Nainital ณ กาลครั้งหนึ่ง (4)
บันทึกการเดินทางในอินเดีย ครั้งที่ 2 : ตุลาคม 2014 (ได้ทำการเรียบเรียงเนื้อหาใหม่อีกครั้งในปี 2017)
ใบจองเที่ยวรถโดยสาร ที่ต้องเขียนกรอกส่งพนักงานเพื่อออกตั๋วออนไลน์ (สำหรับจองล่วงหน้า) ในส่วนที่ตั้งของจุดบริการจองรถของไนนิตาลจะอยู่ตรงท่ารถขนส่งตรง Tallital
ที่จริงแล้วฉันตั้งใจที่จะไปต่อยัง เมืองมัสซูรี (mussoorie) เพราะหากมอง จากแผนที่โดยคร่าว ๆ ก็จะเห็นว่ามันอยู่ไม่ไกลสักเท่าไหร่จึงเข้าใจว่ามันอาจจะมี เที่ยวรถวิ่งตรงจากที่นี่ไปได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ผิดคาดเพราะด้วยเมืองทั้งสองนี้ ตั้งอยู่บนเขาและคนอยู่ละฟากฝั่งตามหลักการแบ่งเขตพื้นที่ ดังนั้นมันจึงไม่มีถนน หนทางที่โยงถึงกันโดยง่าย และการฉันไม่ได้มีจุดหมายที่ชัดเจนอะไรนักกับ อินเดียในครั้งนี้ก็เลยต้องหันเหไปลงยังท่ารถเมืองเดห์ราดูนแทนไปก่อนเมื่อได้ตั๋วเดินทางรอบค่ำมาครองและรู้กำหนดการเดินทางอย่างชัดเจนแล้ว ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ฉันจึงได้ใช้ทำตัวแบบนักท่องเที่ยวเต็มคราบเสียบ้าง ด้วยการ นั่งละเลียดจิบชาร้อน ๆ แถว Mall Road เดินชมเมืองในส่วนที่ยังไม่ได้ไป นั่งกิน โดซ่าอร่อย ๆ ในร้านที่มีวิวแจ่ม ๆ ทั้งยังตามหาโปสการ์ดและเขียนถึงคนที่ เมืองไทย ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่ฉันได้ลองส่งอะไรแบบนี้เชื่อไหมล่ะ?
กระทั่งกลับไปอาบน้ำและเก็บข้าวของจากที่พัก เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางต่อในช่วงค่ำแม้จะยังมีเวลาอีกเหลือเฟือแต่ฉันก็เลือกแจ้งออกจากที่พักในช่วงบ่ายสาม เพราะตั้งใจจะเดินลัดเลียบข้างทะเลสาบกับตีนเขา ฟากตรงข้ามกับถนนเส้นหลักที่ไม่มี รถราวิ่งสวนผ่านและเป็นพื้นที่อันแสนสงบเพื่อลัดโผล่มายังท่ารถได้โดยตรง นี่ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ หลังจากที่ฝากกระเป๋าแล้วฉันคงได้ปลีกตัวมา นั่งเรือพายชมทะเลสาบส่งท้ายอย่างน้อยอีกครึ่งชั่วโมงเป็นการส่งท้ายชาวเมืองบางส่วนกำลังนั่งชมการแข่งขันกีฬา ที่ลานกิจกรรมบริเวณหน้ามัสยิดพอออกจากที่พัก ฉันได้ลัดเลาะออกมาอีกทางหนึ่งผ่านเขตชุมชนเพื่อตั้งใจจะ เดินตรงไปยังฝั่งทางเดินที่ว่าเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นถนนที่มีรถ ครึ่งทางระหว่างนี้ก็ ต้องผ่านที่ตั้งของ'จามามัสยิด' ก่อน และด้วยความที่บริเวณนั้นกำลังมีการแข่งขันอะไรบางอย่างพร้อม ๆ กันถึงสองสนาม ก็ทำให้ฉันต้องเปลี่ยนทิศทางการเดินเท้า แวะเลี้ยวแวะเข้าจนได้จะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาถึงไนนิตาล (ต้นเดือนตุลาคม) ในวันแรก ที่เดินผ่านหน้ามัสยิดแห่งนี้ก็เห็นพิธีบางอย่างในตอนเช้าที่ดูคราคร่ำไปด้วยชาว เมืองที่เป็นมุสลิมมานั่งรวมตัวกันตรงลานเดียวกันนี้ และในค่ำคืนเดียวกันก็ได้ยิน และเห็นการจุดพลุเฉลิมฉลองแทบตลอดคืนเสียด้วย พอได้ลองสอบถามจากผู้คน แถวนั้นก็พอได้รู้ว่าขณะนั้นเป็นช่วงวันตรุษอีด
ลานกิจกรรม บริเวณด้านที่มีการแข่งขันฟุตบอล (ทีมผู้ชาย)
และในอีกซีกมุมหนึ่ง ได้ถูกแบ่งไว้สำหรับการแข่งขันฮ็อกกี้ (ทีมผู้หญิง)นานอยู่ทีเดียว ที่ฉันได้นั่งดูการแข่งขันกีฬาประเภททีมอย่างฟุตบอล ตลอดจนเดินไปส่องดูยังอีกซีกฝั่งหนึ่งด้วยความสงสัย ก็ได้เห็นมีเหล่านักเรียนหญิงกำลังแข่งขันฮ็อกกี้กันอย่างน่าสนุก แต่งานนี้คงดูเหมือนจะเป็นทางการทีเดียว เพราะดู จากซุ้มที่ตั้งกลางลานแล้วก็มีการมอบถ้วยรางวัลกันด้วย ไป ๆ มา ๆ ฉันก็เผลอพลั้งหลุดออกมาไกลเกินกว่าจะย้อนไปที่อีกซีกด้านของทะเลสาบเสียแล้วสิ ในที่สุดเส้นทางการเดินเท้าไปยังท่ารถก็ต้องมาอยู่ที่ฝั่ง Mall Road จนได้ แต่สำหรับเรื่องการแบ่งเขตพื้นที่ทางเดินเท้าของไนนิตาลก็ดู เหมือนจะดีกว่าหลายเมืองที่เคยเจอนะ ถึงจะเป็นฝั่งตลาดที่เต็มไปด้วยร้านรวง และรถราที่วิ่งแล่นผ่านก็ตาม มันก็ยังมีแนวร่มไม้และช่องทางสำหรับคนเดินที่ดู ปลอดภัยเช่นกัน แต่อาจจะน่าหนวกหูหน่อยก็ตรงเสียงแตรรถแค่นั้นพื้นที่ทางเดินเลียบทะเลสาบ ที่จัดไว้สำหรับทางเท้าเท่านั้น
พื้นที่ทางเดินบนเส้นถนนและผู้คนที่เดินสัญจรไปมา
ในอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันเปลี่ยนใจมาเดินทางฝั่งนี้แทน เพราะหลายวันที่ผ่านมาได้ ขาดการติดต่อกับทางบ้านไปพักใหญ่แล้ว ซึ่งหากจะมัวแต่มองหาร้านอาหารที่มี wifi ก็คงเสียเวลาและเปลืองเงินไปกับค่าอาหารที่มักขึ้นราคาสูงตามไปด้วย ลำพังจะหวังพึ่งพาการเดินทางไปถึงของโปสการ์ดที่เพิ่งหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ก็ อาจดูไม่ทันใจเท่าไหร่ ดังนั้นฉันจึงคิดว่าคงน่าจะดีหากเรามีซิมฯ สำหรับเชื่อมต่อ สัญญาณอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือได้ด้วย
โดยปกติแล้วบริเวณ Mall Road จะมีช่วงเวลาปิดทางกั้นถนนส่วนหนึ่งไว้ไม่ให้ รถยนต์วิ่งผ่าน แต่วันนี้ดูเหมือนว่าจะมีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบทั้งชายและหญิง มายืนประจำการกระจายกันอยู่หลายจุดกันตั้งแต่หัววัน พวกเขากำลังดูแลเรื่องการ จราจรและพยายามกั้นเขตถนนเพื่อไม่ให้รถวิ่งผ่านในช่วงขณะนี้
ฉันข้ามถนนไปยังฝั่งอาคารพานิชย์บริเวณทางเนินหน้าโรงแรมใหญ่เพื่อมองดู เหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นตามอย่างที่คนในพื้นที่กำลังมายืนรวมตัวกันอยู่ โดยที่ไม่ได้รู้ล่วงหน้ามาก่อนเลยว่าช่วงเย็นของวันนี้จะมีเทศงานฉลองอะไรกันอีก
"ฮิจร่า" ในชุดผู้หญิงที่แต่งองค์ทรงเครื่องกันแบบจัดเต็ม พวกเธอนั้นได้พากันเต้นรำไปตาม เสียงเพลงที่เปิดอยู่อย่างสนุกสนาน ท่ามกลางเหล่าคนดูที่พากันมุงดูและยิ้มกริ่ม ชอบใจไปกับ การแสดงนี้กันถ้วนหน้า ที่กลางถนน ในตอนนี้ไม่มีรถวิ่งกันแล้ว จะมีแต่ผู้คนที่พากันมายืนมุงดูสาวสวยร่างใหญ่ที่กำลังยืนเต้นรำไปตามเสียงเพลง พร้อมส่ายเอว สะบัดสะบัดตัว รับส่งกันตามจังหวะ ตึ้ม ตึ่ม ตึ้ม ตึ่ม...ครั้งนี้ดูต่างจากหนแรกที่ฉันได้เจอไปถนัดตาเพราะไม่ใช่ "ฮิจร่า" (หรือกระเทย) ที่แต่งตัวเป็นหญิงมาเดินตบมือเสียงดังเพื่อส่งสัญญาณเตือนให้รู้ว่า 'ข้ามาแล้ว' ก่อนเดินไปไถเงินคนโน้นคนนี้แบบที่เคยเจอบนรถไฟ หรือตามที่ต่าง ๆ แต่กลับเป็นฮิจร่าที่ถูกเชิญมาร่ายรำในงานสำคัญหรืองานมงคลตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวฮินดู ซึ่งพอเห็นแบบนี้แล้วก็ดูเป็นสีสันดีเหมือนกันนะ และหลังจากที่เหล่าสาวสวยทั้งสาม(นาย)ได้จบการเต้นลง ผู้คนบริเวณนั้นก็ต้องทำการหลีกทางเพื่อปล่อยให้ขบวนรถที่กำลังรอจ่ออยู่ถัดไปได้เคลื่อนตัวผ่านถนนในตอนนั้นมีทั้งเสียงเพลงที่บรรเลงโดยเหล่าวงดุริยางค์ดังไล่หลังขึ้นมาเรื่อย ๆ ฉันเห็นรถกระบะบางคันเต็มไปด้วยการตกแต่งเป็นดูเป็นซุ้มเพิงเล็ก ๆ และมีเด็ก ที่แต่งตัวเป็นเทพเจ้านั่งประจำการกันอยู่บนรถเหล่านั้น ขบวนรถที่มีเหล่าเด็กที่ชุดแฟนซีเป็นเทพเจ้านั่งอยู่ที่ด้านท้าย กำลังเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ บนท้องถนนพร้อมเหล่าผู้คนอื่น ๆ ที่มาร่วมเดินแห่ไปด้วยกัน
คันนี้มาในธีม Sai Baba (Shirdi Sai Baba)
ธีมเทพเจ้าต่าง ๆ (มองไม่ออกนะว่าพวกเขาแต่งเป็นใครกันบ้าง)
ธีม พระราม ตอนสังหารอสูรราวัณ (ทศกัณฐ์)
เด็กหญิงที่แต่งตัวเป็นเทวี กำลังเดินอยู่ในขบวนแห่
เหล่าวงดุริยางค์ ที่กำลังบรรเลงอยู่ที่ด้านท้ายก็ได้เดินไล่ตามมาเรื่อย ๆ
ส่วนกลุ่มที่เดินปิดท้ายขบวนก็คือผู้คนที่ทำหน้าที่หามเกี้ยวเทพเจ้าท้องถิ่น
มาคิดดูแล้ว ในตอนนี้อาจเป็นช่วงนวราตรีของชาวฮินดูแน่ ๆ แต่ว่าฉันไม่ได้มี โอกาสเห็นพวกเขาทำการฉลองอะไรกันต่อในคืนนี้ เพราะจะต้องไปแล้ว พอกลุ่ม คนในขบวนแห่ได้เคลื่อนหายไปกันหมด และท้องถนนได้เปิดอนุญาตให้รถวิ่ง ผ่านตามปกติแล้ว ฉันจึงเริ่มขยับย้ายไปเดินตามหาร้านที่ขายซิมโทรศัพท์มือถือ และในที่สุดก็มีอยู่ร้านหนึ่งที่มีสิ่งอย่างว่า
แต่...
"อยู่ในพื้นที่หรือปล่าว?" ลุงคนที่เจ้าของร้านชำ และเป็นตัวแทนขายซิมฯ ได้เปิด คำถามบางอย่างที่ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรนัก
"ไม่ค่ะ วันนี้จะเดินทางออกจากไนนิตาลแล้ว" ฉันตอบไปอย่างไม่ได้คิดเอะใจอะไร
ดูเหมือนว่าลุงเขาจะดูกังวลกับอะไรบางอย่าง ก็แน่นอนอยู่ว่าพวกเราสื่อสารกันได้ แบบตะกุกตะกักเกินกว่าจะอธิบายอะไรให้เข้าใจได้ดีเท่าไหร่ ลุงส่งแบบฟอร์ม มาให้กรอกและขอรูปถ่ายกับสำเนาที่พัก หน้าพาสปอร์ตและวีซ่าแนบด้วย
ทำไมมันดูยุ่งยากจังฟระ
ก็อย่างที่บอกไปฉันเคยซื้อซิมการ์ดแบบธรรมดามาก่อน จากร้านทั่วไปนี่แหละ แค่จ่ายเงินแล้วก็ใช้ได้เลย ไหงมาคราวนี้กลับแลยุ่งยากเสียจริง! และระหว่างนั้นลุงคนขายก็ได้โทรติดต่อไปยังศูนย์ฯ เพื่อสอบถามเรื่องการลง ทะเบียนการใช้ซิม 3G ของฉัน ความว่ามันอาจจะมีปัญหาสำหรับเรื่องอนุมัติ การเปิดใช้สัญญาณ เพราะฉันเป็นชาวต่างชาติที่ไม่ได้มีที่อยู่อาศัยระบุเป็นหลัก- แหล่ง (หรืออย่างน้อยก็อาจขอให้เจ้าของที่พักในท้องถิ่นออกใบรับรองได้)
หลังจากที่ได้เบอร์ใหม่มาและทำการทดลองสัญญาณการโทรเข้า - ออก แล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่การเชื่อมต่อใด ๆ ได้เลย ลุงบอกว่าถ้าพรุ่งนี้ทางศูนย์ฯ อนุมัติ การถือครองเบอร์นี้เมื่อไหร่มันก็จะสามารถใช้การได้และค่อยไปเติมเงินเพื่อ สมัครแพคเกจเสริมสำหรับอินเตอร์เน็ตภายหลัง
ฉันพลาดเองที่ใจร้อนและชะล่าใจไม่ยอมมาซื้อซิมฯ ตั้งแต่วันที่มาถึงเพื่อที่จะได้ สะดวกในการติดต่อกับเจ้าของร้านโดยตรง โธ่ว้อยย...ตอนนี้ฉันมีแค่เบอร์ที่ใช้การ ไม่ได้สินะ
สรุปก็คือการที่จะซื้อซิมโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตในอินเดียได้นั้น
1. ระหว่างที่เดินเรื่องการอนุมัติก็จำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ก่อน และมีใบรับรอง การเข้าพักของเราในขณะนั้นด้วย เพราะมันต้องยื่นเป็นหลักฐานให้กับทางการ คงเพื่อการป้องกันการก่อการร้าย 2. เตรียมสำเนาหนังสือเดินทางสำเนาวีซ่า และ รูปถ่ายมาแนบเป็นหลักฐานประกอบด้วย 3.หลังจากที่ได้ซิมฯ มาแล้วอาจจะต้อง รอการอนุมัติจากเครือข่ายของเราเสียก่อน ทั้งนี้เขาจะดูตามหลักฐานที่เราแนบมา นี่แหละ หากว่าที่อยู่ของเราชัดเจนและมีการรับรองนั่นก็อาจไม่มีปัญหาอะไร ...
ส่วนฉันกลับมีแต่ใบจองที่พักของเมืองที่จะเดินทางถัดไปยื่นให้ ซึ่งมันเป็นคนละพื้นที่กับทำการลงทะเบียนน่ะสิ
และสุดท้ายหลังจากนี้เบอร์นั้นก็ใช้การอะไรไม่ได้ อยากจะร้องไห้
ฉันใช้เวลาไปมากทีเดียวกับการเดินเรื่องเปิดสัญญาณที่ดูเหมือนจะลมแล้ง และเมื่อได้เดินออกมาจากร้าน เพื่อเดินตรงไปยังท่ารถได้มันก็ใกล้ค่ำเสียแล้ว บรรดาเรือรับจ้างที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ได้ปิดซุ้มจำหน่ายตั๋วไปเรียบร้อยตั้งแต่ห้าโมงเย็น ก็แอบเสียดายอยู่นะ ที่ไม่ได้ลองนั่งเรือชมทะเลสาบสักครั้งเสียที
เอาเถอะสำหรับไนนิตาลเมืองแสนสวยนี้ ในวันข้างหน้าฉันคงต้องหาเรื่องกลับมาอีกแน่ ๆ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ฉันไม่ขอกลับมาแบบคนเดียวได้มั้ยเนี่ย :)
มุมภาพทะเลสาบยามค่ำคืน จากบริเวณท่ารถขนส่ง
ที่ลานจอดรถ
ฉันงัดเอากระดาษ A4 ที่พิมพ์รายละเอียดเที่ยวรถรอบทุ่มครึ่งมาส่องดู เพื่อมองหา ทะเบียนรถหรือไม่ก็ป้ายแสดงหน้ารถ ที่จะเป็นสัญลักษณ์พอให้รู้ว่าจะต้องเดินไป ขึ้นคันไหนได้ถูก ในตอนนั้นก็มีรถโดยสารหลายคันที่จอดเรียงรายกันอยู่ บางคัน ก็ติดเครื่องรอล่วงหน้า บางคันก็ยังจอดแบบนิ่ง ๆ
ระหว่างที่กำลังมองหาตัวช่วยชี้บอกคันรถที่ฉันควรจะขึ้นไปนั่งก็มีคนต่างชาติ หอบเป้ หิ้วกีตาร์ เดินพะรุงพะรังมาพร้อมกับกระดาษ A4 ที่ถืออยู่ในมือเหมือนฉัน
"นี่ คุณไปเดลีหรือปล่าว" เขาเดินมาถาม
"ฉันจะไปเดราดูนห์" ฉันถือตั๋วจองแผ่นโตโชว์ให้ดู "แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นรถคันไหน"
เรื่องของเรื่องคือ เราอ่านภาษาฮินดีจากป้ายหน้ารถกันออกซะที่ไหนและทาง เลือกที่ดีไปกว่าการยืนงงกันแบบนี้ ก็คือการเดินเข้าไปถามพนักงานที่นั่งประจำ จุดสอบถามนี่แหละ
พนักงานที่ประจำอยู่ในตอนนั้นได้เขียนหมายเลขทะเบียนรถที่เราจะต้องไปขึ้นให้ ซึ่งคันที่จะไปเดลีและเดห์ราดูน ที่จอดรออยู่ก็ยังไม่ถึงเวลาออกเดินทางทั้งคู่ พวกเราก็เลยได้คุยกันก่อนจะแยกตัวไปขึ้นรถ เลยรู้ว่าเขาเป็นชาวอิสราเอล กำลังวางแผนจะเดินทางไปยังประเทศไทยในสัปดาห์หน้าด้วย ส่วนฉันแม้จะยัง อยู่ที่อินเดียก็ตามแต่ก็ใช่ว่าจะรู้เป้าหมายจริง ๆ เลยว่าจะไปไหนต่อดี
ครู่หนึ่งเมื่อเสียงเรียกของกระเป๋ารถฯ เริ่มตะโกนเรียกผู้โดยสารที่จะไปเดลีดังขึ้น นักเดินทางชาวอิสราเอลก็ต้องลาไปขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ ส่วนฉันยังคงมีเวลาอีก นิดหน่อยที่ยังพอไปเดินเก็บรูปแถว ๆ ริมทะเลสาบได้อยู่
...
เมื่อได้เวลาล้อหมุน และต้องออกเดินทางจากเมืองแล้ว ภาพสุดท้ายของ ทะเลสาบก็ได้ลับหายไปอย่างเร็วเมื่อตัวรถได้เลี้ยวหักออกไปยังช่องเขา ที่มันดู คล้ายกับเป็นประตูปิดซ่อนไนนิตาลให้พ้นสายตาจากภายนอกเป็นอย่างดี จากนั้นชั่วโมงแห่งการนั่งหลับแบบที่คอต้องเอียงเอี้ยวไปมาก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง กับจังหวะการชะลอความไวเมื่อต้องหักรถเข้าโค้งครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่นั่งของฉันนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างฝั่งซ้าย ซึ่งก็เป็นการดีที่จะมองเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของดงสนและแสงจันทร์ที่ส่องแบบเต็มดวงเคียงไปตลอดทาง ส่วนอากาศด้าน นอกในตอนนี้คงน่าจะหนาวเย็นน่าดู
"แคร้ก..."
ฉันได้ยินเสียงการเลื่อนเปิดหน้าต่างที่ดังมาจากด้านหลัง จำได้ว่ามีครอบครัวหนึ่ง นั่งกันอยู่ที่เบาะหลังและตำแหน่งริมหน้าต่างก็น่าจะเป็นเจ้าเด็กตัวโตนั่น... ลมที่พัดลอดมาทางหน้าต่างได้หอบนำเอาไอเย็นมาเผื่อแผ่ยังฉันด้วย ไม่รู้ว่าเกิด ของขึ้นหรือร้อนอะไรกัน ทั้งที่ในตอนนี้มันไม่มีคนบ้าที่ไหนจะอุตริแง้มหน้าต่าง กันสักนิด ฉันเดาว่าพวกเขาอาจอยากชมวิวแบบสี่มิติ ไม่ก็เป็นความซนของเด็ก
"โอ้กกกก..."
เวรละ น้องมันเมารถ!
แล้วภาพอันตรึงตราของทิวทัศน์ยามค่ำคืนระหว่างทางที่ฉันกำลังนั่งซาบซึ้งอยู่ ก็กำลังจะถูกกลบลงด้วยอาการโอ้กอ้ากของไอ้เด็กหลังเบาะคนดังกล่าว
เขาว่ากันว่า หากใครแสดงอาการหาวให้เห็นเรามักจะเผลอหาวตาม แล้วอาการคลื่นเหียนอาเจียนแบบนี้ พอได้ฟังนานเข้ามันจะทำให้เกิดปฏิกิริยา การคล้อยตามมั้ยล่ะ?
จะว่าไปแล้ว เรื่องของระยะห่างก็แค่ด้านหลังแถมดังชัดมากยังกับน้องมาลั่นอยู่ ข้างหู ซึ่งนี่ก็นานติดต่อกันถึง 15 นาทีแล้วนะ ทำไมยังไม่หยุดเสียที หา!!!!
และที่แน่ ๆ เจ้าน้องคนนั้นก็ไม่ใช่รายเดียวซะด้วยสิ ยังมีผู้ร่วมคนอื่น กำลังจะแง้มเปิดหน้าต่างร่วมสบทบต่ออีก เส้นทางถนนจากไนนิตาลช่าง โหดร้ายต่อพวกเมารถง่ายเสียจริง ขอเตือนเลยนะว่าหากจะมาก็เตรียมกิน ยาแก้เมารถไว้ได้เลย
เอิ่ม...แล้วหนนี้จะเป็นอะไรไหมเนี่ย? หากฉันจะเริ่มสำแดงอาการอุปทานหมู่ร่วมด้วยอีกคน
ค่ารถ : Nainital - Dehradun : 624 รูปี (ปี 2014) ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมง
** ขบวนแห่ที่ได้เห็นนั้น สันนิษฐานว่าเป็น Vijayadashami หรือในอีกชื่อก็คือ Dusshera ซึ่งจะจัดขึ้นต่อจากเทศกาลฉลองที่ชื่อว่า นวราตรี ในวันถัดไป (ซึ่ง "นวราตรี" จะมี 9 วันและ Dusshera จะจัดในวันที่ 10)
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2557 |
Last Update : 17 กุมภาพันธ์ 2562 21:53:00 น. |
|
30 comments
|
Counter : 1005 Pageviews. |
|
|
แต่เห็น นาง ..ที่แต่งตัวพิเศษ แรกเห็นก็เดาออกว่า น่าจะเป็น
ปู้จายมาก่อง 555