ฉันออกมาจากที่พักตั้งแต่หกโมงกว่า ซึ่งมันก็ไม่ได้ถือว่าเช้านักหรอก
ถ้าให้เทียบกับกิจวัตรของคนที่นี่ แต่ว่าในกรณีนี้คงดูเช้าจนเกินไป
กับการต้องออกมาเดินตากลมหนาว ๆ อยู่ข้างนอกเพื่อที่จะรอรถโดยสาร
ไปยังหมู่บ้านที่ชื่อว่า Tabo ในรอบเจ็ดโมงครึ่ง
ขณะที่ซุ้มจำหน่ายตั๋วโดยสารยังไม่ทันเปิดให้บริการ
ก็เริ่มมีชาวบ้านมายืนออกันเป็นจำนวนหนึ่งแล้ว
นั่นไง! คิดไว้ไม่มีผิด
นี่ถ้าหากมาถึงก่อนเวลารถออกไม่กี่นาที
ที่นั่งทั้งหลายคงถูกจองเกลี้ยงหมดแล้วแน่ ๆ
และในช่วงที่ยืนรอเวลาอยู่นี่เอง ก็มีอะไรบางอย่างให้ฉันนึกสงสัยขึ้นมาจนได้
มีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวได้แปลกแยกไปจากผู้คนแถวนี้มาก ๆ จนเป็นที่น่าสังเกต
เธอคนนี้ดูไม่คล้ายกับชาวสปิติ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตากับรูปทรงของจมูกที่ใหญ่งุ้ม
มีผิวพรรณที่คล้ำจากแดด ทั้งยังเจาะจมูกใส่ตุ้มทองประดับเม็ดเป้ง รวมถึงต่างหู
ทรงโต แถมยังมีผ้าคลุมไหล่ผืนโตที่ทอลวดลายแปลกตาไว้คลุมทับกันหนาว
ทั้งยังเก็บรวบผมที่ยาวเหยียดด้วยการถักเปียสาม และที่น่าสะดุดตาก็คือหมวก
สีเขียวที่มีแถบผ้าเป็นผ้ากำมะหยี่
ฉันเคยเห็นคนสวมหมวกเช่นนี้มาก่อน แต่ก็มีเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ใส่
ไม่รู้และไม่เข้าใจว่า เธอคิดยังไงถึงเอาหมวกของผู้ชายมาสวมแบบนี้กัน?
ต่อมา เมื่อช่องจำหน่ายตั๋วฯ ได้เปิดทำการ และมีพนักงานสองคนเข้าไปนั่ง
ประจำกันด้านใน ทุกคนต่างก็เริ่มวุ่นวายกับการเข้าคิวในรูปแบบที่ไม่น่าจะเรียก
ว่าเป็นแถวดีนัก ฉันได้แต่เก็บความสงสัยเรื่องแฟชั่นผิดถิ่นดังกล่าวเอาไว้ก่อน
และเข้าไปผสมโรงกับคนกลุ่มนั้นเพื่อซื้อตั๋วรถเมล์ ตั๋วรถที่ได้มาจะมีเลขที่นั่ง
ระบุบอกด้วย โดยหมายเลขที่นั่งของฉันที่ได้มาก็คือ 21
บรรยากาศบนรถโดยสาร ที่เต็มไปด้วยชาวท้องถิ่น
เมื่อถึงเวลาที่รถประจำทางเริ่มติดเครื่องและออกตัวมาเทียบจอดด้านนอก
เหล่าชาวบ้านทั้งหลายที่ไปนั่งหลบหนาวตรงร้านน้ำชาหรือไม่ก็ยืนหลบลม
กันอยู่แถว ๆ ท่ารถขนส่ง ต่างพากันออกมาขึ้นรถประจำทางคันดังกล่าวกัน
เพื่อจัดแจงหาที่วางข้าวของที่ซื้อหาจากเมืองกาซ่า หอบขนกลับไปยังหมู่บ้าน
ของตน หรือไม่ก็ขึ้นมานั่งรอบนรถเพื่อจับจองที่นั่งไว้
"หมายเลข 21 ค่ะ"
ฉันยื่นตั๋วรถโดยสารที่มีหมายเลขบอกกำกับไว้ ให้หญิงชาวบ้านผู้หนึ่งที่อุ้มเด็ก
ตัวเล็กไว้บนตัก มันคือที่นั่งริมหน้าต่างที่ซึ่งน่าจะเป็นหมายเลขของฉันสิ
ฉันชี้ไปยังหมายเลขที่เขียนติดอยู่บนขอบหน้าต่าง 21-22-23 และไล่ชี้ตำแหน่ง
เบาะที่ถูกต้องให้เข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะพูดโต้อะไรกับฉันได้ไม่ถนัด
จนชายวัยรุ่นท้องถิ่นตรงเบาะหน้าที่นั่งริมหน้าต่าง ต้องหันมาอธิบายให้ได้รู้
"ไม่ใช่ไปเริ่มนับจากริมหน้าต่าง เธอต้องนับจากเบาะริมทางเดิน 21-22-23"
เขานับเลขพร้อมแตะเบาะให้ดูว่า มันควรต้องเป็นเรียงลำดับแบบนี้ถึงจะถูกต้อง
บ้าเอ๊ย !
ฉันเผลอสบถออกไปอย่างไม่สุภาพเท่าไหร่ และตัดใจนั่งลงตรงที่นั่งติดทางเดิน
ด้วยความหงุดหงิด...ถัดมาเจ้าของที่นั่งตรงเบาะกลาง (22) ที่เป็นสามีของหญิง-
สาวริมหน้าต่างก็ขึ้นมานั่งประจำที่ ก่อนรถจะเคลื่อนตัวออกเดินทางไม่กี่นาที
ภายหลังสายตาของฉันก็เหลือบไปเห็นกับข้อความบางอย่าง
ที่เขียนกำกับไว้ที่ตรงขอบประตูทางขึ้น 'ให้ลำดับหมายเลขที่นั่ง
โดยนับจากด้านซ้ายเป็นหลัก'
แฮะ ๆ
...
ภาพเส้นทางจาก Kaza ไปยัง Tabo ก็ไม่มีอะไรให้เห็นไปมากกว่าเรื่องที่
พาให้อารมณ์เสีย และแรงสะเทือนของถนนที่ขรุขระกับละอองฝุ่นที่พัดขึ้นมาบน
รถทุกระยะการจอดและเลี้ยว
ทั้งนี้เส้นทางการเดินรถ จะไม่ได้วิ่งตรงดิ่งไปจนถึงจุดหมายของฉันเท่านั้น
แต่จะมีการหยุดจอดรถให้ผู้คนได้ลงตามหมู่บ้านและรับผู้โดยสารหน้าใหม่
ขึ้นมาเรื่อย ๆ ...ฉันคงไม่แปลกใจเท่าไหร่หากจะเห็นหน้าตาของหมู่บ้านอื่นบ้าง
ตอนรถจอดรับ-ส่ง แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือจุดรอรถของบางพื้นที่กลับไม่มีอะไรเลย
นอกเสียจากทางกันดารโล่ง ๆ จนคาดเดาไม่ออกว่าชาวบ้านเหล่านี้เดินออกมา
ยืนรอรถจากที่ไหนกัน?
ฉันคลี่สมุดออกมาดูแผนการเดินทางต่อไปยังตาโบ ที่นั่นมีอารามสงฆ์ตั้งอยู่
และจะมีที่พักสำหรับให้คนนอกค้างแรมด้วย ฉันเลิกคิดฟุ้งซ่านไปกับหมายเลข
ที่นั่งไปนานแล้ว และหันมาจดจ่อกับภาพวิวริมหน้าต่างที่ต้องแอบชะเง้อมองหา
ปลายทางอย่างไม่รู้จุดหมาย
ผ่านไปเกือบสามชั่วโมง หลังจากที่กระเป๋ารถเมล์ได้บอกแจ้งว่าถึงหมู่บ้านที่ชื่อ
ว่า Tabo แล้ว ฉันจึงต้องหอบเป้ที่มีผ้าคลุมกันฝนสีส้มสดคลุมทับไว้เพื่อกันฝุ่น
กับถุงผ้าสีแดงแปร๋น ที่เอามาใส่สเวตเตอร์ตัวหนาแยกถือ พร้อมกับเดินลงจาก
รถด้วยความรู้สึกงง ๆ กับสถานที่ไปครู่ใหญ่...กระทั่งรถเมล์ได้เคลื่อนตัวออกจาก
หมู่บ้านนี้ไปจนพ้นตา ฉันจึงเริ่มตั้งต้นเดินดุ่มเข้าไปยังปากทางเล็ก ๆ เพื่อเชื่อม
ต่อไปยังพื้นที่ข้างในต่อ
"ตาโบ" เป็นหมู่บ้านที่แปลกประหลาด ถึงแม้ว่าอากาศในสปิติจะขึ้นชื่อว่า
หนาวเย็นและแห้งแล้ง ฉันกลับได้ยินเสียงน้ำไหลผ่านร่องน้ำบริเวณทางเดิน
ตลอดเวลา ทั้งยังมีพื้นที่ปลูกสวนแอปเปิ้ลสลับไปกับพื้นที่เพาะปลูกอื่น ๆ ด้วย
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าต้นแอปเปิ้ลจะเจริญเติบโตได้ดีในดินแดนแบบนี้ และด้วยใบ
สีเขียวสดของมัน กับผลสีแดงที่โผล่แซมออกมาให้เห็นรายทางเมื่อเดินผ่านก็
ทำให้รู้สึกว่าที่นี่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าในกาซ่าตั้งเยอะ จะเว้นเสียแต่...ผู้คนแถวนี้
ที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันหมดหนอ?
บริเวณจุดลงรถที่รถโดยสารหยุดจอด เมื่อเดินทางมาถึง Tabo
เส้นทางเดินเข้าหมู่บ้าน ที่มีแต่ทรงบ้านแบบทิเบตเต็มไปหมด ทั้งยังมีแนวกำแพง
ที่ก่อขึ้นด้วยหินและดินอย่างง่าย ๆ และมีการนำเอาไม้หนามมาวางสุมไว้
แปลงนาหลังฤดูเก็บเกี่ยว และวัวที่กำลังยืนเล็มหญ้ากันอยู่
แนวกำแพงวัด (เก่า) กับกังล้ออธิษฐาน และเจ้าหมาแม่ลูกอ่อนสุดโหด
เจดีย์แบบพุทธทิเบตสีขาวขนาดใหญ่ ที่ตั้งเด่นอยู่กลางแจ้ง
ถัดมาฉันก็ได้พบกับแนวกงล้ออธิษฐาน ที่ตั้งอยู่บริเวณข้างกำแพงวัดเก่า
จนพลัดไปเจอหมาแม่ลูกอ่อนออกมาวิ่งไล่ ระหว่างที่เผลอไปล้ำพื้นที่มันเข้า
และหลุดโผมาโผล่ยังลานแห่งหนึ่ง ที่มีเจดีย์ขาวตั้งอยู่ตรงกลางลาน
ซึ่งมีตุ๊เจ้ารูปหนึ่งกำลังนั่งอ่านตำราบนม้านั่งแถวนั้นพอดี
ฉันเข้าไปถามหาที่พักของวัดกับพระ เพราะคิดว่าท่านน่าจะรู้แน่ ๆ
หลวงพี่ได้ชี้บอกให้เดินตรงไปยังอาคารที่ตั้งอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว
โดยที่แผนกต้อนรับของเกสท์เฮาส์(วัด) แห่งนี้จะมีพระเป็นผู้ดูแล
ที่ตั้งของ Tabo millennium guesthouse จะอยู่ติดกับเขตวัดโบราณฯ
ในช่วงนี้บรรดาห้องพักของวัดจะมีอยู่แค่สองตัวเลือก คือห้องธรรมดา
(150 รูปี/คืน) และห้องใหญ่ ที่มีห้องน้ำในตัว (300 รูปี/คืน) ส่วนอีกตัวเลือก
ที่เป็นห้องรวม (dorm) จะยังไม่เปิดบริการช่วงฤดูนี้ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยว
มีน้อยจนเกินไป ดังนั้นฉันจึงเลือกเข้าพักห้องธรรมดาแทนและดูเหมือนว่าจะ
ไม่มีใครอื่นมาอยู่เพิ่มเติมเสียด้วย...หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ล่ะก็ คืนนี้ฉันคงได้อยู่
ในสภาพไม่ต่างไปจากคนที่มาปลีกวิเวกแหง
โชคยังดีที่มีร้านอาหารเปิดบริการ และนั่นก็คือกิจการของทางวัดนั่นเอง
โดยตัวร้านจะอยู่ตรงด้านหลังอาคารฯ กับร้านขายของชำอีกแห่งที่ตั้งอยู่ไม่ห่าง
กันนัก ส่วนรายอื่น ๆ นอกไปเหนือจากนี้ก็แทบมองหาไม่เจอ พวกเขาต่างพากัน
หนีหนาวไปที่อื่นกันเกือบหมด
มานึกดูแล้ว อาจเพราะฉันมาจากประเทศที่มีแต่ฤดูร้อนและฝน
จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีใครชอบอากาศหนาวเย็นแบบนี้กัน
และอาจเพราะฉันเป็นคนขี้หงุดหงิดง่าย เวลาที่เห็นผู้คนจอแจกันเยอะ ๆ
โดยเฉพาะในช่วงฤดูท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหนก็ตามบนโลกใบนี้
นี่คงเป็นข้อสรุปได้โดยคร่าวและอาจไม่ใช่เหตุผลที่ดีนัก ว่าทำไมฉันถึง
ตกหลุมรักหุบเขาสปิติได้ทั้งที่มันดูไม่มีอะไรสักอย่างให้น่าตื่นเต้น
วิวนี้นอกจากจะเห็นภูเขากับดงแอปเปิ้ลแล้ว ในตอนกลางคืนยังสามารถ
มองเห็นดาวเป็นล้านดวงจากหน้าต่างห้องพักโดยตรงอีกด้วย
แอบแง้มให้ดูห้องพักนิดนึง เป็นห้องโล่ง ๆ มีเตียงสองเตียง กับเก้าอี้อีกหนึ่งตัว
ส่วนเรื่องกระแสไฟฟ้า อาจไม่เต็มร้อยนักเพราะมีเพียงหลอดไฟดวงเล็กที่ใช้พลังงาน solar cell
'ห้องสมุด' และ 'พิพิธภัณฑ์' ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเกสท์เฮาส์ มันถูกปิดล็อคไว้เป็นที่เรียบร้อย
โดยทางวัดจะเปิดให้เข้าไปเยี่ยมชมได้เฉพาะช่วงหน้าร้อนไปจนถึงเดือนกันยายนเท่านั้น
อาคารพานิชย์ที่ตั้งอยู่บริเวณรอบนอก และรูปทรงเจดีย์โบราณ ที่อาจพบเจอได้ทั่วไปในตาโบ
ในภาพนี้มีเด็กนักเรียนจอมซนมาห้อยโหนคันโยกน้ำหน้าโรงเรียน ส่วนผู้ชายชุดสีฟ้า (น่าจะเป็นครู)
ได้เดินตรงเข้ามาเห็นในจังหวะที่ฉันถ่ายรูปอยู่พอดี -- ตรงนี้คือหน้าโรงเรียนรัฐบาลประจำหมู่บ้าน
ระดับชั้นมัธยมปลาย และที่ป้ายหน้าโรงเรียนมีคำเขียนบอกไว้ด้วยว่า "Come to learn"
ประตูทางเข้าหมู่บ้านกับรูปปั้นสัญลักษณ์กวางและธรรมจักร
ระยะทางจาก กาซ่า มาถึงที่นี่ใช้เวลานานเหยียบสามชั่วโมง
และนี่คือสิ่งที่ฉันมารู้ภายหลังเมื่อพบกับป้ายบอกระยะทาง
ความจริงแล้ว มันไกลกันแค่ 46 กิโลเมตร เท่านั้น!!!!
วัดเก่าของตาโบ ถูกสร้างขึ้นเมื่อใด? ถ้ายึดตามปีที่สร้างเสร็จนั่นคือ ค.ศ. 996
ก็ถือว่าเป็นโบราณสถานอายุราวพันปีได้เลย -- เมื่อในอดีตพื้นที่นี้ ถือเป็นจุดนัด
พบของการเรียนรู้แลกเปลี่ยนกันระหว่างสองชนชาตินั่นคือ 'อินเดีย' และ 'ทิเบต'
พวกเขาได้นำตำราทางศาสนาที่บันทึกเป็นภาษาสันสกฤต มาคัดลอกและแปลง
เป็นภาษาทิเบต ส่วนเหล่าบัณฑิตของทางฝั่งอินเดียก็ได้มาทำการเรียนรู้ภาษา
ทิเบตเช่นกัน
ฉันนึกภาพการเดินทางในยุคก่อนแทบจะไม่ออก เพราะสภาพภูมิประเทศแถบนี้
เป็นที่ราบสูง เอาแค่ที่ตาโบก็สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,280 เมตรแล้ว ถ้าต้อง
นั่งเกวียน เดินเท้า หรือจะขี่ม้า มาก็ตาม -- คงจะน่าลำบากกว่าการนั่งรถโดยสาร
ในอย่างที่ฉันคิดบ่นถึงความกันดารในวันนี้แน่
แนวกำแพงที่ก่อด้วยดินเหนียว วัดโบราณ และเจดีย์ ที่สร้างในปี 996
ส่วนตัวอักษรสีขาวภาษาทิเบตบนเนินเขา (ถ่ายมาไกลไปหน่อย)
คงน่าจะนำมาสลักไว้ภายหลัง -- เป็นคำสวด Om Mani Padme Hum
ส่วนพื้นที่ตรงเนินเขาจะมีถ้ำขนาดเล็กเป็นช่องเล็กช่องน้อยให้พอได้มองเห็น
จากที่ไกล ได้ยินว่ามันถูกใช้เป็นสถานที่นั่งภาวนาของพระ
ฉันมองเห็นทางเดินเล็ก ๆ ที่พอจะเชื่อมต่อไปยังเนินด้านบนแห่งหนึ่งได้แล้ว
ที่ตรงนั้นดูโดดเด่นพอสมควร เพราะมีธงมนตราโยงล้อมเอาไว้และมีลานนั่ง
คงจะดีไม่น้อยหากว่าเย็นนี้จะได้ดูภาพของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า
จากบนนั้น
ประมาณบ่ายสี่โมง ฉันเดินกลับไปที่ห้องพักอีกครั้งเพื่อหยิบเสื้อกันหนาวมา
เพิ่มเติมอีกตัว ทำให้ได้สวนทางนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่เพิ่งเดินทางมาถึงพอดี
พวกเราไม่ได้ทักทายหรือเซย์ไฮอะไรสักแอ่ะ รู้เพียงแค่ว่ากำลังจะมาเข้าพักอยู่
ที่ห้องข้าง ๆ และกำลังยืนรอพระไขกุญแจให้อยู่
ก็ไม่รู้ว่าควรดีใจที่เรามีเพื่อนบ้าน
หรือกังวลว่าจะมีคนแย่งใช้ห้องน้ำดีเนี่ย?
เส้นทางเดินขึ้นไปตรงลานด้านบน
ฉันเดินขึ้นมาถึงยังเนินเขาที่ว่าโดยลำพัง และพบว่ามันเป็นสถานที่พิเศษ
ที่จะมองเห็นหมู่บ้านตาโบท่ามกลางหุบเขาได้อย่างชัดเจน นอกเหนือไปจาก
บ้านทรงทิเบตที่ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมแล้ว ตรงทิศตะวันตกยังมีภาพ
ของแม่น้ำสปิติไหลผ่านมาจนถึงที่นี่ มันสีฟ้าสดและดูไม่แห้งผาก
ต้นไม้บางต้นเริ่มเปลี่ยนสีใบเป็นเหลืองทอง ส่วนพื้นที่สีเขียวก็เป็นสวนแอปเปิ้ล
และตรงบริเวณแปลงนาต่างดูโล่งโจ้งจนเตียนเกือบหมดแล้ว
ถัดจากแปลงเพาะปลูก เมื่อไล่สายตาย้อนมาทางที่ตั้งของชุมชน จะเห็นลานปูน
ตรงท้ายหมู่บ้าน ฉันมองไม่ออกว่าเป็นพื้นที่สำหรับการใช้งานสำหรับอะไร?
และเมื่อกวาดสายตาถัดไปอีกนิด จะพบว่ามีกรีนเฮาส์หลังขาวตั้งเป็นแผงแนวยาว
ฉันมีเวลาอยู่ได้นานจนถึงสิบโมงเช้าของวันพรุ่งนี้เท่านั้น
จึงไม่สามารถที่จะเดินไปสำรวจบริเวณที่ไกลจากวัดได้
ก็แอบหวังไว้ว่า สักวันหนึ่งคงจะได้กลับมาเยือนตาโบอีกสักครั้ง
อาณาเขตเล็ก ๆ กลางหุบเขา เมื่อมองจากบนที่สูง เจดีย์ที่หุ้มด้วยดินเหนียว ในอาณาเขตวัดโบราณ
ที่บริเวณอาณาเขตของวัดโบราณ เมื่อได้เห็นจากมุมสูงตรงนี้ก็ถือว่าใหญ่โตพอ
สมควร ทั้งรูปทรงอาคารดูแปลกตาและเรียบง่าย (เมื่อเทียบกับวัดใหม่ที่ตั้งอยู่
ด้านข้าง) ที่พื้นผิวรอบนอกถูกหุ้มด้วยดินเหนียวหนาเตอะ ส่วนวิหารเดิมจะมีทั้ง-
หมด 9 หลัง และมีการทำกำแพงดินกั้นเขตล้อมรอบพื้นที่ไว้
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเขตปกครอง Kinnaur ในปี 1975 ทำให้วัดโบราณ
บางส่วนได้รับผลกระทบและความเสียหายเช่นกัน ทั้งนี้ไม่ใช่เพียงแต่โครงสร้าง
ของอาคารภายนอกเท่านั้นที่มีความสำคัญ แต่ด้านในวิหารเหล่านั้นยังมีทั้งรูปสลัก
กับภาพวาดเรื่องราวทางศาสนาบนผนังที่ลงสีแบบเฟรสโกอยู่ด้วย (ถือว่าเป็นต้น
แบบศิลปะ Indo-Tibetan ยุคแรกเชียวนะ) และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ ตาโบ
ได้มีฉายาว่าเป็น 'อชันตาแห่งหิมาลัย'
...
ฉันใช้เวลานั่งอยู่บนเนินเขานี้นานมาก นานจนไม่อยากลุกหนีไปไหน
จนได้ยินเสียงของผู้คนจากด้านล่างที่เริ่มดังระงมขึ้นมาถึงบนนี้เรื่อย ๆ
หากนึกย้อนไปถึงเมื่อเช้านี้ หลังจากที่ลงรถและเดินเข้าหมู่บ้านก็ไม่พบว่าจะ
มีใครสักคนโผล่ออกมาให้เห็นเลย จนเกือบคิดว่าทุกคนหายไปอยู่ที่อื่นกันหมด
แล้วเสียอีก
ยามเย็น พวกเด็กนักเรียนคงกลับมาถึงบ้านและพากันออกมาวิ่งเล่นข้างนอก
ส่วนเหล่าคนงานในไร่ ต่างก็พากันนั่งรถไถที่มีกระบะพ่วงท้ายทยอยขับกลับ
ผ่านทางถนนคันแล้วคันเล่า เสียงของรถเหล่านี้มันดังแต๊ก ๆๆ และเคลื่อนตัว
ไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า...หลังดวงอาทิตย์หายลับไปจากช่องเขาตอนห้าโมงเย็น
คงเป็นเวลาของครอบครัวที่จะได้พบปะกันอย่างพร้อมหน้า
และเช่นกัน นี่ก็ถึงเวลาที่ฉันต้องเดินลงไปจากเนินเขาเสียที
ก่อนแสงของวันจะหมดไปและร้านอาหารที่เปิดขายอยู่เจ้าเดียวจะปิดลง
"อื่น ๆ"
- ค่ารถโดยสาร (ปี 2014) Kaza - Tabo 71 รูปี
- ในครั้งแรก เราฟังเสียงของ Tabo เป็น ตาบู
แต่หนนี้ขอเปลี่ยนเป็น "ตาโบ" ตามตัวเขียนนะคะ
- ที่ห้องน้ำของวัดมีน้ำอุ่นให้อาบด้วยนะ ดังนั้นจงอย่าได้ทึกทักว่า
นี่คือทริปซักแห้งของข้าพเจ้าน้อ :)
- เรื่องตัวอักษรบนเขา เมื่อเรานำภาพนี้ไปถามชาวทิเบต
พวกเขาได้ถอดคำอ่านเป็น Om Mani Padme Hung (โดยมีหมายเหตุ--ไม่ออกเสียง G)
ด้วยความที่เราอ่านภาษาทิเบตไม่ออก และถ้าต้องไปเทียบเคียงเป๊ะ ๆ ตามตัวคงยาก
แต่เพื่อให้ตรงกับความเข้าใจทั่วไปในเอนทรี่นี้จึงขอใช้ "Om Mani Padme Hum" แทนนะคะ