จนมาตื่นอย่างจริงจังตอนถึงท่ารถเมืองดารัมซาลาในช่วงเจ็ดโมงเช้า
ของวันถัดมา ตอนนั้นก็มีผู้คนทยอยลงจากรถมากพอสมควรทีเดียว
และส่วนมากก็เป็นชาวอินเดีย
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงมีบางส่วนที่ยังคงนั่งอยู่บนรถเช่นเดียวกับฉัน หากไม่นับ
นักท่องเที่ยวต่างชาติ กลุ่มคนที่ว่าต่างมีใบหน้าเหมือนกับชาวทิเบตเกือบทั้งนั้น
และจุดหมายของพวกเราก็คือเมืองบนเขาที่ห่างไกลจากตัวเมืองด้านล่างไปอีก
เกือบ 9 กิโลเมตร ชื่อว่า แมคลอดกันจ์ หรือดารัมซาลาตอนบน ที่ซึ่งเป็น ศูนย์-
ลี้ภัยใหญ่ของชาวทิเบตพลัดถิ่นนั่นเอง
บริเวณพื้นที่ริมเขาของ McLeod Ganj หรือดารัมซาลา ตอนบน
ที่มักจะพบเห็นสิ่งก่อสร้างและร้านรวงต่าง ๆ ไล่เรียงเต็มไปหมด
ในระหว่างที่รถกำลังทำการแล่นล้อเคลื่อนต่อไปยังปลายทางที่ว่า ฉันก็ได้เห็น
รั้วลวดหนาม และค่ายทหาร ตั้งอยู่เป็นบางจุดอีกด้วย นั่นก็ทำให้นึกไปถึงด่าน
ตรวจต่าง ๆ ของบ้านเราเวลาขึ้นเหนือ ไปยังเชียงราย เชียงใหม่ ฯลฯ ที่จะมีเจ้า
หน้าที่ขึ้นมาตรวจบัตรประชาชนแบบนั้นเลย ... ซึ่งนั่นก็ผิดจากที่คาดไปหน่อย
เพราะนอกจากจะไม่มีการมาตรวจตราอะไรกันแล้ว ฉันยังพบอีกว่าชาวทิเบต
เหล่านี้แม้จะอยู่ในสถานะผู้ลี้ภัย แต่พวกเขาก็ยังสามารถเดินทางกันได้โดยอิสระ
ข้อมูลโดยคร่าวของ เมืองดารัมซาลา ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของ
จังหวัดกันกรา (Kangra) รัฐหิมาจัลประเทศ และแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน
- ดารัมซาลา ตอนล่าง (Lower Dharamshala) ซึ่งเรียกกันว่า "ดารัมซาลา"
- ดารัมซาลา ตอนบน (Upper Dharamshala) หรือรู้จักกันในนามของ
'แมคลอดกันจ์' ตั้งอยู่สูงกว่าเมืองทางตอนล่าง และเป็นศูนย์ลี้ภัยใหญ่ฯ
และที่ทำการรัฐบาลพลัดถิ่นฯ (Central Tibetan Administration) รวมถึง
เป็นสถานที่ประทับของ องค์ทะไลลามะ ผู้นำสูงสุดของชาวทิเบต
สภาพภูมิอากาศทั่วไป ด้วยความที่เมืองนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงมันจึงมีอากาศที่เย็น
สบายตลอดทั้งปี หากเอาไปเปรียบกับมะนาลีและชิมลา เมืองนี้ค่อนข้างจะอุ่นกว่า
และมักจะมีฝนตกชุกอยู่บ่อยครั้ง ส่วนในช่วงฤดูหนาวอุณหภูมิก็อาจลดต่ำลงจนถึง
จุดเยือกแข็ง
ร้านอาหารท้องถิ่นของชาวทิเบต ตรงมุมด้านขวาได้มีภาพของทะไลลามะ ลำดับที่ 14 ติดเอาไว้
เมนูชามโตนี้มีชื่อว่า "ทุกปะ" ดูแล้วไม่ต่างไปจากบะหมี่น้ำเท่าไหร่
เว้นแต่ความใหญ่ของเส้นที่ดูหนากว่า แต่หากเป็นบะหมี่ผัดก็จะถูกเรียกว่า "โชวเมียน"
เรื่องการเดินทางมายังดารัมซาลาถือว่าสะดวกพอสมควร เพราะถือว่าเป็นหนึ่ง
ในจุดหมายของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ ดังนั้นมันจึงมีเที่ยวรถวิ่งตรงจากเมือง
ต่าง ๆ หลายแห่ง เช่น เดลี, เดห์ราดูน, มะนาลี, จันดิการ์, อัมริตสาร์, ชิมลา,
ปาลัมปูร์ ฯลฯ
* เดลี, เดห์ราดูน จะมีปลายทางไปลงที่ แมคลอดกันจ์ โดยตรง
(ทั้งนี้ ควรตรวจสอบปลายทางกันให้ดีก่อนหากว่ารถบางคันจะไม่วิ่งตรงมายัง
McLeod Ganj โดยตรง แต่เป็นแค่ดารัมซาลา นั่นก็แปลว่าคุณต้องนั่งรถขึ้นมา
อีกหนึ่งต่อ)
และส่วนตัวเลือกอื่น ๆ ในการเชื่อมต่อ ทางรถไฟ(ธรรมดา) : ไม่มีเส้นวิ่งตรง
แต่สถานีที่ใกล้ที่สุดก็คือ Pathankot (ระยะห่าง 85 กิโลเมตร)
รถไฟทอยเทรน (Toy train) : สถานี Kangra (ระยะห่าง 17 กิโลเมตร)
สนามบิน : Kangra Gaggal Airport (ระยะห่าง 12 กิโลเมตร)
ในเรื่องของที่พักก็มีให้เลือกหลายระดับอยู่ส่วนมากแล้วจะมี wifi ให้บริการด้วย
โดยส่วนตัวแล้วฉันเองก็เดินวนเวียนอยู่แถวถนนโจกิวาราไปได้ไม่นาน ก็มาเจอ
กับคนยืนแจกนามบัตรหาคนเข้าพักยังเกสท์เฮาส์พอดี สนนราคาก็ไม่ถือว่าแพง
กับ 300 รูปี/คืน และมีห้องน้ำในตัวแถมมีน้ำอุ่นด้วย ดังนั้นตัวเลือกที่บอกต่อไปนี้
อาจไม่ใช่ดีที่สุดหรือเป็นย่านที่ดีที่สุด แต่โดยส่วนตัวก็พอใจแล้วล่ะ
ภาพ street art บริเวณถนนโจกิวารา (หรือ ถนนโปตาลา ชื่อใหม่ที่ถูกเปลี่ยนในปี 2015)
ที่กำลังจะสื่อถึงการต่อสู้ของชาวทิเบตโดยมีสัญลักษณ์ของเปลวไฟและธงชาติทิเบตเป็นฉากหลัง
แผนที่เส้นทางของถนนต่าง ๆ ในแมคลอดกันจ์
ภาพยามค่ำคืน บริเวณม้านั่งแถวยาวสำหรับนั่งพักผ่อนหรือเป็นจุดนัดพบของคนพื้นที่
เรามาเริ่มต้นสำรวจพื้นที่นี้กันก่อนดีกว่า หากเริ่มจากทางเชื่อมท่ารถมายัง
Main square ก็จะเจอกับตึกร้าง ๆ ก่อนและถัดมาก็จะเป็นพื้นที่ม้านั่งยาวสีเขียว
ด้านบน มันดูเหมือนจะเป็นจุดนัดพบหรือพื้นที่นั่งพักกินลมชมวิวของชาวเมือง
ซึ่งก็มีร้านรวงที่เป็นของชาวอินเดียและทิเบตคละปนกัน
ส่วนพื้นที่ด้านตรงข้าม จะเป็นแยกถนนที่จะพาไปสู่ตรอกซอกซอยสามสาย
ด้วยกัน เมื่อแยกโดยคร่าว ๆ เส้นริมขวา Temple Road สุดจะเป็นทางเชื่อมไปสู่
Tsuglagkhang Complex หรืออาจจะเข้าใจโดยง่ายว่าเป็น วัดของทะไลลามะ
บริเวณพื้นที่ใจกลางชุมชนจากมุมม้านั่ง จะเห็นว่ามีที่ตั้งของร้านอาหารมากมายและคับคั่ง
ไปด้วยผู้คน ดูแล้วก็ไม่เหมือนกับค่ายผู้ลี้ภัยสักนิด ส่วนบริเวณซุ้มเล็ก ๆ ด้านข้างของ
Mcllo Restaurant เป็นสำนักงานย่อยสำหรับจองเที่ยวรถโดยสารออนไลน์ของ HRTC
Kalachakra Temple ที่สร้างขึ้นตรงกลางถนน และยังมีพื้นที่ค้าขายอื่น ๆ
ที่สร้างขึ้นบนแนวเขตคั่นถนนสองฟากไว้
พระภิกษุทิเบต กำลังเดินหมุนกงล้ออธิษฐานที่
Kalachakra Temple ถัดมาอีกเส้นถัดมาก็คือทางไปที่ทำการไปรษณีย์ ที่จะเชื่อมต่อกับถนนโจกิวารา โดยจะเห็นพื้นที่ของศาสนสถานที่ชื่อว่า Kalachakra Temple ตั้งอยู่ตรงกลาง
ระหว่างสองฟากทาง และอีกเส้นที่อยู่ถัดไปนั้นจะเป็นทางไป น้ำตกบัคซู และ
มีแยกทางเดินสำหรับไปยัง TIPA และหมู่บ้านดารัมกอทอีกด้วย
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวรอบนอกใจกลางเมือง หากใครมีเวลาน้อยก็ให้ไป
ติดต่อรถสามล้อรับจ้างหรือไม่ก็แท็กซี่ ตรงซุ้มเล็ก ๆ สีเขียวที่ตั้งอยู่ตรงทางเดิน
ไปยังท่ารถ จากที่เห็นจะมีชื่อสถานที่นำเที่ยวตามที่ขึ้นป้ายไว้ก็คือ จุดชมวิว
Naddi, Dal lake, Dharamkot, Bhagsu, โบสถ์เซนต์จอห์น และวัดทะไลลามะ
แต่เนื่องจากตัวเองมีเวลาอยู่พอสมควรก็เลยเลือกที่จะเดินเที่ยวเองได้
เพราะฉะนั้น เรื่องของราคาค่าโดยสารทั้งหลายจึงต้องขอเว้นไว้สำหรับ
การแนะนำในครั้งนี้นะคะ
...
น้ำตกบัคซู (Bhagsu) ที่ตั้งของมันนั้นไกลจาก Main Square 2 กิโลเมตร
และยังไม่รวมเส้นทางเดินเข้าไปยังน้ำตก สภาพทางถนนที่หลุดไปจากตัวเมือง
ค่อนข้างเป็นลูกรัง และบางครั้งก็น่าหัวเสียหากเห็นใครเขาบิดมอเตอร์ไซด์ ไม่ก็
นั่งรถรับจ้างแซงเราไป
แต่ทั้งนี้พอเมื่อมาถึงที่ตั้งของทางไปน้ำตกแล้ว ก็จำเป็นต้องเดินเท้าเหมือนกัน
โดยที่จะผ่านกับสระน้ำแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดฮินดู Bhagsu nag ก่อน
และต่อจากนั้นก็จะพบกับทางไปน้ำตกที่มีการทำทางเดินปูไว้อย่างเรียบร้อย
เห็นป้ายบอกทางไปน้ำตกหรือยัง? ที่ตรงนี้จะมีสระว่ายน้ำตั้งอยู่ด้วย (แต่ไม่ได้ถ่ายภาพไว้)
ส่วนวัด Bhagsu nag ที่ตั้งอยู่บริเวณนี้ มีขนาดค่อนข้างเล็กและไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่
อาณาบริเวณพื้นที่ของน้ำตกบัคซูกับทางเดินที่ดูไกลสุดหูสุดตา
(ไม่แน่ใจว่ามีระยะทางไกลแค่ไหน รู้แต่ว่าเดินอย่างเหนื่อย!)
ภาพน้ำตกบัคซูที่เล็กกระจิดริด เมื่อมองจากระยะใกล้
ตรงด้านบนจะมีที่ตั้งร้านขายชาและขนมให้บริการด้วย
ตัวแพะภูเขาที่เห็นได้โดยทั่วไปในบริเวณนี้และบางทีพวกมันก็ชอบมาเดินเป็นเพื่อนเรา
....
โบสถ์เซนต์จอห์น (Church of Saint John in the wilderness) ถ้าสังเกตดี ๆ
ที่นี่ใช้ชื่อเดียวกับโบสถ์ที่เมืองไนนิตาลเป๊ะ ๆ และเป็นโบสถ์ในคณะแองกลิกัน
ซึ่งก่อตั้งในยุคอาณานิคมอังกฤษเช่นกัน ดังนั้นหากไป search หาในอินเตอร์เน็ต
ก็อาจเจอกับภาพถ่ายที่คนมักสับสนและเอามาลงสลับกันบ่อยอยู่ (สงสัยยังไม่เคยไป
เห็นของจริง)
ถนนทางไปโบสถ์เซนต์จอห์น ที่เริ่มจากแมคลอดกันจ์
นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เลือกที่จะเที่ยวชมเมืองด้วยการปั่นจักรยาน และมาแวะที่นี่เพียงครู่หนึ่ง
ภาพของโบสถ์คริสต์นิกายแองกลิกัน ที่เก่าแก่ที่สุดในย่านนี้
โบสถ์นี้อยู่ห่างไกลจาก Main square เพียง 1 กิโลเมตร และมีทางเดินที่ร่มรื่น
มาก ๆ ตลอดสองข้างทางจะเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่สีเขียวรายรอบเต็มไปหมด
หากนั่งรถมาจากดารัมซาลา ก็จะเห็นที่ตั้งของโบสถ์ก่อนถึงแมคลอดจ์กันที่ทาง
ฝั่งขวามือค่ะ
ที่นี่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อ ปี 1852 ตัวอาคารก่อด้วยอิฐแกรนิตและตั้งโดดเดี่ยวอยู่
กลางป่าซีดาร์หิมาลัย (Deodar) โดยที่ไม่มีบ้านเรือนอยู่รายรอบเลย ส่วนผู้ที่ทำ
หน้าที่ดูแลก็มีอยู่เพียงแค่หนึ่งคนเป็นคุณลุงชาวอินเดีย
คุณลุงที่ดูแลโบสถ์คนนี้เป็นชาวเมืองดารัมซาลา และสวมหมวกแบบชาวหิมาจัลด้วย
ส่วนพื้นที่รอบข้างโบสถ์ก็ดูวังเวงนิดหน่อย เพราะเป็นหลุมฝังศพที่มีมา
ตั้งแต่ช่วงยุคสมัยอาณานิคมฯ เช่นกัน (ไม่แนะนำให้มาช่วงโพล้เพล้นะ)
โบสถ์แห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นมาไว้เพื่อรองรับการปฏิบัติศาสนกิจของเหล่าชาวอังกฤษที่เข้ามาประจำการอาศัยอยู่ในช่วงขณะนั้น และต่อมาในปี 1863 ก็ได้ใช้เป็นที่ฝัง
ศพของ เจมส์ บรูซ เอิร์ลแห่งเอลกิน ที่ 7 ผู้ดำรงตำแหน่งรองอุปราชแห่งอินเดียโดยที่เขาได้เขียนหนังสือสั่งเสียก่อนจะถึงแก่อานิจกรรมว่า มีความประสงค์ที่จะให้ฝังร่างของตนเองไว้ที่เมืองดารัมซาลา ดังนั้นภรรยาของเขาจึงตัดสินใจเลือกจุดฝัง ณ ยังที่จุดที่อยู่ใกล้กับหลังโบสถ์ที่ซึ่งแวดล้อมไปด้วยป่าซีดาร์อันเงียบสงบและยังสามารถที่จะมองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างกับแนวเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมทอดตัวอยู่ตรงเบื้องหน้าอีกด้านมุมหนึ่งของป่าหลังโบสถ์ - เป็นที่ฝังศพของเหล่าชาวอังกฤษคนอื่น ๆ ในยุคก่อนส่วนวงกลมสีแดงที่แท่นปูนข้างโบสถ์นั้น คือจุดฝังร่างของท่านเอิร์ลแห่งเอลกิน ที่ 7
ถ้าจะพูดถึงแมคลอดกันจ์ในอดีต ก่อนที่จะกลายเป็นชุมชนชาวทิเบตภายหลัง
มันเคยเป็นสถานที่สำหรับบรรดาเหล่าข้าหลวงชาวอังกฤษ ทหาร และครอบครัว
ที่จะขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจเพื่อตากอากาศคล้าย ๆ กับเมืองบนภูเขาอีกหลายแห่ง
ในอินเดีย และที่มาของชื่อ 'แมคลอดกันจ์' ก็นำมาจากนามของ Sir Donald
Friell McLeod ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการแห่งรัฐปัญจาบ
ต่อมาเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ระดับ 7.8 แมกนิจูด ในเขตปกครอง-
กันกรา เมื่อวันที่ 4 เมษายน 1905 ทำให้สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย
อย่างราบคาบรวมทั้งชีวิตของผู้คน ที่มีการสูญเสียมากถึง 20,000 ราย และพื้นที่
แห่งนี้ก็หนีไม่พ้นจากภัยพิบัติเช่นกัน ทั้งอาคารบ้านเรือนต่างพังทลายลงหมด
จะเว้นแต่ก็ที่คริสตจักรแห่งนี้ที่ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย มีบางส่วนที่เกิดการ
ชำรุดร้าวแต่ก็มีการบูรณะซ่อมแซมได้ในภายหลัง ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งก่อสร้างเก่า
แก่เพียงแห่งเดียวในยุคอาณานิคมที่ยังปรากฏหลงเหลือให้เห็นในย่านนี้
ปัจจุบันโบสถ์เซนต์จอห์น ก็ยังคงเปิดทำการสำหรับศาสนกิจตามปกติทุกวัน
อาทิตย์ค่ะ
...
ทะเลสาบดาล (Dal Lake) และจุดชมวิว Naddi
เส้นถนนที่เป็นทางแยกสำหรับทางไป Dal lake และ Naddi (ริมขวา) ทางซ้ายสุด
ที่จะเห็นประตูเขียวกั้น เป็นเขตทหารห้ามเข้า ส่วนรถเมล์ที่วิ่งมาจากดารัมซาลา
ก็จะโผล่มาจากเส้นกลางและหักเลี้ยวไปยังทางไป Dal lake ดังนั้นหากไม่อยาก
เดินไกล 4 กิโลเมตร ก็จงคาดเดาพิกัดยืนรอรถกันให้ดี
ในกรณีที่จะเดินทางโดยรถสาธารณะ จากแมคลอดกันจ์จะไม่มีรถวิ่งตรง
แต่จากดารัมซาลาจะมีรถโดยสารวิ่งถึงโดยตรงจนถึง Dal lake
หากคิดจะเดินต่อจากโบสถ์เซนจอห์น มายังทะเลสาบดาลก็จะไกลกันแค่
4 กิโลเมตร (แต่ถ้าเริ่มจาก Main square ก็จะไกล 5 กิโลเมตร) หรือถ้าจะ
ลัดขั้นตอน ก็มายืนรอรถประจำทางตรงแยกทางขึ้น Dal lake ก็ได้
ที่ Dal lake ในดารัมซาลา มีขนาดไม่ใหญ่นัก ถ้าคิดจะไปเทียบกับทะเลสาบดาล
ในศรีนาการ์ ที่ใช้ชื่อเดียวกัน...ฉันไม่รู้ว่ามันมีตำนานศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับ
ชาวฮินดูเรื่องไหนกัน เพราะเห็นพวกเขาเรียกมันว่า "Sacred Dal lake"
แต่เรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ มีปลาสายพันธุ์เฉพาะถิ่นอาศัยอยู่ที่นี่แห่งเดียว
เสียด้วย ...ทว่าในวันนั้นมันกลับไม่ยอมโผล่มาให้ฉันเห็นสักตัว
หากใครมาถึงที่นี่แล้วเกิดอยากจะแวะไปเยี่ยมโรงเรียนของเด็กทิเบต (TCV)
ที่ตั้งอยู่ในละแวกนี้ก็สามารถถามทางจากคนแถวนี้ได้เลย ครั้งนั้นมีชาวทิเบต
ได้ช่วยชี้บอกทางให้ แต่ฉันเองไม่ได้ไปที่นั่นเพราะเวลานั้นยังไม่รู้จักอะไร ๆ
เกี่ยวกับทิเบตดีเท่าไหร่ ก็เลยเลือกเดินขึ้นไปอีกทางที่จะเชื่อมไปยัง Naddi ที่
ไกลจากทะเลสาบประมาณ 1 กิโลเมตรแทน
ความว่ามันเป็นจุดชมวิวเทือกเขา Dhauladhar ที่สวยแห่งหนึ่ง
และฉันก็อยากเห็นมันอย่างชัด ๆ และใกล้ ๆ
ซึ่งเป็นที่น่าผิดหวังซะจริง ที่ในตอนนั้นภาพจากจุดชมวิว Naddi จะมีแต่
ทะเลหมอกแล้วก็หมอกเต็มไปหมด นี่คงต้องโทษที่ฉันมาผิดฤดูใช่ไหมเนี่ย?
ส่วนขากลับสำหรับการเดินเท้าเที่ยวรอบนี้ ฉันได้โบกรถเมล์ที่กำลังวิ่งผ่าน
Dal lake ไปลงยังเมืองดารัมซาลา และนั่งรถจากเมืองตอนล่างกลับขึ้นมาที่
แมคลอดกันจ์แทน
จุดชมวิวและแนวเขาที่เต็มไปด้วยไอหมอก ซึ่งมันก็ได้บดบังหิมาลัยไปจนมิด
บนรถเมล์ ที่วิ่งเชื่อมระหว่าง Dharamshala - Dal lake
ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลอะไรกัน เพราะลุงคนขับรถเมล์ได้ให้กระเป๋ารถฯ เอาขนมหวานมา
แจกผู้โดยสารคนละชิ้นด้วย ซึ่งในขณะนั้นก็มีคนอยู่บนรถฯ มาจากต้นทางเพียงแค่หกคนเอง
จากข้อมูลที่บอกเล่าถึงสถานที่ท่องเที่ยวทั้งสามแห่งนี้ บอกเลยว่าไม่สามารถ จะจ้ำเท้าก้าวเดินเที่ยวภายในวันเดียวจนหมดได้ และถ้าหากเพื่อนนักท่องเที่ยว
คนใดคิดอยากจะเก็บจนครบภายในวันเดียว ก็จงไปติดต่อซุ้มบริการฯ รถรับจ้าง
ตามที่กล่าวถึงไว้ข้างต้นได้เลยค่ะ
ข้อมูลอื่น ๆ
* ปี 2017
ดารัมซาลา ได้ถูกประกาศยกสถานะให้เป็นเมืองหลวงแห่งรัฐหิมาจัลประเทศลำดับที่สอง
(รองจาก ชิมลา) จากเมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา
* ปี 2015
ถนนโจกิวารา ที่เป็นอีกหนึ่งเส้นทางเชื่อมต่อไปยังดารัมซาลาตอนล่าง
ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ถนนโปตาลา (Potala Road)
* ปี 1905 ภาพความเสียหายจากข่าวแผ่นดินไหว