัง

....


เมื่อฉันได้กลับมาไล่เรียงฟังเพลงต่าง ๆ ที่ได้ชื่อว่า มันได้รับแรงบันดาลใจและ
ถูกแต่งขึ้นระหว่างพำนักอยู่ในริชชิเกชก็กลับไม่พบกลิ่นอายของเครื่องดนตรีแนว
ตะวันออก (เท่าที่ได้ยกตัวอย่างให้ดู) ตามที่หวังเลย...  
เอาเถอะ เรื่องสำเนียงดนตรีอาจฟังดูเป็นอะไรที่ผิวเผิน แต่หากความน่าสนใจ
ของอัลบั้มฯ ที่ว่า คงเห็นจะเป็น "แนวทาง" ที่ต่างคนต่างลงบทเพลงในรูปแบบ
ของใครของมัน มากกว่าที่จะเป็นThe Beatles เหมือนเก่ายังไงล่ะ 



ภาพจากอัลบั้ม Abbey Road ปี 1969 

แม้ปัญหาที่เกิดจากความตึงเครียดในวงที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะถูกฉุด
รั้งไว้ด้วยสมาธิไม่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบทเพลงต่าง ๆ 
ที่ถูกแต่งขึ้นมาระหว่างที่
พวกเขาพำนักอยู่ในริชชิเกชเป็นจำนวนมากกว่า 30 เพลง 
ก็ได้ถูกบรรจุลงใน
อัลบั้มที่ชื่อว่า"The Beatles" มากที่สุด 
(อัลบั้มนี้วางจำหน่ายเมื่อ 22 พ.ย. 1968
ภายหลังจาก
ที่กลับมาจากอินเดียในปีเดียวกัน ทว่าหน้าปกนั้นกลับไร้ลวดลายและ
เป็นสีขาวล้วน จึงทำ
ให้มีอีกชื่อเรียกก็คือ "The white album')

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวความระหองระแหงของสมาชิกในวง The Beatles
ก็ได้มีอันสิ้นสุดลงในปี 1970 หลังจากเปิดตัวอัลบั้ม Let it be เป็นการส่งท้าย
พวกเขาก็ประกาศยุบวง


...


ถึงเรื่องของ The Beatles จะเป็นอดีตไปแล้วก็ตาม 
แต่ฉันก็คิดว่าในทุกวันนี้พวกเขายังเป็นจุดขายและมีอิทธิพลอยู่มากนะ 
ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว จะมีใครเล่าที่คิดอยากทะเล่อทะล่าหาทาง
เข้าไปเดินชมพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแบบนั้นกัน?



'The inner light' 
ศิลปิน : The beatles

Credit Kolllektiv







" อื่น ๆ "

- Chaurasi Kutiya Ashram (หรือ The Beatles Ashram) 
ปัจจุบัน ทางการอินเดียได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อปลายปี 2015
ซึ่งพื้นที่นี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของกรมป่าไม้แห่งรัฐอุตตราขัณฑ์ 
อุทยานแห่งชาติราชาจิ : Rajaji National Park 
ส่วนค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาตินั้น ก็ตกอยู่ที่ประมาณ 600 รูปี

(ดังนั้น มันอาจจะต่างไปจากเมื่อปี 2014 ตามที่เล่าไว้นะคะ)

- สำหรับปีที่ใช้อ้างอิงในบล็อกนี้จะใช้ 'ค.ศ.' ทั้งหมด

- บทความอ้างอิง และเรื่องราวที่น่าสนใจ 

* The Hippie Trail เส้นทางฮิปปี้ข้ามทวีปจากยุโรปสู่เอเชียของเหล่าบุปผาชน :
https://www.culturedcreatures.co/the-hippie-trail/

* Visit 'Beatles Ashram' in India :
https://edition.cnn.com/travel/article/the-beatles-ashram-india/index.html

* The Beatles in India :
https://en.wikipedia.org/wiki/The_Beatles_in_India

* The Beatles เหนือกาลเวลา :
https://thebeatlesfortheages.blogspot.com/2017/08/4-3-beatles-revolver-john-beatles-
sgt.html







Create Date : 24 พฤศจิกายน 2557
Last Update : 31 ธันวาคม 2560 21:14:42 น. 44 comments
Counter : 1974 Pageviews.

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
 
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
สาวไกด์ใจซื่อ Food Blog ดู Blog
อาคุงกล่อง Funniest Blog ดู Blog
หอมกร Movie Blog ดู Blog
ถปรร Photo Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog

ตามมาอ่าน
ตามมาเที่ยว
และตามมาโหวตให้ค่ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา:21:57:35 น.  

 
เห็นแล้วอยากเดินไปถ่ายภาสพกราฟิตี้เหล่านั้นจังเลยครับน้องฟ้า
สวยเน๊อะ ชอบๆๆๆๆครับ

ปล.เคยดูสารคดีช้างป่าอินเดียดุจริงๆครับ
เห็นคนปุ๊บมันปรี่มาทำร้ายเลยนะครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา:22:09:01 น.  

 
มาจองคิวก่อนนะครับ ดนตรีชัดเจนมากๆครับผมชอบๆครับ อิอิ ^^


โดย: วนารักษ์ วันที่: 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา:22:18:48 น.  

 
อิฉันขอโหวต Travel Blog ให้คะ

ภาพสวย ดนตรีโดนใจ

ขอแปะไว้ก่อน ค่อยตามอ่านเนื้อเรื่องนะคะ



โดย: Chic Bossy วันที่: 24 พฤศจิกายน 2557 เวลา:23:19:44 น.  

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:2:40:18 น.  

 
สวัสดีจ้า

เพลงวงนี้ อ.เต๊ะ ไม่รู้จัก เกิดไม่ทัน จริ้งๆ อิอิ

แต่ชอบ เพลง hey jude มากเลยจ้า555

อ.เต๊ะ เคยอ่านประวัติ นักคนตรีวงนี้นี่

เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับฤาษีเครางามนี้อยู่เหมือนกัน

ที่อ.เต๊ะ เห็นบ่อยๆก็คือ นักคนตรี นักร้องแนวนี้นี่
มักจะไม่ใช้ชีวิตแบบคนปกติ

ส่วนใหญ่จะออกแนวฮิบปี้ ไม่ตัดผม ไม่อาบน้ำ
คือ ถ้าอาบเดี๋ยวจะแต่งเพลงไม่เพราะ 555


ดูแล้วอินเดีย น่าจะเป็นสวรรค์ ของคนไม่อาบน้ำ ไว้ผมยาวรุงรังเลยเนอะ

เรียกว่าพวกนี้ มาถูกที่เลยละจ้า 555

ส่วนน้องฟ้านั้น เท่าที่ อ.เต๊ะ ตามอ่านมาตลอด
ก้ไม่เคยพุดถึง เรื่องอาบน้ำตอนมาเที่ยวอินเดียเลย

อ.เต๊ะ ก็มั่นใจว่าน้องฟ้าค้นพบตัวเองแล้วเหมือนกัน อิอิ

ส่วน อ.เต๊ะ นั้น ค้นพบตัวเองตั้งแต่เด้กๆแล้ว ว่า
การอาบน้ำ ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต

อาหารซี จำเป็น ไม่อาบน้ำ เราก้ไม่ตาย แต่ไม่กินข้าว เราตาย แหงๆ จ๊ะ 555

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog





โดย: multiple วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:5:01:09 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับน้องฟ้า

โหวต Travel blog ให้เลยนะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:7:29:26 น.  

 
พี่โหวตหมวดท่องเที่ยวไปแล้ว พรุ่งนี้มาโหวตให้นะ

อ่านแล้วอยากไปหาอ่านต่อเชียวว่าพฤติกรรมของมหาฤๅษีที่่ว่าคืออะไรน้อ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:8:58:03 น.  

 
พูดเรื่องที่ฟ้าไปทัก พี่ก็รู้สึกงั้นนะ ยังงงว่าเค้าเอามาตกแต่งได้ไง ฮา


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:9:03:02 น.  

 





ฮือ .. ฮือ .. เห็นแล้ว น้ำตา ไหล ..

นี่ ตู ไปได้ยังไงฟะ ?? ตั้ง 3 รอบ ..



ไม่ไปอีกแล้วค่ะ ..






บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น





จริงๆนะ ..







โดย: foreverlovemom วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:10:06:03 น.  

 





อ่ะ ..


อีก รอบ ..





Planet Earth in 4K








โดย: foreverlovemom วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:13:03:58 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตนะครับน้องฟ้า

พี่ก๋าปิดบล็อกไปเลย
ไปเล่นเฟซแทน 555
เพิ่งมาเปิดบล็อกดูตอนนี้เองครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:15:35:34 น.  

 
มาอ่านจนจบเลยครับน้องฟ้า ^^

หาประวัติและภาพประกอบได้ยอดเย่ี่ยมเลยนะครับ

ผมว่าในยุคนั้นที่เรียกว่ายุคฮิบปี้คงเป็นยุคที่คนแสวงหาทางออกทางสังคม

ด้วยการมาอินเดียที่เป็นต้นอารยะธรรมกันนะครับ เสียดายไม่เจอศาสนาพุทธ ไม่งั้นคงจะได้ฟังเพลงเพราะๆจากจอนห์ เลนน่อนอีกหลายเพลงเลย

ทุกอย่างเจริญและเสื่อมเป็นธรรมด เหลือไว้แต่ผลงานให้ไว้กับโลกนี้นีเอง

โหวตท่องเที่ยวให้เลยนะครับผม อิอิ ^^


โดย: วนารักษ์ วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:15:39:14 น.  

 
ศิลปะบนฝาผนังสวย เป็นศิลป์มากๆเลยค่ะ หาประวัติเก่งมาก น่าชื่นชมจริงๆ

ปล.ใช่แล้วค่ะบล็อกเก่าเป็นหัวรถจักรที่ปลดระวางแล้ว


โดย: sawkitty วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:16:11:50 น.  

 
ไม่เคยทราบเลยค่ะว่าวงดนตรีชื่อก้องโลกอย่าง The Beatles
จะเคยมาพักอยู่ในที่แบบนี้แล้วก็ได้เรียนดนตรี
แถมยังนำไปใส่ไว้ในเพลงของบอกเขาด้วย
อย่างเพลงที่เลือกมาให้ฟังก็เพิ่งเคยได้ยินค่ะ

ชื่นชมน้องฟ้าที่รอบรู้เกี่ยวกับประเทศอินเดียเป็นอย่างดีค่ะ
อ่านบล็อกของน้อง ช่วยเปิดโลกทัศน์เกี่ยวกับประเทศนี้ได้ดีมากเลย
พี่เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่รู้จักอินเดียน้อยมาก
สำหรับพี่แล้ว เป็นเรื่องที่ดีค่ะ ที่อ่านและรู้จักประเทศนี้มากขึ้น ^_^


ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog


โดย: ฝากเธอ วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:20:16:05 น.  

 
กราบสวัสดียามค่ำคืนคะ

นอนหลับฝันดีนะคะ



โดย: Chic Bossy วันที่: 25 พฤศจิกายน 2557 เวลา:22:37:57 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับน้องฟ้า



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา:6:04:58 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ค่ะน้องฟ้า
ตามมาอ่านต่อค่ะ
ที่ไหนมียุง ที่นั่นไม่มีพี่ ^__^
เพราะพี่แพ้น้ำลายยุงจ้า


โดย: เนินน้ำ วันที่: 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา:7:32:35 น.  

 







คนแพ้ยุง .. ตาม .. คนแพ้ยุง มาค่ะ ..














โดย: foreverlovemom วันที่: 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา:8:43:20 น.  

 
มาโหวตให้จ้าาา


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา:11:04:16 น.  

 
ความรักสำหรับพี่ก๋า
คือ ถึงเวลาเดี๋ยวมันก็มาเอง
ถ้าจะมาช้าไปบ้าง
ก็อย่าเพิ่งตกใจครับ 555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา:11:09:48 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog

น้องฟ้าที่น่ารัก แม่บุญพึ่งกลับมาจากเกาะชิชิลี อิต่ลีจ้า ตอนนี้กำลังปั่นอยู่ คงจะออกมาให้อ่านกันในเร็วๆ นี้

สังเกตุว่า เราสองคนชอบเที่ยวแนวเดียวกัน สักวันอาจจะมีโอกาสร่วมทางกันสักครั้ง...ที่อินเดีย


โดย: Maeboon วันที่: 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา:15:48:23 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณฟ้า
แวะเข้ามาเดินตามไปติดๆ ค่ะ
ไม่กลัวยุงค่ะ เพราะทา กย15 มาแล้ว
แต่ว่ายุงป่าตัวใหญ่ๆ จะกลัวมั้ยน๊า กับ กย.15 เนี่ย


โดย: phunsud วันที่: 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา:17:10:50 น.  

 
เห็นส้วมแล้ว คิดว่าคงท้องผูกทันทีเลยค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 26 พฤศจิกายน 2557 เวลา:21:14:00 น.  

 












หนาวแล้วเน้อ .. ระวัง รักษาสุขภาพร่างกาย กันด้วยค่ะ ..







โดย: foreverlovemom วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:0:14:11 น.  

 
สวัสดีค่า คุณฟ้า ^^
เห็นคุณฟ้าเที่ยวอินเดียในมุมมองแตกต่างกับรายการหรือบล็อคอื่นๆแล้วก็ทึ่ง
บางภาพไม่เคยเห็น หรือไม่รู้เลยว่ามีอยู่ค่ะ
อาศรมโบราณมาคนเดียวไม่ได้แน่เลย
แถมอุปสรรคนั่นสำคัญมากๆก็คือยุ่งนี้แหละ
นุ่นแพ้ยุง ถ้าไปแบบคุณฟ้าต้องพกสสารพัดยาแน่ๆเลย
แต่ก็ได้ประสบการณ์ดีนะคะ
เป็นวัตถุดิบเลย ขอบๆ

ขอบคุณมากๆค่า



โดย: lovereason วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:0:38:17 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับน้องฟ้า



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:6:29:04 น.  

 
โหวตให้ท่องเที่ยวค่ะ
ตอนที่บีทเทิลใช้ชีตาร์บรรเลง เคยได้ยินค่ะ


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:10:04:21 น.  

 
จริงๆถ้าถามกันอย่างถึงที่สุด
พี่ก๋าว่าความต้องการที่สำคัญที่สุดของมนุษย์
ก็คือ การหายใจครับ

ทุกสิ่งที่อยากได้ใคร่มี
ถ้าไม่มีลมหายใจ
สิ่งเหล่านั้นก็เปล่าประโยชน์จริงๆ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:10:51:08 น.  

 
ที่น้องฟ้าพูดถึงคือข้าวเกรียบอ่อนค่ะ
แถวเมืองชลบ้านเราอร่อยมากเนาะ มักทำสีเขียวออน ๆ จากใบเตย
ไม่ค่อยเห็นที่อื่นเขาทำกัน
รวมถึงขนมอื่นเช่น ขนมก้นถั่ว
แต่วิธีทำน่าจะเหมือน ๆ กันค่ะ
ส่วนข้าวเกรียบปากหม้อ ก็แล้วแต่จะใส่ไส้อะไรค่ะ
หลากหลายมาก ๆ

ยกข้าวเกรียบอ่อนมาฝากนะคะ เคยอัพบล็อกไปนานมากแล้วค่ะ


โดย: เนินน้ำ วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:11:07:58 น.  

 
อ่านตอนต้นๆแล้วแอบน่ากลัวนะคะ
สถานที่ร้างแบบนี่ไปคนเดียวเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะหยิงสาวหน้าตาดีอย่างเรา คริๆๆ

ต้องยอมรับจริงๆสำหรับสี่เต่าทอง เค้าเป็นตำนาน
เคยดูหนังยุคๆนั้น
คนหนุ่มสาวเค้าดูแบบ อืม เราเข้าไม่ถึง
คงไม่น่าแปลกใจถ้าเค้าจะอกเดินทางไปแสวงหาจิตวิญาณกันนะคะ

แหมๆๆ คุณฟ้า นักท่องเที่ยวอนาถาอะไรกัน ใครพูดดดด
ประเด็นคือเราได้ไปเที่ยวแบบที่เราชอบ เราอยากไป ส่วนเบื้องหลังเป็นยังไงอย่าได้แคร์ค่ะ อิอิ


โดย: AdrenalineRush วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:14:08:59 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณฟ้า
ตามมาเทึ่ยวต่อแบบเจาะลึก
เก่งนะเดินทางแบบนี้ได้ไม่กลัว ปานเคยไปแต่กับทัวร์
ส่งกำลังใจให้ค่ะ
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้ 
ผู้เขียน Blogหมวดเนื้อหาBlog ได้รับโหวต
Chic BossyFunniest Blogดู Blog
KarzMusic Blogดู Blog
กาบริเอลTravel Blogดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น



โดย: pantawan วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:18:36:22 น.  

 
กราบสวัสดียามค่ำคืนคะคุณฟ้า

ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ



โดย: Chic Bossy วันที่: 27 พฤศจิกายน 2557 เวลา:19:34:22 น.  

 
เขียวไปหมดเลย ยุงเยอะนี่น่ารำคาญนะครับ

เจ้าหน้าที่ดูเข้มงวดจัง ปืนยาวเลยนะนั่น แต่ช่วยไม่ได้อะนะ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

+


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:0:37:31 น.  

 
ท่องเที่ยวเสี่ยงมากๆเช่นนี้น่าหวาดกลัว แต่ก็ยังมีคนอยากไปค้นหา..ไว้มาใหม่ขอรับ วันนี้งบหมด


โดย: ขุนเพชรขุนราม วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:1:31:23 น.  

 
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น



โดย: Opey วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:1:50:14 น.  

 
สำหรับคืนนี้ฝันดีนะค่ะ .. กู๊ดไนท์


โดย: Opey วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:1:52:08 น.  

 
สวัสดียามเช้าครับน้องฟ้า



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:6:09:06 น.  

 





อ่ะ ..



คอ กาแฟ ..











Morning Jaaaaaaaaaaaaaa








โดย: foreverlovemom วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:7:11:25 น.  

 
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
พรไม้หอม Health Blog ดู Blog
Sweet_pills Food Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


สุดยอดเลย เก่งสุดๆเที่ยวคนเดียว


โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:11:11:51 น.  

 
เคยอ่านเจอว่า The Beatles เรียนการทำสมาธิ
เห็นอาศรมของพวกเค้าแล้วทึ่งจริงๆ

ขอบคุณที่แวะไปชมเชิร์ตนะคะ
ขออภัยที่มาตอบช้า ป่วยนิดหน่อยค่ะ




โดย: mambymam วันที่: 28 พฤศจิกายน 2557 เวลา:13:58:16 น.  

 
เลยแนะนำไม่ถูกเลยใช่ไหมคะ จะให้ไปเที่ยวที่ไหนดี

ทางเดินไปอาศรมวังเวงดีค่ะ น่ากลัว บอกว่ามีช้างป่าก็เชื่อนะคะ


โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 7 มกราคม 2558 เวลา:17:48:40 น.  

 
เพิ่งจะรู้ว่าเดอะบีทเทิลมีความเชื่อมโยงกะอินเดียนะเนี่ย เคยตามฤาษีไปนั่งสมาธิกันมาด้วย
ไม่รู้เมืองนี้ฟังเดอะบีทเทิลกันหรือเปล่าหว่า?
โชคดีนะเนี่ยหาคนเข้าอาศรมได้ แต่ก็เจอเจ้าหน้าที่เถื่อนให้ลุยป่าเข้าไปอยู่ดี
แต่อิสราเอลมาเที่ยวอินเดียกันเยอะอันนี้ก็เพิ่งจะรู้ ประเทศตัวเองมีคริสต์ มีอิสลาม มียิว คงอยากเห็นศาสนาแปลกๆอีก มาไทยแนะนำให้เที่ยววัดพุทธโลด
ถ้าแวะมาเยี่ยมเกอะบีทเทิลแล้วเจอช้างป่าก็คงเป็นประสบการณ์ทีดีนะครับ ไม่รู้ช้างอินเดียดุกว่าช้างเขาใหญ่ป่าว 555
พอมาถึงที่เจอสตรีทอาร์ทแต่งซะใหม่เลย มีเพจอีกตะหาก ยิ่งหลังรัฐบาลเปิดให้เข้าอย่างเป็นทางการคงเข้าไปง่ายขึ้นเยอะเลยเนาะ (วอนรัฐช่วยจัดการกับยุงป่าด้วย)


โดย: ชีริว วันที่: 23 ธันวาคม 2560 เวลา:22:00:05 น.  

 
ขอบใจหลานฟ้ายิ่งนัก ที่ย้อนอดีตในยุคของหลานฟ้า ได้สมบูรณ์ ที่สุด...

ลุงแอ็ดไม่ได้ติดพวกเขาแล้ว ในยุคที่พวกเขาไปบำเพ็ญตะบะ กันที่อินเดีย กรอปลุงมีครอบครัว/ไปเป็นทหารเกณฑ์ อยู่ชลบุรี แล้วมันก็มีเรื่อง ส่วนตัวของลุงที่จะต้องแก้ปัญหา(เพิ่งข้าวใหม่ปลามัน)ความรักที่ต้องพลัดพรากไปเข้ากรมกองฯ...

สงเวียดนามฯลฯ ก่อให้เกิดคนหนุ่มสาวรังเกลียดสงคราม"เริ่มในอเมริกาก่อน"ฮิปปี้ จึงเกิดขึ้น(ลงเดา)เพราะลุงก็คนหนุ่มในยุคนั้น แต่ลุงแอ็ดไม่ใช่ปัญญาชน ลุงเป็นแค่ช่างฯคนหนึ่งที่พอจะทันโลกบ้าง..

เมื่อลุงเข้ากรมทร.นย./สร้างฐานะครอบครัว (ฮิปปี้กำลังดัง)ลุงก็ไม่ได้ติดตามพวกเขา ทั้งแกงค์ฯลฯอีกเลย,

พวกเขา"เดอะบีเทลส์"ลุงมีความเห็นว่า(ยกเว้นPenny../มือกล้องริงโก้)เมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต มันจะต้องพบเจอทางตัน หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้มึดแปดด้าน เหตุนั้นพวกเขาจึงมาอินเดียกัน(วิเคราะห์)แต่ก็ไม่สามารถ พบคำตอบได้ในชีวิตของตน....ฮ่า...
าาาา....

ลุงแอ็ดสนุกมั้กๆมาก กับการอ่าน "บันทึกการเดินทางฯลฯ"ของหลานฟ้ากาบริเอล หลานเธอเป็นชนยุคใหม่2019 ทำให้ลุงแอ็ดได้พบแนวคิด ของชนยุคใหม่ ได้แสนวิเศษ ยิ่งนัก....
ปล.
ขอมอบเพลง ที่ลุงแอ็ดชอบมั้กๆมาก ที่เขาทั้งสองเธอก็เป็นไอดอลของลุงเอย....
https://www.youtube.com/watch?v=YysjzeaDB-A


โดย: ธนู ลุงแอ็ดชวนเที่ยว (สมาชิกหมายเลข 4365762 ) วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา:13:56:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

กาบริเอล
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?]




ชอบต้นไม้, แมว, หนังสือ
และออกเดินทางท่องเที่ยวบ้าง

ไม่ชอบพบปะผู้คนมากนัก
เป็นมนุษย์จำพวก introvert

การเขียนบล็อก
คืออีกพื้นที่บอกเล่าผ่านตัวอักษร
และตัวตนของเราก็อยู่ในสิ่งที่เขียนค่ะ

ขอบคุณ Bloggang
สำหรับพื้นที่แบ่งปันตรงนี้

....

เริ่มต้นลงบันทึกอย่างเป็นทางการ
ณ วันที่ 16 ม.ค. 2014


###ไม่สะดวกพูดคุยหลังไมค์นะคะ###

© ขอสงวนลิขสิทธิ์ ภาพถ่าย 
ห้ามนำไปใช้ ดัดแปลง แก้ไข 
โดยไม่แจ้งที่มา ก่อนได้รับอนุญาต


New Comments
Friends' blogs
[Add กาบริเอล's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.