บันทึกการเดินทางในอินเดีย ครั้งที่ 2 : ตุลาคม 2014
(ได้ทำการเรียบเรียงเนื้อหาใหม่อีกครั้งในปี 2018)
บ่อยครั้งฉันก็แอบสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมพื้นที่ของผู้ลี้ภัยฯ มันช่างดูคึกคัก
แบบนี้ เพราะเมื่อมองไปทางไหนก็มักจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร แผงขาย
ของที่ระลึก เกสท์เฮาส์ ที่พากันผุดขึ้นเต็มไปหมด
แต่ว่าสิ่งที่ดูผิดแผกไปจากย่านความเจริญอื่นก็คงเห็นจะเป็น 'จำนวนพระ'
ที่มีสูสีพอ ๆ กับนักท่องเที่ยวเลย ดังนั้นเหล่าผู้คนเดินถนนที่จะสวนผ่านเราใน
แมคลอดกันจ์ ก็จะมีจำนวนชาวต่างชาติ คนอินเดีย พระสงฆ์ และคนทิเบต
ในอัตราส่วนที่สูสีพอกันเชียวล่ะ
สองข้างทางเดินของตรอกถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้า
ฉันตั้งใจที่จะแวะไปยังวัดของทะไลลามะ ที่อยู่ไกลห่างเพียงฟากถนนและคาด-
หวังถึงอะไรบางอย่างตามที่เคยจิตนาการไว้ ถึงความโอ่อ่าของสถานที่ดังกล่าว
เมื่อเทียบกับ 'พระราชวังโปตาลา' ในกรุงลาซาของทิเบต ตามที่ได้เคยเห็นผ่าน
ตาจากสารคดีมาก่อนหน้านี้
temple road - เส้นถนนที่จะตรงไปยังวัดทะไลลามะ (ภาพถ่ายนี้หันย้อนกลับไปยังทางเดินเข้า)
โรงเรียนเด็กทิเบต บนแมคลอดกันจ์ (upper TCV School)
เพิงร้านขายของที่ระลึกตรงข้างทาง กับภาพการจราจรที่ฝั่งถนนซีกนี้มักจะมีรถวิ่งสวนผ่านบ่อยครั้ง
เมื่อเดินตรงไปสุดทางถนน ก็จะพบกับตลาดขนาดเล็กที่ขายผัก,ผลไม้ และมีซุ้มนั่งสำหรับดื่มชา
โดยมากแล้วก็มักจะเป็นพ่อค้าชาวอินเดียที่มาปักหลักเปิดร้านกัน
เส้นถนนทางไป Tsuglagkhang complex ดูไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมาย
เพราะเพียงแค่เดินตรงไปอย่างเดียวเท่านั้น พื้นที่ทางเดินช่วงแรกก็ดูไม่ต่างจาก
ย่านที่พักของฉันนัก มันเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายที่ยาวเหยียดไปจนเกือบตลอด
เส้นทาง และยิ่งใกล้สุดเส้นถนนเท่าไหร่ใจฉันก็ยิ่งเต้นระทึกถึงพระราชวังที่กำลัง
จะได้เห็นมากขึ้น ๆ
มีเหล่าพระและชาวทิเบต ตลอดจนนักท่องเที่ยวบางส่วน ที่เดินเท้ามาเอง กำลัง
มุ่งหน้าไปยังทางเดียวกับฉัน แต่บางครั้งก็จะเห็นผู้คนบางส่วนเลือกเดินทางมา
ด้วยรถรับจ้างก็มี
แต่แล้วเมื่อได้มาจนถึงปลายทาง ฉันกลับมองหาที่ตั้งของสถานที่ดังกล่าวไม่เจอ!
จะเห็นก็เพียงแต่ปากทางเดินเข้าไปยังพื้นที่แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งมีหน้าตาเป็นซุ้มที่ก่อ
ด้วยอิฐอย่างเรียบง่าย มีประตูรั้วสีเหลืองที่ถูกเปิดไว้ ตรงคานด้านบนมีแถบผ้าสี
น้ำเงิน,เหลือง,แดง กับชายผ้าสีขาวที่อัดกลีบติดเป็นระบายประดับ ส่วนบริเวณ
ด้านข้างประตู ต่างก็มีคนเอาของมาตั้งวางขายกัน
แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าดีเท่าไหร่
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันยังคิดที่จะก้าวเท้าเดินไปยังเขตด้านในต่อ
ภาพวาดของเด็กชายคนหนึ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปบนแมคลอดกันจ์ เป็นป้ายปิดประกาศถึง
เด็กทิเบตผู้ถูกลักพาตัวหายไป และอยู่ในสถานะนักโทษทางการเมืองที่อายุน้อยที่สุดในโลก
พวกเขาเชื่อกันว่านี่คือ "ปัญเชนลามะ ลำดับที่ 11" (ที่ซึ่งเป็น ตุลกู ของ ปัญเชนลามะลำดับที่ 10
กลับชาติมาเกิด) ** Panchen Lama คือตำแหน่งประมุขของทิเบตรองจากองค์ทะไลลามะ **
Gedhun Goekyi Nyima เกิดในปี 1989 และมีอายุเพียงหกขวบในขณะนั้น
หลังจากที่ได้รับการรับรองว่าเขาคือ "ปัญเชนลามะ" ได้สามวัน ก็ถูกทางการจีนจับตัวไป
นับตั้งแต่ปี 1995 ...จากวันนั้นจนถึงปัจจุบันนี้เขาก็ยังไม่ได้ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ
...
ระหว่างที่เดินเข้าไป ก็มีภาพบางอย่างที่ติดบนป้ายให้ได้พอสังเกตและสะดุดตา
ฉันคุ้นหน้ากับภาพเด็กชายที่ถูกลักพาตัวคนนี้มาก เพราะได้เห็นอยู่บ่อยครั้งบน
ใบประกาศขนาดต่าง ๆ ที่ติดแปะไปทั่วแมคลอดกันจ์ หรือกระทั่งชุมชนของชาว
ทิเบตในพื้นที่อื่นก็ด้วย
ถัดไปไม่ไกลนัก จะมีซุ้มขนาดเล็กตั้งอยู่ตรงขวามือเขียนบอกให้นำอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท โทรศัพท์มือถือ กล้อง วีดิโอ มาฝากไว้ที่จุดนี้ (แต่ไม่รับ
ฝากทั้งกระเป๋า) ดังนั้นฉันจึงต้องหยิบเอาโทรศัพท์ฯ และกล้องถ่ายรูป มาฝากไว้
ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปยังข้างใน ที่จุดทางเลี้ยวนั้นมีที่ตั้งของอนุสาวรีย์นักบวชใน
เปลวเพลิงตรงทางเลี้ยวเข้าวัด และอาคารที่อยู่เยื้องด้านตรงข้ามก็เป็นพิพิธภัณฑ์
ทิเบตและร้านขายของที่ระลึก
เมื่อเดินขึ้นไปยังทางเนินเข้าวัด ก็พบว่ายังต้องมีการตรวจค้นกันอีกรอบ ผู้คนที่มี
ความประสงค์จะเข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ด้านในหลายคนต่างพากันยืนต่อแถวเดิน
ผ่านเครื่องตรวจจับโลหะ และแยกไปค้นตรวจตามตัวกับเจ้าหน้าที่อีก กระทั่งเปิด
ดูกระเป๋าที่พกถือเข้ามาทุกชิ้นทุกชั้นอย่างละเอียดสุด ๆ
ก็แน่ละ...หากนึกถึงสถานภาพของท่านทะไลลามะแล้ว ที่ประทับแห่งนี้คงมี
สถานะไม่ต่างไปจากพระราชวัง ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการเข้มงวดกวดขันกันมาก
และก่อนที่ฉันจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยือนพื้นที่ด้านใน 'กระบอกไฟฉาย'
ที่ดันพกติดกระเป๋ามา ก็ต้องถูกริบเก็บโดยเจ้าหน้าที่หญิงผู้หนึ่งที่แต่งตัวในชุด
แบบทิเบต (หรือที่เรียกว่า "ชูปา')
และแล้วเมื่อผ่านพ้นการตรวจที่แสนจะจุกจิก ฉันก็ได้เข้ามาถึงเขตด้านในเสียที!
จากภาพแรกเห็นเท่าที่จำได้ มันคือลานพื้นโล่งที่ปูทับด้วยอิฐตัวหนอน มีการคลุม
หลังคาเพื่อบังแดดกันฝนด้วยผืนผ้าใบสีขาวขึงตรึงกับโครงเหล็ก ลานนี้จึงดูโปร่ง
และรับแสงจากภายนอกให้ส่องเข้ามายังบริเวณนี้ได้ นอกจากนี้ยังมีที่ตั้งของวัด
ซึ่งแบ่งออกเป็นสองชั้น และทั้งนี้ยังมีสถาบันการเรียนการสอนของพระสงฆ์ที่ชื่อ
ว่า Institute of Buddhist dialectics ตั้งอยู่ภายในอีกด้วย
"Dialectic" แปลว่า วิภาษวิธี ...
พอเปิดศัพท์ออกมาดูก็ออกจะงงสักหน่อย ว่าเป็นการเรียนแบบไหนกันนะ?
แต่ปริศนานี้ก็ถูกคลี่คลายไปอย่างว่องไว หลังจากได้เห็นพื้นที่ส่วนหนึ่งบนลานฯ
จะเต็มไปด้วยพระและเณรที่กำลังแบ่งกลุ่มย่อยนั่งแยกกระจายกันไป พวกเขามี
การฝึกพูดอะไรบางอย่างโต้ตอบใส่กันแบบดังลั่น ... พระบางรูปที่เป็นฝ่ายถามก็
จะยืนและคอยตบมือใส่หน้า หลังจากส่งคำถามให้แก่ผู้ตอบที่อยู่ในตำแหน่งนั่ง
นี่คงจะเป็นการฝึกตอบหัวข้อธรรมะกันแบบด้นสด ดูแล้วก็อึกทึกไปด้วยเสียงตะโกน
โต้ตอบในแบบที่ดุเดือดมากทีเดียว
...
ที่ชั้นสองของวัด Namgyal จะมีห้องใหญ่สำหรับใช้ประกอบพิธีทางศาสนา
ภายในมีแท่นวางพระพุทธรูปตั้งอยู่เป็นฉากหลัง พร้อมด้วยธรรมาสน์ขององค์-
ทะไลลามะวางอยู่ด้านหน้า ที่ตอนนี้มีการล้อมกั้นพื้นที่และสวมผ้าคลุมสีเหลือง
ห่อเอาไว้ ส่วนชั้นวางพระไตรปิฎกก็จะสร้างติดกับผนัง นอกเหนือไปจากนี้ก็เป็น
ห้องโถงโล่ง ๆ ซึ่งอาจจะถูกจัดแต่งเพิ่มเติมในวันที่มีการประกอบพิธีฯ สำคัญ
รอบนอกตัวอาคาร (เมื่อเดินอ้อมออกไปยังด้านหลัง) จะมีการจัดวางแนว
กงล้ออธิษฐานล้อมรอบ และถัดไปไม่ไกลก็จะมีห้องที่กั้นด้วยเหล็กดัดและกระจก
โปร่งแสงที่อาจดูหมองเพราะถูกเขม่าควัน แต่ก็ยังมองทะลุเห็นได้ว่าภายในนั้นจะ
เต็มไปด้วยถ้วยตะเกียงบูชาที่จุดไฟเรียงรายเต็มไปหมด โดยผู้ที่ทำหน้าที่ดูแล
ด้านใน จะคอยจุดไฟและเติมน้ำมันลงตะเกียงเพื่อให้ส่องแสงสว่างอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ตรงลานกว้างหน้าระเบียงชั้นสองจะมีผู้คนมานั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ หรือไม่
ก็ทำการกราบอัษฎางคประดิษฐ์ กันบนแผ่นกระดานที่ทางวัดมีจัดเตรียมไว้รองรับ
ดูเหมือนว่าฉันจะสำรวจวัดทะไลลามะจนครบแล้วใช่ไหม?
หากไปนับอาคารชั้นล่างที่ตั้งติดกับลาน ที่เป็นเพียงห้องสมุด
ห้องเรียน และห้องประชุมเล็ก ๆ แค่นั้น
ฉันยอมรับว่ากำลังแอบมองหาพระราชวังของทะไลลามะ ที่อินเดีย
ในแบบที่คิดว่าน่าจะจำลองให้คล้ายคลึงกับพระราชวังโปตาลาในทิเบตอยู่ ...
แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าองค์ทะไลลามะ ประทับอยู่ที่ไหนกันแน่ในพื้นที่นี้?
เหลือเพียงแค่ที่ตั้งของอาคารขนาดย่อมจุดสุดท้ายที่มีการกั้นรั้วเอาไว้
มีเจ้าหน้าที่คอยยืนดูแลอยู่แบบเข้มงวด นี่ยังไม่นับ เจ้าหน้าที่อารักขา-
ชาวอินเดีย ที่ยืนคุ้มกันถือปืนตรวจตราไปมาในบริเวณรอบนอกอีกนะ
ฉันจึงพอจะเดาออกแล้วว่า ที่ตรงนั้นแหละ
คือทางเข้าตำหนักขององค์ทะไลลามะ
ช่วงเวลานั้น มีชาวทิเบตกลุ่มหนึ่งที่มาเป็นครอบครัวพากันเดินเข้าไปในนั้นกัน พวกเขาต่างมีป้ายบางอย่างที่แขวนติดสำหรับผู้เข้าเยี่ยม โดยมีคนพาเดินนำทาง
เข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ด้านในและนั่งรอการประสานงานบางอย่าง
แต่ที่น่าสงสัยกว่านั้นก็คือ พวกเขาดูเป็นคนธรรมดามาก ๆ ถึงมากที่สุด
คงไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ บุคคลสำคัญ หรือคนมีตำแหน่งใหญ่โตแน่นอน
พอสอบถามเจ้าหน้าที่ชาวทิเบตที่ยืนอยู่ด้านหลังรั้ว ว่าทำยังไงถึงจะเข้าไป
ยังด้านในได้แบบคนกลุ่มนี้ได้?
เจ้าหน้าที่ได้บอกว่าหากฉันมีเวลาอยู่ที่นี่นานพอที่จะรอการจัดลำดับคิวให้ได้
ก็สามารถฝากเบอร์โทรและลงชื่อกับผู้ดูแลด้านหน้าโดยตรงเลย
"การที่จะมาเข้าเฝ้าองค์ทะไลลามะนั้นไม่ยากครับ หากคุณมีเวลานานพอ
ที่จะอยู่ที่นี่ แต่ถ้ามาในนามขององค์กรก็จะสะดวกกว่าบุคคลทั่วไป"
ทั้งนี้เขาบอกให้ฉันลองตรวจหมายกำหนดการ ตรงป้ายประชาสัมพันธ์ที่ติดอยู่ริม
ประตูรั้วว่าท่านฯ จะยังคงอยู่ที่พระตำหนักนี้หรือเดินทางไปที่อื่น ๆ ช่วงไหนบ้าง
เผื่อจะได้วางแผนเข้าพบได้ถูกเวลา หลังจากที่ดูโดยคร่าวแล้วก็พบว่าในช่วง
สัปดาห์นี้ท่านฯ ยังคงไม่ได้ไปไหนไกล และเป็นที่แน่นอนว่าชาวทิเบตกลุ่มนั้น
กำลังจะได้เข้าพบกับองค์ทะไลลามะในอีกไม่ช้า
มีบทความหนึ่งที่กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า ... แม้จะเป็นช่วงเวลาของการพลัด
ถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอนก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นชาวทิเบตกลับมีโอกาสพบเจอกับ
องค์ทะไลลามะได้อย่างใกล้ชิดมากกว่าในสมัยที่ท่านประทับอยู่ในทิเบตเสียอีก
ซึ่งจากที่เห็น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลยสักนิด น่าเสียดาย ที่การเดินทางใน
ครั้งนี้ฉันไม่มีโอกาสได้ไปเข้าเฝ้าเช่นพวกเขา
เอาล่ะ ฉันจะขอเฉลยภาพของโปตาลาที่หวังจะได้เจอในอินเดียให้ฟังก็แล้วกัน
อันที่จริงแล้วตำหนักขององค์ทะไลลามะที่เห็นตรงหน้า (แม้จะมีกำแพงกั้นบัง
อยู่) ดูแล้วก็แทบไม่ต่างไปจากเรือนพักรับรองธรรมดา ๆ เลย... เว้นเสียแต่จะมี
การดูแลรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเท่านั้น มันไม่ได้ดูใกล้เคียงหรือเป็นอย่าง
ที่เคยคิดเอาไว้สักนิด
และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเดินออกไปจากวัด โดยย้อนออกไปยังทางเก่าและผ่านจุด
ที่ตั้งของเครื่องตรวจฯ เจ้าหน้าที่หญิง (คนเดียวกับที่ตรวจค้นฉัน) ได้ยื่นอะไรบาง
อย่างออกมาให้ดู แล้วก็ทำท่าดึงกลับไปมาอยู่สองสามหน คล้ายกับจะให้ก็ไม่ให้
แบบทีเล่นทีจริง แต่กว่าจะนึกออกเธอก็แอบหัวเราะในความขี้ลืมของฉันล่วงหน้า
ไปนานละ
นี่มันกระบอกไฟฉายที่ฝากไว้นี่นา
โอ๊ย...เกือบลืมไปแล้วเชียว!
....
ฉันได้ใช้เวลาที่เหลือไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ทิเบต ที่ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติ-
ศาสตร์ความเป็นมาของชนชาตินี้ มีข้าวของเครื่องใช้ในอดีตที่ยังเก็บรักษาไว้เป็น
อย่างดี จนถึงการเดินทางอพยพของผู้ลี้ภัยที่บอกเล่าผ่านภาพถ่าย และมีการฉาย
วิดีทัศน์สั้น ๆ ที่เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเกิดคำถามย้อนกลับว่า
มันเกิดอะไรขึ้น!?
ภาพความงดงามของที่ราบสูงทิเบตนั้น
ทำไมกลับมีคราบเลือดฝังกลบซ่อนอยู่?
อีกครั้ง ก่อนที่จะไปรับของที่ฝากไว้ที่ซุ้มด้านนอก ฉันต้องเดินผ่านจุดที่ตั้งของรูป
ปั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้พลีชีพในเปลวเพลิง ตลอดจนภาพถ่ายของผู้ที่เสียชีวิต
จากการปลิดชีพตนเพื่อประท้วงฯ ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบันอยู่นับร้อยรายที่จัด
เรียงอยู่ไม่ไกลก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ยิ่งขึ้นกว่าเมื่อแรกเห็นเสียอีก
ฉันไม่รู้ว่าบทสุดท้ายของเรื่องราวจะจบลงยังไง แต่จะว่าไปแล้ว ...
การเดินทางครั้งนี้ก็ได้เริ่มทำให้อยากรู้จักกับทิเบตมากขึ้นกว่าก่อนเยอะเลย
หลังจากจีนได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็น 'สาธารณรัฐ' เมื่อปี 1949 ภายใต้
การนำของเหมาเจ๋อตุง ในตอนนั้นจีนต้องการจะผนวกทิเบตเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ
ตนด้วย ต่อมา (ปี 1950) จึงได้ส่งกองทัพปลดแอกประชาชนฯ บุกล้ำเข้าทิเบต
และรบชนะจนได้ครอบครองพื้นที่ไปครึ่งหนึ่ง
ภาพจำลองเหตุการณ์ กองทัพปลดแอกประชาชนฯ บุกเข้าทิเบต
(จากฉากหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "Kundun')
ถัดจากนั้น ก็มีการบัญญัติข้อตกลง 17 ประการแก่ทิเบตและส่งผลให้เกิดความไม่
พอใจเกิดขึ้นเพราะเป็นกฏที่สร้างขึ้นเพื่อเอาเปรียบและจำกัดอิสระ โดยเฉพาะการ
ถูกกลืนทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ รวมไปถึงการหลั่งไหลเข้ามาอยู่อาศัยของ
ชาวฮั่นก็ด้วย
ทิเบต มีการปกครองในรูปแบบรัฐศาสนาโดยมี องค์ทะไลลามะ เป็นประมุขสูงสุด
(ส่วนคณะรัฐมนตรีและข้าราชการก็ต้องประกอบด้วยพระอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง)
แม้ว่าในอีกสถานะหนึ่งของท่านฯ จะดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำศาสนาพุทธนิกาย
'เกลุกปา' ด้วยก็ตาม...แต่ชาวทิเบตไม่ว่าจะนับถือนิกายไหนต่างก็ให้ความเคารพ
ทะไลลามะ ในฐานะศูนย์รวมจิตใจของพวกเขา
ฟังดูแล้วก็ย้อนแย้งกับแนวคิดของจีนที่เห็น "ศาสนา คือ ยาเสพติด" เสียจริง
และนั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่จะมีการกวาดล้างทางศาสนาขี้นในเวลาต่อมา
จนกระทั่งปี 1959 ได้เกิดการจราจลต่อต้านจีน จนเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น
แต่แล้วกองทัพจีนก็เข้ามาปราบปราม...องค์ทะไลลามะ ได้ตัดสินใจทำการลี้ภัย
ออกมาจากทิเบต โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลอินเดีย สำหรับศูนย์อพยพฯ
ในช่วงแรกอยู่ที่เมืองมัสซูรี และต่อมาก็ได้มีการจัดตั้งที่ทำการรัฐบาลฯ พลัด
ถิ่นขึ้นชั่วคราว
ไม่นานนักจำนวนผู้ลี้ภัยได้มีเพิ่มมากเรื่อย ๆ ทางการอินเดียจึงได้จัดสรรพื้นที่แห่ง
ใหม่ให้กับผู้อพยพเหล่านี้ไปยัง พื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งที่ซึ่งเคยเป็นสถานที่พัก
ตากอากาศของชาวอังกฤษในอดีต ซึ่งก็คือเมืองดารัมซาลา ตอนบน นั่นเอง
ในปี 1960 องค์ทะไลลามะ คณะรัฐบาลพลัดถิ่น และชาวทิเบตคนอื่น ๆ ต่างก็
พากันย้ายมาอยู่ยังพื้นที่ดังกล่าวกัน
แม้ว่าหลังจากนี้จะยังมีการขยายศูนย์ผู้อพยพไปยังภูมิภาคอื่น ๆ อีกก็ตาม
แต่สำหรับ แมคลอดกันจ์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของชาวทิเบตพลัดถิ่น
มันจึงได้รับการเปรียบเปรยว่าเป็น Little Lhasa (ลาซาน้อย) คล้ายกับสถานะ
"กรุงลาซา" ของทิเบตในอดีต
ตอนนี้ที่นี่ดูเจริญมากทีเดียว ทุกอย่างดูทันสมัยและเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ที่พากันแวะมาเยี่ยมเยือนจนแทบจะไม่ขาดสาย หนำซ้ำยังเที่ยวรถโดยสาร
ที่วิ่งตรงมายังธรรมศาลาก็มีมากหลายเส้นทาง
แต่หากย้อนเวลากลับไปในช่วงแรกมันคงมีสภาพที่แตกต่างจากนี้สุดขั้วแน่
จากบทบันทึกที่ว่าด้วยเรื่อง ผู้ลี้ภัยรุ่นแรกในอินเดีย (ในหนังสือ ธิเบต บันทึก
ชีวิต เจซุน เปมา น้องสาวองค์ทะไลลามะ) ได้เอ่ยถึงสภาพแวดล้อมในยุคนั้นไว้
"เรารู้สึกราวกับว่า เรากำลังมุ่งไปสู่สถานที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกห่างไกล
จากอารยธรรม ข้าพเจ้านึกภาพไม่ออกว่าจะมีอะไรคอยอยู่ที่ปลายทางถนนเต็มไป
ด้วยหลุมบ่อนี้ บางแห่งมีร่องรอยหินที่เพิ่งถูกตัดใหม่ ๆ อาจจะเป็นชาวทิเบตที่ทำ
ทางเปิดถนนถวายองค์ทะไลลามะนั่นเอง
ที่เมืองธรรมศาลาล่าง ข้าพเจ้าสังเกตเห็นร้านรวงเล็ก ๆ คนขับรถขับเลาะไปตาม
ถนนเป็นวงรอบเขตทหารมุ่งสู่แมคลอดกันจ์ ภาพเบื้องหน้าคือความโกลาหล
อลหม่าน มีอาคารอยู่สามหลัง มีหนึ่งร้านและเต๊นท์ผ้าใบเต็มไปหมดทุกพื้นที่
ชาวทิเบตสวมผ้าขาดวิ่น เด็ก ๆ กำลังร้องไห้และกำลังหนาวสั่นด้วยความเย็น
พวกผู้หญิงนั่งเหม่อลอยงุนงงกับเคราะห์กรรมที่กระหน่ำตน พวกเขาต้องเผชิญ
ความทุกข์ยากแสนสาหัสเพียงใดกว่าจะดั้นด้นมาถึงเมืองแห่งความยากลำบากนี้"
(บันทึกนี้น่าจะเป็นช่วงปี 1960 หลังจากที่รัฐบาลอินเดียได้จัดหาที่อยู่ใหม่ที่เหมาะสมให้ผู้ลี้ภัย
ชาวทิเบตและสถานที่ประทับสำหรับองค์ทะไลลามะ ตลอดจนที่ทำการรัฐบาลพลัดถิ่นของทิเบต)
....
พื้นที่สำหรับประชาสัมพันธ์แถว mall road ซึ่งอาจจะไม่ได้มีการเจาะจงเรื่องราวเฉพาะเท่าไหร่
ก็มีทั้งข่าวคราว การเปิดอบรมการออกกำลังกาย, อาสาสมัครโครงการต่าง ๆ ไปจนถึงงานคอนเสิร์ต
เกาหลี ฯลฯ... และในช่วงที่เราเดินทางครั้งนั้นเป็นช่วงปฏิวัติร่ม (Umbrella Revolution) ในฮ่องกง
พอดี ซึ่งก็มีแผ่นปิดแสดงการสนับสนุนติดมาด้วย
ร้านขายของชำขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่บริเวณจุดนัดพบม้านั่งเขียวแถว main square
และคำว่า "Mcllo" นั้นเป็นชื่อเรียก "แมคลอดกันจ์" แบบย่อ
บริเวณชั้นสองของวัด Kalachakra ที่ตั้งอยู่ใกล้ main square กำลังถูกทาสีใหม่เพื่อซ่อมแซม
พนักงานราชการอินเดีย ที่เป็นชาวซิกข์
พื้นที่ค้าขายผักผลไม้ ใกล้กับที่ทำการไปรษณีย์
กับผู้คนที่หลากหลายทั้งทิเบตและอินเดีย
เด็ก ๆ ในโรงเรียน TCV (Tibetan children's village)
แมคลอดกันจ์ ยามค่ำคืนเมื่อมองจากดาดฟ้าของที่พัก
ช่วงค่ำวันสุดท้าย ก่อนที่ฉันจะเดินทางย้ายเมืองในวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่ออกไปเดิน
เล่นแถวตลาดได้พักใหญ่ ก็ได้เลี้ยวแวะไปที่ร้านขายเครื่องห่มกันหนาวมือสอง
แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจเข้ามาซื้ออะไรก็ตาม ฉันแค่อยากไปทักทายคนกลุ่มหนึ่งที่ซึ่ง
เคยเดินสวนผ่านกันไปมาหลายรอบมาก ๆ แต่ที่ผ่านมากลับไม่มีฝ่ายไหนเริ่มต้น
ทักถามกันเสียที
"พระไทยหรือปล่าวคะ?"
ฉันลองถามพระรูปหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยภาษาไทย
พวกท่านมากันทั้งหมดห้ารูปและกำลังหาซื้อเครื่องกันหนาวเพิ่มเติม
"ใช่จ้ะ" หลังจากมีการตอบรับกลับมา
พระรูปอื่นที่เหลือต่างก็หันมามองและบอกเป็นเสียงเดียวว่า
นึกแล้วเชียว ทายไม่ผิดจริง ๆ ว่าฉันต้องเป็นคนไทยแน่นอน!
ซึ่งพวกท่านต่างก็มีข้อสงสัยที่อยากจะถามไม่แพ้กัน
"แล้วโยมมาทำอะไรที่นี่คนเดียว?"
เอาเป็นว่า ค่ำคืนนี้ฉันได้พูดคุยและแลกเปลี่ยนเรื่องการเดินทางกับเหล่าพระไทย
กลุ่มนี้ได้แบบไม่ต้องกังวลห่วงเรื่องภาษาเลย แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยถนัดคุยสนทนา
ธรรมเท่าไหร่ แต่หลวงพี่กลุ่มนี้ก็ให้เคล็ดลับการเดินทางเพิ่มเติมมาเล็ก ๆ น้อย ๆ
อย่างเช่นเรื่องการขึ้นรถไฟอินเดีย เป็นต้น
ฉันรู้แค่ว่า ที่ดารัมซาลาตอนบน มีพระทิเบตและชาวทิเบตอาศัยอยู่จนแทบ
เรียกว่าเป็นพลเมืองหลักไปเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องการเดินทางมาพำนักอาศัยของ
พระไทยนั้นฉันไม่เคยรู้มาก่อน พอสอบถามเข้าก็ได้ความรู้ใหม่เพิ่มเติมว่า
พระกลุ่มนี้ได้เดินทางมาที่นี่เพื่อเรียนภาษาอังกฤษกันนานหลายเดือนแล้ว และ
ข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ เรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับหลักสูตรการเรียนภาษาฯ นั้นก็ช่าง
ถูกแสนถูก โดยผู้สอนจะเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาเป็นอาสาสมัครกับทางสถาบันฯ
ส่วนกลุ่มนักเรียนในชั้นก็จะมีคละปนกันทั้งพระและบุคคลทั่วไป
หลังได้สอบถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสาคนไกลบ้านไปพอสมควรแล้ว
ฉันก็ต้องขอตัวลากลับไปเดินเล่นรับลมหนาวที่เพิ่งจะพัดโบกมาแทนที่ลมฝน
ต่ออีกหน่อย คืนนี้ท้องฟ้าดูปลอดโปร่งจนมองเห็นดาวได้ชัดกว่าที่ผ่านมาเสียอีก
ดารัมซาลา เป็นเมืองที่มีอากาศเย็น โดยเฉพาะยิ่งในช่วงปลายฝนต้นหนาว ก็ยิ่ง
เย็นชื้นและมีหมอกลงจัด จากการที่ฝนตกชุกบ่อยจนน่าเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่าฉันแอบ
คิดไปเองหรือปล่าวว่าเมืองนี้มันช่างเงียบเหงา แต่ก็อาจเพราะไม่ค่อยได้ออกไป
ไหนได้บ่อยนัก พอเห็นฟ้าที่ครึ้มไปด้วยเมฆฝนทีไรก็ต้องรีบหาทางจ้ำอ้าวกลับมา
ยังที่พักทุกที
ฉันนึกย้อนไปถึงชาวทิเบตรุ่นแรก ๆ ที่อพยพมายังประเทศอินเดีย พวกเขาต่าง
พากันล้มตายไปเยอะหากไม่เสียชีวิตระหว่างทางที่เดินข้ามภูเขาหิมาลัย ก็อาจ
ปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่ร้อนชื้นกว่าในทิเบตได้ไม่ดีนัก หลายคนจึงล้มป่วย
และเสียชีวิตกันในเวลาต่อมา ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานหลายสิบปีก่อนโน่น
แม้ความเป็นอยู่ของชาวทิเบตพลัดถิ่นในอินเดียรุ่นถัดมา จะดีขึ้นกว่าเดิมก็จริง
หากมองจากภายนอกตามความเข้าใจของฉัน ก็คิดว่าพวกเขาน่าจะมีความสุข-
กันดีแล้วในพื้นที่ปลอดภัยแห่งนี้ และไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปเรียกร้องหรือคิดหา
ทางกลับไปตั้งรกรากในทิเบตอีกก็ได้นี่นา
สุดท้ายแล้ว เมื่อฉันได้พบเจอกับข้อความสั้น ๆ ที่ปรากฏให้เห็นจากร้านอาหาร
แห่งหนึ่ง ในเมืองมะนาลี (ที่นั่นก็มีชุมชนชาวทิเบตตั้งอยู่เช่นกัน) ก็ยิ่งตอกย้ำให้
กลับใจคิดใหม่ว่า อุดมการณ์บางอย่างแม้จะดูห่างไกลจนเกินความเป็นจริงก็ตาม
แต่เรื่องเหล่านี้มันคือสิ่งที่ละเอียดอ่อนและยากเกินกว่าจะไปเข้าใจ หรือคิดแทน
กันได้ซะที่ไหน หากเราไม่ได้เป็นอย่างพวกเขา
"ร้านอาหาร Chopsticks ในครั้งหน้าเราจะให้บริการท่านในทิเบต"
Dharamsala (tibetan version)
credit : FREEBETTI
" อื่น ๆ "
- ตุลกู (tulku) แปลตรงตัวว่า ร่างที่เปลี่ยนไป
คำอธิบายเพิ่มเติม จากหนังสือ "ทิเบต ขอบฟ้าที่สูญหายไป" , กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์
: จุดเด่นจุดหนึ่งของพุทธทิเบตคือ ความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด คนทิเบตเหมือนคนไทย
ตรงที่เชื่อว่าเมื่อตายแล้วไม่เป็นสูญ แต่สิ่งที่เหลืออยู่ซึ่งเป็นผลกรรมเป็นเหตุให้เกิดใหม่
แต่คนไทยไม่มีความเชื่อหรือประเพณีในการเสาะแสวงหาผู้มาเกิดใหม่
หากพระที่ปฏิบัติสมาธิจนแก่กล้ามรณภาพไป คนไทยอาจเชือว่าท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่จะ
ไม่เชื่อว่าท่านสามารถตั้งจิตปรารถนามาเกิดใหม่เป็นคนใดคนหนึ่งได้ คนทิเบตมีความเชื่อเช่นนี้
อ.เต๊ะ อ่านบันทึกการท่องเที่ยวตอนนี้แล้ว รู้สึกเศร้า รันทด หดหู่
ห่อเหี่ยว... เอาแค่นี่ดีกว่า ห.หีบมันแยะ ดีไม่ดี เขียนต่อมันจะติดเรท เอาได้ อิอิ
เดี๋ยวจะโดนแบนแต๊ดแต๋ซะอีก 555
สรรพนาม ที่น้องฟ้าใช้เรียกตัวเองว่า ฉัน นี่มันก้ออกเศร้าๆด้วย
ยิ่งทำให้เรื่องออก ซึมๆขึ้นไปอีก
อ.เต๊ะ แนะนำให้เปลี่ยนเป้น เดี๊ยน หรือ อาเจ๊ฟ้า แทน
เรื่องจะออกแนว จี๊ดจ๊าด น่าหมั่นไส้ ขึ้นมาทันที
ไม่เชื่อน้องฟ้าลองดุตอนหน้าก้ได้ 555
เข้าเรื่องเลยดีฝ่า ภาพพระราชวัง ที่พำนักขององค์ ดาไล ลามะนี่
ดูแล้วสะท้อนใจมากจริงๆ
ของเดิมนี่ อภิมหาเกรียงไกร ยิ่งใหญ่อลังการ
ของใหม่นี่ บรรยายไม่ถูกเลยเนอะ
แล้วก็ อ.เต๊ะ ดูภาพการสนทนาธรรมแล้วนี่ แปลกตามากเลย ยังกะจะฝึกกังฟู ก้ไม่ปาน
มีทั้งรุกทั้งรับ แพ้ชนะ นี่จะตัดสินกันยังไง ถ้ามี ทีเคโอ แอนตาซิล จะให้กี่บาท สงสัยจัง555
เรื่องราวของทิเบตนี่ ถือเป็นการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ ที่น่ากลัวจริงๆเลยเนอะ ผู้คนล้มตายไปมากมาย บ้านแตกสาแหรกขาด
เด็กตัวกระเปี๊ยก แค่ 6ขวบ ยังพลอยต้องมารับเคราะห์ไปด้วย
ทั้งนี้สาเหตุก้มาจาก อำนาจและผลประโยชน์ตัวเดียวแค่นั้นเอง จริงๆ
ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ของทิเบตตั้งแต่ถุกรุกราน นี่ ป่าไม้ก็ถุกทำลาย ตัดขายซะเหี้ยนเลยแล้วมั้ง
และที่น่ากลัวไปกว่านั้น เคยได้ยินมาว่า
มีการตั้ง ฐานทัพจรวดนำวิถีและ ระเบิดนิวเคลียร์ในทิเบตอย่างมากมาย ประเทศข้างเคียง ได้แต่หนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน
นอกจากนั้นยังมีการใช้ทิเบตให้เป็นประโยชน์โดยการฝึกฝนการทำสงคราม เคยมีการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ และการทิ้งขยะนิวเคลียร์และขยะเป็นพิษจากประเทศอื่น ๆอีกต่างหาก
เรียกว่า ไม่เหลืออะไรดีๆ ไว้ให้เลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าจะได้ประเทศกลับคืนมานะ
ก่อนไป ยังไง อาเจ๊ฟ้า ก้อย่าลืมคำแนะนำ อ.เต๊ะ เรื่องสรรพนามนะ รับรองเรื่องจะสนุก ออกแนวละครหลังข่าวขึ้นมาทีเดียวเชียว ขอบอก อิอิ
ไอ้บ้า อ.เต๊ะ น้องฟ้าเค้าเขียนสไตล์เค้า ก้ดีอยู่แล้ว
เอ็งไปแนะนำแต่ละอย่างนี่ เหลือเกินจริงๆ ใครเชื่อเอ็งก้บ้าแล้วละ 555
วันนี้โหวตหมดจ้า เดี๋ยวมาจัดให้ใหม่น้า