ในเดือนสิงหาคม ปี 1965 ระหว่างที่ The Beatles ได้เดินทางไปเล่น คอนเสิร์ต ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา จอร์จ แฮร์ริสัน ได้เริ่มหัดเล่นซีตาร์เป็นครั้งแรก
และนำมา ใช้บรรเลงเป็นเมโลดี้สั้น ๆ ประกอบเพลง Norwegian wood (The bird has flown) : อัลบั้ม Rubber Soul จากนั้นเขาก็ได้เรียนอย่างจริงจังกับ ราวี ชังการ์ ปรมาจารย์ซีตาร์ชื่อดังแห่งยุค
ซึ่งกลิ่นอายและท่วงทำนองดนตรีแนวตะวันออกนี้ ก็ได้ถูกนำมาใส่ในบทเพลงอื่นถัดมา อาทิเช่น : - Love you to และ Tomorrow never knows อัลบั้ม Revolver (1966) - Within you and without you อัลบั้ม Sgt. Pepper's lonely hearts club band (1967) *** ซึ่งในช่วงปลายปี 1967 นี้เองที่ พวกเขาเริ่มสนใจเรื่องการนั่งสมาธิในรูปแบบที่เรียกว่า Transcendental Meditation (หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า TM) และได้พบกับ "มหาฤาษี มเหศ โยคี" ผู้เป็นคนเผยแพร่ศาสตร์อันโด่งดังนี้เป็นครั้งแรกที่กรุง ลอนดอน ในขณะที่มาบรรยาย (เว้นแต่เพียง ริงโก ผู้เป็นมือกลอง ที่ไม่ได้ไปเข้าฟังในเวลานั้น) พวกเขาจึงก็ได้รับการเชื้อเชิญให้ไปอบรมการ ทำสมาธิกันที่ประเทศอินเดียในปีถัดมา
- The inner light ในหน้า B-side ของซิงเกิ้ล Lady Madonna (1968) (หรือแม้แต่เพลง Across the universe ที่ประพันธ์โดย จอห์น เลนนอน ที่อาจ ไม่ได้มีกลิ่นตะวันออกจัดจ้านเท่าตัวอย่างเพลงที่เอ่ยมา ทว่ามันก็ยังมีเนื้อร้องที่ เป็นมนตราแทรกขึ้นเบา ๆ อย่าง 'Jai Guru Deva Om' ให้ได้ยินอีกด้วย)
และในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกันนี้เอง หลังจากที่เข้าห้องอัดบันทึกเสียงเสร็จสิ้น พวกเขาก็พากันเดินทางไปยังเมืองริชชิเกช ประเทศอินเดีย ทั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะแค่ สมาชิกในวงเท่านั้นแต่รวมไปถึงคู่รักของพวกเขา ผู้จัดการวง และตลอดจนคน อื่น ๆ
หลังบอกทางให้รู้ว่าต้องเดินต่อไปอีกหน่อย จากนั้นก็เลยขอ ร่วมเดินทางไปยัง ด้านในพร้อมกับพวกเขาด้วย ฉันบอกพวกเขาไปตรง ๆ ล่ะว่าไม่กล้าเข้าไปคนเดียว
ระหว่างเดินไปด้วยกันเราก็ไถ่ถามกันพอให้รู้จักเล็กน้อยนะ ว่ามาจากที่ไหน แต่มันก็ติดตลกตรงที่ชายคนนั้นบอกฉันว่า "อิสราเอล ก็เหมือนกับทุกคนนั่นแหละ"
จะว่าไปแล้ว ฉันเห็นคนจากอิสราเอลมาเที่ยวอินเดียเยอะมาก ๆๆๆๆ
กระทั่งแป้นพิมพ์ในอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายแห่งก็มีตัวอักษรภาษาฮิบรู และพอพวกเขารู้ว่าฉันมาจากไทยเท่านั้นก็ถึงกับถามว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ในอีกสองสัปดาห์พวกเขาจะเดินทางไปประเทศไทย (เอ๊ะ นี่มันเส้นทางยอดนิยมหรือไงเนี่ย? ได้ยินมาเป็นหนที่สองแล้วนะ)
"พวกเธออยากไปภูเขา หรือทะเล หรือว่าเล็งที่ไหนไว้บ้างแล้ว?"
โดยปกติ มันก็ต้องมีเป้าหมายหลักให้พอแนะนำได้สิ
"ไม่รู้สิ พวกเราไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับที่นั่น" เขาตอบมาอย่างหน้าตาเฉย เฮ้ย ...มันมีการเดินทางแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย!?
พอเดินมาถึงหน้าอาศรมฯ แล้ว พวกเราก็ได้จ่ายเงินให้กับคนเฝ้าคนละ 50 รูปี และขณะนั้นก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่เข้ามาพร้อมกับเราอีก 4-5 คน คนที่เก็บ เงินได้ชี้บอกทางเข้าให้เราเดินไปทางป่าข้างกำแพงตามเดิม เพราะหากจะรอให้ คนดูแลมาไขกุญแจประตูหน้าให้ก็อีกนาน
แต่มองดูแล้ว ยังไงมันก็ไม่น่าจะเดินเองไปได้หรอก พอมีคนทักท้วงว่าไหน ๆ ก็จ่ายเงินไปแล้วทำไมไม่คิดช่วยนำเลยหรือไง ตาคนเฝ้าจึงยอมให้คนของเขา เดินนำไปแบบเสียไม่ได้ ทางเข้าอาศรม(ภาคพิสดาร) ที่ต้องใช้วิธีเดินลัดเลียบป่าและแนวกำแพง พวกเราเดินลัดเข้าป่าเรียงเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งมันเป็นพื้นที่รกชัฏไปด้วยสุมทุม พุ่มไม้ และมีเศษแก้วแตก ตกหล่นอยู่ประปรายตามทางด้วย คนนำได้พาเรามาเดิน ถึงแนวกำแพง และจากนั้นเขาก็ให้ไปต่อเอง ซึ่งไม่นานก็เจอกับช่องทางเข้าที่ว่า จริง ๆ เราพากันมุดลอดแนวไม้เข้าไปยังด้านในกำแพงที่ผุพัง และก้าวเท้าเข้าสู่ อาศรมในตำนานแห่งนี้จนได้
อาคารสถานที่บางส่วนที่ถูกทิ้งร้างและปกคลุมไปด้วยร่มไม้ที่ขึ้นอย่างรก ๆ
เดินตามหาเรือนพักทรงโดม ซึ่งมันเคยถูกใช้เป็นที่พำนักสำหรับผู้เข้าอบรม
โดมแต่ละหลังจะมีหมายเลขติดกำกับเอาไว้ และพื้นที่ด้านในแบ่งเป็นสองชั้น
ห้องสุขา ที่อยู่ในโดม
ที่ตั้งของตู้ไปรษณีย์เก่า ภายในอาศรม
พื้นที่ด้านในดูกว้างใหญ่พอสมควรและมีอาคารเก่ารกร้างอยู่ในนั้นหลายหลัง หากประเมินจากสายตาโดยคร่าวแล้ว รูปแบบของสิ่งก่อสร้างก็ดูไม่น่าจะเป็น อาศรมแบบคร่ำครึเลย หากเทียบกับเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนหน้านี้มันคงเป็นอีกหนึ่ง สำนักที่เจริญรุ่งเรืองน่าดู แนวกำแพงและทางเดินที่ปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียว
ดูเหมือนว่า ผู้คนที่เข้ามาเที่ยวในพื้นที่นี้จะนับได้ไม่ถึงสิบราย นาน ๆ ทีถึงจะมี การเดินสวนกันบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก และบรรยากาศมันก็เงียบดีซะจริง นี่ถ้าหาก ไม่มีเสียงขู่จากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลดังขึ้นมา เราก็อาจเข้าใจว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ที่ น่าจะไม่เป็นอันตรายนัก
"หยุด อย่าเพิ่งตรงไปทางนั้น!" ฉันได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง พอหันไปก็เจอกับชาวอินเดียสองคน กำลังเดินตรงเข้ามาห้ามปรามในขณะที่พวกเราและคนอื่น ๆ จะมุ่งไปยังอาคาร แห่งหนึ่ง ฉันและนักท่องเที่ยวอีกสองคนจึงหยุดรอ แต่กลุ่มอิสราเอล ที่มาด้วยกัน ดันไม่หยุด แต่แล้วพวกเขาก็ต้องมาชะงักเมื่อ เห็นชายคนหนึ่งถือปืนยาวอยู่ในมือ
"ผมบอกว่าให้หยุดก่อน ที่ตรงนั้นมันมีสัตว์อันตราย!"
ต่อมาเมื่อพวกเขาได้เข้าไปยังอาคารเก่าตรงนั้นและตรวจตราความเรียบร้อยจน แน่ใจว่าปลอดภัย จึงยอมให้ เราได้ไปต่อ แม้ว่าจะแอบสงสัยกับการเข้ามาเยือนผิด เวลา ของพวกเราอยู่บ้าง
"พวกคุณเข้ามาในนี้กันได้ไง ในเมื่อประตูมันยังปิดอยู่"
อ้าว แล้วพวกที่มายืนเก็บเงินเมื่อครู่นี้คือ ???
มีคนอธิบายให้คนดูแลได้รู้ว่า เราเดินเข้ามาทางด้านข้าง หลังจากที่จ่ายเงินค่าเข้า ให้กับใครบางคนที่มายืนเฝ้าหน้า ทางเข้าในช่วงพักเที่ยงที่ผ่านมา...
"พวกเขาเก็บเงินคุณเท่าไหร่?" คนดูแลถาม
"คนละ 50 รูปี" หนุ่มอิสราเอล ตอบ
"โอ้ ... เป็นราคาที่ดีนะเนี่ย" แม้จะไม่มีคำตอบว่าเราถูกหลอกหรือปล่าว
มันก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยไปมากกว่าปืนยาวของคนดูแลที่พกเข้ามานี่แหละ?
"โทษทีนะ ที่นี่มีตัวอะไรที่น่ากลัวนัก?"
ส่วนคำตอบที่ได้ฟังมาครั้งนั้นก็คือ ช้างป่า!
หนแรกก็ไม่มีใครเชื่อเท่าไหร่นะเพราะดู ๆ แล้ว มันน่าจะเป็นคำขู่เสียมากกว่า ภายหลังจากนี้เมื่อได้ลองสอบถามกับผู้คนพื้นที่ หลายคนต่างก็ยืนยันว่าพวกช้าง มักจะพากันเดินลงมาจากเขาเพื่อมาหาอาหารเป็นประจำ ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกหรอก หากว่าจะหลงเข้าไปอยู่ในเขตนั้นได้เพราะมันติดกับบริเวณตีนเขานั่นเอง
: The Beatles Cathedral Gallery
The Beatles Cathedral Gallery กับภาพกราฟิตี้ต่าง ๆ มันได้ถูกแต่งแต้มขึ้นเมื่อ ปี 2012 โดยการนำของศิลปินแนว street art ที่ชื่อ
Pan Trinity Das และที่มาของแรงบันดาลใจก็มาจากการที่ได้เห็นร่องรอยการขีด ๆ เขียน ๆ บนผนังด้วยถ่านจากผู้ที่เคยแวะมาเยือน และใน
ขณะนั้นก็มีเพียงไม่กี่จุดที่เป็นภาพลงสี
อีกมุมยอดนิยม ของ The Beatles Cathedral ที่คนมักจะมายืนถ่ายรูปกัน ที่มุมหนึ่งมีคำจากเนื้อร้อง "Jai Guru Deva" ใน Across the universe และภาพของ "มหาฤาษี มเหศ โยคี" ตั้งอยู่กึ่งกลาง
ชั้นวางถ้วยชามดินเผา คาดว่าน่าจะเป็นของเก่าที่ยังหลงเหลือให้เห็น
จากนั้นเราก็ได้เดินตรงไปยังอาคารที่เรียกกันว่า "The Beatles Cathedral Gallery" (น่าจะเป็นชื่อที่เรียกกันเองภายหลัง) มันเป็นห้องโถงกว้าง ๆ และมีแนว โน้มว่าฝ้าหลังคาอาจจะร่วงถล่มลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ฉันไม่รู้ว่ามันเคยได้ถูกใช้งาน สำหรับอะไรในอดีต แต่ปัจจุบันนี้มันกลับเต็มไปด้วยภาพกราฟฟิตี้เต็มไปหมด ซึ่งก็ ทำให้สถานที่รกร้างนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
คนที่เข้ามาต่างก็พากันถ่ายภาพ ไม่ก็หามุมนั่งเอกเขนกสูบมวนอะไรบางอย่างที่ พกมาเอง (ไม่สามารถฟันธงได้ว่ามันคืออะไร) หรือไม่ก็หาทำเลดี ๆ ในการปลีก วิเวกกันซักระยะหนึ่ง... แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครสามารถใช้เวลาในนี้ได้นานเท่า ไหร่ เพราะมีศัตรูตัวฉกาจ เจ้าถิ่นคอยเข้ามาโจมตีผู้มาเยือนอย่างเรื่อย ๆ คราวนี้ ไม่ใช่ช้างป่าหรอกนะ แต่มัน คือ "ยุงป่า" นั่นเอง ฉันกะจะเงื้อมตบมันสักฉาด แต่ก็เกรงว่าจะขัดต่อกฏในพื้นที่อภัยทาน และในขณะเดียวกัน สาวอิสราเอลสองคนต่างก็เกิดอาการแพ้ยุงอย่างจัง พวกเธอเริ่มมีรอยแดงจากผื่นขึ้นเต็มไปหมด เว้นแต่ผู้ชายคนเดียวในกลุ่มที่ดู ไม่มีร่องรอยอะไรสักอย่าง เขาจึงหันมามองเราอย่างแปลกใจและแอบแซว ได้อย่างน่าหมั่นไส้ซะจริง
"สงสัยเพราะฉันอาบน้ำทุกวัน ดูสิยุงมันถึงไม่กัด"
เราใช้เวลาในอาณาเขตนั้นนานพอควร จนไม่รู้ว่าจะมีอะไรให้น่าสำรวจต่อได้อีก และฉันเองก็ไม่อยากบริจาคเลือดให้กับยุงไปมากกว่านี้แล้ว จึงได้พากันเดิน ออกไปทางประตูที่เป็นทางเข้าด้านหน้า ซึ่งในตอนนั้น มีคนนั่งเฝ้าตัวจริงมาเปิดไข กุญแจให้ พร้อมกับเห็นนักท่องเที่ยวรายใหม่ต่าง พากันเดินสวนเข้ามาแทนที่ (แน่นอนว่า พวกเขาเหล่านั้นอดได้ไปผจญภัยกับเส้นทางสุดพิลึกแบบเรา)
...
ส่วนการเดินทางมาเยือนอินเดียของสี่เต่าทองนั้น ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น ดังเช่นว่าหลังจากที่เข้าถึงสมาธิฯ กันพร้อมหน้าแล้ว พวกเขาก็ได้พากันประพันธ์ บทเพลงอันบรรเจิดเลิศล้ำยิ่งกว่าอัลบั้มเก่าก่อน
ไม่เลย ... มันไม่ใช่เรื่องราวที่สวยงามขนาดนั้น !!! เพราะช่วงเวลาเข้าอบรมสมาธิของพวกเขานั้น หลังจากผ่านไปสิบวัน มือกลอง อย่าง ริงโก สตารร์ และภรรยา ก็ได้ออกจากอาศรมเป็นคู่แรก, ถัดมาคือ พอล แมคคาร์ทนีย์ ใช้เวลา อยู่ที่นี่นานราว 5 สัปดาห์ ส่วน จอห์น เลนนอน และ จอร์จ แฮร์ริสัน ได้ใช้เวลาอยู่นานถึง 6 สัปดาห์ จะแปลกันง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาไม่ได้อยู่กันจนจบหลักสูตรฯ เต็มรูปแบบ และทั้งนี้ ก็ได้มี ข่าวลือที่ไม่ดี เกี่ยวกับพฤติกรรม บางอย่าง ของ มหาฤาษี มเหศ โยคี เกิดขึ้นตามมา... จากการที่ จอห์น เลนนอน ได้นำมา ถ่ายทอดลงในเพลง "Sexy Sadie" เอาไว้
ซึ่งเรื่องที่ว่านั้นจะเป็นจริงหรือเท็จก็ตามแต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขา ก็ได้ออกมาขอโทษต่อหน้าสาธารณชน
และพูดแก้ต่างถึงเรื่องความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นในภายหลัง ....
เมื่อฉันได้กลับมาไล่เรียงฟังเพลงต่าง ๆ ที่ได้ชื่อว่า มันได้รับแรงบันดาลใจและ ถูกแต่งขึ้นระหว่างพำนักอยู่ในริชชิเกชก็กลับไม่พบกลิ่นอายของเครื่องดนตรีแนว ตะวันออก (เท่าที่ได้ยกตัวอย่างให้ดู) ตามที่หวังเลย... เอาเถอะ เรื่องสำเนียงดนตรีอาจฟังดูเป็นอะไรที่ผิวเผิน แต่หากความน่าสนใจ ของอัลบั้มฯ ที่ว่า คงเห็นจะเป็น "แนวทาง" ที่ต่างคนต่างลงบทเพลงในรูปแบบ ของใครของมัน มากกว่าที่จะเป็นThe Beatles เหมือนเก่ายังไงล่ะ ภาพจากอัลบั้ม Abbey Road ปี 1969 แม้ปัญหาที่เกิดจากความตึงเครียดในวงที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือน จะถูกฉุด รั้งไว้ด้วยสมาธิไม่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบทเพลงต่าง ๆ ที่ถูกแต่งขึ้นมาระหว่างที่ พวกเขาพำนักอยู่ในริชชิเกชเป็นจำนวนมากกว่า 30 เพลง ก็ได้ถูกบรรจุลงใน อัลบั้มที่ชื่อว่า"The Beatles" มากที่สุด (อัลบั้มนี้วางจำหน่ายเมื่อ 2 2 พ.ย. 1968 ภายหลังจาก ที่กลับมาจาก อินเดีย ในปีเดียวกัน ทว่าหน้าปกนั้นกลับไร้ลวดลาย และ เป็นสีขาวล้วน จึงทำ ให้มีอีก ชื่อเรียกก็คือ "The white album')
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวความระหองระแหงของสมาชิกในวง The Beatles
ก็ได้มีอันสิ้นสุดลงในปี 1970 หลังจากเปิดตัวอัลบั้ม Let it be เป็นการส่งท้าย พวกเขาก็ประกาศยุบวง
... ถึงเรื่องของ The Beatles จะเป็นอดีตไปแล้วก็ตาม แต่ฉันก็คิดว่าในทุกวันนี้พวกเขายังเป็นจุดขายและมีอิทธิพลอยู่มากนะ ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว จะมีใครเล่าที่คิดอยากทะเล่อทะล่าหาทาง เข้าไปเดินชมพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแบบนั้นกัน?
VIDEO 'The inner light' ศิลปิน : The beatles Credit :
Kolllektiv
" อื่น ๆ "- Chaurasi Kutiya Ashram (หรือ The Beatles Ashram)
ปัจจุบัน ทางการอินเดียได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อปลายปี 2015 ซึ่งพื้นที่นี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของกรมป่าไม้แห่งรัฐอุตตราขัณฑ์ อุทยานแห่งชาติราชาจิ : Rajaji National Park ส่วนค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาตินั้น ก็ตกอยู่ที่ประมาณ 600 รูปี (ดังนั้น มันอาจจะต่างไปจากเมื่อปี 2014 ตามที่เล่าไว้นะคะ) - สำหรับปีที่ใช้อ้างอิงในบล็อกนี้จะใช้ 'ค.ศ.' ทั้งหมด
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
สาวไกด์ใจซื่อ Food Blog ดู Blog
อาคุงกล่อง Funniest Blog ดู Blog
หอมกร Movie Blog ดู Blog
ถปรร Photo Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog
ตามมาอ่าน
ตามมาเที่ยว
และตามมาโหวตให้ค่ะ